แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆ ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม
ได้แสดงพระเถราธิบายตอบคำถามของภิกษุทั้งหลาย ของท่านพระธรรมเสนาบดีสารีบุตรมาโดยลำดับ จนถึงวันนี้ ท่านได้แสดงอธิบายสัมมาทิฏฐิความเห็นชอบ ว่าได้แก่ รู้จักสังขาร รู้จักเหตุเกิดสังขาร รู้จักความดับสังขาร รู้จักทางปฏิบัติให้ถึงความดับสังขาร และท่านได้แสดงชี้แจงไปทีละข้อว่า รู้จักสังขารนั้น สังขารมี ๓ คือ กายสังขาร วจีสังขาร จิตสังขาร รู้จักเหตุเกิดสังขารนั้น ก็คือรู้จักว่า เพราะอวิชชาเกิด สังขารจึงเกิด รู้จักความดับสังขารว่า เพราะอวิชชาดับ สังขารจึงดับ รู้จักทางปฏิบัติให้ถึงความดับสังขาร ว่าได้แก่มรรคมีองค์ ๘ มีสัมมาทิฏฐิความเห็นชอบเป็นต้น
สังขาร
จะได้แสดงอธิบายในข้อ ๑ ที่ท่านแสดงชี้แจง สังขาร ๓ ดังกล่าว แต่ก่อนที่จะได้แสดงสังขาร ๓ จะได้แสดงใจความ หรือความหมายของคำว่าสังขารก่อน คำว่าสังขารนั้น ก็ตามที่ได้ทราบกันอยู่โดยมาก สำหรับผู้ปฏิบัติธรรมะ หรือศึกษาธรรมะ ว่าได้แก่ปรุงแต่ง คือสิ่งที่ปรุงแต่งขึ้น ก็เรียกว่าสังขาร การปรุงแต่ง หรือความปรุงแต่ง ก็เรียกว่าสังขาร โดยอธิบายว่าทุกๆ สิ่งในโลกนี้ จะเป็นสิ่งที่มีใจครองเช่นมนุษย์เดรัจฉานทั้งหลาย สิ่งที่ไม่มีใจครองเช่นดินน้ำไฟลมที่เป็นภายนอกทั่วไป และที่เป็นต้นไม้ภูเขาเป็นต้น เรียกว่า สังขาร คือสิ่งผสมปรุงแต่งทั้งสิ้น แม้ที่รวมกันเป็นพื้นพิภพนี้ หรือว่า ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ดวงดาวทั้งหลายที่เห็นอยู่ในท้องฟ้า ก็เป็นสังขารคือสิ่งผสมปรุงแต่งทั้งสิ้น หรือแม้ ลม ฝน อากาศเย็นร้อน ที่เป็นเรื่องของโลกธาตุอันบังเกิดขึ้นทั้งสิ้น ก็เป็นสังขารคือสิ่งผสมปรุงแต่ง
อุปาทินนกสังขาร อนุปาทินนกสังขาร
เพราะฉะนั้น ท่านจึงย่อสังขารลงเป็น ๒ คือ อุปาทินนกะสังขาร สังขารที่มีใจครอง อนุปาทินนกะสังขาร สังขารที่ไม่มีใจครอง แต่ว่าคำนี้ท่านผู้เพ่งธรรมะบางท่าน ก็อธิบายเป็นอีกอย่างหนึ่งว่า สังขารที่ยังยึดถือเรียกอุปาทินนกะสังขาร สังขารที่ไม่ยึดถือเป็นอนุปาทินกะสังขาร แต่แม้จะตีความหรือเข้าใจความอย่างไร รวมเข้าก็คือว่า บรรดาทุกสิ่งทุกอย่างในโลกที่เป็นสิ่งผสมปรุงแต่ง เรียกว่าสังขารทั้งหมด และคำว่าผสมปรุงแต่งนี้ก็มีความหมายที่แจ่มแจ้งอยู่ในตัวแล้วว่า ไม่ใช่เป็นสิ่งเดียวที่ปรากฏ เป็นนั่นเป็นนี่ต่างๆ แต่ว่ามีส่วนประกอบเข้ามาหลายอย่าง มาปรุงแต่งกันขึ้น ซึ่งถ้าเทียบอย่างหยาบๆ ก็เช่น บ้านเรือน ที่เป็นบ้าน เป็นเรือน ก็เรียกว่าเป็นสังขารคือสิ่งผสมปรุงแต่ง เพราะประกอบขึ้นด้วยทัพพะสัมภาระ เช่นไม้เป็นต้น หลายสิ่งหลายอย่างมาประกอบกันเข้า เป็นบ้าน เป็นเรือน
สมมติบัญญัติของสังขาร
และคำว่าบ้านว่าเรือนนั้น ก็เป็นสมมติบัญญัติ ของสิ่งผสมปรุงแต่งนั้นๆ ว่าเมื่อผสมปรุงแต่งขึ้นเป็นอย่างนั้น ก็เรียกว่าอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ ก็เรียกว่าอย่างนี้ แม้คำว่าสัตว์บุคคลตัวตนเราเขานี้ก็เช่นเดียวกัน ก็เป็นสิ่งผสมปรุงแต่ง จึงได้มีพระพุทธภาษิตตรัสไว้ที่แปลความว่า เพราะประกอบ องคะสัมภาระ คือองค์ประกอบต่างๆ ส่วนประกอบต่างๆ เข้า เสียงว่ารถจึงมี ฉันใด เมื่อขันธ์ทั้งหลายมีอยู่ เสียงว่าสัตว์บุคคลตัวตนเราเขา จึงมีอยู่ ดั่งนี้ เพราะฉะนั้น ทุกๆ อย่างดังกล่าว จึงเรียกว่าสังขารคือสิ่งผสมปรุงแต่งทั้งนั้น
สังขตลักษณะ
ได้มีพระพุทธภาษิตแสดง สังขตะลักษณะ คือลักษณะของสิ่งผสมปรุงแต่งเอาไว้ ว่ามี ๓ อย่าง คือ
๑. ความเสื่อมไปสิ้นไปปรากฏ
๒. ความเสื่อมไปสิ้นไปปรากฏ
๓. เมื่อยังตั้งอยู่ ความเป็นไปอย่างอื่น คือความแปรปรวนไปเป็นอย่างอื่นปรากฏ
ฉะนั้น จึงได้มีภาษิตแสดงภาวะของสังขารทั้งหลาย ซึ่งพระใช้เป็นคำสำหรับสวดว่า อนิจจา วะตะ สังขารา สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง อุปปา ทะวะยะ ธัมมิโน มีความเกิดขึ้น และเสื่อมไปเป็นธรรมดา อุปปัช ชิตวา นิรุชฌันติ เกิดขึ้นแล้วย่อมดับไป เตสัง วูปสโม สุโข ความดับแห่งสังขารทั้งหลายเหล่านั้นจึงเป็นสุข ดั่งนี้
ทุกขลักษณะ
เพราะฉะนั้น ในการพิจารณาทางวิปัสสนา ยกเอา ทุกขลักษณะ คือลักษณะเครื่องกำหนดหมายว่าเป็นทุกข์ขึ้นมาพิจารณา พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสสอน ให้พิจารณาโดยลักษณะที่เรียก ทุกขทุกขะ คือทุกข์โดยเป็นทุกข์ ก็ได้แก่ทุกข์ที่ปรากฏเป็นทุกข์ เช่น ทุกขเวทนาต่างๆ ที่บังเกิดขึ้นแก่ร่างกายและจิตใจ
ดั่งที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสชี้เอาไว้ในการที่ทรงอธิบายทุกขสัจจะ สภาพที่จริงคือทุกข์ ว่าเกิดเป็นทุกข์ แก่เป็นทุกข์ ตายเป็นทุกข์ ความโศก ความรัญจวนคร่ำครวญ ความไม่สบายกายไม่สบายใจ ความคับแค้นใจ เป็นทุกข์ ความประจวบกับสิ่งที่ไม่เป็นที่รักเป็นทุกข์ ความพลัดพรากจากสิ่งที่เป็นที่รักเป็นทุกข์ ความปรารถนาไม่สมหวังเป็นทุกข์ พิจารณาทุกข์ โดยที่เป็นทุกข์ต่างๆ ซึ่งทุกคนต้องประสบทางกายบ้างทางใจบ้าง
อนึ่ง ได้ตรัสสอนให้พิจารณาว่าเป็นทุกข์โดยเป็นสังขาร อันเรียกว่า สังขารทุกขะ ทุกข์โดยเป็นสังขาร คือล้วนเป็นสิ่งผสมปรุงแต่งทั้งสิ้น ทุกๆ อย่างที่สมมติบัญญัติขึ้นว่าเป็นนั่นเป็นนี่ ตั้งต้นแต่รูปกายของตนเอง นามกายของตนเอง รูปกายนามกายของผู้อื่น และสัตว์บุคคลต่างๆ ทรัพย์สินสิ่งต่างๆ ทุกอย่างที่สมมติบัญญัติกัน ว่าเป็นนั่นเป็นนี่ ทั้งที่ยึดถือกันว่าเป็นของเรา ว่าเราเป็น ว่าเป็นอัตตาตัวตนของเรา ล้วนเป็นสังขาร คือเป็นสิ่งผสมปรุงแต่งทั้งนั้น ส่วนที่มีชื่อเรียกกันต่างๆ นั้น ก็เป็นสมมติบัญญัติทั้งสิ้น และส่วนที่ว่าเป็นเราเป็นของเรา ก็เป็นความยึดถือเอาเองทั้งสิ้น เพราะว่า ทุกๆ อย่างนั้นเป็นสังขารคือสิ่งผสมปรุงแต่งทั้งนั้น
อนึ่ง ได้ตรัสสอนให้พิจารณา ว่าเป็นทุกข์โดยเป็น วิปรินามะ คือความที่แปรปรวนเปลี่ยนแปลงไป เพราะทุกๆ สิ่งทุกๆ อย่างที่เป็นสังขารนั้น ล้วนมีความแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไปเป็นธรรมดา เป็นไปตามสังขตลักษณะ ลักษณะเครื่องกำหนดหมายแห่งสังขาร คือสิ่งผสมปรุงแต่งทั้งหลาย ดังกล่าวมาแล้ว คือมีเกิดมีดับเป็นธรรมดา เกิดขึ้นแล้วย่อมดับไป และในระหว่างแห่งเกิดและดับนั้น ก็มีความแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างอื่นอยู่เรื่อยๆ ดังเช่นร่างกายของทุกๆ คนเรานี้ เมื่อเกิดมาก็เป็นเด็ก คือร่างกายเป็นเด็ก แล้วก็แปรปรวนเปลี่ยนแปลงมาเป็นเด็กใหญ่ๆ ขึ้นโดยลำดับ เป็นหนุ่มเป็นสาว เป็นกลางคน เป็นคนแก่ เป็นคนแก่เฒ่า ไปโดยลำดับ ในที่สุดก็แตกดับ คือสิ่งที่ผสมปรุงแต่งนั้นก็แตกสลายจากการปรุงแต่ง หยุดปรุงแต่ง
ฉะนั้น เรื่องสังขารนี้ จึงเป็นข้อที่ควรทำความเข้าใจ และพิจารณาในทางวิปัสสนากรรมฐานได้เป็นอย่างดียิ่ง ตามที่พระพุทธเจ้าได้ทรงสั่งสอน แต่ในที่นี้ก็ต้องการที่จะให้มีความเข้าใจในความหมายของคำว่าสังขาร เพียงว่าได้แก่สิ่งที่ผสมปรุงแต่งขึ้น หรืออาการที่ผสมปรุงแต่งขึ้น เรียกว่าสังขาร และที่ท่านจำแนกสังขารไว้เป็น ๓ คือ กายสังขาร วจีสังขาร จิตสังขาร
กายสังขาร
กายสังขาร นั้นก็ได้แก่ปรุงแต่งกาย อธิบายว่าลม อัสสาสะ ปัสสาสะ คือลมหายใจเข้า ลมหายใจออก ได้ชื่อว่ากายสังขารปรุงแต่งกาย เพราะว่าเป็นเครื่องบำรุงปรนปรือกายอยู่ตลอดเวลา กายดำรงอยู่ได้ก็เพราะมีลมอัสสาสะปัสสาสะ บำรุงปรนปรืออยู่ตลอดเวลาไม่มีหยุด ดังจะพึงเห็นได้ว่าทุกๆ คนนั้นไม่มีหยุดหายใจ กายจึงดำรงอยู่ได้ ที่เรียกว่าชีวิต หากหยุดหายใจเมื่อใด กายก็ดำรงอยู่ไม่ได้ ( เริ่ม ) เพราะฉะนั้น ลมอัสสาสะปัสสาสะจึงเรียกว่ากายสังขาร เป็นเครื่องปรุงกาย
วจีสังขาร
วจีสังขาร แปลว่าปรุงแต่งวาจา ได้แก่วิตกวิจารที่แปลว่าความตรึกความตรอง วิตกวิจารนี้เองเป็นต้นของวาจาที่ทุกๆ คนพูด ก็คือว่าพูดจากใจที่วิตกวิจาร คือที่ตรึกตรอง อาจจะกล่าวได้ว่าจิตใจนี้พูดก่อน คือตรึกตรองขึ้นมาก่อน จึงพูดออกทางวาจา หรือว่าวาจาจึงพูดออกมา ถ้าหากว่าไม่มีวิตกวิจาร ขึ้นในจิตใจก่อน การพูดอะไรออกไปทางวาจาก็เป็นวาจาของคนที่เพ้อคลั่ง หรืออาการที่เพ้อหรือที่กล่าวในเวลาหลับ และจะไม่เป็นภาษา ฉะนั้น วาจาที่ทุกๆ คนพูดนี้จึงออกมาจากจิตใจ ที่มีวิตกมีวิจาร คือที่ตรึกตรอง ฉะนั้น วิตกวิจารจึงเรียกวจีสังขาร เป็นเครื่องปรุงวาจา
จิตตสังขาร
จิตตสังขาร ปรุงแต่งจิต ก็ได้แก่ สัญญา เวทนา เวทนา นั้นก็ได้แก่ความรู้เป็นสุขเป็นทุกข์หรือเป็นกลางๆ ไม่ทุกข์ไม่สุข สัญญา นั้นก็ได้แก่ความจำได้หมายรู้ เช่น จำรูป จำเสียง จำกลิ่น จำรส จำโผฏฐัพพะ จำธรรมะ คือเรื่องราว
เวทนาสัญญานี้ เรียกกลับกันว่าสัญญาเวทนา เป็นเครื่องปรุงจิต คือปรุงจิตใจให้คิดไปต่างๆ ความคิดไปต่างๆ นั้นอาศัยสัญญาเวทนา ถ้าหากว่าไม่มีสัญญาคือความจำได้หมายรู้ ไม่มีเวทนา คือรู้เป็นสุขเป็นทุกข์หรือเป็นกลางๆ ไม่ทุกข์ไม่สุข ก็คิดอะไรไม่ได้ เพราะทุกๆ คนนั้น จะไปคิดในเรื่องที่ตนเองจำไม่ได้ หรือว่าที่ลืมไปแล้วนั้น หาได้ไม่ จะคิดอะไรได้ ก็ต้องคิดได้ตามที่จำได้เท่านั้น
อันที่จริงยกเอาสัญญาขึ้นมาอย่างเดียว อธิบายอย่างนี้ก็เข้าใจ แต่ท่านยกเอาเวทนาขึ้นมาคู่ด้วย ก็โดยที่สัญญานี้ตามวิถีจิตในขันธ์ ๕ ย่อมเกิดขึ้นอาศัยเวทนา คือต้องมีเวทนาที่เป็นสุข เป็นทุกข์ หรือเป็นกลางๆ ไม่ทุกข์ไม่สุข จึงจะมีสัญญาคือจำได้ ถ้าไม่มีเวทนาแล้วก็จำอะไรไม่ได้ ยกตัวอย่างง่ายๆ เหมือนอย่างคนที่ดับความรู้ทางกายประสาท เช่นว่าฉีดยาชาที่ร่างกาย เมื่อร่างกายส่วนนั้นชาไปแล้ว หมอก็ทำการผ่าตัด หรือทำอะไร ก็ไม่มีความรู้เจ็บ เมื่อไม่มีความรู้เจ็บ ก็แปลว่าสัญญาคือความจำในการที่หมอได้กระทำอะไรตรงร่างกายส่วนนั้นก็ไม่มี
ถ้าหากว่าไม่ได้ฉีดยาชา เมื่อเอามีดไปปาดเข้าก็เจ็บ เมื่อเจ็บก็จำได้ในอาการที่เจ็บนั้น นี้ยกตัวอย่างเพียงการทำให้กายประสาทไม่รู้สึกเพียงข้อเดียว ถ้าหากว่าไม่มีความรู้สึกเป็นสุข เป็นทุกข์ ที่เป็นเวทนา ทางจักขุประสาท โสตะประสาท ฆานะประสาท ชิวหาประสาท หรือทั้งกายประสาทดังกล่าวนั้นด้วย ใครจะทำอะไรที่ร่างกายทุกส่วน ก็ย่อมไม่มีความรู้ เป็นสุข เป็นทุกข์ หรือเป็นกลางๆ ไม่ทุกข์ไม่สุข ก็ไม่มีสัญญาคือความจำในส่วนนั้นๆ หรือคนที่ถูกฉีดยาสลบหมดความรู้ไป ในขณะที่สลบนั้น ก็เป็นอันว่าจำอะไรในขณะนั้นไม่ได้เลย
เพราะฉะนั้นสัญญานี้จึงมาจากเวทนา ต้องมีเวทนาจึงจะเกิดสัญญา คือความจำได้หมายรู้ขึ้นมา เพราะฉะนั้น จิตที่คิดไปต่างๆ ที่ปรุงไปต่างๆ จึงปรุงไปตามสัญญาเวทนา ถ้าไม่มีสัญญาเวทนาแล้วก็จิตก็ปรุงไม่ถูก แม้จิตที่คิดปรุงไปต่างๆ ดังกล่าวนั้น ก็รวมวิตกวิจารดังกล่าวมาข้างต้นในข้อวจีสังขารเข้าด้วย เพราะวิตกวิจารคือความตรึกความตรอง ก็เป็นความคิดไปของจิตอย่างหนึ่ง ซึ่งก็อาศัยสัญญาเวทนาดังกล่าวนี้นั่นแหละ
เพราะฉะนั้น สัญญาเวทนาจึงเป็นจิตตสังขารเครื่องปรุงจิต กายสังขารปรุงแต่งกาย มีลมหายใจเข้าลมหายใจออกเป็นเครื่องปรุงแต่งกาย วจีสังขารก็มีวิตกวิจารเป็นเครื่องปรุงแต่งวาจา จิตตสังขารก็มีสัญญาเวทนาเป็นเครื่องปรุงแต่งจิต นี้แสดงอธิบายถึงเครื่องปรุงแต่งกาย ปรุงแต่งวาจา ปรุงแต่งจิต
อาการของชีวิต
แต่ว่ายังมีการปรุงแต่งของกายเอง ของวาจาเอง ของจิตเอง คือกายที่มีการปรุงแต่งอยู่ คือ กายที่ยังประกอบกันเป็นกาย มีอาการปรุงแต่งของกาย ซึ่งเป็นไปเองต่างๆ เช่นว่า อาการ ๓๑,๓๒ เกสา ผม โลมา ขน นขา เล็บ ทันตา ฟัน เป็นต้น ผมเองก็มียาวขึ้นไปได้ ขนเองก็มีการที่ตั้งอยู่ หรือที่หลุดก็งอกขึ้นมาใหม่ได้ เหล่านี้เป็นต้น เป็นความปรุงแต่งของกาย ตลอดจนถึงที่เป็นอวัยวะภายในต่างๆ เช่นตับปอด ก็ปฏิบัติหน้าที่ เช่นปอดก็ปฏิบัติหน้าที่ในการที่ทำการหายใจเข้าหายใจออกเป็นต้น ไปอยู่ตลอดเวลา เหล่านี้เป็นอาการปรุงแต่งของกายเอง ซึ่งเป็นไปอยู่ไม่มีหยุด
วจีสังขาร วาจาเองที่พูดออกไป ก็พูดกันอยู่ทุกวัน ตามที่ควรพูด หรือแม้ว่าที่ไม่ควรพูด จิตที่คิดนึกไปก็คิดนึกกันไปต่างๆ อยู่ตลอดเวลาไม่หยุด แปลว่าอาการปรุงแต่งของกาย ของวาจา ของจิตเอง ก็ปรุงแต่งอยู่ไม่หยุดเหมือนกัน นี่ก็เป็นสังขาร เพราะฉะนั้น ชีวิตนี้อันประกอบด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยจิต ดังที่กล่าวมา ยกเป็นตัวอย่างเพียง ๓ ข้อนี้ เป็นสังขารที่ปรุงแต่งอยู่ไม่หยุดตั้งแต่เกิดมา หยุดเมื่อไรก็คือตาย เมื่อยังไม่ตายก็ต้องเป็นสังขารคือปรุงแต่ง ปรุงแต่งตั้งแต่ถือกำเนิดเกิดก่อขึ้นในครรภ์ของมารดา คลอดออกมาก็ปรุงแต่งเรื่อยไปจนถึงตายในที่สุด เพราะฉะนั้น อาการที่เรียกว่าสังขารคือปรุงแต่งนี้เป็นอาการของชีวิต ซึ่งต้องมีการปรุงแต่งกันอยู่ดั่งนี้ตลอดเวลา ไม่หยุด หยุดปรุงแต่งเมื่อไรก็ตาย
ต่อไปนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวดและตั้งใจทำความสงบสืบต่อไป