แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆ ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม
ได้แสดงพระเถราธิบายแห่งท่านพระสารีบุตร ในข้อสัมมาทิฏฐิความเห็นชอบมาโดยลำดับ จนถึงหมวดอวิชชา ซึ่งท่านพระเถระได้อธิบายอวิชชา ว่าได้แก่ความไม่หยั่งรู้ในทุกข์ ไม่หยั่งรู้ในเหตุเกิดทุกข์ ไม่หยั่งรู้ในความดับทุกข์ ไม่หยั่งรู้ทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ คือไม่หยั่งรู้ในอริยสัจจ์ทั้ง ๔ ท่านได้แสดงอธิบายอวิชชาเพียงเท่านี้
พระพุทธาธิบายอวิชชาเพิ่มเติม
แต่ในที่นี้ได้แสดงอธิบาย ยกเอาพระพุทธาธิบายที่ตรัสเอาไว้มาเพิ่มเติม โดยที่ได้มีพระพุทธาธิบายอวิชชา ก็คือไม่หยั่งรู้ในอริยสัจจ์ทั้ง ๔ ดั่งนั้นนั่นแหละ แต่ในที่บางแห่งได้มีเพิ่มอีก ๔ ข้อ คือ ไม่หยั่งรู้ในอดีต ไม่หยั่งรู้ในอนาคต ไม่หยั่งรู้ทั้งในอดีตทั้งในอนาคต ไม่หยั่งรู้ในธรรมะที่อาศัยกันบังเกิดขึ้น ซึ่งใน ๔ ข้อหลังนี้ก็ได้แสดงอธิบายในที่นี้แล้ว
แต่มีอีกปริยายหนึ่งที่ตรัสแสดงเอาไว้ คือไม่ยกเอากาลเวลาเป็นที่ตั้ง แต่ตรัสแสดงไว้ซึ่งแปลกันว่า ไม่หยั่งรู้ในเงื่อนต้น ไม่หยั่งรู้ในเงื่อนปลาย ไม่หยั่งรู้ทั้งในเงื่อนต้นทั้งในเงื่อนปลาย และไม่หยั่งรู้ในธรรมะที่อาศัยกันบังเกิดขึ้น ซึ่งข้อที่ ๔ นี้ก็ตรงกัน แต่ว่า ๓ ข้อข้างต้นต่างกัน ดังกล่าว
เงื่อนต้น เงื่อนปลาย
คำว่าเงื่อนต้นเงื่อนปลายนี้ ท่านใช้ศัพท์ว่า ปุพพันตะ เงื่อนต้น อัปรันตะ เงื่อนปลาย ถ้าตามศัพท์คำว่า อันตะ นั้นแปลว่าที่สุด อย่างในธรรมจักร ที่ตรัสแสดงถึงทางที่สุดโต่ง ๒ ทาง คือกามสุขัลลิกานุโยค ความประกอบพัวพันอยู่ด้วยความสุขสดชื่นในกาม และอัตตกิลมถานุโยค ความประกอบทรมานตนให้ลำบาก ก็ใช้คำว่าอันตะซึ่งในที่นั้น แปลกันว่าสุดโต่ง ซึ่งทางที่สุดทั้ง ๒ ทางนี้ อันบรรพชิตผู้มุ่งที่จะตรัสรู้ ไม่ควรส้องเสพปฏิบัติ
ส่วนในที่นี้ ปุพพันตะ ก็อาจแปลได้ว่าที่สุดเบื้องต้น อัปรันตะ ที่สุดเบื้องปลาย และที่สุดทั้งเบื้องต้น ทั้งที่สุดเบื้องปลาย แต่ที่แปลกันว่าเงื่อนต้นเงื่อนปลาย ทั้งเงื่อนต้นทั้งเงื่อนปลาย ก็เพื่อให้เข้าใจง่าย และโดยที่คำว่าเงื่อนนี้มาใช้ในภาษาไทยหลายคำ เช่น เค้าเงื่อน เงื่อนงำ เงื่อนไข ซึ่งคำว่าเงื่อนนี้ก็หมายถึงอย่างเช่นทำเงื่อนที่เชือกหรือที่ด้าย ก็ทำให้เป็นปุ่มเป็นปม เป็นจุด เพราะฉะนั้น จึงเป็นที่สังเกตเห็นได้ เช่นว่า เส้นด้ายที่เป็นสายยาวเส้นยาว ถ้าไม่ผูกให้มีเงื่อน ก็จะเห็นเป็นเส้นยาวๆ ไปเหมือนกันหมด แต่เมื่อผูกตรงใดตรงหนึ่งให้เป็นเงื่อนขึ้น ก็จะเป็นปมเป็นจุดให้สังเกตเห็นได้ เพราะฉะนั้น จึงใช้คำว่าเงื่อนนี้ในคำต่างๆ ดังกล่าว เช่น เค้าเงื่อน เมื่อมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ยังคลุมเครืออยู่ ก็ยังไม่รู้ว่าอะไร จึงต้องค้นหา ในเมื่อพอเห็นเค้าเงื่อนของเรื่องนั้น ก็พอที่จะบอกได้ว่าเรื่องนั้นเป็นอย่างไร ตามที่ต้องการจะทราบ เพราะฉะนั้น จะแปลว่าที่สุดเบื้องต้น ที่สุดเบื้องปลาย
เหมือนอย่างไม้ท่อนหนึ่ง ก็ต้องมีต้นมีปลาย คือมีที่สุดข้างต้น ที่สุดข้างปลาย สิ่งทั้งหลายอื่นๆ ก็เช่นเดียวกัน จะต้องมีที่สุดด้านต้นด้านปลาย เบื้องต้นเบื้องปลาย และเมื่อที่สุดนั้นมีเค้าเงื่อนที่จะเห็นได้ เช่นไม้ที่วางไว้เป็นท่อนๆ มีเค้าเงื่อนที่จะเห็นได้ ไม้ที่ต่อหลายท่อน ต่อกันยาวๆ ก็อาจจะสังเกตเห็นรอยต่อของไม้เหล่านั้น ทำให้รู้ว่าท่อนใดต่ออยู่ที่ตรงไหน มองเห็นเบื้องต้นเบื้องปลายของไม้ท่อนนั้น ที่รอยต่อ เป็นเค้าเงื่อนให้บอกได้ เพราะฉะนั้น ท่านจึงแปลที่สุดในคำว่า ที่สุดเบื้องต้นที่สุดเบื้องปลาย ว่าเงื่อนต้นเงื่อนปลาย อันทำให้เข้าใจว่ามีเค้าเงื่อนที่จะให้พิจารณาเห็นได้ แต่โดยความหมายก็คือว่าที่สุดเบื้องต้นที่สุดเบื้องปลายนั้นแหละ ก็เป็นความหมายอันเดียวกัน
เพราะฉะนั้น ไม่รู้ที่สุดเบื้องต้นหรือเงื่อนต้น ไม่รู้ที่สุดเบื้องปลายหรือเงื่อนปลาย จึงมีความหมายถึงในสัจจะคือความจริงทุกๆ อย่าง คือสัจจะเมื่อรวมเข้าก็ในอริยสัจจ์ทั้ง ๔ นั่นแหละ อันได้แก่ทุกข์ เหตุเกิดทุกข์ นี้เป็นฝ่ายทุกข์ ความดับทุกข์ ทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ นี้เป็นฝ่ายดับทุกข์
เงื่อนต้นของทุกข์
ฉะนั้น ในการที่จะรู้จักในอริยสัจจ์ดังกล่าวนี้ จึงจะต้องรู้จักเค้าเงื่อน จึงจะจับได้ถูก จับทุกข์ได้ถูกต้อง จับสมุทัยเหตุเกิดทุกข์ได้ถูกต้อง จับความดับทุกข์ได้ถูกต้อง จับทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ให้ถูกต้อง อันจะพึงกล่าวได้ว่าสมุทัยคือเหตุนั้น ย่อมเป็นเงื่อนต้นหรือที่สุดข้างต้น ส่วนทุกข์นั้นย่อมเป็นเงื่อนปลาย หรือที่สุดข้างปลาย นี้ในฝ่ายทุกข์
ในความทุกข์ที่ทุกๆ คนได้รับอยู่ ซึ่งเป็นสภาวะทุกข์ ได้แก่เกิดแก่ตาย หรือเป็นปกิณกะทุกข์ ทุกข์ทางจิตใจที่บังเกิดขึ้น มีโสกะปริเทวะ ความโศก ความรัญจวนคร่ำครวญใจเป็นต้น ซึ่งเป็นความทุกข์เดือดร้อนทางใจทั้งหลายเหล่านี้ เมื่อบังเกิดขึ้นก็จะต้องมีเงื่อนต้นเงื่อนปลายของทุกข์ มีที่สุดเบื้องต้นที่สุดเบื้องปลายของทุกข์ ยกตัวอย่างดั่งเช่น เมื่อเป็นทุกข์เพราะความพลัดพรากจากสิ่งที่เป็นที่รัก เช่นบุคคลที่เป็นที่รักต้องพรากกันจากกัน หรือว่าทรัพย์ซึ่งเป็นที่รักต้องหายไป หรือถูกลักขโมยไป ถูกอันตรายต่างๆ ไป ก็เกิดความทุกข์ จึงเกิดความโศกความแห้งใจ ปริเทวะความรัญจวนคร่ำครวญใจ เป็นความทุกข์ที่ทุกๆ คนต้องได้เคยประสบ คราวนี้เมื่อความทุกข์ดั่งนี้บังเกิดขึ้น ก็จับความทุกข์ได้ว่านี่คือทุกข์ ซึ่งเป็นเบื้องปลายคือเป็นตัวผล จึงต้องจับว่าอะไรเป็นเหตุ ในการจับว่าอะไรเป็นเหตุนั้น โดยมากก็มักจะไปจับเอาว่า เพราะบุคคลซึ่งเป็นที่รักต้องจากไปต้องพรากไป หรือว่าทรัพย์สินซึ่งเป็นที่รักนั้นๆ ต้องพรากไปหรือจากไป หรือว่าได้มีคนนั้นๆ ซึ่งเป็นศัตรูมาทำลายมาพรากเหล่านี้เป็นต้น โดยมากก็จับตัวเหตุกันดั่งนี้
เหตุให้เกิดทุกข์
แต่เมื่อจะพิจารณาตามทางอริยสัจจ์ของพระพุทธเจ้า ซึ่งทรงแสดงว่า สมุทัย เหตุเกิดทุกข์ ก็คือตัณหา ตัณหาคือความดิ้นรนทะยานอยาก ซึ่งเป็นเหตุให้ยึดถือว่าเป็นตัวเราของเรา ตัณหาคือความดิ้นรนทะยานอยาก และความยึดถือว่าเป็นตัวเราของเราอันเรียกว่าอุปาทาน นี้เองเป็นสมุทัย คือเหตุให้เกิดทุกข์ มีโสกะปริเทวะเป็นต้น ดังที่กล่าวนั้น
เพราะฉะนั้น เมื่อจะจับเงื่อนต้นหรือที่สุดเบื้องต้นให้ถูกต้อง ก็ต้องพิจารณาจับตามหลักอริยสัจจ์ของพระพุทธเจ้า ว่าตัวเหตุนั้นก็คือตัณหาอุปาทานในจิตใจนี่เอง ไม่ใช่บุคคลหรือวัตถุภายนอก บุคคลซึ่งเป็นที่รัก ( เริ่ม ) ซึ่งพรากไปจากไป ทรัพย์สินซึ่งเป็นที่รัก ซึ่งพลัดพรากไปจากไปเป็นอันตรายไป นี้เป็นภายนอก ถ้าหากว่าจิตใจนี้ไม่มีความอยากความยึดอยู่ในบุคคลในทรัพย์สินนั้น ทุกข์ก็ย่อมจะไม่เกิด แต่เพราะจิตใจนี้มีความอยากคือตัวตัณหา มีความยึดคือตัวอุปาทานอยู่ จึ่งได้บังเกิดความทุกข์
ตัณหาอุปาทานเป็นเงื่อนต้น
เพราะฉะนั้น ก็ต้องหัดจับเงื่อนต้น หรือเบื้องต้น ที่สุดเบื้องต้น ว่าคือ ตัณหาอุปาทานในจิตใจของตนเอง นี้เองเป็นเงื่อนต้น หรือเป็นที่สุดเบื้องต้นของทุกข์ซึ่งกำลังได้รับอยู่ เพราะฉะนั้น การหัดที่จะจับสัจจะคือความจริงตามหลักสัจจะของพระพุทธเจ้า ก็ต้องหัดที่จะพิจารณาจับเงื่อนต้นเงื่อนปลาย หรือว่าที่สุดเบื้องต้นที่สุดเบื้องปลายของเรื่อง คือเมื่อเรื่องที่กำลังประสบอยู่เป็นตัวทุกข์ กำลังโศกอยู่ กำลังร้องให้อยู่ คร่ำครวญรำพันอยู่ ก็ต้องจับให้ถูกว่า ทุกข์ซึ่งกำลังเสวยอยู่ กำลังรับอยู่นี้เป็นเงื่อนปลาย เงื่อนต้นก็คือตัณหาอุปาทานในจิตใจของตนเอง บุคคลก็ตาม วัตถุก็ตาม ซึ่งเป็นภายนอกนั้นเป็นตัวอารมณ์ ที่ยึดถือว่าเป็นตัวเราเป็นของเรา
เพราะฉะนั้น ตัวเงื่อนต้นที่แท้จริง จึงอยู่ที่ตัวตัณหาอุปาทานในจิตใจนี้เอง เมื่อตัณหาอุปาทานนี้สงบลงไป ทุกข์คือโสกะปริเทวะเป็นต้นก็ย่อมจะสงบ ดังจะพึงเห็นได้ว่า บุคคลที่ต้องประสบความพลัดพรากดังกล่าวนั้น เบื้องต้นมักจะทุกข์มาก ต้องโศกมาก ต้องร้องให้คร่ำครวญรำพันมาก เพราะว่าตัณหาคือความอยาก อุปาทานคือความยึด ยังมากอยู่ ครั้นต่อไปๆ นานๆ เข้า ตัณหาอุปาทานคือความอยากความยึด อยู่ในบุคคลในทรัพย์สิน ที่พลัดพรากไปนั้นๆ น้อยลงไปๆ เพราะเหตุว่าจืดจางลืมเลือนไปเองก็ตาม ความทุกข์โศกซึ่งกำลังอยู่ ซึ่งกำลังได้รับอยู่ กำลังเสวยอยู่นั้น ก็ผ่อนคลายไปหายไป ในที่สุดเมื่อจิตใจจืดจางลืมเลือนผ่อนคลายความอยากความยึดลงไป ทุกข์โศกก็หายไปโดยลำดับ จนถึงเมื่อเลิกอยากเลิกยึดในบุคคลนั้นในสิ่งนั้น ทุกข์โศกก็หายไปหมด ไม่มี
หัดจับเงื่อนต้นปลายของเรื่องทั้งหลาย
เพราะฉะนั้น นี่แหละคือการหัดจับเงื่อนต้นเงื่อนปลายของเรื่องทั้งหลาย ในบางคราวเมื่อได้รับความประจวบกับสิ่งซึ่งเป็นที่รักย่อมจะมีความยินดีเบิกบานใจเป็นสุข และมีความอยากความยึดอยู่ในบุคคลและสิ่งซึ่งเป็นที่รักนั้น ดังเช่นเมื่อได้บุคคลซึ่งเป็นที่รักมา หรือว่าได้บุตรธิดา ได้ทรัพย์สมบัติต่างๆ ที่ต้องการมา ก็ยินดีเป็นสุข และก็มีความอยากความยึดอยู่ในบุคคลในวัตถุนั้นๆ ดั่งนี้เรียกว่าเป็นเงื่อนต้น คือเป็นตัณหาเป็นอุปาทาน ย่อมจะมีความติดใจยินดีเพลิดเพลิน
เพราะฉะนั้นจึงได้ตรัสไว้ว่า ตัณหานั้นไปกับความติดใจยินดีความเพลิดเพลิน ทำให้มีความยินดีเพลิดเพลินยิ่งๆ ขึ้นในอารมณ์นั้นๆ ในสิ่งนั้นๆ นี่นับว่าเป็นเงื่อนต้น ซึ่งมักจะไม่นึกถึงเงื่อนปลายคือตัวทุกข์ เพราะในขณะที่ยังเป็นสมบัติ คือเป็นความพรั่งพร้อมอยู่นั้น มีความสุข มีความเพลิดเพลิน ยังไม่มีวิบัติ
แต่ว่าทุกๆ อย่างนั้นเมื่อเป็นสมบัติแล้วก็ต้องมีวิบัติ เมื่อมีประจวบก็ต้องมีพลัดพราก เพราะฉะนั้น ในเงื่อนปลายอันหมายความว่า เมื่อถึงเวลาที่จะต้องพลัดพราก โดยที่ต้องพลัดพรากไปในระหว่างชีวิต เพราะว่าเหตุอันตรายต่างๆ ก็ตาม หรือว่าจะต้องพลัดพรากไปตามคติธรรมดา คือตามสภาวะทุกข์แก่เจ็บตายไปก็ตาม โดยที่ตนเองจะต้องพลัดพรากไปเอง หรือว่าสิ่งนั้นจะต้องพลัดพรากไปก็ตาม เมื่อยังมีตัณหามีอุปาทานอยู่ ซึ่งเป็นเงื่อนต้นอยู่ ก็จะต้องพบทุกข์ซึ่งเป็นเงื่อนปลายข้างหน้า
เพราะฉะนั้น แม้ในขณะที่กำลังหัวเราะอยู่ เพลิดเพลินอยู่ ตื่นเต้นยินดีอยู่ ก็ต้องหัดที่จะให้พิจารณาจับ ว่านี่เป็นเงื่อนต้น คือเป็นตัณหาอุปาทาน ซึ่งจะต้องพบเงื่อนปลายคือทุกข์ในที่สุด เมื่อสิ่งที่อยากยึดถือไว้นั้น ต้องพลัดพรากไป ด้วยเหตุต่างๆ ในระหว่างก็ตาม หรือด้วยสภาวะทุกข์ซึ่งทุกคนจะต้องประสบ คือแก่เจ็บตายก็ตาม อันเป็นเงื่อนปลายที่จะต้องพบ
เพราะฉะนั้นก็หัดจับให้รู้จักเงื่อนปลายไว้ดั่งนี้ เพราะฉะนั้นทุกคนนั้นในปัจจุบันนี้ ย่อมประสบอยู่ทั้ง บางคราวก็เป็นเงื่อนปลาย บางคราวก็เป็นเงื่อนต้น คือในคราวที่มีทุกข์ เช่นโศก ทุกข์โศกต่างๆ เป็นต้น นี่กำลังพบอยู่กับเงื่อนปลาย กำลังร้องให้อยู่ คร่ำครวญอยู่ นี่กำลังพบเงื่อนปลาย ในขณะที่หัวเราะอยู่ ตื่นเต้นยินดีอยู่ นี่กำลังอยู่กับเงื่อนต้น
เพราะฉะนั้น ผู้ปฏิบัติธรรมจึงสมควรที่จะหัดจับเงื่อนให้ถูก เมื่อกำลังอยู่กับเงื่อนปลายคือทุกข์โศกต่างๆ ก็ต้องจับเงื่อนต้นว่านี่เกิดจากตัณหาอุปาทานในจิตใจ ในขณะที่กำลังอยู่กับเงื่อนต้น คือกำลังอยู่กับตัณหาอุปาทาน มีความติดใจยินดี มีความเพลิดเพลิน มีความสุข ก็ต้องให้รู้ว่าจะต้องพบเงื่อนปลายในภายหลัง คือทุกข์ ในเมื่อยังมีตัณหาอุปาทานนี้อยู่ ดั่งนี้ เป็นการหัดจับเงื่อนต้นเงื่อนปลาย ในสายทุกข์
เงื่อนต้นของความดับทุกข์
และอีกทางหนึ่งก็ หัดจับเงื่อนต้นเงื่อนปลายในสายนิโรธคือความดับทุกข์ กล่าวคือในขณะที่ได้ปฏิบัติธรรมะตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน ปฏิบัติอยู่ในศีล ปฏิบัติอยู่ในสมาธิ ปฏิบัติอยู่ในปัญญา ก็ให้รู้จักว่าธรรมะที่ปฏิบัติอยู่นี้ เป็นเงื่อนต้นของความดับทุกข์ ซึ่งจะได้พบกับความดับทุกข์ แม้ว่าในขณะที่ปฏิบัตินั้นจะรู้สึกว่าไม่เป็นสุข เช่นผู้ที่ปฏิบัติในศีลจะต้องงดเว้นจากข้อนั้นข้อนี้ ในบางคราวกิเลสตัณหาในใจของตน ต้องการจะให้ทำอีกอย่างหนึ่ง แต่ว่าศีลของพระพุทธเจ้านั้นให้งดเว้นเสียไม่ทำ เพราะฉะนั้น ใจหนึ่งจึงอยากจะทำ แต่ว่าอีกใจหนึ่งนั้นยังตั้งอยู่ในศีล ก็แปลว่าสองฝ่ายต่อสู้กัน คือศีลในใจของพระพุทธเจ้า กับกิเลสตัณหาในใจของบุคคลผู้ที่รักษาศีล
ถ้าหากว่าศีลมีกำลังกว่าศีลก็ชนะ ก็แปลว่างดเว้นได้ไม่ทำ แต่หากว่าถ้ากิเลสมีกำลังกว่า ตัณหาอุปาทานมีกำลังกว่า ตัณหาก็บงการให้บุคคลทำ ศีลก็ขาดไป แปลว่าทิ้งศีล ปฏิบัติไปตามอำนาจของตัณหาอุปาทาน เพราะฉะนั้น ความไม่เป็นสุขจึงบังเกิดขึ้น อย่างที่ต้องทิ้งศีล เพราะเป็นทุกข์เพราะศีล ก็ทิ้งศีล
แต่ว่าถ้ามาพิจารณาให้รู้จักว่า ศีลนี่แหละเป็นเงื่อนต้นของความดับทุกข์ ให้มีความรู้มีความเข้าใจจริงๆ แต่ว่าตัณหาอุปาทานนั่นแหละเป็นสมุทัย คือเหตุแห่งทุกข์ ให้มีความรู้จัก ดั่งนี้ และก็ให้รู้จักว่าเงื่อนต้นคือตัณหาอุปาทาน อันเป็นเงื่อนต้นของสายทุกข์นั้น ควรจะต้องละเสีย ต้องงดเว้นเสีย ไม่ทำ แต่ว่าเงื่อนต้นของความดับทุกข์คือศีลนั้นควรทำ ดั่งนี้ ก็แปลว่ารู้จักเงื่อนต้นในสายดับทุกข์
แม้ว่าในขณะที่กำลังต่อสู้กันอยู่นั้นเป็นทุกข์ ไม่เป็นสุข เพราะว่าใจที่อยากจะทำที่จะละเมิดศีล อันเป็นตัณหาอุปาทานนั้นบางคราวก็แรง แต่ว่าเมื่อความรู้จัก อันเป็นตัวปัญญาพร้อมทั้งสติกำกับอยู่ได้ ก็ทำให้เอาชนะได้ สามารถรักษาศีลไว้ได้ และอันที่จริงนั้น ผลของศีลย่อมมีตั้งแต่เมื่อปฏิบัติในศีล แต่ว่าตัวทุกข์เพราะเหตุว่าต้องสู้กับกิเลสนั้น กำบังผลของศีลซึ่งกำลังได้รับอยู่
เหมือนอย่างคนที่ป่วยไข้และต้องบริโภคยาขม ซึ่งต้องเป็นทุกข์เพราะต้องบริโภคยาขม แต่เมื่อบริโภคยาเข้าไปแล้วแม้จะขมก็จริง แต่ว่ายานั้นก็เข้าไปทำการเยียวยาแก้ไขโรค บำบัดโรคให้หายไป ซึ่งในเบื้องต้นนั้นคนป่วยเองก็ยังไม่รู้ แต่ว่าที่รู้ก็คือตัวทุกข์ว่าต้องกินยาขม หรือว่าที่ต้องผ่าตัด ต้องฉีดยา เขาเอาเข็มแทงเนื้อมันก็เจ็บ ที่รู้อยู่ในปัจจุบันคือว่า เจ็บ ซึ่งเป็นตัวทุกข์ แต่ว่าผลที่ได้จากการที่ฉีดยา หรือว่าผ่าตัดนั้นจะเป็นการรักษาให้หายโรค ซึ่งทีแรกยังไม่รู้ แต่ความจริงนั้นการปฏิบัติรักษานั้นก็เป็นการบำบัดโรคตั้งแต่เบื้องต้นแล้ว แต่ว่าความเจ็บยังกำบังอยู่ ยังมองไม่เห็น เงื่อนปลายคือความดับทุกข์
เพราะฉะนั้น จึงต้องหัดทำความรู้ดั่งนี้ ว่าผลของศีลนั้นมีตั้งแต่ต้น แต่ว่าตัวทุกข์นั้น ทุกข์เพราะกิเลสตัณหาต่างหาก ซึ่งยังครอบงำใจอยู่มาก เมื่อกิเลสตัณหาพ่ายแพ้ลงไปสงบลงไปแล้ว ความดิ้นรนต่างๆ ก็จะหายไป กลายเป็นความสงบความสุขขึ้นโดยลำดับ ความดับทุกข์ที่ยังไม่ปรากฏก็จะปรากฏขึ้นมา นี่เป็นเงื่อนปลาย
เงื่อนปลายคือความดับทุกข์ในเบื้องต้นนั้นเหมือนยังกำบังซ่อนเร้นอยู่ บุคคลยังไม่อาจจะรู้ได้ แต่เมื่อเอาชนะกิเลสได้ กิเลสสงบไปโดยลำดับแล้ว ความดับทุกข์ก็จะโผล่ขึ้นมา เป็นตัวความสุข เป็นตัวความสงบ นี่เป็นเงื่อนปลายของศีล
ในการปฏิบัติสมาธิก็เหมือนกัน ก็มักจะทำกันไม่ได้ รวมใจไม่อยู่ เพราะว่าใจนั้นมักจะแล่นไปตามอารมณ์ที่ใคร่ที่ปรารถนา ให้มารวมอยู่กับลมหายใจเข้าออก หายใจเข้าก็รู้ หายใจออกก็รู้ หรือจะบริกรรมว่าพุทโธๆ ใจก็มักจะไม่อยู่ ใจมักจะออกไป ก็เพราะว่าเหตุว่านิวรณ์นี้เอง เป็นต้นว่ากามฉันท์บ้าง พยาบาทบ้าง ความง่วงงุนเคลิบเคลิ้มบ้าง ความฟุ้งซ่านรำคาญใจบ้าง ความเคลือบแคลงสงสัยต่างๆ บ้าง อันเป็นตัวกิเลสดึงใจออกไปสู่อารมณ์อันเป็นที่ตั้งของกามฉันท์พยาบาทเป็นต้นเหล่านั้น
เพราะว่าจิตใจอันนี้ อยู่กับกิเลสเหล่านี้มานาน ซึ่งเปรียบเหมือนปลาที่อยู่ในน้ำ จิตก็อยู่ในอารมณ์และกิเลสมานาน เพราะฉะนั้นการที่จะดึงใจขึ้นมาจากอารมณ์และกิเลส มาสู่อารมณ์ของกรรมฐาน ในเบื้องต้นจิตใจจึงไม่เป็นสุข เมื่อจิตใจไม่เป็นสุข ร่างกายก็ไม่เป็นสุข ก็ทำให้ทำสมาธิไม่ได้นาน ประเดี๋ยวประด๋าว สี่ห้านาทีก็เหมือนอย่างเป็นตั้งชั่วโมง
แต่หากว่าถ้าปฏิบัติตามใจของกิเลส เช่นว่าดูหนังดูละคร เล่นไพ่ อะไรเหล่านี้เป็นต้น เป็นชั่วโมงๆ ก็ไม่รู้สึกว่าเมื่อยล้า เพราะเหตุว่าเป็นไปตามอำนาจของกิเลส ที่จิตใจอันนี้ ยังมีความติด ยังมีความเพลิดเพลินอยู่ เมื่อมาทำสมาธิ ก็ไม่ได้สุขจากสมาธิในเบื้องต้น เพราะฉะนั้น จึงต้องทำความรู้ว่าสมาธินี่แหละ เป็นเงื่อนต้น เป็นที่สุดเบื้องต้นของความดับทุกข์ ต้องพยายามทำไปบ่อยๆ จนจิตใจเอาชนะนิวรณ์ได้ นิวรณ์สงบลงไปได้ เมื่อนิวรณ์สงบลงไปได้แล้ว จิตก็จะเริ่มได้ความสุขจากสมาธิ คือได้ปีติความอิ่มใจ ได้สุขความสบายกายสบายใจ ได้ความสงบ อันเป็นความดับทุกข์ขึ้นไปโดยลำดับ
ในทางปัญญาก็เหมือนกัน เมื่อมาพิจารณาทางวิปัสสนาปัญญา พิจารณานามรูปว่าเป็น อนิจจะ ไม่เที่ยง ทุกขะ เป็นทุกข์ อนัตตามิใช่อัตตาตัวตน ก็มักจะฝืนกับความที่มีความอยากยึดอยู่ในนามรูปอันนี้ ว่าเป็นตัวเราของเรา ครั้นมาพิจารณาว่าไม่ใช่ตัวเราของเราจึงฝืนกันขัดกัน ในเบื้องต้นใจจึงไม่ลง คือใจไม่ยอม ต่อเมื่อมาพิจารณาให้รู้จักว่า ตัวปัญญา วิปัสสนานี่แหละเป็นเงื่อนต้นของความดับทุกข์จริงๆ แต่ที่ใจยังไม่ยอมนี้ก็เพราะเหตุว่า ใจยังมีตัณหา มีราคะความติด มี นันทิ คือความเพลินอยู่ในนามรูป ยังมีความอยากความยึดอยู่ว่าตัวเราของเรา
ต่อเมื่อไม่ยอมพ่ายแพ้ต่อตัณหาอุปาทานในใจของตน หมั่นพิจารณาอยู่บ่อยๆ ในเมื่อความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ความเป็นอนัตตา ปรากฏขึ้น ตัณหาอุปาทานที่เคยยึดถือ อยากยึดอยู่นั้นก็จะลดลงๆ ปัญญาคือความรู้แจ้งเห็นจริงก็จะเห็นชัดขึ้น ว่าเป็นอนิจจะไม่เที่ยงจริง ทุกขะ เป็นทุกข์ต้องแปรปรวนเปลี่ยนแปลงจริง เป็นอนัตตา บังคับไม่ได้ ไม่ใช่ตัวเราของเราจริง เมื่อเป็นดั่งนี้แล้ว ก็จะพบกับความดับทุกข์ คือความปล่อยวางไปโดยลำดับ นี่เป็นเงื่อนปลาย
การหัดให้ได้ญาณความหยั่งรู้
เพราะฉะนั้น การหัดจับเงื่อนต้นเงื่อนปลาย หรือที่สุดเบื้องต้นที่สุดเบื้องปลาย แยกกันทีละอย่าง และการหัดจับทั้งเงื่อนต้นทั้งเงื่อนปลาย หรือทั้งที่สุดเบื้องต้นทั้งที่สุดเบื้องปลาย ที่ขนานกันไป ให้เห็นต่อกันไป เชื่อมกันไป ประกอบกันไป ดั่งนี้ ในอริยสัจจ์ทั้ง ๔ ของพระพุทธเจ้า หัดจับเข้าทั้งในสายทุกข์ ทั้งในสายดับทุกข์ดั่งนี้แล้ว เป็นการหัดให้ได้ญาณคือความหยั่งรู้ อันเป็นฝ่ายวิชชา
แต่ว่าฝ่ายอวิชชานั้น ก็คือไม่หยั่งรู้ ในเงื่อนต้นหรือที่สุดเบื้องต้น ในเงื่อนปลายหรือที่สุดเบื้องปลาย ในทั้งเงื่อนต้นหรือที่สุดเบื้องต้น ทั้งเงื่อนปลายหรือที่สุดเบื้องปลาย ในอริยสัจจ์ ๔ ของพระพุทธเจ้า นี้คือความไม่รู้จัก และในข้อท้าย ไม่รู้จักธรรมะที่อาศัยกันบังเกิดขึ้น ก็คือไม่รู้จักข้อที่เงื่อนต้นเงื่อนปลายนี้ ต่างอาศัยกันและกันเป็นไปในเรื่องทั้งหลาย ก็รวมเข้าในหลักอริยสัจจ์ ๔ นี้แหละ
ต่อไปนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวดและตั้งใจทำความสงบสืบต่อไป