แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ญาติโยม พุทธบริษัททั้งหลาย ณ บัดนี้ถึงเวลาของการฟังปาฐกถาธรรมะ อันเป็นหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนาแล้ว ขอทุกท่านอยู่ในอาการสงบ ตั้งอกตั้งใจฟังด้วยดี เพื่อให้ได้ประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการฟังตามสมควรแก่เวลา
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ ๒ ของปีใหม่ อาทิตย์ที่ ๑ ผ่านพ้นไปแล้ว เราแก่มาอีกสัปดาห์? ทีนี้เมื่อวันก่อนนี้ได้พูดไว้ว่า ปี พ.ศ. ๒๕๒๒ นี้ ให้ถือว่าเป็น “ปีแห่งการเข้าถึงธรรมะ” มีคนเข้ามาถามเหมือนกัน ถามว่าทำไมจะต้องถือว่าเป็นปีแห่งการเข้าถึงธรรมะ เวลานี้คนไม่ประพฤติธรรมกันอยู่หรือ อาตมาก็บอกว่า “มันเป็นเช่นนั้น” เพราะว่าผู้ประพฤติธรรมก็มี ผู้ไม่ประพฤติธรรมก็มี เห็นว่าเราควรจะได้มีการชักจูง เน้นด้านจิตใจ ให้คนทั้งชาติทั้งบ้านเมืองของเรานี้ได้เห็นประโยชน์ของธรรมะ ให้เห็นว่าธรรมะเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิต เราจะมีชีวิตอยู่ไม่ได้ถ้าปราศจากธรรมะ ที่ว่ามีชีวิตนั้นหมายความว่ามีชีวิตที่สมบูรณ์ ไม่ได้หมายความแต่เพียงว่ามีร่างกาย มีใจ มีลมหายใจเข้า-ออกเกิดขื้นว่ามีชีวิต
การมีชีวิตนั้นจะต้องสมบูรณ์ด้วยคุณธรรม ถ้าชีวิตใดไม่มีคุณธรรม ชีวิตนั้นไม่สมบูรณ์ อันชีวิตที่ไม่สมบูรณ์นั้น ไม่เรียกว่ามีชีวิตในแง่ธรรมะ แต่เรียกว่ามีชีวิตในทางวัตถุ ในทางชีววิทยาเท่านั้น แต่ในแง่ธรรมะเราไม่ถือว่ามีชีวิต การมีชีวิตในแง่ธรรมะต้องมีธรรมะกำกับจิตใจ เวลานี้คนมีชีวิตในแง่ชีววิทยามาก แต่ไม่มีชีวิตในแง่ธรรมะ เพราะไม่มีชีวิตกันในแง่ธรรมะนี้แหละ จึงได้เกิดปัญหายุ่งยากกันด้วยประการต่างๆ แต่ถ้าญาติโยมทั้งหลายที่มาฟังธรรมอยู่ที่วัดชลประทานนี้ ได้เห็นประโยชน์ของธรรมะอยู่แล้ว และได้ใช้ธรรมะเป็นแนวปฏิบัติในชีวิตประจำวันอยู่ นับว่าก้าวหน้าอยู่ในเรื่องนี้ เราจะชื่อว่ามีชีวิตในทางธรรม แต่ถ้าเพื่อนฝูงมิตรสหายของเรา (3.10.1.............) ที่มีชีวิตแต่เพียงแง่ชีววิทยา ไม่มีชีวิตในแง่ธรรมะ เราควรจะทำอย่างไรกับคนอย่างนั้น นี่แหละเป็นปัญญาใหญ่ เป็นเรื่องสำคัญที่เราควรจะได้คิดกันในรอบปีใหม่ ปี ๒๕๒๒ นี้ เพื่อจะได้โน้มน้าวชักจูงจิตใจคนเหล่านั้นให้หันหน้าเข้าหาธรรมะกัน แต่ว่าอาตมาพูดๆ อุดมการณ์นี้ขึ้นนั้น ตัวมันน้อยเกินไป มันดังไม่ค่อย (3.49.6.........) แต่ว่ารอให้คนตัวใหญ่พูดก็ไม่มีใครพูด แล้วก็ไม่มีใครคิด เขาคิดกันแต่เรื่องจะเสกพระกันตลอดเวลา ใจจะขายเหรียญขายแหวนกันอยู่ตลอดเวลา ไม่มีใครคิดจะปลุกระดมในด้านธรรมะ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องเทศน์ไปอย่างนี้ ตามเรื่องตามราว เป็นเสียงพูดไปตามเรื่อง ทักๆ อะไรกันไปอย่างนั้น
วานซืนนี้นั่งรถไปแสดงธรรมที่โรงพยาบาลศิริราช เมื่อวันศุกร์นี้เอง ทีนี้ก็นั่งรถผ่านตรงที่โล่งๆ บนสะพานพระปิ่นเกล้าน่ะ ใครจะโฆษณาอะไรเขาก็ไปไว้ตรงนี้ มันสะดุดตาคนดี พอลงจากสะพานก็เจอป้ายใหญ่ๆ งามๆ ป้ายที่เจอๆ มา ไม่มีป้ายปลุกระดมด้านธรรมะ ไม่มีป้ายอันใดที่จะเป็นป้ายชักจูงคนเข้าหาธรรมะสักป้ายเดียว แต่มีป้ายว่า มีการปลุกเสกเครื่องรางของขลัง มีงานวัดนั้นวัดนี้ มีมหรสพ ชื่อของนักแสดงมีหลายคนด้วยกัน ล้วนแต่ป้ายที่จูงคนไปในทางมัวเมาหลงใหลในเรื่องราคะตัณหากันทั้งนั้น ไม่มีป้ายที่จะให้แสงสว่างแก่ประชาชนเลยสักป้ายเดียว
แล้วเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมานี้ นั่งไปก็อ่านป้ายอันหนึ่ง แต่อ่านไม่ตลอดเพราะคนขับรถเขาขับผ่านไปไวหน่อย อ่านได้แต่เพียงว่า “พิธีมหาพุทธาภิเษกเทพมังคลาภิเษก ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์........” อ่านได้เพียงเท่านั้นรถมันก็ผ่านไปเสีย เลยอ่านไม่ได้ว่าที่ไหนที่มันยิ่งใหญ่ในยุครัตนโกสินทร์ในเรื่องนี้ อาตมาอ่านแล้วก็เลยพูดกับคนขับรถ กับคนที่มารับ บอกว่า “โง่ที่สุดในกรุงรัตนโกสินทร์” “บ้าที่สุดในกรุงรัตนโกสินทร์” เรียกว่าตั้งแต่สร้างกรุงรัตนโกสินทร์มานี่ ไม่มีอันป้ายไหนโง่เท่าป้ายอันนี้ เรียกว่าบ้าเท่ากับป้ายอันนี้เลย อาตมาว่าอย่างนั้น ทำไมจึงคิดไปในรูปอย่างนั้น ถ้าคิดในแง่ธรรมะอีกเหมือนกัน คือคิดว่าเรามันเป็นพุทธบริษัท เป็นผู้นับถือพระพุทธศาสนา แต่ทำไมไม่ทำอะไรตามแบบพระพุทธเจ้า เป็นลูกที่ใช้ไม่ได้ คือไม่เดินตามรอยเท้าของพ่อ แต่พยายามเดินออกนอกลู่นอกทางท่าน ไม่รู้ว่าวัดไหน แต่เมื่อสักครู่นี้มีคนมาบอกแล้ว บอกว่าป้ายที่เจ้าคุณฯ เทศน์น่ะ ออกโทรทัศน์เมื่อวานนี้ เมื่อเช้าวิทยุเขาประกาศแล้ว ประกาศเรื่องนี้ แล้วบอกว่าวัดไหน แหม..วัดใหญ่เสียด้วย วัดท่านยอดเลยทีเดียวในประเทศไทยนี่ คือวัดราชบพิธนั่น เรียกว่า วัดราชบพิธ เป็นที่สถิตอยู่แห่งสมเด็จพระสังฆราช ใครจะปลุกจะเสกก็ต้องไป ๒ วัดนี้ วัดอยู่ใกล้กัน คือวัดสุทัศน์ฯ กับวัดราชบพิธ สองวัดนี้เขาอยู่ใกล้กัน เหมือนกับว่าเป็นวัดพี่วัดน้องกัน ถ้าพี่ทำ ละก็น้องทำ ถ้าน้องทำ พี่ก็ต้องทำด้วยเหมือนกัน ใช้เป็นสถานที่ปลุกคนให้หลงใหล ให้มัวเมากันอยู่ตลอดเวลา อ่านพอได้รู้ข่าวชื่อวัดก็ยิ่งสลดใจหนักลงไปอีก สลดใจว่าทำไมจึงทำกันอยู่ในรูปอย่างนั้น ทำไม่ไม่ตื่นตัว ไม่สร้างคนในด้านจิตใจ ไม่ฝึกคนในทางภายใน แต่ว่าให้คนไปติดอยู่ในสิ่งที่เป็นวัตถุ เพียงแต่ปลุกพระพุทธรูปนี่ก็เหลือเกินแล้ว ยังไปปลุกเทวรูปสมทบเข้าไปอีก เรียกว่ามันไปกันใหญ่ เราลืมว่าเราเป็นอะไร เราเป็นลูกศิษย์ของใคร พระพุทธเจ้าท่านสอนเรื่องอะไร อันนี้มันเอามาเป็นนึกพูดในใจออกมาว่า “โง่ที่สุดในยุคกรุงรัตนโกสินทร์” นะป้ายแผ่นนี้ ไม่ได้ว่าใครนะ อาตมาว่าป้ายแค่นั้นเอง ว่าป้ายแผ่นนี้มันไม่ได้เรื่อง เดี๋ยวใครเขาจะหาว่าดูหมิ่นคนนั้นคนนี้ ไม่ได้ดูหมิ่นใคร ดูหมิ่นป้ายแผ่นนั้นละ มันโง่ที่สุดในประเทศไทยเลยที่ไปเขียนว่าอย่างนั้น ไม่ควรจะมีป้ายอย่างนั้นแล้วในปี ๒๕๒๒ ของเรานี้ ควรจะมีป้ายว่า เรื่องอื่น เรื่องที่จะปลุกใจคนให้ตื่นตัว ให้รักงาน ให้ก้าวหน้า ให้เสียสละ ให้มีความซื่อสัตย์สุจริต อะไรกันอย่างนั้น เพราะเรื่องอย่างนี้แหละ อาตมาจึงทนไม่ไหว เลยต้องประกาศบอกว่า ปี ๒๕๒๒ ควรจะเป็นปีแห่งการเข้าถึงธรรมะกัน เพราะว่าเราไม่ค่อยจะได้เข้าถึงธรรมะ แต่ว่าไปติดอยู่ในเปลือกของธรรมะ ติดอยู่ในด้านวัตถุ อันเป็นไม่ใช่เนื้อของพระธรรม อย่างนี้กันเป็นส่วนมาก ญาติโยมทั้งหลายลองพิจารณา
เมื่อวันก่อนนี้ก็อ่านหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งชื่อ ไทยรัฐ ของเดลิมิเร่อร์ เขาเป็นผู้ขาย? อาตมาก็อ่านดู เพราะว่าคนเขียนคือคุณสมัคร สุนทรเวช เขาเขียนอยู่เลยว่า อยากลองดูสำนวนพ่อคนนี้หน่อย แต่ว่าเมื่ออ่านไปถึงหน้าหนึ่ง เขาว่า พุทธศิริ พุทธ......? แล้วก็เครื่องรางของขลังอะไรอย่างนี้ ไอ้ตัวหน้ามันเขียนตัวตลกๆ อ่านไม่ค่อยชัด แต่ว่าขึ้นต้นอย่างนั้น ทีนี้เขาเขียนเรื่องอะไร เขียนเรื่องพระอาจารย์องค์หนึ่ง บอกว่าพระอาจารย์องค์นี้ เอ่ยชื่อด้วยก็ได้เพราะมีชื่อในหนังสือพิมพ์แล้ว ชื่อ “อาจารย์มั่น ทัตโต” คนละองค์กับ “อาจารย์มั่น ภูริทตฺโต” นะ ชื่อมันคล้ายกัน องค์โน้นมี “ภูริ” ขึ้นหน้า องค์นี้มีแต่ “ทัตโต” เฉยๆ “ทัตโต” นี่แปลว่า “ให้” “ภูริทตฺโต” นี่ “ให้ปัญญา ให้ความฉลาด” แต่อันนี้ “ทัตโต” เฉยๆ อายุ 106 ปี อันนี้แน่หรือไม่แน่ก็ไม่รู้ ใครแก่ๆ แล้วมักจะอายุเกินร้อยกันทั้งนั้น ทะเบียนเมืองไทยนี้ไม่ค่อยจะเรียบร้อย เอาแน่ไม่ค่อยได้ แต่ว่าให้มันเกินร้อยไว้หน่อยมันดี ว่าอย่างนั้นเถอะ อายุ 106 ปี บอกว่าเป็นพระที่เคร่งครัด มีความเชี่ยวชาญในทางไสยเวทย์ มันเป็นเรื่องอย่างนั้นไปเสีย เรียกว่าเป็นพระที่มีชื่อเชี่ยวชาญในด้านไสยเวทย์ ไสยเวทย์นี้มันอะไรกันนะ คือเชี่ยวชาญทางด้านไสยศาสตร์ ในเรื่องปลุก ในเรื่องเสก ในเรื่องน้ำมนต์ ในเรื่องน้ำพร ซึ่งมันคนละเรื่องกับพระพุทธศาสนา เขาว่าอย่างนั้น เชี่ยวชาญทางไสยเวทย์ และเขียนต่อไปว่า พระอาจารย์องค์นี้เป็นคนเคร่งครัดใน “สัจจมรรคปฏิบัติ” ใส่ “มรรคปฏิบัติ” เข้าไปด้วย ก่อนนี้ก็ “สัมมามรรคปฏิบัติ” กลายเป็น “มิจฉามรรคปฏิบัติ” ไป คือปฏิบัติผิด ปฏิบัติถูกอะไรอย่างนั้น เคร่งในเรื่องอะไร เคร่งในเรื่องว่า “ไม่ลอดใต้สะพาน” เท่านั้นเอง ถ้าไปไหนมีสะพานละไม่ได้ เพราะฉะนั้นอยู่เมืองอุบลฯ ไม่กล้ามากรุงเทพฯ เพราะว่ารถไฟมันต้องลอดสะพาน บางทีไม่ได้ลอด? มันยุ่งตรงสะพาน แต่ว่าสะพานมันขึ้นเพื่อให้เกิดกำลังงานที่จะทรงสะพานอยู่ได้ ท่านก็ไม่ลอด จึงไม่ได้ขึ้นรถไฟ ต่อมาเขาก็มีถนน รถยนต์มาได้ แต่ว่าพอมาถึงกรุงเทพฯ เจอสะพานลอยเข้าให้แล้ว ท่านบอกว่า “ไม่ได้ หยุดๆๆ สะพานอันนี้ลอดไม่ได้” ต้องหยุดให้ท่านลง แล้วก็เดินไปรออยู่ฝากโน้น รถจึงจะพาไปได้
แล้วเขียนต่อไปว่าวันหนึ่ง สภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ไปนิมนต์หลวงพ่อองค์นี้มา เพื่อจะให้พรมน้ำมนต์แก่สมาชิกทั้งหลาย แสดงว่าสมาชิกสภาฯ นี่ซวยเต็มทีแล้ว จึงต้องไปหาหลวงพ่อมารดน้ำมนต์กัน ว่าอย่างนั้นเถอะ อันนี้หนังสือพิมพ์เขียนนะ เดี๋ยวหาว่าอาตมาดูหมิ่นสมาชิกสภาฯ เข้าไปอีก ไม่ได้ดูหมิ่น เขาเขียนอย่างนั้น (12.57.8 ……) ก็ไม่รู้ หนังสือพิมพ์เขาเขียนอย่างนั้น อาตมาเก็บหนังสือพิมพ์ไว้ คราวนี้ไปถึงสภาฯ ก็เห็นเป็นเรือนหลายชั้นนี่ สภาฯ มัน ๒ ชั้น ดูเหมือนตึกหลายชั้นข้างหลังนี่ เข้าไม่ได้แล้วเพราะว่าเป็นเรือน ๒ ชั้น อย่างนี้เข้าไม่ได้ ต้องนิมนต์มาวัดชลประทาน ให้มานั่งตรงนี้ไม่ได้เพราะว่าอาคาร ๒ ชั้น ต้องให้นั่งในสนามหญ้าถึงจะได้ ทีนี้เมื่อเข้าไม่ได้จะทำอย่างไร พวกประธานสภาฯ ก็บอกสมาชิกทั้งหลายว่าไปตั้งแถวหน้าสภาฯ ให้หลวงพ่อพรมน้ำมนต์ให้ แล้วก็ไปพรมน้ำมนต์กันเรียบร้อย อาตมาอ่านแล้วมันเกิดความคิดว่าเมืองไทยเราจะไปไม่รอด ถ้ามีสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ มีหัวคิดเพียงขนาดนี้ คือมันไม่มีปัญญาที่จะรักษาตัวได้เลย ยังอาศัยน้ำมนต์หลวงพ่ออยู่ แล้วจะพาชาติประเทศไปได้อย่างไร ญาติโยมลองคิดดู มีอะไรเกิดขึ้นต้องนิมนต์หลวงพ่อมาปลุก มาเสก มา (14.05.2……?)
บางคนเรียนวิชาของขลัง ผ้านุ่งเมียก็กล้าจับ แปลกแท้? ฝนตกเทลงมาจั๊กๆ ผ้าเมียตากไว้ ไม่เก็บ พออาตมาถาม บอก “อูย...ผ้านุ่งผู้หญิงผมเก็บไม่ได้” แล้ว (15.17.1……?) ไปทำเมียหรือเปล่าล่ะ ทีผ้าละไม่จับ แต่ว่าเนื้อจับได้ แล้วมันไม่อัปรีย์หนักเข้าไปอีกหรือ มันถือไม่เข้าเรื่อง บางคนถือว่าไม่รอดใต้ราวตากผ้า เพราะว่าราวนั้นตากผ้าผู้หญิง แล้วเกิดทางไหนล่ะ ไอ้คนๆ นั้นมันเกิดมาทางไหน มันเกิดมาทางหัวแม่หรือว่าทางมือแม่หรือ ลองคิดดู นี่ต้องเรียกว่ามันบ้าไม่เข้าเรื่องเลย เมืองไทยเรามันถืออย่างนี้กันเยอะแยะเลยนะ เที่ยวไปถือไม่เข้าเรื่อง ไม่รอดใต้ราวผ้าที่เขาตากผ้าผู้หญิง แล้วตัวเกิดมาอย่างไร? หนักกว่านั้นนะ มาเกิดถืออะไรต่ออะไร บางคนบอกอาตมาว่าคนเรามันถือพระถือเจ้า ถ้าไปลอดตรงนั้นพระจะเปลี่ยน ขอบอกว่า พระไม่มีเปลี่ยนเลย ไอ้ถืออย่างนั้นแหละพระเปลี่ยนจากจิตใจ เพราะไม่เข้าใจถูกตามสัจจธรรม ไม่เชื่อตรงตามหลักพระพุทธศาสนา ก็เลยเสื่อมกันไปใหญ่ นี่เขาเรียกว่า ศรัทธางมงาย ถือโชค ถือลาง ถือของขลัง ถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่าจะช่วยตนให้พ้นภัยอย่างนั้นอย่างนี้ เป็นความเชื่อนอกรูปนอกรอย ไม่ใช่ความเชื่อตามหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาเราไม่มีอย่างนั้น พระพุทธศาสนาสอนเราให้เข้าใจว่า สิ่งทั้งหลายเกิดจากการกระทำ ไม่ใช่เกิดจากการที่สิ่งนั้นสิ่งนี้จะดลบันดาล
ทีนี้ในสมัยนี้มีคำหนึ่งที่ญาติโยมได้ยินบ่อยๆ เขาเรียกว่า “วัตถุเป็นมงคล” “วัตถุมงคล” ปลุกเสกวัตถุมงคลที่นั่น ปลุกเสกวัตถุมงคลที่นี่ ทำกันบ่อยๆ แต่ว่าก็เจริญดีเพราะว่ามีลาภ พอปลุกเสกเสร็จ แหม...คนไปซื้อกันใหญ่ ร่ำรวยไปตามๆ กัน มันถึงได้ปลุกได้เสกกันอยู่อย่างนี้ ร่ำรวยกันอย่างนี้ หลายคนได้ถือว่าวัตถุนี้เป็นมงคล ความจริงไม่มีเลย ในพระพุทธศาสนาของเรานั้นไม่ได้ถือวัตถุว่าเป็นมงคล เราถืออะไรเป็นมงคล ถือการประพฤติชอบด้วยกาย วาจา ใจ เป็นมงคล ในมงคล ๓๘ ข้อที่พระพุทธเจ้าสอนไว้นั้น อ่านดูเสีย ไม่มีมงคลข้อใดที่จะบ่งว่า มีสิ่งนั้นอยู่กับตัวเป็นมงคล เช่นที่เราว่า มีเขี้ยวหมูตันแขวนคอเป็นมงคล มีตะกรุดแขวนอยู่เป็นมงคล หรือหันหน้าไปทิศนั้นเป็นมงคล นอนหันหัวไปทิศนั้นเป็นมงคล ไม่มี ไม่มีในพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาถือว่า ดีชั่วอยู่ที่ความคิด อยู่ที่การพูด การกระทำ ถือเรื่องกรรมเป็นใหญ่ ไม่ถือวัตถุเป็นมงคล แต่ลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้าไม่ (18.20.6……?) กลับทำสิ่งที่ผิดจากหลักการทางพระพุทธศาสนา เพราะไปสอนให้คนรับรู้ว่าวัตถุนี้เป็นมงคล วัตถุนั้นเป็นมงคล
มีหนังสือพิมพ์ประกาศว่า มีพระ ๔ องค์ ปลุกเสกด้วยอาจารย์ขลังๆ ทั้งนั้น ชื่อ หลวงพ่อเงิน หลวงพ่อทอง หลวงพ่อลาภ หลวงพ่อเหลือ ถ้าใครจะซื้อท่าน คิดองค์ละ ๑๑๓ บาท ๔ องค์นี่เท่าไหร่ ๔๐๐ กว่าเข้าไปแล้ว แล้วลงท้ายด้วย ๙ ด้วยอะไร คนเรามันถือเลข ๙ ทำอะไรก็ให้มัน ๙ ไว้เยอะๆ แต่ไม่ก้าวหน้าสักทีเพราะว่าถือแต่เรื่อง (19.01.5……?) แล้วมันจะ “ก้าว” ไปได้อย่างไร อันนี้ท่านบอกว่า ถ้าบ้านไหนบูชาพระ ๔ องค์นี้แล้วบ้านนั้นจะเจริญด้วยลาภด้วยผล แล้วยกตัวอย่างว่า พ่อค้าคนหนึ่งเขามีพระ ๔ องค์นี้ไว้ในบ้าน การค้าเจริญ บางทียกตัวอย่างง่ายไป เราจะยกตัวอย่างว่า……? แบงค์กสิกรไทย มีพระ ๔ องค์นี้ ดอกเบี้ยจำเริญ ยังดีกว่า (19.31.5…….?) มันเห็นง่ายเพราะว่าแบงค์มันใหญ่ แต่ไปยกร้านค้าเล็กๆ นี่ไม่น่าดูเลย นี่เขาเรียกว่าทำคนให้หลงผิด ให้เข้าใจผิด ให้ไปติดอยู่ในวัตถุอันเป็นของที่ไม่ใช่เนื้อ เป็นเปลือก กลายเป็นวัตถุเป็นมงคลไป
เรานับถือพระพุทธศาสนาต้องช่วยกันแกะสิ่งนี้ออกไป เพราะสิ่งนี้เป็นเนื้อร้าย เป็นเนื้องอกทางธรรมะ เรียกว่าเป็น “มะเร็ง” ของพระพุทธศาสนาที่ทำให้คนเข้าไปติดยึดอยู่ในสิ่งเหล่านี้ และไม่ปฏิบัติธรรม ยกตัวอย่างให้เห็นง่ายๆ โยมเชื่อว่าวัตถุศักดิ์สิทธิ์ หลวงพ่อวัดนั้นศักดิ์สิทธิ์ หลวงพ่อวัดนี้ศักดิ์สิทธิ์ เอ้า! ไปกราบไปไหว้ ไปบนบานสานกล่าว ไปทำพิธีอะไรต่างๆ อยู่ แล้วก็เสียเวลาล่ำเวลาไปในการไปทำเช่นนั้น ไม่มองดูตัวเอง ไม่พิจารณาตัวเอง ไม่ศึกษาว่าอะไรมันเกิดขึ้นในตัวเรา และสิ่งที่มันเกิดขึ้นนั้นมันมาจากอะไร กลับไปเชื่อสิ่งภายนอกว่า ช่วยให้เกิดสิ่งนั้นสิ่งนี้ขึ้น แล้วก็ไม่ประพฤติธรรมกัน มัวแต่จะให้สิ่งใดสิ่งหนึ่งดลบันดาลให้ตนเป็นอย่างนั้น ให้ตนเป็นอย่างนี้
อาตมาเคยบอกญาติโยมหลายหนแล้วว่า ดลบันดาลนั้นไม่มีในพระพุทธศาสนา ที่เราจะขอให้สิ่งนั้นดลบันดาลให้เราเป็นอย่างนั้น ให้เราเป็นอย่างนี้นั้น ไม่มีในพระพุทธศาสนา พุทธศาสนาต้องทำเอาเอง ให้ใครดลบันดาลให้ไม่ได้ เช่นขอให้หลวงพ่อนั้นดลบันดาล หลวงพ่อนี้ดลบันดาลให้ หาได้ไม่ แต่ว่าเราจะต้องทำด้วยตัวเราเอง สิ่งภายนอกไม่สามารถจะช่วยเราได้ ที่เราทำอะไรกันอยู่ในเรื่องวัตถุนั้น มันเป็นเรื่องของเด็กๆ ทั้งนั้น ไม่ใช่เรื่องของผู้เจริญด้วยปัญญา ไม่ใช่คนที่เจริญด้วยความเข้าใจธรรมะ แต่ทำอย่างเด็กและไม่ยอมเติบโตทางจิตใจ จิตใจไม่ยอมเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ยอมเป็นเด็กอนุบาลอยู่เรื่อยไป ถ้าเราเป็นเด็กอนุบาลกันอยู่อย่างนี้ เราจะไปอวดใครได้ว่าเราเป็นพุทธบริษัท อวดใครได้ว่าเรานับถือพระพุทธศาสนา สมมุติว่าชาวตะวันตกเขาได้ศึกษาพระพุทธศาสนามา เขาศึกษาธรรมะ เมื่อเขาศึกษาธรรมะ เขาเข้าใจธรรมะ เขามาถึงประเทศเราเข้า เขามาดูประเทศไทยเรา บริษัทในเมืองไทย (22.15.2……?) ชาวบ้าน มีการกระทำอยู่ดังที่เราเป็นอยู่นี้ แล้วเขาจะรู้สึกอย่างไร เขาคงจะงงพอดีกันละ งงว่า เอ๊ะ! นี่อะไรกัน เมืองไทยนับนี่ถือพุทธศาสนามานานแล้ว แล้วทำไมอยู่กันอย่างนี้ ทำไมประพฤติปฏิบัติกันในรูปอย่างนี้ เขาคงจะไม่เข้าใจ อันนี้มันเป็นอันตรายแก่พระพุทธศาสนา แต่คนบางคนก็พูดว่า “เพื่อส่งเสริมพุทธศาสนา” อาตมาอยากจะพูดดังๆ ว่า นั่นไม่ใช่เรื่องการส่งเสริมพระพุทธศาสนา แต่เป็นการทำลายพระพุทธศาสนาให้หมดไปเรื่อยๆ จากจิตใจคน หมดไปอย่างไร คือความเชื่อในพระธรรมไม่มี ความเชื่อในกฎแห่งกรรมไม่มี การปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบตามหลักพระพุทธศาสนาไม่มี แต่ไปเชื่อของขลัง ไปเชื่อเวทย์ เชื่อญาณ เชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่าจะดลบันดาลให้ตนเป็นอย่างนั้น ให้ตนเป็นอย่างนี้ แล้วจะหาแต่เครื่องรางของขลัง คนที่มีหน้าที่ต้มมนุษย์ก็ทำแต่เรื่องอย่างนี้ เพื่อให้คนไปซื้อไปหา หลงใหลมัวเมากัน อย่างนี้เขาเรียกว่า ไม่ละอายแก่ใจ
ในการที่เราเป็นพุทธบริษัท ไปกระทำสิ่งที่ไม่ใช่เรื่องพระพุทธศาสนา เราควรจะกระดากอาย อาตมารู้สึกว่ากระดากในเรื่องอย่างนี้ เวลาทำอะไรที่มันนอกเรื่องไปแต่ละครั้ง มันไม่สบายใจเลย รู้สึกว่านี่มันไม่ใช่เรื่องที่เราควรจะกระทำ เพราะว่าเป็นเรื่องนอกลู่นอกทางของพระพุทธศาสนา รู้สึกลำบากใจ แต่ทำนานๆ มันก็ชิน เราก็เลอะกันไปใหญ่ อย่างนี้เป็นตัวอย่างที่ให้เห็นได้ว่าจะทำให้เสื่อม พระพุทธศาสนาที่ว่าเปลี่ยนไปจากอินเดียก็เพราะเรื่องอย่างนี้ คือถ้าเราไปเอาแบบอย่างของพราหมณ์มาหมด? แล้วก็ทำอย่างพราหมณ์ (24.19.5……?) พุทธศาสนาไม่จำเป็นหรอก เพราะว่าพระในพุทธศาสนาก็เหมือนกับพวกเราแหละ เราก็? ล้มไปเท่านั้นเอง
คนไม่เข้าใจเนื้อแท้พระศาสนา ไปติดอยู่ในพิธีรีตองกันด้วยประการต่างๆ มีอยู่แต่เพียงชื่อ คือมีชื่อว่าเป็นชาวพุทธอยู่ มีชื่อว่าเมืองไทยเป็นเมืองพุทธศาสนา แต่ถ้ามาดูเมืองไทยแล้ว ไม่รู้อะไรต่ออะไรเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด มีรูปเยอะๆ เอามานับถือบูชากัน แม้ว่าสิ่งนั้นไม่ใช่รูปพระพุทธเจ้า แต่ว่าก็ทำขึ้นกราบไหว้บูชากัน ถ้าทำที่อื่นจะไม่ว่า แต่ว่าเอาไปทำกันในวัด เอาเทวรูปไปปลุกเสกในวัด เสกให้เป็นอะไร เสกขึ้นมาอย่างไร แล้วมีที่ไหนในคัมภีร์ทางพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนไว้เลย บอกว่าให้เธอทั้งหลายจงนั่งล้อมวงกัน ใช้อำนาจปลุกเสกพระ เสกแหวน เสกเหรียญ เสกตะกรุด เสกสิ่งเหล่านั้นให้เป็นอย่างนั้น ให้เป็นอย่างนี้ อาตมาบอกว่าไม่มีในพระพุทธศาสนา ไม่มีในคัมภีร์พระไตรปิฎกเล่มใดเลยสักเล็กน้อย คนโง่ตั้งขึ้นเท่านั้น พิธีกรรมทั้งหลายเหล่านี้คนโง่ๆ ตั้งขึ้น เพื่อหลอกคนโง่ๆ กันต่อไป แต่ไม่มีอยู่ในคำสอนของพระพุทธเจ้า ให้ไปค้นดูก็ได้ พระไตรปิฎกแปลก็มี ๔๕ เล่ม โยมไปอ่านดูก็ได้ถ้าไม่เชื่ออาตมานะ แต่ถ้าเชื่อก็ไม่ต้องไปค้น เพราะว่าท่านปัญญานี้คงพูดจริงแน่ ไม่หลอกเราแน่ อันนี้มันไม่มี แต่ว่าเราทำกันขึ้น เขาเรียกว่า “เกจิอาจารย์” (26.05.8……?) เกจิอาจารย์ก็แปลว่าอาจารย์คนใดคนหนึ่ง อาจารย์ที่ไม่ปรากฏชื่อนั่นเอง ไม่รู้ว่าเป็นอะไร คนไหน อยู่รัฐไหนก็ไม่รู้ เกิดมาสมัยไหนก็ไม่รู้ มาตั้งพิธีเหล่านี้ขึ้น พิธีเหล่านี้มาจากอะไร มาจากความอยากได้เงินทองนั่นเอง อยากได้ลาภ ได้สักการะ เห็นว่าสิ่งเหล่านี้คนพอใจ พอจะขายกันได้ เลยมาปลุกกัน เสกกัน เพื่อขายกัน แล้วจะบอกว่าท่านเสกอยางนั้น เสกอย่างนี้ ผู้ที่นั่งเสกทั้งหลายนี้ ล้วนแต่เป็นผู้เชี่ยวชาญในไสยเวทย์ทั้งนั้น
ไสยเวทย์เป็นเรื่องไสยศาสตร์ ไสยศาสตร์นั้นเป็นศาสตร์ของคนที่ไม่ฉลาด (26.49.3……?) ยังไม่ฉลาด ยังไม่ก้าวหน้า ยังนับถือสิ่งเหล่านี้อยู่ ประเทศเขมรนี่นะ โยมรู้ไหม เป็นปรมาจารย์แห่งไสยศาสตร์ พระเมืองเขมรนี่ร้อยทั้งร้อยเป็นหมอดูทั้งนั้น อาตมาไปเที่ยวเมืองไพลิน เขานิมนต์ให้ไปเทศน์ที่ไพลิน ญาติโยมไทยใหญ่ทั้งนั้น อยู่ที่นั่นมาก ทีนี้ก็มีเจดีย์อยู่บนยอดภูเขา มีบันไดขึ้น และมุงหลังคาเรียบร้อย และข้างๆ มีที่นั่ง เป็นห้องเป็นหับเป็นร้อยๆ กว่าจะถึงยอดเจดีย์ มีพระนั่งอยู่ ทุกแห่งมีพระนั่ง อาตมาขึ้นไปดู พระที่นั่งอยู่ทุกองค์ ดูหมอทั้งนั้นเลย ไม่มีสอนธรรมะสักองค์เดียว มีกระดาน มีดวง นั่งดูหมอ ทำนายทายทัก คนก็ไปหาดูกัน อาตมานึกในใจว่า ตายแล้ว ทำต่อหน้าที่อย่างนี้ แล้วศาสนามันจะอยู่ได้อย่างไร อาตมามองไปในรูปอย่างนั้น แล้วก็มีอาจารย์ (25.55.2……?) เมืองไทยเรานี้ อาจารย์เก่งๆ มักจะเป็นลูกศิษย์พระเขมร อ้างตัวว่าไปเรียนมาจากเมืองเขมร เช่น อาจารย์หลวงพ่อ โยมหลวงพ่อ? อะไรทั้งหลาย บอกว่ามีดนี้อาจารย์เขมรให้มา ไม้ตีพริกอันนี้ก็อาจารย์เขมรให้มา แล้วทำพิธีเอาสันมีดโขกไม้ตีพริก อะไรไปตามเรื่องตามราว ได้มาจากเมืองเขมรทั้งนั้น แล้วเมืองเขมรเวลานี้เป็นอย่างไร อาจารย์ขลังๆ ทั้งหลายนั้นหายหัวไปไหนหมด ทำไมไม่มานั่งปลุกเสกให้เขมรแดงออกไปจากบ้านจากเมือง แทนที่เขมรแดงจะออกจากบ้านจากเมือง กลายเป็นพระต้องออกจากวัดไปเลย วิ่งหนีสบงขาดกันเป็นแถวไปเลยทีเดียว ไอ้พวกหลวงพ่อขลังๆ นี้นะ ไม่มีอำนาจอะไรที่จะเสกให้พวกนั้นจังงัง งง ไปสักคนเดียว มีแต่ออกจากวัดไปกับชาวบ้าน ไปอยู่ในทุ่งในนา แม้สังฆราชมันก็เอาไปเลี้ยงไก่ เป็นตั้งหัวหน้า ปรมาจารย์ใหญ่ในการปลุกเสก แล้วยังไงไปเลี้ยงไก่ แล้วก็สิ้นพระชนม์ไปตอนนั้นเอง ช่วยอะไรได้ อาจารย์ทั้งหลายช่วยอะไรได้ ถ้าไม่สอนธรรมะให้แก่ประชาชน เราก็เชื่อไม่ได้ คนก็ไม่รู้พุทธศาสนา ไม่รู้คุณค่าของพระธรรม พอเขมรแดงมาก็เลยล้มบ้านล้มเมืองกันไป
นี่เห็นง่ายๆ ว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นช่วยไม่ได้ สิ่งที่จะช่วยได้ก็คือความรู้ความเข้าใจ การปฏิบัติชอบของประชาชน ซึ่งเราจะต้องปลุกให้ตื่นตัวขึ้น ถ้าไม่ทำอย่างนี้แล้ว มันจะสายเกินไป ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นเราจะเอาตัวไม่รอดกันเวลานี้ นี่เวลานี้ยังหลับหูหลับตากันอยู่ (29.48.7……?) กันตะพึดตะพือ ไม่รู้ว่าอันตรายมันมาถึงกำแพงวัดแล้ว ยังมองไม่เห็น มันน่าสลดใจไหมล่ะ ญาติโยมทั้งหลายลองพิจารณา ตัวท่านไม่รู้หรือไม่มองดูไปนอกกำแพงบ้างว่ามันมีอะไรเวลานี้ ปลุกเสกกันอยู่ แล้วคนที่ไปหาก็ไม่มีใครว่า (30.02.6…….?) เลยเอาตัวไม่รอด
เอ้า! ประเทศลาวอีกประเทศหนึ่ง อาตมาไปบ่อยเมืองลาวสมัยก่อนนั้น สมัยยังไม่แดง ไปเทศน์ไปสอนญาติโยม ญาติโยมสนใจ ไปเทศน์ที่ไหนคนฟังกันนิ่งๆ ฟังกันเต็ม เทศน์ตามวัด เทศน์ตามที่ต่างๆ ทุกหนทุกแห่งเขาสนใจฟัง เพราะว่าพระในประเทศลาวนั้น ไม่สอนธรรมะเหมือนกัน (30.33.5……?) ให้เณรอ่าน พระก็ไม่ค่อยอ่านหรอก (30.41.0……?) ญาติโยมก็นั่งถือดอกไม้ จุดเทียนแล้วก็ถือไว้ด้วย พนมมือแต้ อาตมาไปยืนฟังๆ นะ นิทานทั้งนั้น แล้วไม่ใช่นิทานชาดกด้วยนะ นิทานพื้นบ้านพื้นเมือง โสนน้อยเรือนงาม เรื่องอะไรต่ออะไร ปลาบู่ทอง (31.01.8……?) อาตมาพูดกับพระนั่นว่า นี่เทศน์กันอยู่อย่างนี้หรือ ท่านก็บอกว่า เทศน์กันอย่างนี้แหละ อาตมาก็ว่า ตายแล้ว นี่ละมันจะตายตรงนี้ละ เทศน์แบบนี้ละมันจะตาย มันไม่สอนให้คนรู้ธรรมะเลย เทศน์กันอย่างนี้ ทุกวัดทุกวาเทศน์กันอยู่อย่างนั้น แล้วมันจะได้สาระอะไร
คราวนี้พอลาวแดงเข้ามา ลาวแดงก็เข้ามาในรูปมีความเชื่อ มีความเลื่อมใส เขาจะเข้าไปในวัด ไหว้พระไหว้เจ้า รัฐบาลก็ดูว่าคอมมิวนิสต์นี้มีธรรมะ ไอ้พวกคอมมิวนิสต์มัน (31.38.4……?) ไหว้พระสังฆราช ถวายของพระสังฆราช รับศีลดังเสียด้วยนะ ญาติโยมรับ 5 ข้อ คอมมิวนิสต์รับดังๆ ไปด้วย ไอ้เราก็ “เอ.....มันไม่จริงนะ คอมมิวนิสต์จะมารับศีลนี่ มาไหว้พระนี่ มีศาสนานี่” หารู้ไม่ว่าไอ้สิงโตมันปลอมเป็นลูกแกะเข้ามาแล้ว มันจะกินบ้านกินเมือง แล้วเมื่อจบก็ตายเลย เวลานี้เอาตัวไม่รอดแล้ว ประเทศลาวเวลานี้ พระสงฆ์องค์เจ้า เมื่อคืนนี้นายกรัฐมนตรีโฆษณาให้คอมมิวนิสต์นิดหน่อย บอกว่าประเทศลาวก็สุขสบายดี รัฐบาลไม่ได้รังแกประชาชน ให้อยู่ดีกินดี (32.19.1……?) ทางวิทยุโทรทัศน์เสียด้วยนะ ความจริงมันไม่ใช่อย่างนี้
จริงอยู่นะเวียงจันท์นั้นเขายังไม่รุกราน ไม่รังแก ใครมีที่ดินก็มีไป แต่เงินไม่มีแล้ว ชาวบ้านในเวียงจันท์ไม่มีเงินแล้ว ใครมีเงินอยู่ในธนาคาร ไม่ได้ถอน ถอนไม่ได้ อาตมารู้จักคนหนึ่งนะ ธิดา พันเดช เขามีหุ้นปูนซีเมนต์ไทย ในเมืองเวียงจันท์ คนเดียวที่มี ร่ำรวยมาก ถามญาติโยมที่พบปะว่า ยังอยู่ไหมคนนี้ ธิดา พันเดช อยู่ ไม่ไปไหนหรอก ไปไม่ได้ เงินทองเยอะแยะ (33.00.7……) แต่ไม่ได้ใช้ เบิกไม่ได้ ไปเบิกเงิน เขาถาม เบิกไปทำอะไร เอาไปทำอะไร เขาถามแล้วถามอีก พิจารณาแล้วพิจารณาอีก ผลที่สุดเขาไม่เบิกให้ เขาว่าไม่จำเป็น บ้านช่องก็มีแล้ว ไอ้นั่นก็มีแล้ว ก็เลยไม่ได้เอา ริบเงินทั้งหมด? เขากินหมด? ไม่ให้ใช้ ไม่ให้เบิก ที่ดินบ้านช่องยังไม่รุก แต่ว่าด้านนอกๆ เขายึดแล้ว เมือง (33.28.2……) แต่เว้นไว้ตรงเวียงจันท์เท่านั้นเอง ในวัดก็เหมือนกัน ฝั่งโขงนี่เรียกว่าเป็นหน้าต่างของร้าน (33.49.9……) ให้คนไทยดู มีพระออกบิณฑบาต (33.47.3……) มันมีเฉพาะริมฝั่งโขง เรียกว่าเป็นหน้าต่างร้าน เป็น window display นิดหน่อย ให้คนได้เห็นว่ามันยังดูเรียบร้อย แต่ลึกเข้าไปหลังร้าน ตายแล้ว! พระต้องหุงข้าวกินเองแล้ว ชาวบ้านไม่ใส่บาตรแล้ว เขาไม่ให้ใส่ แล้วมีคนพวกหนึ่งคอยติเตียน คอยว่า คอยยุ คอยยั่ว อะไรอย่างนั้น ให้พระรำคาญ พอเณรพระอยู่ไม่ได้ก็ต้องลาสิกขาไป ไอ้เรื่องมันเป็นอย่างนั้น แต่ว่าท่านนายกฯ ท่านพูดแบบการเมือง (34.26.6……) ไม่มีอะไรหรอก ประนีประนอมกันเรียบร้อย พี่นั้นเสียเปรียบน้อง (34.39.8……) เป็นธรรมดา น้องต่อยพี่ไม่เป็นไร พี่ต่อยน้องนี่ไม่ได้นะ ถ้าพี่ตีน้อง ต้องตีพี่นะ แต่ถ้าน้องตีพี่ แม่บอก ไม่เป็นไรๆ ลูก อย่าไปถือเลย นั่น เรื่องมันเป็นอย่างนั้น ลาวมันเป็นน้องไทย ทำอะไรไป โอ้ย! ไม่เป็นไร (34.56.4……)
อันนี้ประเทศลาวล่มจมก็เพราะว่าไม่มีการสอนคนให้เข้าใจธรรมะ แต่มีพระองค์หนึ่ง อายุไม่ยืนเสียด้วยองค์นี้ ตายเสียแล้ว ตายเสียหลายปีแล้วก่อนแดงเข้าด้วยซ้ำไป ชื่ออาจารย์ปาน อาจารย์ปานองค์นี้แกมาอยู่เมืองไทย มาเรียนบาลี เรียนภาวนาอะไร พอกลับไปเมืองลาวก็ตั้งองค์การขึ้น ไปอยู่วัดพุทธวงศาป่าหลวง แล้วก็ปรับปรุงมากขึ้น มีสถานที่เลี้ยงเด็กอะไรต่ออะไรหลายอย่าง กิจการ ออกหนังสือพิมพ์ทางพุทธศาสนาชื่อ “พุทธวงศ์” ออกเป็นรายเดือน แล้วเอาข้อความที่อาตมาเทศน์ที่เมืองไทยไปแปลงเป็นอักษรลาวลงหนังสือพิมพ์บ่อยๆ แล้วนิมนต์ไปเทศน์บ่อยๆ ถ้าไปเทศน์แล้วท่านก็จัดให้ไปเทศน์ตามโรงเรียน ตามวิทยาลัย วิทยาลัยครู (35.54……) ค่ายทหาร โรงเรียนนายร้อย โรงเรียนนายร้อยเหมือนกับคอกม้าอย่างนั้นนะ ไม่ใหญ่ไม่โตอะไร อาตมาบอกว่า นี่มันคอกม้า ไม่ใช่โรงเรียนนายร้อย เขาก็บอกเพิ่งตั้งครับ เพิ่งตั้ง ความจริงตัวครูมันไปจากสามพรานทั้งนั้นละ ลูกศิษย์นายร้อยสามพรานทั้งนั้น เขาเคยอยู่ที่นี่ เขาเห็น รู้จัก เขาเคยไปเที่ยวสามพราน เขาดีอกดีใจ (36.18.5……) แต่พระองค์นี้ทำงานไม่นาน เป็นโรคลำไส้ และไปรักษากับโรงพยาบาลฟิลิปปินส์ที่มาตั้งอยู่ ตายไปเลย เวลานี้เผาศพเรียบร้อยไปแล้ว ก็เลยดับวูบไป ไม่มีอะไรเหลือต่อไป นี่คือเรื่องความบกพร่อง ไม่สอนคนให้เข้าถึงธรรมะ
เราจะต่อต้านสิ่งที่เป็นอธรรม ต้องให้สิ่งที่เป็นธรรม ให้คนได้รู้ได้เข้าใจ ให้ซาบซึ้งในพระพุทธศาสนา ให้เห็นว่าศาสนาเป็นประโยชน์ คนเราจะรักสิ่งใด มันต้องรู้คุณค่าของสิ่งนั้น เช่นว่ารักแผ่นดินนี่ รักประเทศ ถ้าเราไม่รู้จักคุณค่าของแผ่นดิน มันจะไม่มีใจรักเลย มันอยู่เฉยๆ ไปอย่างนั้น แต่ถ้าเรารู้ว่า “โอ...แผ่นดินนี้ให้น้ำแก่เรา ให้อาหาร ให้เสื้อให้ผ้า ให้ที่อยู่อาศัย” “ถ้าเราไม่มีแผ่นดินจะอยู่ จะลำบากขนาดไหน” ดูญวนที่หนีออกจากประเทศญวน ลงเรือไปลอยเท้งเต้งอยู่หน้าเกาะฟิลิปปินส์ ไปลอยอยู่หน้าเกาะฮ่องกง ไปลอยอยู่หน้าประเทศมาเลเซีย (37.30……) ทางฝั่งตะวันตก ขึ้นไม่ได้ เขาไม่ยอมให้ขึ้นบก (37.34.4……) จะกินก็ลำบาก จะถ่ายก็ลำบาก มีทั้งผู้ใหญ่ มีทั้งเด็กเล็ก เด็กหนุ่ม เด็กสาว แออัดยัดเยียด เกิดโรคเกิดภัย (37.47……) บ้านแตก (37.49.2……) เอาแต่ตัวก็แย่เต็มทีแล้ว ลำบากเดือดร้อนขนาดไหน ไม่มีแผ่นดินจะอยู่
ไอ้เรานี่มันมีแผ่นดินอยู่อาศัย สะดวกสบาย ถ้าสมมุติว่าเหตุการณ์มันเป็นเหมือนกับประเทศญวน เขมร อย่างนั้น เราจะไปไหน ญาติโยมลองคิดว่าจะหนีไปไหน จะไปเมืองไหน ไปแล้วจะไปทำมาหากินอะไร คนไทยเรานี้มันเคยแต่ความสบาย ไปอยู่ที่อื่นจะทำมาหากินอะไร สมมุติว่าไปเมืองฝรั่ง จะไปทำอะไร ถ้าเราพูดฝรั่งไม่ได้ก็ไม่รู้จะไปทำอะไร เราก็ต้องทู่ซี้อยู่ในประเทศไทยต่อไป หวานก็อม ขมก็กลืนไม่ลง เรียกว่า หวานอมขมกลืน มันกลืนไม่ได้หรอก ขมก็กลืนไม่ได้ หวานก็อมไม่ได้แล้วเดี๋ยวนี้ มันก็เดือดร้อนวุ่นวายกัน ทางแก้มีอยู่ทางเดียวว่า ให้คนประพฤติธรรม ทีนี้ถ้าคนประพฤติธรรมนี่มันจะดีขึ้นอย่างไร มันมีคำพูดอยู่คำหนึ่งที่โยมได้ยินบ่อยๆ ทางโทรทัศน์ “จงช่วยกันกำจัดคอร์รัปชั่นให้สิ้น เพื่อแผ่นดินไทยอยู่รอด” นี่แสดงว่าเขามองเห็นอยู่เหมือนกัน มองเห็นว่าอันตรายของประเทศชาตินั้นคือ คอร์รัปชั่น ไอ้คอร์รัปชั่นนี้มันเกิดเพราะอะไร เกิดเพราะคนไม่มีธรรมะ ไม่มีศาสนาประจำจิตใจ ถึงมีก็มีแต่เพียงชื่อ แต่ไม่มีข้อปฏิบัติ ไม่เลื่อมใส ไม่ศรัทธาในศาสนาอย่างแท้จริง ไม่เอาศาสนามาใช้ในชีวิตประจำวัน แต่ไปเอาเรื่องอื่นมาใช้ในชีวิตประจำวัน
นี่จากพระที่เป็นหมอดูองค์หนึ่ง ความจริงก็ไม่เก่งกล้าอะไรหรอก เรียนหนังสือก็ไม่เก่ง แต่มาเข้ากรุงเทพฯ กลายเป็นหมอใหญ่ มีชื่อมีเสียงเวลานี้ อยู่ที่วัดมหาธาตุ ท่านบอกว่า ท่านมีพลเอกชื่อนั้นเคยมาหาผมนะ ถามมาหาทำไม ให้ผมรดน้ำมนต์ให้ ว่าอย่างนั้น นายพลเอกชั้นใหญ่ ปกครองบ้านเมือง ไปให้พระรดน้ำมนต์ให้ แทนที่จะไปศึกษาธรรมะ ศึกษาในทางบริหารบ้านเมือง บริหารจิตใจ จัดการศึกษาพัฒนาจิตใจคน กลับไปให้พระรดน้ำมนต์ให้เพื่อจะได้ล้างซวย อาตมาบอกถ้าอย่างนั้น ตายแล้ว อย่างนี้บ้านเมืองจะไปรอดได้อย่างไร เพราะคนที่ปกครองบ้านเมืองยังเชื่อพิธีการแบบไสยศาสตร์ปกครองบ้านเมือง มันช่วยไม่ได้ มันตาย ไสยศาสตร์ปกครองบ้านเมือง จะไปฝังรูปฝังรอยแล้วทาปิดตายนี่ มันไม่ได้เวลานี้ มันต้องใช้ระบบ (40.37.3……) แต่ว่าเรายังไม่มีบุญจะใช้ เราใช้ระบบธรรมะ เอาธรรมะสู้ สู้อย่างไร ด้วยการชวนกันประพฤติธรรม เอาความก้าวหน้า ช่วยกันประพฤติธรรม ถ้าเราประพฤติธรรม กิเลสมันเบาลงไป ความโลภมันน้อยลงไป ความโกรธน้อยลงไป ความหลงน้อยลงไป ความริษยาพยาบาทน้อยลงไป การแข่งดีเอารัดเอาเปรียบมันก็น้อยลงไป มองเห็นสิ่งที่เป็นสาระว่าเป็นสาระ ไม่ใช่ไปเอาสิ่งที่ไม่เป็นสาระว่าเป็นสาระ แล้วเราก็จะดำเนินชีวิตถูกทาง
พอดำเนินชีวิตถูกทาง กิจการทั้งหลายก็ย่อมก้าวหน้า เป็นไปในทางที่ดีงาม ไม่มีใครเห็นแก่ตัว ไม่มีใครเอารัดเอาเปรียบ นั่นละเขาเรียกว่า “ธรรมะครองเมือง” ถ้าเราให้ธรรมะมาครองเมืองแล้ว เราจะอยู่รอด แต่ถ้าธรรมครองเมืองนั้น ตัวธรรมะครองไม่ได้ ธรรมะครองจิตใจคนก่อน เอาธรรมะมาครองใจคน ถ้าธรรมะเข้าถึงใจคนแล้ว ใจคนนั้นจะมีธรรมะ คนมีธรรมะจะทำอะไรก็ทำเพื่อธรรมะ ทำเพื่อส่วนรวม ไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว สมมุติว่าอย่างนี้ เราจะซื้อเรือสักลำสองลำเพื่อเอามาเพิ่มให้บริษัทเดินเรือไทย ทีนี้ก็มีคนไปติดต่อกับบริษัทต่างประเทศเพื่อจะซื้อเรือมา แล้วก็เป็นเรือที่ไม่เก่าเกินไป เขาใช้มาปีหนึ่งหรือสองปีเท่านั้นแหละ ตกลงว่าเอาละ แต่พอมาเสนอเข้า คนที่เป็นผู้จะเซ็นสั่งซื้อบอกว่า คุณจะให้กี่เปอร์เซ็นต์ เกี่ยงกันไปเกี่ยงกันมาจนไม่ได้ซื้อเรือลำนี้จนได้ เพราะไม่ตกลงเปอร์เซ็นต์กัน เลยไม่อนุมัติ แต่มาบอกว่าเรือไม่ดีบ้าง เรือเก่าไปบ้าง อะไรไปบ้าง ว่ากันไปตามเรื่อง ไอ้ความจริงเรือมันก็เรียบร้อย สมมุติว่าอย่างนั้นนะ ว่ามันเรียบร้อย แต่ว่ามันไม่เรียบร้อยตรงที่แบ่งเปอร์เซ็นต์ไม่ได้เป็นที่พอใจนี่เอง แล้วก็เลยไม่ได้ซื้อเรือลำนั้น แล้วเราจะทำอะไร ถ้าว่า นี่ตกลงกันจะมีซื้อข้าวซื้อของ ของดี ราคาพอสมควร แต่ว่าเปอร์เซ็นต์มันไม่สมควร อ้าว! แล้วก็ไม่ซื้อ ไม่ซื้อก็เลยนานชักช้าเสียเวลา ไม่สามารถจะทำไปได้ งานของชาติประเทศไม่ก้าวหน้า
สมมุติว่ามีคนสักคนหนึ่งไปประมูลที่สะพานลอยได้ ที่นี้เมื่อประมูลที่สะพานลอยได้ (43.16.2……) ต้องเอาไปให้เจ้าหน้าที่พิสูจน์ก่อนว่าเมื่อกี้ ดีไหม ได้ขนาดไหม อะไรไหม เอาไปวางบ้าง วางไปแล้วก็ไม่คิดตรวจให้ เฉยๆ คนนี้ก็ร้อนอกร้อนใจว่า เพราะเวลามีจำกัด? ที่จะต้องทำให้เสร็จทันเวลา ถ้าไม่เสร็จทันเวลาก็จะถูกปรับ เมื่อจะถูกปรับ ไปถึงก็ “ตรวจเสร็จรึยังครับ” เจ้าหน้าที่ก็บอกว่า “ยังไม่มีเวลา” อย่างโน้นอย่างนี้ ชักช้า อาทิตย์หนึ่งก็ไม่ได้ สองอาทิตย์ก็ไม่ได้ ทีนี้มีคนหนึ่งกระซิบบอกว่า “นี่ เครื่องมันฝืด คุณไม่หยอดน้ำมัน เครื่องมันจะเดินได้อย่างไร” เอ้า! เชิญไปหยอดน้ำมันกันเสียหน่อย เชิญไปกินเลี้ยง พอกินเลี้ยงเสร็จแล้วก็ยัดใส่กระเป๋าให้เป็นที่พอใจ รุ่งขึ้น “เขาตรวจเรียบร้อยแล้ว คุณเอาไปทำได้เลย” นั่น มันเป็นอย่างนั้น สมมุติว่าเรื่องมันเป็นอย่างนั้นนะ ไอ้เท็จจริงนี่ไม่ว่า นี่เรื่องสมมุติทั้งนั้น อาตมาพูดเรื่องสมมุติ
สมมุติว่าไปติดต่อเรื่องไฟฟ้า มันต้องใช้ไฟนี่ ไฟฟ้าสำหรับที่จะทำอะไร (44.22.2……) ไปติดต่อ ติดต่อเสร็จแล้ว ยื่นเรื่องเสร็จแล้ว ก็เฉย ก็ไม่ไปทำให้ ไม่ไปจัดให้ ๓ วัน ๔ วัน ๕ วัน ๑ อาทิตย์ ๒ อาทิตย์ ไปตามก็แล้ว คนหนึ่งๆ ไม่ว่าง โอย...อย่างนั้นอย่างนี้? ไม่ว่างสักที ก็ไปบ่นให้ใครๆ เขาก็ว่า “โธ่ เธอมัน ( 44.47……) มันต้องหยอดน้ำมันนี่ซิ” พอไปหยอดปั๊บ ปุ๊บ! มาเลย ไปหยอดเช้า บ่ายมาถึงเลย จัดแจงเสร็จให้เรียบร้อย ไอ้ความจริงมันเรียบร้อยอยู่แล้ว ง่ายๆ ไปติดง่ายๆ แต่ว่าเครื่องมันไม่เดินเพราะว่าไม่ได้หยอดน้ำมันเท่านั้นเอง แล้วน้ำมันนี้ต้องเป็น “มันนี่” เสียด้วย มันประเภทอื่นหยอดไม่ได้ ต้อง “มันนี่” ยี่ห้อ “มันนี่” ละก็ใช่ได้ ไอ้ยี่ห้ออื่นอย่าไปหยอดเลย พอหยอดปั๊บ เครื่องเดินฉิวไปเลยทีเดียว อันนี้ละมันมีทั่วไป ทำให้งาน (45.26.7……) เสียเวลา อะไรที่ไม่ได้ ละก็ไม่เอา นี่คือการไม่ประพฤติธรรมกัน เราไม่ประพฤติธรรม มันเลยไปกันใหญ่
เรื่องไม่ประพฤติธรรมนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ ละเลยกันมาหลายปีแล้ว เฉยๆ กันมาหลายปีแล้ว ไปสนใจแต่เรื่องอื่น ไม่สนใจในการสร้างจิตใจคน อบรมจิตใจคนผู้เข้าปฏิบัติงาน งานมันก็เลยชักช้า ทำให้เสียเวลาอะไรๆ ต่างๆ ไป ทุกเรื่อง ทุกประการมันเป็นอย่างนี้ พี่น้องทั้งหลายลองพิจารณาดูว่า ขาดธรรมะอย่างเดียว มันเลยไปกันไม่ได้
ทีนี้ถ้าเราจะให้บ้านเมืองของเราอยู่รอด เราก็ต้องหันหน้าเข้าหาธรรมะ พวกผู้ใหญ่ต้องหันหน้าเข้าหาธรรมะ ต้องทำตนให้เป็นตัวอย่างในด้านธรรมะ คือเป็นตัวอย่างว่าเราไม่หวังประโยชน์อะไร คนเราอายุมากๆ แก่แล้ว จะทำงานให้แก่ชาติแก่ประเทศ (46.28……) จะเข้าโลงแล้ว ฝากชื่อฝากเสียงไว้กับบ้านเมืองสักหน่อย ทำกันอย่างจริงจัง อย่าลูบหน้าปะจมูก อย่าเลือกที่รักมักที่ชัง อย่าว่าเป็นพวกของฉัน พวกของฉันคือคนดี มีปัญญา มีความประพฤติชอบ มีความเสียสละแล้ว ค่อยถือว่าเป็นพวก แต่ถ้าคนไม่ดีไม่อะไรอย่าเอามาเป็นพวก มันเละ อย่าเอาแต่เพียงคะแนน อย่าเอาแต่ แต่ไม่เป็นคนที่เห็นแก่ส่วนรวม เห็นแก่ชาติ ศึกษาประวัติคนเหล่านั้นว่าเป็นคนตรงจริงหรือไม่ หรือเป็นคนประเภทใด เอามาร่วมแรงร่วมใจกัน เรียกว่ารวบรวมคนดีมีธรรมะเข้ามารับใช้ประเทศชาติกันอย่างจริงจัง ประเทศชาติจึงจะไปรอด แต่ถ้าไม่ทำอย่างนั้นไปไม่รอด หัวหน้าสำคัญกว่าใครๆ หมด หัวหน้าสูงสุดของเรานั้นไม่ต้องพูดแล้ว วิเศษเหลือเกิน คือในหลวงนี่ แต่ว่าท่านทำอะไรไม่ได้ เพราะว่าอยู่บนหิ้งบูชา ท่านเป็นตัวอย่างตลอดเวลา ไม่ได้อยู่นิ่งในวังหลวง ออกเสด็จไปโน่นไปนี่ ไปเพื่อประโยชน์ ไปเพื่อความสุขแก่ประชาชนทั้งนั้น ไม่ได้ไปเพื่ออะไร เป็นการทำงานด้วยน้ำพระทัยเสียสละ เวลานี้ไปประทับอยู่เชียงใหม่ ออกทุกวัน ไปดอยโน่น ไปดอยนี่ ไอ้ดอยที่คนอื่นไม่ไป ท่านก็ไป ไปดูว่าแม้ว อีก้อ มูเซอ มันทำอะไร ให้พืชไว้? มันปลูกหรือเปล่า ให้แกะไว้ มันเลี้ยงเรียบร้อยไหม ให้วัวไว้ มันตอนกินแล้วหรือยัง หรือว่ายังเลี้ยงได้เรียบร้อย ท่านไปตรวจ ตรวจลูกตรวจเต้ามันเป็นอย่างไร มีอะไรขัดข้อง มีอะไรเป็นอุปสรรค พาไปดู แล้วไม่ไปดูแต่ในหลวง เอาพวก? ไปดูด้วย เพื่อจะได้ช่วยกัน พวกที่ไปดูแล้วมีอะไรจะช่วยได้ พวกนั้นก็ช่วยกันต่อไป
พระองค์ทรงกระทำทุกอย่าง ก็ด้วยทางธรรมะ โดยตามวิถีทางของธรรมะ ไปเพื่อประโยชน์อย่างแท้จริง แต่ว่าขออภัยเถิด ข้าราชการเรายังไม่เดินตามในหลวง ในหลวงเดินไปทางนี้ แล้วบ่ายๆ มันไปคลับนั้นเสีย? ไปโน่นไปนี่เสีย มันเป็นเสียอย่างนี้ (48.47……) ข้าราชการบ้านนอกกลัวจัง บอกว่า “อาจารย์ เมื่อไหร่อาจารย์จะเข้าไปพูดกับ (48.54.3……) พูดเรื่องนี้ที” พูดว่าไง “พูดว่า เวลามาตรวจงานน่ะ อย่าให้ลูกน้องต้องเลี้ยง ผมมันเดือดร้อน” “เงินเบี้ยเลี้ยงก็มี ค่าโรงแรมก็มี แล้วทำไมจะต้องให้พวกผมเลี้ยงด้วย” “เลี้ยงแล้วยังจะให้พวกผมพาไปเที่ยวซ่องอีกนะ” (49.12.1……) เราก็ว่า “ชิบหาย เมืองไทยมันไปไม่รอดตรงนี้เอง” ไปเที่ยวหาดใหญ่ ให้ลูกน้องพาไปเที่ยวซ่อง อย่างนี้มัน ใช่ไหมโยม ข้าราชการ?
เราไปตรวจงาน ต้องไปอย่าง “เปาบุ้นจิ้น” ไม่ใช่ไปอย่างอื่น ต้อง “เปาบุ้นจิ้น” ต้องพาผงซักฟอก “เปาบุ้นจิ้น” ไปด้วย มันถึงจะใช้ได้ เอาไปฟอกกัน เราไปแล้วมันต้องเป็นตัวอย่างแก่ลูกน้อง แล้วบางทีก็สั่งลูกน้องว่าต้องหาเหล้าชนิดนั้นไว้ให้นะ เป็นโรคติดสุรา ไปตรวจงานต้องมีสุราชนิดนั้นให้ดื่มด้วย ไปไหนต้องพาไปด้วย เป็นอย่างนี้ลำบากโยม ไปไม่รอด เพราะว่าไม่เอาธรรมะไป เอากิเลสไป เอาความสนุกไป จะไปตรวจงาน ไปเพื่อความสนุก เมืองไหนไม่เจริญ ท่านไม่แวะหรอก อย่างพัทลุงนี่นั่งรถผ่าน ไม่มีแวะ (50.07.3……) ไปตรวจงาน ไม่แวะพัทลุง เพราะพัทลุงเมืองมันไม่ไหว เขาไม่แวะ โรงแรมไม่ดี อะไรก็ไม่มี ขอให้ไปหาดใหญ่ ไปสงขลาอะไรอย่างนี้ มันคึกคักดี (50.21.6……) อย่างนี้เป็นส่วนมาก จึงทำให้เกิดเป็นปัญหา เพราะเราไม่ประพฤติธรรมกัน แล้วเหมือนกันหมด ใครๆ ก็เป็นอย่างนั้น เหมือนกันไปทั้งนั้น เพราะฉะนั้นคนเราที่ทำอะไรไม่ดี ถ้าผู้น้อยทำไม่ดี ผู้ใหญ่ก็ไม่กล้าพูด ไม่กล้าทำอะไร เพราะว่าผู้ใหญ่ก็มีแผลเหมือนกัน ขืนพูดไปเดี๋ยวคราวหลังไอ้นั่นมันตีเข้าบ้าง จะเดือดร้อนวุ่นวาย เลยเละกันไปหมดทั้งบ้านทั้งเมืองเพราะการไม่ประพฤติธรรม นี่ ปัญหามันอยู่ตรงนี้ที่สำคัญ ที่มองเห็นกันอยู่ว่ามันเป็นเช่นนั้น (50.59……) ไม่ว่าฝ่ายไหน จะเป็นฝ่ายพลเรือน ฝ่ายตำรวจ ฝ่ายอะไรก็ตามใจ (51.05.5……) เวลานี้พูดกันไม่ได้แล้ว อะไรๆ รู้กัน ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่ ไก่ก็ไปของไก่ งูก็ไปของงู ทางของใครก็ของใคร แล้วประเทศชาติมันจะไปได้อย่างไร โยมลองพิจารณาดู
มีทางเดียวเท่านั้น คือเราจะต้องหันเหน้าเข้าหาธรรมะกัน เรารู้จักใคร เราก็ช่วยพูด ช่วยชัก ช่วยจูงให้หันหน้าเข้าหาธรรมะกัน ให้ประพฤติดีประพฤติชอบ ให้เสียสละเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขแก่ชาติแก่บ้านเมือง ไอ้ตัวเราแต่ละคนนี้ ไม่กี่วันก็ไปกันแล้วทั้งนั้นแหละ ลาลูกกันทั้งนั้น ตายกันทั้งนั้น แต่ว่าชาติอยู่ ประเทศเราอยู่ ลูกหลานของเราอยู่ต่อไป เราจะให้ลูกหลานอยู่อย่างไร ให้อยู่อย่างเดินก้มหน้าไปอย่างนั้นหรือ (51.57……) อย่างนี้มันก็ไม่ได้ แต่เวลานี้เรากระทำเหมือนจะให้ลูกหลานอัปยศอดสู ให้ลูกหลานเดินเงยหน้าไม่ได้ต่อไปข้างหน้า ต้องก้มหน้าก้มตา ถูกบังคับเสื้อ ผม ด้วยประการต่างๆ เหตุการณ์อย่างนี้มันจะเกิดขึ้นถ้าเราไม่ช่วยกันหันหน้าเข้ามาเดินตามพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ไม่หันหน้าเข้าหาธรรมะ
พระสงฆ์องค์เจ้าเราก็เหมือนกัน ต้องตื่นแล้วเวลานี้ อย่ามัวแต่ไปนั่งปลุกนั่งเสกของไม่เข้าเรื่องเลย ต้องปลุกคน ต้องปลุกคนให้ตื่นตัว ผู้ใหญ่ก็ต้องไปปลุกผู้ใหญ่ เช่นว่าพระสังฆราช สมาชิกเถรสมาคม มีโอกาสได้เข้าไปสวดมนต์สวดพรกับผู้ใหญ่บ่อยๆ แต่ไม่พูดอะไร สวดมนต์เสร็จแล้ว ยถาสัพพี ยกของถวาย ก็กลับวัดเท่านั้นแหละ ไม่ถือโอกาสเตือนส่วนนี้กับคนเหล่านั้น ท่านไม่กล้าเตือนด้วย กลัวเขาจะไม่นิมนต์วันหลัง อาตมาถ้าเข้าไปอย่างนั้นละต้องเล่นงานแน่ เขาไม่นิมนต์ท่านปัญญา เขารู้ว่าองค์นี้ยังไง ขืนเข้าไปละก็ต้องเทศน์กันทั้งวันละ ก็ขยับอยู่นานแล้ว แต่เขาไม่นิมนต์สักที มีแค่ทางเดียว วิทยุ อาศัยวิทยุนี้ละ เรียกว่า (53.18.7……) ทางวิทยุ เหมือนว่าเช้าก็ว่าไปเรื่อยๆ นะ ยังมีอีกหลายกัณฑ์ ยังมีอีกหลายกัณฑ์ ก็ว่ากันไปเรื่อยๆ ขยับไปเรื่อยๆ ได้ยินมั่ง ไม่ได้ยินมั่ง ก็ได้ยิน คนก็ได้ยิน ผู้ใหญ่ได้ยิน บางคนได้ยิน อย่างน้อยประธานองค์การสื่อสารมวลชนก็ได้ยิน พลโทบุญเรือน บัวเจริญ ได้ยิน ท่านฟัง ฟังแล้วยังบอกมาว่า “ท่านเจ้าคุณพูดให้หนักๆ เข้าไป หนักๆ เข้าไป” ยังยุอยู่ว่าให้หนักเข้าไว้ แบบว่าตัวเองแก้ไม่ไหวแล้ว ให้พระช่วยแก้อยู่เวลานี้ บอกให้หนักๆ เข้าไป ไม่ต้องเกรงใจ อาตมาก็ต้องว่าเต็มอัตราเลยถ้ามีโอกาส แต่ (54.00……) แต่ถ้ายังไม่ (54.05.1……) ก็ต้องว่ากันต่อไป เดือนหน้าก็ว่ากันต่อไป
เรื่องมันเป็นอย่างนี้ ต้องช่วยกัน เราต้องช่วยกันทุกคน ช่วยกันในครอบครัวให้ประพฤติธรรม มีลูกน้องกี่คนต้องดึงเข้าหาธรรมะ ต้องช่วยกันคนละไม้คนละมือ ทุกคนนะ ไม่อย่างนั้นแล้วจะไปไม่รอด ขอให้โยมจำคำนี้ไว้ ถ้าเราไม่ประพฤติธรรม จะไปไม่รอด แล้วเอาไปพูดกับใครๆ บ่อยๆ ว่าถ้าเราไม่เข้าหาธรรมะ จะไปไม่รอด ทีนี้เข้าหาธรรมะอย่างไรมันต้องว่ากันอีกที วันนี้หมดเวลาเสียแล้ว จึงขอจบไว้แต่เพียงเท่านี้
ต่อไปนี้เราก็เข้าหาธรรมะด้วยการนั่งสงบใจ ฝึกสมาธิเพื่อให้มีกำลังจิตเข้มแข็ง จะได้เอาไปควบคุมตัวเราให้อยู่ในความรู้สึกผิดชอบต่อไป
นั่งตัวตรง หลับตาเสียหน่อย หายใจเข้ายาว.....ลึก หายใจออกยาว.... สติอยู่ที่ลมเข้า-ลมออก หายใจเข้าก็นึกตามลมเข้าไป หายใจออกก็นึกตามลมออกมา อย่าให้จิตฟุ้งไปในเรื่องอื่น ให้อยู่ที่ลมเข้า-ลมออก ตลอดเวลา ๕ นาที