แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ณ บัดนี้ถึงเวลาของการฟังปาฐกถาธรรมะ อันเป็นหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนาแล้ว ขอให้ทุกท่านอยู่ในอาการสงบ ตั้งอกตั้งใจฟังด้วยดี เพื่อให้ได้ประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการฟัง ตามสมควรแก่เวลา
เมื่ออาทิตย์ก่อนได้ทำความเข้าใจกับญาติโยมทั้งหลายในเรื่องเกี่ยวกับวัตถุที่เรานำมาสักการะบูชา โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือ พระพุทธรูป อันเป็นสิ่งที่เราเคารพสักการะกันมานานแล้ว เพื่อให้ญาติโยมได้เกิดความเข้าใจว่า พระพุทธรูปที่เรากราบไหว้กันอยู่นั้น เกิดขึ้นอย่างไร มีความเป็นมาอย่างไรบ้าง แรกเริ่มเดิมทีนั้นมีหรือไม่ แล้วเกิดมีขึ้นเพราะอะไร เราได้กราบได้ไหว้กันอยู่เพื่ออะไร เพื่อจะได้เข้าใจถูกต้อง ไม่เข้าไปยึดถือในสิ่งนั้น ในทางที่ไม่ตรงกับการปฏิบัติในทางพระพุทธศาสนา คือไปเชื่อในสิ่งนั้นว่าจะช่วยตนให้พ้นภัย พ้นอันตรายในรูปต่าง ๆ ถือเป็นของขลังไป เป็นของศักดิ์สิทธิ์ไป แล้วก็เข้าไปวิงวอนขอร้อง บนบานศาลกล่าว เพื่อจะให้ช่วยตนในรูปต่าง ๆ ซึ่งการกระทำในรูปอย่างนั้น ไม่ตรงกับความหมายทางพระพุทธศาสนา เพราะในทางพระพุทธศาสนาของเรานั้น ไม่มีเรื่องการอ้อนวอนขอร้อง ในรูปอย่างนั้น มีแต่เรื่องการศึกษาปฏิบัติ เพื่อทำตนให้หลุดพ้นจากความทุกข์ความเดือดร้อนในชีวิตประจำวัน เป็นการช่วยตนเองด้วยการปฏิบัติธรรมะ ไม่ใช่เอาสิ่งอื่นเข้ามาช่วยตน เพื่อให้ตนพ้นไปจากเรื่องอะไร ๆ ต่าง ๆ ดังที่เราปฏิบัติกันอยู่ทั่ว ๆ ไป
เดี๋ยวนี้พุทธบริษัทเราไม่เข้าใจชัดในเรื่องวัตถุนี้ จึงได้เข้าไปนับถือในรูปขลังรูปศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ นานา แม้ว่าการนับถือนั้นจะช่วยทำให้ตนสบายใจ แต่เป็นความสบายใจเพียงชั่วครั้งชั่วคราว ไม่เป็นความสบายใจที่เด็ดขาดตายตัว ไม่เหมือนกับเอาธรรมะมาใช้แก้ปัญหา แต่ว่าที่ได้กระทำกันอยู่ทั่ว ๆ ไปนั้น ก็เพราะว่าไม่เข้าใจในเรื่องนั้นตามความเป็นจริง ไม่มีใครพูดให้เราฟังว่าความจริงนั้นควรจะเป็นอย่างไร เราเชื่อและทำกันมาตามที่เขาว่า เขาว่า ว่าอย่างนั้น ว่าอย่างนี้ รับมาตั้งแต่เป็นเด็ก เช่นรับนับถือมาว่าพระพุทธรูปองค์นั้นศักดิ์สิทธิ์อย่างนั้นอย่างนี้ ในรูปต่าง ๆ เล่าถึงอภินิหารแปลก ๆ ซึ่งคนโบราณเขามีความเข้าใจอย่างนั้น แล้วก็ถือตามกันมา ในรูปอย่างนั้น ไม่ได้เข้าถึงพระพุทธเจ้าที่เป็นเนื้อแท้ แต่ไปถึงสิ่งที่เป็นวัตถุจนมีคำพูดกันขึ้นในสมัยนี้ว่า วัตถุมงคล
วัตถุมงคลนั้นไม่มี ในมงคล ๓๘ ของพระพุทธเจ้า ไม่มีสิ่งอะไรที่เป็นวัตถุว่าเป็นมงคล มีแต่เรื่องการไม่ปฏิบัติธรรมเท่านั้นที่เป็นอัปมงคล และมีเรื่องการปฏิบัติตามหลักธรรมเท่านั้นที่ชื่อว่าเป็นมงคล ไม่มีสิ่งวัตถุอันใดที่เป็นมงคลเลย ตามหลักพระพุทธศาสนา เช่นเราจะถือว่าไฟไหม้นั้นเป็นมงคล อย่างนี้เป็นมงคล หรือว่าอะไร ๆ ที่เป็นมงคลตามที่เราเข้าใจกันอยู่นั้น มันเป็นมงคลภายนอกพระพุทธศาสนา ไม่ใช่มงคลตามหลักคำสอนในทางพระพุทธศานา มงคลในพระพุทธศาสนานั้น มีความหมายว่า เหตุอันจะให้เกิดความสุขความเจริญในชีวิต เพราะเหตุอันจะให้เกิดความสุขความเจริญในชีวิตของเรานั้น ย่อมเป็นเหตุภายใน ไม่ใช่เหตุภายนอก เหตุภายในก็คือการปรับปรุงจิตใจของเรา ให้เข้าทางธรรมะ ให้ได้ใช้หลักธรรมะเป็นแนวทางชีวิต จะปฏิบัติอะไรก็เรียกว่าหลักปฏิบัติตรงตามแนวทางธรรมะ นั่นแหละเป็นสิ่งอุดมมงคล เป็นมงคลสูงสุดตามหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนา
วัตถุที่เป็นมงคลนั้น หาเป็นมงคลที่แท้จริงไม่ เป็นเรื่องหลอกตัวเราเท่านั้นเอง คือหลอกให้หลงไปให้เพลินแต่กับวัตถุนั้นชั่วครั้งชั่วคราว ตราบเท่าที่เรายังมีอวิชชา คือความไม่รู้ไม่เข้าใจในเรื่องนั้นตามที่เป็นจริง เราก็หลงใหลเรื่อยไป มัวเมาอยู่ในสิ่งนั้นเรื่อยไปไม่รู้จักจบไม่รู้จักสิ้น ไม่คิดช่วยตัวเองในการปฏิบัติ แต่ไปนึกว่าวัตถุเหล่านั้นจะช่วยตนให้พ้นภัย ให้พ้นจากอันตรายด้วยประการต่าง ๆ อันนี้คือความหลงผิด ไม่ตรงกับคำสอนในทางพระพุทธศาสนา และในสมัยนี้กำลังมีมากขึ้นแพร่หลายขึ้น ในการที่จะจูงคนให้เข้าไปเอาวัตถุเหล่านั้นมาเป็นที่พึ่ง ยึดมั่นถือมั่นในวัตถุนั้นว่าจะช่วยตนให้พ้นภัยอย่างนั้นอย่างนี้เป็นต้น อันนี้คือการไม่ถูกต้อง แต่ว่าทำกันอยู่มาก เพราะอะไร
เพราะเป็นทางเจริญแห่งลาภสักการะ เป็นทางได้มาวัตถุอีกเหมือนกัน วัตถุที่ได้มานั้นก็คือเงินนั่นเอง เงินได้มาจากวัตถุก็เอาไปสร้างวัตถุต่อไป คนก็ติดในวัตถุต่อไป ไม่ได้เข้าถึงธรรมะอันเป็นตัวการปฏิบัติ ซึ่งเป็นเนื้อแท้ของพระรัตนตรัย เราก็ติดอยู่แต่เพียงวัตถุ ในสมัยนี้ควรจะได้มีการแจกเอาสิ่งที่เป็นวัตถุนั้นออกไปเสียบ้าง เพื่อจะได้เข้าถึงตัวธรรมะอันเป็นข้อปฏิบัติ จึงได้พูดกับญาติโยมทั้งหลายให้เข้าใจในความหมายของสิ่งเหล่านี้ เพื่อเราจะได้รู้จักใช้สิ่งเหล่านี้ให้เป็นคุณให้เป็นประโยชน์ คือใช้เพียงเพื่อเป็นเครื่องเตือนจิตสะกิดใจให้เราได้นึกถึงคุณธรรมต่อไป ไม่ใช่เอาวัตถุนั้นเป็นสรณะอย่างแท้จริง ให้ถือแต่เพียงว่าเป็นเครื่องสะกิดใจเตือนใจเท่านั้น เช่น พระพุทธรูปต่าง ๆ ที่เขาทำไว้นั้น เราก็ถือแต่เพียงว่าเป็นวัตถุเตือนใจให้เราได้นึกถึงคุณงามความดีของท่าน แล้วเราได้เอาความดีนั้นมาใส่ไว้ในใจของเรา การเอาคุณงามความดีมาใส่ไว้ในใจนั่นแหละ เรียกว่าเราสร้างพระพุทธขึ้นในใจ สร้างพระธรรมขึ้นไว้ในใจ สร้างพระอริยสงฆ์สาวกขึ้นไว้ในใจของเรา
เมื่อเราสร้างสิ่งเหล่านี้ขึ้นไว้ในใจของเรา ใจเราก็เป็นพระไป ใจเราก็เป็นพระ เราก็สบาย ไม่มีปัญหาคือความทุกข์ ความเดือนร้อน อันเกิดขึ้นจากความหลงผิดความเข้าใจผิดด้วยประการต่าง ๆ และเราจะไม่ถูกใครชักจูงไปในทางเสื่อมทางเสีย หรือจะหลอก จะต้มเราด้วยเรื่องอะไร ๆ ต่าง ๆ ได้ เพราะเราไม่ได้สนใจในสิ่งที่เป็นวัตถุเหล่านั้น เราสนใจในแง่ของธรรมะ เมื่อสนใจในแง่ของธรรมะ วัตถุนั้นเป็นเรื่องที่ไม่มีค่าอะไรมากเกินไป แต่เราถือว่าหลักธรรมคำสอน การปฏิบัติตามคำสอนนั่นแหละ เป็นสิ่งมีคุณมีค่าอย่างสูงสุดสำหรับชีวิตของเรา ถ้าเราจะถือเป็นมงคลก็หมายความว่าหลักธรรมะ หรือข้อปฏิบัตินั่นแหละเป็นมงคลสำหรับตัวเรา จะทำให้เราเกิดความสุขความเจริญด้วยประการต่างๆ ไม่ใช่เพียงวัตถุนั้นอย่างเดียว วัตถุนั้นเป็นแต่เพียงเครื่องประกอบนิดหน่อย เป็นเครื่องเตือนจิตสะกิดใจให้เราได้คำนึงถึงข้อปฏิบัติ และเราจะได้ปฏิบัติในสิ่งนั้นต่อไปเท่านั้นเอง
อันนี้เป็นเรื่องที่ควรจะได้เข้าใจไว้ ถ้าเราเข้าใจในรูปอย่างนี้แล้ว เราจะมีพระพุทธรูปไว้ในบ้าน ก็ไม่เป็นไร และไม่ต้องหาว่าของเก่าแก่อย่างนั้นอย่างนี้ หรือไม่จำเป็นจะต้องหาว่า ทำไมนั่นทำไมนี่ หรือไม่จำเป็นว่าจะต้องไปปลุกไปเสกให้เป็นอย่างนั้นให้เป็นอย่างนี้ ถ้าเราถือแต่เพียงว่า เป็นภาพเตือนใจให้เราได้นึกถึงพระธรรมเท่านั้นเอง เมื่อเป็นรูปที่เตือนใจได้ก็เป็นใช้ได้ เพราะเป็นเรื่องสมมุติขึ้น สมมุติว่านี่เป็นรูปแทนคุณงามความดีของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่แทนองค์พระพุทธเจ้าที่เป็นเนื้อเป็นหนัง แต่ว่าแทนพระคุณของพระองค์ท่าน เพราะว่าพระคุณนั้นเป็นนามธรรม ไม่ใช่สิ่งที่จะหยิบด้วยมือหรือว่าจะดูด้วยตาได้ แต่เป็นสิ่งที่เราจะสัมผัสได้ด้วยใจ เราจะเข้าถึงสิ่งนั้นด้วยจิตของเรา
วัตถุนั้นเป็นแต่เพียงเครื่องกันลืมเท่านั้นเอง เป็นเครื่องเตือนใจกันลืม แต่เราได้เห็นด้วยตา แล้วเราจะได้นึกถึง ไม่หลงไม่ลืมในสิ่งเหล่านั้น เพราะฉะนั้นเมื่อเราจะมีพระไว้ประจำบ้าน ก็มีไว้สักรูปหนึ่ง ก็เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจ และไม่ต้องไปเสียใจว่าฉันได้มาเป็นพระใหม่ ไม่ใช่พระรุ่นเก่า รุ่นเหล่านั้นรุ่นนี้ ไปเห็นบ้านนั้นเขามีพระยุคสุโขทัย เชียงแสน ทวารวดี แล้วเราก็อยากจะมีกับเขาบ้าง จนเป็นทุกข์เดือดร้อน บางทีก็ต้องซื้อหาด้วยราคาแพง แต่ก็ไม่ใช่ที่สร้างขึ้นในสมัยเก่าแท้ เพราะว่าคนสมัยนี้เก่งในทางเลียนแบบ เขาทำเลียนแบบของเก่าเหมือนของเก่า แล้วเอามาบอกเราว่านี่เก่า ถ้าเราเป็นผู้นับถือพระพุทธรูปถูกแบบ เราจะไม่สนใจในเรื่องความเก่า ไม่สนใจในเรื่องความใหม่ของวัตถุนั้น ถ้าเราสนใจแต่เพียงว่าเป็นวัตถุสำหรับเตือนใจ ให้เราได้นึกถึงพระธรรมคำสอน เป็นวัตถุเป็นเครื่องเตือนใจให้เราได้สำนึกในความเป็นพุทธบริษัท แล้วจะได้ปฏิบัติตนตามคำสอนเท่านั้น เพราะฉะนั้นเมื่อใครเอาอะไรมาให้เรา ถ้าเขาบอกว่านี่ของเก่านะ ราคาสูงหน่อย เราก็บอกว่าฉันไม่สนใจหรอกเรื่องเก่าเรื่องใหม่ ฉันสนใจแต่ว่าเป็นรูปพระหรือไม่เท่านั้นเอง ถ้าเป็นรูปตรงตามรูปที่สมมุติกันแล้วฉันก็ใช้ได้ ไม่ว่าเก่าไม่ว่าใหม่ เรามีเท่านี้มันก็ไม่ลำบากยากเข็ญ ไม่ต้องขึ้นราคากันให้มากมายก่ายกอง
ในสมัยหนึ่งมีการตื่นพระมาชนิดหนึ่งขึ้นในเมืองไทย เขาเรียกว่าพระบัวเข็ม พระบัวเข็มนี้ถ้าเมืองพม่าแล้วเอามาสักรถลอรี่ย์ (13.49) ก็ได้ คือมันมีมากเหลือเกินตามวัดเมืองพม่านี่ วัดหนึ่งๆมีพระบัวเข็มเป็นสิบๆ เป็นร้อย ทำไมจึงมีมาก คือชาวบ้านมันแก้บนกัน เขาแก้บนแล้วเขาก็สร้างพระบัวเข็มกัน พระที่มีรูปใบบัวปิดหัว แล้วข้างล่างก็มีเข็มเสียบไว้ เป็นพระที่ทำด้วยวัตถุประเภทดอกไม้ เกสร หรืออะไรอื่นที่เขาทำขึ้น หรือบางทีก็เป็นพระไม้ธรรมดา เช่น ไม้สักบ้าง ไม้อะไรบ้างซึ่งเป็นไม้ที่แกะสลักง่าย มีมากมายตามวัดในประเทศพม่า ไม่รู้ว่าใครมาโพนทะนาว่าพระบัวเข็มนี้วิเศษนัก ต้องเอาไปไว้ที่บ้านจะเจริญด้วยลาภ ด้วยสักการะ ด้วยอะไรต่าง ๆ แล้ววิธีเอาไปไหว้ที่บ้านก็ต้องมีอ่างน้ำ หรือว่าชามแก้ว เอาน้ำใส่ไว้แล้วก็มีฐานรอง เอาพระบัวเข็มใส่ไว้ในน้ำ ให้มีฐานรองอย่างนั้นแล้วคอยเติมน้ำไว้บ่อย ๆ กราบไหว้ทุกวันๆแล้วจะร่ำรวยด้วยลาภสักการะ
คนแตกตื่นกันมากในสมัยนั้น คนที่อยู่ชายแดนเมืองไทยคืออำเภอแม่สาย ได้เอารถไปฝั่งนั้นไปเที่ยวขอตามวัดต่างๆ ถวายปัจจัยแก่วัดบ้างเล็กๆน้อยๆ เอามาเป็นหีบๆเลย ไม่ใช่เอามาเพียง ๒-๓ องค์ เป็นลัง ๆอย่างนั้นเลย เอามาแล้วก็ส่งมาขายกรุงเทพฯ องค์ละ สามพัน สี่พัน ห้าพัน ราคามันสูงเลย อาตมาไปแม่สายพบนายจ่าคนหนึ่ง แกเป็นตำรวจ แขวนสายสร้อยหนักสักสิบสลึงเห็นจะได้ เส้นเกือบเท่านี้ บอกแหมสายสร้อยเส้นใหญ่จริง หลวงพ่อบัวเข็มช่วยผมว่างั้น ช่วยอย่างไร ก็ผมไปรับมา เอามาขายได้เงินมากมายก่ายกองเลย แล้วก็ถามว่าหลวงพ่อต้องการบ้างไหม พระบัวเข็ม อ๋อ คุณมีหลายองค์หรือ เลยพาขึ้นไปชั้นบนบ้าน บอกว่าหลวงพ่อเลือกเอาตามชอบใจเลย จะเอาองค์ไหนก็ได้ มีอยู่สองลังใหญ่ ๆ คำนวณดูแล้วว่ามีอยู่สักพันองค์ในลังเหล่านั้น ยังขายไม่หมดและยังขายเรื่อย ๆ ไป ทำให้คนรวยขึ้นหลายคนเหมือนกัน รวยด้วยพระบัวเข็มนี้เอง
ความจริงนั้นธรรมดา ในเมืองพม่าเรื่องธรรมดา มีวางไว้เยอะ ๆ เหมือนกับพระตะกั่วบ้านเราที่เขาทำขายเสาชิงช้า เวลาญาติโยมแก้บนบอกว่าจะสร้างพระเท่าอายุ อายุเจ็ดสิบห้า สร้างเจ็ดสิบห้าองค์ เอามาห่อกระดาษหนังสือพิมพ์ ตักข้าวใส่บาตรตักแกงใส่ก็เอาห่อนั้นใส่ลงไปด้วย พวกเรานึกว่าคงจะเป็นไข่ปลา ก็เห็นห่อยาว ๆ แก้ออกมาก็เป็นหลวงพ่อไป แล้วก็ต้องเอาไปเที่ยววางไว้ ตามรู (17.06) ไม้ข้างบนอย่างนี้ วางไว้เรื่อยๆไป มากมายก่ายกอง บัวเข็มในเมืองพม่าก็มากอย่างนั้น แต่ไม่รู้ใครเรียกว่าหัวแหลมเหมือนกัน โฆษณาพระบัวเข็มขึ้น แล้วก็เขียนเป็นเรื่องเป็นราวลงในหนังสือพิมพ์ บางกอกไทยบ้าง อะไรต่ออะไรบ้าง ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์ประเภทปลุกใจให้คนหลง ๆ กันอยู่ ก็มีอยู่ทุกวัน ๆ คนก็สนใจอยากได้ บางคนบอกว่าแลกรถจิ๊บสักคันก็ยังเอาเลย จะได้พระบัวเข็มนี้ ราวกับว่าพอได้พระองค์นั้นแล้วจะเป็นเศรษฐีได้มาอย่างนั้นแหละ
นี่คือความเชื่อที่ผิดทาง เป็นความหลงในวัตถุ ไม่ใช่มีความเชื่อในด้านธรรมะ แต่ว่าไปติดอยู่ในวัตถุเท่านั้นเอง ถ้าเป็นพระบัวเข็มล่ะก็วิเศษ เลยต้องการกันเป็นการใหญ่ ก็ทำให้คนรวยขึ้นหลายคนเหมือนกัน เพราะรวยเงินบัวเข็ม แต่ว่ารวยแล้วก็ไม่เท่าไรหมดอีกเหมือนกัน เพราะไม่ประพฤติธรรม ชอบดื่มเหล้า ชอบเล่นการพนัน ชอบสนุกสนาน วันนี้เกือบตั้งตัวไม่ได้ คือว่ามีแต่พระข้างนอกไม่มีพระข้างใน เลยตั้งตัวไม่ได้ นี่มันเป็นอย่างนี้ พระเก่าๆเช่นว่าพระยุคสุโขทัยนี่คนก็ชอบเหมือนกัน ที่ชอบนี่ไม่ใช่เรื่องอะไรหรอก เพราะว่าพระพักตร์ท่านสวย ยิ้มแย้มแจ่มใส ดูแล้วมันก็สบายใจ เช่นเราไปดูพระพุทธรูป พระพุทธชินราชที่พิษณุโลกนี่ ดูแล้วจิตใจมันสบาย เพราะดูเหมือนว่าท่านจะยิ้มกับเราอย่างนั้น คนก็เข้าไปกราบไปไหว้ แต่ว่าไปไหว้ในฐานะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์หมด ไหว้เพื่อวิงวอนขอร้อง
ถ้าไปดูที่โบสถ์หลวงพ่อพุทธชินราชนี้ มีหัวหมูให้ท่านฉันทุกวัน แต่ว่าท่านก็ไม่ได้ฉันอะไร เอาไปวาง ๆ ไว้จุดธูปจุดเทียนเซ่นไหว้ จุดลูกประทัดปุ้งปั้งหน้าวิหาร ไม่รู้ว่าเรื่องอะไร ที่จะต้องจุดลูกประทัดด้วย เสียงก้องตลอดวัน ยิ่งวันใกล้ตรุษจีนแล้วยิ่งจุดกันเป็นการใหญ่ เป็นการบูชาหลวงพ่อพระพุทธชินราช ก็ได้เพียงเท่านั้น ไปไหว้ไปกราบอยู่เพียงเท่านั้น แล้วก็บอกว่าเป็นลูกหลวงพ่อบ้าง หลานหลวงพ่อบ้าง อะไรต่าง ๆ แต่ว่าสังเกตดูรูปหลวงพ่อก็ไม่เข้าใกล้หลวงพ่อเท่าใด หรือว่าไม่ได้ปฏิบัติให้มันใกล้หลวงพ่อพระพุทธเจ้าเท่าใด ยังอยู่ห่าง หากแต่ว่ามีความเชื่อว่าขลัง ว่าศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นเอง ไม่ใช่เพียงขลังแต่รูปหลวงพ่อนะ หน้าไอ้เขาเรียกว่า ประตู มีที่ทำเป็นรูปเรียงอย่างนี้เขาเรียกว่า อกไก่ของประตู คนยังไปประทับเอาอกไก่นั้นลงในแผ่นผ้า แล้วก็ยังขายแผ่นผ้านั้นด้วย บอกว่าแผ่นผ้าอกไก่ บานประตูหลวงพ่อนี้ศักดิ์สิทธิ์ โฆษณาให้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ขึ้น พอโฆษณาให้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คนก็นิยมชมชอบเอาไปเป็นของใช้กันต่อไป คือคนนี่จูงง่าย ในทางผิด ๆ นี่จูงง่าย จูงในทางถูกนี้ต้องใช้เวลาสักหน่อยกว่าจะเข้าใจ ก็ต้องใช้เวลา แต่พอเข้าใจแล้วไปตรงไปเรียบร้อย แต่ในทางผิดนี่จูงไม่ยาก
จะเห็นง่าย ๆ มีงานผูกพัทธสีมา แล้วก็คนอยากจะได้เชือกที่ผูกหินหรือลูกหินที่เป็นหินพัทธสีมาหวาย โดยมากเขาทำกับหวาย เอามาจัดเป็นกรอบเข้า รัดทำเป็นกรอบสักแต่เป็นกรอบแล้วก็เอาหินวางบนนั้น แล้วก็มี (21.08) เวลาฝังก็เอามีดตัดให้มันหล่นลงไป รายนั้นนะคนต้องการหนักหนา อยากจะได้ เอาไปไว้เป็นเครื่องบูชาสักการะ ทางวัดเห็นว่าจะเป็นการได้เงินจากถวายก็เลยตัดเป็นท่อนสั้น ๆ ๒ อังคุลี ห่อเป็นท่อนแล้วก็ใส่ตะกร้าไว้ ใครต้องการกี่ท่อน ท่อนละบาท ๆ แหม หวายไม่ใช่น้อยนี่ ยาวเป็นกิโลเลย ไปเอามาไหว้สำหรับไว้คนดึงนี่ นี้หินอยู่ตรงนี้ดึงหวายออกไปหมดให้ คนช่วยกันดึง ให้หินมันหล่นลงในนั้นนะ พอได้ตีฆ้องร้องป่าว พอได้ฤกษ์ก็ถึงกันไป ดึงแล้วก็เอาหวายมา ตัดเป็นท่อน ๆ ขายหวายต่อไป
ในขณะคนมาซื้อหวายอยู่นั้นมีพระองค์หนึ่ง แกนึกสนุกขึ้นมา แกบอกว่า รั้วไก่ที่เอามาทำรั้วโบสถ์นี่ก็วิเศษเหมือนกัน เอาไปปักไว้ที่บ้านแล้วโจรจะไม่เข้าบ้านจะมีความสุขความสบาย สักพักเดียวเท่านั้นเอง ไม่ถึงสิบนาทีรั้วไก่หายหมดเลย คนถอดเอาไปคนละอัน ๆ หมดเลย นี่มันเป็นอย่างนี้ นี่แหละคือว่าปลุกในทางโง่นี่มันง่าย ปลุกในทางหลงนี่ก็ง่าย พอพูดขึ้นคำเดียวรั้วไก่อันตรธานหมด ถอดไปคนละอัน ๆ เอาไปหมดเลย อย่างนี้เป็นตัวอย่างมีอยู่ทั่ว ๆ ไป ในเรื่องอย่างนี้ ก็เพราะว่าคนไม่เข้าใจ ไปยึดถือในวัตถุเหล่านั้น ว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไป มีฤทธิ์มีเดชอาจจะช่วยตนให้พ้นภัยอันตราย ด้วยประการต่าง ๆ อย่างนี้ก็มีอยู่มากในเมืองไทยของเรา ไม่มีใครที่จะช่วยจูงคนให้เดินในทางถูก หรือทำลายความเชื่อเหลวไหล ที่มีอยู่ในจิตใจนั้นให้หายไป อันจะเป็นการสร้างเสริมความเห็นถูก การปฏิบัติถูกปฏิบัติชอบ ให้เกิดขึ้นในจิตใจ จึงได้หลงใหล มัวเมากันด้วยประการต่าง ๆ
ดังที่เราเห็นเป็นอยู่กันในสมัยนี้ นั่นเป็นพระองค์ใหญ่ ๆ ที่เรานับถือว่าศักดิ์สิทธิ์อย่างนั้นอย่างนี้ ความศักดิ์สิทธิ์นี่มักจะเกิดจากอย่างนี้ คือของเก่า อายุมาก ๆ และก็มักจะศักดิ์สิทธิ์ ถ้าสร้างใหม่ ๆ ไม่ค่อยจะศักดิ์สิทธิ์เท่าใด เช่นพระที่หล่อใหม่ ๆ เอาไปวางไว้คนก็ไม่ค่อยนับถือเท่าใด แต่ถ้าเป็นของเก่า หลวงพ่อเชียงแสน หลวงพ่อสุโขทัย หลวงพ่อทวารวดี อะไรอย่างนี้เก่า ๆ คนก็นับถือกันว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เข้าไปกราบไปไหว้วิงวอนขอร้อง ปรากฎอยู่ทั่ว ๆ ไป นี่เป็นการกระทำที่ไม่ค่อยเข้าถึงธรรมะ แต่ไปถึงวัตถุนั้น เอาวัตถุนั้นเป็นที่พึ่ง จึงขอญาติโยมได้เปลี่ยนความคิดประเภทนี้เสียใหม่ ให้เข้าในทางที่ชอบที่ควร คือให้เราถือแต่เพียงว่า สิ่งเหล่านี้ เป็นสิ่งเตือนจิตสะกิดใจไม่ให้เราประพฤติชั่ว ให้เราได้อยู่ในศีลในธรรม แล้วจะได้มีความสุข ความสุขที่แท้นั้นเกิดขึ้นจากการปฏิบัติธรรมะ เกิดจากการขัดเกลาจิตใจของเราให้สะอาด ให้สว่างให้สงบ นั่นเรียกว่าเป็นความสุขที่แท้ ไม่ใช่สุขเพราะได้เห็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ หรือว่ามีสิ่งนั้นสิ่งนี้ไว้ในบ้าน แล้วก็จะมีความสุขความสบาย ไม่ใช่อย่างนั้น นี่อย่างหนึ่ง
ทีนี้ต่อมาก็มีพระเล็ก ๆ ที่มีมากขึ้นในประเทศไทย เมืองอื่นไม่ค่อยมีหรอก ประเทศอินเดียนี่ก็ไม่มี แต่ว่าชาวพุทธน้อยในอินเดีย แต่ว่าเป็นชาวพุทธเก่าแก่ที่มีอยู่ในบังกลาเทศในสมัยก่อน เดี๋ยวนี้เขาเรียกว่า บังคลาเทศ นั่นเป็นชาวพุทธเก่ามีมาตั้งแต่โบราณ สืบเชื้อสายกันลงมาโดยลำดับ เขาก็นับถือไม่เหมือนบ้านเรา คือไม่มีของขลัง ไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาดังที่เรามีกันอยู่ในบ้านเรา ประเทศลังกาก็เหมือนกัน อาตมาไปอยู่ลังกา ๗-๘ เดือนก็ศึกษาดูความเป็นไปของพุทธบริษัท เขาไม่ได้ถือพระพุทธรูปองค์ใดว่าศักดิ์สิทธิ์ วิเศษอะไร แต่ว่าที่เขาไปไหว้กันอยู่มาก ก็คือมันเป็นสถานที่นับเนื่องจากความเป็นมาของพุทธศาสนา เช่นว่า (25.56) เจดีย์นี้ เขาเรียกว่าเป็น เจดีย์ใหญ่ เขาถือว่าพระพุทธเจ้าเคยเสด็จมาที่นั่น คนก็ไปกราบไปไหว้ ไปสักการะบูชา ไปสวดมนต์ไปภาวนา ไปปฏิบัติกิจศาสนาที่นั่นกันมาก เพราะถือว่าที่นั่นเป็นที่ที่พระพุทธเจ้าเคยเสด็จมา แต่ความจริงนั้นไม่เคยมาหรอกเมืองลังกา ประวัติพระพุทธเจ้าไม่ได้มาถึงอินเดียตอนใต้ เพราะสมัยก่อนนี้เดินไม่ไหว มันไกลเหลือเกิน แต่ถ้าบอกว่าเดินไม่ไหว ก็บอกพระพุทธเจ้าท่านไม่ต้องเดินหรอก ท่านเหาะมา จะหาเรื่องให้มาให้ได้ ว่าอย่างนี้นะ ว่าเหาะมา แต่ว่าเขาก็ไปไหว้อย่างนั้น ไม่ได้ไหว้ในฐานะศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ในสถานที่เหล่านั้น แม้จะเป็นพระเก่าสลักลงในหิน อายุมากตั้งพันกว่าปีกว่า ก็ไม่ได้ถือว่าศักดิ์สิทธิ์อะไร ไปไหว้ธรรมดา ผ่านมาผ่านไปก็ไปไหว้กราบสักการะบูชา
แล้วก็ไม่มีพระพุทธรูปที่เรียกว่าพระเครื่อง เหมือนกับในบ้านเรา ในประเทศทางพม่านี่ก็ไม่มีพระแบบนี้ แต่ว่าที่มีอยู่ในพม่าก็มีเขาเรียกว่าพระสีวลิก (27.16) พระสีวลิกนี่เป็นพระมหาราช มักจะมีตามบ้านตามเรือนเหมือนกัน นั่นก็เอียงไปในทางศักดิ์สิทธิ์เหมือนกัน ว่าถ้ามีพระสีวลิกอยู่ในบ้านแล้วจะเจริญด้วยลาภสักการะ ก็เป็นเรื่องขอถือวัตถุเป็นมงคลไป ไม่ได้ถือการปฏิบัติธรรมว่า จะร่ำรวยก็เพราะขยันทำงาน รู้จักเก็บหอมรอมริบ ใช้จ่ายแต่พอสมควร อาชีพที่ถูกต้องไม่ขัดกับกฎหมาย ศีลธรรม ไม่ได้คิดไปในรูปอย่างนั้น แต่คิดว่ามีพระสีวลิกอยู่กับบ้าน ก็จะเจริญด้วยลาภสักการะ โดยเฉพาะร้านค้าขาย มักจะมีรูปพระสีวลิกไว้กราบไหว้ แต่ว่าคนค้าขายบางทีก็ไม่ประพฤติธรรม แล้วก็ค้าไปอย่างนั้นเอง อย่างนี้มีบ้าง แต่ว่าที่ว่ามีเป็นพระเครื่องปลุกเสกศักดิ์สิทธิ์ไม่มีในประเทศพม่า มามีมากอยู่ในประเทศไทยเรา
ประเทศไทยเราก็ ไม่มากสมัยก่อน มากขึ้นในสมัยหลัง สมัยที่ตื่นตัวกันมาก ในเรื่องพระเครื่องนี้ก็คือสงครามอินโดจีน ในสมัยสงครามอินโดจีน เพราะสงครามอินโดจีนนี้เราต้องไปรบกับฝรั่งเศส ทางพระตะบอง เสียมราฐ แล้วก็มีสงครามต่อมา อาจารย์ทั้งหลายก็ต้องการปลุกปลอบใจทหาร เลยทำผ้ายันต์แจกบ้าง ทำพระพุทธรูปแจกบ้าง เหรียญยังไม่ค่อยมีในเวลานั้น มีแต่พระพุทธรูปทำแจกกัน ปลุกเสกกัน แล้วก็มีเสื้อ เขาเรียกว่าเสื้อยันต์ ทำด้วยผ้าสีแดง เขียนตัวอักษรเขมรเต็มไปหมด เป็นรูปต่าง ๆ ปลุกเสก ด้วยอาจารย์วัดนั้นอาจารย์วัดนี้ หลวงพ่อมีอยู่หลายองค์ ในจังหวัดใกล้เคียงกรุงเทพ หรือในกรุงเทพนี้ก็มี แล้วก็เลยเอาไปจำหน่ายจ่ายแจกกัน ขายกัน
มีเพื่อนคนหนึ่งเวลานี้ตายไปเสียแล้ว แกก็แลเห็นว่าผ้ายันต์นี้ขายดี ก็เลยจ้างเขาทำบล็อก แล้วก็จ้างโรงพิมพ์พิมพ์ พิมพ์เสร็จแล้วก็เย็บเป็นรูปเสื้อ สำหรับให้ใส่เป็นเสื้อกั๊กข้างหน้าก็มียันต์ ข้างหลังก็มียันต์ บอกว่ายิงไม่ออกอะไรอย่างนั้น แกขายเอารวยเหมือนกัน ขายเอาเป็นอะไร เป็นหมื่นตัว จะว่าพาไปขายเป็นล่ำเป็นสันเลย ขึ้นลงกรุงเทพฯ หลายเที่ยว แล้วก็เอาไปขาย ขายจนร่ำรวย ได้สตางค์เยอะ แล้วก็ศึกออกไปอยู่บ้าน แต่กลับไปอยู่บ้านก็ วันหนึ่งไปนอนบ้านพี่ชาย แล้วก็โจรมาปล้นบ้านพี่ชาย แกเลยสู้กับโจร ลืมใส่เสื้อไป เลยโจรแทงตาย (หัวเราะ) พอเขาบอกว่า คนนั้นตายแล้ว อ้าว แล้วทำไมไม่ใส่เสื้อละนี่ อาตมาก็ถามว่าแล้วทำไมไม่ใส่เสื้อ ก็เที่ยวขายเสื้อยันต์ให้เพื่อนใส่อยู่นี่ ไม่ได้ใส่เสื้อรึถึงได้ตาย เขาบอกว่าไม่ได้ใส่นะสิ นี่เรียกว่ามีของดีแต่ช่วยตัวไม่ได้ ไปสู้กับโจร แต่ก็ร่างแกล่ำสันนะ สู้กับโจรฟัดเหวี่ยงกันเลย แต่ว่าโจรมันหลายคน แกมันสองคนพี่ชายเท่านั้นเอง โจรสู้คนมากกว่า เลยมันฆ่าตายทั้งสองคนนะ ไม่ได้ใส่เสื้อทั้งสองคน เลยตายกันไป (หัวเราะ) นี่มันเป็นอย่างนี้
สมัยนั้นเสื้อยันต์มีชื่อขายกันเกร่อไปหมด ของหลวงพ่อทั้งหลายนี่ นี่เริ่มละเรียกว่าเริ่มในสมัยสงครามอินโดจีน ครั้งต่อมาก็เกิดสงครามญี่ปุ่น สงครามมหาเอเชียบูรพา คนก็ต้องการสิ่งปลอบใจ ก็เลยเกิดเครื่องรางกันเป็นการใหญ่ มีมากมายก่ายกอง ที่นั่นที่นี่ หนังสือพิมพ์ก็ประโคมเป็นข่าว ว่าคนนั้นน่ะไปในแนวรบแล้วก็ไม่ตาย ไอ้ที่ตายนะไม่เอามาพูด ความจริงตายเยอะแยะ แต่ว่าไม่พูด ถ้าเหลืออยู่สักคนนะก็วิเศษแล้วคนนั้น หรือไม่ตาย แล้วไม่ตายเพราะอะไร เพราะมีผ้ายันต์ของหลวงพ่อนั้นบ้าง มีอะไรใส่ไว้ใต้หมวก แหมยิงไม่เข้า บอกว่าอย่างนั้น ไม่เข้าเพราะว่ามียันต์อยู่ใต้หมวกอะไรต่าง ๆ นานา ก็เลยตื่นเต้นกัน คนก็ขายกัน พวกพ่อค้าในตลาดก็เลยร่ำรวยกันเพราะเรื่องนี้หลายคนเหมือนกัน เพราะว่าขายกันเป็นล่ำเป็นสัน
มีมหาองค์หนึ่ง แกก็ตายแล้วเหมือนกัน แกรวยเพราะเรื่องนี้ รวยเพราะลูกอมตะกั่วนี่ เอามาทำเป็นลูกอมบอกว่าอมแล้วเดินไม่เหนื่อย มันชุ่มคอดี แน่นอนล่ะ ลูกอมนี้มันใส่เข้าไปในปากมันก็เย็นปาก แล้วน้ำลายมันก็จะออกเป็นธรรมดา แต่ว่าถ้าไอ้วิเศษ ลูกอมจะทำให้น้ำลายชุ่มมันต้องทำด้วยมะขามเปียก ผสมเกลือนิดหน่อย ถ้าอมแล้วชุ่มคอดีเลยนี่ลูกอมชนิดนี้ แต่ว่าไอ้ลูกอมชนิดนี้นานๆมันหาย มันไม่ถาวร เลยทำเป็นตะกั่วขาย คนก็ซื้อกัน แล้วลูกอมนี้ ทำลูกอมขาย ลูกอมหลวงพ่อวัดนั้นหลวงพ่อวัดนี้ ว่าไปอย่างนั้น หลวงพ่อไม่ค่อยรู้หรอกว่าเขาทำกันอย่างไร
ก็มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งเขาอยู่วิทยุกองปราบสามยอดนี้ เขาทำพระขายเหมือนกัน ร่ำรวยเลย นั่งรถเก๋ง รถอย่างดี เขาซื้อรถอย่างดี บอกหมู่นี้นั่งรถสวยนะ เอ้า! หลวงพ่อช่วย เขาว่าอย่างนั้น ถามว่าช่วยอย่างไร หลวงพ่อช่วยอย่างไร ผมทำหลวงพ่อ ทำแล้วก็ เขามีพุทธาภิเษกวัดไหนก็เอาไปแห่กับเขาบ้าง ไม่ต้องลงทุน อย่างนี้ ไอ้ที่วัดเขาลงทุน นิมนต์หลวงพ่อมาเสก นะลงทุนนะ ลงทุนต้องค่ารถ ค่าอะไรต่ออะไร ถวายปัจจัย ลงทุนเป็นแสนนะ กว่าจะเสร็จพุทธาภิเษกนี่ เจ้าหนุ่มคนนี้มันฉลาด ไม่ต้องลงทุนอย่างนั้น พอเขามีพุทธาภิเษกก็เอาถุงมาแอบกับเขาด้วย แล้วโพนทะนาว่าได้ทำพุทธาภิเษก ที่วัดนั้นวัดนี้นะ ด้วยพระอาจารย์ร้อยแปด มีชื่อทั้งนั้นละ แหมคนส่งเงินมาทัน (33.58) ธนาณัติ ส่งตามวิทยุ เขาก็โฆษณาทุกคืนๆนะ ขายดี ขายเป็นถุงๆเลย ขายดีมาก จนร่ำรวย มีสตางค์กับเขาเยอะแยะ นี่เขาเรียกว่า หาโอกาส ไม่ใช่เศษเศรษฐีสงคราม เขาเรียกว่าเศรษฐีพระเครื่อง (หัวเราะ) เป็นเศรษฐีแบบพระเครื่อง เขาก็ร่ำรวยได้เหมือนกัน คนก็เอาไปใช้กัน ก็เลยแพร่หลายขึ้น จนกระทั่งเดี๋ยวนี้นะ พวกสิ่งเหล่านี้วัตถุมงคลเหล่านี้แพร่หลายมาก กว้างขวาง ทั่ว ๆ ไป คนชอบมีชอบใช้กันมีอยู่มากมายทุกหนทุกแห่ง
สมัยก่อนนี้ทางภาคเหนือของประเทศไทย โดยเฉพาะเชียงใหม่ ลำปาง ลำพูนนี่ผู้คนไม่ค่อยสนใจ คนเมืองเหนือนี่สนใจในเรื่องวัตถุมงคลอย่างนี้น้อย พื้นฐานเขาดีเหมือนกันคือสนใจในธรรมะมาก สวดมนต์ ไหว้พระ นั่งภาวนา สนใจในเรื่องอย่างนั้น พระองค์ไหนปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเขาก็เลื่อมใสศรัทธา เพราะเขารู้ว่าอะไรดีอะไรถูก พระเครื่องอย่างนี้ไม่ค่อยก้าวหน้าเท่าใด เมื่ออาตมาไปอยู่เชียงใหม่นี่จะสร้างพุทธสถาน ก็มีกรรมการหาทุนกัน อันนี้มีกรรมการที่เป็นข้าราชการตำรวจบ้าง อะไรบ้าง นี่ เขาไปจากกรุงเทพฯ เขาเห็นว่าทางกรุงเทพฯ นี่เขาทำพระเครื่องขายกันได้เงินมาก ๆ ก็มาเสนอว่าจะทำพระเครื่องขาย อาตมาบอกว่าทำก็ทำได้แต่อย่ามาเอาอาตมาเข้าไปเกี่ยวข้อง อาตมามันแอนตี้เรื่องนี้อยู่ แล้วจะไปทำได้อย่างไร สอนไม่ให้คนนับถือสิ่งเหล่านี้ในรูปอย่างนั้น จะทำด้วยไม่ได้ บอกครับแต่พระไม่ต้องยุ่ง พวกผมทำกันเอง
แล้วเขาก็เชิญ เดี๋ยวนี้เขาเรียกว่าหลวงสุวิชาญบ้าง พลโทประชา บูรณธนิตอะไรนี่ ให้ช่วยนิมนต์หลวงพ่อให้ บอกคุณเนื่อง (36.01) บุตรตายแล้วนะ เมื่อวานนี้ ยังอยู่บ้าน อยากให้นิมนต์พระ หลวงพ่อไปกันเยอะเลย หลวงพ่อ อาตมาก็แอบไปดูเขานิดหน่อยกลางคืนว่าเขาทำกันอย่างไร เขาปลุกเสกกัน เอาพระมากองกันเลย พระรอด ทำพระรอด แล้วก็จำหน่ายจ่ายแจก ปรากฎว่าจำหน่ายไม่ออกในสมัยนั้น เพราะว่าคนที่เป็นประธานในสมัยนั้น ชื่อคุณเผ่า ศรียานนท์หรืออย่างไร เป็นประธานทำพระเครื่องนี้ คนไม่ค่อยเลื่อมใสนัก ไม่ค่อยเลื่อมใสคนที่เป็นประธานด้วย เลยขายไม่ค่อยออก ยังเหลือกองเลย พระชุดนี้เหลือขายไม่ออก แล้วต่อมาก็มีการฉลอง ๒๕๐๐ เพราะรัฐบาลทำพระเครื่อง ๒๕๐๐ พระยืนองค์เล็ก ๆ ขนาดนี้ ญาติโยมเคยเห็น ส่งไปเชียงใหม่นี่มากมาย หลายหีบเลยหลายสิบหีบนะกองท่วมหัว ฉลองกันอยู่ ๗ วัน ขายพระได้ ๕๐ องค์เท่านั้นเอง
นี่แสดงว่าคนไม่ค่อยนิยม ชาวเชียงใหม่เขาเฉย ๆ เขาไม่ค่อยสนใจ เขาสนใจในธรรมะมากกว่าเลยขายไม่ออก ก็เลยส่งคืนมารัฐบาล ก็เอาเก็บไว้วัดสุทัศน์ กองอยู่ในโบสถ์นะ โบสถ์ทรุดเลยทีเดียว ทรุดเพราะหนักพระเนี่ยไม่ใช่เรื่องอะไร เจ้าอาวาสบอกไม่ไหวแล้ว โบสถ์อาตมาทรุดแล้วนะ เอาพระไปไว้คือพระทำด้วยโลหะนี่ กองมาก ๆ เกือบมากมายสูงตั้ง ๓-๔ เมตรนี่อยู่ในโบสถ์ทรุดแล้วนะ ต้องจัดการเสียทีแล้ว อ้าว! ไม่รู้จะทำอย่างไรทีนี้ ต้องเอาไปตามอำเภอ ไว้ตามอำเภอ ทีนี้นายอำเภอก็ เอ้า! ใครมาตีทะเบียนปืนก็ซื้อพระไปองค์หนึ่ง เห็นไหม เสียภาษีอากรเอาไปองค์หนึ่ง คนหนึ่งบางทีมีตั้ง ๑๐ องค์นะ ไปอำเภอ ๑๐ ครั้งต้องให้ได้ ๑๐ องค์นะ เรียกว่าขายกันไปในรูปอย่างนั้น ก็ได้เงินกันมา พระก็ยังไม่หมด ยังเหลือเยอะแยะ
ต่อมาหาวิธีใหม่ เรียกว่าให้ประชาชนทำพิธีบรรจุ บรรจุพระ บรรจุในเจดีย์นครปฐม แต่ว่าพระจะบรรจุนี่ต้องซื้อเหมือนกันนะ คล้ายๆกับเราไปซื้อดอกไม้ถวายพระไง ใครจะบรรจุกี่องค์ล่ะ คนบางคนก็จะบรรจุ ๑๐ องค์ เอ้า! ขายไป ๑๐ องค์คนนั้นเอาไปบรรจุ ทำอย่างนี้ก็ยังไม่หมด มันมากเหลือเกิน ยังมากมาย ต่อมาก็นึกว่า เอ! จะทำอย่างไรดี ก็มอบให้สมาคม มูลนิธิภูมิพโลภิกขุ อยู่วัดสระเกศ ให้ช่วยกันอีก เอ้า! ภูมิพโลภิกขุโฆษณาใหม่ โฆษณาใหม่ ทำพิธีใหม่ ทำสนามหลวงเลย แล้วก็โฆษณาที่สนามหลวง จำหน่ายกันไปจำหน่ายกันมา ก็ไม่ได้เท่าใด เลยปลัด (39.01) ก็นึกว่า เอ!..เงินที่ได้นี้เอาไปไหน ทำหนังสือประท้วงไปสมเด็จพระสังฆราช ว่าเงินเอาไปไหน มันไม่ใช่เรื่อง สังฆราชท่านไม่รู้ ทางมูลนิธิเขารู้เรื่องกัน เงินเอาไปสร้างนั้นนะ เรียกว่าขายเหล่านี้เอาไปสร้าง เขาเรียกว่าพุทธบุรีมณฑล ที่ศาลายาอะไรนั่น ก็ยังไม่พอ ขายกันไปยังไม่หมด ยังอยู่ ยังไม่รู้ว่าจะขายเมื่อใดอีกล่ะเนี่ย อย่างนี้ไม่แพร่หลาย แต่ว่าบางแห่งทำแล้วขายดิบขายดี
เมื่อวานนี้ไปเผาศพ ที่วัดวรจรรยาวาส พระท่านคุยให้ฟังบอก สมภารวัดนี้แกก็ตาดีเข้าให้ (39.43) ทำพระขายคล่องเลย ทำพระแต่ไม่ใช่พระเครื่อง พระบูชา เชียงแสนบ้าง สุโขทัยบ้าง พวกอยุธยาบ้าง หล่อขาย บอกขายดีขายเป็นแสนองค์เลย องค์ละเท่าไร องค์ละ ๓๐๐ บาทบ้าง ๕๐๐ บาทบ้าง โอย! ซื้อวัดนี้หมดเลย ถ้าขายได้มากอย่างนั้นไอ้เรือนไม้เก่า ๆ รื้อให้หมด สร้างเป็นตึกให้หมดเลย ได้เงินมากว่าอย่างนั้น คนชอบเหมือนกัน คนไปเอากันเยอะแยะ อย่างนี้ขายคล่องบางแห่ง มันอยู่ที่ความนิยมชมชอบ คนเรานิยมนับถือก็ขายดีไง
คนเคยถามอาตมาเหมือนกันว่าหลวงพ่อนี่ ไม่ทำเหรียญขายบ้างหรือ บอกว่าเหรียญฉัน ฉันทำก็ขายไม่ออกหรอก ไม่มีใครเอา เพราะว่าเสกไม่เป็นนี่นะ ไม่รู้ว่าจะเสกอย่างไร (40.34) เหรียญหรอ อย่าทำเลย ขายไม่ออก เขาต้องการให้มีเหรียญบ้างทำไปขาย เอ้า! ขายก็ไม่ไหว แต่ว่าบางองค์ก็ทำขายออก ที่ขายดีนี่ไม่ใช่เรื่องอะไร การโฆษณาดี คนที่ทำนั่นแหละเขาโฆษณาดี ก็ลองศึกษาดูเหมือนกันว่า ที่วัดเมื่อวานนี้ ว่าทำอย่างไร ทางวัดไม่ต้องลงทุนอะไร วัดเอาแต่เครดิตให้เขาเท่านั้นเอง พระยี่ห้อให้เท่านั้นเอง แล้วบริษัทเขาจัดเสร็จ เขาหล่อเสร็จ เขามาให้ แล้วก็เงินค่าหล่อเท่าใดเขาหักไป เหลือนั้นเป็นกำไรของวัด วัดก็ไม่ได้เท่าใดหรอก สมมุติว่าขาย ๓๐๐ นี่ วัดจะได้สัก ๕๐ บาท นอกนั้นก็ค่าทองเหลือง ค่าบริการนู่นนี่ อะไรต่อไรก็ว่ากันไปตามเรื่อง
พ่อค้านี้ฉลาดหากิน คือว่าเข้าไปเกาะพระ เหมือนกับแมวพึ่งพระอย่างนั้นล่ะ เข้าไปเกาะๆไว้ เกาะหลวงพ่อ ศักดิ์สิทธิ์วัดนั้นวัดนี้ก็เข้าไปเกาะไว้ แล้วก็ลงมือโฆษณาเอง ลงหนังสือพิมพ์ เป็นข่าวโฆษณา พิมพ์เป็นใบปลิวแจกจ่าย ไปกันแพร่หลาย ไปในที่ทั่วๆไป เหมือนทางปักษ์ใต้ที่เรียกว่าหลวงพ่อทวดเนี่ย เขาเรียกว่าหลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืด คือว่าไอ้ทะเลตรงที่วัดป่าพะโคะอยู่ด้านตะวันตกนี้มันจืด น้ำที่นั่นนะ แม่น้ำมันไม่เค็มหรอกที่นั่นกินได้ ถ้าไม่มีน้ำจะกิน กินได้ น้ำทะเลสาบพัทลุงนี้กินได้ เคยล่องเรือไปในทะเลสาบตักมากินได้ มันกร่อยๆนิดหน่อย แต่ว่าพอกินได้ หุงข้าวก็ได้ เลยเขาโฆษณาว่า หลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืด ทะเลมันจืดอยู่แล้ว ไม่ใช่ว่าจืดเพราะไปเหยียบ ก็ไม่ใช่อย่างนั้น แต่คนก็เชื่อว่าหลวงพ่อทวดนี้เก่ง เหยียบน้ำทะเลจืดได้
ทำไมถึงได้มีหลวงพ่อทวดขึ้น คือวัดช้างให้นี่ชำรุดทรุดโทรมมากเต็มที แล้วก็มีพระองค์หนึ่งแกไปอยู่ ไปอยู่แกก็ฝันไป แต่แกฝันว่ามีหลวงพ่อทวดนี่มาแสดงตัวว่าอย่างนั้น จริงหรือไม่ก็ไม่รู้ แกบอกว่าอย่างนั้นนะ แกฝันไปว่าหลวงพ่อทวดมาแสดงตัว แสดงตัวแล้วบอกว่าให้บูรณะวัดนี้ให้เจริญงอกงาม แกก็ในฝันบอกว่า ไม่มีเงินมีทองจะบูรณะไม่รู้จะทำอย่างไร หลวงพ่อก็บอกว่า เฮ้ย! ทำรูปฉันสิ เอารูปฉันไป แล้วก็ชาวบ้านจะได้ซื้อไป ได้เงินได้ทอง แกก็ถามว่าแล้วรูปทำอย่างไร แสดงตัวให้เห็นว่าให้ทำอย่างนั้น แล้วแกก็ทำขึ้น ครั้งแรกนี่ทำไม่มากหรอก ทำประมาณสัก ๒๐๐-๓๐๐ องค์ ทำด้วยว่าน ขึ้นไปบนภูเขาทรายขาว อยู่บนยอดภูเขา สรรพว่านยาทั้งหลายที่มีบนภูเขานั้นเก็บมาหมดเลย เอามาผึ่งแดดให้แห้ง ตำผง แล้วก็ทำเป็นรูปหลวงพ่อทวดนี้ พอทำแล้วก็จำหน่ายออกไป คนก็มาเอาไป (43.43)
แต่ว่ามีคน ๆ หนึ่ง แกเป็นนักฉายหนังรีด (43.48) เป็นเจ้าของโรงหนังด้วย แกฉายรีดด้วย ฟังแกพูดแล้วต้องซื้อแน่ เพระว่าแกพูดเหลือเกิน อาตมานั่งฟังก็นึกชมชอบอยู่เหมือนกันละ แหมมันก็เข้าใจโฆษณา แกนั่งร้านกาแฟไหน นั่งตลาดไหน แกโฆษณา ไปฉายหนังก็โฆษณา เรื่องหลวงพ่อทวดศักดิ์สิทธิ์อย่างไร ศักดิ์สิทธิ์หนักหนา บอกว่าแหมเอารูปหลวงพ่อทวดนี่ไปวางอยู่บนรางรถไฟ รถไฟกำลังวิ่งมา หยุดกึ๊กเลย หยุดกึ๊กเลย เพราะว่าฤทธิ์หลวงพ่อทวดทำให้รถหยุดเลย พอรถหยุดแล้วพวกนั้นลงมาดู แหมไม่เห็นมีอะไรนี่ ดูไปดูมา เจอรูปหลวงพ่อทวด โอ้ อันนี้เองสินะ เลยยกกันไปกราบไหว้บูชา รถติดดีแล้ว วิ่งไปได้ต่อไป
โฆษณาอย่างนี้ แล้วก็อะไรต่ออะไรเยอะแยะ คนฟังแล้วก็เชื่อ เลยเห็นว่าคนนิยมแล้ว เอ้า! ไม่ได้ ต้องทำใหม่ ทีนี้ทำมากเลย ทำเป็นพันๆเลย ครั้งที่ ๒ ก็ยังไม่มากเท่าใด ครั้งที่ ๓ ที่ ๔ ทำใหญ่เลย หล่อทองเหลืองเลยทีนี้ ทำเป็นรูปทองเหลือง ทำเป็นเหรียญ โฆษณาทั่วประเทศไทย เวลาทำพิธีเสร็จนี่ คน หูย! ไปกัน มืดฟ้ามัวดินเลยนะ ไปกันใหญ่โตมากมาย ขายดี ได้เงินเป็นล้านนะ เวลาท่านสมภารสิ้นบุญนี่ มีเงินอยู่ในธนาคาร ๓ ล้านนะ แล้วก็มีเงินอยู่ในห้องนะ อีกคนเอามาให้แล้ว หล่นติ๊งๆๆ เลยนะ หล่นนับกันอยู่ ๓ วันนะ โพนทะนาไปนับธนบัตรนี่ นับกันอยู่ ๓ วัน ทั้งหมดล้านกว่า เงินเหล่านั้น ในตู้ในอะไรมากมายก่ายกอง ได้ประโยชน์ แล้วก็เอามาสร้างวัตถุต่อไป ก็สร้างไปอย่างนั้น เพราะว่าตรงนั้นมันไม่มีคนไทยกี่คน อิสลามทั้งนั้น แต่ก็สร้างไว้ เดี๋ยวนี้คนก็ยังไปไหว้ไปหาอยู่ ยังไปซื้อวัตถุนี้อยู่ นี่เรื่องความศักดิ์สิทธิ์มันเกิด เพราะการโฆษณา ไม่ใช่เรื่องอะไร แล้วก็เกิดหลวงพ่อทวดขึ้น วัดอื่นเอาตามอีก มีหลวงพ่ออีกองค์เกิดขึ้นอีก ที่ลำพญามีหลวงพ่ออยู่ เขาเรียกว่าหลวงพ่อกร่าง อยากรู้ว่าที่นั่นมันมีเนินดินอยู่ คนก็ไปไหว้ไปบูชาอยู่ มันเป็นป่าช้าเก่า คนก็ไปไหว้ ๆ
ทีนี้ท่านเจ้าคุณที่อยู่วัดลำพญาที่เขามีหัวเหมือนกันนี่ แกฝันอีกแล้ว (หัวเราะ) แกฝัน บอกว่าแหมหลวงพ่อมาบอกว่า แหม! ข้านี่จมดินมาตั้งร้อยๆปีแล้ว ช่วยขุดข้าขึ้นมาเสียทีเถอะ ว่างั้นพอขุดไปหน่อยนึง เฮ้ย! ไปบอกท่านพิมพ์มา ท่านพิมพ์วัดช้างให้มา ท่านพิมพ์นะเขาลูกศิษย์หลวงพ่อทวด ฉันกับหลวงพ่อทวดนี่มันพวกเดียวกัน พอท่านพิมพ์มาก็เลยไปขุดที่เนินดินนั้นละ ขุดเนินดินก็ไปเจอกระดูก หม้อกระดูก คนโบราณเขาเผาเสร็จแล้วก็ใส่หม้อฝังดินไว้ ก็เจอหม้อกระดูก ก็นึกว่า อ้อ! นี่แหละกระดูกหลวงพ่อนั้นละ หลวงพ่อกร่างละ แล้วก็ใต้หม้อนั้นมันมีดินสีดำ ๆ คือเถ้าถ่านที่เขาเผาศพนี้ สมัยก่อนไม้ฟืนมันมาก เผาเป็นขี้เถ้าเอาไปฝังไว้ เลยเอาโกยขี้เถ้านั้นทั้งหมดเอามา แล้วเอามาทำรูปพระหลวงพ่อนี่เอง ทำแล้วขายดีเหมือนกัน คนก็ไปซื้อไปหากัน ได้เงินสร้างกุฏิสวยงามเรียบร้อยไปหลังหนึ่ง แล้วยังสร้างศาลาได้สำเร็จด้วยหลวงพ่อกร่างนี้ มันก็น่าดูอยู่เหมือนกันนะ คนมันเชื่ออย่างนั้น ก็เลยไปเอามาใช้กัน มานับถือกันทั่ว ๆ ไป นี่ปักษ์ใต้ มีหลายองค์ แล้วก็ยังมีวัดอื่นอีก เกิดหลวงพ่อนั่นหลวงพ่อนี่มากมาย
หลวงพ่อบางองค์ก็แหม เข้าสิงสามเณร สามเณรเทศน์ แต่ว่าเทศน์แล้วมีแต่เรื่องด่าทั้งนั้น ด่าคนนั้น ด่าคนนี้ แล้วพอเทศน์จะจบนี่ต้องกินน้ำตาลเมาขันใหญ่ บอกว่าหลวงพ่อองค์นั้น สมัยเมื่อยังมีชีวิตชอบน้ำตาลเมา เพราะงั้นพอเทศน์ไปแล้ว เอาน้ำตาลเมามากินสักขัน กูเหนื่อยเต็มทีแล้วบอกอย่างนั้น เอ้า! ชาวบ้านเอาน้ำตาลเมามาถวายอีก ก็เป็นหลวงพ่อไปได้ คนก็นับถือไปได้ นี่มันเป็นอย่างนี้ คือว่าฐานความเชื่อที่ผิดนั้น มีอยู่ในใจมานาน เพราะงั้นใครจะจูงไปทางไหนได้ทั้งนั้น ศักดิ์สิทธิ์อะไรก็ได้ ไอ้นู่นก็ได้ กลายเป็นเรื่องขลังไปหมดในประเทศไทยเราเวลานี้ เป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์ไปหมด นี่ ไม่ใช่เรื่องของธรรมะ ไม่ใช่เรื่องของพระพุทธศาสนา ถ้าเรานับถือพระพุทธศาสนาให้ถูกต้องแล้ว เราไม่ได้สนใจเรื่องความขลังในเรื่องความศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้น
แล้วก็ไม่ต้องไป เช่นสำนักต่าง ๆ นี่ ทรงเจ้าเข้าผี สำนักนั่นสำนักนี่ เราอย่าสนใจเลย อย่าไป ไปแล้วยิ่งโง่หนักเข้าไปทุกวันนะ ถ้าไปตามสำนักนั้น จูงไปในทางอะไรต่ออะไร แล้วถ้าสนใจมาก ๆ จะเป็นโรคประสาท ถ้าเราว่า ไปเชื่อเจ้ามากเข้านี่จะเป็นโรคประสาท ทำไมจะไม่เป็น ก็ผีมันเข้านะสิ เชื่อแต่ผีนี่ ทีนี้ไปเป็นลูกศิษย์ผี ก็ผีเข้าเลยเป็นโรคประสาทไปเลย เพราะเชื่อผิดนั่นเอง ลูกหลานลูกเล็กเด็กน้อยของเรานี่ ให้มันเชื่อถูก ๆ ไว้ อย่าให้ไปหลงใหลกับสิ่งเหลวไหลอย่างนั้น เราสอนธรรมะให้เขาเข้าใจ แต่เบื้องต้น สร้างฐานให้ถูกแล้วก็ต้นมันก็จะถูกดี ถ้าเราสร้างฐานผิดเกิดปัญหา
มีเยอะนะคนที่เป็นโรคประสาทเพราะเรื่องความเชื่อเหลวไหลนี่ เช่นว่ามีพระพุทธรูปอยู่ในบ้าน วางไว้บนหิ้ง นาน ๆ หิ้งเก่า พอหิ้งเก่ามันก็เอียงไป อะไรไป พอเห็นหิ้งแล้วก็แล้วกัน พระเอียงแล้ว ครอบครัวเราจะแย่แล้ว เลยกลัวเป็นโรคประสาทไปเลย มีอยู่ครอบครัวหนึ่ง เหมือนกับเอาโรงพยาบาลประสาทไปไว้ในบ้านอย่างนั้น พ่อบ้านก็เป็นโรคประสาท แม่บ้านก็เป็นโรคประสาท ทีนี้คนที่ไม่เป็นบอกว่ามันทำไมจะไม่เป็น มันเชื่อสิ่งเหลวไหลทั้งบ้านเลย อะไร ๆ ก็เลอะเทอะไปหมด ไม่มีการธรรมะเลย เชื่อแต่เรื่องเหลวไหล ไหว้แต่เรื่องเหลวไหลทั้งนั้น เลยเป็นโรคประสาท มีอันตรายเหมือนกัน ความเชื่อผิดนี้ทำให้เป็นมูลฐานแห่งโรคภัยไข้เจ็บ (50.24)
ลองศึกษาสิพวกเป็นโรคประสาทนี่มักจะมีความเชื่อเหลวไหลบางสิ่งบางอย่างอยู่ในจิตใจ เชื่อผีบ้าง เชื่อเทวดาบ้าง เชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์บ้าง แม้จะเชื่อพระก็เชื่อไปในเรื่องขลัง ๆ ในเรื่องศักดิ์สิทธิ์ มีฤทธิ์มีเดชอะไรไปต่างๆนานา แล้วผลที่สุดก็โรคประสาทกิน เพราะไม่มีปัญญา ไม่ใช้สติรู้จักคุ้มครองจิตใจ ปัญหามันก็เกิดมากขึ้น อันนี้ละก็เป็นเรื่องสำคัญอยู่ จึงอยากจะพูดให้ญาติโยมเข้าใจว่า อย่าไปเที่ยวหลงใหลในสิ่งเหล่านั้น ถ้าเราจะมีก็มีไว้เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจ ให้เราได้ประพฤติธรรมเท่านั้น แต่อย่าไปเที่ยวว่าสิ่งเหล่านั้นจะมีฤทธิ์มีเดช จะทำให้เราเป็นอย่างนั้น จะทำให้เราเป็นอย่างนี้ ถ้าเชื่อไปในรูปนั้นแล้วก็เรียกว่าคือเตรียมตัวไปปักคลองสาน (51.19) ได้ มันไม่ใช่เรื่องอย่างนั้น เป็นกันเยอะนะ เป็นกันบ่อยๆ เด็ก ๆ ก็เป็นกันบ่อย ๆ
เมื่อเช้านี้ก็มาคนหนึ่งก็พึ่งไปอย่างนั้น เชื่ออะไรก็ไม่รู้ แขวนพระ แล้วก็ตัวอยู่กับพระ เชื่ออย่างนั้น เลยกลายเป็นของขลังไป เลยเชื่อไปในรูปอย่างนั้น ถ้าเราจะให้เด็กห้อยพระสักองค์หนึ่งก็สอนให้เขาเข้าใจ ว่านี่ที่ให้ห้อยพระไว้นี่ ไม่ใช่เรื่องอะไรลูกนะ เพื่อให้ได้นึกถึงพระบ่อย ๆ จะได้เป็นคนไม่ขี้เกียจ ไม่เหลวไหล ไม่พระพฤติชั่ว ไม่ดื้อ ไม่ดุ ไม่ดัน คนมีพระต้องเป็นคนอ่อนโยน ต้องเชื่อฟังพ่อแม่ ต้องเคารพครูบาอาจารย์ ต้องขยันเรียนหนังสือ เรียกว่าเป็นคนดี อย่าไปเที่ยวว่านี่ของหลวงปู่นั้นนะ มีไว้จะป้องกันภัยอันตราย จ้างศาลผิด (52.12) ให้เด็กแล้ว ทีนี้เด็กมันก็เชื่อผิดไป โตขึ้นก็ผิดไปเรื่อย ผิดเรื่อยไปจนกระทั่ง แก่เฒ่า ชรา เลยเลอะเทอะไปเรื่อยไป ความเชื่อเหลวไหล ในบางครอบครัวเชื่ออย่างนั้น เชื่อหมอดูบ้างอะไรบ้าง จะเป็นก็เรียกว่าเป็นโรคหมอดูขึ้นสมองก็มี เลยทำอะไรก็ต้องดูหมอก่อน ดูหมอก่อน เลยไม่ต้องทำอะไร ถ้าหมอบอกเดือนนี้ทั้งเดือนดวงไม่ดีเลย นั่งงอมืองอตีน (52.37) ไม่ทำอะไรแล้ว ดวงไม่ดีไม่ต้องทำอะไรละ รอให้ดวงดีก่อนถึงจะทำ แล้วมันจะไปรอดได้อย่างไร
ก็พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้เราเชื่ออย่างนั้น ให้เชื่อว่า ดีอยู่ที่เราทำ ชั่วอยู่ที่เราทำ ดีอยู่ที่เราคิด ชั่วอยู่ที่เราคิด อะไร ๆ เกิดขึ้นเพราะตัวเราเอง ไม่ใช่เพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยให้ เหมือนกับรถยนต์ ไม่ใช่ว่าพอมีเจิมแล้วมันจะไม่ตกคูเมื่อไร เขาเจิมไว้เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจ โยงเป็นรูปจุด จุด จุด เป็นหุ่นไง หุ่นพระพุทธรูป ให้คนขับได้ดูว่านี่พระนะ พระท่านว่าอย่าประมาทนะ อย่าผิดอย่าฝืนกฎจราจรนะ ขับให้เรียบร้อยนะ อย่างนั้นมันก็ช่วยได้นะ แต่ถ้านึกว่า อื้ม! ไม่เป็นไร เพราะหลวงพ่อนั้นเจิมแล้วปลอดภัยแล้ว ประเดี๋ยวก็ลงไปนอนแช่น้ำก็เท่านั้นเอง
ถ้าเชื่อผิดนี่มันก็เดือดร้อนนะ เราน่ะต้องเชื่อให้ถูกทางให้ตรงตามหลักของพระพุทธเจ้า อันนี้เป็นเรื่องที่น่าคิด จึงนำมาพูดให้ญาติโยมทั้งหลาย ให้เข้าใจ จะได้แก้ไขสิ่งเหล่านี้ ยิ่งเราเกี่ยวข้องกับคนมาก ๆ ต้องพยายามจูงให้เข้าในทางถูกทางชอบ ชีวิตจึงจะเรียบร้อย ผู้ใหญ่ก็จะเรียบร้อย ดังที่กล่าวมาก็พอสมควรแก่เวลา ต่อจากนี้ไปก็ ขอเชิญญาติโยมนั่งสงบใจ ๕ นาที.