แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุก ๆ ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม
ได้แสดงเรื่องสัมมาทิฏฐิตามเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระ มาถึงข้ออุปาทาน และข้ออุปาทานนี้ก็กำลังอธิบายทิฏฐุปาทาน ความยึดถือทิฏฐิ คือความเห็น และก็ได้แสดงถึงทิฏฐิ คือความเห็นผิดต่าง ๆ ที่เป็นอย่างรุนแรง เป็นนิยตมิจฉาทิฏฐิ ที่ดิ่งลง คือ อกิริยทิฏฐิ ความเห็นว่าไม่เป็นอันกระทำ คือไม่มีบุญไม่มีบาป อเหตุกทิฏฐิ ความเห็นว่าไม่มีเหตุ คือผลที่ได้ต่างบังเกิดขึ้นตามคราวแห่งโชคเราะห์ นัตถิกทิฏฐิ ความเห็นว่าไม่มี เป็นการปฏิเสธสมมติสัจจะความจริงโดยสมมติ ปฏิเสธคติธรรมดาเช่นคติกรรมและผลของกรรม เป็นความเห็นที่ผิดหลักพุทธศาสนาสิ้นเชิง
เพราะฉะนั้น พระอาจารย์จึงแสดงว่าความเห็นผิดทั้ง ๓ นี้ ห้ามทั้งสุคติคือคติที่ดี ห้ามทั้งมรรคผลนิพพาน และได้แสดงต่อไปถึงทิฏฐิ คือความเห็น ๒ อย่าง คือ สัสสตทิฏฐิ ความเห็นว่าเที่ยง อุจเฉททิฏฐิ ความเห็นว่าขาดสูญ กล่าวสั้นง่าย ๆ คือ เห็นว่าตายเกิด กับ เห็นว่าตายสูญ แต่ต้องเข้าใจว่าเห็นว่าตายเกิดที่เป็นสัสสตทิฏฐินั้น คือต้องเกิดกันร่ำไปไม่มีสิ้นสุด แต่กล่าวสั้นว่า เห็นว่าตายเกิด กับเห็นว่าตายสูญ
วิภัชวาทะ
อันความเห็นดั่งนี้เป็นความเห็นที่ผิดจากสัมมาทิฏฐิในอริยสัจจ์ คือสัมมาทิฏฐิในองค์มรรค สัมมาทิฏฐิคือความเห็นชอบในองค์มรรคในอริยสัจจ์นี้ แสดงเป็นวิภัชวาทะ คือกล่าวจำแนกตามเหตุและผล ทุกข์เป็นผล สมุทัยเป็นเหตุ นิโรธเป็นผล มรรคเป็นเหตุ (เริ่ม)...ทุกข์กับสมุทัยเป็นผลและเหตุ ในด้านก่อทุกข์ นิโรธกับมรรค เป็นผลและเหตุ ในด้านดับทุกข์ สำหรับในด้านก่อทุกข์นั้น คือทุกข์กับสมุทัย ทุกข์นั้นก็ดังที่ได้สวดได้ทราบกันอยู่แล้วเนือง ๆ เริ่มต้นด้วย ชาติปิทุกขา แม้ความเกิดเป็นทุกข์ คือชาติเป็นทุกข์ และสมุทัยนั้นก็ได้แก่ตัณหาความดิ้นรนทะยานอยาก ฉะนั้น เมื่อยังมีตัณหาเป็นสมุทัยอยู่ ก็จะต้องมีทุกข์ มีชาติความเกิดเป็นต้น กล่าวสั้นเมื่อยังมีตัณหาอยู่ก็ต้องเกิด ส่วนนิโรธและมรรคนั้น เป็นผลและเหตุในด้านดับทุกข์ นิโรธคือดับตัณหาได้ ก็ดับทุกข์ได้ กล่าวโดยตรงก็คือเมื่อดับตัณหาได้ ก็ดับทุกข์ ตั้งต้นแต่ชาติคือความเกิดได้ ฉะนั้นเมื่อดับตัณหาได้ ก็ไม่เกิดอีก แต่ทั้งนี้จะต้องปฏิบัติในเหตุคือมรรคมีองค์ ๘ ฉะนั้นตามหลักพุทธศาสนาจึงไม่ยืนยันตายตัวว่าตายเกิด และไม่แสดงว่าตายสูญ แต่แสดงไปตามเหตุผล เมื่อยังมีตัณหาอยู่ก็ยังต้องเกิด เมื่อดับตัณหาได้ สิ้นตัณหาเสียได้ ก็สิ้นชาติคือความเกิด คือไม่เกิดอีก
พุทธศาสนาไม่แสดงว่าตายสูญ
ฉะนั้น ตามหลักพุทธศาสนาจึงตายเกิดกันตลอดเวลาที่ยังมีตัณหา แต่เมื่อดับตัณหาได้ จึงจะไม่เกิดอีก แต่แม้ไม่เกิดอีกก็ไม่แสดงว่าตายสูญ ดังได้มีเรื่องเล่าว่ามีพระรูปหนึ่งในสมัยพุทธกาล ได้เที่ยวกล่าวว่าพระอรหันต์ตายสูญ ท่านพระสารีบุตรได้เรียกเอาพระรูปนั้นมา และก็ได้ถามว่าเธอเที่ยวพูดดั่งนั้นจริงหรือ พระรูปนั้นก็ตอบรับว่าจริง เที่ยวพูดไปอย่างนั้นจริงว่าพระอรหันต์ตายสูญ ท่านพระสารีบุตรก็ถามว่าอะไรเป็นพระอรหันต์ รูปเป็นพระอรหันต์หรือ พระรูปนั้นก็ตอบว่าไม่ใช่ ท่านก็ถามไปโดยลำดับ และพระรูปนั้นก็ตอบไปโดยลำดับดั่งนี้ เวทนาเป็นอรหันต์หรือ ไม่ใช่ สัญญาเป็นพระอรหันต์หรือ ไม่ใช่ สังขารเป็นพระอรหันต์หรือ ไม่ใช่ วิญญาณเป็นพระอรหันต์หรือ ไม่ใช่ ท่านพระสารีบุตรจึงได้กล่าวว่า ก็เมื่อเธอได้ตอบว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มิใช่เป็นพระอรหันต์ ทำไมจึงกล่าวว่าพระอรหันต์ตายสูญ พระรูปนั้นจึงได้ยอมรับว่าที่กล่าวไปนั้น เป็นการกล่าวไปด้วยความไม่รู้ และมิได้เฉลียวคิดตามที่ท่านพระสารีบุตรได้ถาม และตนก็ได้ตอบไปนั้น
พิจารณาดูตามคำถามและคำตอบนี้ก็จับความได้ว่า ที่เรียกว่าตายนั้นก็คือขันธ์ ๕ แตกทำลาย แต่เมื่อขันธ์ ๕ ไม่ใช่เป็นพระอรหันต์ ครั้นขันธ์ ๕ แตกทำลาย ทำไมจึงกล่าวว่าพระอรหันต์ตายสูญ แต่ว่าท่านก็ไม่ได้เฉลยว่า เมื่อไม่ตายสูญแล้วเป็นอย่างไร แต่ว่าได้มีพระพุทธภาษิตแสดงไว้โดยอุปมา ว่าเหมือนอย่างไฟที่ต้องลมพัดดับไป หรือว่าไฟที่สิ้นเชื้อดับไป อันไฟนั้นเมื่อมีเชื้อก็ติดขึ้นมาอีก และเมื่อสิ้นเชื้อก็ดับ และเมื่อไม่มีเชื้อที่จะก่อให้เกิดไฟขึ้นอีก ไฟก็ไม่เกิด แต่ว่าไฟนั้นก็ไม่ควรจะกล่าวว่าสูญ เพราะเมื่อมีเชื้อไฟก็เกิดขึ้นอีก หากไม่มีเชื้อ ไฟจึงจะไม่เกิดขึ้นมาอีก พระอรหันต์นั้นสิ้นกิเลสซึ่งเป็นเชื้อให้เกิดแล้ว ยกตัณหาขึ้นมาเป็นข้อแสดง ก็คือสิ้นตัณหาแล้ว สิ้นเชื้อที่ให้เกิดแล้ว เพราะฉะนั้นท่านจึงไม่เกิดอีก แต่ก็ไม่สูญ พิจารณาดูเทียบกับธาตุไฟ เทียบกับไฟดังที่กล่าวมานั้น ตัวธาตุไฟนั้นไม่สูญ คือหมายถึงตัวธาตุที่เป็นธาตุแท้ เมื่อไม่มีเชื้อก็ไม่ติดเป็นไฟขึ้นอีก แต่ว่าธาตุที่เป็นธาตุแท้นั้นก็ไม่ปรากฏ เมื่อเป็นดั่งนี้ พระอรหันต์จึงไม่มีวิญญาณ เมื่อท่านดับขันธ์ปรินิพพานไปแล้ว ไม่มีวิญญาณที่จะท่องเที่ยวอยู่ เมื่อมีวิญญาณที่ยังท่องเที่ยวอยู่ ก็แสดงว่ายังไม่เป็นพระอรหันต์ ยังต้องถือภพถือชาติ คือเกิดในภพชาติอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่
ดังได้มีเรื่องที่เล่าว่า เมื่อพระอรหันต์บางรูปท่านดับขันธ์ปรินิพพาน มารได้ค้นหาวิญญาณของท่าน ว่าวิญญาณของท่านไปในที่ไหน แต่ก็ไม่สามารถจะพบวิญญาณของพระอรหันต์ได้ พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสว่ามารไม่สามารถจะพบวิญญาณของพระอรหันต์ได้ ก็เช่นเดียวกับไม่สามารถที่จะพบรอยต่าง ๆ เช่นรอยมือรอยเท้าในอากาศได้ เพราะท่านไม่เกิดเป็นอะไรอีก และก็มีแสดงว่า เมื่อดับขันธ์ปรินิพพานแล้ว ก็พ้นสมมติบัญญัติ พ้นทางของถ้อยคำ ที่จะพูดถึงอีกต่อไปว่าเป็นอะไร เพราะเมื่อพูดถึงได้ว่าเป็นนั่นเป็นนี่ ก็ต้องแสดงว่าต้องมีภพ มีชาติ จึงยังเป็นนั่นเป็นนี่อยู่ เมื่อไม่มีภพมีชาติ ไม่เป็นโน่นเป็นนี่อะไรทั้งหมดแล้ว ก็ไม่มีที่ตั้งของถ้อยคำอะไรที่จะยกขึ้นมาพูดได้ เรียกว่าวิญญาณก็ไม่ได้ จิตก็ไม่ได้ อะไรก็ไม่ได้ทั้งนั้น
เพราะฉะนั้น บรรดาผู้ที่ยังมีความคิดเห็น ว่ายังสามารถจะไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ไปเฝ้าพระอรหันต์ได้ในที่นั้นที่นี้ จึงไม่ตรงกับหลักแห่งพระพุทธศาสนา ที่พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ ดังที่ได้กล่าวมานี้ ท่านไม่มีภพ มีชาติ เป็นนั่น เป็นนี่ ที่จะไปเฝ้าได้ มีทางเดียวก็คือเห็นธรรมะ ดังที่มีพระพุทธภาษิตตรัสไว้ว่า ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นเราผู้นั้นเห็นธรรม ก็คือเห็นธรรมะด้วยปัญญา เห็นสัจจะคือความจริงด้วยปัญญา ดังที่ธรรมจักษุ ดวงตาเห็นธรรม ได้บังเกิดขึ้นแก่ท่านพระโกณฑัญญะว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมดมีความดับไปเป็นธรรมดา เห็นเกิดเห็นดับ ของสิ่งที่เกิดดับทั้งหลาย เห็นสัจจะคือความจริง ดั่งนี้ชื่อว่าเห็นธรรม และเมื่อเห็นธรรมดั่งนี้ก็เห็นพระพุทธเจ้า คือย่อมรู้ย่อมเห็นว่าพระพุทธเจ้า ผู้ตรัสแสดงธรรมะข้อนี้ไว้เป็นพุทโธ คือเป็นผู้ตรัสรู้จริง ดั่งนี้ คือเห็นพระพุทธเจ้า เห็นพระพุทธเจ้าก็คือเห็นธรรม เห็นธรรมก็คือเห็นพระพุทธเจ้า เห็นดั่งนี้ก็คือเป็นการเห็นสัจจะธรรม สัจจะธรรมนั้นเองที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ และที่สาวกของพระพุทธเจ้าได้รู้ตาม รู้ตามได้จริงเมื่อใดก็รับรองว่าผู้ที่ตรัสข้อนี้ไว้ เป็นพุทธะจริง เป็นพุทโธ เป็นพุทโธจริง ๆ
ฉะนั้น ความเห็นทั้งสองดังกล่าว คือความเห็นว่าเที่ยง และความเห็นว่าขาดสูญ จึงผิดต่อสัมมาทิฏฐิในอริยสัจจ์ที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้ ใครก็ตามที่ยึดถือความเห็นผิดดั่งนี้ จึงไม่อาจที่จะบรรลุมรรคผลนิพานได้ เพราะว่าขัดต่อสัมมาทิฏฐิในอริยสัจจ์ ต่อเมื่อละความเห็นนี้ได้ แต่ว่าเห็นในเหตุผลตามสัจจะทั้งที่ ๔ ที่เป็นอริยสัจจ์นั่นแหละ จึงจะเป็นสัมมาทิฏฐิในอริยสัจจ์ตามที่พระพุทธเจ้าได้ทรงสั่งสอน ฉะนั้น ก็จะต้องละอุปาทานคือความยึดถือความเห็นดังกล่าวนั้น หากมี และฝึกอบรมให้มีความเห็นชอบตามหลักสัมมาทิฏฐิในอริยสัจจ์ดังที่กล่าว
ความเห็นที่ไม่เป็นประโยชน์
อนึ่ง ยังมีความเห็นที่ไม่เป็นประโยชน์ เป็นไปเพื่อความทุ่มเถียงกันอยู่อีกเป็นอันมาก เป็นต้นว่าความเห็นที่ว่า โลกเที่ยง โลกไม่เที่ยง โลกมีที่สุด โลกไม่มีที่สุด เป็นต้น เมื่อมีผู้มากราบทูลถามพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าไม่ตรัสพยากรณ์ ตรัสว่าไม่เป็นประโยชน์ แต่เมื่อมีผู้กราบทูลถามปัญหาในอริยสัจจ์ทั้ง ๔ พระพุทธเจ้าจึงตรัสพยากรณ์ คือตรัสแก้อธิบาย เพราะเป็นปัญหาที่เป็นประโยชน์ ฉะนั้น แม้ความเห็นที่ไม่เป็นประโยชน์ต่าง ๆ เมื่อไปยึดถือความเห็นนั้น ๆ ก็เป็นสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ และไม่เข้าทางแห่งสัมมาทิฏฐิในอริยสัจจ์ดังที่กล่าวมา เมื่อไปยึดถือเข้าแล้วก็เป็นเครื่องป้องกันมิให้ขวนขวายเพื่อได้ความเห็นที่ชอบถูกต้อง อันเป็นประโยชน์เป็นไปเพื่อความสิ้นกิเลสและกองทุกข์ แม้ความเห็นต่าง ๆ ในเรื่องต่าง ๆ ซึ่งทุก ๆ คนมีอยู่ในเรื่องนั้นบ้างในเรื่องนี้บ้าง ถ้าหากว่าไปยึดถือในความเห็นของตนนั้น ๆ ก็เป็นทิฏฐุปาทานเหมือนกัน ทำให้ดื้อรั้นยืนยันไม่ยอมที่จะเปลี่ยนความเห็นของตน และเป็นเหตุให้โต้เถียงวิวาทกับผู้ที่มีความเห็นต่างกัน ฉะนั้น ทางปฏิบัติเกี่ยวกับความเห็นนี้จึงควรที่จะยุติด้วยเหตุผล คือแม้ใครจะมีความเห็นของตนอย่างไรก็มีไป แต่ก็ฟังเหตุผลของผู้อื่นด้วย และมาไตร่ตรองพิจารณาว่าความเห็นของผู้ใดถูกต้อง ก็รับเอาซึ่งความเห็นอันถูกต้องนั้น ไม่ยืนยันในความเห็นของตัว แม้ว่าผิดก็ไม่ยอมผิด บางทีรู้ว่าผิดแต่ก็ไม่ยอมที่จะแก้ไข ดั่งนี้ก็แสดงว่ามีความยึดถืออยู่ในความเห็นของตนอย่างรุนแรง และก็ถือรั้นอยู่ในความเห็นของตนนั้น ได้มีคำว่า นานา จิตตัง อันแสดงถึงว่าทุกคนนั้นต่างจิตต่างใจกัน จึงย่อมมีความคิดเห็นที่ต่าง ๆ กัน
เพราะฉะนั้นจึงได้มีทางที่จะยุติความเห็นให้เหลืออย่างหนึ่ง สำหรับที่จะถือเอาเป็นทางปฏิบัติ เช่นในที่ประชุมของคนเป็นอันมาก ก็ถือเอามติของเสียงข้างมาก เมื่อเสียงข้างมากลงว่าอย่างไร ก็ถือเอามตินั้นเป็นทางปฏิบัติ แต่ว่าคติในทางพุทธศาสนานั้น ในพระวินัยบัญญัติก็มีอยู่ข้อหนึ่ง สำหรับที่จะระงับอธิกรณ์ ใช้วิธี เยภุยฺยสิกา คือว่าเสียงข้างมากเป็นประมาณ เป็นข้อหนึ่งใน ๗ ข้อ อันแสดงว่าทางพุทธศาสนานั้น มิได้ถือหลักของเสียงข้างมากเพียงประการเดียว แต่มีหลักอื่น ๆ อีกถึง ๖ ข้อ ๗ ทั้งข้อที่ถือเอาเสียงข้างมาก และเมื่อกล่าวตามหลักที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน อันเป็นหลักธรรมะที่พึงถือปฏิบัติ เพื่อความถูกต้องจริง ๆ แล้ว ต้องการให้ถือเอาธรรมะคือความถูกต้องนั่นแหละเป็นหลัก
อธิปไตย ๓
ดังที่ได้มีแสดงอธิปไตย ๓ คือ โลกาธิปไตย โลกเป็นใหญ่ อัตตาธิปไตย ตนเป็นใหญ่ ธรรมาธิปไตย ธรรมะเป็นใหญ่ โลกาธิไตย โลกเป็นใหญ่นั้นก็คือ ชาวโลกก็หมายถึงคนส่วนมาก เมื่อคนส่วนมากว่าอย่างใด ก็ถือเอาตามคนส่วนมากนั้น ดั่งนี้เรียกว่าโลกเป็นใหญ่ ตนเป็นใหญ่นั้นก็คือว่าถือเอาความเห็นของตนเท่านั้นเป็นประมาณ ไม่ฟังเสียงใคร ดั่งนี้ตนเป็นใหญ่ ธรรมะเป็นใหญ่ ก็คือเอาความถูกต้องนั่นแหละเป็นสำคัญ ไม่ถือเอาโลกเป็นใหญ่ ไม่ถือเอาตนเป็นใหญ่ เพราะว่าแม้โลกคือคนเป็นอันมากจะมีความเห็นอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็มิใช่หมายความว่าถูกต้องไปทั้งหมด คนส่วนใหญ่มีความเห็นผิดก็มีอยู่เป็นอันมาก แม้ตนเองก็เหมือนกัน มีส่วนผิดอยู่เป็นอันมาก มิใช่ว่าตนเองเห็นอะไรแล้วจะถูกต้องไปหมด เพราะฉะนั้น หลักอันถูกต้องจริง ๆ แล้วต้องเป็นหลักธรรมาธิปไตย คือธรรมะเป็นใหญ่ ทั้ง ๓ นี้ได้ตรัสย่อเข้าอีกเป็น ๒ คือเป็นตัณหาธิปไตย กับเป็น ธรรมาธิปไตย
ตัณหาธิปไตยนั้นก็คือตัณหาเป็นใหญ่ ตัณหาเป็นความดิ้นรนทะยานอยาก เมื่อตัณหาคือความดิ้นรนทะยานอยากเป็นใหญ่ ก็ย่อมจะยุ่งยากเดือดร้อน แต่เมื่อมีธรรมะคือความถูกต้องเป็นใหญ่ จึงจะมีความสงบสุข เพราะเป็นความถูกต้อง เป็นไปเพื่อเกื้อกูลจริง ๆ ฉะนั้นแม้จะเป็นโลกก็ตามเป็นตนก็ตาม เมื่อยังประกอบด้วยตัณหาคือความดิ้นรนทะยานอยากอยู่ และใช้ตัณหานั้นในการลงความเห็น ในการปฏิบัติอะไรต่าง ๆ อยู่แล้ว ก็เรียกว่าตัณหาธิปไตย เมื่อเป็นตัณหาธิปไตยแล้ว ก็จะไม่พบกับความสงบความเรียบร้อย และผลดีต่าง ๆ ที่แท้จริง ต่อเมื่อธรรมะเป็นใหญ่คือถูกต้อง เมื่อคนส่วนมากถือธรรมะคือความถูกต้องเป็นใหญ่ คนส่วนมากนั้นก็ใช้ได้ มติของคนส่วนมากนั้นก็ใช้ได้ หรือเมื่อตนเองถือเอาธรรมะคือความถูกต้องเป็นใหญ่ ความคิดเห็นของตนเองนั้น ก็ใช้ได้เช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้น หากว่ามาปฏิบัติตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน ไม่ยึดถือในความเห็นที่มีตัณหาเป็นใหญ่ จะเป็นความเห็นของคนส่วนมากก็ตาม ของตัวเองก็ตาม แต่ว่ายึดเอาความเห็นที่มีธรรมะเป็นใหญ่ ที่ถูกต้อง จะเป็นความเห็นของคนส่วนมากก็ได้ ของใครก็ได้ ของตัวเองก็ได้ ดั่งนี้แล้ว จึงจะเป็นไปเพื่อความเรียบร้อยถูกต้อง
และในการที่จะบรรลุถึงความที่จะมีธรรมะเป็นใหญ่นี้ได้ (เริ่ม)...พระพุทธเจ้ายังได้ตรัสสอนไว้อีกว่า ให้มี สตาธิปไตย คือมีสติเป็นใหญ่ จะเป็นคนอื่นก็ตาม เป็นตัวเองก็ตาม ให้ใช้สติเป็นใหญ่ คือความระลึกได้ ความระลึกรู้อันถูกต้อง ประกอบด้วยปัญญาอันถูกต้อง ดั่งนี้เรียกว่าสตาธิปไตย มีสติเป็นใหญ่ เมื่อได้สตาธิปไตย คือมีสติเป็นใหญ่ด้วยกันดั่งนี้แล้ว ก็ย่อมจะพบธรรมาธิปไตย คือธรรมะเป็นใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นผู้อื่นก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นตนเองก็ตาม พระพุทธเจ้าได้ตรัสถึงพระองค์เองว่าได้ทรงเป็นธรรมาธิปไตย คือทรงมีธรรมะเป็นใหญ่ ในการที่ทรงแสดงธรรมะสั่งสอน ในการที่ทรงปกครองหมู่สงฆ์ ทรงมีธรรมะเป็นใหญ่ ดั่งนี้ เพราะฉะนั้น ทิฏฐุปาทานคือความยึดถือทิฏฐิคือความเห็นนั้น จึงต้องพิจารณาดู หากไปยึดถือทิฏฐิคือความเห็นที่มีตัณหาเป็นใหญ่แล้ว ก็เป็นอันว่าเป็นไปในทางผิด มากกว่าเป็นไปในทางถูก ต่อเมื่อได้มีทิฏฐิคือความเห็นที่มีธรรมะเป็นใหญ่นั่นแหละ จึงจะเป็นไปในทางที่ถูกต้อง
สีลสามัญญตา ทิฏฐิสามัญญตา
ทางพุทธศาสนาได้แสดงให้ภิกษุทั้งหลาย ผู้ที่จะมีสังฆสามัคคี คือมีความพร้อมเพรียงกันของสงฆ์ ไม่แตกแยก ด้วยอาศัยหลักสำคัญ ๒ ข้อ คือ
๑. สีลสามัญญตา ความเป็นผู้ที่มีศีลเสมอกัน
๒. ทิฏฐิสามัญญตา ความเป็นผู้ที่มีทิฏฐิคือความเห็นเสมอกัน
มีศีลเสมอกันนั้น ก็มีความประพฤติปฏิบัติทางกายทางวาจา ตลอดจนถึงทางใจ ตามหลักแห่งพระพุทธบัญญัติของพระพุทธเจ้า ร่วมกันเสมอกัน ทิฏฐิสามัญญตามีความเห็นเสมอกันนั้น ก็คือมีความเห็นชอบถูกต้อง ตามพระธรรมวินัยที่พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ ได้ทรงบัญญัติไว้ สรุปเข้ามา ความเห็นที่เป็นความเห็นอันถูกต้องนั้น ก็ได้แก่ความเห็นที่เป็นอริยะ คือความเห็นที่พระพุทธเจ้าผู้เป็นอริยะได้ตรัสแสดงเอาไว้ ความเห็นที่เป็นตัวอริยะเอง คือเป็นความเห็นที่ประเสริฐที่ถูกต้อง อันเป็นความเห็นที่เป็นไปเพื่อออกจากทุกข์ เป็นความเห็นที่นำผู้ที่ประกอบด้วยความเห็นนั้น ที่ปฏิบัติกระทำความเห็นนั้น ให้ถึงความสิ้นทุกข์โดยชอบได้ ดั่งนี้แหละ คือเป็นความเห็นที่ผู้อยู่ร่วมเป็นสังฆสามัคคี จะพึงมีความเห็นร่วมกัน เมื่อหมู่แห่งภิกษุมีสีลสามัญญตา มีทิฏฐิสามัญญตา ดั่งนี้ ก็ย่อมมีความสามัคคีพร้อมเพรียงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แต่ถ้าหากว่ามีศีลไม่เสมอกัน มีความเห็นไม่เสมอกัน คือแตกต่างกัน ก็ย่อมเป็นเหตุแตกแยก
เหตุที่พระสงฆ์แตกแยกเป็นนิกายต่าง ๆ
ฉะนั้น การที่พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา แตกแยกออกเป็นยานต่าง ๆ เป็นนิกายต่าง ๆ ตั้งแต่ครั้งเก่าก่อน มาจนถึงในสมัยหลัง ๆ นี้ ก็เพราะเหตุที่มีศีลไม่เสมอกัน มีความเห็นไม่เสมอกัน ดังที่กล่าวมานี้ เมื่อมีศีลเสมอกัน มีความเห็นเสมอกันอยู่แล้ว ก็ย่อมจะมีความสามัคคีพร้อมเพรียงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ไม่มีความแตกแยกกัน
ในข้อนี้เมื่อพิจารณาดูแล้ว แม้ในทางฝ่ายคฤหัสถชนก็เช่นเดียวกัน ที่รวมกันอยู่เป็นหมู่เป็นคณะ ตั้งแต่ครอบครัวหนึ่งขึ้นไปจนถึงประเทศชาติ เมื่อมีความประพฤติเสมอกันอยู่ และมีความเห็นเสมอกันอยู่ในสิ่งต่าง ๆ ก็ย่อมจะมีความสามัคคีพร้อมเพรียงกัน แต่ถ้าหากว่า แตกแยกความประพฤติกัน และแตกแยกความเห็นกัน ก็ย่อมเป็นเหตุแตกแยก เป็นไปเพื่อหายนะคือความเสื่อม เพราะฉะนั้น เรื่องทิฏฐิคือความเห็นจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก นำความประพฤติ ความประพฤติต่าง ๆ นั้นย่อมสืบเนื่องมาจากความเห็น เมื่อเป็นความเห็นที่ถูกต้อง ก็ประพฤติถูกต้อง เมื่อเป็นความเห็นที่ไม่ถูกต้อง ความประพฤติก็ไม่ถูกต้อง
ฉะนั้น เรื่องทิฏฐิคือความเห็นจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก และทิฏฐุปาทานความยึดถือความเห็น คือทิฏฐินี้ ก็มุ่งหมายถึงยึดถือความเห็นที่ผิดต่าง ๆ นั่นแหละ เพราะฉะนั้น หากไม่ทราบในข้อนี้ดีแล้ว และปฏิบัติตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน อันเกี่ยวกับเรื่องความเห็น คือระมัดระวังที่จะไม่ยึดถือความเห็น จะเป็นของโลก ของใครก็ตาม ของตนเองก็ตาม แต่ว่ามุ่งพิจารณาจับเหตุจับผล ถือเอาธรรมะคือความถูกต้องเป็นประมาณ จะเป็นความเห็นของตนก็ตาม ของผู้อื่นก็ตาม เมื่อไม่ถูกต้องคือไม่เป็นไปตามคลองธรรม ดั่งนี้แล้ว ก็ไม่ยึดมั่นถือรั้นอยู่ในความเห็นนั้น แต่ว่าละเสีย แก้ไขเสีย แต่ถ้าหากว่าเป็นความเห็นอันเป็นธรรมะคือถูกต้อง จึงจับปฏิบัติรับเอาความเห็นนั้น และในการที่จะพิจารณาดั่งนี้ ก็พิจารณาได้ตามเหตุผล ตามความเป็นจริง คือรับไว้พิจารณา และก็ต้องอาศัยให้มีสตาธิปไตย มีสติเป็นใหญ่อยู่ด้วยกัน พร้อมทั้งปัญญาดั่งนี้แล้ว ก็จะนำให้สามารถได้พบความเห็นอันถูกต้อง นำการปฏิบัติอันถูกต้องให้บังเกิดขึ้นได้ เป็นความสวัสดีในที่ทั้งปวง
ต่อจากนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวดและตั้งใจทำความสงบสืบต่อไป