แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เจริญพรโยม วันนี้ เล่าเรื่องให้โยมฟังคิดว่าจะพูดเรื่อง ศีล เพราะวันก่อนนี้พูดเรื่องศรัทธา ทีนี้จากศรัทธาซึ่งเป็นข้อ 1 มาถึงศีล ซึ่งเป็นข้อที่ 2 ในชุดวุฒิ หรือธรรมะเครื่องเจริญ ที่แสดงถึงความเจริญของอริยสาวก 5 ประการนี้
ปกติ
คำว่าศีลนั้น แปลว่าอะไร ก็ความหมายของศีลนี้ เบื้องต้นท่านก็ให้ไว้ตั้งหลายอย่าง แต่คำแปลที่ง่ายที่สุดนั้น แปลกันว่า ปกติ ก็เลยมีผู้นำเอาคำว่าศีลนี้มาอธิบายในความหมายว่าปกติ คือ คนเราถ้ามีศีลรักษาศีลนี้เรียกว่า รักษาปกติ สภาพที่เป็นปกติของส่วนของตน เช่น พระ ถ้าหากว่ารักษาศีลของพระ ก็เรียกว่ารักษาสภาพปกติของพระ ถ้าหากว่าไม่ปฏิบัติตามศีลก็ไม่ใช่อยู่ในสภาพปกติของพระ ก็จะกลายเป็นประพฤติเหมือนชาวบ้าน เป็นต้น
ทีนี้ว่า แม้แต่ชาวบ้านทั่วไปก็มีศีลของชาวบ้าน อย่างศีล 5 ก็แสดงถึงความเป็นอยู่ปกติ หมายความว่า ตามสภาพปกตินั้น คนเราก็ไม่ฆ่าแกงกัน ไม่เบียดเบียนทำร้ายกัน ไม่ล่วงละเมิดทรัพย์สินกัน อย่างนี้ เป็นต้น ก็เป็นอยู่กันตามปกติ แต่ว่าเมื่อใดที่ทำอะไรผิดแปลกขึ้นมา ละเมิดในสิ่งเหล่านี้ ก็แสดงว่ามีอาการไม่ปกติเกิดขึ้น จากการทำไม่ปกติของบุคคลหนึ่งก็ทำให้สังคมนี้ไม่ปกติ ความปกตินี่ก็รวมไปถึงว่าก็อยู่กันสบายๆ มีความสุขไปด้วย มันก็สงบ แต่ถ้าหากว่าละเมิดศีลขึ้นมาล่ะก็ไม่เป็นปกติสุข ไม่เรียบร้อยก็เกิดความวุ่นวาย
แต่ที่ไม่ปกติอย่างนั้น มันก็เริ่มมาตั้งแต่จิตใจคน ก่อนที่จะแสดงออกมาภายนอกไม่ปกติ จิตใจก็ไม่ปกติ ก็คือว่า เช่นว่าจิตใจปกติก็อยู่ธรรมดา ความคิดนึกทำอะไรไปตามเรื่องในชีวิตประจำวัน เกิดความโลภขึ้นมา จิตใจเริ่มไม่ปกติแล้ว แล้วก็ไปทำตามความโลภนั้น เช่น ไปลักของเขา นี้ก็ทำผิดปกติออกมาภายนอก หรือมีความโกรธ จิตใจก็ผิดปกติแล้ว และก็ทำตามจิตใจที่ไม่ปกตินั้น ก็ไปฆ่าฟันเบียดเบียนคนอื่นทำร้ายเขา ก็เกิดความไม่ปกติขึ้นในหมู่ชนในสังคมเรื่อยไป
ความปกติ
ท่านก็เลยให้ความหมายของศีลในแง่หนึ่งว่าเป็นความปกติ ก็ให้มนุษย์นี่อยู่กันปกติ แล้วแต่ละคนละคน ก็รักษาสภาพปกติของตน เมื่ออยู่กันปกติ จิตใจเป็นปกติแล้ว ต่อไปจะทำอะไรก็ ได้คิดนึกในสิ่งที่ดีงามก็จะได้ทำได้ ถ้าจิตใจไม่ปกติแล้วก็จะฟุ้งซ่าน วุ่นวาย จะไปคิดทำงานทำการอะไรที่เป็นไปในทางดีงามก็ สู้ความรู้สึกความมีกิเลสเหล่านั้นเข้ามาเบียดเบียน ทำให้เป็นไปได้ยาก วุ่นวายไป และก็นำไปสู่ความทุกข์ด้วย อันนี้ก็เป็นความหมายหนึ่งของคำว่า ศีล
ความสำรวม ความระวัง
ทีนี้นอกจากนั้น ศีลก็แปลว่า ความสำรวม ความระวัง ความสำรวมระวังก็คือว่า ให้รักษาชีวิตการดำเนินชีวิตของเราให้อยู่ในสภาพปกตินั่นเอง เพราะฉะนั้น ที่ว่าสำรวมนี้ หรือระวังนั้นน่ะ ก็มาสัมพันธ์กับเรื่องความเป็นปกตินี้ เราก็ควรจะระวังรักษาตัวของเราไม่ให้ล่วงละเมิด ไม่ให้ทำสิ่งที่เป็นผิดร้าย ทำให้เกิดโทษกับผู้อื่น อันนี้ก็มีความหมายของการสำรวมระวัง ซึ่งไปสัมพันธ์กับความหมายอีกอัน
การเว้นแต่ความชั่ว
คือศีลนี้ ถ้าเราดูตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ในหลักที่เรียกว่า หัวใจพุทธศาสนา ที่พระมักจะสอนในวันมาฆบูชา ท่านบอกว่า ไม่ทำชั่วทั้งปวง หรือเว้นแต่ความชั่ว และก็สอง ทำดี และก็สาม ทำใจให้บริสุทธิ์ อันนี้เราถือกันมาว่า เป็นหัวใจพระพุทธศาสนา ข้อหนึ่งที่ว่าเว้นชั่วนั่นแหละ ก็คือหลักที่เรียกว่า ศีล ศีลก็อยู่ในหลักสามประการที่เป็นหัวใจพุทธศาสนา เป็นข้อที่หนึ่งเพราะฉะนั้น ความหมายของศีลอันหนึ่ง คือการเว้นแต่ความชั่ว ความชั่วสามัญในโลกก็คือการเบียดเบียนกันของมนุษย์
เพราะฉะนั้น ความหมายของศีลเบื้องต้นทีเดียว ก็ได้แก่ การเว้นจากการเบียดเบียนซึ่งกันและกัน ที่ว่าสำรวมก็คือ ระวังกาย วาจา ใจของเรา ไม่ให้ไปเบียดเบียนคนอื่น ไม่ให้ไปคิดร้าย เบียดเบียนทางกาย ทางชีวิต ได้แก่ ปาณาติบาต เบียดเบียนทางทรัพย์สิน ก็เรียกว่าเป็นอทินนาทาน เบียดเบียนในเรื่องคู่ครอง ก็เรียกว่า กาเมสุมิจฉาจาร เบียดเบียนด้วยวาจา หรือคำพูด เรียกว่า มุสาวาท และก็เบียดเบียนตัวเองเบียดเบียนสติสัมปชัญญะตน ก็คือข้อสุราเมรัย นี้ท่านให้สำรวมระวัง ก็สำรวมระวังที่จะได้ไม่เบียดเบียน ไม่ล่วงละเมิด
มนุษยธรรม
ความหมายของศีล ข้อสำคัญก็คือนี่เลย คือการเว้นความชั่ว งดเว้นจากการเบียดเบียนกัน ต่อจากนั้นก็จะฝึกให้ประณีตยิ่งๆ ขึ้นไป แต่ว่าศีลที่เป็นเบื้องต้นทีเดียวน่ะ สำหรับมนุษย์ทั่วไปท่านเรียกว่าเป็นมนุษย์ ถ้าประพฤติปฏิบัติตามศีล 5 เราก็เรียกว่ามีมนุษยธรรม ก็คือเป็นคุณสมบัติของความเป็นมนุษย์เป็นขั้นต้น เมื่อมนุษย์มีมนุษยธรรมมีคุณสมบัติของมนุษย์แล้ว ต่อจากนี้ก็ทำความดียิ่งๆ ขึ้นไป เพื่อเสริมความเป็นมนุษย์ให้เป็นมนุษย์ที่ดีงาม ตลอดจนกระทั่งเป็นมนุษย์ที่มีจิตใจเป็นเทพเป็นพรหมก็ได้ อย่างที่ท่านเรียกว่า มนุสสเทโว หรือจนกระทั่งเป็นมนุษย์ที่บริสุทธิ์เป็นพระอรหันต์
แต่ว่าถ้าเทียบในชีวิตของการที่เรามีพระสงฆ์เป็นนักบวช และก็คฤหัสถ์ เราก็เรียกศีล 5 นี้ว่าเป็นคฤหัสถ์ธรรม หรือธรรมะของคฤหัสถ์ ถ้าคฤหัสถ์มีธรรมะ ได้แก่ศีลเบื้องต้นนี้ 5 ข้อ ก็เรียกว่ามีคุณสมบัติของคฤหัสถ์ที่ดี แต่ถ้าเป็นพระสงฆ์แล้วก็ถือว่าศีล 5 ไม่เพียงพอ ก็ต้องบำเพ็ญศีลให้ยิ่งขึ้นไป ถ้าเป็นพระภิกษุก็ถือว่ามีศีล 227 ถ้าเป็นภิกษุณีก็มี 311 ข้อ
เพราะฉะนั้น ศีลก็เลยมีนอกเหนือยิ่งขึ้นไปกว่าเพียงศีล 5 ทั้งนั้น อันนั้นโดยมากแล้ว ก็เป็นข้อปฏิบัติ เพื่อฝึกฝนตน เช่นว่า ศีล 8 ของญาติโยมเนี่ย ความจริงญาติโยมถือศีล 5 นี่ก็เพียงพอที่จะเป็นคฤหัสถ์ที่ดีแล้ว แต่ว่าต้องการที่จะประพฤติปฏิบัติ ฝึกฝนตนให้ยิ่งขึ้นไป ก็ถือศีล 8 ศีล 8 นี้ถ้าเรียกตามศัพท์ท่านจัดอยู่ในพวกวัตร วัตรคือข้อปฏิบัติพิเศษที่เราทำเพื่อจะฝึกฝนตนเอง ขัดเกลากิเลสของตนเองเพื่อเตรียมจิตให้พร้อมที่จะบำเพ็ญคุณความดีอื่นๆ ให้มากยิ่งขึ้น เพราะฉะนั้น เมื่อมีศีล 5 แล้ว ถ้าเป็นพุทธศาสนิกชนก็ต้องการความเจริญในธรรมะ ก็อาจจะไม่หยุดอยู่แค่ ศีล 5 ก็นำเอาศีล 8 และก็ศีลที่ยิ่งๆ ขึ้นไปนั้น มาประพฤติปฏิบัติเพื่อให้เจริญงอกงามในธรรม
อธิศีล
แต่อย่างไรก็ดี ถ้าว่าตามวิธีปฏิบัติในทางธรรมแล้ว ท่านก็บอกว่ามีเพียงศีล 5 ก็เจริญในสมาธิ ปัญญา ได้สำเร็จแล้ว เพราะว่าถ้าศีล 5 นี้ประพฤติปฏิบัติถูกต้อง ท่านก็เรียกว่าเป็นอธิศีล เหมือนกัน อธิศีลนั้น เมื่อมีพร้อมแล้วก็เจริญในอธิจิต ในอธิปัญญาต่อไป เป็นการบำเพ็ญ ไตรสิกขา หมายความว่า ผู้มีศีล 5 ที่ประพฤติปฏิบัติถูกต้อง สามารถปฏิบัติ บำเพ็ญ ไตรสิกขาให้บริบูรณ์ จนกระทั่งบรรลุความเป็นอริยบุคคลได้ แต่ผู้ใดต้องการจะขัดเกลาตนเองให้ยิ่งขึ้นไปจะนำเอาศีล 8 ศีล 10 มารักษา ท่านก็อนุโมทนาด้วย อันนี้ก็เป็นความรู้บางอย่างเกี่ยวกับเรื่องศีล
วิรัติ 3
อ่อ แล้วก็ที่ควรจะทราบอีกอย่างหนึ่งก็คือว่า อย่างที่อาตมภาพได้บอกว่า ศีลนั้นก็มีความหมายอย่างหนึ่งว่า การงดเว้น คืองดเว้นจากความชั่ว ศัพท์ว่างดเว้นจากความชั่วนี้ ท่านมีคำบาลีให้อีกอัน เรียกว่า วิรัติ หรือ วิ รัต ติ วิรัติ ที่เขียน ว.แหวน-สระอิ แล้ว ร.เรือ- ไม้หันอากาศ ต.เต่า-สระอิ วิรัติ หรือวิรัตติ นี้แปลว่าความงดเว้น ท่านให้รู้ว่าการงดเว้นที่เป็นศีลเนี่ย คนเราจะทำได้ 3 ทางด้วยกัน เรียกว่า วิรัติ 3
วิรัติ 3 ก็คือ หนึ่ง สัมปัตตวิรัติ งดเว้นในเมื่อไปประจวบเข้าเฉพาะหน้า หมายความว่า คนเรานี้บางทีก็งดเว้นความชั่ว ในเมื่อประสบเข้ากับสิ่งนั้นเฉพาะหน้า แล้วข้อที่สอง สมาทานวิรัติ งดเว้นเพราะได้สมาทานไว้ คือเราได้ตั้งใจถือศีลรับศีลไว้ แล้วก็เลยปฏิบัติตามศีลที่ตนเองสมาทาน และก็สาม สมุจเฉทวิรัติ งดเว้นโดยเด็ดขาด อันนี้อาตมภาพ จะอธิบายย่อๆ คือจะได้เข้าใจหลักการประพฤติปฏิบัติตามศีลไว้
สัมปัตตวิรัติ
ข้อที่ หนึ่ง สัมปัตตวิรัติ งดเว้นเมื่อประจวบเฉพาะหน้า หมายความว่าเราไปประสบเหตุการณ์ สถานการณ์ ที่จะละเมิดศีลขึ้นมา เช่นว่า เราเดินไปเห็นของผู้อื่น ซึ่งโอกาสเปิดเต็มที่ว่าเราจะหยิบเอาได้ ตอนนี้ก็เป็นช่วงเวลาสำคัญล่ะ ที่จะตัดสินใจเลือกอย่างไร ทีนี้ในเวลานั้น ถ้าหากว่าเราได้คิดขึ้นมา พิจารณาว่า โอ้ นี่เราเป็นพุทธศาสนิกชน ไม่สมควรจะทำความผิดอย่างนี้ การล่วงละเมิดกรรมสิทธิ์ผู้อื่น เป็นสิ่งไม่ดีไม่งาม แล้วเราก็งดเว้นได้ หรือแม้แต่พิจารณาว่า เรานี่เป็นคนที่ คนเขาเคารพนับถือไม่ควรจะทำความชั่วอย่างนี้ ต้องงดเว้นได้เฉพาะหน้าในเวลานั้น โดยเหตุผลที่คิดขึ้นมาในบัดนั้นเอง อย่างนี้ท่านเรียกว่า สัมปัตตวิรัติ งดเว้นในเมื่อประสบเหตุการณ์เข้าเฉพาะหน้า
สมาทานวิรัติ
ทีนี้ประการที่ สอง เราได้สมาทานศีลไว้ ตั้งใจรับศีลเหมือนกับไปสัญญาหรือปฏิญญาไว้แล้ว ในเมื่อมาประสบ ในเมื่อไปประสบเหตุการณ์เข้า เช่น อย่างที่ตัวอย่างเมื่อกี้นี้ ไปเห็นของที่สามารถที่จะถือเอามาเป็นของตนได้ แต่มาพิจารณาว่าเราได้สมาทานรับศีลไว้แล้ว เป็นคนถือศีล ปฏิญาณบอกกับพระไว้ หรือตั้งใจกำหนดใจไว้แล้ว เราก็ไม่ละเมิดศีล ไม่ทำความชั่วนั้น อย่างนี้เรียกว่า สมาทานวิรัติ คืองดเว้นเพราะว่าได้ตั้งใจรับเอาไว้ ถือเอาไว้อย่างนั้น
สมุจเฉทวิรัติ
และประการที่สาม สมุจเฉทวิรัติ งดเว้นโดยตัดขาด อันนี้หมายถึงว่า ไม่มีกิเลสในใจ คือไม่มีความโลภ ความโกรธ หลงเหลืออยู่ในใจเลย เพราะฉะนั้น ก็ไม่มีกิเลสที่จะเป็นเหตุให้ทำความชั่ว ถ้าอย่างนี้แล้ว เรียกว่าเป็นเหมือนกับอัตโนมัติ จะไปประสบเหตุการณ์อะไรก็ตามที่จะทำให้ละเมิดศีล ก็ไม่มีทางละเมิด เพราะไม่มีกิเลสที่จะเป็นเหตุให้ละเมิด และทำความชั่วนั้นๆ อันนี้เรียกว่า สมุจเฉทวิรัติ ได้แก่ การงดเว้นความชั่วของพระอริยบุคคล โดยเฉพาะพระอรหันต์ เพราะไม่มีกิเลสเหลืออยู่เลย เป็นอันว่าไม่ทำความชั่วโดยสิ้นเชิง
อันนี้คือ วิรัติ 3 อย่าง ที่เป็นความรู้ประกอบ เป็นหนทางในการที่จะถือศีล แต่ว่าถ้าสำหรับ พุทธศาสนิกชนโดยทั่วไปเนี่ย มักจะใช้วิธีสมาทานวิรัติ คืองดเว้นโดยสมาทานไว้ด้วย แต่ว่าถึงแม้ไม่ได้สมาทานก็ยังมีสัมปัตตวิรัติ คือใช้เหตุผลพิจารณาถึงภาวะของตนเฉพาะหน้านั้น อาศัยหิริโอตัปปะนั่นเอง ทำให้ไม่ละเมิดศีล ไม่ทำความชั่ว นี้ก็เป็นความรู้บางอย่างที่อาตมภาพนำมากล่าวเกี่ยวกับเรื่องศีล
ความสำคัญของศีล
ก็อยากจะขอปิดท้ายด้วย คำสอนของพระพุทธเจ้าเกี่ยวกับความสำคัญของศีล พระพุทธเจ้าถือว่า ศีลน่ะมีความสำคัญเหมือนกับเป็นพื้น ผืนแผ่นดิน หรือว่าพื้นที่เรายืนเรานั่งเนี่ย มีความสำคัญอย่างไร ท่านบอกว่า คนเราเนี่ยจะทำงานทำการอะไรก็ตามเนี่ย จะต้องมีพื้นเป็นที่เหยียบยันซะก่อน ถ้าไม่มีพื้นเป็นที่เหยียบยันแล้ว ก็ทำอะไรไม่ได้ สมมติว่าโยมจะตัดกิ่งไม้สักกิ่งหนึ่ง ก็ต้องมีที่เหยียบ เช่นมีพื้นดิน ที่เหยียบ แล้วเราจึงจะจับอุปกรณ์ จับอาวุธ จับมีด จับขวานขึ้นมาแล้วฟันกิ่งไม้ได้ ถ้าเราไม่มีที่เหยียบที่ยันแล้ว เราไม่สามารถทำงานนั้นได้เลย
ท่านบอกว่าศีลเนี่ย ก็เปรียบเหมือนผืนแผ่นดิน หรือพื้นที่เราเหยียบยันนั้น ทีนี้ ถึงแม้มีพื้นมีที่เหยียบแล้ว บางคราว พื้นนั้นก็ไม่มั่นคง ถ้าพื้นคลอนแคลนก็ทำงานไม่สะดวก ทำงานไม่ถนัด งานก็อาจจะสำเร็จบ้างไม่สำเร็จบ้าง เช่นว่าตัดต้นไม้อย่างตัวอย่างเมื่อกี๊ ถ้าพื้นตรงนั้นเกิดไม่มั่นคง เช่น เราเหยียบอยู่บนพื้นกระดานแล้วปูไว้ แล้วก็คลอนแคลนโยกไปมา เราอาจจะตัดไม่สำเร็จ หรือว่าถ้ากำลังของเราดี มีดก็คมมาก ก็อาจจะตัดได้ แต่ถ้ามีดก็เกิดไม่คม กำลังของเราก็ไม่ดี ก็เลยไม่มีทางตัดได้สำเร็จ อันนี้ก็สัมพันธ์กัน
ถ้าจะเปรียบท่านบอกว่า พื้นดินนั้นก็เหมือนกับศีล และก็กำลังที่ตัดนั้นเหมือนสมาธิ มีดที่คมอุปกรณ์นั้นก็เหมือนกับปัญญา ถ้าหากว่ามีศีลมั่นคงแล้ว ก็จะเป็นเหตุให้ช่วยให้สมาธิ กำลังของเรานั้นดีขึ้น แม้เรากำลังจะไม่แข็งแรงเท่าไหร่ แต่พื้นที่มั่นคงนั่นแหละ ช่วยเราได้ แล้วมีดคือปัญญานั้น แม้จะไม่คมนัก ก็ยังใช้งานได้สำเร็จ แต่ถ้าหากว่าศีลของเราไม่มั่นคงคลอนแคลน เราก็อาจจะต้องอาศัยปัญญาที่เป็นมีดอันคมกริบ และก็กำลังคือสมาธิที่เข้มแข็งมาก แต่อย่างไรก็ตาม เป็นอันว่าศีลเนี่ย เป็นหลักสำคัญในเบื้องต้น อย่างเป็นพื้นที่เหยียบยัน ที่จะทำให้ทำงานได้สำเร็จ
เพราะฉะนั้น ท่านจึงสอนให้ พุทธศาสนิกชนเนี่ยเห็นความสำคัญของศีล แล้วก็พยายามที่จะเจริญศีลขึ้นมา รักษาศีลให้เป็นปกติ เป็นพื้นที่มั่นคงอยู่ในจิตใจ เพราะว่าศีลนั้นเป็นพื้นฐานที่มั่นคงในจิตใจของตนเองด้วย ในทางสังคมด้วย เมื่ออยู่ภายในใจของตนเอง จิตใจของตนเอง ก็สงบ เยือกเย็น ไม่กระวนกระวาย จะบำเพ็ญสมาธิก็ทำได้สะดวกขึ้น จะคิดนึกอะไรนี้เพื่อเจริญปัญญาก็ทำได้สะดวก นี้แสดงออกมาในภายนอก
ศีลในระดับสังคม
ศีลในระดับสังคม ถ้าหากว่าคนเราไม่เบียดเบียนกัน สังคมมีความปกติสุข ก็เรียกว่าสังคมนั้นมีความมั่นคง คนจะทำงานทำการทำธุรกิจอะไรก็ทำได้สะดวก แต่ถ้าสังคมนี้มีการเบียดเบียนกันมาก เราจะเห็นว่า แม้จะไปไหนมาไหนก็หวาดระแวง เพราะฉะนั้น จะดำเนินธุรกิจทำอะไรก็ไม่สะดวก บางอย่างก็ต้องเว้น จะไปไหนค่ำคืนก็ไปไม่ได้ เป็นต้น หรือไปในสถานที่บางแห่งไปไม่ได้ การงานของมนุษย์ก็ไม่เป็นไปโดยสะดวก ในระดับสังคมก็ดี ในระดับจิตใจก็ดี ศีลก็มีความสำคัญอย่างที่กล่าวมานี้ เพราะฉะนั้นก็ให้สร้างศีลไว้เป็นพื้นฐานอันมั่นคงในจิตใจ และในสังคม แล้วก็จะทำให้ดำเนินก้าวหน้าไปในกิจการงาน ทั้งที่เรียกว่าทางโลกและทางธรรม ทั้งในทางสังคมและในจิตใจของแต่ละคน
ศีลมีความสำคัญและก็อานิสงส์อย่างกล่าวมานี้ เป็นพื้นฐานที่จะให้ก้าวต่อไปในสมาธิและปัญญา ส่วนเรื่องสมาธิและปัญญาเป็นยังไง อาตมภาพก็คงได้มีโอกาสกล่าวต่อไปในเบื้องหน้า สำหรับวันนี้ ก็ขอยุติธรรมกถาเกี่ยวกับเรื่องศีล พร้อมทั้งความสำคัญของศีลไว้ พอสมควรแก่เวลาเพียงเท่านี้ ขออนุโมทนาโยม