แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆ ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม
พระบรมศาสดาได้ทรงสอนวิธีที่จะละอาสวะ คือกิเลสที่ดองสันดานไว้หลายประการ ได้แสดงไปแล้วข้อหนึ่ง คือละด้วยปัญญาที่รู้ที่เห็น หรือว่าสังวรป้องกันอาสวะที่ยังไม่เกิดมิให้เกิดขึ้น ละอาสวะที่เกิดขึ้นแล้วด้วยปัญญาที่รู้ที่เห็น จึงมาถึงข้อที่ ๒ ได้ตรัสสอนให้ละหรือให้สังวร คือระมัดระวังป้องกันอาสวะที่ยังไม่เกิดมิให้เกิดขึ้น ละอาสวะที่เกิดขึ้นแล้วด้วยสังวรคือความสำรวมตาหูจมูกลิ้นกายและมนะคือใจ ซึ่งเรียกด้วยภาษาธรรมะว่า อินทรียสังวร ความสำรวมอินทรีย์ จึงจะอธิบายข้อนี้โดยจะเริ่มด้วยอธิบายคำว่าอินทรีย์ในที่นี้ ที่อาจารย์ท่านสอนกันมาให้แปลว่าเป็นใหญ่
อินทรีย์ ๖
โดยอธิบายว่าจักขุคือตาชื่อว่าอินทรีย์เพราะเป็นใหญ่ในการดูการเห็นรูป โสตะคือหูชื่อว่าอินทรีย์เพราะเป็นใหญ่ในการฟังในการได้ยินเสียง ฆานะคือจมูกได้ชื่อว่าอินทรีย์เพราะเป็นใหญ่ในการสูดดมหรือทราบกลิ่น ชิวหาคือลิ้นชื่อว่าอินทรีย์เพราะเป็นใหญ่ในการได้ลิ้มหรือได้ทราบรส กายได้ชื่อว่าอินทรีย์เพราะเป็นใหญ่ในการถูกต้องหรือได้ทราบโผฏฐัพพะคือสิ่งที่กายถูกต้อง มโนหรือมนะคือใจได้ชื่อว่าอินทรีย์เพราะเป็นใหญ่ในการได้รู้ธรรมะคือเรื่องราว ดั่งนี้
อินทรียสังวรความสำรวมอินทรีย์ก็คือสำรวมอินทรีย์ทั้ง ๖ นี้ สำรวมตา สำรวมหู สำรวมจมูก สำรวมลิ้น สำรวมกาย สำรวมมนะคือใจ สำรวมอย่างไรก็คือว่ามีความสำรวมคือความป้องกัน ความระมัดระวังด้วยสติ ในทุกเวลาที่ตากับรูปได้ประจวบกัน หูกับเสียงได้ประจวบกัน จมูกกับกลิ่นได้ประจวบกัน ลิ้นกับรสได้ประจวบกัน กายและสิ่งที่กายถูกต้องได้ประจวบกัน มโนคือใจและธรรมะคือเรื่องราวได้ประจวบกัน
พระพุทธเจ้าได้สั่งสอนไว้ทุกข้อว่าให้พิจารณาโดยแยบคาย สำรวมอินทรีย์คือตา ก็คือในขณะที่ตากับรูปประจวบกัน หรือที่เรียกกันง่ายๆ ว่าตาเห็นรูป ก็มีสติคอยสำรวมระวังเอาไว้ มิให้ยึดถือสิ่งที่ตาเห็นนั้นเกิดความยินดีเกิดความยินร้าย อันเรียกว่านำกิเลสให้ไหลเข้ามาท่วมจิตใจสู่จิตใจ คือระมัดระวังมิให้เป็นอารมณ์ ที่นำความยินดีความยินร้ายไหลเข้ามาสู่จิตใจ ท่วมจิตใจ
อันความยินดีความยินร้ายที่ไหลเข้ามาท่วมจิตใจทางตานี้แหละ ได้ชื่อว่าเป็นอาสวะอย่างหนึ่ง ตามที่ได้กล่าวแล้วว่าอาสวะคือกิเลสที่ดองจิตใจ หรือดองจิตสันดาน ก็ไหลเข้ามาทางตานี้นั้นเอง โดยที่ยึดถือเป็นอารมณ์ เกิดความยินดีเกิดความยินร้ายขึ้นในจิต ท่วมจิตใจ ซึ่งเรียกว่าดองก็เพราะเหตุว่าทำให้จิตใจนี้แปรปรวน เหมือนอย่างน้ำดองของเมา เดิมก็เป็นน้ำธรรมดา และเมื่อมามีเชื้อแห่งความเมาผสมในน้ำนั้น อันเรียกว่าดอง ก็คือว่าผสมอยู่นานๆ ก็ทำให้น้ำที่เป็นน้ำธรรมดานั้นกลายเป็นน้ำเมาขึ้นมา ดังที่เราเรียกกันว่าน้ำดองของเมา ซึ่งเป็นลักษณะของสิ่งที่เรียกว่าเมรัย แต่เมื่อมีการกลั่นให้เป็นของเมาขึ้นมาด้วยความร้อน ก็เรียกว่าน้ำกลั่นก็คือสุรา น้ำเมาที่เป็นน้ำกลั่นเรียกว่าสุรา น้ำเมาที่เป็นน้ำดองเรียกว่าเมรัย สุรานั้นคือน้ำกลั่นที่เป็นน้ำเมาก็เป็นสุราทั่วๆ ไป น้ำดองที่เป็นน้ำเมานั้นก็เช่นน้ำกระแช่
โมหะเป็นพื้นของความยินดียินร้าย
ส่วนที่เป็นกิเลสนี้เราใช้โวหารเรียกกันว่าดองจิตสันดาน ก็คืออารมณ์ที่นำกิเลสเป็นความยินดียินร้ายเข้ามาสู่จิตใจทางตา ก็มาดองจิตใจอยู่ ก็เรียกว่าดองจิตใจ ทำให้จิตใจที่เป็นจิตใจเคยเป็นจิตใจปรกติ ก็เป็นจิตใจที่แปรปรวนขึ้นมา เรียกว่าเป็นจิตใจที่มึนเมา หรือมัวเมาขึ้นมา หรือหากว่าจะใช้โวหารของคำว่าน้ำกลั่นคือสุรา ว่ามากลั่นจิตใจให้แปรปรวน คือมัวเมาขึ้นมาก็ได้ แต่มักจะเรียกกันว่าดองจิตใจ จะเรียกว่ากลั่นจิตใจก็ได้เหมือนกัน แต่หมายกลั่นให้แปรปรวนมัวเมาขึ้นมา อันเป็นลักษณะของโมหะคือความหลง ซึ่งเป็นพื้นของความยินดีความยินร้ายต่างๆ
แต่ว่าสำหรับที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ในข้อนี้ ท่านใช้ว่า อภิชฌา คือยินดี โทมนัส คือยินร้าย อันเป็นอาการที่ปรากฏพิจารณาเห็นง่าย ส่วนอาการที่เป็นความเมาซึ่งเป็นตัวโมหะคือความหลงอันเป็นพื้นนั้นอาจจะเห็นยาก จึงได้ทรงชี้เอาความยินดีความยินร้ายซึ่งเห็นได้ง่าย สำหรับผู้ปฏิบัติพิจารณาได้ง่าย ก็เป็นอาสวะคือไหลเข้ามาทางตา มาดองจิตใจให้เมา ให้ยินดีให้ยินร้าย หรือกลั่นจิตใจให้เมา ให้ยินดีให้ยินร้าย ก็เท่ากับว่าเหมือนอย่างว่าดื่มสุราเมรัยเข้าไปทางคอ ดื่มเข้าไป สุราก็เป็นน้ำเมาที่เป็นน้ำกลั่น เมรัยก็เป็นน้ำเมาที่เป็นน้ำดอง ก็ทำให้จิตใจแปรปรวน มัวเมา
สติพิจารณาโดยแยบคาย
ฉันใดก็ดี เมื่อรับอารมณ์คือรูปทางตาเข้ามาโดยไม่มีสติ จึงยึดถือ ก็เกิดยินดียินร้าย ไหลเข้ามากลั่นหรือมาดองจิตใจ ให้แปรปรวนให้มัวเมา ให้ยินดีให้ยินร้าย ดั่งนี้ เรียกว่าไม่พิจารณาโดยแยบคาย คือไม่มีสติไม่มีปัญญาที่จะสังวรคือสะกัดกั้นเอาไว้ จึงได้ยึดถือรูปที่ตาเห็นเป็นอารมณ์ให้เกิดความยินดีความยินร้ายดองจิตใจ นี่เป็นอาสวะ แต่ถ้าหากว่าได้มีสติพร้อมทั้งปัญญาพิจารณาโดยแยบคาย ว่าบัดนี้เรากำลังเห็นรูปดูรูป และรูปที่ดูที่เห็นนี้ก็สักแต่ว่าเป็นรูป ไม่ควรที่จะมีความยินดีความยินร้าย คือไม่ควรที่จะยึดถือให้เกิดความยินดีเกิดความยินร้าย ให้ไหลเข้ามาเป็นอาสวะดองจิตใจ คอยมีสติสำรวมระวังพร้อมทั้งปัญญาที่รู้ รู้เท่าทันอยู่ดั่งนี้ ก็จะทำให้รูปที่เห็นนั้นก็สักแต่ว่าเป็นรูป ไม่ยึดถือเป็นอารมณ์เข้ามาเป็นอาสวะดองจิตใจ ความที่มามีสติมีปัญญาคอยควบคุมในทุกขณะที่เห็นอะไรๆ ทางตาดั่งนี้ ก็เรียกว่าพิจารณาโดยแยบคาย สำรวมอินทรีย์คือตา
ทางหูก็เหมือนกัน ได้ยินเสียงอะไรๆ ทางหู ก็มีสติพร้อมทั้งปัญญาพิจารณาโดยแยบคาย ไม่ยึดถือให้เกิดความยินดีความยินร้ายไหลเข้ามาเป็นอาสวะดองจิตใจ ได้ทราบกลิ่นอะไรทางจมูกก็เช่นเดียวกัน มีสติพร้อมทั้งปัญญาพิจารณาโดยแยบคาย ไม่ยึดถือให้เกิดความยินดีความยินร้ายไหลเข้ามาเป็นอาสวะดองจิตใจ ได้ทราบรสอะไรทางลิ้นก็เช่นเดียวกัน มีสติพร้อมทั้งปัญญาพิจารณาโดยแยบคาย ไม่ยึดถือให้เกิดความยินดีความยินร้ายไหลเข้ามาเป็นอาสวะดองจิตใจ ได้ทราบอะไรทางกายก็เช่นเดียวกัน คือได้ถูกต้องโผฏฐัพพะสิ่งที่ถูกต้องอะไรทางกาย ก็มีสติปัญญาพิจารณาโดยแยบคาย ไม่ยึดถือให้เกิดความยินดีความยินร้ายไหลเข้ามาเป็นอาสวะดองจิตใจ ได้รู้ได้คิดธรรมะคือเรื่องราวอะไรทางมโนคือใจก็เช่นเดียวกัน มีสติปัญญาพิจารณาโดยแยบคาย ไม่ยึดถือให้เกิดความยินดีความยินร้าย ไหลเข้ามาเป็นอาสวะดองจิตใจ
ความสำรวมอินทรีย์
ความที่อบรมสติพร้อมทั้งปัญญาคอยพิจารณาระลึกรู้ ให้ทราบอยู่ ให้รู้อยู่ ให้เห็นอยู่ ดั่งนี้ ได้ชื่อว่าสำรวมอินทรีย์ คือตาหูจมูกลิ้นกายและมนะคือใจ นี้คือ อินทรียสังวร ความสำรวมอินทรีย์ อาสวะย่อมป้องกันได้ ย่อมละได้ ด้วยอินทรียสังวรนี้ข้อหนึ่ง อินทรียสังวรนี้เป็นธรรมปฏิบัติอันสำคัญสำหรับผู้ปฏิบัติธรรมะทั้งปวง จะปฏิบัติในศีล จะเป็นปฏิบัติในศีล ๕ ศีล ๘ ปฏิบัติในศีล ๑๐ ของสามเณร หรือปาฏิโมกขสังวรศีล ศีลคือความสำรวมในพระปาฏิโมกข์สำหรับภิกษุ ซึ่งปฏิบัติตามพระวินัยบัญญัติของพระพุทธเจ้า ก็จะต้องมีอินทรียสังวรความสำรวมอินทรีย์ดังกล่าวนี้ประกอบอยู่ด้วย การปฏิบัติในศีลทั้งปวงจึงจะบริสุทธิ์บริบูรณ์ได้ ถ้าขาดอินทรียสังวรแล้วก็ไม่สามารถจะปฏิบัติในศีลทั้งปวงให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ได้ และอินทรียสังวรนี้ก็จัดเป็นศีลข้อหนึ่งในปาริสุทธิศีลทั้ง ๔
นิวรณ์เพราะขาดอินทรียสังวร
อนึ่ง แม้ในการที่จะปฏิบัติในสมาธิ ก็จะต้องมีอินทรียสังวรช่วยด้วย จึงจะทำสมาธิได้ ถ้าหากว่าไม่มีอินทรียสังวร ก็ไม่สามารถจะทำสมาธิได้ เพราะว่าจะระงับนิวรณ์ไม่ได้ นิวรณ์ที่เป็นอันตรายของสมาธินั้น ก็เพราะขาดอินทรียสังวรนั้นเอง ก็คือว่าเห็นรูปอะไรทางตา ได้ยินเสียงอะไรทางหู ได้ทราบกลิ่นอะไรทางจมูก ได้ทราบรสอะไรทางลิ้น ได้ทราบสิ่งถูกต้องอะไรทางกาย ได้รู้เรื่องอะไรที่คิดทางใจ ก็ยึดถือเป็นอารมณ์ เกิดความยินดีเกิดความยินร้ายไหลเข้ามาท่วมจิตใจ เป็นอาสวะดองจิตใจ จึงได้เกิดเป็นนิวรณ์ต่างๆ ขึ้น เป็นกามฉันท์ความพอใจรักใคร่ในกามบ้าง เป็นพยาบาทความโกรธแค้นขัดเคืองมุ่งร้ายหมายล้างผลาญบ้าง เป็นถีนมิทธะความง่วงงุนเคลิบเคลิ้มบ้าง เป็นอุทธัจจะกุกกุจจะความฟุ้งซ่านรำคาญใจบ้าง เป็นวิจิกิจฉาความเคลือบแคลงต่างๆ บ้าง เมื่อเป็นดั่งนี้ก็ยากที่จะระงับจิตลงให้เป็นสมาธิได้ จิตก็จะเป็นไปตามอำนาจของนิวรณ์ ฟุ้งซ่านไปต่างๆ หรือว่าถ้าไม่ฟุ้งซ่านก็ง่วงเหงาหาวนอนไป หรือไม่เช่นนั้น ก็เคลือบแคลงสงสัยอะไรไปต่างๆ ไม่ปักใจแน่นอนลงไป ใจลังเลไม่แน่นอน เมื่อเป็นดั่งนี้ก็ทำสมาธิไม่ได้ เพราะฉะนั้นจึงจำเป็นต้องมีอินทรียสังวรช่วย
ผู้ปฏิบัติธรรมนั้นจึงเว้นอินทรียสังวรเสียไม่ได้ ต้องปฏิบัติอินทรียสังวร มากหรือน้อยตามควรแก่ศีลที่ปฏิบัติ และตามควรแก่สมาธิที่ต้องการ เมื่อต้องการศีลที่ละเอียด ที่สูง ต้องการสมาธิที่แน่วแน่ ก็จะต้องมีอินทรียสังวรอย่างนี้ เป็นการป้องกันมิให้ยึดถือสิ่งทั้งหลายที่ผ่านเข้ามา ทางประตูตาหูจมูกลิ้นกายและมนะคือใจ เข้ามาเป็นอาสวะดองจิตสันดานได้ โดยมีสติพร้อมทั้งปัญญาพิจารณาโดยแยบคายอยู่เสมอ กำหนดระลึกให้รู้เท่าทันอยู่เสมอ ดั่งนี้
อีกประการหนึ่งแม้ว่าในการปฏิบัติที่เรียกว่าเป็นการปฏิบัติถูกต้องทั่วๆ ไปนั้น แม้ว่าจะไม่คิดว่าจะรักษาศีล จะทำสมาธิ จะอบรมปัญญา ก็ตาม ก็จำเป็นที่จะต้องมีอินทรียสังวร น้อยหรือมาก จึงจะสามารถประคับประคองตนให้ดำรงอยู่ในภาวะ ในฐานะอันสมควรได้ และความวุ่นวายทั้งหลายซึ่งบังเกิดขึ้นจากกรรม คือการกระทำ หรือการที่กระทำของคนทั้งหลายในโลกนี้อันเป็นไปเพื่อเบียดเบียนตน อันเป็นไปเพื่อเบียดเบียนผู้อื่นให้เดือดร้อนทั้งปวง ย่อมเกิดขึ้นจากความไม่สำรวมอินทรีย์นี้ทั้งสิ้น
อำนาจของอินทรีย์ ๖
( เริ่ม) ดังจะพึงเห็นได้ว่าคนเป็นอันมากที่วุ่นวายกันอยู่ก็เพราะว่า ปฏิบัติตกอยู่ใต้อำนาจของอินทรีย์ทั้ง ๖ นี้ คือใต้อำนาจของตา ของหู ของจมูก ของลิ้น ของกาย ของมนะคือใจ ไม่เป็นนายของ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และมนะคือใจ ยกตัวอย่างเช่นว่าปฏิบัติตามอำนาจของตา ก็คือต้องไปดูนั่นไปดูนี่ ที่ตาอยากจะดู และก็ต้องตบแต่งนั่นตบแต่งนี่ที่ตาเห็นว่าสวยงามต่างๆ การตบแต่งต่างๆ ที่สิ้นเปลืองไปเป็นอันมาก ก็เพราะต้องการที่จะสนองความปรารถนาของตา ที่จะได้ดูได้เห็นสิ่งที่สวยงามเท่านั้น สมมติว่าถ้าตาบอดเสียอย่างเดียวแล้ว การตบแต่งต่างๆ ที่ต้องการให้ตาดูตาเห็น ว่าสวยงามนั้นก็จะไม่ต้องมีเลย แต่ที่ต้องมีนั้นก็เพราะว่าตาต้องการจะดู จึงต้องมีการตบแต่งกันต่างๆ สำหรับตา ทางอื่นก็เหมือนกัน ต้องการตบแต่งกันต่างๆ สำหรับหูจะฟัง ต้องเป็นเสียงที่ไพเราะต่างๆ อะไรเป็นต้น ต้องมีการตบแต่งต่างๆ สำหรับกลิ่นที่สูดดม สำหรับลิ้นที่จะลิ้มก็เป็นรสต่างๆ และต้องตบแต่งต่างๆ สำหรับกายที่จะถูกต้อง ตลอดจนถึงต้องตบแต่งต่างๆ สำหรับเรื่องที่จะให้ใจคิด เพื่อให้ใจมีความสบาย ให้ใจมีความสุข มีความเพลิดเพลิน
เหล่านี้ ทุกคนจึงต้องเอาใจ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และ มนะ คือใจ นี้อยู่เป็นอันมาก และเมื่อสรุปเข้ามาแล้วก็คือว่าต้องเอาใจตัวจิตคือใจนี้เอง นั้นเอง ที่ต้องการที่จะได้อารมณ์อันเป็นที่น่ารักใคร่ปรารถนาพอใจ ทางตาบ้าง ทางหูบ้าง ทางจมูกบ้าง ทางลิ้นบ้าง ทางมนะคือใจบ้าง อันทำให้จิตใจนี้เองต้องดิ้นรนกวัดแกว่งกระสับกระส่ายไป เพื่อรูป เพื่อเสียง เพื่อกลิ่น เพื่อรส เพื่อโผฏฐัพพะ และเพื่อเรื่องราว ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และทางใจ เพราะฉะนั้น จึงได้มีพระพุทธภาษิตได้ตรัสเปรียบเทียบเอาไว้ถึงสัตว์ ๖ จำพวก คือว่างูจำพวกหนึ่งที่จะต้องวิ่งไปหาจอมปลวกอันเป็นที่อยู่อาศัย จรเข้จำพวกหนึ่งที่จะต้องวิ่งไปลงน้ำ นกจำพวกหนึ่งที่จะต้องบินหวือไปในอากาศ ไก่จำพวกหนึ่งที่จะต้องบินไปสู่บ้านอันเป็นที่อาศัย หรือที่อาศัยของตน สุนัขจิ้งจอกจำพวกหนึ่งที่จะต้องวิ่งไปสู่ป่าช้า เพื่อที่จะกินซากศพต่างๆ ลิงจำพวกหนึ่งที่จะต้องวิ่งหลุกหลิกอยู่บนต้นไม้
จิตเหมือนสัตว์ ๖ จำพวก
ตรัสเปรียบเหมือนอย่างว่า จิตนี้จะต้องวิ่งไปหารูปที่น่ารักใคร่ปรารถนาพอใจทางตา ก็เหมือนอย่างงูที่เลื้อยไปหาจอมปลวก จิตนี้เองก็ต้องดิ้นรนที่จะไปที่จะได้อารมณ์คือเสียงที่น่ารักใคร่ปรารถนาพอใจ ก็เหมือนอย่างจระเข้ที่จะวิ่งไปหาน้ำ จมูกคือจิตนี้เองดิ้นรนไปเพื่อจะได้อารมณ์คือกลิ่นที่น่ารักใคร่ปรารถนาพอใจ ที่เหมือนอย่างนกบินหวือไปในอากาศ จิตนี้เองดิ้นรนไปเพื่อจะได้รสที่น่ารักใคร่ปรารถนาพอใจทางลิ้น เหมือนอย่างไก่ที่บินไปสู่บ้านหรือที่อาศัยของตน จิตนี้เองดิ้นรนไปเพื่อจะได้โผฏฐัพพะคือสิ่งที่กายถูกต้องที่น่ารักใคร่ปรารถนาพอใจทางกาย เหมือนอย่างสุนัขจิ้งจอกวิ่งไปสู่ป่าช้าเพื่อจะกินซากศพ จิตนี้เองที่ดิ้นรนไปเพื่อจะได้อารมณ์คือธรรมะคือเรื่องราวที่น่ารักใคร่ปรารถนาพอใจ เหมือนอย่างวานรคือลิงที่วิ่งหลุกหลิกไปอยู่บนต้นไม้ ฉะนั้น
เพราะฉะนั้น จิตนี้เองจึงเป็นเหมือนอย่างสัตว์ ๖ จำพวกดังกล่าวมานี้ ที่ดิ้นรนกวัดแกว่งกระสับกระส่ายไปต่างๆ เพื่ออารมณ์ทางทวารทั้ง ๖ นี้ ดังกล่าวแล้ว เพราะฉะนั้น จึงเป็นศีลก็ไม่ได้ เป็นสมาธิก็ไม่ได้ เป็นปัญญาก็ไม่ได้ ฉะนั้นจึงต้องมีอินทรียสังวรอยู่ด้วยกันทุกคน มากหรือน้อย จะไม่มีเลยนั้นไม่ได้ จึงจะดำรงอยู่ได้ด้วยดี และเมื่อจะปฏิบัติในศีล ในสมาธิ ในปัญญา ก็จะต้องมีอินทรียสังวรนี้ให้มากขึ้น และอินทรียสังวรนี้เองก็เป็นเครื่องละอาสวะอีกข้อหนึ่ง อันเป็นข้อที่ ๒
ต่อจากนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวดและตั้งใจทำความสงบสืบต่อไป