แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม
ได้แสดงพระเถราธิบายของพระสารีบุตรในเรื่องสัมมาทิฏฐิความเห็นชอบ ถึงตอนที่ ความเห็นชอบ ก็คือความรู้จักตัณหา รู้จักเหตุเกิดตัณหา รู้จักความดับตัณหา รู้จักทางปฏิบัติให้ถึงความดับตัณหา และกำลังอธิบายถึงตัณหาที่มีพระเถราธิบายยกเอาตัณหา ๖ ตัณหา ในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ สิ่งที่กายถูกต้อง และ ในธรรมะ คือเรื่องราว และก็ได้อธิบายถึงตัณหา ๓ ที่พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสอธิบายไว้ตั้งแต่ในปฐมเทศนา คือ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา และแสดงลักษณะของตัณหา อันกล่าวถึง ผลของตัณหา และ สิ่งที่ไปด้วยกันกับตัณหา กับ ความเจริญของตัณหา
ผลของตัณหานั้น ก็คือเป็นไปเพื่อภพใหม่ สิ่งที่ไปด้วยกันกับตัณหานั้น ก็ได้แก่นันทิ ความเพลิน ราคะ ความติดใจยินดี ความเจริญของตัณหานั้น ก็คือความที่มีความอภินันท์ยินดียิ่งๆ ขึ้นไปในอารมณ์นั้นๆ ตัณหาย่อมให้ผลเป็นไปเพื่อภพใหม่ทั้งในปัจจุบันทั้งในภายหน้า และก็มีนันทิ ความเพลิน มีราคะ ความติดใจยินดี ไปด้วยกันเหมือนอย่างเป็นสหายกัน กับมีความเจริญงอกงามยิ่งๆ ขึ้น ด้วยความยินดีเพลิดเพลินไปในอารมณ์นั้นๆ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา ย่อมมีลักษณะดังกล่าวมานี้
และก็พึงทราบต่อไปอีกว่า อันตัณหานั้นเป็นข้อที่คู่กับโลก และย่อมมีอยู่ในสัตว์โลกทั้งหมด เพราะฉะนั้น จึงต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในโลก ต้องเป็นไปอยู่ในโลก โลกจึงมีตัณหา และสัตว์โลกจึงมีตัณหา สิ้นตัณหาเสียเมื่อใดก็เป็นโลกุตร พ้นโลก เหนือโลก สัตว์โลกก็ยุติความเป็นสัตว์โลก มาเป็นโลกุตระ เหนือโลก เพราะฉะนั้น โลกกับตัณหาจึงเป็นสิ่งที่ต้องประกอบกันอยู่
อันลักษณะที่แท้จริงของตัณหานั้น ก็คือความที่กระเสือกกระสน ไม่หยุดอยู่กับที่ เคลื่อนที่ ฉะนั้น จึงได้มีแสดงถึงลักษณะดังกล่าว ของทางร่างกายก็มี ของทางจิตใจก็มี
ของทางร่างกายนั้นก็มีแสดงถึงสัตว์ ๒ จำพวก คือสัตว์ที่เรียกว่า ตสา เคลื่อนที่ได้จำพวกหนึ่ง สัตว์ที่เรียกว่า ถาวราอยู่กับที่คือถาวร เคลื่อนที่ไม่ได้อีกจำพวกหนึ่ง
สัตวที่เรียกว่า ตสา จำพวกเคลื่อนที่ได้นั้น ก็เช่นมนุษย์หรือสัตว์เดรัจฉานทั้งหลาย ทั้งบนบกและในน้ำที่เคลื่อนที่ได้ เช่นมนุษย์และสัตว์บกทั้งหลายก็เคลื่อนที่ได้ เดินวิ่งไปโน่นไปนี่ได้ ส่วนสัตว์จำพวกเคลื่อนที่ไม่ได้ อันเรียก ถาวรา หรือถาวรอยู่กับที่นั้น ก็เช่นสัตว์น้ำบางชนิดที่เกิดติดอยู่กับที่ เช่นหอยบางชนิด เช่นหอยนางรมเกิดติดอยู่กับที่ ติดอยู่กับก้อนหินในทะเลในน้ำ เคลื่อนที่ไปไหนไม่ได้ นี่เรียกว่า ถาวระ หรือถาวรา ได้มีแสดงไว้ในเมตตสูตร ตสา วา ถาวรา วาสัตว์ที่เคลื่อนที่ได้ และสัตว์ที่เคลื่อนที่ไม่ได้ ที่ให้แผ่เมตตาจิตออกไปในสัตว์ทั้งหมดเหล่านี้
สัตว์จำพวกที่เรียกว่า ตสา เคลื่อนที่ได้นั้น ก็เป็นคำเดียวกับคำว่า ตัณหา แต่นั่นหมายถึงทางร่างกาย ส่วนทางจิตใจนั้น จิตใจของบุถุชนสามัญชน ก็เป็นจิตใจที่เรียกว่า ตสา คือเคลื่อนที่ เพราะมีตัณหาที่ทำให้เคลื่อนที่ ที่มีอาการอันเรียกกันว่าดิ้นรน กวัดแกว่ง กระสับกระส่าย แต่ว่าคำเหล่านี้แสดงอาการที่เคลื่อนที่อย่างรุนแรง
แม้ว่าจะเคลื่อนที่อย่างไม่รุนแรง ก็เป็นตัณหาเหมือนกัน คือมีอาการที่เคลื่อนออกไปรับอารมณ์ จับอารมณ์นั้นๆ โดยเฉพาะก็คือออกไปรับอารมณ์จับอารมณ์ ๖ มีรูปารมณ์ อารมณ์คือรูป เป็นต้น ที่มาประสบทางตาเป็นต้น แต่ว่าก็จำเป็นที่จะต้องใช้ศัพท์ใดศัพท์หนึ่ง เพื่อให้เป็นที่เข้าใจในลักษณะของตัณหาดังที่กล่าวมานี้ จึงแปลกันว่าความอยาก และเมื่อมุ่งถึงลักษณะที่แรงก็เรียกว่าทะยานอยาก หรือแปลว่าดิ้นรน กวัดแกว่ง กระสับกระส่าย แต่อันที่จริงนั้นแปลว่าความอยากเท่านั้นก็เพียงพอ คือเป็นความประสงค์ความต้องการ ยื่นออกไปจับหรือรับอารมณ์ดังกล่าว
และอารมณ์ที่ออกไปรับไปจับนั้น เมื่อกล่าวเป็นกลางๆ ก็คืออารมณ์ ๖ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมะคือเรื่องราว ดังที่กล่าวมานั้น
และเพื่อให้ชัดขึ้นว่าอารมณ์ที่ตัณหาประสงค์ต้องการ หรือที่อยาก ก็คืออารมณ์ที่เป็นกาม ที่แปลว่าน่ารักใคร่ หรือเป็นที่รักใคร่ เพราะฉะนั้น เพื่อให้ชัดจึงได้เรียกว่ากามตัณหา ...ตัณหาในกาม คืออารมณ์ที่เป็นที่รักใคร่ ที่น่ารักใคร่
และยิ่งขึ้นไปกว่านี้ ก็ยังประสงค์ต้องการเป็นนั่นเป็นนี่ จึงได้มีแสดงภวตัณหา ตัณหาในภพเป็นนั่นเป็นนี่ และที่เป็นนั่นเป็นนี่นั้น ก่อนที่จะเป็นนั่นเป็นนี่อะไรก็ต้องเป็นเราขึ้นก่อน
ตัณหาในภพนั้นจึงตั้งต้นด้วยตัณหาในความเป็นเรา คือตัณหาในความที่เป็นตัวเรา แล้วเมื่อมีตัวเราขึ้น ก็ต้องมีความอยากที่จะให้ตัวเรานี้เป็นนั่นเป็นนี่ต่อไปอีก
และก็มิใช่แต่เท่านั้น เมื่อไม่ได้ตามต้องการ ตามอยาก ไม่เป็นตามต้องการ ตามอยาก ก็ต้องการที่จะให้สิ่งที่ขัดขวางทั้งหลาย ต้องการที่จะให้สิ่งที่ไม่ชอบทั้งหลายสิ้นไปหมดไป ต้องการที่จะไม่เป็นตามที่ไม่ชอบจะเป็น ไม่อยากจะเป็น ก็เป็นวิภวตัณหาขึ้นมา
พระพุทธเจ้าทรงจำแนกแจกธรรม ก็ทรงจำแนกให้เห็นชัด ว่าอยากอย่างใดอย่างหนึ่ง ในบรรดาอยากเหล่านี้ ก็เป็นตัณหาทั้งนั้น จนกระทั่งอยากดำรงชีวิตอยู่นานก็เป็นตัณหา อยากตายก็เป็นตัณหา อยากดำรงชีวิตอยู่นานก็เป็นภวตัณหา เป็นกามตัณหา อยากตายก็เป็นวิภวตัณหา เมื่อยังเป็นสัตว์โลกอยู่ก็จะต้องมีตัณหา ดังที่กล่าวมานี้
แม้ว่าต้องการมรรคผลนิพพาน ความต้องการนั้นบังเกิดขึ้นว่า เมื่อไรจะได้มรรคได้ผลได้นิพพาน ก็เป็นตัณหาเหมือนกัน และแม้ว่าจะได้อริยมรรคอริยผล เป็นพระโสดาบัน เป็นพระสกทาคามี เป็นพระอนาคามี ก็ละตัณหาหยาบๆ ได้ไปโดยลำดับ แต่ก็ยังมีตัณหาในมรรคผลนิพพานที่ยังไม่ได้ เมื่อมีความอยากว่าเมื่อไรจะได้ ก็เป็นตัณหาเหมือนกัน เป็นอย่างละเอียด ก็แปลว่ายังมีตัณหาอยู่ เพราะว่ายังไม่เสร็จกิจท่านจึงแสดงว่าให้อาศัยตัณหาละตัณหา
เพราะฉะนั้น ตัณหานั้นจึงเป็นสิ่งที่มีอยู่คู่กับโลก คู่กับสัตว์โลกดั่งนี้ ใครจะอยากมี หรือไม่อยากมี ก็ต้องมี ในเมื่อยังเป็นสัตว์โลก หรือว่าเป็นอริยบุคคลแล้วก็ตาม แต่ว่ายังไม่ถึงมรรคผลนิพพานที่เป็นขั้นพระอรหันต์ ก็ยังจะต้องมีกันอยู่ตามชั้น เพราะฉะนั้นในขั้นปฏิบัตินั้น ท่านจึงสอนให้อาศัยตัณหาละตัณหา
และก็ได้มีสอนไว้ว่า สัตว์โลกทั่วไปนั้นมีจิตใจที่พร่อง ตัณหาทาสะ เป็นทาสของตัณหา มีจิตใจที่พร่องนั้นก็คือมีความอยากมีความต้องการ ไม่เต็มไม่อิ่ม ไม่เพียงพอ เมื่อเป็นดั่งนี้ จิตใจจึงมีความกระหาย มีความอยากใคร่จะได้ ใคร่จะเป็นต่างๆ ใคร่ที่จะทำลายล้างสิ่งที่ขัดขวางต่างๆ เพราะว่าพร่อง ไม่เต็ม ไม่อิ่ม ไม่พอ
และก็ยังมีตรัสเอาไว้อีกว่า ความอิ่มด้วยตัณหาไม่มี เหมือนไฟไม่อิ่มด้วยเชื้อ เอาเชื้อสุมเข้ามากเท่าไร ไฟก็ลุกโตขึ้น ก็กินเชื้อมากขึ้น ไม่มีที่จะอิ่ม ไม่มีที่จะพอ ยิ่งสุมไฟใส่เชื้อมากขึ้น ไฟก็กองโตขึ้น
ฉะนั้นเมื่อเป็นทาสของตัณหา ตัณหาสั่งให้แสวงหาต่างๆตามที่อยากตามที่ต้องการ ได้มาเท่าไรก็ไม่พอ ต้องการเพิ่มเติมขึ้นอยู่เสมอ เพราะฉะนั้น โลกทั่วไปจึงเรียกว่าเป็นโลกที่พร่อง และเป็นทาสของตัณหา
สิ่งทั้งปวงที่ตัณหาต้องการจะได้ ต้องการจะเป็น ก็รวมเรียกอยู่ในคำเดียวว่าทุกข์ คือ ทุกข์อริยสัจจ์ อริยสัจจ์ข้อทุกข์ รวมอยู่ในคำนี้ คือเป็นตัณหาในทุกข์ แต่ว่าเพราะยังมองไม่เห็นว่า สิ่งที่อยากจะได้อยากจะเป็นนั้นเป็นตัวทุกข์ จึงต้องการ เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสสอน ชี้ให้รู้จักทุกข์ไว้เป็นข้อสำคัญ ดังที่ตรัสแสดงชี้ให้รู้จักทุกข์ไว้ในอริยสัจจะ
ข้อที่ ๑ คือทุกขสัจจะ ตั้งต้นแต่สภาวทุกข์ ชาติ คือความเกิดเป็นทุกข์ ชรา ความแก่เป็นทุกข์ มรณะ ความตายเป็นทุกข์ โสกะ ความแห้งใจ ปริเทวะ ความรัญจวนคร่ำครวญใจ ทุกขะ ความความไม่สบายกาย โทมนัสสะ ความไม่สบายใจ อุปายาสะ ความคับแค้นใจ เป็นทุกข์ ความประจวบกับสิ่งที่ไม่เป็นที่รักทั้งหลาย เป็นทุกข์ ความพลัดพรากจากสิ่งที่เป็นที่รักทั้งหลาย เป็นทุกข์ ปรารถนามิได้สมหวัง เป็นทุกข์
โดยย่อ ขันธ์เป็นที่ยึดถือทั้ง ๕ ประการเป็นทุกข์ ก็ได้แก่รูปขันธ์ กองรูป เวทนาขันธ์ กองเวทนา สัญญาขันธ์ กองสัญญา สังขารขันธ์ กองสังขาร วิญญาณขันธ์ กองวิญญาณ
และนอกจากนี้ยังได้ตรัสชี้แจงให้รู้จักทุกข์ ยกเอาอายตนะธาตุเป็นต้นขึ้นมาชี้ ตลอดจนถึงยกเอาโลกขึ้นมาชี้ว่าเป็นทุกข์ เพราะว่าที่ชื่อว่าโลกนั้นก็เป็นทั้งหมดเหล่านี้ และตัวคำว่าโลกเองนั้นก็แปลว่าสิ่งที่ชำรุด สิ่งใดชำรุดสิ่งนั้นชื่อว่าโลก รุชฺชตีติ โลโก ยกเอาโลกคือขันธ์อันเรียกว่าขันธโลก คือ อัตภาพ ร่างกาย นามกาย คือขันธ์ ๕ ของทุกๆคนนี้เป็นตัวอย่าง เป็นขันธโลก ต้องเป็นทุกข์โดยสภาพ เกิด แก่ ตาย และจิตใจเองนั้นก็มี โสกะ ปริเทวะ เป็นต้น ต้องพลัดพรากกับสิ่งที่เป็นที่รัก ต้องประจวบกับสิ่งที่ไม่เป็นที่รัก ปรารถนาไม่ได้สมหวัง เพราะฉะนั้น จึงต้องประสบสิ่งที่ไม่พอใจ ไม่ชอบใจ ที่ไม่สบายใจ และสิ่งที่ไม่สบายกายอยู่เสมอ
ปัญหาต่างๆ อุปสรรคต่างๆ ที่บังเกิดขึ้นในทางต่างๆของชีวิต ก็ล้วนเป็นสิ่งที่เรียกว่าเป็นตัวทุกข์นี้ทั้งสิ้น คือเป็นสิ่งที่ไม่สบายกาย ไม่สบายใจ ที่ไม่ชอบใจ ที่เบียดเบียน ทุกคนจึงต้องพบปัญหาต่างๆ ต้องแก้กันอยู่ทั้งภายในทั้งภายนอก ซึ่งปัญหาต่างๆ เหล่านั้นก็คือตัวทุกข์นี้เอง แก้อย่างนี้ตกแล้วก็ต้องเกิดปัญหาอย่างนั้น แก้อย่างนั้น แล้วก็ต้องเกิดปัญหาอย่างนี้ แก้อย่างนี้ อยู่ตลอดทุกวี่ทุกวัน ตั้งต้นแต่ตื่นขึ้นมา ก็ต้องแก้ปัญหาเกี่ยวแก่ปากท้องของทุกๆ คน เมื่อแก้ปัญหาเกี่ยวแก่ปากท้องมื้อเช้าเสร็จไปแล้ว ก็ต้องมาแก้ปัญหาเกี่ยวแก่ปากท้องมื้อกลางวันมื้อเย็น ในวันนี้ต่อไปอีก ตลอดวัน แล้วจะต้องแก้ปัญหาเกี่ยวแก่ปากท้อง พรุ่งนี้ มะรืนนี้ ดังกล่าวมานี้ต่อไปอีก
ไม่ใช่ว่าแก้ปัญหาเกี่ยวแก่ปากท้องมื้อเช้ามื้อหนึ่งได้แล้ว ก็เสร็จกันเท่านั้น ก็เกิดปัญหาขึ้นมาอีก หิวระหายขึ้นมาอีก ก็ต้องแก้ ให้ดื่มให้บริโภค ให้อิ่ม อิ่มแล้วอีกไม่นานเท่าไหร่ก็หิวระหายใหม่ ก็เกิดเป็นปัญหา ก็ต้องแก้กันอีก นอกจากนี้ก็ต้องมีพักผ่อนหลับนอน และต้องมีเครื่องแก้ปัญหาเกี่ยวแก่หนาวร้อนต่างๆ มีเสื้อผ้า ต้องแก้ปัญหาเกี่ยวแก่โรคภัยไข้เจ็บ นอกจากนี้เมื่อทำการงาน ก็จะต้องแก้ปัญหาเกี่ยวแก่การงานต่างๆ
และต้องแก้ปัญหาเกี่ยวแก่ตัณหาเองที่ก่อขึ้น เช่น ตัณหานั้นเองต้องการอยากให้ทำนั่นทำนี่ เพื่อที่จะได้นั่นได้นี่ เพื่อจะเป็นนั่นเป็นนี่ ครั้นได้นั่นได้นี่มา ได้เป็นนั่นเป็นนี่มาก็เกิดปัญหา เกี่ยวแก่สิ่งที่ได้สิ่งที่เป็นนั้น ซึ่งจะต้องแก้กันไปอีก ก็เรียกว่าตัณหาก่อปัญหา แก้แล้วก็ตัณหาก็ก่อปัญหาขึ้นอีก
เพราะฉะนั้นทุกคนจึงต้องพบกับตัวทุกข์ อย่างละเอียดบ้าง อย่างหยาบบ้าง แล้วก็ต้องแก้ทุกข์กันไปคราวหนึ่งๆ แล้วก็ต้องแก้กันใหม่อีก เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงได้ทรงชี้ให้รู้จักทุกข์ อันนี้แหละเป็นข้อสำคัญ ว่าเป็นสิ่งที่มีครอบคลุมกันอยู่ทั่วไปทั้งหมด แล้วก็เนื่องมาจากตัณหานี้ เพราะฉะนั้น ตัณหานี้แม้ว่าจะจำแนกออกไปเป็นตัณหาในอารมณ์ ๖ มีรูปเป็นต้น หรือเป็นตัณหา ๓ อันมีลักษณะที่ให้เกิดผลเป็นภพใหม่ เป็นใหม่ ที่มีเพื่อนมิตรสหายไปด้วยกันอยู่ตลอดเวลาก็คือ นันทิความเพลิน ราคะความติดใจยินดี แล้วก็เติบโตยิ่งขึ้นๆ ทั้งมีลักษณะที่ทำให้พร่อง ไม่เต็ม ทำให้บุคคลหรือจิตใจนี้เป็นทาส คอยรับใช้ตัณหาอยู่ตลอดเวลา และสิ่งทั้งปวงที่ตัณหาต้องการจะได้ ต้องการจะเป็นทั้งปวงนั้น ก็คือทุกข์ทั้งนั้น ก็เรียกว่าเป็นตัณหาในทุกข์ ๘
และที่เกิดใหม่ ที่เป็นไปเพื่อความเกิดใหม่ คือภพใหม่ เป็นใหม่นั้น ก็เป็นทุกข์ใหม่ เป็นทุกข์ใหม่ สืบๆกันขึ้นไปนั้นเอง แต่เพราะเหตุที่ยังมีตัวสหายที่ไปด้วยกัน คือนันทิความเพลิน ราคะความติดใจยินดี จึงยังทิ้งตัวทุกข์ที่ๆ หยาบที่ต้องการนั้นไม่ได้ ก็เรียกว่ายังเพลินยังติดใจยินดีอยู่ในตัวทุกข์ โลกก็เป็นไปกันอยู่ดั่งนี้ และก็เป็นไปเพื่อภพใหม่ ภพก็คือความเป็นๆใหม่ ก็คือเป็นทุกข์ใหม่ เป็นทุกข์ใหม่ กันอยู่เรื่อยๆ ไป ไม่สิ้นสุด
เพราะฉะนั้น ความที่มามีสติระลึกได้ เอาว่าระลึกได้ตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน ดังที่นำมาแสดงนี้ส่วนหนึ่ง และก็หัดวิจัยธรรม เลือกเฟ้นธรรม ก็ย่อมจะได้ปัญญา รู้จักทุกข์ รู้จักตัณหายิ่งขึ้น ทำให้ได้ความเพียรในอันที่จะปฏิบัติละตัณหา ละทุกข์ ยิ่งขึ้น จะทำให้ได้ปีติความดูดดื่มในธรรม ความอิ่มกายอิ่มใจ ได้ความสงบกายสงบใจ ได้สมาธิ และได้ตัวอุเบกขา ความที่มีจิตใจสงบอยู่ในภายในได้มากขึ้น วางได้มากขึ้น เฉยได้มากขึ้น แปลว่าลดความวุ่นวาย ลดความที่ยึดถือต่างๆลงไปได้ นี่แหละเป็นตัวอุเบกขา ก็เป็นโพชฌงค์ แล้วก็ส่งให้เป็นสัมมาทิฏฐิความเห็นชอบยิ่งๆ ขึ้น ตั้งต้นแต่ความเห็นชอบในบาปบุญคุณโทษประโยชน์มิใช่ประโยชน์ จนถึงในอริยสัจจ์ทั้ง ๔ ที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน ตลอดจนถึงในเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรได้ชัดเจนขึ้น
ต่อไปนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวด ตั้งใจทำความสงบสืบต่อไป