แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุก ๆ ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม
ท่านพระสารีบุตรได้แสดงอธิบายสัมมาทิฏฐิต่อไปอีกว่า สัมมาทิฏฐิความเห็นชอบก็คือรู้จัก ชาติ ความเกิด รู้จัก ชาติสมุทัยเหตุเกิดแห่งชาติ รู้จักชาตินิโรธ ความดับแห่งชาติ รู้จักชาตินิโรธคามินีปฏิปทา ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งชาติ รู้จักดั่งนี้เป็นสัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ อุชุกะทิฏฐิ ความเห็นตรง นำให้ได้ความเลื่อมใสไม่หวั่นไหวในพระธรรม นำมาสู่สัทธรรมคือพระธรรมวินัยในศาสนานี้ ดั่งนี้ ก็เป็นอันว่าท่านพระสารีบุตรได้อธิบายสัมมาทิฏฐิคือความเห็นชอบ คืบขึ้นไปอีกช่วงหนึ่ง หรืออีกลูกโซ่หนึ่ง หรืออีกเปลาะหนึ่ง และท่านได้แสดงอธิบายถึงชาติคือความเกิดว่า ก็ได้แก่ชาติ สัญชาติ ความก้าวลง ความบังเกิด ความบังเกิดยิ่ง ความปรากฏแห่งขันธ์ทั้งหลาย ความได้เฉพาะอายตนะทั้งหลาย รู้จักชาติก็คือรู้จักดั่งนี้
รู้จักชาติสมุทัย เหตุเกิดแห่งชาติ ก็คือรู้จักว่าเหตุเกิดแห่งชาติ หรือความเกิดแห่งชาติ ก็มีเพราะความเกิดแห่งภพ คือเพราะภพเกิด ชาติก็เกิด รู้จักดั่งนี้เป็นความรู้จักเหตุเกิดแห่งชาติ รู้จักชาตินิโรธ ความดับชาติ ก็คือรู้จักว่า ความดับแห่งชาติย่อมมีเพราะความดับแห่งภพ ก็คือว่าเพราะภพดับ ชาติก็ดับ รู้ดั่งนี้เป็นความรู้จักชาตินิโรธ ความดับแห่งชาติ รู้จักทางปฏิบัติให้ถึงความดับชาติ ก็คือรู้จักว่ามรรคมีองค์ ๘ มีสัมมาทิฏฐิเป็นต้น เป็นทางปฏิบัติให้ถึงความดับชาติ
ต่อไปนี้จะได้แสดงอธิบายไปตามสมควร อันชาติคือความเกิดนี้ ที่ได้มีพระพุทธาธิบาย และมีพระเถราธิบายตาม ว่าได้แก่ ชาติ สัญชาติ ความก้าวลง และใช้คำอื่น ๆ ก็มีความหมายถึงชาติ คือความเกิด ตามที่ได้เข้าใจกัน และได้พูดถึงกัน อันชาติคือความเกิดนี้สำหรับมนุษยชาติ หรือว่าสัตว์ที่เกิดอาศัยครรภ์มารดาทั้งปวง ย่อมเรียกว่าชาติคือความเกิดตั้งแต่ก่อกำเนิดขึ้นในครรภ์ของมารดา อันความก่อกำเนิดขึ้นในครรภ์ของมารดานี้ ได้มีพระพุทธภาษิตแสดงอธิบายไว้ ว่าอาศัยองค์ประกอบ ๓ ประการ คือ ๑ มารดาบิดาอยู่ด้วยกัน ๒ มารดามีฤดู ๓ คันธัพพะ หรือที่เรียกกันว่าคนธรรพ์ หมายถึงสัตว์ที่จะมาถือกำเนิด หรือหมายถึงปฏิสนธิวิญญาณมาปรากฏขึ้น เมื่อประกอบด้วยองค์ ๓ ประการนี้ ครรภ์ก็ตั้งขึ้น หรือเรียกตามคำแปลตามศัพท์ภาษาบาลีว่า ความก้าวลงแห่งครรภ์ก็ย่อมมี ๓
อันคำว่าครรภ์นี้ก็หมายถึงสัตว์ผู้มาบังเกิดในท้องของแม่ ที่เรียกว่าตั้งครรภ์ ก็คือความก้าวลงของครรภ์ ก้าวลงของสัตว์ที่จะมาบังเกิดในครรภ์ ก็ย่อมมีขึ้น และก็เรียกว่าเป็นปฐมจิต ปฐมวิญญาณ ตั้งแต่นั้น และอาศัยความเติบโตขึ้นมาโดยลำดับ จนถึงครบถ้วน ๙ เดือน ๑๐ เดือน ก็คลอดออกจากครรภ์ของมารดา ชาติคือความเกิดนั้นก็นับตั้งแต่คันธัพพะหรือคนธรรพ์ หรือปฏิสนธิวิญญาณมาปรากฏก่อขึ้น เป็นปฐมจิต ปฐมวิญญาณ แต่ตามที่นับกันคือนับอายุ ก็มักจะนับตั้งแต่เมื่อได้คลอดออกมาจากครรภ์ของมารดาแล้ว จึงจะเรียกว่าเกิด และก็นับอายุกันมาตั้งแต่นั้น
ในพระบาลีอีกแห่งหนึ่งได้มีแสดงไว้ว่า เมื่อธาตุทั้ง ๖ มาประชุมกัน ครรภ์จึงตั้งขึ้น หรือก้าวลง ที่เรียกว่าตั้งครรภ์ ธาตุทั้ง ๖ นั้นก็ได้แก่ ปฐวีธาตุ ธาตุดิน อาโปธาตุ ธาตุน้ำ เตโชธาตุ ธาตุไฟ วาโยธาตุ ธาตุลม อากาสธาตุ ธาตุอากาศคือช่องว่าง วิญญาณธาตุธาตุรู้ หรือธาตุวิญญาณ เมื่อธาตุทั้ง ๖ นี้มาประชุมกัน ครรภ์ก็ตั้งขึ้น หรือความก้าวลงของครรภ์ก็มีขึ้น และเมื่อครรภ์ตั้งขึ้น นามรูปก็มีขึ้น ตามพระพุทธภาษิตที่ตรัสไว้ในที่นี้ ว่าเมื่อธาตุทั้ง ๖ ประชุมกัน ครรภ์ก็ตั้งขึ้น ธาตุทั้ง ๖ นั้น ธาตุทั้ง ๕ ข้างต้น คือธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ธาตุอากาส เป็นธาตุที่ไม่มีความรู้ เป็นธาตุที่เป็นฝ่ายวัตถุ เป็นฝ่ายรูป ส่วนธาตุที่ ๖ คือวิญญาณธาตุนั้นเป็นธาตุรู้ และธาตุที่ ๖นี้ คือวิญญาณธาตุ ก็ตรงกับที่เรียกว่าปฏิสนธิวิญญาณ รวมความก็คือเมื่อส่วนที่เป็นรูป คือธาตุ ๕ ข้างต้น กับปฏิสนธิวิญญาณมาประชุมกัน ครรภ์ก็ตั้งขึ้นมา นับเป็นปฐมจิตปฐมวิญญาณ ดั่งที่กล่าว
ชาติคือความเกิดนี้ ก่อนที่พระพุทธศาสนาจะบังเกิดขึ้น หรือหลังจากที่พระพุทธศาสนาบังเกิดขึ้นแล้ว ย่อมมีความเชื่อถือกัน ว่ามีอยู่ ๒ อย่าง อย่างหนึ่งก็คือ เกิดมาแล้วก็ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย อีกอย่างหนึ่ง เกิดมาแล้วดำรงอยู่เป็นนิรันดร ไม่ตาย
และคนเป็นอันมาก หรือเรียกว่าทั้งโลก เมื่อเกิดมาก็ไม่ปรารถนาที่จะแก่ จะเจ็บ จะตาย ต้องการที่จะดำรงอยู่ แม้ว่ารู้ว่าดำรงอยู่ไม่ได้ ก็ต้องการให้อายุยืนนาน จึงพากันแสวงหาวิธีหรือหยูกยาที่จะทำให้อายุยืนนาน ที่เรียกว่าอายุวัฒนะ และแม้ว่าเกิดมาเป็นมนุษย์ รู้อยู่ว่าจะต้องตาย ก็ปรารถนาที่จะไปเกิดในภพชาติที่ไม่ตาย เช่นไปเกิดเป็นเทพที่เชื่อว่าไม่ตาย เพราะฉะนั้น จึงได้เรียกเทพว่าอมร ที่แปลว่าผู้ไม่ตาย
แม้ศาสดาทั้งหลายผู้สอนศาสนานั้น ๆ ก็สอนกันว่ามีสรวงสวรรค์ อันเป็นที่สถิตของเทพที่เป็นอมรคือไม่ตายนี้ และก็สอนให้นับถือปฏิบัติเพื่อที่จะไปเกิดในภูมิชั้นของเทพที่ไม่ตาย ไปเป็นอมรคือเป็นผู้ที่ไม่ตาย คือไปเกิดแล้วก็ไม่ตาย และแม้เป็นมนุษย์นี้เอง ก็ยังมีลัทธิที่เชื่อถือว่าเมื่อไปปฏิบัติในวิธีพิเศษ ตามลัทธิที่สั่งสอนนั้น ก็จะสำเร็จทั้งที่เป็นกายมนุษย์นี้ เป็นผู้ที่ดำรงชีวิตอยู่ตลอดไปไม่ตาย เช่นไปสำเร็จเป็นเซียนต่าง ๆ
พระพุทธเจ้าเองเมื่อเป็นพระโพธิสัตว์ยังมิได้ตรัสรู้ ทรงเป็นสิทธัตถะราชกุมาร เมื่อได้ทอดพระเนตรเห็นเทวทูต คือ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และสมณะ ก็ได้ทรงพิจารณาเข้ามา เห็นว่าแม้พระองค์เองจะทรงดำรงอยู่ในโลกนี้ในฐานะใด ๆ ก็ตาม แม้ในฐานะเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ พระราชาเอกในโลก ก็ต้องแก่ต้องเจ็บต้องตาย จึงได้ทรงปรารถนาโมกขธรรม ธรรมะเป็นเครื่องหลุดพ้น พ้นจากความแก่ความเจ็บความตาย ด้วยทรงพิจารณาเทียบเคียงว่า เมื่อมีแก่มีเจ็บมีตาย ก็จะต้องมีไม่แก่ไม่เจ็บไม่ตาย เหมือนอย่างเมื่อมีกลางวันก็มีกลางคืน มีกลางคืนก็มีกลางวัน เป็นคู่กัน จึงได้เสด็จออกผนวชเพื่อทรงแสวงหาโมกขธรรม
ในพุทธประวัติตอนนี้ก็ยังมิได้กล่าวถึงชาติคือความเกิด ต่อเมื่อพระองค์ได้ทรงพบทางที่เป็นมัชฌิมาปฏิปทา ข้อปฏิบัติอันเป็นหนทางกลาง ด้วยพระองค์เอง ได้ทรงพิจารณาด้วยพระปัญญาที่เป็นสัมมาทิฏฐิคือความเห็นชอบ จึงได้ทรงพบว่าความแก่ ความเจ็บ ความตายนั้น ย่อมมีเพราะชาติคือความเกิด เมื่อมีชาติคือความเกิด จะเกิดเป็นอะไร ๆ ก็ต้องมีดับ คือตายหรือแตกสลายในที่สุด ไม่มีใครหรืออะไรที่จะเป็นอมร คือไม่ตาย
ใครหรืออะไรเมื่อมีเกิด ก็ต้องมีดับดังกล่าว จึงได้ทรงพบสัจจะคือความจริง ว่าสมุทัยคือความเกิดหรือเหตุเกิดของชรามรณะนั้น ก็เพราะชาติ เมื่อมีชาติ ก็มีชรามีมรณะ อันนับว่าเป็นสัมมาทิฏฐิคือความเห็นชอบ ตามที่ท่านพระสารีบุตรท่านได้อธิบาย และพระพุทธเจ้าเมื่อเป็นพระโพธิสัตว์ ก็ทรงพิจารณาสืบค้นขึ้นไป ว่าความเกิดขึ้นแห่งชาติ หรือเหตุเกิดแห่งชาตินั้นคืออะไร ก็ได้ทรงพบว่าก็คือภพ เพราะภพเกิดขึ้นชาติจึงเกิดขึ้น เพราะภพมีขึ้นชาติจึงมีขึ้น ดังที่ท่านพระสารีบุตรได้นำมาอธิบายในขั้นนี้ และพระพุทธเจ้าเมื่อเป็นพระโพธิสัตว์ ก็ได้ทรงค้นคว้าสืบ ๆ ขึ้นไป แต่ในขั้นนี้นั้นเอาเพียงแค่ว่าเพราะมีภพ หรือเพราะภพเกิดขึ้น ชาติจึงมี ชาติ ๆ จึงเกิดขึ้น เพราะความเกิดขึ้นแห่งภพ จึงมีความเกิดขึ้นแห่งชาติ
ก็เป็นอันว่าพระพุทธเจ้าพระองค์เดียวเท่านั้นในโลกนี้ ซึ่งเป็นพระผู้ตรัสรู้ ได้ตรัสรู้พบสัจจะคือความจริงตั้งแต่ในขั้นนี้ ว่าชรามรณะนั้นมีเพราะชาติคือความเกิด และชาติคือความเกิดมีขึ้นก็เพราะมีภพ นี้เป็นสัจจะคือเป็นความจริงที่เป็นความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า และพระพุทธเจ้าคือพระผู้ตรัสรู้ ที่ได้ชื่อว่าพุทธะนี้เท่านั้น จึงตรัสรู้ดั่งนี้ ศาสดาก่อนแต่พระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น หรือแม้ภายหลังที่พระพุทธเจ้าทรงบังเกิดขึ้น ก็มิได้มีผู้ใดแสดงดั่งนี้ ได้ตรัสรู้ดั่งนี้ เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าเมื่อทรงเป็นพระโพธิสัตว์ เป็นสิทธัตถะราชกุมาร เมื่อเสด็จออกทรงผนวชแล้ว ได้ทรงเข้าศึกษาในสำนักท่านอาจารย์อาฬารดาบสและอุทกดาบส ได้ทรงศึกษาจบสมาบัติ ๗ สมาบัติ ๘ ซึ่งเป็นสมาธิอย่างสูงตามลัทธิของท่านดาบสทั้งสองนั้น ซึ่งยังปฏิบัติสมาธิดังกล่าวเพื่อภพชาติ ซึ่งเข้าใจว่าเป็นอมรคือไม่ตาย ดังเช่นที่บัญญัติว่าเป็นพรหม หรือเป็นเทพชั้นสูงสุดชั้นใดชั้นหนึ่ง เมื่อเป็นดั่งนี้จึงเป็นอันว่า ปฏิบัติลัทธิสมาบัติทั้งปวงนั้นเพื่อชาติคือความเกิด ซึ่งความเกิดในภพชาติที่ไม่ตายนั้นไม่มี
เมื่อมีชาติคือความเกิดแล้ว จะในภพชาติใดก็ตาม ก็จะต้องมีดับ ต่างแต่เร็วหรือช้าเท่านั้น แต่ก็มิได้ทรงปฏิเสธว่าไม่มีเทพดาไม่มีพรหม เทพดาพรหมมี ซึ่งเมื่อปฏิบัติตามลัทธิสมาบัตินั้นก็ไปได้ แต่ว่าแม้ไปเกิดเป็นพรหมเป็นเทพนั้น ๆ ก็ชื่อว่ามีชาติ คือความเกิดก็จะต้องมีแก่ มีตาย มีดับ จึงเป็นอันว่าไม่พ้นทุกข์ เพราะยังต้องมีเกิดมีดับ และยังมีตัณหาคือความอยากอันเป็น โปโนพฺภวิกา เป็นไปเพื่อเกิดในภพชาติใหม่ ก็เป็นอันว่ายังไม่สิ้นกิเลส ยังไม่สิ้นชาติสิ้นภพ ยังไม่สิ้นทุกข์ จึงได้เสด็จหลีกออกไปทรงบำเพ็ญทุกรกิริยา แต่ก็ไม่ทรงเห็นว่าจะเป็นประโยชน์ เพราะไม่เป็นทางให้เกิดปัญญา ที่จะรู้ถึงสัจจะคือความจริงที่ยิ่ง ๆ ขึ้นไปได้
และก็เป็นอันว่า แม้ในขั้นที่ทรงละสละสำนักของท่านดาบสทั้งสองนั้น ก็ได้ทรงเริ่มที่จะเข้าพระทัย ที่จะรู้ว่าเมื่อยังมีชาติคือความเกิดอยู่ ก็จะต้องมีชรา มีมรณะ ยังมีทุกข์ เพราะฉะนั้น ก็จะต้องหาทางปฏิบัติเพื่อดับชาติคือความเกิด ซึ่งทางปฏิบัติเพื่อดับชาติคือความเกิดนี้ ยังไม่มีศาสดาใดสั่งสอนได้ มีแต่สั่งสอนที่จะให้ไปเกิดในภพชาติที่เข้าใจว่าเป็นอมรคือไม่ตาย ดังที่กล่าวนั้น ซึ่งหามีไม่ตามความเป็นจริงดังที่กล่าว เพราะฉะนั้น ก็เป็นอันว่าแม้ในขั้นนั้น พระโพธิสัตว์ก็ได้มีพระปัญญาที่ได้ทรงพิจารณาเห็น จับเหตุจับผล จับลูกโซ่ของสังสารวัฏ จับตั้งแต่ความแก่ความตาย ว่ามีเพราะชาติคือความเกิด แต่ก็เมื่อไม่มีศาสดาใดจะสั่งสอนว่าจะดับชาติได้อย่างไร จึงต้องทรงหาเอาเอง ด้วยทรงปฏิบัติค้นคว้าต่อไป จนได้ทรงพบทางที่เป็นมัชฌิมาปฏิปทาดังกล่าว เพราะฉะนั้น เงื่อนของธรรมะตอนนี้จึงเป็นเงื่อนสำคัญ ที่ผู้ศึกษาปฏิบัติธรรมะทางปัญญา หรือทางวิปัสสนา จะต้องทำความเข้าใจ และเมื่อเป็นดั่งนี้แล้ว จึงจะเป็นสัมมาทิฏฐิคือความเห็นชอบ ที่จะนำให้เข้ามาสู่สัทธรรม คือพระธรรมวินัยในศาสนานี้ถูกตรง
ต่อไปนี้ก็ขอให้ตั้งใจทำความสงบสืบต่อไป