แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆ ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม
ได้แสดงข้อสัมมาทิฏฐิตามเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรแก่ภิกษุทั้งหลายมาโดยลำดับ จนถึงหมวดอาสวะ และก็ได้แสดงข้ออาสวะกับข้ออนุสัยมาแล้ว จะได้แสดงเพิ่มเติมถึงความเกิดขึ้นของอาสวะอนุสัย ตามที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสแสดงไว้จากพระสูตร เพราะว่าอาสวะอนุสัยนี้เป็นกิเลสอย่างละเอียด ที่หมักหมมดองจิตสันดาน ที่นอนเนื่องอยู่ในจิตสันดานของสัตว์บุคคลทั้งหลาย
เราทั้งหลายได้ทราบก็เพราะพระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ ความตรัสรู้ของพระองค์ได้เจาะแทงลงไปถึงอาสวะอนุสัย ละถอนกำจัดอาสวะอนุสัยได้หมดสิ้นด้วยพระปัญญา พร้อมทั้งมรรคข้ออื่นๆ ประกอบกันเป็นมรรคสามัคคี กำจัดอาสวะอนุสัยให้หมดสิ้นไป จิตของพระองค์จึงบรรลุถึงวิสังขารคือนิพพาน สิ้นปรุงแต่งด้วยประการทั้งปวง สิ้นตัณหาอันเป็นสมุทัยแห่งกิเลสและกองทุกข์ทั้งปวง
จิตปภัสสร
จิตนี้พระองค์ได้ตรัสบอกไว้ว่าปภัสสรคือผุดผ่อง แต่เศร้าหมองไป เพราะกิเลสทั้งหลายที่จรเข้ามา แต่ว่าเมื่อบุคคลได้สดับธรรมะที่ทรงสั่งสอน ทำจิตตภาวนาคืออบรมจิตตามที่ทรงสั่งสอน ด้วยมรรคมีองค์ ๘ ย่อลงก็ ศีล สมาธิ ปัญญา จิตก็จะวิมุติหลุดพ้นจากกิเลสคือเครื่องเศร้าหมองที่จรเข้ามา เป็นจิตที่ประกอบด้วยวิชชาคือความรู้ อันตรงกันข้ามกับอวิชชา วิมุติคือความหลุดพ้น อันตรงกันข้ามกับอุปาทานคือความยึดถือ
พิจารณาดูตามกระแสพระพุทธภาษิตที่ตรัสแสดงไว้นี้ ก็ย่อมจะเห็นได้ว่า จิตนี้แม้เป็นธรรมชาติที่ปภัสสรคือผุดผ่อง แต่เมื่อยังมิได้ปฏิบัติทำจิตตภาวนาอบรมจิต จิตนี้ก็ยังมีอวิชชา คือความไม่รู้ในสัจจะที่เป็นตัวความจริง แม้จิตนี้จะเป็นธาตุรู้ แต่ก็ยังเป็นรู้ผิดรู้หลง จึงยังมีอุปาทานคือความยึดถือ และเมื่ออายตนะภายนอก อายตนะภายใน ประจวบกัน ซึ่งเป็นไปตามธรรมดาของกายและใจอันนี้ หรือของนามรูปอันนี้ ก็ย่อมเกิดจักขุวิญญาณความรู้ทางจักษุคือเห็นรูป โสตะวิญญาณความรู้ทางหูคือได้ยินเสียง ฆานะวิญญาณทราบกลิ่นทางจมูก ชิวหาวิญญาณทราบรสทางลิ้น กายวิญญาณทราบสิ่งถูกต้องทางกาย มโนวิญญาณทราบเรื่องราวที่รู้ที่คิดทางมโนคือใจ
และเมื่ออายตนะภายใน ตาหูจมูกลิ้นกายและมนะคือใจ อายตนะภายนอกคือรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะคือสิ่งถูกต้อง และธรรมะคือเรื่องราวที่รู้ที่คิดทางใจ กับวิญญาณดังกล่าว ทั้ง ๓ อย่างนี้มาประชุมกันเข้า ก็เป็นสัมผัส หรือผัสสะคือความกระทบ และเพราะสัมผัสคือความกระทบ ก็หมายถึงความกระทบจิตนี้เอง จึงเกิดเวทนาคือความรู้เป็นสุข รู้เป็นทุกข์ หรือรู้เป็นกลางๆ ไม่ทุกข์ไม่สุข ทางกายทางใจ ดังที่ทุกๆ คนได้มีเวทนากันอยู่เป็นประจำ เป็นสุขบ้าง เป็นทุกข์บ้าง เป็นกลางๆ ไม่ทุกข์ไม่สุขบ้าง ทางกายทางใจ
และเมื่อได้พบกับสุขเวทนา เวทนาที่เป็นสุข ก็ย่อมจะมีความติดใจยินดีในสุข เมื่อเป็นดั่งนี้ ราคะคือความติดใจยินดีในสุขนี้ ก็ตกตะกอนนอนเนื่องอยู่ในจิต เรียกว่าราคานุสัย อนุสัยกิเลสที่นอนเนื่องอยู่ในจิตคือราคะความติดใจยินดี แม้ว่าสุขเวทนานั้นจะหายไปแล้ว แต่ว่าราคานุสัยก็ยังตกตะกอนนอนเนื่องอยู่ในจิต เมื่อพบกับทุกขเวทนา เวทนาที่เป็นทุกข์ ก็เกิดความทุกข์เดือดร้อน อย่างแรงก็ตีอกชกหัวต่างๆ ปฏิฆะคือความกระทบกระทั่งนั้น ก็ตกตะกอนนอนเนื่องอยู่ในจิต เป็นปฏิฆานุสัย กิเลสที่นอนเนื่องอยู่ในจิตคือปฏิฆะความกระทบกระทั่ง แม้ว่าทุกขเวทนานั้นจะสงบไปแล้ว แต่ปฏิฆานุสัยก็ยังนอนเนื่องอยู่ในจิต เมื่อพบกับเวทนาที่เป็นกลางๆ ไม่ทุกข์ไม่สุข ก็มิได้พิจารณาให้รู้จัก ความเกิดขึ้นความดับไป ความน่าพอใจ ความไม่น่าพอใจ และการที่จะนำจิตแล่นออกไปได้ นี้ก็เป็นอวิชชา ก็นอนจมนอนเนื่องอยู่ในจิตเป็นอวิชชานุสัย กิเลสที่นอนเนื่องอยู่ในจิต คืออวิชชา คือตัวที่ไม่รู้ แม้ว่าเวทนาที่เป็นกลางๆ นั้นจะสงบไปแล้ว แต่อวิชชานุสัยนี้ก็ยังนอนเนื่องอยู่ในจิต เป็นตะกอนอยู่ในจิต
อนุสัยที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบ
ซึ่งโดยปรกติทุกคนก็จะไม่รู้สึกว่ามีอนุสัยเหล่านี้อยู่ในจิต ยิ่งผู้ที่ปฏิบัติธรรมะได้ศีลได้สมาธิได้ปัญญา แต่ยังไม่เป็นมรรคกำจัดกิเลสได้ อนุสัยเหล่านี้ก็ยิ่งไม่ปรากฏ แต่ก็ยังมีอยู่ ยังนอนเนื่องอยู่ในจิต นอนจมอยู่ในจิต เป็นตะกอนอยู่ในจิต ที่ดังที่เปรียบไว้แล้วว่าเหมือนอย่างตะกอนนอนก้นตุ่ม ไม่ฟุ้งขึ้นมา น้ำในตุ่มก็ดูใสสะอาด แต่อันที่จริงนั้นไม่ใช่เป็นน้ำบริสุทธิ์สิ้นเชิง
เพราะยังมีตะกอนนอนจมอยู่ก้นตุ่ม นี่คืออนุสัยที่พระพุทธเจ้าได้ทรงพบ ได้ตรัสแสดงไว้ในพระสูตรหนึ่ง ถึงความบังเกิดขึ้นของอนุสัยดั่งนี้ ว่าอาศัยเวทนานี้เอง หรือว่ากล่าวให้หมดก็คือว่า อาศัยอายตนะภายนอกภายในของบุคคลที่ประจวบกัน เกิดวิญญาณ และทั้ง ๓ นี้ก็มาประชุมกันเป็นสัมผัสหรือผัสสะ ก็เป็นเหตุให้เกิดเวทนา เมื่อเกิดเวทนาก็เป็นเหตุให้เกิดราคะบ้างคือติดใจยินดีในสุข ปฏิฆะบ้างคือว่าหงุดหงิดในทุกข์ อวิชชาบ้างคือไม่รู้ในเวทนาที่เป็นกลางๆ ไม่ทุกข์ไม่สุข ราคะ ปฏิฆะ อวิชชา เหล่านี้ก็ตกเป็นตะกอนนอนจมอยู่ในจิต เป็นราคานุสัยบ้าง ปฏิฆานุสัยบ้าง อวิชชานุสัยบ้าง ดังกล่าว
และเมื่อได้ประสบเวทนากันอยู่เป็นประจำ แล้วก็มีความติดใจยินดีในสุขกันอยู่เป็นประจำ หงุดหงิดขัดเคืองในทุกข์อยู่เป็นประจำ ไม่รู้อยู่ในเวทนาที่เป็นกลางๆ อยู่เป็นประจำ ราคะปฏิฆะอวิชชาที่บังเกิดขึ้นใหม่ๆ อยู่ทุกวี่ทุกวันทุกเวลาเหล่านี้ ก็นอนจมลงไปในจิต นอนเนื่องอยู่ในจิต เป็นอนุสัยเพิ่มเติมขึ้นอยู่เสมอ ก็แปลว่าตะกอนก้นตุ่มนั้นก็มากขึ้นๆ แต่เมื่อไม่ฟุ้งขึ้นมาน้ำในตุ่มก็ดูยังใส
อินทรียสังวร
ส่วนอาสวะนั้นก็มีตรัสแสดงไว้ในข้อที่ตรัสสอนให้ปฏิบัติในอินทรียสังวร ความสำรวมอินทรีย์ คือตาหูจมูกลิ้นกายและมนะคือใจ ดังที่ตรัสสอนเอาไว้ว่า เห็นรูปอะไรทางตา ได้ยินเสียงอะไรทางหู สูดกลิ่นอะไรทางจมูก ลิ้มรสอะไรทางลิ้น ถูกต้องโผฏฐัพพะคือสิ่งถูกต้องอะไรทางกาย คิดหรือรู้เรื่องอะไรทางมโนคือใจ ก็ไม่ยึดถือโดยนิมิต คือไม่ยึดถือทั้งหมด ว่างามหรือไม่งาม น่าชอบใจหรือไม่น่าชอบใจ ไม่ยึดถือโดยอนุพยัญชนะคือเลือกแต่บางส่วน ว่างามหรือไม่งาม น่าชอบใจหรือไม่น่าชอบใจ อภิชฌาคือความยินดี โทมนัสคือความยินร้าย บาปอกุศลธรรมทั้งหลาย ย่อมไหลเข้ามาสู่จิต เพราะเหตุที่มิได้สำรวม มิได้รักษา อินทรีย์คือตาหูจมูกลิ้นกายและมนะคือใจเหล่านี้
เพราะตาหูจมูกลิ้นกายและมนะคือใจเหล่านี้อันใดเป็นเหตุ ย่อมปฏิบัติรักษาอินทรีย์คือตาหูจมูกลิ้นกายและมนะคือใจเหล่านี้ไว้ มิให้ยึดถือดั่งนั้น มิให้ความยินดีความยินร้ายบาปอกุศลธรรมทั้งหลายไหลเข้ามาสู่ใจอย่างนั้น ปฏิบัติดั่งนี้เรียกว่าอินทรียสังวรความสำรวมอินทรีย์
ตามพระพุทธภาษิตนี้ตรัสเรื่องอินทรียสังวร และก็ย่อมส่องความถึงว่า (เริ่ม)…หากไม่มีอินทรียสังวรก็ย่อมจะยึดถือ ย่อมจะยินดียินร้าย ย่อมจะมีบาปอกุศลธรรมทั้งหลายไหลเข้ามาสู่จิต เพราะเหตุที่ยึดถือและยินดียินร้ายดังกล่าว หรือเพราะเหตุที่มิได้รักษา มิได้สำรวมระวังอินทรีย์ทั้ง ๖ คือ ตาหูจมูกลิ้นกายและมนะคือใจดังกล่าว
อินทรีย์ ๖
บุคคลโดยมากย่อมหย่อนต่อการรักษาอินทรีย์ทั้ง ๖ เหล่านี้ หรือว่าโดยปรกติย่อมไม่รักษาอินทรีย์ทั้ง ๖ เหล่านี้ เมื่อเห็นอะไรทางตา ได้ยินอะไรทางหู ตลอดจนถึงคิดถึงเรื่องอะไรทางมโนคือใจ ย่อมจะยึดถือสิ่งที่เห็นสิ่งที่ได้ยิน ตลอดจนสิ่งที่คิดเป็นต้นนั้น ยึดถือทั้งหมด หรือว่ายึดถือบางอย่างบางส่วน ว่างามบ้างไม่งามบ้าง น่าชอบใจบ้างไม่น่าชอบใจบ้าง และเมื่อเป็นดั่งนี้จึงเกิดความยินดีความยินร้าย เกิดบาปอกุศลธรรมทั้งหลายไหลลงสู่จิต ไหลเข้าสู่จิต ก็ไหลเข้ามาทางตาทางหูทางจมูกทางลิ้นทางกายทางมนะคือใจนี้เอง
สิ่งที่ไหลเข้ามาสู่จิต ก็มาหมักหมมดองจิตสันดานอยู่ เป็นกามาสวะ อาสวะสิ่งที่ไหลมาดองจิตสันดานคือกามความใคร่ ภวาสวะอาวะคือภพความเป็น เป็นเราเป็นของเรา อวิชชาสวะอาสวะคืออวิชชา ไม่รู้ แม้อาสวะเหล่านี้ก็ไหลเข้ามาจากตาหูเป็นต้นดังกล่าว ซึ่งเมื่อเห็นอะไรได้ยินอะไรเป็นต้น ก็เกิดความใคร่ความยินดีก็คือกามนั่นเอง
และยึดถือ ก็ยึดถือเป็นตัวเราเป็นของเรา ก็เป็นภพซึ่งเป็นที่ตั้งของอาสวะคือความกระทบ และแม้เป็นกลางๆ ก็ไม่ได้พิจารณาให้รู้จักความเกิดความดับเป็นต้น ก็เป็นอวิชชาคือไม่รู้ แม้ว่าการเห็น การยึดถือ ความยินดีความยินร้ายเป็นต้นนั้น จะผ่านไปแล้วสงบไปแล้ว แต่ก็ยังตกตะกอนลงมาเป็นอาสวะ มาดอง มาหมักหมมจิตสันดาน เป็นกามาสวะ ภวาสวะ อวิชชาสวะ อยู่ เพราะฉะนั้น ความบังเกิดขึ้นของอาสวะนั้นจึงบังเกิดขึ้นดั่งนี้
และในสัมมาทิฏฐิสูตร ท่านพระสารีบุตรก็ได้แสดงรวมกันไว้ว่า เมื่อมีสัมมาทิฏฐิคือความเห็นชอบ มีความเห็นตรง ย่อมจะทำให้ประกอบด้วยความเลื่อมใสไม่หวั่นไหวในธรรมะ นำมาสู่พระสัทธรรมคือพระธรรมวินัยนี้ จะละราคานุสัยกิเลสที่นอนเนื่องอยู่ในจิตคือราคะ จะถอนปฏิฆานุสัย จะบันเทาปฏิฆานุสัย อนุสัยคือปฏิฆะความกระทบกระทั่ง จะถอนทิฏฐิมานานุสัย อนุสัยคือทิฏฐิมานะว่าเรามีเราเป็น จะละอวิชชา ทำวิชชาให้บังเกิดขึ้น จะกระทำทุกข์ให้สิ้นสุดไปได้ในปัจจุบัน
อนุสัย ๔
เพราะฉะนั้น ก็เท่ากับท่านแสดงอนุสัยไว้เป็น ๔ คือ ราคะ ปฏิฆะ และอัสมิทิฏฐิมานานุสัย เรียกสั้นก็คือภวานุสัยนั้นเอง แต่ท่านไม่เรียกว่าภวานุสัย เรียกอย่างเต็มที่ว่าทิฏฐิมานานุสัย อนุสัยคือทิฏฐิมานะความเห็นยึดถือว่าเรามีเราเป็น ก็ตัวภพนั่นแหละ ดังที่กล่าว และอวิชชา ก็เป็นอันว่าท่านนำเอาอาสวะกับอนุสัยที่แยกเอาไว้นี้มารวมกันเข้า แต่แม้ว่าจะไม่รวมกันเข้า แยกออกเป็น ๒ หมวด ข้อที่ ๒ ของหมวดทั้งสองนั้นจะต่างกัน คือเป็นภวาสวะ กับเป็นปฏิฆานุสัย แต่ก็มีความที่เนื่องถึงกันสัมพันธ์กัน ดังที่ได้อธิบายแล้ว ก็นับว่าเป็นอันเดียวกันได้ แต่เมื่อแยกแสดงได้เป็น ๔ ก็เป็นอันว่าครบถ้วน คือเป็นราคะหรือกาม ๑ เป็นปฏิฆะ ๑ เป็นภพหรืออัสมิทิฏฐิมานะ ๑ เป็นอวิชชา ๑ เป็นตัวกิเลสที่นอนเนื่อง หรือนอนจมหมักหมมดองจิตสันดานอยู่
การปฏิบัติที่ไม่เพิ่มราคะอนุสัย
ก็เพราะเหตุที่จิตนี้ที่ยังไม่มีจิตตภาวนา แม้เป็นธรรมชาติที่ปภัสสร แต่ก็ยังมีอวิชชา เมื่อมีอวิชชา ก็ยังมีอุปาทาน เพราะฉะนั้น เมื่ออายตนะภายในภายนอกประจวบกัน เกิดวิญญาณ เกิดเวทนา เกิดผัสสะ เกิดเวทนา จึงยังมียินดีมียินร้าย ยังมีหลง ไม่รู้ และแม้ว่าความประสบทางตาหูเป็นต้น ความยินดียินร้ายหลงไม่รู้ที่บังเกิดขึ้น จะสงบไปเป็นคราวๆ แต่ก็ยังนอนจมเป็นตะกอนอยู่ในจิต ดองเป็นอาสวะ นอนเนื่องเป็นอนุสัย และก็เพิ่มพูนขึ้นอยู่เสมอ ต่อเมื่อได้ปฏิบัติในอินทรียสังวร และได้ปฏิบัติตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน คือในมรรคมีองค์ ๘ รวมเข้าเป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา รักษาอินทรีย์ รักษาจิต มิให้ยึดถือ ยินดียินร้าย หลง ไม่รู้ ในเวลาที่ประสบเรื่องประสบอารมณ์ต่างๆ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางมนะคือใจอยู่ จึงจะเป็นการปฏิบัติที่ไม่เพิ่มราคะอนุสัย
และเมื่อศีลสมาธิปัญญาที่ปฏิบัตินี้ลึกซึ้งลงไป จนถึงรู้ถึงตัวอาสวะอนุสัย คือลึกซึ้งลงไปถึงจิตส่วนลึก อันเป็นที่ตั้งของอาสวะอนุสัย ก็จะกำจัดอาสวะอนุสัยได้บางส่วน จนถึงสิ้นเชิง นั่นแหละจิตนี้จึงเป็นธรรมชาติที่บริสุทธิ์ พร้อมทั้งปภัสสรคือผุดผ่อง ประกอบด้วยวิชชาวิมุติ อยู่กับวิชชาวิมุติตลอดเวลา ดังที่มีพระพุทธภาษิตตรัสไว้ว่า ตถาคตคือพระพุทธเจ้า ทรงอยู่ด้วยวิชชาวิมุติ ทรงมีวิชชาวิมุติเป็นธรรมะเครื่องอยู่
ต่อไปนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวดและตั้งใจทำความสงบสืบต่อไป