แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆ ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม
อันปัญญาในธรรมนั้นโดยตรงก็คือในสัจจะ อันได้แก่ความจริง ซึ่งเรียกว่าสัจจะธรรม ธรรมะคือสัจจะความจริง และอันความจริงนั้นซึ่งเกี่ยวแก่ กรรม การงานที่กระทำทางกายทางวาจาทางใจ ซึ่งบางอย่างก็เป็นอกุศลมีโทษ บางอย่างก็เป็นกุศลมีคุณ ก็ให้ใช้สติกำหนดพิจารณาวิจัย คือแจกจำแนกให้รู้ว่าอะไรเป็นกุศล อะไรเป็นอกุศล ของกรรมที่กระทำทางกายทางวาจาทางใจ ก็เป็นสติ เป็นธัมวิจยะ อันนับเข้าในสัมโพชฌงค์
สติ และ ธัมวิจยะ นี้เป็นหลักสำคัญของความประพฤติปฏิบัติทั้งปวง อันจะนำให้ละอกุศลทุจริตทางกายทางวาจาทางใจต่างๆ ได้ ให้ปฏิบัติในกุศลสุจริตต่างๆ ทางกายทางวาจาทางใจได้ จึงเป็นหลักปฏิบัติที่ทุกๆ คนสมควรจะมี และก็จำเป็นที่จะต้องมี เพื่อที่จะได้ละความชั่ว กระทำความดี
ความจริงที่ทำให้ผู้รู้เป็นอริยะ
อนึ่ง สัจจะคือความจริงนี้ยังจะต้องพิจารณาให้รู้จักสืบขึ้นไปอีก อันจะพึงกล่าวได้ว่าเป็นความจริงที่นับเข้าในอริยสัจจ์ คือ ความจริงที่ทำให้ผู้รู้เป็นอริยะ คือบุคคลผู้ที่ละกิเลสได้ตั้งแต่บางส่วนขึ้นไป จนถึงละได้หมด แต่แม้ยังละไม่ได้ ก็ทำให้มีความรู้เท่าทันจิตและอารมณ์ ละกิเลสได้แม้ชั่วคราวในขณะที่ได้มีความรู้ดังกล่าวนี้ ฉะนั้น จึงเป็นข้อที่ผู้ปฏิบัติธรรมะจะพึงฝึกหัดปฏิบัติ ฝึกให้เกิดปัญญาอันนับเนื่องในอริยสัจจ์ ก็คือในทุกข์ ในทุกข์สมุทัยเหตุเกิดทุกข์ ในทุกขนิโรธความดับทุกข์ และในมรรคคือทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์
อันวิธีหัดพิจารณาให้ได้ปัญญาในทุกขสัจจะสภาพที่จริงคือทุกข์นี้ อันเป็นข้อแรกในอริยสัจจ์ พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงสั่งสอนไว้เป็นอันมากจนกล่าวได้ว่าเป็น พหุลานุสาสนี คือเป็นคำสั่งสอนที่มีเป็นอันมากของพระพุทธเจ้า นอกจากที่ทรงแสดงอธิบายไว้โดยตรง ในหมวดทุกขสัจจะสภาพที่จริงคือทุกข์แล้ว ยังได้ทรงจับแสดงไว้อีกมากในที่ต่างๆ และในเบื้องต้นก็ทรงยกเอาขันธ์ หรืออายตนะ หรือธาตุ ขึ้นเป็นที่ตั้งให้จับพิจารณา
ขันธ์นั้นก็คือขันธ์ ๕ ที่ได้ตรัสสรุปไว้ในข้อที่ทรงอธิบายทุกขสัจจะ ว่าโดยย่อขันธ์เป็นที่ยึดถือทั้ง ๕ ประการเป็นทุกข์ คือรูปขันธ์กองรูป เวทนาขันธ์กองเวทนา สัญญาขันธ์กองสัญญา สังขารขันธ์กองสังขาร วิญญาณขันธ์กองวิญญาณ บางแห่งก็ทรงยกเอานามรูป ก็ขันธ์ทั้ง ๕ นี้แหละ ที่ย่อลงก็เป็นนาม ๑ รูป ๑ เวทนาสัญญาสังขารวิญญาณก็เป็นนาม รูปก็คงเป็นรูป ยกขึ้นสำหรับที่จะให้จับพิจารณา และบางแห่งก็ทรงยกเอาอายตนะ อายตนะภายใน อายตนะภายนอก ขึ้นให้พิจารณา และบางแห่งก็ยกเอาอายตนะทั้ง ๒ และก็ต่อถึงวิญญาณ สัมผัสและเวทนาให้จับพิจารณา อันอายตนะภายใน อายตนะภายนอก วิญญาณ สัมผัสและเวทนานี้เป็นข้อที่แสดงถึงกายและใจอันนี้ หรือจะกล่าวว่ารูปและนามอันนี้ซึ่งเป็นไปอยู่
วิบากขันธ์ วิบากอายตนะ
ข้อที่ตรัสให้พิจารณาเหล่านี้ นับเข้าในวิบากขันธ์ วิบากอายตนะ คือเป็นขันธ์เป็นอายตนะที่เป็นวิบากคือเป็นผลของกิเลสกรรมในอดีต ซึ่งได้เป็นเหตุโดยเป็นชนกกรรม ชนกกิเลส ที่ให้เกิดก่อเป็นขันธ์เป็นอายตนะ อยู่ในปัจจุบันของทุกๆ คน ส่วนที่เป็นวิบากนี้เป็นอัพยากตาธรรมา คือเป็นธรรมะที่ไม่พยากรณ์ว่าเป็นกุศล หรือเป็นอกุศล เป็นกลางๆ บุคคลอาจอาศัยขันธ์อายตนะนี้ทำดีก็ได้ทำชั่วก็ได้ ทำดีก็เป็นกุศลกรรม ทำชั่วก็เป็นอกุศลกรรม ส่วนตัวขันธ์ตัวธาตุ ส่วนตัวขันธ์ตัวอายตนะเหล่านี้ไม่เป็นกุศลไม่เป็นอกุศล เป็นกลางๆ เป็นเครื่องมือสำหรับที่บุคคลจะทำดีหรือทำชั่วเท่านั้น เพราะฉะนั้น จึงได้ตรัสสอนให้พิจารณา ให้รู้จักดั่งนี้เป็นประการแรกที่นับเข้าในข้อธรรมวิจัย เพื่อที่จะได้ไม่ใช้ขันธ์ใช้อายตนะทำชั่วต่างๆ แต่ใช้ขันธ์ใช้อายตนะทำดีต่างๆ
ข้อพิจารณาให้รู้จักทุกข์
และก็ให้พิจารณาขันธ์อายตนะเหล่านี้นั้นเองให้รู้จักทุกข์ จะได้กล่าวในข้อที่ตรัสสอนให้ยกกายและใจที่สัมพันธ์กันอยู่นี้ขึ้นพิจารณา โดยเป็นอายตนะภายใน อายตนะภายนอก เป็นวิญญาณ เป็นสัมผัส เป็นเวทนา ซึ่งเป็นไปอยู่ โดยที่ตั้งใจกำหนดให้รู้จักตากับรูปที่ประจวบกันอยู่ ก็เกิดจักขุวิญญาณ รู้ทางตาก็คือเห็นรูป และเมื่ออายตนะทั้ง ๒ กับวิญญาณรวมกันเข้าอีกก็เป็นสัมผัส อันเรียกว่าจักขุสัมผัส ก็สัมผัสถึงใจแรงขึ้นทางตา จึงได้เกิดเวทนาอันเรียกว่า จักขุสัมผัสชาเวทนา เวทนาที่เกิดจากจักขุสัมผัส เป็นสุขบ้างเป็นทุกข์บ้างเป็นกลางๆ ไม่ทุกข์ไม่สุขบ้าง
หัดกำหนดให้รู้จักหูกับเสียงที่ประจวบกัน ก็เกิดโสตะวิญญาณรู้ทางหูคือได้ยินเสียง เมื่อทั้ง ๓ นี้รวมกันเข้าก็เป็นโสตะสัมผัส สัมผัสทางหู ก็คือจิตสังผัสจิตกระทบอารมณ์คือเสียงทางหู ก็เกิดเวทนาอันเรียกว่า โสตสัมผัสชาเวทนา เวทนาที่เกิดจากโสตะสัมผัส สัมผัสทางหู เป็นสุขบ้างเป็นทุกข์บ้างเป็นกลางๆ ไม่ทุกข์ไม่สุขบ้าง
กำหนดให้รู้จักจมูกกับกลิ่นที่ประจวบกัน ก็เกิดฆานะวิญญาณ ทราบกลิ่นทางจมูก และเมื่อรวมกันก็เป็นฆานะสัมผัส กระทบถึงจิต หรือจิตกระทบอารมณ์คือกลิ่นทางจมูก ก็เกิดเวทนาอันเรียกว่า ฆานะสัมผัสชาเวทนา เวทนาที่เกิดจากฆานะสัมผัส สัมผัสทางจมูก ก็เป็นสุขบ้างเป็นทุกข์บ้างเป็นกลางๆ ไม่ทุกข์ไม่สุขบ้าง
กำหนดให้รู้จักลิ้นกับรสที่ประจวบกัน ก็เกิดชิวหาวิญญาณทราบรสทางลิ้น เมื่อรวมกันเข้าก็เกิดสัมผัสคือจิตกระทบหรือกระทบจิตด้วยอารมณ์คือรสทางลิ้น ก็เกิดเวทนาอันเรียกว่า ชิวหาสัมผัสชาเวทนา เวทนาที่เกิดจากชิวหาสัมผัส สัมผัสทางลิ้น เป็นสุขบ้างเป็นทุกข์บ้างเป็นกลางๆ ไม่ทุกข์ไม่สุขบ้าง
กำหนดให้รู้จักกายและโผฏฐัพพะที่ประจวบกัน ก็เกิดกายวิญญาณทราบสิ่งกระทบทางกาย เมื่อรวมกันเข้าก็เกิดกายสัมผัส สัมผัสแห่งจิต หรือจิตสัมผัสอารมณ์คือสิ่งถูกต้องทางกาย ก็เกิดเวทนาอันเรียกว่า กายสัมผัสชาเวทนา เวทนาที่เกิดจากกายสัมผัส สัมผัสทางกาย เป็นสุขบ้างเป็นทุกข์บ้างเป็นกลางๆ ไม่ทุกข์ไม่สุขบ้าง
หัดกำหนดให้รู้จักมโนคือใจกับธรรมะคือเรื่องราวที่ประจวบกัน ก็เกิดมโนวิญญาณความรู้หรือความคิดเรื่องทางมโนคือใจ เมื่อรวมกันเข้าก็เกิดมโนสัมผัส สัมผัสทางใจ คือสัมผัสแห่งจิตซึ่งอารมณ์คือเรื่องราวที่คิดหรือรู้ทางใจ ก็เกิดเวทนาอันเรียกว่ามโนสัมผัสชาเวทนา เวทนาที่เกิดจากมโนสัมผัส สัมผัสทางใจ เป็นสุขบ้างเป็นทุกข์บ้างเป็นกลางๆ ไม่ทุกข์ไม่สุขบ้าง
กำหนดให้รู้จักอายตนะภายในภายนอกที่ประจวบกัน เป็นวิญญาณ เป็นสัมผัส และเป็นเวทนาดั่งนี้
นี้เป็นสิ่งทั้งหมดของกายและใจอันนี้ที่เป็นไปอยู่ อันพึงกำหนดพิจารณาให้รู้จัก ก็สตินั้นเองเป็นเครื่องกำหนดให้รู้จัก ให้รู้จักอายตนะภายในภายนอกที่ประจวบกัน เป็นวิญญาณ เป็นสัมผัส เป็นเวทนา ที่เป็นไปอยู่ ที่ว่าทั้งหมดนั้นก็คือว่าทุกๆ คนก็มีอยู่เท่านี้ ไม่นอกไปจากนี้ เหมือนกันหมด แตกต่างกันแต่เรื่องราวของรูปเสียงเป็นต้นที่เป็นไปต่างๆ กันเท่านั้น แต่ว่ารวมเข้าแล้ว ก็คงรวมเข้าในอายตนะภายในภายนอก วิญญาณ สัมผัส เวทนา ทุกคนก็เป็นไปอยู่ดั่งนี้
เบื้องต้นของปัญญาในอริยสัจจ์
ในการที่จะปฏิบัติให้ได้ปัญญารู้อริยสัจจ์นั้น เบื้องต้นจะต้องหัดกำหนดให้รู้จักสิ่งทั้งปวงของตนดั่งนี้ก่อน และเมื่อได้ตั้งสติกำหนดให้รู้จักสิ่งทั้งปวงของตนดั่งนี้แล้ว ก็กำหนดพิจารณาว่าสิ่งทั้งปวงเหล่านี้มีชาติคือความเกิดเป็นธรรมดา มีชราคือความแก่เป็นธรรมดา มีพยาธิคือความป่วยไข้เป็นธรรมดา มีมรณะคือความตายเป็นธรรมดา มีโสกะความแห้งใจไม่สบายกายไม่สบายใจต่างๆ เป็นธรรมดา มีความเศร้าหมองไม่ผ่องใสเป็นธรรมดา มีความสิ้นไปเป็นธรรมดา มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา มีความดับไปเป็นธรรมดา ตั้งใจกำหนดพิจารณาสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้เห็นธรรมดา ดั่งนี้ และเมื่อเห็นธรรมดาดั่งนี้ ก็จะทำให้ได้ปัญญาเห็นทุกขสัจจะสภาพที่จริงคือทุกข์ขึ้นโดยลำดับ
อีกนัยหนึ่ง ตรัสสอนให้พิจารณาสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ ว่าเป็นอนิจจะคือไม่เที่ยง ต้องเกิดต้องดับ เป็นทุกขะคือเป็นทุกข์ คือต้องแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไป ไม่ตั้งอยู่คงที่ได้ เป็นอนัตตามิใช่อัตตาตัวตน บังคับให้เป็นไปตามปรารถนามิได้ เป็นข้อที่พึงรู้ยิ่ง ก็คือให้รู้จักความไม่เที่ยงความเป็นทุกข์ความเป็นอนัตตาดังกล่าว เป็นข้อที่พึงกำหนดรู้ คือกำหนดให้รู้จักความจริงดั่งนี้ เป็นข้อที่พึงละ คือละความติดความยึดถือ ความดิ้นรนทะยานอยาก เป็นข้อที่พึงกำหนดรู้เพราะความรู้ยิ่ง เป็นข้อที่พึงกำหนดให้รู้จักว่าเป็นตัวความวุ่นวาย เป็นตัวความขัดข้องต่างๆ และเมื่อหัดกำหนดไปดั่งนี้ ก็จะทำให้ได้ปัญญาเห็นทุกขสัจจะสภาพที่จริงคือทุกข์ขึ้นโดยลำดับ และก็จะทำให้ได้ความรู้ก้าวขึ้นไปสู่ทุกขสมุทัยคือเหตุให้เกิดทุกข์ต่อไปด้วย
ต่อไปนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวดและตั้งใจทำความสงบสืบต่อไป