แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆ ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม
ได้แสดงพระเถราธิบายในข้อสัมมาทิฏฐิ ตามที่ภิกษุทั้งหลายได้กราบเรียนถาม มาทีละตอนทีละตอนโดยลำดับ จนถึงตอนที่ท่านพระสารีบุตรเถระได้ตอบว่า ยังมีปริยายคือทางแสดงอื่นต่อไปอีก คือ สัมมาทิฏฐิความเห็นชอบได้แก่ รู้จักอวิชชา รู้จักเหตุเกิดอวิชชา รู้จักความดับอวิชชา รู้จักทางปฏิบัติให้ถึงความดับอวิชชา และท่านได้แสดงอธิบายไปทีละข้อว่า
ไม่รู้จักอวิชชา อวิชชาก็คือไม่หยั่งรู้ในทุกข์ ไม่หยั่งรู้ในเหตุเกิดทุกข์ ไม่หยั่งรู้ในความดับทุกข์ ไม่หยั่งรู้ในทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์
ไม่รู้จักเหตุเกิดอวิชชา ก็คือไม่รู้จักว่าเพราะอาสวะเกิด อวิชชาจึงเกิด
ไม่รู้ความดับอวิชชา ก็คือไม่รู้จักว่าเพราะอาสวะดับ อวิชชาจึงดับ
ไม่รู้จักทางปฏิบัติให้ถึงความดับอวิชชา ก็คือไม่รู้จักมรรคมีองค์ ๘ มีสัมมาทิฏฐิความเห็นชอบเป็นต้น
จะได้อธิบายในข้อแรก ไม่รู้จักอวิชชา อวิชชานี้เป็นข้อที่พระพุทธเจ้าได้ทรงสั่งสอนเอาไว้ ว่าเป็นต้นเหตุสำคัญแห่งกิเลส และกองทุกข์ทั้งหลาย ในปฏิจจสมุปบาท คือธรรมะที่อาศัยกันบังเกิดขึ้น ก็ตรัสแสดงอวิชชาไว้เป็นข้อต้น และบรรดากิเลสที่เป็นอย่างละเอียด อันบังเกิดนอนจมหมักหมมอยู่ในจิตสันดาน ดองจิตสันดาน ซึ่งเรียกว่าอาสวะหรืออนุสัย ก็มีอวิชชาเป็นข้อสำคัญ และได้มีพระพุทธาธิบายอวิชชา ดังที่ท่านพระสารีบุตรได้นำมาอธิบาย คือความไม่หยั่งรู้ในอริยสัจจ์ทั้ง ๔ ได้แสดงอวิชชา ๔ ไว้ดั่งนี้ เป็นพื้น
อวิชชา ๘
และที่แสดงอวิชชา ๘ ก็มี คือเติมเข้าอีก ๔ ข้อ อันได้แก่ไม่รู้จักเงื่อนต้น ไม่รู้จักเงื่อนปลาย ไม่รู้จักทั้งเงื่อนต้นทั้งเงื่อนปลาย ไม่รู้จักปฏิจจสมุปบาท คือธรรมะที่อาศัยกันบังเกิดขึ้น อีกปริยายคือทางแสดงอันหนึ่ง ก็ได้แก่ไม่รู้จักอดีต ไม่รู้จักอนาคต ไม่รู้จักทั้งอดีตทั้งอนาคต ไม่รู้จักปฏิจจสมุปบาท คือธรรมะที่อาศัยกันบังเกิดขึ้น จะได้แสดงคำว่าอวิชชา และอวิชชาในอริยสัจจ์ทั้ง ๔ นั้นก่อน อันเป็นข้อหลัก
อวิชชาแปลตามศัพท์ว่าความไม่รู้ อันหมายความว่าไม่รู้ในอริยสัจจ์ทั้ง ๔ ดังกล่าวนั้น แต่ว่าถ้ายกขึ้นมาเพียงคำเดียวว่าไม่รู้ ก็อาจมีปัญหาว่า สิ่งที่มีความไม่รู้ ก็จะเป็นดั่งก้อนหินก้อนดินท่อนไม้เป็นต้น ซึ่งไม่มีความรู้อยู่ในตัว แต่ว่าอันบุคคล แม้สัตว์เดรัจฉานทั้งหลายย่อมมีความรู้อยู่ในตัว ดังคนเราก็มีความรู้อะไรๆ อยู่ในตัว ฉะนั้น จะเรียกว่ามีอวิชชาได้อย่างไร
จึงมีคำอธิบายให้ชัดขึ้นว่า อวิชชานั้นเป็นข้อที่มีอยู่ เป็นสิ่งที่มีอยู่ แก่สัตว์โลกทั้งหลาย ซึ่งมีวิญญาณธาตุคือธาตุรู้ หรือว่ามีจิตวิญญาณซึ่งเป็นธรรมชาติเป็นธาตุรู้ ดังมนุษย์เราคนเรา ก็มีความรู้อะไรๆ อยู่ ตั้งต้นแต่มีความรู้เห็นรูป รู้ได้ยินเสียงเป็นต้น ตลอดจนถึงความรู้ในสิ่งต่างๆ ที่มีเป็นพื้นอยู่ และที่ศึกษาเล่าเรียนเพิ่มเติมขึ้นมาต่างๆ อันเรียกว่าวิชา หรือปัญญา (เริ่ม) ฉะนั้น คนเราจึงจะชื่อว่ามีอวิชชาได้อย่างไร จึงมีคำตอบว่า ก็มีความรู้นั่นแหละ จึงมีอวิชชาขึ้นมาได้ ถ้าไม่มีความรู้ อย่างก้อนดินก้อนหินท่อนไม้ ก็ไม่มีอวิชชาขึ้นมาได้ ก็คือมีความรู้ แต่ว่าความรู้ที่มีอยู่นั้นเป็นความรู้ที่ไม่จริง เป็นความรู้ที่ผิดจากความจริง ฉะนั้น ความรู้ที่ไม่จริง ความรู้ที่ผิดจากความจริง นี้แหละคืออวิชชา
ในทางตรงกันข้าม เมื่อเป็นความรู้ที่จริง ไม่ผิดจากความจริง ก็เป็นวิชชา และอวิชชาคือความไม่รู้ในสัจจะ คือความจริง ของจริง ของแท้ หรือกล่าวอีกนัยยะหนึ่งว่าเป็นความรู้ที่ผิด จากสัจจะคือของจริงของแท้ นี้คืออวิชชา
พระพุทธเจ้าผู้รู้ผู้เห็น ได้ทรงอธิบายอวิชชานี้ได้ ว่าได้แก่ความที่ไม่มีญาณคือความหยั่งรู้ในทุกข์เป็นต้นดังกล่าว แต่หากว่า ถ้ามิได้พระพุทธเจ้าผู้รู้ผู้เห็นมาทรงแสดงสั่งสอน ทุกๆ คนก็ย่อมจะไม่สามารถจะรู้จักอวิชชาที่มีอยู่ในตนเองได้ ย่อมจะเข้าใจว่า ตนมีวิชชาคือความรู้ ที่เป็นความรู้จริง เป็นความรู้ถูก ดังศาสดาทั้งหลาย แห่งศาสนาทั้งหลาย แห่งลัทธิทั้งหลาย ซึ่งได้เกิดขึ้นก่อนพระพุทธเจ้า หรือภายหลังพระพุทธเจ้า มิได้เป็นผู้รู้ผู้เห็นเหมือนพระพุทธเจ้า คือมิได้ตรัสรู้เหมือนพระพุทธเจ้า ก็ย่อมเข้าใจว่า แต่ละท่านมีวิชชาคือความรู้ถึงที่สุด เป็นผู้ที่ปราศจากอวิชชาคือความไม่รู้ เป็นผู้รู้ เป็นผู้เห็นแล้ว
ข้อปฏิบัติที่เป็นไปเพื่อชาติภพ
แต่อันที่จริงนั้น เมื่อยังมีชาติมีภพ ก็ชื่อว่ายังมีทุกข์ ยังมีกิเลส ยังไม่สิ้นทุกข์ยังไม่สิ้นกิเลส ดังที่มีความต้องการเกิดอีก แม้ในชาติภพที่เข้าใจว่ายั่งยืน และเมื่อไปเกิดในชาติภพนั้นแล้วก็ยั่งยืน มีผู้ที่เกิดอยู่ยั่งยืน และเต็มไปด้วยความสุขต่างๆ ดังฤษีทั้งหลายดาบสทั้งหลาย ผู้ปฏิบัติแม้ใกล้พุทธศาสนาเข้ามามาก ดังเช่นท่านอาฬารดาบสกาลามโคตร อุทกดาบสรามบุตร ปฏิบัตินับว่าสมบูรณ์อยู่มาก ในศีลในสมาธิ คือได้ถึงสมาบัติ ๗ สมาบัติ ๘ หรือว่า รูปฌาน อรูปฌาน แต่ว่าก็ติดอยู่แค่นั้น เพราะว่าต้องการที่จะไปเกิดในพรหมโลกเป็นพรหม ซึ่งเข้าใจว่าดำรงอยู่ยั่งยืนตลอดไปในพรหมโลกนั้น
แต่พระพุทธเจ้าเมื่อเป็นพระโพธิสัตว์เสด็จออกทรงผนวช ได้เสด็จเข้าไปทรงศึกษาในสำนักของท่านดาบสทั้งสองนั้น ก็ทรงเห็นว่ายังเป็นข้อปฏิบัติที่เป็นไปเพื่อชาติภพ เพราะฉะนั้น จึงยังมีกิเลสคือความต้องการจะไปเกิดอีก อันเป็นตัณหา และเมื่อไปเกิดอีก ความเกิดนั้นก็ยังเป็นทุกข์ เพราะเมื่อมีเกิดก็จะต้องมีแก่มีตาย เมื่อไปเกิดเป็นเทพก็จะต้องมีจุติ คือเคลื่อนออกจากความเป็นเทพในที่สุด จึงยังไม่พ้นทุกข์ ไม่พ้นความเวียนว่ายตายเกิด อันเรียกว่าวัฏฏสงสาร
เพราะฉะนั้น ก็เป็นอันว่าท่านศาสดาและลูกศิษย์ทั้งปวงนั้นก็ยังมีอวิชชาคือความไม่รู้ คือยังมีความรู้ที่ผิดจากสัจจะที่เป็นตัวความจริง ยังเห็นในสิ่งที่เป็นทุกข์ว่าสิ้นทุกข์ ยังเห็นในสิ่งที่เป็นเหตุเกิดทุกข์ ว่าเป็นเหตุเกิดสุข เพราะฉะนั้น ความรู้ของบรรดาศาสดาและศิษย์ทั้งปวงนั้น จึงเป็นความรู้ที่ยังไม่ถึงที่สุด และเมื่อสำคัญว่าถึงที่สุด ก็เป็นความสำคัญผิด เป็นความเห็นผิด ความรู้ก็เป็นความรู้ที่ผิดจากสัจจะที่เป็นตัวความจริงดังกล่าว ยังเป็นความรู้ที่เป็นอวิชชาอยู่
เพราะฉะนั้น จึงได้เสด็จหลีกออกไปทรงแสวงหาโมกขธรรม ธรรมะที่เป็นเครื่องหลุดพ้นด้วยพระองค์เอง และแม้พระองค์เอง ก็ทรงรู้พระองค์เอง ว่าความรู้ของพระองค์เองที่ยังมีอยู่ในขณะที่ทรงแสวงหานั้น ก็ยังเป็นความรู้ที่ยังเป็นอวิชชาอยู่อีกเหมือนกัน เพราะยังไม่พบสัจจะที่เป็นตัวความจริง อันเป็นโมกขธรรม ธรรมะที่เป็นเครื่องหลุดพ้น จากกิเลสและกองทุกข์ได้จริง ยังไม่ทรงรู้ในขณะนั้นว่าสัจจะที่เป็นความจริงนั้นคืออะไร
ฉะนั้นแม้ความรู้ของพระองค์เองในขณะนั้น ก็ยังเป็นความรู้ที่ยังเป็นอวิชชา ทรงปรารถนาจะได้ความรู้ที่เป็นวิชชา คือความรู้ที่ตรงกับสัจจะคือความจริง ในเบื้องต้นก็ทรงมุ่งอาศัยท่านคณาจารย์ที่มีอยู่ในขณะนั้น ดังเช่นท่านดาบสทั้งสอง แต่เมื่อทรงเห็นว่า แม้ความรู้สูงสุดของท่านอาจารย์ทั้งสองนั้นก็ยังเป็นอวิชชาอยู่ คือยังไม่เป็นความรู้ที่เข้าถึงสัจจะที่เป็นตัวความจริง จึงได้เสด็จหลีกออกไปทรงแสวงหาด้วยพระองค์เอง เพราะอาศัยผู้อื่นไม่ได้แล้ว
จึงได้ทรงจับบำเพ็ญทุกกรกิริยา ก็ไม่ได้ความรู้อะไรขึ้นมา จึงได้ทรงเลิก แล้วก็ทรงจับปฏิบัติทางสมาธิ ด้วยทรงนึกถึงสมาธิอย่างแน่วแน่ ที่ทรงได้เมื่อเป็นพระกุมารตามเสด็จพระราชบิดาไปในพระราชพิธีแรกนาขวัญ ทรงได้สมาธิถึงขั้นปฐมฌาน โดยที่จิตของพระองค์ได้รวมเข้ามา กำหนดลมหายใจเข้าออก สงบจากนิวรณ์ทั้งหลาย ที่ท่านแสดงว่าถึงปฐมฌาน และหลังจากนั้นสมาธินี้ก็เสื่อมไป เป็นสมาธิที่บริสุทธิ์ ไม่ได้ทรงได้สมาธินี้ด้วยมุ่งที่จะไปเกิดเป็นพรหม หรือเป็นอะไร หรือเพื่อชาติภพอะไร จิตรวมเข้ามากำหนดลมหายใจเข้าลมหายใจออก ก็สงบอยู่ภายใน สงบจากกาม สงบจากอกุศลธรรม สงบจากนิวรณ์ทั้งหลาย
จึงได้จับปฏิบัติทางสมาธิอันบริสุทธิ์นี้ จนทรงได้อัปปนาสมาธิ สมาธิที่บริสุทธิ์ ก็เป็นสมาธินับเข้าในสมาบัติ หรือในฌาน ที่ท่านดาบสทั้งสองท่านได้ แล้วก็ได้สอน นั่นแหละ แต่ว่าความมุ่งหมายต่างกัน และของท่านดาบสทั้งสองนั้น ท่านสิ้นสุดเพียงเท่านั้น เพราะเพียงพอที่จะไปเกิดเป็นพรหมแล้ว ก็สิ้นสุดเพียงเท่านั้น ก็กลายเป็นสมาธิที่เป็นตัว ทุกขสมุทัย เหตุให้เกิดทุกข์ เพราะเป็นเหตุให้เกิดชาติต่อไปอีก อันนี้เป็นเงื่อนสำคัญ คือสมาธิที่ปฏิบัติไม่ถูกทาง แม้จะได้สมาธิจนถึงฌานถึงสมาบัติ ก็เป็นสมาธิเป็น ทุกขสมุทัย เหตุให้เกิดทุกข์ ไม่ใช่เป็นสมาธิที่เป็นทุกขนิโรธความดับทุกข์ ไม่เป็นสมาธิที่นับเข้าในมรรคมีองค์ ๘ ของพระพุทธเจ้า คือสัมมาสมาธิที่เป็นข้อที่ ๘
สมาธิที่เป็นทุกขสมุทัย สมาธิที่เป็นทุกขนิโรธ
ฉะนั้น สมาธิ เมื่อสรุปเข้าแล้วจึงมี ๒ อย่าง สมาธิที่เป็นทุกขสมุทัย เหตุให้เกิดทุกข์ อย่างหนึ่ง สมาธิที่เป็นทุกขนิโรธ คือเป็นเหตุให้ดับทุกข์ เป็นความดับทุกข์ อีกอย่างหนึ่ง ผู้ที่ปฏิบัติสมาธิแม้ในพุทธศาสนาเอง ตามวิธีที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้เอง บางทีก็ได้สมาธิดีถึงอัปปนาสมาธิ แต่หากว่าถ้าเป็นไปไม่ถูกต้องตามวัตถุประสงค์เพื่อความสิ้นทุกข์ ก็กลายเป็นสมาธิที่เป็นทุกขสมุทัยเหตุให้เกิดทุกข์ไป ซึ่งก็มีอยู่ไม่น้อย
ส่วนสมาธิที่ถูกต้องตามวัตถุประสงค์เพื่อความสิ้นทุกข์ในพุทธศาสนานั้น ต้องเป็นสมาธิที่เป็นไปเพื่อทุกขนิโรธความดับทุกข์ พระโพธิสัตว์จับปฏิบัติสมาธิเป็นไปเพื่อทุกขนิโรธ คือความดับทุกข์ คือไม่ต้องการชาติภพอีกต่อไป ไม่ต้องการมนุษย์สมบัติ ไม่ต้องการสวรรค์สมบัติ หรือไม่ต้องการความเป็นเทพ ความเป็นพรหมอะไรทั้งสิ้น แต่ว่าต้องการนิพพาน ซึ่งยังเป็นความต้องการอยู่
เพราะฉะนั้นแม้จะยังมีตัณหาคือความดิ้นรนทะยานอยาก เพราะยังละตัณหาไม่ได้ ยังมีตัณหาอยู่ แต่ก็ใช้ตัณหานั้นไปเพื่อนิพพาน คือต้องการนิพพานเพียงอย่างเดียว ดังที่ได้มีแสดงว่า อาศัยตัณหาละตัณหา ก็คืออาศัยตัณหาที่มีอยู่นี้ เป็นตัณหาเพื่อนิพพาน ต้องการนิพพาน ก็เพื่อละตัณหานั้นเอง จึงเป็นสมาธิวิธีปฏิบัติเพื่อทุกขนิโรธคือความดับทุกข์
เพราะฉะนั้น ผู้ปฏิบัติพุทธศาสนาที่พอใจกรรมฐาน ก็ต้องรู้จักว่ามี ๒ อย่าง คือปฏิบัติไปๆ แล้วก็เป็นไปเพื่อทุกขสมุทัยเหตุให้เกิดทุกข์ หรือว่าปฏิบัติไปๆ ก็เป็นไปเพื่อทุกขนิโรธความดับทุกข์ ฉะนั้น ต้องให้รู้จักดั่งนี้
อุปกิเลสของสมาธิ อุปกิเลสของปัญญา
และที่เป็นไปเพื่อทุกขนิโรธ และที่เป็นไปเพื่อทุกขสมุทัยเหตุให้เกิดทุกข์นั้น ก็เพราะไปยึดถือในอุปกิเลสของสมาธิ ในเมื่อปฏิบัติทางสมาธิ ไปยึดถือในอุปกิเลสของปัญญา ในเมื่อปฏิบัติทางวิปัสสนาอันเรียกว่าวิปัสสนูปกิเลส ไปติดเสียในวิปัสสนูปกิเลส นั่นก็เลยกลายเป็นทุกขสมุทัยเหตุให้เกิดทุกข์ไป
เพราะว่าผลของสมาธิของวิปัสสนานั้น ที่ได้โดยลำดับ เป็นผลที่ชวนให้ติด เป็นอุปกิเลสขึ้นมาเป็นอันมาก เมื่อไปติดเข้าแล้ว สมาธิปัญญาที่ปฏิบัติไปนั้น ก็กลายเป็นทุกขสมุทัยไป ต่อเมื่อละผลของสมาธิของปัญญา ที่น่าติด น่าชม น่าเสวย นั้นได้ ก็เป็นอันว่า ไม่สร้างอุปกิเลสของสมาธิของปัญญาขึ้นมา จึงจะปฏิบัติสมาธิปัญญาของตนให้เป็นทุกขนิโรธคือความดับทุกข์ขึ้นมาได้
เพราะฉะนั้น พระโพธิสัตว์จึงได้จับปฏิบัติในศีลในสมาธิ อันเป็นไปเพื่อทุกขนิโรธ ได้อัปปนาสมาธิ สมาธิที่แน่วแน่ ก็ถึงขั้นฌานขั้นสมาบัติ นั่นแหละญาณคือความหยั่งรู้ คือผุดขึ้นแก่พระองค์ ดังที่ตรัสแสดงไว้ในปฐมเทศนา ว่าทรงพบทางที่เป็นมัชฌิมาปฏิปทา ข้อปฏิบัติอันเป็นหนทางกลาง มีสัมมาทิฏฐิความเห็นชอบเป็นต้น ก็คือมรรคมีองค์ ๘ นั่นแหละ
ทรงปฏิบัติไปในมรรคมีองค์ ๘ นี้ อันเป็นไปเพื่อดับกิเลสและกองทุกข์ เป็นไปเพื่อญาณคือความหยั่งรู้ จึงทรงได้ญาณคือความหยั่งรู้ขึ้น ก็คือว่า ญาณคือความหยั่งรู้ที่แสดงไว้ว่า จักขุคือดวงตาผุดขึ้น ญาณคือความหยั่งรู้ผุดขึ้น ปัญญาคือความรู้ทั่วถึงผุดขึ้น วิชชาคือความรู้ผุดขึ้น อาโลกคือความสว่างผุดขึ้น ในธรรมะที่พระองค์มิได้เคยทรงสดับมาก่อน ว่านี้ทุกข์ ทุกข์ควรกำหนดรู้ ทุกข์พระองค์ทรงกำหนดรู้ได้แล้ว นี้สมุทัยเหตุให้เกิดทุกข์ สมุทัยนี้ควรละ สมุทัยนี้ทรงละได้แล้ว นี้นิโรธคือความดับทุกข์ ความดับทุกข์ควรกระทำให้แจ้ง ความดับทุกข์นี้พระองค์กระทำให้แจ้งได้แล้ว นี้มรรคคือทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์นี้ควรอบรมให้มีขึ้นให้เป็นขึ้น ทางดับทุกข์นี้พระองค์ได้ทรงอบรมให้มีขึ้นให้เป็นขึ้นสมบูรณ์บริบูรณ์แล้ว ดั่งนี้
ญาณคือความหยั่งรู้ผุดขึ้นแก่พระองค์ดั่งนี้ ในธรรมะที่ไม่ได้ทรงสดับแล้วมาก่อน จึงได้ทรงพอพระทัยว่ารู้ละรู้แล้ว ได้ตรัสรู้อภิสัมโพธิคือความตรัสรู้ยิ่งแล้ว ทรงเป็นผู้ที่ตรัสรู้ยิ่ง ที่เรียกว่าตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณแล้ว อวิชชาคือความไม่รู้จึงดับไป วิชชาความรู้ผุดขึ้น หรือจะเรียกว่าวิชชาคือความรู้ผุดขึ้น อวิชชาดับไป เหมือนแสงสว่างบังเกิดขึ้น ความมืดก็หายไป เพราะฉะนั้น จึงทรงเป็นพุทโธคือเป็นผู้รู้แล้ว เป็นวิมุติโตคือเป็นผู้พ้นแล้ว
พระพุทธเจ้าเมื่อได้ตรัสรู้แล้ว ก็ทรงอยู่ด้วยวิชชาคือความรู้ และวิมุติคือความหลุดพ้น (เริ่ม) ...แต่ว่าผู้ที่ยังมิได้ตรัสรู้เหมือนอย่างพระพุทธเจ้า หรือแม้พระองค์เองเมื่อยังมิได้ตรัสรู้ ก็ยังมีอวิชชา คือมีความรู้ที่เป็นอวิชชา ไม่รู้จริงในสัจจะทั้ง ๔ เพราะฉะนั้น อวิชชา จึงได้แก่ความไม่หยั่งรู้ในทุกข์ ในเหตุเกิดทุกข์ ในความดับทุกข์ ในทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์
ต่อจากนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวดและตั้งใจทำความสงบสืบต่อไป