แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ญาติโยม พุทธบริษัททั้งหลาย ณ บัดนี้ถึงเวลาของการฟังปาฐกถาธรรมะ อันเป็นหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนาแล้ว ขอให้ทุกท่านอยู่ในอาการสงบ ตั้งอกตั้งใจฟังด้วยดี เพื่อให้ได้ประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการฟังตามสมควรแก่เวลา
ได้ประกาศไว้เมื่อวันปีใหม่ว่าปี พ.ศ. ๒๕๒๒ ควรจะเป็นปีแห่งการเข้าถึงธรรมะกัน การที่ได้ประกาศออกไปเช่นนั้น ก็เพื่อจะกระตุ้นเตือนพุทธบริษัททั้งหลาย ให้มีความสำนึกในหน้าที่ อันเราจะต้องปฏิบัติต่อพระศาสนา ว่าเราควรจะทำอย่างไร และเพื่อจะให้เกิดความสำนึกว่า โดยฐานะที่เราเป็นพุทธบริษัทปฏิญาณตนว่าเป็นผู้นับถือพระพุทธศาสนา เราได้ปฏิบัติตนถูกต้องตามคำสอนของพระพุทธเจ้าขนาดไหน เราได้รับประโยชน์จากพระพุทธศาสนาเป็นประการใดบ้าง
อันนี้เป็นจุดหมายที่ต้องการให้เราได้คิดได้นึกกันในปี พ.ศ. ๒๕๒๒ นี้ เพราะถ้าหากว่าเราไม่ได้คำนึงถึงเรื่องอย่างนี้ การปฏิบัติตนต่อพระศาสนาก็จะเฉื่อยชา ชักช้า ไม่เกิดประโยชน์เท่าที่ควร การนับถือพระพุทธศาสนาก็จะไม่ตรงเป้าหมายที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมุ่งไว้ จะกลายเป็นพระพุทธศาสนาแบบอื่นไป คือนับถือแบบวิงวอน ขอร้อง บนบานศาลกล่าวอะไรต่างๆ ในรูปของความขลังไปบ้าง ของความศักดิ์สิทธิ์ไปเสียบ้าง ซึ่งความจริงคำสอนในทางพระศาสนาของเรานั้น ไม่ได้มุ่งไปในทางขลัง ไม่ได้มุ่งไปในทางที่เรียกว่าศักดิ์สิทธิ์ อันจะดลบันดาลให้ใครเป็นอะไรตามที่เขาต้องการนั้นได้ แต่ว่าจุดหมายสำคัญในทางพระพุทธศาสนานั้น ต้องการให้เราที่เป็นพุทธบริษัท ได้ปฏิบัติตนตามคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า อันเป็นเรื่องที่จะช่วยให้เราพ้นจากปัญหาในชีวิตประจำวัน
การปฏิบัติตนนั่นแหละเป็นเรื่องสำคัญ เรื่องการปฏิบัตินี้เราถือว่าเป็นการกระทำ การกระทำนั้นถ้าเรียกตามภาษาพระศาสนาก็เรียกว่ากรรม พระพุทธศาสนานี่ถือหลักกรรมเป็นใหญ่ เรียกว่ากรรมวาที กรรมวาทีก็หมายความว่ามีปกติ ถือว่ากรรมเป็นใหญ่ เป็นประธานในชีวิต อะไรๆ ที่จะเกิดขึ้นในชีวิตของเรานั้น เกิดจากการกระทำของเราเอง ไม่ได้เกิดมาจากอะไรๆ ดลบันดาลให้เป็นไป
คำว่าดลบันดาลนั้น เราไม่ใช้ในพระพุทธศาสนา พุทธศาสนาไม่มีอะไรที่จะดลบันดาลให้ใครเป็นอะไรได้ ที่เราพูดกันอยู่บ้างนั้น เป็นการพูดตามเขา พูดตามความไม่รู้ ไม่เข้าใจในเนื้อแท้ของธรรมะในทางพระพุทธศาสนา แล้วก็พูดกันไปตามเรื่องตามราว ไม่เฉพาะแต่ชาวบ้าน แม้พระสงฆ์องค์เจ้าเราก็พูดตามๆ เขาไป เช่นพูดว่า ขอสิ่งนั้น สิ่งนี้ จงดลบันดาลให้ท่าน เป็นอย่างนั้น อย่างนี้ หรือพูดว่าขอพระรัตนตรัย จงดลบันดาลให้ท่านเป็นอย่างนั้น ให้ท่านเป็นอย่างนี้ อันนี้เป็นคำพูดที่ไม่เป็นสัจจะ ไม่เป็นหลักตามคำสอนในทางพระพุทธศาสนา เพราะว่าพระรัตนตรัยจะดลบันดาลให้ใครเป็นอะไรหาได้ไม่ แต่ว่าทุกคนจะต้องทำเอาเอง ตามแนวทางที่พระพุทธเจ้าที่ท่านชี้ไว้ให้ปฏิบัติ
พระผู้มีพระภาคท่านตรัสไว้ตอนหนึ่งว่า “ตถาคตเป็นแต่เพียงผู้ชี้ทางให้ การเดินทางนั้นเป็นหน้าที่ของเธอทั้งหลายเอง” อันนี้เป็นคำสำคัญมาก คือตถาคตเป็นแต่เพียงผู้ชี้ทางให้ การเดินทางเป็นหน้าที่ของเธอทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้ เพราะฉะนั้นใครจะมาพูดว่า ขอให้พระพุทธเจ้าดลบันดาลให้ท่านเป็นสุข ดลบันดาลให้ท่านมั่งมี ดลบันดาลให้ท่านอ้วนพี หรือว่าดลบันดาลให้ท่านเป็นอย่างนั้น ให้ท่านเป็นอย่างนี้นั้น ขัดกับหลักความจริงในพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาเราไม่มีเรื่องเช่นนั้น แต่เรามีเรื่องของการประพฤติปฏิบัติตามหลักคำสอนที่พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้เท่านั้น ถ้าเราไม่ปฏิบัติตามแล้ว เราจะไม่ได้อะไรจากสิ่งที่เราหวังเป็นอันขาด อันนี้เป็นเรื่องสำคัญที่จะช่วยแก้ความหลงใหล ความเข้าใจผิดในเรื่องอะไรต่างๆ ในการปฏิบัติให้หายไป
ทีนี้ทีหลังมาเรามีวัตถุเป็นสิ่งยึดเหนี่ยว คือ พระพุทธรูป อันเป็นรูปที่เขาทำขึ้น คนก็ไปติดอยู่ในวัตถุนั้น ไปขอร้องวิงวอนพระพุทธรูปให้ดลบันดาล ให้ตนเป็นอย่างนั้น ตนเป็นอย่างนี้ ซึ่งเราเรียกกันว่าหลวงพ่อ เช่น หลวงพ่อโสธร หลวงพ่อชินราช หลวงพ่อมงคลบพิตร หลวงพ่อแก้ว หลวงพ่ออะไรต่างๆ ไปตั้งชื่อเข้า ความจริงนั้นไม่ต้องตั้งชื่อก็ได้ เพราะว่าพระพุทธรูปก็เป็นรูปเปรียบแทนพระคุณของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่รูปเปรียบแทนรูปร่างหน้าตาของพระพุทธเจ้า เพราะว่ารูปร่างหน้าตาของพระพุทธเจ้านั้น ในสมัยที่ตั้งพระพุทธรูป คนก็ไม่รู้จักแล้ว จำกันไม่ได้แล้วว่ารูปร่างหน้าตาของท่านเป็นอย่างไร เป็นภาพสร้างขึ้นด้วยการนึกเท่านั้นเอง เขาเรียกว่าเป็นมโนภาพ เป็นภาพที่คิดกันขึ้นว่าควรจะเป็นอย่างนี้ แล้วก็ทำเป็นแบบฉบับขึ้น
พระพุทธรูปที่ทำขึ้นนั้น ไม่ใช่รูปแทนพระพุทธเจ้าที่เป็นเนื้อเป็นหนัง แต่ว่าแทนพระคุณของพระพุทธเจ้า แทนคุณงามความดีของพระพุทธเจ้า เขาปั้นไว้ให้เราเห็นด้วยตา เพื่อจะได้นึกถึงพระคุณของท่านด้วยใจต่อไป ไม่ใช่ปั้นไว้ในฐานะให้เราไปกราบไหว้วิงวอน บนบานศาลกล่าว สั่นติ้ว สั่นกระบอกอะไรต่างๆ ดังที่คนเขาไปทำกันอยู่ทั่วๆ ไปนั้น การกระทำเช่นนั้นไม่เข้าถึงธรรมะของพระศาสนา เป็นการกระทำของเด็กอมมือ ไม่ใช่การกระทำของผู้รู้ ผู้ฉลาด ในการปฏิบัติตนตามหลักศาสนาของพระพุทธเจ้า และเมื่อเราไปกระทำอย่างนั้น ก็เป็นที่เย้ยหยันของศาสนิกในศาสนาอื่น ใครเขามาเห็นเข้าเขาก็หัวเราะให้ หัวเราะว่าพุทธบริษัทมีความเป็นอยู่เหมือนกับเด็กอมมือ เพราะไปนั่งเล่นกระบอกกันอยู่ในโบสถ์ที่ประดิษฐานพระพุทธรูป หรือว่าไปเสี่ยงทายในรูปใดๆ ก็ตาม
เป็นการน่าละอายที่เรากระทำกันในรูปเช่นนั้น แล้วก็เป็นการน่าละอายที่เรามีสิ่งเช่นนั้นไว้ในโบสถ์ของพระพุทธศาสนา เพราะว่าเป็นสถานที่สำหรับให้คนเข้าไปเรียน ไปรู้ ไปศึกษา ไปค้นหาอะไรด้วยปัญญา ไม่ใช่เข้าไปทำเป็นเด็กเล่นอย่างนั้น แต่ว่าที่เข้ามาอยู่ได้นั้น เพราะว่าอามิสปิดหูปิดตา ทำให้เรามองอะไรไม่เห็น เห็นแก่สตางค์เล็กๆ น้อยๆ ที่จะได้จากความโง่ของประชาชน แล้วก็ยังอยู่กันในโบสถ์ต่อไป อันนี้ไม่ถูกต้อง แต่ว่ามันถูกต้องเรื่องสตางค์ มันไม่ถูกต้องตามธรรมะ แต่เรื่องสตางค์มันถูก แต่นี่อยากได้สตางค์ก็เลยเอาไว้ คนเข้าไปไหว้พระก็เลยไม่ถึงพระ แต่ไปถึงกระบอกเท่านั้นเอง ไปถึงกระดาษแผ่นเล็กๆ ที่เขาพิมพ์ออกขาย ไม่ถึงคุณของพระพุทธเจ้า อันนี้เป็นเรื่องไม่ถูกต้อง แต่ว่าเราเข้าไปเกาะ ไปจับกันอยู่
ปี พ.ศ. ๒๕๒๒ นี่ จึงควรเป็นปีที่เราแกะสิ่งเหล่านั้นออกไป เราช่วยกันรักษาโรคเนื้อร้ายที่เจริญงอกงามอยู่ในวงการพระศาสนา ให้ออกไปจากจิตใจของพุทธบริษัท ให้พุทธบริษัทเป็นพุทธบริษัทที่แท้ เป็นผู้นั่งแวดล้อมพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ไปแวดล้อมสิ่งซึ่งโง่เขลาเบาปัญญา ดังที่กระทำอยู่ทั่วๆ ไป ในเมืองไทยเรานี้ เรามักจะพูดกันว่า เต็มไปด้วยการคอรัปชั่น วิทยุ โทรทัศน์ก็ประกาศทุกคืน ช่วยกันกำจัดคอรัปชั่นให้สิ้น เพื่อแผ่นดินไทยอยู่รอด ก็ประกาศอย่างนั้น
คอรัปชั่นน่ะมั่นเริ่มต้นที่ตรงไหน ติดสินบนน่ะมันเริ่มต้นที่ตรงไหน ก็เริ่มต้นจากความเขลาที่ในโบสถ์นั่นเอง คือในโบสถ์นั้นยังมีการติดสินบนกันอยู่ ยังมีคอรัปชั่นกันอยู่ ติดสินบนอย่างไร คือการไปบนบานศาลกล่าวนั่นเอง บนบานศาลกล่าวต่อพระพุทธรูปว่าถ้าสำเร็จแล้ว จะเอาทองไปปิดที่หน้าผาก หน้าแข้ง ปิดแขน ปิดขา เท่านั้นแผ่น หายแล้วก็จะเอาหัวหมูมาถวาย หายแล้วก็จะเอาละครชาตรีมารำให้หลวงพ่อดู อันนี้ก็คือการคอรัปชั่น เรียกว่ารากฐานของการคอรัปชั่นในประเทศไทย คอรัปชั่นมาตั้งแต่เริ่มต้นกันเลยทีเดียว แล้วก็งอกงามเจริญมาจนคอรัปชั่นในหมู่มนุษย์ทั่วๆ ไป ดังที่เป็นกันอยู่ในสมัยนี้
ทีนี้ในวงการพระศาสนาเรานี้ ถ้าจะแก้ไขเรื่องคอรัปชั่นทางจิตใจคน เราก็ต้องทำลายพระพุทธศาสนาแบบคอรัปชั่นเสีย คือไม่ให้คนไปนั่งบนบานศาลกล่าวอย่างนั้น ไม่ให้ไปติดสินบนพระพุทธรูปอย่างนั้น หรือไม่ให้ทำอะไรในรูปอย่างนั้น อย่าเห็นแก่สตางค์เล็กๆ น้อยๆ ที่เราจะได้จากความเขลาของประชาชน แต่ให้เรามองเห็นว่าปัญญาความฉลาดของคนสำคัญกว่าสตางค์ที่เราจะมีจะได้ เพราะว่าสตางค์ที่เราได้มานั้น ไม่สามารถจะรักษาสัจธรรมไว้ได้ แต่มันทำลายสัจธรรมของพระพุทธศาสนาให้หมดไป สิ้นไป
ถ้าเรารักพระพุทธศาสนา เราจะเอาเงินไว้ทำลายศาสนาดีรึ หรือว่าเราจะไม่เอาเงินนั้น เพื่อรักษาศาสนาไว้ดีกว่า อันนี้เป็นเรื่องที่น่าคิด ที่เราควรคิดกันแล้วในสมัยนี้แต่ว่าคนเขาไม่ค่อยจะคิดกัน ไม่คิดก็เพราะว่าเห็นแก่ปัจจัยเท่านั้นเอง แต่อาตมานี่มองแล้วรู้สึกรำคาญใจ จึงได้พูดออกไปในรูปอย่างนี้ ก็เพื่อให้เราได้ช่วยกันทำลายสิ่งที่เรียกว่าเนื้อร้ายในวงการพระศาสนา การคอรัปชั่นในวงการพระพุทธศาสนาให้หายไป ให้เราไปวัดเพื่อศึกษาธรรมะ เพื่อปฏิบัติธรรมะ เพื่อขูดเกลาจิตใจของเราให้สะอาด เข้าไปในโบสถ์ก็เข้าไปเพื่อศึกษา เข้าไปเพื่อปฏิบัติกันอย่างแท้จริง
สถานที่ในโบสถ์ ในวิหาร ในวัดวาอารามนั้น ต้องมีเฉพาะสิ่งเกื้อกูลแก่ปัญญา ไม่มีสิ่งที่เกื้อกูลแก่ความหลง ความเขลาของประชาชน ถ้ามีอยู่ก็ต้องเอาออกกันเท่านั้นเอง ความจริงในเมืองไทยเรานี้ ควรจะได้มีการกระทำที่เรียกว่าสังคายนา เรื่องสังคายนานี่เขาทำกันบ่อยๆ ทำกันเวลามีงานศพ งานศพตามบ้านนอกเรามักจะมีสังคายนากัน ญาติโยมถือว่าเทศน์สังคายนานี่ได้บุญใหญ่ แต่ความจริงนั้นก็เทศน์กันไปอย่างนั้นแหละ ถือว่าเล่าเรื่องการทำสังคายนาให้ญาติโยมฟัง สมมติกันว่าเป็นพระกัสสปะ เป็นพระอานนท์ เป็นพระอุบาลี แล้วก็มีพระมานั่ง บางงานเขาทำใหญ่เอาตั้ง ๕๐๐ ตั้ง ๕๐๐ ที่มันไม่พอก็เที่ยวนั่งกันเพ่นพ่านไปตามเรื่อง แล้วก็สวดกันไปตามเรื่อง สังคายนาแบบนั้นเขาเรียกว่าสังคายนาตามพิธีการเท่านั้น ไม่ใช่ได้สาระในทางที่จะแก้ไขอะไร
สังคายนาที่กระทำกันในสมัยโบราณนั้น เป็นเรื่องการแก้ไขปรับปรุงกิจกรรมทางศาสนาให้ดีขึ้น เช่นว่าเมื่อพระพุทธเจ้านิพพานแล้วได้สามเดือน พระอรหันต์ทั้งหมด ๕๐๐ องค์ มาประชุมกันที่ถ้ำสัตตบรรณคูหา ข้างภูเขาเวภารบรรพตในเมืองราชคฤห์ ใครไปเมืองราชคฤห์แล้วก็จะเห็นมีภูเขาล้อมรอบ แล้วก็มีภูเขาลูกหนึ่ง เขาเรียกว่าภูเขาเวภารบรรพต ที่ข้างภูเขาเวภารบรรพตน่ะมีถ้ำ เรียกว่าถ้ำสัตตบรรณคูหา พระท่านไปทำกันที่นั่น เธอว่าที่นั่นมันร่มรื่นดี มีป่าไม้ แล้วก็ไปรวมกันทั้ง ๕๐๐
ทำไมจึงได้ทำสังคายนาครั้งนั้น ก็เพราะปรารภท่านองค์หนึ่ง คือพระบวชปลายแก่ หลวงตา เรียกว่าพระหลวงตา ท่านพูดขึ้น ในเมื่อพระองค์อื่นๆ เขาเสียอกเสียใจกัน ในการที่พระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานไป แต่ว่าหลวงตาองค์นี้ชื่อสุภัททะนี่ แกไม่เสียใจอะไร แกบอกว่า “เฮ้ย จะไปเสียอกเสียใจอะไร พระพุทธเจ้านิพพานก็ดีแล้ว ท่านยังอยู่นี่เราลำบาก จะทำอะไรก็ไม่สะดวก ไม่สบาย ท่านคอยตักเตือนว่าคอยกล่าวอยู่ตลอดเวลา ทีนี้ไม่มีพระพุทธเจ้าแล้วก็จะได้ประพฤติปฏิบัติอะไรตามสบายหน่อย” เขาเรียกว่าเสี้ยนหนามเกิดขึ้นแล้ว ยังไม่ทันครบเดือนด้วยซ้ำไป พระพุทธเจ้านิพพาน ๗ วันเท่านั้น เสี้ยนหนามเกิดขึ้นแล้ว
พระมหากัสสปะท่านอยู่ในที่นั้นด้วย ท่านก็ปรารภในใจว่า “ปัดโธ่เอ๊ย พระพุทธเจ้านิพพานยังไม่ครบ ๗ วัน เสี้ยนหนามเกิดขึ้นในพระศาสนาแล้ว” ท่านก็จำเรื่องนี้ไว้ ท่านเมื่อได้จัดการพระศพอะไรต่ออะไรเรียบร้อยเสร็จแล้ว ล่วงได้ ๓ เดือน ท่านก็เอาเรื่องนี้แหละ ขึ้นมาปรารภกันในหมู่พระเถระทั้งหลาย ซึ่งอยู่กันในสมัยนั้น แล้วก็ปรึกษากันว่าเราควรจะได้กระทำการสังคายนา การสังคายนาก็คือการร้อยกรองพระธรรมวินัย ให้เป็นระเบียบแบบแผน ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ให้จงจำไว้เป็นแบบเดียวกันทั้งหมด ไม่ลักลั่น ไม่ใช่คนนั้นว่าอย่างนั้น คนนี้ว่าอย่างนี้ มันวุ่นวายกัน สับสน ทำให้คนที่นับถือลำบาก ไปวัดโน้นพูดอย่าง ไปวัดนี้พูดอย่าง มันก็ยุ่งล่ะ ไม่รู้จะเอาของใครถูก อะไรแปลผิดลำบาก
ท่านก็เลยมาประชุมกัน ทำการสังคายนา ร้อยกรองพระธรรมวินัยกันใหม่ พระอานนท์นี่เป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านพระสุตตันตะ พระอุบาลีท่านเชี่ยวชาญด้านพระวินัย ในสมัยนั้นยังไม่มีคัมภีร์อภิธรรม มีแต่เพียงสองเรื่อง คือธรรมะ วินัย เท่านั้น และพระมหากัสสัปปะนี่เป็นผู้ไต่ถาม เช่นถามเรื่องพระสูตรกับพระอานนท์ พระอานนท์ก็เล่าให้ฟังโดยลำดับๆ แล้วพระ ๕๐๐ ก็ช่วยกันจำไว้ เอาไปสอนศิษย์กันต่อไป พูดต่อกันมา
เมื่อต่อมาก็มีการกระทำสังคายนาอีก เช่นในสมัยพระเจ้าอโศกนี่สังคายนาครั้งที่ ๓ สังคายนาครั้งที่ ๓ สมัยพระเจ้าอโศกนี่มีปัญหามากทีเดียว เพราะว่ามีพวกคนเข้ามาบวชในพระศาสนามาก คนที่มาบวชนั้นเห็นว่าพระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนานี่เจริญด้วยลาภสักการะ ถ้าไปบวชแล้วก็คงจะสบาย ไม่ได้บวชเพื่อศึกษา เพื่อปฏิบัติพระธรรมวินัย แต่บวชเพื่ออาศัยความสบายจากลาภสักการะ เขาเรียกว่าอุปชีวิกา หมายความว่าบวชเพื่อปากเพื่อท้อง เพื่อการเป็นอยู่
ทีนี้บวชเข้ามาแล้ว ไม่ใช่การกินอยู่เฉยๆ แต่ว่าเอาคำสอนที่ตนเคยมีอยู่ก่อน ใส่เข้าในพระพุทธศาสนา เที่ยวเทศน์ เที่ยวสอนประชาชนให้ไขว้เขว ห่างไปจากหลักธรรมของพระพุทธเจ้า ผู้ที่มีความรู้มีความเข้าใจในสมัยนั้น ได้ยินได้ฟังก็เห็นว่าเอ๊ะ มันยุ่งกันใหญ่แล้ว องค์นั้นเทศน์อย่างนั้น องค์นั้นเทศน์อย่างนี้ ความเข้าใจของประชาชนก็ไขว้เขวกัน ทำให้เกิดความยุ่งยาก จึงได้ไปกราบทูลพระเจ้าอโศกมหาราช ซึ่งเป็นราชาผู้ยิ่งใหญ่ในสมัยนั้น ว่าขอความอุปถัมภ์ จะกระทำการสังคายนา แล้วในการสังคายนานี้จะต้องสึกพระจำนวนมากกันเลยทีเดียว ต้องใช้อำนาจกันหน่อย ถ้าไม่ใช้อำนาจก็สึกไม่ได้ เพราะว่าแกไม่ยอมสึกก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร อันนี้ต้องใช้อำนาจทางกฎหมาย
ก็เลยตั้งการสอบทานกันขึ้น สอบทานก็เรียกมาทีละองค์ ทีละองค์ มาสัมภาษณ์ความรู้ความเข้าใจในหลักธรรมะทางพระพุทธศาสนา ถ้าตอบไม่ถูกล่ะก็ ไม่เอาละ ให้สึกไปเลยทีเดียว ไล่สึกกันเป็นร้อยๆ กันเลยทีเดียว พวกที่ตอบไม่ตรงนี่สึกหมดเลย เพราะว่าเอาลัทธิอื่นมาตอบ เอาลัทธิพราหมณ์มาตอบอะไรอย่างนี้เป็นต้น เช่น พระพุทธศาสนาสอนเรื่องอนัตตา แต่ไปตอบเป็นเรื่องอัตตาไป เรื่องมีตัวมีตนไป พระพุทธศาสนาถือว่าไม่มีตัว แต่ไปตอบเรื่องมีตัว อันนี้แปลว่าเข้าใจผิดนะ เข้าใจผิดในส่วนลึกเสียด้วย เอาไว้ไม่ได้ ก็เลยจับสึกกันไปเป็นแถวเลยทีเดียว เหลืออยู่แต่พระที่ถูกต้องตามหลักพระพุทธศาสนา แล้วก็ทำสังคายนากันทีนึง สอบทานกันใหม่ จำกันใหม่ต่อไป แล้วก็ส่งพระออกไปเที่ยวประกาศศาสนาในประเทศต่างๆ ถึง ๑๐ ชุด
ดังปรากฏว่าพระโสณะอุตตระ ได้มาสู่สุวรรณภูมิ ก็นึกกันว่าเป็นแหลมทองของเรานี่เอง นึกว่าเป็นอย่างนั้น สันนิษฐานว่าเป็นอย่างนั้น พระพุทธศาสนาได้มาสู่ประเทศไทยในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช สังคายนาครั้งที่ ๓ แล้วต่อมาก็ทำที่ ๔ ที่ ๕ ทำในประเทศลังกา จารึกลงในตัวหนังสือแล้วทีนี้ ไม่ได้แล้ว ยุ่งแล้ว คนความจำชักจะไม่ค่อยดีแล้ว เลอะเลือนแล้ว เลยเขียนไว้ในใบลาน ในสมัยลังกา เขียนไว้ในคัมภีร์ใบลานเลย พระศาสนาจึงดำรงมั่นต่อมา
ทีนี้มาในยุคนี้ สมัยนี้ ก็ควรจะได้มีการสังคายนากันเสียบ้าง แต่ว่าไม่มีใครคิดจะทำอย่างนั้น คือสังคายนาจัดการเอาคนที่ไม่เข้าใจพุทธศาสนาถูกต้อง ทำอะไรนอกรีต นอกรอยจากหลักการแห่งพระพุทธศาสนา สิ่งใดที่ไม่ใช่เป็นธรรม เป็นวินัย เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า ถ้ามีการปฏิบัติอยู่ก็ประกาศออกไปเลยว่า นั่นไม่ใช่พระพุทธศาสนา เป็นการปฏิบัติไม่ถูก ไม่ถูก คนก็จะได้รู้กันว่านั่นไม่ใช่พุทธศาสนา
เวลานี้คนไม่รู้ เพราะว่านึกว่าเป็นพระ นุ่งเหลือง ห่มเหลือง ครองชีวิตอย่างนักบวช แต่ว่าไปทำเรื่องที่ไม่ใช่พุทธศาสนาก็มีถมไป เช่นเป็นหมอดูบ้าง นั่งทางในหลับหูหลับตา ดูอะไรต่ออะไรบ้าง นี่คฤหัสถ์ที่นั่งหลับหูหลับตาคนหนึ่งตายแล้วเวลานี้ ศพอยู่วัดอะไรเมื่อวานซืนนี้หนังสือพิมพ์ประกาศ ชอบนั่งหลับตา นั่งหลับตาจนตาบอดไปเลย คือหลับตาดู ใครไปหาแล้ว โอ้ ใต้ถุนบ้านมีอะไรอยู่ ต้องไปขุดไปรื้อกันฉิบหายเข้าไปเท่าไหร่ก็ตามใจเหอะ เสียหายกันเยอะแยะ
ทีนี้นั่งหลับตาบ่อยๆ จนตัวเองตาบอดไปเลย เวลาแก่ตาบอดเดือดร้อนนะ เป็นแพทย์นะ แพทย์แผนปัจจุบัน แต่ว่าไม่ใช้วิชาแพทย์ ไปใช้วิชาอะไรไม่รู้ ไม่ใช่เรื่องพุทธศาสนา ไม่ใช่วิปัสสนาตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า วิปัสสนาน่ะเขาว่าหมายความว่า รู้แจ้งเห็นจริง รู้แจ้งเห็นจริงในเรื่องอะไร ไม่ใช่ในเรื่องว่าใต้ดินตรงนี้มีอะไรฝังอยู่ ไม่ใช่อย่างนั้น กลับไปนั่งหลับตาดูกรุงศรีอยุธยาแล้ว เห็นง่าย ทายได้เลยว่ามีอิฐฝังอยู่ ไม่ว่าขุดลงไปต้องเจอทั้งนั้น ใครสร้างบ้านอยุธยานี่หลับตามองเห็นเลย ไม่หลับก็มองเห็น บอกว่าใต้บ้านมีก้อนอิฐฝังอยู่ มันต้องเอาขึ้น แล้วเจอไม่ใช่ก้อนเดียวนะ เยอะแยะ เมืองอยุธยานี่อิฐทั้งนั้น เพราะว่ามันเมืองเก่า มีอิฐทั้งนั้น อิฐมั่ง ท่อนไม้มั่ง ถ้าไปเชื่อคนหลับตาแบบนั้นล่ะก็รื้อกันตาย ไม่ต้องอยู่กันเท่านั้นเอง เขาเรียกว่าไม่เข้าเรื่อง คนก็เลื่อมใสกันไป หลับหูหลับตากัน มีทุกข์มีร้อนอะไรก็ไปนั่งให้หลับตาดูว่ามีอะไร
โรงแรมเอราวัณจัดไม่เป็น คนทะเลาะกัน ปกครองคนไม่เป็น แล้วก็เลย มันยุ่งนะ ขาดทุนนะ สมัยนั้นการท่องเที่ยวมันก็ยังไม่เจริญ แต่ว่ามีอะไรปัญหาเยอะ เลยไปหาคนนี้ นั่งหลับตาดู เอ้อ ไม่ได้ นี่มีเจ้าของ เราไปเอาแย่งที่เขา ต้องทำรูปเขาไหว้บูชา แล้วก็ทำรูปพระพรหมให้นั่งอยู่ข้างมุมโรงแรมนะ คนก็ไปไหว้กันใหญ่เลย นี่เขาเรียกว่าส่งเสริมความโง่เขลาของประชาชน ไม่ได้ส่งเสริมปัญญาของประชาชน ให้รู้จักธรรมะ ให้เข้าใจธรรมะ ส่งเสริมให้คนไปไหว้สิ่งซึ่งสร้างขึ้น แล้วก็บูชาสักการะด้วยความงมงาย อันนี้มีบาปมีเวร ตัวจึงต้องตาบอดไปเพราะอะไร มันเป็นอย่างนั้นนะ
อันนี้วิปัสสนามันไม่ใช่อย่างนั้น ไม่ใช่หลับตาแล้วเห็นอย่างนั้น วิปัสสนาไม่ต้องหลับตาก็มองเห็น เห็นอะไร เห็นความไม่เที่ยงถูกต้อง เห็นความเป็นทุกข์อย่างถูกต้อง เห็นอนัตตาอย่างถูกต้อง แล้วไอ้เรื่องที่เห็นนั้นมันเรื่องตัวเรา เห็นร่างกาย ชีวิตของเรานี่มันไม่เที่ยงอย่างไร มันเป็นทุกข์อย่างไร มันเป็นอนัตตาอย่างไร เมื่อเห็นชัดอย่างนั้นแล้ว จิตก็ผ่อนคลายจากความยึดมั่นถือมั่น ไม่หลงใหลมัวเมาในสิ่งต่างๆ นั่นคือวิปัสสนาทางพระพุทธศาสนา
ทีนี้คนไม่เข้าใจ มักจะวิปัสสนาอย่างนั้น ท่านนั่งวิปัสสนาเห็นอะไรมั่งนะ อันนี้ คราวนี้ก็คนมักจะเห็นนะ เห็นนรกไหม เห็นสวรรค์ไหม แล้วถ้าเห็นนรกเห็นอย่างไร ก็เหมือนเหมือนนรกข้างฝาโบสถ์ที่เขาเขียนไว้นะ หรือว่าเหมือนกับพิภพมัจจุราชทางโทรทัศน์นั่นแหละ นรกแบบนั้นแหละ สวรรค์ก็วิมานเป็นชั้นๆ นะ วิมานสูง ๕๐ ชั้น ๕๐ โยชน์ ตาย... เทวดาขึ้นลงจากชั้นบนถึงชั้นล่างก็คางเหลืองแล้ว มันสูงเกินไปน่ะเห็นอย่างนั้น
นั่นมันไม่ใช่วิมาน หรือสวรรค์ที่เราเห็นถูกต้อง เห็นนรก เห็นสวรรค์นะ คือเห็นว่าความร้อนใจนี่มันเป็นนรก ความสบายใจนี่มันเป็นสวรรค์ เวลาใดเรานั่งร้อนผ่าว ร้อนด้วยราคะ ร้อนด้วยโทสะ ร้อนด้วยโมหะ ร้อนด้วยความริษยา ด้วยความพยาบาท ด้วยความหลงใหลเข้าใจผิด นี่มันนรก ร้อนอย่างนี้ พวกที่เจริญ พวกที่ปฏิบัติธรรมเขามองเห็นว่าไอ้นี่นรก ถ้าร้อนอกร้อนใจนี่มันเป็นนรก แต่ถ้าสบายใจ สบายใจด้วยอะไร ด้วยการทำความดี เช่นสบายใจเพราะว่าเราได้มาฟังธรรม เราได้ให้ทาน เราได้รักษาศีล เราได้ทำอะไรดีงามตามหลักคำสอนในทางพระศาสนา เราสบายใจ เมื่อมีความสบายใจมันก็เรียกว่าเป็นสวรรค์ สวรรค์ก็อยู่ในเนื้อตัวของเรา นรกก็อยู่ในเนื้อตัวของเรา เรามองเห็นถูกต้อง มองเห็นถูกต้องก็ไม่ไปมัวเมานรกอื่น สวรรค์อื่นอยู่ แต่เอานรกในตัวที่มองเห็น ปฏิบัติง่าย นรกนี้แก้ง่าย เพราะมันอยู่ พอร้อนเมื่อเรารู้ อ้อ กูตกนรกแล้ว ก็แก้เสีย อย่าร้อน
แก้อย่างไร แก้ก็ด้วยเจริญวิปัสสนา วิปัสสนาก็คือว่าศึกษาให้เข้าใจว่าเราร้อนเพราะอะไร ทีนี้จะรู้ว่าร้อนเพราะอะไร ก็เพราะเรายอมรับว่าอะไรๆ นั้นมันเป็นของเรา เราทำเอาเอง ไม่ใช่มีอะไรมาดลบันดาลให้เป็นไป ไม่ใช่เพราะดวงดาวในท้องฟ้า ไม่ใช่เพราะวันนั้น วันนี้ ฤกษ์นั้น ฤกษ์นี้ หรือไม่ใช่เพราะดวงไม่ดี ไม่ใช่อย่างนั้น แต่เราเชื่อตามหลักพระพุทธเจ้าว่าเพราะเราทำอะไรผิดไว้ จึงได้เกิดความร้อนอกร้อนใจ และเราก็ค้นสิ ค้นหาในตัวเรานะ อะไรๆ มันอยู่ในตัวเรานะ เราค้นไปศึกษาไป ไม่เท่าใดก็เจอละ มันไม่ไกลอะไร เนื้อที่มันก็นิดเดียว ยาววา หนาคืบ กว้างศอก แล้วก็ไอ้ถ้าค้นนี่มันก็ไม่ใช่ค้นทั้งวา ไม่ใช่กว้างทั้งศอกนะ มันค้นอยู่ที่ความคิดนึกของเรา เราได้คิดอะไร เราได้ทำอะไร
ที่ร้อนน่ะเพราะเราคิดอะไร เรานึกถึงเรื่องอะไร คิดถึงเรื่องอะไรจึงร้อนอกร้อนใจ มันอยู่ในตัวเรา เรารู้ เรารู้ว่าอ้อเราคิดเรื่องนี้ คิดเรื่องนี้เราร้อนใจ ทำไมจึงได้ร้อนใจ ศึกษาต่อไป ค้นคว้าต่อไป เดี๋ยวมันก็เจอต้นตอ พอเจอต้นตอก็ตัดเสียด้วยปัญญา ที่เขาพูดอุปมาว่าตัดด้วยพระขรรค์เพชรนี่ พระขรรค์เพชรก็คือปัญญานะ ไม่ใช่อะไร เอาพระขรรค์เพชรตัดเสียเลย ปัญญา ตัดด้วยปัญญา เมื่อตัดแล้วไอ้ความร้อนนั้นก็หายไป ใจก็สบายต่อไป อย่างนี้เรียกว่าเป็นการปฏิบัติถูกต้องตามหลักเกณฑ์ในทางพระพุทธศาสนาที่เรายอมรับ เจริญวิปัสสนามุ่งไปในรูปอย่างนั้น ไม่ใช่มุ่งไปในรูปหลับหูหลับตาแล้วก็มองเห็นไอ้นู่น เห็นไอ้นี่ อะไรต่างๆ
ทีนี้ พวกที่ไปเจริญภาวนานี่ มักจะเอียงไปทางลาภสักการะ เพราะว่าคนเขาหลงใหลกันในรูปอย่างนั้น พอไปนั่งภาวนาสักเดือนสองเดือน ก็แหมเก่งกันแล้วนะ เก่งอย่างนั้น เก่งอย่างนี้ขึ้นมาเชียว ทีนี้ก็คนไปหาเนี่ย หลวงพ่อที่ภาวนา เรียกว่าเก่งอย่างนั้นอย่างนี้ เลยกลายเป็นหลวงพ่อไป หลวงพ่อศักดิ์สิทธิ์ไปแล้วทีนี้ ดูอ่านรายชื่อหลวงพ่อศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ นี่ ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องศาสนาอะไร เลอะเทอะทั้งนั้น อ่านๆ ดูแล้ว
ที่โน่นแห่งหนึ่งเขามีรูป โห เป็นแผงใหญ่เลยนะ หลวงพ่อต่างๆ ที่ทหารผ่านศึกเนี่ย วานซืนเขานิมนต์ไปเทศน์ ก่อนขึ้นบันไดมีรูปหลวงพ่อต่างๆ ผู้วิเศษทั้งนั้น ไม่ได้เรื่องทั้งนั้น เอามาติดเอาไว้นี่ ดูๆ รายชื่อแล้วไม่ได้ความสักองค์เดียว คือว่าไม่มีหลวงพ่อองค์ไหนที่ทำคนให้ฉลาดสักองค์เดียว มีแต่ทำคนให้โง่ ให้หลง ให้งมงาย ให้มัวเมาอยู่ในเรื่องอย่างนั้นน่ะ ทีนี้เราบูชาความหลงกัน บูชาความงมงายกัน ไม่บูชาปัญญา แต่บูชาอวิชชากันเวลานี้
นี่มันเป็นอย่างนี้ โยมลองคิดดูนะ บูชาอวิชชากันนะ หลวงพ่อเหล่านั้นขลัง รดน้ำมนต์เก่งอย่างนั้นอย่างนี้นะ บางองค์ก็เก่ง ที่ดินขายไม่ได้ ทำธงเข้าไปปักไม่เท่าใดก็ขายได้ ถ้าปักธงแล้วเรามานอนเฉยๆ มันจะขายได้ไหม ความจริงปักธงแล้วก็ยังเที่ยววิ่งอยู่นะ วิ่งเต้น ต้องเสียค่านายหน้ากันอยู่นะไอ้คนวิ่งไปเที่ยวขาย แล้วมันก็ขายได้ ถึงไม่ปักธงมันก็ขายได้ ถ้าอุตส่าห์วิ่งเต้น อุตส่าห์ทำงานทำการนะ มันก็ขายได้นะ อันนี้พอขายได้ก็ โอ้ หลวงพ่อเก่งนะ ตั้งแต่เอาธงมาปักแล้วนี่มันก็ขายได้ขึ้นมา อะไรอย่างนี้เป็นตัวอย่าง
นี่คือทำให้คนเข้าใจผิดในเรื่องที่มิใช่พุทธศาสนา ให้หลงใหลไป อย่างนี้ก็เรียกว่าไม่ถึงธรรมะของพระพุทธเจ้า เลยไปติดอยู่ในสิ่งเหล่านั้น ติดในพิธีรีตอง ตามภาษาศาสนาเขาเรียกว่าอะไร เขาเรียกว่า สีลัพพตปรามาส
สีลัพพตปรามาสก็คือ ลูบคลำศีลวัตร ไม่เอามาปฏิบัติ แต่ไปลูบ ไปคลำอยู่เท่านั้นเอง
คล้ายๆ กับว่า เรามีผลไม้มาผลหนึ่ง เราก็ได้มา ก็นั่งลูบอยู่นั่นแหละ ลูบนะ ได้มะม่วงทวายมาผลนึงก็มาลูบอยู่นั่นแหละ ไม่ปอก ไม่ปอกเปลือก แล้วก็ไม่กิน อย่างนี้แล้วมันจะได้เรื่องอะไร ลูบๆ จนมะม่วงเหี่ยว เหี่ยวแล้วก็เน่า เน่าแล้วก็ขว้างไปเท่านั้นเอง อีกาก็ไม่กิน มดก็ไม่กิน มันเน่าเต็มทีแล้ว นี่มันไม่ได้ประโยชน์อะไร เขาเรียกว่าลูบคลำ พระพุทธเจ้าเรียกว่าสีลัพพตปรามาส ไปลูบคลำพิธีรีตองอะไรต่างๆ ไม่พยายามเอาสิ่งนั้นมาปฏิบัติ เหมือนกับลูบคลำผลไม้ แต่ไม่ได้กินผลไม้นั้น ทางที่ถูกนั้นเมื่อได้ผลไม้มา หามีดคมมา ปอกเปลือก แล้วก็เอาเนื้อออกจากเม็ด แล้วเราก็กินเข้าไป เราก็ได้รู้ว่า อ้อรสชาติมะม่วงทวายนี่มันหอมอย่างไร มันหวานอย่างไร เป็นประโยชน์แก่ร่างกาย
ธรรมะคำสอนในทางพระศาสนาก็เหมือนกัน ถ้าเรามัวแต่ไปยุ่งอยู่กับพิธีการต่างๆ มันไม่ได้ประโยชน์คุ้มค่า เราจะต้องลงมือปฏิบัติ ลงมือด้วยการรักษาศีล รักษากาย วาจา ให้ถูกต้อง ด้วยการฝึกสมาธิ ทำจิตของเราให้มีความเป็นอยู่ถูกต้อง แล้วก็เจริญให้เกิดปัญญา ให้มีความคิดเห็นถูกต้อง มีปัญญาถูกต้อง อันนี้มันจึงจะได้ประโยชน์จากพระศาสนาอย่างแท้จริง เรียกว่าเข้าถึงธรรมะของพระพุทธเจ้า เมื่อเราเข้าถึงธรรมะ เราจะเห็นว่าเรามีความสุข เรามีความสงบ มีความเป็นอยู่สบายในชีวิตประจำวัน นี่คือประโยชน์ของพระศาสนา
เวลานี้เรายังไม่ได้รับประโยชน์เต็มเม็ดเต็มหน่วยจากพระธรรมที่เรามี เพราะว่าเราไม่ปฏิบัติธรรมกัน ไม่ได้เอามาใช้ในชีวิตประจำวัน เรามีไว้บูชากันเท่านั้นเอง บูชากันเข้าไว้ เส้นสรวงบวงบนกัน ทำพิธีรีตองกันด้วยการต่างๆ นับถือพระศาสนาเหมือนกับเรามีเครื่องลายครามอย่างนั้น เครื่องลายครามนี่ไม่ค่อยได้ใช้ ใส่ตู้ไว้ อวดแขก นานๆ ก็ยกมาอวดกันเสียทีนึง แขกไปใครมาก็พาไปดู นี่ลายครามนะ สมัยฮ่องเต้นั้นนะ สมัยวงศ์นั้น วงศ์นี้นะ มีเยอะนะ มีพาน มีหม้อมีอะไรต่ออะไร เอาไว้อวดกัน อวดคน แต่ว่าไม่ได้ใช้ จะเอามาใส่อาหารก็ไม่ได้ใส่ จะเอามาใส่ดอกไม้ก็ไม่ได้ใส่ เอาไว้ในตู้เฉยๆ จนกว่าขโมยมันมาเห็นเข้า แล้วมันก็ยกเอาไปทั้งชุดเลย แล้วเราก็นั่งเสียใจกันต่อไป มันได้เท่านี้ เราจะได้อะไร
คล้ายกับเรามีพระพุทธรูปงามๆ ไว้กราบไว้ไหว้เนี่ย ต่อมาขโมยเอาไปเสีย เสียอกเสียใจว่าขโมยลักพระพุทธรูปไปเสียแล้ว ความจริงจะไปเสียใจอะไร มันลักไปแล้ว ก็เหมือนกับมันเอาเงินเราไป เอาทองเราไป เอาพระเราไปก็เท่ากันนะ คือวัตถุเท่ากัน แต่ว่าเราไปนึกว่า แหมมันเอาถึงพระพุทธรูปนะ ความจริงถ้ามันลักพระธรรมสิน่ากลัวอันตราย แต่ว่าพระธรรมนี่ขโมยลักไม่ได้นะ มันลักได้แต่หนังสือ แต่หนังสือมันก็ไม่เอาขโมย มันไม่รู้จะเอาไปขายใคร
พระพุทธรูปเนี่ยคนเอาเพราะว่าเขาชอบเล่นของเก่า ฝรั่งซื้อ ไม่ใช่ซื้อเอาไปทำอะไรหรอก เอาไปไว้ในสนามหญ้าบ้าง ในห้องรับแขกบ้าง ถ้าเป็นพระยกมืออย่างนี้ล่ะก็ แขวนไม้เท้าบ้าง แขวนหมวกบ้าง อะไรๆ ต่ออะไรไป ตามเรื่องตามราว ถ้าองค์เล็กๆ ก็เอาไปใส่ตู้โชว์ เขาเรียกว่าวินโดว์โชว์ หน้าต่างโชว์นะ เอาพระไปยืนไว้ เอาขวดเหล้าวางไว้ที่ตั้งเท้า ไว้ให้คนดู เห็นพระ เห็นเหล้าอะไรไป
หมอบุญส่งไปเที่ยวเมืองนอก ไปกินอาหารร้านนั้น ไปถึงเห็นอย่างนั้นก็ไปต่อว่าเขาทีเดียว บอกว่า “นี่ทำไมทำอย่างนี้ รู้ไหมว่านี่อะไร” เขาบอกว่า “รู้ รูปพระพุทธเจ้า” เขาบอกว่า “ของเขานับถือ ทำไมทำอย่างนี้” คนขายบอกว่า “ที่นี่เขาไม่ได้นับถืออย่างนั้น เขาถือว่าเป็นตุ๊กตาเท่านั้นเอง” บอกว่า “ไม่ได้ คนอื่นเขานับถือ ทำอย่างนี้ไม่มีมรรยาท ให้เอาออก” บอกว่า “ถ้าไม่เอาออก ฉันไม่กินอาหารร้านนี้” ไอ้นั่นก็บอกว่า “ท่านไม่กินคนเดียวก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร คนอื่นมันยังกินอยู่นี่” แล้วแกก็เลยไม่กินร้านนั้น ไปกินร้านอื่นต่อไป มันไม่แคร์อะไร เพราะว่ามันบอกว่าคนเดียวนี่ มันทำอย่างงั้น มันเอาไปในฐานะเป็นของเก่า ของเล่น ไม่ได้เอาไปในฐานะเป็นเครื่องบูชา
เรามีนี่ในฐานะว่าเป็นสิ่งที่เราเคารพบูชา เคารพบูชาว่าเป็นสิ่งแทนพระคุณของพระพุทธเจ้า แทนคุณงามความดี ให้เราได้มองได้ระลึกถึง แต่ว่าอย่าไปยึดติด แล้วก็อย่าไปคิดว่าจะต้องมีพระเชียงแสน สุโขทัย ศรีวิชัย ทวาราวดี ลพบุรี อย่าให้มันยุ่งไปถึงขนาดนั้นเลย เอาแต่เพียงว่าเป็นพระก็แล้วกัน หล่อมาเป็นพระใช้ได้ แล้วก็ไม่ต้องไปเบิกตาท่านหรอก เราไม่ต้องทำไปเบิกตาท่าน เบิกตาเราให้มันกว้างๆ ก็แล้วกัน
นี่ต้องไปทำพิธี เอ้าเบิกพระเนตรหน่อย พระเนตรพระพุทธรูปไม่ต้องเบิกแล้ว เรียบร้อยแล้ว เขาหล่อเป็นรูปตาเสร็จแล้ว เรามาเบิกตาเราให้มันสว่างไง เบิกตาเราให้สว่างด้วยปัญญา ให้มองเห็นองค์พระที่แท้ อย่าไปเห็นทองเหลือง อย่าไปเห็นอิฐ เห็นปูน หรืออย่าไปติดชื่อว่า นี่หลวงพ่อชินราชนะ นี่หลวงพ่อโสธรนะ นี่หลวงพ่อนั่น หลวงพ่อนี่ อย่าไปติดอยู่ในสิ่งเหล่านั้น เราไปติดในสิ่งอื่นดีกว่า คือว่าเนื้อแท้ของสิ่งนั้นคืออะไร มองให้ลึกเข้าไป ให้ทะลุทองเหลืองเข้าไป ให้ทะลุอิฐ ทะลุปูนเข้าไป ให้เห็นอะไร ให้เห็นพระคุณของพระพุทธเจ้า ให้เห็นความกรุณาของพระพุทธเจ้า ให้เห็นพระปัญญาของพระพุทธเจ้า ให้เห็นความบริสุทธิ์ของพระพุทธเจ้า อย่างนี้เรียกว่าเรามองทะลุสิ่งนั้น
เมื่อทะลุสิ่งนั้นเข้าไปเราก็ถึงเนื้อแท้คือพระธรรม แล้วเราก็หันมามองมองดูตัวเรา ว่าเรานี่นับถือพระพุทธเจ้า เรามีพระพุทธเจ้าอยู่ในตัวเราหรือเปล่า มองดูที่ใจของเรา ว่าเรามีพระพุทธเจ้าในใจเราไหม เราอยู่ด้วยความกรุณาต่อเพื่อนมนุษย์ไหม เราอยู่ด้วยปัญญาไหม เราอยู่ด้วยความบริสุทธิ์ใจไหม มองอย่างนั้น เรียกว่าเห็นสิ่งข้างนอก มองทะลุวัตถุข้างนอก เห็นเนื้อแท้ เมื่อเห็นเนื้อแท้แล้ว มามองดูตัวเรา ว่าเรามีสิ่งนั้นอยู่หรือเปล่า เรามีพระข้างในอยู่หรือเปล่า
พระข้างในนี่แหละสำคัญนักหนา ถ้าเรามีพระกรุณาประจำใจ มีพระปัญญาประจำใจ มีความบริสุทธิ์เป็นอุดมการณ์ประจำจิตใจ เรียกว่าเรามีพระแท้อยู่ในใจของเรา เมื่อเรามีพระแท้อยู่ในใจอย่างนี้ เราจะปลอดภัยขึ้น
โยมลองพิจารณาว่าปลอดภัยอย่างไร เราไปไหนเราไปด้วยความกรุณาต่อเพื่อนมนุษย์ทั้งหลาย ฐานที่เราตั้งไว้ในใจ เหมือนที่พูดหลายครั้งหลายหนแล้วว่า ตั้งฐานไว้ในใจว่า สัตว์ทั้งหลาย เป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น นี่ฐานที่เราตั้งไว้ในใจ เราไปไหนเราไปด้วยความกรุณา คนที่ไปด้วยความกรุณานั้นไม่มีศัตรู ไม่มีศัตรู เพราะว่าเราเห็นใครนี่ สายตาเรามันไม่เป็นศัตรูกับเขา คนที่มีใจเหี้ยมโหดดุร้าย ตามันบอก หน้ามันบอกนะ เช่นเราไปเจอใคร คนดุๆ นี่ตามันเหี้ยมๆ นะ หน้าก็เหี้ยมๆ นะ ท่าทางมันก็ดูๆ เหมือนกับว่าเสือนะ เสือนี่มันดุคน สุนัขมันดุ ถ้าเราเห็นสุนัขดุ ตามันเขม็งนะ หูมันชันขึ้น หางมันตั้งขึ้น ขนมันลุกขึ้น เห็นไหม ดูแล้ว ในใจมันดุแล้ว มันเตรียมแล้ว เตรียมจะเล่นงานแล้ว ถ้าเราเข้าไปใกล้มันก็งับเราเท่านั้นเอง
คนก็เหมือนกัน ถ้าว่าเราเห็นใครหน้าตาเหี้ยมนี่ แสดงว่าเขาไม่มีความกรุณา ตาเขาแสดงอาการให้เราเห็น มือไม้แสดงอาการ ทำท่าเตรียมพร้อมที่จะชกจะต่อย อย่างนั้นขาดความกรุณาในใจ ทีนี้เราเห็นอย่างนั้น อ้อนี่ไม่ดี มันเป็นภาพที่ไม่ดี เราไปไหนเราไม่มีภาพนั้น แต่เรามีการแสดงออกความกรุณาปราณี เราไปด้วยใจคิดว่า ขอให้สัตว์ทั้งหลายเป็นสุข เห็นใครเราก็นึกว่าขอให้เป็นสุข ส่งกระแสจิตไปก่อน ให้ไปกระทบบุคคลนั้น นัยน์ตาเราก็มีความอ่อนโยน หน้าตาก็เบิกบานแจ่มใส มือไม้ก็อยู่ในสภาพปกติ คนใดเห็นเราจะไม่เป็นศัตรูกับเรา คนที่มันเป็นศัตรูกันนั้น เพราะว่าจิตมันคิดเป็นศัตรูกัน พอจิตคิดเป็นศัตรูกันก็เกิดความไม่ไว้วางใจกัน พอไม่ไว้วางใจก็ขยับนะ ถือมีดก็ขยับมีดนะ ถือพร้าขยับพร้านะ ถ้ามีปืนก็ขยับแล้วนะ ทำท่าแล้วนะ มันทำท่าอย่างนั้น
จิตไม่มีกรุณา ไม่มีคุณธรรม ไม่มีพระประจำอยู่ในจิต ก็เลยห้ำหั่นกัน ฆ่ากันตายเท่านั้นเอง แต่ถ้าเรามีความกรุณาปราณีอยู่ในใจนั้น เราไปไหนนี่ คนอื่นเขาก็เห็น เขารู้ว่าเป็นคนอย่างไร แล้วการพูดจา การแสดงออกของเรา มันเป็นความกรุณาทั้งหมด คนที่มีความกรุณาอยู่ในใจนั้น ร่วมแบ่งปัน ส่วนที่เรามีเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขแก่คนอื่น ถ้าอย่างนี้ใครจะมาทำร้ายเรา เช่น เรามีที่ดินมากๆ เอ้า เราทำไม่หมดก็แบ่งให้คนอื่นทำบ้าง ช่วยกันทำมาหากินกันนะ อยู่กันฉันพี่ฉันน้องนะ พูดจาประนีประนอมกัน อย่าเอากฎหมายเข้าเล่นกันท่าเดียว อย่านึกว่าเรานี่มันเชี่ยวชาญกฎหมายมึงเล่นงาน ทำผิดกูฟ้องท่าเดียว ไอ้เรามันใช้กฎหมายโดนมันใช้กฎหมู่ก็ตายเหมือนกันนะ มันสู้ไม่ไหวนะ กฎหมายนี่มันสู้กฎหมู่ไม่ได้หรอก เราใช้กฎหมาย มันใช้กฎ ม. ๒๑ เอย ม. ๑๑ อย่างนี้มันก็ไม่ได้นะ สู้ไม่ได้ละ
แต่ว่าน้ำใจดีกว่า อยู่กันด้วยน้ำใจ มีอะไรก็เอ้าแบ่งกัน พบใครก็ไต่ถามสารทุกข์สุกดิบด้วยน้ำใจเมตตา มีอะไรก็แบ่ง มีหยูกมียา ให้เขากินเขาใช้ มีอะไรขาดแคลน เราไปไหนก็มีน้ำใจ คิดอยู่เสมอนี่ คนมีกรุณา คิดอยู่ว่า มีอะไรที่จะช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ได้บ้าง มีสิ่งไรที่เราจะให้แก่ใครได้บ้าง ถ้าเราพบใครก็นึกว่า เราจะช่วยคนนี้ได้โดยวิธีใด ด้วยวัตถุ ด้วยคำพูด ด้วยการแนะนำพร่ำเตือน ในเรื่องการดำเนินชีวิต หรือว่าด้วยการโอภาปราศรัย หรือแม้แต่ด้วยการยิ้มกับเขา เพียงเท่านี้ เขาจะรู้สึกว่าได้รับไมตรีตอบแล้ว คนเราถ้าเรายิ้มกับเขานี่ เขาคงไม่หน้าบึ้งกับเราหรอก เขาต้องยิ้มตอบเราเหมือนกัน เข้าใกล้ด้วยอารมณ์ยิ้ม
คนยิ้มไม่เป็นถ้าหากว่าใจไม่มีกรุณา แต่ถ้ามีฐานอยู่ในใจแล้ว มันก็ยิ้มกันได้ พูดจากันได้ เราไม่มีศัตรู ไปไหนมีแต่มิตร อยู่ด้วยความสุขความสบาย นี่แหละเขาเรียกว่าอยู่ยงคงกระพัน พระองค์นี้แหละช่วยให้เราอยู่ยงคงกระพัน เพราะไม่มีศัตรูผู้มุ่งร้ายเรา เรามีแต่พระกรุณาประจำใจ ลองเอาไปใช้เถอะ โยมเอาไปใช้เถอะ จะปลอดภัย ใช้กับคนใกล้ๆ ก่อน เช่นว่าคนบ้านใกล้เรือนเคียง เรารู้จักมักจี่กันไว้ เอื้อเฟื้อต่อกัน แบ่งสันปันส่วนสิ่งที่เรามีเราได้ แบ่งกันกินกันใช้ ว่างๆ ก็เชิญมากินอาหารร่วมกัน อะไรต่ออะไรกันตามเรื่องตามราว พบปะสมาคมกัน
เรามีรถยนต์ คนบ้านใกล้ออกมายืนอยู่ อ้าว จะไปไหน ไปทางไหน เราจะไปทางนั้น อ้าวเชิญๆ ไปด้วยกัน เดี๋ยวมันก็เป็นมิตรกัน คุ้นเคยกัน เขาก็ช่วยเป็นหูเป็นตาดูแลบ้านช่องให้แก่เรา เราผูกมิตรกันไว้ พาเขาไป แม้ไม่ถึงปลายทางก็ เอ้าไปส่งเท่าที่เราจะไปได้ ปล่อยลงตรงนี้นะ ขึ้นรถเมล์ต่อไป แต่ถ้าทางที่เขาจะไปนั้น ถ้าเราไปผ่านตรงนั้นพอดี เอ้าก็พาเขาไปลงตรงนั้น เราเอื้อเฟื้อเขา เรียกว่าเราให้ การให้นี่เป็นการผูกมิตรกันได้ การให้มันไม่มีถ้าหากว่าน้ำใจไม่มี ต้องเกิดจากความกรุณาก่อน ใจมีความกรุณาก็เกิดให้กันในหมู่นั้น
แม้คนเราอยู่ด้วยกัน เช่นว่า ทำงานอยู่ด้วยกัน อย่านึกแต่เพียงว่าเขาเป็นลูกจ้างเรา ให้เงินเขาใช้ทุกเดือน เบิกทุกเดือนอยู่ก็พอแล้ว ไม่ได้ ต้องมีน้ำใจ โอภาปราศรัยไต่ถามสารทุกข์สุกดิบ ว่างๆ ก็เอา คุยกัน มาเรียกมา เป็นยังไง มีอะไรเดือดร้อนไหม มีปัญหาอะไรไหม ไถ่ถามไปตามเรื่องตามราว เขาเรียกว่ามีน้ำใจ น้ำใจนี่แหละคือความกรุณา คนเราถ้ามีน้ำใจต่อกันแล้ว มันเกิดรักกัน เอ็นดูต่อกัน มีปัญหาอะไรก็พูดกันง่าย แต่ถ้าไม่รักไม่ชอบกันแล้ว มันพูดกันยาก ไม่รู้เรื่องอะไรกันเลย
มีคนๆ หนึ่งเขามีหน้าที่เป็นบุคลากร ที่จะต้องแก้ไขปัญหาคน ถ้าใครไปมีปัญหามา มาหา เขารู้ ถ้าคนมาหาเขาถึงต้องมีปัญหาทั้งนั้นล่ะ เขาเตรียมกาแฟไว้พร้อมตลอดเวลา ถ้าใครมาถึงก็ชงกาแฟให้กินก่อน กินกาแฟกัน เอ้าดื่มกาแฟกันก่อน ดื่มกาแฟเสร็จแล้วก็ เอ้าสูบบุหรี่ก่อน ไอ้เขามันก็สูบนี่ แกก็สูบเหมือนกัน ให้บุหรี่สูบ ดื่มกาแฟให้มันสบายใจก่อน คือคนที่มาน่ะมันกลุ้มใจ อันนี้พอมาเห็น อ้อเขาเอื้อเฟื้อ ผู้ใหญ่เอื้อเฟื้อ ให้ดื่มกาแฟ ให้บุหรี่ แสดงความเป็นกันเอง จิตใจมันก็สบายขึ้น พอใจสบายขึ้นก็ เอ้าคุย มีอะไรบ้าง มีปัญหาอะไรบ้างล่ะนี่ เอ้าก็คุยกัน แนะแนวอะไร ปรับปรุงชีวิตกันต่อไป เรียบร้อยทุกราย ไม่ค่อยมีปัญหาขัดข้อง โดยมากจะเรียบร้อย
มีปัญหาที่ไหนก็ไปจัดไปพูดกันให้เรียบร้อย เพราะว่าใช้นโยบายนี้ มีน้ำใจเมตตาต่อเขา กรุณาต่อเขา ไม่ได้ไปเป็นผู้มุ่งร้าย ไปอย่างผู้มีใจดีต่อผู้นั้น เรียกว่าด้วยความบริสุทธิ์ใจน่ะ ที่เราพูดกันว่าไปด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่ได้มุ่งหมายอะไร เพื่อทำความเข้าใจกัน พูดจากัน เห็นอกเห็นใจกัน หรือบางทีก็ต้องพาไปกินเลี้ยงกันเสียก่อน กินอาหารกัน แต่ว่าไม่เลี้ยงเหล้า กินอาหารให้มันสบาย คุยกัน แลกเปลี่ยนความคิดความเห็นกัน นี่ มีไมตรีจิต อย่างนี้มันเอาตัวรอด ชีวิตก็ไม่ลำบาก อย่างนี้ดีกว่าอย่างอื่น เราใช้อันนี้ ใช้พระอันนี้ คือพระกรุณานี่ ใช้ไป ไปไหนก็ปลอดภัย ไม่มีอันตราย เราสร้างพระอย่างนี้ไว้ในใจ
เรามีปัญญาก็เราปลอดภัย คือเรารู้ว่าอะไร เวลาไหนควรจะทำอะไร คนประเภทใดควรจะติดต่ออย่างไร เหตุการณ์นี้ควรจะแก้ไขอย่างไร ต้องใช้ปัญญา ต้องใช้สติ คือความรอบคอบ รอบรู้ในเรื่องนั้นๆ คนที่จะใช้ปัญญานี่ต้องศึกษาพอสมควร ต้องอ่านหนังสือ อ่านเรื่องเกี่ยวกับชีวิต เกี่ยวกับสังคม เกี่ยวกับบุคคลต่างๆ เพราะในเรื่องเหล่านั้นมันมีตัวอย่างของชีวิต ที่เขาต่อสู้มา เขาได้ทำมาอย่างไร เช่นชีวิตของคนสำคัญนี่ เขาต่อสู้ปัญหาชีวิตมาอย่างไร เราอ่านไว้ เป็นเครื่องประกอบสำหรับจะเอาไปใช้ในการปฏิบัติงานในชีวิตประจำวันของเรา
เวลามีเรื่องอะไรขึ้น ไอ้ที่เรารู้ เราเรียนไว้ เราได้อ่านไว้นี่ มันจะออกมา ไอ้นี่มันก็แปลกเหมือนกัน คนเรานี่ มันมีคล้ายๆ กับว่า ในจิตใจของคนเรานี่ มันมีอะไรที่สำหรับเก็บความรู้ไว้ คือความทรงจำนี่ เรียกง่ายๆ มันมีอยู่ในตัวเรา เวลาใดถึงคราวคับขัน มีความจำเป็น ไอ้เรื่องนั้นมันจะออกมาทีเดียวแหละ ออกมาช่วยเรา ออกมาช่วย ต้องทำอย่างนั้นสิ ทำอย่างนี้ เอาตัวอย่างจากเรื่องนั้นสิ จากเรื่องนี้สิ มันปรากฏออกมา ให้เราได้เอาไปใช้เพื่อแก้ไขปัญหาในชีวิตประจำวันต่อไปได้
เรื่องอย่างนี้มันมีประโยชน์ เพราะงั้นเราจึงต้องใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ในการเพิ่มพูนปัญญา อย่าอยู่เฉยๆ เปล่าๆ ยิ่งเราต้องทำงานเกี่ยวข้องกับคนมากๆ สังคมมากๆ ก็ต้องศึกษาไว้เสมอ ว่ามีปัญหาอะไรเกิดขึ้นเขาจัดอย่างไร เขาแก้อย่างไร แล้วก็ต้องเข้าใกล้ผู้รู้ ไต่ถามเรื่องที่ควรจะไต่ถาม เพื่อจะได้นำไปประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติจิตในชีวิตประจำวันของเราต่อไป อันนี้เป็นเรื่องมีประโยชน์ เป็นปัญญาในสังคม เป็นปัญญาเพื่อหน้าที่ เพื่อการงาน
ส่วนปัญญาส่วนลึกนั้น เราก็ต้องพิจารณาสิ่งทั้งหลาย ให้เห็นว่า ไอ้ที่แท้น่ะมันเป็นอย่างไร ความจริงของสิ่งทั้งปวงนั้นเป็นอย่างไร เพราะพระพุทธศาสนานั้น สอนให้เรารู้จริงเห็นจริงในสิ่งนั้น ๆ พระพุทธเจ้าท่านจึงตรัสบอกว่า “เธอทั้งหลาย จงมองทุกสิ่งทุกอย่าง ตามที่มันเป็นจริงอย่างไร” เรียกว่า ยถาภูตญาณทัสสนะ คำบาลีว่า ยถาภูตญาณทัสสนะ การมองเห็นในสิ่งนั้นตามที่มันเป็นอยู่จริงๆ อย่างไร ไอ้เนื้อแท้มันเป็นอย่างไรในสิ่งเหล่านั้น
คนเราเพราะมองไม่เห็นเนื้อแท้ จึงได้หลงใหลติดพันในเรื่องอะไรๆ ต่างๆ สร้างปัญหา คือความทุกข์ ความเดือดร้อน เช่นเขาพูดเรื่องอะไร เรารู้ไม่ชัด เหตุการณ์อะไรก็รู้ไม่ชัด เมื่อรู้ไม่ชัด ก็วินิจฉัยผิดไป ทำให้เกิดเป็นปัญหา จึงต้องรู้ให้ชัดในเรื่องนั้น ให้แจ่มแจ้งในเรื่องนั้น ต้องศึกษา ต้องสอบสวน ทวนถามในเรื่องนั้นอย่างรอบคอบ อันนี้มันต้องเป็นคนขยันหน่อย ถ้าเป็นคนขี้เกียจแล้ว ไม่ค่อยได้หรอก คนขี้เกียจนี่ทำอะไรไม่ได้ ทำอะไรไม่เรียบร้อย เพราะขี้เกียจ ขี้เกียจจะสอบสวน สืบสวน ไต่สวน เอาเรื่องเอาราวจากบุคคล จากสิ่งแวดล้อม จากอะไรๆ ต่างๆ มักง่าย ทำอะไรก็จะทำอย่างมักง่าย ปุโลปุเล ลงมติเอาว่า เอาเหอะ เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน อย่างนี้มันเสียหายนะ ยิ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับคนแล้วมันเสียหายใหญ่ เพราะบางทีคนนั้นไม่ได้กระทำความผิด แต่เราปุเลปุโลเอาว่า ไอ้นี่แหละ ตัวหลักตัวการแล้วนะ เลยมันก็เสียอกเสียใจ ทำให้เกิดเป็นปัญหาขึ้นมา
เมื่อเช้านี้อ่านหนังสือเล่มหนึ่ง แกว่า พ่อค้าเพชรน่ะ มันหนังสือเก่า ไม่ใช่เรื่องพ่อค้าเพชรปัจจุบัน
พ่อค้านี้แกก็เดินทางรีบร้อน จากบ้านจะไปเมืองพาราณสี เมืองอินเดียน่ะ ทีนี้ก็ไปรถม้า ไปๆ ก็ไปเจอพระองค์หนึ่ง เดินต๊อกแต๊กๆ อยู่ แกก็ใจดี เห็นว่าเป็นสมณะหน้าตาเปล่งปลั่ง มีจิตใจสงบ พระที่สงบนี่คนเลื่อมใส มองเห็นก็นึกว่า นิมนต์ท่านไปด้วยดีกว่า ก็เลยนิมนต์นั่งไปด้วยกัน เมื่อนิมนต์นั่งไปด้วยกัน พระท่านก็บอกว่า แหมขอบคุณมากที่ท่านมีความเอื้อเฟื้อ พาอาตมาให้นั่งมาด้วย ไอ้ความจริงนี่มันเหนื่อยเต็มทีแล้ว จะหยุดเดินแล้ว จะนอนแล้ว แต่ว่าท่านรับมานี่ก็สะดวกดี ไปด้วยกัน เราไม่มีวัตถุอะไรจะให้ท่าน แต่เรามีสิ่งเป็นประโยชน์แก่วิญญาณของท่าน จะให้ท่านบ้าง ก็เลยคุยธรรมะให้ฟัง คุยกันไปในรถเนี่ยแหละ คุยกันไป ม้าวิ่งตะลุกกุ๊กกิ๊กไปตามเรื่อง คุยกันไปตามเรื่อง คนนั้นก็สบายใจไป
ทีนี้พอไปถึงก็ ทางมันเสีย ฝนมันตกเมื่อคืนนี้ และก็เป็นโคลน เป็นหลุมเป็นบ่อ มีเกวียนของพ่อคนบรรทุกข้าวมาคันนึง ล้อมันหลุดเอียงอยู่ ข้าวจะหกจะราดอยู่ตรงนั้นแหละ รถม้าก็ไปไม่ได้ ไอ้พ่อค้าเพชรนี่ก็ใจร้อนอยู่สักหน่อย เห็นว่ารถมันติดอยู่ก็คงไปไม่ได้ ธุระที่นัดไว้มันก็รีบร้อน เกี่ยวกับการเงินการทองเสียด้วย ก็เลยสั่งคนใช้ที่มีกำลังดี ล่ำสันแข็งแรง บอกว่า “เอ็งไปพลิกเกวียนนั้นออกไปเสียหน่อยเถอะ รถจะได้ผ่านพ้นไป”
ไอ้เจ้าคนนั้นมันก็ชอบใช้กำลังอยู่เหมือนกัน ไอ้คนเราชอบใช้กำลังนี่มันไม่ค่อยดีนะ ต้องใช้สติปัญญาถึงจะดี กำลังนี่มันเป็นวิสัยของ ไม่ใช่ของคน กำลังเป็นเรื่องของสัตว์เดรัจฉาน คนเรามันต้องใช้สติปัญญา ก็มันไม่มีสติปัญญาจะใช้ เพราะมันเป็นคนใช้ พอนายสั่งมันก็ไปเลย พุ้ยเกวียนพลิกไป ไอ้เจ้าของเกวียนห้ามไม่ทัน ข้าวเพ่นพ่านกระจาย แล้วทางมันก็เปิดนะ แล้วก็จะขับรถไป
พระท่านบอกว่า “เดี๋ยวๆ เดี๋ยวก่อน ฉันลงก่อน ฉันลงก่อน” ทีนี้ก็ พ่อค้าเพชรก็บอกว่า “ทำไมลงล่ะ ท่านจะไปพาราณสีด้วยกันนะ” บอกว่า “แหม ฉันต้องลงตรงนี้ก่อน เพราะว่าอยากจะไปสงเคราะห์คนที่เป็นญาติกับท่านสักหน่อย” พ่อค้าเพชรก็ว่า “ใครเป็นญาติกับผมล่ะ”
“นี่ไง พ่อค้าเจ้าของเกวียนนี้เป็นญาติกับท่านไง”
“เฮอะ อะไร ชาวนาชาวไร่จะเป็นญาติกับผมเหรอ ผมเป็นพราหมณ์นะ จะเอาชาวนากรรมกรมาเป็นญาติยังไง”
ก็บอกว่า “นี่ เป็นญาติกันในชาติก่อนโน่น”
ก็บอกว่า “เฮ้อ เรื่องมันเป็นไปไม่ได้???? (นาทีที่ 56:35 ฟังเสียงหลวงพ่อได้ไม่ชัดเจน)
ทีนี้แกก็ลงนะ พระท่านก็ลง คราวนี้ลงแล้วท่านก็ไปช่วยเขา ช่วยยกข้าวใส่เกวียน ช่วยกันงัด ช่วยเอาล้อมาใส่ให้เรียบร้อย แล้วก็นายคนนั้นก็ได้เอาเกวียนเทียมรถ รถเทียมวัวเดินทางต่อไปว่างั้นเถอะ เดินทางต่อ
พอจะออกเดินเท่านั้นแหละ พระก็มองไป โอ้ นั่นแน่ ถุงหล่น ถุงทองตกอยู่ตรงนั้น ไม่ของใครแน่ ของไอ้เจ้าคนโน้นเนี่ยแหละ พ่อค้าเมื่อตะกี้นี้ “ไป เก็บมา เก็บมา เก็บมานะ เธอเก็บมา นี่แหละ” พอตอนนั้นพ่อค้าข้าวมัวแต่ว่า “แหม ทำไมเขาทำกับผมอย่างนั้นนะ ผมไม่ได้รังแกเขาเลย แต่เขารังแกผมอย่างนั้นไม่ดีนะ”
บอก “ไม่เป็นไรหรอก ไปเถอะ เราค่อยว่ากันใหม่”
พอได้ถุงทองก็ว่า “นี่แหละ เธอจะได้ไปทำให้เขาประหลาดใจนะ”
ถ้าพูดสมัยนี้เขาเรียกว่าให้เซอร์ไพรส์นิดหน่อย ให้เซอร์ไพรส์กันนิดหน่อย
“เอาไปเถอะ บอกว่าไปถึงเมืองพาราณสีแล้วต้องไปที่โรงแรมนั้นนะ เอาถุงทองไปให้แก่คนๆ นั้นนะ แล้วเธอจะประหลาดใจ” ว่างั้นเถอะ
พระท่านก็คุยอะไรให้เขาฟังพอสมควรก็ลาไป แต่คนนั้นก็พาถุงทองนั้นไปสืบหาเจ้าของ เลยเอาไปให้
แต่ว่าก่อนที่จะได้รับถุงทองนี้ พอรู้ว่าถุงทองหายไปนี่ สงสัย สงสัยคนใช้นะ ไอ้คนใช้นี่แหละเอาไป เลยมัดเข้า ให้ตำรวจมัด เฆี่ยนเลย เฆี่ยนเพื่อให้รับสารภาพ ไอ้นั่นก็บอกว่า “ไม่ได้เอาไป จะมาตีผมทำไม ผมไม่รู้เรื่อง ไม่รู้มันหล่นหายที่ไหน ผมไม่ได้เอาไป” ตำรวจก็ว่า “ไอ้นี่ปากแข็ง มันต้องเฆี่ยนให้รับ” ไอ้อย่างนี้มันก็รับไม่ได้ เพราะว่ามันไม่ได้เอาไป กำลังเฆี่ยน ฟิ้ว ฟิ้ว อยู่นั่นเองนะ ไอ้นี่พาถุงทองมาพอดี มีของท่านหล่นอยู่ที่เมื่อตะกี้ที่ท่านพลิกรถของเรา เราเอามาคืนให้
นายคนนั้นพอเห็นก็บอกว่า เออ แหม ไอ้นี่น้ำใจมันสูงนะ ทองมันไม่ใช่ค่าเล็กน้อย มันสู้อุตส่าห์เอามาให้ แล้วก็บอกว่า “เอามาได้อย่างไร” บอกว่า “พระท่านสั่งให้เอามา” ว่า “ถ้าท่านจะคุยกับพระไปพบที่วิหารโน่น ท่านรออยู่แล้ว” ไอ้นั่นก็เลย
ขอบอกขอบใจ
พอดีก็มีเพื่อนของพ่อค้าเพชรนั่นต้องการซื้อข้าวอยู่ ข้าวคนนั้นมาถึงพอดี เลยได้ราคาแพง ไอ้นั่นก็เลยได้ลาภใหญ่โตไปเลยทีเดียว แต่ไอ้คนใช้นู้นถูกเฆี่ยนหลังลาย มันก็โกรธน่ะสิว่าถูกเฆี่ยนมัน แน่บก่อนแล้วมันไม่อยากอยู่กับนายคนนี้อีกต่อไปแล้ว หนีเข้าป่าเลย ไปอยู่กับพวกก่อการร้ายเสียเลย อ่ะ มันไปกันใหญ่ทีนี้ มันเป็นโจรนะทีนี้มันเป็นโจรเลย ทำอะไรมักง่ายมันไม่ได้นะ ส่งคนไปเป็นโจรง่ายๆ เพราะอย่างนั้นต้องใช้ปัญญา ใช้สติ ทำอะไรต้องคิด ต้องกรองอย่างรอบคอบ ต้องสอบสวนให้เรียบร้อย ให้ได้เรื่องได้ราว อย่าลงมติง่ายๆ ว่า เป็นอย่างโน้น เป็นอย่างนี้ลงไปก็ไม่ได้
เดี๋ยวนี้มันลำบาก สังคมมันแย่ เพราะงั้นเราจะต้องใช้หลักธรรมของพระพุทธเจ้า เอาเมตตากรุณาขึ้นหน้า ปัญญาตามหลัง แล้วความบริสุทธิ์เป็นหลักประจำจิตใจไว้ สามอย่างนี้เรียกว่า ไปด้วยกัน กรุณาออกหน้า ปัญญาเดินตาม ความบริสุทธิ์เป็นฐานสำคัญของชีวิต คือทำอะไรต้องถือความบริสุทธิ์เป็นใหญ่ ต้องทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่มีอัตตา คือไม่มีตัวเรา ไม่มีตัวเขา มีแต่ความสำนึกในหน้าที่ ในการงาน อันเราจะพึงปฏิบัติในชีวิตประจำวัน ถ้าได้ทำอย่างนี้แล้วจิตใจจะได้สบาย เราได้ชื่อว่าเป็นผู้เข้าถึงธรรมะของพระพุทธเจ้าตามหลักพระพุทธศาสนา ดังที่ได้กล่าวมา ก็พอสมควรแก่เวลาแล้ว ขอยุติไว้แต่เพียงนี้