PAGODA

  • Create an account
  • Forgot your username?
  • Forgot your password?
or

Connection

Your e-mail is required to ensure the proper functioning of the Website and its services and we make a commitment not to reveal it to third parties

  • หน้าแรก
  • ฐานข้อมูล
  • เสียง
  • วีดิทัศน์
  • E-Books
  • กิจกรรม
  • บทความ
PAGODA
  • หน้าแรก
  • ฐานข้อมูล
  • เสียง
  • วีดิทัศน์
  • E-Books
  • กิจกรรม
  • บทความ

เข้าสู่ระบบ / สมัครสมาชิก

เข้าสู่ระบบ

  • สมัครสมาชิก
  • ลืมชื่อผู้ใช้?
  • ลืมรหัสผ่าน?

Search

  • หน้าแรก
  • เสียง
  • สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร
  • (๒๐) อารักขกรรมฐาน (๒/๒)
(๒๐) อารักขกรรมฐาน (๒/๒) รูปภาพ 1
  • Title
    (๒๐) อารักขกรรมฐาน (๒/๒)
  • เสียง
  • 3876 (๒๐) อารักขกรรมฐาน (๒/๒) /vajirananasamvara/2019-05-24-13-55-44-4.html
    Click to subscribe
    • Share
    • Tweet
    • Email
    • Share
    • Share

ผู้ให้ธรรม
สมเด็จพระญาณสังวร
วันที่นำเข้าข้อมูล
วันจันทร์, 10 สิงหาคม 2563
ชุด
ชุดที่ ๑
  • แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [ลองพูดคุยกับ AI ทาง Line]

  •             บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม

                ได้แสดงความแห่งทางปฏิบัติเพื่อบรรลุถึงโมกขะ คือความพ้น อันหมายถึงพ้นกิเลสพ้นทุกข์ อันเริ่มด้วยปฏิบัติในปาริสุทธิศีลทั้ง ๔ อันได้แก่ความสำรวมในพระปาติโมกข์ ความสำรวมอินทรีย์คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และมนะคือ ใจ ความบริสุทธิ์แห่งการเลี้ยงชีพ กับการพิจารณาปัจจัยทั้ง ๔ คือ ผ้านุ่งห่ม อาหาร ที่อยู่อาศัยหรือการนั่งการนอน และยาแก้ไข้ ให้บริโภคเพื่อประโยชน์ที่ต้องการบำรุงเลี้ยงร่างกาย มิใช่เพื่อเพิ่มพูนกิเลสตัณหา เพื่อปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอันเรียกว่าพรหมจรรย์

                และเมื่อได้ปฏิบัติในศีลเป็นภาคพื้น ก็ปฏิบัติในอารักขกรรมฐาน คือกรรมฐานที่ควรรักษาไว้ให้มีประจำอยู่ในจิตใจเนืองนิจ คือ พุทธานุสสติ ระลึกถึงพระพุทธเจ้า เมตตา แผ่เมตตาปรารถนาให้เป็นสุข อสุภะ พิจารณากายนี้ว่าไม่งดงาม และ มรณสติ ระลึกถึงความตาย เมื่อจิตใจได้อารักขกรรมฐานนี้รักษา ย่อมเป็นจิตใจที่สงบตั้งมั่นอยู่เป็นอย่างดี ต่อจากนี้จึงควรปฏิบัติกระทำวิปัสสนาคืออบรมปัญญาให้เห็นแจ้งรู้จริงสืบต่อไป

    วิปัสสนา
                การอบรมปัญญาให้รู้แจ้งเห็นจริงนั้น เริ่มแต่กำหนดดูเข้ามาในตนเอง ให้รู้จักขันธ์ ๕ คือกองทั้ง ๕ อันได้แก่ รูปขันธ์ กองรูป คือรูปกายอันนี้ อันประกอบด้วยธาตุทั้ง ๔ เวทนาขันธ์ กองเวทนาคือความรู้สุขรู้ทุกข์ รู้ไม่ทุกข์ไม่สุข ทั้งทางกายทั้งทางใจ สัญญาขันธ์ กองสัญญาคือความจำได้หมายรู้ เช่น จำรูปจำเสียงจำกลิ่นจำรสจำโผฏฐัพพะสิ่งที่กายถูกต้อง และจำเรื่องราวทางใจ สังขารขันธ์ กองสังขารคือความคิดปรุงหรือความปรุงคิด ถึงเรื่องรูปบ้างเสียงบ้างกลิ่นบ้างรสบ้างโผฏฐัพพะสิ่งที่กายถูกต้องบ้าง เรื่องทางใจต่างๆบ้าง ปรุงดีบ้าง ปรุงไม่ดีบ้าง ปรุงเป็นกลางๆบ้าง วิญญาณขันธ์ กองวิญญาณคือความรู้อันปรากฏเป็นความเห็นรูปความได้ยินเสียง ความทราบกลิ่นรสโผฏฐัพพะสิ่งที่กายถูกต้อง และความรู้เรื่องราวทางมนะคือใจต่างๆ รวมเข้าเป็นขันธ์ ๕ ซึ่งทุกๆ คนมีอยู่ และขันธ์ ๕ นี้ย่อลงก็เป็นรูปเป็นนาม รูปขันธ์ก็เป็นรูป นามขันธ์ก็คือเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณ กำหนดดูให้รู้จักขันธ์ ๕ อันย่อลงเป็นนามรูปที่ตนเอง

    อุปาทานขันธ์
                และขันธ์ ๕ นี้พระบรมศาสดาตรัสเรียกว่า อุปาทานขันธ์ ขันธ์คือกองอันเป็นที่ยึดถือว่านี่เป็นของเรา เราเป็นสิ่งนี้ สิ่งนี้เป็นอัตตาตัวตนของเรา ย่อลงก็คือเป็นเราเป็นของเรา หรือว่าเป็นอัตตาตัวตนนั่นเอง สามัญชนทุกคนก็ย่อมยึดถือขันธ์ ๕ นี้ หรือที่ย่อลงเป็นนามรูปว่าเป็นอัตตาตัวตน เป็นเรา เป็นของเรา

    สังขาร
                แต่ว่าขันธ์ทั้ง ๕ นี้ รวมเข้าก็เรียกว่าเป็น สังขาร คือเป็นสิ่งผสมปรุงแต่ง ซึ่งประกอบด้วยลักษณะของสิ่งผสมปรุงแต่ง คือมีความเกิดขึ้นปรากฏ มีความเสื่อมสิ้นไปปรากฏ เมื่อยังตั้งอยู่ก็มีความแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างอื่นปรากฏ เพราะฉะนั้น จึงได้ตรัสสอนให้พิจารณาเนืองๆ ว่า เรามีความแก่เจ็บตายเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นไปได้ ที่เรียกว่าเราๆนี้ก็เป็นสมมติสัจจะที่ตรัสเรียกสัตว์บุคคลทั้งปวง ตามที่ยึดถือกันว่าตัวเราของเรานี่แหละ โดยตรงก็คือตรัสเรียกขันธ์อันเป็นที่ยึดถือทั้ง ๕ นี้ของทุกๆ คน ว่าเมื่อเกิดมาแล้วก็จะต้องแก่ต้องเจ็บต้องตาย อันแสดงถึงลักษณะที่มีความเกิด ความเสื่อมสิ้นปรากฏ และเมื่อตั้งอยู่ก็มีความแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างอื่นปรากฏ เมื่อลักษณะของสังขารคือสิ่งผสมปรุงแต่งทั้งหลายเป็นดั่งนี้ เมื่อบุคคลยึดถือว่าเป็นตัวเราของเรา จึงต้องเป็นทุกข์ไปเพราะสังขารที่ยึดถือ คือขันธ์ ๕ ที่ยึดถือนี้อยู่ตลอดเวลา

                จึงต้องมีความโศก มีความคร่ำครวญรำพัน มีไม่สบายกายไม่สบายใจ มีความคับแค้นใจ ที่เป็นตัวทุกข์ทางใจต่างๆ อยู่ตลอดเวลา เพราะว่าขันธ์เป็นที่ยึดถือนี้ต้องแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไป แต่เมื่อจิตใจยังมีความยึดถืออยู่ ก็ย่อมยึดถือไว้ไม่ต้องการจะให้แปรปรวนเปลี่ยนแปลงไป เมื่อพบความแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไป อันเป็นไปโดยที่ไม่สมปรารถนา จึงต้องเป็นทุกข์ร้อนต่างๆ น้อยหรือมาก ตามแต่ว่าจะยึดถือไว้น้อยหรือมากเพียงไร และความยึดถือนี้เองก็เป็นตัวกิเลส ความทุกข์ต่างๆ ก็เป็นผลของกิเลส และแม้จะยึดถือไว้เพียงไรขันธ์ ๕ นี้ก็ต้องแก่ต้องเจ็บต้องตายไปตามธรรมดานั้นเอง เพราะฉะนั้นเมื่อไปยึดเอาไว้ที่จะไม่ให้แก่ไม่ให้เจ็บไม่ให้ตาย ก็ต้องเป็นทุกข์

    ไตรลักษณ์
                เหมือนที่จะยึดถือเวลาที่เปลี่ยนไปทุกขณะไม่ให้เปลี่ยนไป เหมือนดังที่เรียกว่าจะยึดดวงอาทิตย์ไว้ไม่ให้โคจรไป ซึ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้น จึงตรัสให้ทำวิปัสสนาคือให้รู้แจ้งเห็นจริง หรือเห็นจริงรู้แจ้ง ในความจริงของขันธ์ ๕ อันเป็นสิ่งผสมปรุงแต่ง โดยที่ตรัสสอนให้พิจารณาโดยไตรลักษณ์ คือลักษณะที่ไม่เที่ยง ลักษณะที่เป็นทุกข์ ลักษณะที่เป็นอนัตตา เพราะว่าขันธ์ ๕ นี้ ย่อมประกาศลักษณะทั้งสามนี้อยู่ตลอดเวลา หากว่าขันธ์ ๕ จะพูดได้ ขันธ์ ๕ ก็จะต้องบอกอยู่ตลอดเวลาว่า ข้าพเจ้าไม่เที่ยง ข้าพเจ้าเป็นทุกข์ ข้าพเจ้าเป็นอนัตตา ให้ท่านมองดูที่ข้าพเจ้าแล้วก็จะเห็นเองว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา   เพราะฉะนั้นจึงได้มี ... (จบเทป เพียงแค่นี้)

logo

  • เกี่ยวกับเรา
  • ติดต่อเรา
  • จดหมายข่าว
  • Privacy Policy
  • Terms of Service