แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
พุทธบริษัททั้งหลาย ณ บัดนี้ ถึงเวลาของการฟังปาถกฐาธรรมะแล้ว ขอให้ทุกท่านอยู่ในอาการสงบ อย่ามัวเดินไปเดินมา หาที่นั่ง ณ ตรงใดตรงหนึ่ง ซึ่งสามารถจะได้ยินเสียงจากเครื่องขยายเสียงชัดเจน แล้วจงตั้งใจฟังด้วยดี เพื่อให้ได้ประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการฟังตามสมควรแก่เวลา
วันนี้เป็นวันอาทิตย์แรกของเดือนตุลาคม เดือนตุลาคมนี่เป็นเดือนที่สำคัญอยู่เหมือนกัน เพราะว่าสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ประสูติวันที่ ๓ เดือนตุลาคม ที่จังหวัดกาญจนบุรี แล้วก็มีคนสำคัญของประเทศอินเดีย คือ ท่านมหาตมะคานธี เกิดวันที่ ๒ ตุลาคม เมื่อ ๑๒๘ ปีมาแล้ว ท่านได้ถึงแก่กรรมไปแล้ว แต่ว่าชาวโลกยังไม่ลืมความงามความดีของท่าน
ท่านมีอนุสาวรีย์ในประเทศอินเดียเกือบทุกแห่ง มีอนุสาวรีย์ที่กรุงลอนดอน มีอนุสาวรีย์ที่กรุงนิวยอร์ก ซึ่งเป็นเมืองสำคัญของอเมริกา อนุสาวรีย์ก็ไม่หรูหรา แต่งตัวนุ่งผ้าผืนเดียว ไม่มีเสื้อสวม ไม่มีสมบัติพัสถานอะไร เป็นสัญลักษณ์แห่งความเสียสละของท่าน ชาวอินเดียยกย่องท่านมหาตมะคานธีว่าเป็น “พ่อของชาติ” ฝรั่งเขาเรียกว่า “the father of the nation” แล้วก็ปั้นรูปหล่อ ยืนอยู่หน้าทำเนียบรัฐบาลที่กรุงเดลี ไอ้ที่ตรงนั้นเมื่อสมัยก่อนนี้เป็นรูปของท่านลอร์ดผู้หนึ่ง เป็นผู้สร้างกรุงเดลี แล้วก็เอารูปมาวางไว้ตรงนั้น เมื่อได้รับอิสรภาพ เขาเก็บรูปนั้นไปไว้ที่พิพิธภัณฑ์ แล้วเอารูปท่านมหาตมะคานธีมายืนไว้แทน ประชาชนชาวอินเดียเดินผ่านรูปนั้นต้องหยุดแสดงความเคารพ
ที่เผาศพท่านคานธี ต้องเรียกว่า Gandhi Ghat เป็นสถานที่สำคัญ เป็นปูชนียสถานที่คนไปกราบไปไหว้ คุณแม่อุ้มลูกไป แล้วก็เอาลูกวางบนที่เขาทำไว้คล้ายกับเป็นแท่นหินสีดำ แล้วก็กราบไหว้อธิษฐานใจ ขอให้ลูกของข้าพเจ้าจงมีความดีเหมือนท่านมหาตมะ นักท่องเที่ยวทั้งหลายถ้าไปกรุงเดลีก็ต้องไปชมสถานที่นั้น เขาจัดเป็นสวนสาธารณะ แล้วก็มีหนังสือเกี่ยวกับท่านคานธีจำหน่ายหลายภาษา ให้คนได้ซื้อไปอ่านไปศึกษา จึงเป็นที่สำคัญ
ทำไมท่านมหาตมะคานธีจึงเป็นปูชนียบุคคลของประเทศอินเดีย และเป็นที่ยอมรับของชาวโลกทั้งหลายทั่วไป เพราะว่าท่านเป็นคนดี เป็นนักการเมืองชั้นดีของโลก เป็นนักการเมืองที่ไม่ต้องการอำนาจ ไม่ต้องการอะไร นอกจากจะเสียสละประโยชน์ความสุขส่วนตัว เพื่อประโยชน์เพื่อความสุขแก่ส่วนรวมตลอดเวลา
ท่านเป็นผู้เกิดที่แคว้นคุชราต อยู่ใกล้กับบอมเบย์ อยู่ทางตะวันตกของประเทศอินเดีย ท่านเกิดในครอบครัวที่มีศีลมีธรรมประจำใจ ตั้งแต่คุณปู่คุณชวดของท่าน เป็นผู้ที่อยู่ในศีลในธรรม ประพฤติดีประพฤติชอบอยู่ตลอดเวลา คุณพ่อของท่านเป็นผู้พิพากษาในรัฐนั้น แล้วก็เป็นคนที่คนไว้เนื้อเชื่อใจ เป็นที่รักที่เคารพของประชาชน
คุณแม่ของท่านเป็นคนเคร่งศาสนา ถ้าเป็นวันพระ วันสำคัญทางศาสนา ท่านไม่รับประทานอาหาร ถือศีลอุโบสถเหมือนกับพวกเรา เราถือศีลอุโบสถรับประทาน ๒ มื้อ แต่ว่าคุณแม่ท่านคานธีนั้นไม่รับอาหารเลย คล้ายกับฤดูกินเจบ้านเรา เรากินเจ แต่คุณแม่ท่านมหาตมะคานธีไม่รับอาหาร แล้วถ้าเป็นฤดูฝน ดวงอาทิตย์ไม่ส่องแสงลงมาสู่โลก ก็อยู่ในหมู่เมฆ ท่านจะไม่กินอาหารเลย ลูกๆ ก็คอยจ้องดูว่าพระอาทิตย์โผล่มาเยี่ยมโลกเมื่อไร ก็รีบไปบอกคุณแม่ว่า “คุณแม่ครับ เวลานี้พระอาทิตย์ส่องแสงมาสู่โลกแล้ว คุณแม่ไปดูเถอะจะได้รับประทานอาหาร” ท่านก็เดินมา พอดีมาถึงดวงอาทิตย์เข้าหมู่เมฆไปเสียแล้ว ท่านก็ไม่ว่าอะไร แต่ท่านพูดว่า “พระเจ้ายังไม่ต้องการให้แม่รับประทาน แม่ก็ไม่เป็นไร ทำงานอื่นต่อไป”
นี่ครอบครัวท่านเป็นอย่างนั้น คือเป็นครอบครัวสัมมาทิฐิ มีธรรมะเป็นหลักครองใจอยู่ตลอดเวลา ไม่ทำสิ่งชั่วร้าย มีความละอายบาป กลัวบาปอย่างยิ่ง สิ่งเหล่านี้ได้ถ่ายทอดมาสู่เด็กน้อยคานธี ท่านเกิดมาในครอบครัวที่มีศีลมีธรรม ได้เป็นตัวอย่างเป็นแบบสาธิตให้เห็นอยู่ทุกวันๆ จิตใจของท่านก็โน้มเอียงไปในทางที่เป็นคนดี มีศีลธรรมประจำใจ ท่านได้รับการศึกษาตามสมควรแก่ฐานะ แล้วก็เรียนต่อไปจนถึงโรงเรียนมัธยม
เวลาเรียนหนังสืออยู่ชั้นมัธยมนี่ เพื่อนฝูงหลายคนด้วยกันคุยบอกว่า “คนอังกฤษนี่เขาปกครองคนเกือบทั่วโลก ทำไมเขาจึงเก่ง เพราะว่าเขากินเนื้อสัตว์ ร่างกายเขาแข็งแรง สมองเขาดี แล้วเขาดื่มเหล้าด้วย เขาจึงปกครองประเทศอินเดียซึ่งเล็กกว่าอังกฤษตั้งหลายเท่าได้ พวกเราคนอินเดียนี่มัวแต่กินผัก เหมือนวัวเหมือนควาย ร่างกายก็ไม่ค่อยแข็งแรง” พูดอย่างนั้น พูดบ่อยๆ ท่านคานธีก็คล้อยตามไป นัดกันไปกินเนื้อแพะที่ในป่าริมห้วย แล้วก็ดื่มเหล้าด้วย ในขณะที่กินเนื้อแพะดื่มเหล้านี่ ท่านคานธีก็นึกในใจว่า “เฮ้ย ทำไมต้องมาซ่อนกิน ของดีมันต้องเปิดเผย ถ้าของไม่ดีต้องแอบต้องซ่อน การทำอะไรแอบๆ ซ่อนๆ นี่คงจะไม่เป็นการถูกต้อง” เลยกินเข้าไปชิ้นหนึ่ง ดื่มสุราเข้าไปนิดหนึ่ง กลับมาถึงบ้านนอนไม่หลับทั้งคืน เป็นทุกข์ เป็นทุกข์ว่าเราทำผิดจริยธรรมของอินเดีย เพราะไปกินเนื้อกินเหล้า
เมื่อนอนไม่หลับก็ไปหาคุณพ่อ คืนนั้นคุณพ่อกำลังนอนไม่ค่อยสบาย ไปถึงก็กราบแทบเท้า คุณพ่อถามว่า “มีอะไรลูก” แกก็บอกว่า “ลูกได้กระทำความผิดอย่างหนึ่งในวันนี้” เลยเล่าเรื่องให้พ่อฟัง พ่อดีใจจนน้ำตาไหล น้ำตาไหลเพราะปลื้มใจว่าลูกเป็นคนมีความซื่อสัตย์ ไม่ปิดบังความผิดของตัว ไอ้เรื่องไม่ปิดบังความผิดนี่มันเป็นเรื่องใหญ่ เป็นเรื่องสำคัญ เป็นฐานแห่งคุณธรรมเมื่อเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่
ชาวโลกเราในปัจจุบันนี้ไม่ค่อยจะยอมรับผิด ทำอะไรผิดแล้วก็ยังไม่ยอมรับว่าตัวผิด พระพุทธเจ้าสอนให้คนรับผิด ให้รู้ว่าตัวนั่นแหละเป็นผู้ทำผิด คิดผิด พูดผิด ทำผิด คบคนผิดหรือไปสู่ที่ผิด จึงได้เกิดปัญหาเมื่อเราไม่ยอมรับ การไม่ยอมรับว่าตัวผิดนี่จะแก้อย่างไร แก้อะไรไม่ได้เพราะไม่รู้ว่าตัวทำผิด อันนี้คือความเสียหายในสังคมที่มีอยู่ในปัจจุบันนี้ เด็กน้อยคานธีแกรู้สึกว่าแกทำผิด เลยไปสารภาพต่อคุณพ่อ คุณพ่อปลื้มใจจนน้ำตาไหล แล้วก็บอกว่า “ขอให้ลูกได้สำรวมระวังต่อไป” ตั้งแต่นั้นมาคานธีไม่เคยกระทำอะไรที่เป็นความผิดความเสีย ต่อกฎเกณฑ์ซึ่งมีอยู่ในสมัยนั้น
สมัยเป็นนักเรียนหนุ่มนี่ได้ไปดูละครเรื่องหนึ่ง เรื่องท้าวทริคจันทร์ เรื่องท้าวทริคจันทร์นี่เขาเป็นชาดกในคัมภีร์พุทธศาสนา คือท้าวทริคจันทร์นี่เป็นกษัตริย์ผู้มีความซื่อสัตย์ ไม่คดโกง มีครั้งหนึ่งได้เกิดการพนันกันในเรื่องเล่นสกา เล่นสกานี่เป็นกีฬาอย่างหนึ่งของประเทศอินเดีย มีปรากฏในนิทานชาดกบ่อยๆ เช่น เรื่องวิทูรชาดก นี่ก็มีเรื่องเล่นสกาเหมือนกัน แล้วเขาจับแพ้ ก็ต้องยอมเข้าป่าเข้าดงไปเลย ในเรื่องท้าวทริคจันทร์นี่ก็เหมือนกัน ท่านแพ้ เมื่อแพ้แล้วก็ยอมตามกติกาสัญญา แต่ว่าก่อนจะไปป่าก็ไปประชุมข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อย พระบรมวงศานุวงศ์ บอกให้ทราบว่า “ฉันจะต้องลาท่านทั้งหลายไป ตามสัญญาที่ได้ให้ไว้กับอีกฝ่ายหนึ่ง ให้ท่านช่วยครองบ้านครองเมืองให้เรียบร้อยต่อไป”
พวกอำมาตย์ข้าราชการฝ่ายทหาร ฝ่ายพลเรือนก็บอกว่า “พระองค์ไม่ต้องไป เพราะสัญญาการพนันนี่ไม่ใช่เรื่องที่ต้องทำตามเสมอไป เรามีกองทัพที่จะช่วยได้”
พระองค์บอกว่า “เราไม่ต้องการจะทำเช่นนั้น เราต้องการรักษาไว้ซึ่งความสัตย์ เป็นกษัตริย์พูดอะไรก็ต้องเป็นอย่างนั้น เหมือนกับงาช้างที่มันหดเข้าหดออกไม่ได้ ไม่ใช่หัวเต่า เต่านี่มันหดได้ หดเข้าได้ออกได้ แต่งาช้างไม่หด เราจะต้องปฏิบัติตนอย่างซื่อสัตย์ ขอให้ท่านช่วยกันดูแลบ้านเมืองให้มีความสงบเย็นก็แล้วกัน” แล้วพระองค์ก็เสด็จออกไปอยู่ในป่า คนอินเดียโบราณนี่ออกไปอยู่ในป่ากันบ่อยๆ เขาถือว่าการออกป่านี่เป็นการออกไปเพื่อบำเพ็ญบารมี กระทำความดีให้ยิ่งขึ้นไป
คานธีดูละครเรื่องนี้แล้วเกิดความคิดขึ้นในใจว่า “เอ้อ ท้าวทริคจันทร์นี่เป็นกษัตริย์ผู้มีคุณธรรม มีความซื่อสัตย์เป็นอย่างยิ่ง ถ้าคนในโลกนี้มีความซื่อสัตย์ต่อกัน โลกนี้ก็จะมีแต่สันติสุข ไม่มีปัญหา ไม่มีความทุกข์ความเดือดร้อน ไม่มีการหักหลัง ไม่มีการทรยศอะไรต่อกัน ก็จะอยู่กันเป็นสุข" ท่านเลยอธิษฐานใจว่า “เราจะมีชีวิตอยู่ด้วยความซื่อสัตย์ตลอดชีวิต” ตั้งจิตอธิษฐานอย่างนั้น แล้วก็ทำตามสิ่งที่ได้อธิษฐานไว้ไม่เปลี่ยนแปลง จนกระทั่งหมดลมหายใจ จึงเป็นที่เคารพของประชาชน ท่านได้ตั้งอุดมการณ์ว่าจะทำอะไรก็ทำอย่างนั้น เรียกว่าเป็นผู้เคารพธรรมะ บูชาธรรมะ เชื่อฟังธรรมะเป็นหลักครองจิตครองใจอยู่ตลอดเวลาไม่เปลี่ยนแปลง อันนี้เป็นคุณธรรมสำคัญที่ท่านได้ใช้อยู่ตลอดเวลาในชีวิตของท่าน นี่เป็นคุณธรรมสำคัญ เราจะเห็นได้ว่าเป็นความดีประจำใจของท่าน
ทีหลังเมื่อจบการศึกษาในประเทศอินเดียแล้วก็ต้องไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษ คุณพ่อเป็นนักกฎหมายก็อยากให้ลูกไปเรียนกฎหมาย แต่ว่ายังลังเลใจอยู่ เพราะกลัวว่าลูกชายไปอยู่เมืองฝรั่งจะถูกฝรั่งทำให้เสียนิสัย จะไปดื่มเหล้า จะไปรับประทานเนื้อ จะไปเที่ยวกลางคืน จะทำความผิดแบบคนหนุ่มทั่วๆ ไป ก็วิตกกังวล แล้วก็คุยกันในระหว่างผู้ใหญ่ว่าไม่น่าจะให้ไปเรียน เดี๋ยวจะเสียผู้เสียคน คานธีได้รับทราบเรื่องนี้เข้า ก็เข้าไปกราบท่านผู้ใหญ่ในที่ประชุมนั้นบอกว่า “ขอให้ทุกท่านไว้ใจ ผมคานธีจะไปอยู่ประเทศอังกฤษโดยไม่เป็นผู้ทำเสียหาย จะไม่ดื่มเหล้า จะไม่ทานเนื้อ จะไม่เที่ยวเตร่เฮฮาตามสโมสร ตามบาร์ตามไนท์คลับ จะอยู่อย่างเป็นอินเดียอยู่ตลอดเวลา ขอให้ทุกคนไว้วางใจ” ทุกคนเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนั้นก็ไว้ใจ เพราะคานธีไม่เคยพูดสิ่งเหลวไหล ไม่เคยพูดคำโกหกกับใครๆ ก็เลยอนุญาตให้เดินทางไปได้
เดินทางสมัยก่อนไม่มีเครื่องบิน ต้องไปเรือ ลงเรือที่เมืองบอมเบย์ ซึ่งเป็นเมืองท่าด้านตะวันตกของอินเดีย ไปในเรือ อาหารที่เขาเลี้ยงเป็นเนื้อทั้งนั้น น้ำซุปก็เนื้อ ซุปเนื้อ อะไรก็เนื้อทั้งนั้น คานธีไม่แตะเลย แต่เอาขนมปังกรอบๆ ที่ซื้อไปจากบอมเบย์มานั่งรับประทานบนโต๊ะอาหาร ฝรั่งที่นั่งใกล้ๆ บอกว่า “นี่เธอ จะไปอยู่เมืองอังกฤษถ้ากินแบบนี้จะไปอยู่อย่างไร เพราะเมืองอังกฤษอากาศมันหนาวจัด ต้องการให้ร่างกายอบอุ่นพอ เธอกินอาหารแบบนี้ความอบอุ่นมันจะไม่พอ”
คานธีบอกว่า “ยังไม่ถึงเมืองอังกฤษ”
แล้วก็นั่งเรือไป ฝรั่งคนนั้นพูดว่า “เฮ้ย เธอกินอย่างนี้ทุกวันมันจะอยู่ได้เหรอ เดี๋ยวเถอะ พอถึงอ่าวมิชิแกนเธอจะเปลี่ยนใจ” คืออ่าวมิชิแกนนั้นเป็นอ่าวที่คลื่นลมแรง เมาคลื่นกันไปตามๆ กันแหละ
แกบอก “มันยังไม่ถึงตรงนั้น ดูไปก่อน” แล้วก็ไป แกก็ไม่กินเนื้อไม่กินอะไรทั้งนั้น กินแต่ขนมปังกับน้ำนมที่เขาให้ จนถึงประเทศอังกฤษ
เมื่อไปอยู่อังกฤษก็เข้าเรียนวิชากฎหมาย แกก็ชักชวนเพื่อนฝูงมิตรสหายมาตั้งสมาคม เรียก “สมาคมมังสวิรัติ” คือพวกไม่กินเนื้อ ไม่ดื่มเหล้า ไม่ประพฤติเหลวไหล เป็นสมาคมขึ้นได้ ก็เอาตัวรอดได้ เรียนจนสำเร็จวิชากฎหมายอังกฤษ เรียกว่าได้เป็นเนติบัณฑิตอังกฤษแหละ มีสิทธิสมตามวิชาทุกประการ ก็เดินทางกลับบ้าน เมื่อกลับมาถึงบ้าน ไม่มีใครไปรับที่ท่าเรือ ไปถึงบ้านก็รู้ว่าคุณพ่อเสียชีวิตแล้ว ท่านก็มีความเศร้าโศกเสียใจเป็นธรรมดา แล้วเห็นว่าจะอยู่ในอินเดียก็จะไม่ได้เรื่อง เพราะยังทำอะไรไม่ได้
คานธีนี่ได้แต่งงานตั้งแต่อายุน้อย คือชาวอินเดียนี่เขาแต่งงานตั้งแต่เด็กๆ ทำไมอินเดียจึงแต่งงานตั้งแต่เด็ก อายุ ๑๑ – ๑๒ อะไรเลย แต่งงานแล้วฝ่ายเจ้าบ่าวก็ต้องเอามาเลี้ยงไว้ ไม่ได้ยุ่งอะไรหรอก ก็มาเลี้ยงไว้จนโตเป็นผู้ใหญ่ แล้วก็อยู่กันฉันสามีภรรยา คนอินเดียนี่มีศาสนา ๒ ศาสนา ศาสนาพื้นของอินเดียก็เรียกว่าฮินดู หรือศาสนาพราหมณ์นั่นเอง นับถือเทพเจ้าสำคัญ ๓ องค์ คือ พระพรหม พระศิวะ พระวิษณุ แล้วก็มีเทวดามากมายก่ายกอง
ต่อมาเกิดศาสนาอิสลามขึ้นในอาหรับ ประเทศอาหรับ ศาสนาอิสลามก็รุกเข้าไปในประเทศอินเดีย การประกาศศาสนาอิสลามนั้นใช้อำนาจบังคับขู่เข็ญพอสมควร ประเทศอินเดียจึงกลายเป็นมุสลิมไปครึ่งหนึ่ง ส่วนหนึ่ง เวลานี้เป็นปากีสถาน แล้วก็เป็นบังคลาเทศ ส่วนที่เป็นฮินดูก็รวมตัวกันอยู่เป็นฮินดู ทีนี้พวกอิสลามนี่ชอบลักเด็ก แล้วก็ชอบลักเด็กผู้หญิง ชาวฮินดูก็คิดว่าอย่าให้อิสลามลักลูกสาวของพวกเรา แต่งงานเสีย พอแต่งงานแล้วเขาไม่ลัก เขาลักเด็กที่ยังไม่ได้แต่งงาน เลยเกิดธรรมเนียมเด็กๆ แต่งงานกัน เป็นแบบอย่างมาจนกระทั่งทุกวันนี้ หลีกเลี่ยงการถูกลักนั่นเอง
คานธีก็ได้พิธีแต่งงานอย่างนั้น ท่านบอกว่าวันแต่งงานนี่ โอ้ย วุ่นวายพอสมควร ต้องเดินทางไกลไปในการแต่งงาน วันแต่งงานก็เอาขมิ้นมาทาตัวเสียเหลืองจ๋อยไปเลยทีเดียว ทาตัวด้วยขมิ้น ย้อมขมิ้นนะ เสร็จแล้วก็แต่งตัวแบบเจ้าบ่าว ทำพิธีแต่งงานกับเจ้าสาว ไม่รู้เรื่องอะไรหรอก ทั้ง ๒ คนไม่รู้เรื่องว่าเขาทำอะไร พอแต่งงานแล้วครอบครัวเจ้าบ่าวก็รับเจ้าสาวไปเลี้ยงดูต่อไป การแต่งงานในประเทศอินเดียนั้น ธรรมเนียมมันมีอยู่อย่างหนึ่งว่า ฝ่ายเจ้าสาวต้องจ่ายสินสอดทองหมั้นทั้งหมด เรียกว่าเงินที่จะต้องใช้จ่าย เจ้าบ่าวไม่ต้องจ่ายเลย พ่อแม่ถ้ามีลูกชายนั่งยิ้มได้ แต่ถ้ามีลูกสาวก็เป็นทุกข์ตลอดเวลา
มีคนหนึ่งอยู่ที่พุทธคยา มีลูกสาว ๗ คน บอกว่านี่เรามันเป็นท้าวสามลแล้วนะ เล่าเรื่องให้แกฟัง แกบอกว่า “มีลูกสาว ๗ คน” แกเป็นช่างรับเหมาสร้างโบสถ์วัดไทยพุทธคยา แล้วทีหลังก็มาบวชที่เมืองไทย บวชกับเจ้าคุณสมเด็จวัดจักรวรรดิ บวชอยู่ ๓ เดือน กลับไปมีลูกชาย แกบอกว่า “โอ้ ไอ้ลูกชายคนนี้ต้องยกให้ศาสนา” แล้วอีกคนหนึ่งเป็นชายอีก เป็น ๙ คน ลูกชาย ๒ คน หลังจากบวชแล้วก็ได้ลูกชาย ๒ คน แกดีใจมากที่ได้ลูกชาย คนมีลูกสาวแล้วเขากลุ้มใจ มันไม่ได้ดีใจอะไร กลุ้มใจว่าต้องเสียเงินวันแต่งงานเยอะแยะ นาย...... (24.47 เสียงฟังไม่ชัด) บอกว่าต้องหาเงินไว้แต่งงานลูกสาวคนละ ๕ หมื่นรูปีทุกคน ฝากธนาคารไว้ แต่ว่าแกใช้วิธีอีกอย่าง คนไหนจะเป็นลูกเขย อุดหนุนให้เรียนเลย มีคนหนึ่งเรียนแพทย์ แกอุดหนุนเลย จ่ายเงินค่าเล่าเรียนให้ อุดหนุนทุกอย่าง พอสำเร็จวิชาแพทย์ต้องมาแต่งงานกับลูกสาว ทำอย่างนั้น ไม่ต้องไปจ่ายเงินทีเดียวก้อนใหญ่ ทำเสียก่อน เป็นธรรมเนียมเขาอย่างนั้น มีอยู่
ไม่เหมือนบ้านเรา บ้านเราเจ้าบ่าวต้องเสียทุกอย่าง ที่เรียกว่าสินสอดทองหมั้น แต่อินเดียนั้นเจ้าสาวต้องจ่ายทุกอย่าง ยิ่งได้เป็นดอกเตอร์นี่แพงมาก เพราะเรียกแพงเรียกตั้ง ๒ แสน ๓ แสนรูปีนะ แล้วเจ้าสาวที่มาแต่งงานนั้นถ้าหากว่าไม่เป็นที่พอใจ เขาก็พูดจาอะไรให้รำคาญ บางคนถึงกับฆ่าตัวตายก็มี เพราะรำคาญฝ่ายเจ้าบ่าวที่รังแก อันนี้มี แล้วอีกอันหนึ่งแต่เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้ว ผู้หญิงที่แต่งงานแล้วนี่ ถ้าสามีตาย เขาก็ต้องกระโดดเข้ากองไฟในวันเผาศพสามี กระโดดเข้ากองไฟตายตามไป แสดงความจงรักภักดี แต่เมื่ออังกฤษเข้ามาปกครอง ออกกฎหมายไม่ให้ทำอย่างนั้น ไม่ใช่ผิดเฉพาะคนกระโดด คนที่อยู่ในที่นั้นทั้งหมดผิดหมด ถูกจำคุก ถูกปรับ ถูกลงโทษ เรื่องนี้ก็หายไป ไม่มีใครทำอย่างนั้น แต่ว่าผู้หญิงที่เป็นหม้าย ที่เมืองพาราณสีเขามีเรือน ๓ – ๔ ชั้น ถามว่า “เรือนนี้เป็นที่อยู่ของใคร”
“ที่อยู่ของแม่หม้าย” พวกแม่หม้ายก็ไปรวมกันอยู่ที่นั้น ไปไหว้พระสวดมนต์กันอยู่ที่นั่น อาบน้ำแม่น้ำคงคา อธิษฐานใจว่า “ต่อไปอย่าเกิดเป็นผู้หญิงเลย ให้เกิดเป็นผู้ชายเถอะ” อะไรอย่างนั้น เป็นอย่างนั้น เขาอยู่กันอย่างนั้น เรื่องเบ็ดเตล็ดอย่างนี้
คานธีไปเรียนหนังสือ ภรรยาก็อยู่บ้าน ไม่ได้เอาไปหรอก แกเรียนจบมาถึงอินเดียก็นึก “อื้อ เราทำอะไรในอินเดียยังไม่ได้ ต้องไปอยู่แอฟริกาใต้” แอฟริกาใต้นี่เป็นของพวกคนดำ แต่ฝรั่งเข้าไปอยู่มาก จนเรียกว่าเป็นเมืองฝรั่งไปก็ได้ แล้วก็มีการเหยียดหยามทางผิวมากที่สุด รังเกียจเรื่องผิวมาก คนอินเดียไปทำมาหากินอยู่ที่นั่นมากมาย ไปค้าไปขาย ไปทำงานอะไรมากมาย คานธีก็ไปที่นั่น เมื่อไปถึงที่นั่นท่านก็มองเห็นว่า “โอ้ ฝรั่งที่นี่มันไม่เหมือนฝรั่งในยุโรป ฝรั่งที่เมืองอังกฤษเขาเรียบร้อย เป็นคนดี แต่ฝรั่งที่มาปกครองเมืองขึ้น ไม่เรียบร้อย”
บัณฑิตเนห์รูที่ได้เล่นการเมืองนี่เพราะอะไร บัณฑิตเนห์รูแกไปเรียนโรงเรียนอังกฤษ ไปอยู่กินนอนนะ โรงเรียนกินนอนเขาเรียกว่าโรงเรียน public school โรงเรียนมีชื่อ แล้วก็นิยมชมชอบคนอังกฤษมากเพราะว่าเขาดี แต่พอเรียนจบวิชากฎหมายแล้วแกกลับมาอยู่อินเดีย วันหนึ่งโดยสารรถไฟ แกเป็นลูกคนมีสตางค์ แกนั่งรถชั้น ๑ นะ นอนไปกับพวกฝรั่งทหาร แกไม่หลับ แต่พวกนั้นนึกว่าแกหลับ เขาคุยกันว่า “เขาฆ่าคนอินเดียเท่านั้นเท่านี้ ที่นั่นที่นี่” คุยกันใหญ่ คุยเรื่องฆ่าคนทั้งนั้น แกฟังๆ “โอ้ ไอ้ฝรั่งพวกนี้มันไม่เหมือนกับฝรั่งประเทศอังกฤษ มันทั้งทารุณโหดร้าย ฆ่าคนบ่อยๆ” แกก็เลยคิดว่าเราต้องต่อสู้เพื่อเอาอิสรภาพคืนมาให้แก่ประเทศอินเดีย ก็เลยเริ่มเล่นการเมือง สมัครเป็นสมาชิกพรรคคองเกรส เพื่อต่อสู้กับอินเดีย
พ่อแม่ของท่านเนห์รูนี่ร่ำรวยมาก เป็นทนายความศาลสูง ทนายความเมืองอินเดียนี่อยู่ศาลไหนเขาว่าศาลนั้นนะ ศาลชั้นต้นเขาว่าอย่างนั้น มันขึ้นไปอุทธรณ์ไม่ได้ มีทนายความอีกพวกหนึ่งอยู่ศาลอุทธรณ์ อีกพวกหนึ่งอยู่ศาลฎีกา พ่อบัณฑิตเนห์รูเป็นทนายความศาลฎีกา แพงนะ เงินค่าจ้างแพงมาก คิดกันเป็นรายชั่วโมงเลย แกก็ร่ำรวย สร้างบ้านใหญ่ เขาเรียก “อานันท์ภวันท์” อยู่ที่เมืองอัลลาฮาบัด เนห์รูเกิดที่นั่น เมืองอัลลาฮาบัดนี้เป็นเมืองที่แม่น้ำ ๒ สายมารวมกัน คือ แม่น้ำยมนากับแม่น้ำคงคามารวมกันตรงนั้น แต่คนอินเดียเขาบอกว่า ๓ สายมารวมกัน อีกสายหนึ่งมาทางใต้น้ำ แล้วมารวมกันตรงนั้น เขาเรียกตรงนั้นว่า “สังคัม”
เขาเคยทำหนังเรื่องสังคัมมาฉายเมืองไทยด้วย บัณฑิตเนห์รูเกิดที่นั่น สมัยเด็กๆ ก็กระโดดน้ำอยู่ที่นั่น แกจึงบอกว่า “เวลาแกตาย เอากระดูกไปลอยตรงนั้นด้วย ไม่ได้ถือว่าศักดิ์สิทธิ์อะไรหรอก แต่ว่าเมื่อเป็นเด็กฉันเคยกระโดดอยู่แถวนั้น เอาไปทิ้งไว้หน่อย” บ้านช่องใหญ่โต รับกษัตริย์ ๓ องค์ก็ได้ในเวลาเดียวกัน ร่ำรวยมาก เนห์รูก็เล่นการเมือง พอเนห์รูเล่นการเมืองนี่พ่อนี่ลงไปนอนกับพื้นปูน นอนพื้นปูนเลย เนห์รูเข้าบ้านเจอคุณพ่อนอน “อ้าวพ่อ ทำไมมานอนตรงนี้” (31.35 เหมือนกับเสียงไม่ต่อเนื่อง ตัดมาเป็นอีกประโยค) ผลัดกันเข้าคุก พ่อเข้าคุก พ่อออก ลูกเข้า แม่เข้าคุก ลูกพี่ น้องสาวเข้าคุก เข้ากันเรื่อย เรียกว่าถูกขังคุกเป็นธรรมดา
แต่ว่าถึงขังคุกก็ไม่ใช่เดือดร้อน เขาให้อยู่อย่างดี มีหมอคอยดูแลให้ความสะดวก ถ้าหากว่าต้องการจะไปต่างประเทศเขาก็ให้ไป เช่น เนห์รู ภรรยาแกป่วย รักษาตัวอยู่สวิตเซอร์แลนด์ แกก็ทำหนังสือเรียนอุปราชอินเดีย บอกว่า “ภรรยาป่วยมากต้องไปรักษา” เขาให้ไปทันที คือไปแล้วมันก็ไม่ยุ่ง อยู่อินเดียมันยุ่ง เขาก็ปล่อยให้ไป จนภรรยาแกตาย แล้วแกก็ไม่มีภรรยาใหม่เลย ยังนอนในรูแคบเท่านี้ บ้านเนห์รูเขาทำพิพิธภัณฑ์ มีพระพุทธรูปใส่กรอบวางไว้หัวท้าย บนโต๊ะทำงานก็มีพระพุทธรูปยืนอย่างนี้ หมายความว่ามุสลิมกับฮินดูจะรบกันทำไม หันหน้าเข้าหากันดีกว่า เอารูปนั้นไปวาง เขายกมาทั้งโต๊ะเลย เอามาวางไว้พิพิธภัณฑ์ให้คนได้ศึกษา เรื่องของเนห์รู ก็เป็นคนสำคัญคนหนึ่งเหมือนกัน แต่อาวุโสน้อยกว่าท่านคานธี เนห์รูนับถือท่านมหาตมะคานธีว่าเป็นปรมาจารย์การเมือง เป็นอย่างนั้น เล่าแถมไปหน่อย
ทีนี้ก็ต่อมาท่านคานธีก็ไปอยู่ที่แอฟริกา ต้องต่อสู้เรื่องผิวกันมาก ครั้งหนึ่งท่านขึ้นรถไฟ ตีตั๋วชั้น ๑ นั่งเฉย เจ้าหน้าที่มาถึงบอกว่า “ไปนั่งชั้น ๒”
“ฉันมีตั๋วชั้น ๑”
“ถึงมีตั๋วชั้น ๑ ก็นั่งไม่ได้ ต้องไป”
“ฉันมีตั๋วชั้น ๑ ฉันไม่ไป” เจ้าหน้าที่โกรธ ยกโยนมาทางหน้าต่างเลย โยนเลย โยนคานธีไปทางหน้าต่าง คานธีคนผอมๆ ยกง่าย โยนไปเลย พอโยนไป คานธีโทรเลขถึงผู้อำนวยการใหญ่รถไฟ “ฉันจะฟ้องบริษัทรถไฟ คนของท่านประทุษร้ายร่างกายข้าพเจ้า” ผู้อำนวยการรถไฟตกใจ จัดรถขบวนพิเศษเอามารับคานธีส่งไปปลายทาง แต่แกบอกว่า “ทำอย่างนั้นมันก็ยังไม่ถูก ยังไม่เป็นการที่ถูกต้อง ต้องสู้ต่อไป” ครั้งหนึ่งแกโดยสารรถม้าไป เขาให้แกนั่งตรงบันได แกว่า “ฉันนั่งตรงบันไดไม่ได้ ไอ้นี่มันที่วางเท้า ไม่ใช่ที่คนนั่ง”
คนขับบอกว่า “ท่านเป็นคนผิวเหลือง นั่งตรงนี้แหละ”
บอกว่า “ฉันไม่นั่งตรงนี้ ฉันจะไปนั่งข้างใน” โต้เถียงกัน แต่ต้องยอมให้ไปนั่งข้างใน แกทำอย่างสู้ แกไม่ยอม
คราวหนึ่งกลับจากประเทศอินเดีย พวกกรรมกรท่าเรือที่เป็นฝรั่งเตรียมจะทุบคานธี เอาให้ตายไปคราวนี้เลย เขาบอกว่า “ท่านอย่าลงไปจากเรือ ถ้าลงให้ปลอมตัว ให้ปลอมตัวเป็นผู้หญิง”
คานธีบอกว่า “โอ้ย ขี้ขลาด ทำแบบนั้นไม่ใช่วิสัยลูกผู้ชาย ฉันจะต้องเดินลงไปอย่างสง่าผ่าเผย ดูสิมันจะทำกับฉันอย่างไร” ท่านก็เดินลงไป พวกมันก็รุมกันเข้ามาจะกระทืบท่านนะ แต่แหม่มคนหนึ่งเข้ามายืนคร่อมท่านไว้ เลยไม่เป็นอันตราย แล้วเจ้าหน้าที่ตำรวจก็มากันเอาตัวท่านไป ท่านก็ปลอดภัย แต่ว่าท่านต้องสู้ต่อไป ยังไม่ได้สิทธิสำหรับคนผิวเหลืองที่ได้รับปัญหามากมาย
ท่านไปอยู่ที่นั่นทำหน้าที่อะไร เป็นทนายความ เป็นทนายความที่ไม่เหมือนใคร ขอโทษเถอะใครเป็นทนายมานั่งอยู่ตรงนี้ คือทนายความก็ต้องว่าความ ต้องรับเงินจากลูกความเป็นธรรมดา แต่คานธีท่านไม่ต้องการเงินจากลูกความ ต้องการให้ลูกความประนีประนอมกันมากกว่า มีชาวอินเดียคนหนึ่งไปทำมาค้าขาย นำของหนีภาษีเข้าประเทศมาหลายครั้งแล้ว ผลที่สุดถูกจับได้ ก็มาหาท่านมหาตมะคานธี บอกว่า “ให้ช่วยว่าความหน่อย”
ท่านถามว่า “เรื่องอะไร เล่ามาให้ฉันฟัง” เล่าๆ เล่าความจริงให้ฟัง แกบอกว่า “เฮ้ย ไม่ต้องเป็นห่วง ไปกับฉันเดี๋ยวนี้”
“ไปไหนครับ”
“พาไปหาอธิบดีสรรพากร ให้ไปสารภาพว่าได้กระทำความผิด แล้วยอมเสียภาษีย้อนหลัง ไม่ต้องเป็นความ ถ้าเธอเป็นความนี่เธอต้องนอนไม่หลับหลายเดือน เป็นโรคประสาทตาย ไปรับสารภาพดีกว่า” ก็พาไปรับสารภาพ จบเรื่อง
มีตระกูลหนึ่งที่พี่ๆ น้องๆ เป็นความกัน แย่งมรดกกัน คนหนึ่งไปหาทนายความคนหนึ่ง คนหนึ่งมาหาท่านคานธี เล่าเรื่องให้ฟัง ท่านคานธีบอกว่า “ฉันจะจัดการให้เรียบร้อย” แล้วท่านก็ไปหาทนายความฝ่ายโน้น ไปพูดจาทำความเข้าใจ แล้วก็เอาลูกความฝ่ายโน้นมาที่บ้านของท่าน พบกับลูกความซึ่งเป็นพี่น้องกัน คนหนึ่งนั่งขวา คนหนึ่งนั่งซ้าย คานธีนั่งตรงกลาง พูดฝ่ายนี้ พูดฝ่ายโน้น พูดจาทำความเข้าใจกัน ผลที่สุดก็จับมือมาประสานกัน “เราเป็นพี่น้องกัน เกิดมาจากพ่อแม่เดียวกัน มาทะเลาะกันทำไม มันดิสเครดิตเราเอง มันเสียหาย รักกันดีกว่า” ผลที่สุด ๒ สองเลิกเป็นความกัน แกทำอย่างนั้น ไม่ชอบให้คนเป็นความ แล้วก็ต้องเสียเงินแพงๆ
แล้วแกก็ทำจิตอย่างหนึ่งที่สำคัญคือว่า คนอินเดียไปอยู่มาก ก็มีทั้งคนร่ำรวย คนปานกลาง คนลำบากยากจนก็มี เป็นกรรมกรหาเช้ากินค่ำก็มี ได้รับความทุกข์ความเดือดร้อน ท่านคานธีก็หาที่ดินแปลงหนึ่ง แล้วตั้งนิคมเรียกว่า “นิคมฟินิกส์” ให้คนอินเดียที่ได้รับความทุกข์ยากลำบากไปอยู่ที่นั่น แล้วก็ไปขอเงินจากพวกพ่อค้าชาวอินเดียให้ช่วยสถานที่นี้บ้าง คนเขาก็ช่วยกันดูแล ได้รับความสะดวกสบาย
คราวหนึ่งท่านคานธีกับครอบครัวจะกลับบ้าน ไปเยี่ยมบ้าน อยู่มา ๓ ปีแล้วไปเยี่ยมบ้านเสียที พ่อค้าคนหนึ่งรู้ว่าคานธีจะกลับบ้านก็ไปซื้อเครื่องเพชร แหวนเพชร สร้อยเพชร ตุ้มหูเพชร โอ้ย เพชรทั้งนั้นเลย เอาไปให้คุณนาย ภรรยาท่านคานธี พวกสุภาพสตรีเราต้องเพชรใช่ไหม ไม่รู้อะไร กินก็ไม่ได้ความจริง แต่ว่าชอบ ชอบมาแขวนให้มันตุ้งติ้งๆ แววๆ วาวๆ เป็นเครื่องหมายของความมั่งมี แต่ว่ากินก็ไม่ได้ ราคาก็แพงด้วย ได้มาภรรยาท่านก็แต่ง เวลาคานธีกลับมารับประทานอาหาร รับประทานแล้วก็ชำเลืองดูภรรยา แล้วถามว่า “นี่เธอได้มาอย่างไร เธอได้มาอย่างไรนี่”
“อ๋อ พ่อค้าเขาซื้อมาให้เป็นของขวัญในการที่เรากลับบ้าน”
คานธีนึกในใจว่า “เอาไม่ได้ผิดหลักการ ผิดอุดมการณ์ ฉันตั้งจิตอธิษฐานว่าจะไม่รับอะไรจากใครในเรื่องสินบน ไม่เอา เอ้ ทำอย่างไร จะพูดหักโหมกับภรรยาก็ไม่ไหว” ไปนอน ไม่หลับ นอนไม่หลับ คิดว่าจะทำอย่างไรดี เลยเรียกลูกชายมา ลูกชายมีความคิดเหมือนพ่อ เลยบอกลูก “ไปพูดกับคุณแม่นะลูกนะ ค่อยๆ พูด ค่อยๆ จา อย่าให้คุณแม่เอาเครื่องเพชรไปอินเดียเลย”
พอลูกไปพูด คุณแม่ก็โกรธสิ เดินลงส้นปังๆ น้ำมูกน้ำตาไหลมาเลย มาหาท่านคานธี คานธีค่อยๆ พูด ถอดแหวนออก ถอดสายสร้อยออก ถอดสายคอ ถอดตุ้มหู ถอดหมด พอเรียบร้อย โทรศัพท์ไปบอกพ่อค้าคนนั้นให้มาพบหน่อย พอพ่อค้ามาถึงก็บอกว่า “แหม ขอบใจมากที่ท่านให้ของขวัญแก่เรา แต่ว่าเรารับไม่ได้มันผิดอุดมการณ์ ผิดแนวคิดที่ตั้งใจไว้ในใจ เสียสัจจะ ให้ท่านเอาเครื่องเพชรนี้ไปขาย แล้วเอาเงินไปเข้าบัญชีของนิคมฟินิกส์ สำหรับช่วยเหลือคนอินเดียที่ลำบากยากจนต่อไป” พ่อค้าเขาก็ทำให้ตามความปรารถนา
นี่ตัวอย่าง ไม่กินสินบน ไม่รับของอะไรจากใครทั้งนั้น นักการเมืองถ้าเป็นคนแบบคานธีแล้วสบาย บ้านเมืองจะไม่ถึงกับล่มจมเสียหาย แต่นี่มันไม่อย่างนั้น เอากันเรื่อย ใครไปประมูลสร้างอะไรก็ส่งคนไปขอ เอามากี่เปอร์เซ็นต์ ๑๐ ล้าน ๑๕ ล้าน ราคามากก็ขอมาก จนฝ่ายค้านเอาไปพูดในสภาว่า บอกชื่อว่าไอ้นั่นไอ้นี่มันไปเอา ชื่อมันไปตรงกับผู้แทนคนหนึ่งเข้า ผู้แทนคนนั้นประท้วง ประท้วงว่ากระทบกระเทือน ไม่บอกนามสกุล ไอ้ผู้อภิปรายบอก “เขาไม่ได้บอกนามสกุล แต่เขาบอกว่าชื่อนี้” บอกว่า “พูดเช่นนี้ไม่ใช่เพื่ออะไร เพื่อให้ท่านรัฐมนตรีได้รู้ว่าไอ้เด็กหน้าห้องนั่นมันทำอย่างนั้น ไปสืบเอาเองก็แล้วกัน” ไอ้เด็กหน้าห้องมันจะไปทำอย่างไรถ้านายไม่ขยิบตา มันบอก “ท่าน ไม่ทำหรอก” เรื่องมันเป็นอย่างนั้นก็เรียกว่าไม่ถูกต้อง
ถ้าเอาวิญญาณคานธีมาสวมไว้ในใจบ้าง งานการมันก็จะเป็นไปด้วยดี ประเทศจะไม่ขาดทุน การประมูลสร้างอะไรๆ ก็ไม่แพง ที่มันแพงเพราะเผื่อไว้ว่าต้องแจกคนนั้นแจกคนนี้ แจก พวกที่รับแจกกันเยอะมันต้องเผื่อไว้ มันก็แพงเป็นธรรมดา ราษฎรทั้งหลายผู้เป็นเจ้าของเงินก็ต้องเสียเงินโดยไม่จำเป็น เพราะขาดคุณธรรมนั่นเอง แต่คานธีท่านไม่เอา ท่านทำอย่างนั้น เขาให้ก็ไม่เอา นี่ใช้ได้ คนอย่างนี้ใช้ได้
ทีนี้ท่านกลับมาอินเดียแล้วก็กลับไปอีก แล้วก็กลับมาอยู่อินเดีย เข้าร่วมงานกับคองเกรส คานธีนี่สอนให้คนอินเดียช่วยตัวเองพึ่งตัวเอง ให้ทอผ้า ให้ปั่นฝ้าย สมาชิกพรรคคองเกรสทุกคนต้องปั่นด้าย ต้องทอผ้าสำหรับใช้ ตัวท่านเองไปไหนก็ต้องเอาเครื่องมือปั่นด้ายไปด้วย ถ้ามีเวลาว่างก็ปั่นด้าย แล้วก็ทอผ้า หมวกที่ท่านสวมท่านทอเอง แล้วให้เนห์รูใบหนึ่ง ให้ราเชนทร์ ปรสาท ให้นายสุนิล แจกคนละใบ ท่านทำให้ด้วยมือของท่านเอง ส่งเสริมเขาเรียกว่า “อุตสาหกรรมในครอบครัว” cottage industry ฝรั่งเขาเรียกอย่างนั้น ท่านส่งเสริมสิ่งนี้เพื่อให้เกิดการแพร่หลาย ให้คนอินเดียทุกคนช่วยตัวเอง พึ่งตัวเอง
แล้วก็ตั้งนิคมเหมือนกัน ช่วยเหลือคนยากคนจน ท่านไปปฏิบัติต่อคนป่วย ไปล้างแผลให้ ไปอาบน้ำให้ เช็ดตัวให้ ทีนี้คนป่วยมันหลายวรรณะ ประเทศอินเดียมันยุ่งตรงนี้ ยุ่งไอ้ตรงวรรณะกษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทรนี่ คานธีแกไม่ถือ แกไม่ถือวรรณะ แกปฏิบัติตามหลักการของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าไม่ถือวรรณะ แกก็ปฏิบัติต่อคนเหล่านั้นเหมือนกัน เศรษฐีคนหนึ่งเคยอุปถัมภ์นิคมนี้ วันหนึ่งแกไปที่นิคม เห็นคานธีล้างแผลให้แก่คนวรรณะต่ำ แกเลยบอกคานธีว่า “ฉันจะไม่ให้เงินแล้ว เพราะท่านทำการอย่างนี้ไม่ถูกไม่ชอบ ไม่ควร ฉันไม่ให้เงินท่าน” คานธีก็บอกพวกในสมาคมบอกว่า “เวลานี้ท่านเศรษฐีไม่ให้เงินแล้ว เราต้องช่วยตัวเอง เราต้องปลูกผัก เราต้องทำสวนกันเพื่อเลี้ยงตัวเอง” ทุกคนก็ต้องช่วยกันทำงานเลี้ยงตัวเอง
หลายๆ วันเศรษฐีแอบมาดูอีก เหมือนเดิม ไม่ให้เงินแล้ว คานธีก็ไม่ได้เปลี่ยนใจ แถมยังทำเหมือนเดิม เศรษฐีเลย “อ๋อ แกเอาจริงเว้ย เอ้า ต้องช่วยเขาหน่อย” แต่ว่าช่วยก็ไม่เข้าไปในนิคม กลัวบาปจะติด ด้วยความหลงผิดอันนี้ บาปมันไม่ได้อยู่ที่อย่างนั้นมันอยู่ในใจ สมัยก่อนนี้คนอินเดียเขาไปอาบน้ำแม่น้ำคงคา ถ้าเป็นฤกษ์โหรทายว่าดาวดวงนั้นชนกับดาวดวงนี้เป็นฤกษ์ดี ให้ไปอาบน้ำ คนเป็นแสนไปอาบ แล้วคนไปเป็นแสนนี่เหยียบกันตายหลายพันคน เหยียบกันตาย เพราะว่าต่างคนต่างลงมา บางคนมันไม่เดินก็นอนไป พอนอนปั๊บก็เหยียบ คนมันมากๆ นะเหยียบตาย ตายไป ๔ – ๕ พันคน เป็นอย่างนั้น
คราวหนึ่งพระพุทธเจ้าไปที่นั่น ไปเห็นคนมาก ถามว่า “เอ้ พวกเรามาทำอะไรกันมากมายอย่างนี้”
“มาอาบน้ำแม่น้ำคงคา”
“แล้วทำไมต้องมาอาบถึงนี่ ที่บ้านไม่มีน้ำเหรอ”
“มีเหมือนกันแต่ล้างบาปไม่ได้ มาอาบที่นี่จะได้ล้างบาป”
“ใครว่า”
“คัมภีร์ว่าไว้ บอกว่าถ้าอาบในคงคาล้างบาป”
ท่านบอกว่า “บาปมันไม่ใช่ขี้ไคล ไม่ใช่ขี้ฝุ่นขี้โคลน มันติดผิวหนัง เอาน้ำล้างมันก็หลุดไปได้ แต่บาปมันอยู่ที่ใจ จะล้างด้วยน้ำไม่ได้ ต้องล้างด้วยตบะคือบำเพ็ญศีล ทาน ศีล ภาวนา ประพฤติดีประพฤติชอบ จึงจะล้างบาปได้” เทศน์ให้เขาเข้าใจ บางคนฟังแล้วก็กลับบ้าน บางคนเชื่อของเก่าก็ไม่กลับ ไปอาบน้ำกันต่อไป เดี๋ยวนี้คนยังไปอาบน้ำกัน อาบน้ำที่แม่น้ำคงคา เมืองพาราณสี เพราะแม่น้ำคงคา เมืองพาราณสีน้ำมันไหลมาจากเขาหิมาลัยลงใต้ แต่พอถึงพาราณสีมันคดขึ้นเหนือ เขาก็บอก “นี่แม่คงคาจะกลับไปสวรรค์ เพราะฉะนั้นต้องไปอาบตรงนั้น” และแม่น้ำคงคาที่เมืองพาราณสีด้านหนึ่งสูง ด้านหนึ่งต่ำ เขาบอกว่า “ด้านโน้นไปอยู่ไม่ได้ ถ้าไปอยู่ตรงนั้นเกิดเป็นรา”
“ทำไมจึงเกิดเป็นรา”
“เพราะน้ำมันท่วมทุกปี” มันท่วมมากกว่าท่วมชุมพรของเราเสียอีก เพราะน้ำใหญ่อยู่ไม่ได้ คนไม่อยู่หรอก เป็นดง เป็นหญ้าแฝกขึ้นเต็ม ก็ทำอย่างนั้น อาบน้ำที่นั่น ไปล้างบาป เป็นอย่างนั้น
ทีนี้แกก็เอาเงินมาให้ แล้วก็ไม่เข้าไป กลัวบาป เรียกคานธีให้มารับนอกรั้ว คานธีก็ดี ว่านอนสอนง่าย ออกมารับนอกรั้ว แล้วขอบอกขอบใจ เพื่อนได้มีน้ำใจสมกับเป็นเศรษฐี เศรษฐีนี่เขาหมายความว่าอย่างไร เศรษฐีหมายความว่าผู้มีใจประเสริฐ ไม่ใช่มีทรัพย์เป็นเศรษฐีอย่างเดียว ต้องมีใจประเสริฐด้วย ใจที่ประเสริฐนั่นแหละวัดความเป็นเศรษฐี ท่านก็รับไว้ ท่านก็มาช่วยเหลือนิคมนั้นต่อไป
คราวหนึ่งมีการประชุมใหญ่ที่เมืองกัลกัตตา ประชุมคองเกรส คานธีก็มาประชุม ทีนี้ก่อนเข้าประชุมท่านเกิดปวดปัสสาวะ ก็เข้าไปในห้องน้ำ พอไปในห้องน้ำ โอ้ย สกปรก ขออภัยนะถ่ายแล้วไม่มีใครราดสักคนเดียว เรี่ยราดไปหมดเลย คานธีจับไม้กวาดมากวาดมาล้าง คนมาเห็น “เอ้ ท่านทำอะไร”
“อ้าว ก็เห็นอยู่แล้วว่าฉันทำอะไร”
เขาบอกว่า “นี่มันไม่ใช่งานของท่าน งานของพวกศูทร พวกกุลี แล้วท่านมาทำอย่างไร”
“อ้าว คิดอย่างนี้แหละบ้านเมืองมันถึงไม่ก้าวหน้า เห็นอะไรมันไม่ดีต้องช่วยกำจัดชะล้าง เห็นไม่สะอาดช่วยกวาด เห็นสกปรกก็ช่วยล้าง อย่าถือว่าต้องเป็นงานคนนั้นคนนี้ไม่ได้ ต้องช่วยกันจัดช่วยกันทำ” ท่านทำให้ดูเป็นตัวอย่าง ไม่ถือตัว ไม่มีตัวจะถือหรอก ตัวท่านน้อย ท่านก็ทำให้เห็นเป็นตัวอย่างอย่างนี้
คราวหนึ่งท่านลงรถไฟ คานธีแกแต่งตัวเหมือนคนธรรมดา นุ่งผ้า ไม่มีเสื้อ รองเท้าไม้ เดินไป ฝรั่งเห็นเข้ากวักมือเรียก “come here… come here”
คานธีไป คำนับ “จะให้รับใช้อะไร”
“ช่วยยกของหน่อย” คานธีก็ยกของไปขึ้นรถเรียบร้อย พอยกของไปขึ้นรถแล้วฝรั่งก็ทิป ให้สตางค์
คานธีพนมมือบอกว่า “มหาตมะคานธีไม่รับค่าจ้าง”
“อุ้ย” ฝรั่งตกใจ “ตายแล้ว กูใช้คนผู้ยิ่งใหญ่ของอินเดียแล้ว” ต้องลงไปแตะเท้าคานธี “ขอโทษๆ” ชาวอินเดียเขาเคารพเขาเอามือไปแตะเท้าแล้วแตะหัว ฝรั่งต้องแตะเท้าแตะหัว “ขอโทษ ไม่รู้จักท่าน ดีใจที่ได้พบท่าน” นี่เป็นอย่างนี้ คานธีนะท่านอ่อนเหมือนเส้นไหม และแข็งเหมือนเส้นไหมเหมือนกัน ไหมนี่มันเล็ก อ่อน แต่ถ้าดึงไม่ขาด มันแข็ง ท่านอ่อนโยนแต่ไม่อ่อนแอ แข็งแรงแต่ไม่แข็งกระด้าง ท่านเป็นบุคคลตัวอย่างในทางความงามความดีอยู่ตลอดเวลา
ท่านต่อสู้กับรัฐบาล รัฐบาลออกอะไร เขาไม่อยากจะทำตามกฎหมายนั้น ทุกคนเฉยหมด ไม่ทำตาม เขาเรียกว่า สัตยาเคราะห์ คือไม่สู้ด้วยอาวุธ แต่สู้ด้วยการไม่ทำตาม คนทั้งมวลทั้งประเทศไม่ทำตาม เช่น กฎหมายเกลือ เกลือนี่เป็นของที่ทุกคนต้องใช้ รัฐบาลออกภาษีเกลือ คานธีชวนกันเดินขบวนไปทะเล ไปทำเกลือกัน ตำรวจก็จับ เอ่อ จับไม่ใช่คนหรอก เป็นฝูง เอาคุกที่ไหนมาขัง ต้องเอาไปกั้นรั้วลวดหนาม กักไม่ให้ไปไหน คานธีแกก็ไปนั่งอยู่ที่นั่น สอนลูกน้องว่าอย่าต่อสู้ ให้กำเกลือไว้ในมือ ใครเขาจะทุบเรา เราไม่ทุบตอบ เขาทำร้ายเราไม่ทำร้ายตอบ เราต้องสู้ด้วยหลักอหิงสา “อหิงสา ปรโม ธัมโม” การไม่เบียดเบียนเป็นบรมธรรม ท่านถือหลักนั้น แกสู้อย่างนั้น เป็นการต่อสู้ที่มีชื่อเสียง
ผลที่สุดอินเดียก็ได้รับอิสรภาพ คานธีไม่เป็นอะไร ท่านไม่ต้องการความเป็นใหญ่เป็นโต ต้องการให้อินเดียได้รับอิสรภาพ แต่ว่าอินเดียได้รับอิสรภาพก็แตกเป็น ๒ ประเทศคือ ปากีสถานและอินเดีย อันนี้มันขัดแย้งกัน รบกัน ไอ้เด็กหนุ่มนี่ชอบรบ คานธีไม่ให้รบๆ บางครั้งบางคราวและบางที่พักถูกระเบิด คานธีไม่ตาย คานธีบอกว่า “ถ้าอินเดียยังต้องการข้าพเจ้า ข้าพเจ้ายังไม่ตาย แต่เมื่อใดอินเดียไม่ต้องการข้าพเจ้า ข้าพเจ้าตายเอง” ท่านก็ต่อสู้ต่อไป
แต่วันหนึ่งที่กรุงเดลี ท่านมาพักอยู่ที่บ้านเศรษฐีไบร์ล่า เป็นเศรษฐีผู้ร่ำรวย ท่านคานธีไม่มีบ้าน ไปไหนเศรษฐีก็มา “พักก่อนๆ” บ้านใหญ่ๆ ทั้งนั้นแหละให้ไปพัก ให้ใช้ให้สอยตามสบายๆ ปกติตอนเย็นท่านลงมาไหว้พระสวดมนต์ คานธีอ่านหนังสือธรรมะทุกวัน เช้าอ่านภควัทคีตา เย็นอ่านภควัทคีตา เวลาประชุมใหญ่ต้องอ่านภควัทคีตาสู่กันฟังหมด แล้วประชุมเพื่อให้ทุกคนได้สำนึกว่าเราอยู่อย่างผู้มีธรรมะ ประชุมเสร็จอ่านภควัทคีตา
วันนั้นลงมาประชุมไหว้พระ ไอ้เจ้าเด็กหนุ่มคนนั้นเข้าไปถึงแตะเท้าแตะหัว เปี๊ยง!! ยิงคานธีมันง่ายจะตายเพราะไม่ได้ต่อสู้อะไร เหมือนกับยิงพระแหละ ยิงง่าย ท่านก็ยกมือ “โอ้ราม โอ้ราม” เอ่ยชื่อพระรามซึ่งเป็นสิ่งที่เขาเคารพ ให้อภัย แต่ว่าเด็กคนนั้นหนีไม่พ้น เด็กหนุ่มใจร้อน เลยถูกจับลงโทษไปตามกบิลเมือง คานธีก็ตาย แล้วเอาไปเผาที่ Gandhi Ghat ที่ใกล้แม่น้ำยมนา เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อยู่จนกระทั่งบัดนี้
งานของท่านมากหลายไม่รู้จักตาย เรามีลูกชายหลานชาย ซื้อหนังสือคานธีให้เด็กอ่าน จะเป็นเครื่องกระตุ้นเตือนจิตใจเด็กให้เกิดความคิดถูกต้อง น่าอ่าน หนังสือคานธีในเมืองไทยนี่ สวามี สัตยานันท์บุรี เขียนเล่มหนึ่ง แล้วก็คุณกรุณา กุศลาสัย เขียนอีกเล่มใหญ่ ซื้อไปไว้ในบ้านให้ลูกอ่านวันละบท ๒ บท เด็กวัยรุ่น กำลังคะนอง ที่มันจะไปหลงยาเสพติด เข้าสังคมเละเทะเฟะฟอนในกรุงเทพฯ ให้มันอ่านหนังสือนี้ ชวนพูดชวนคุย จะได้รู้ว่าคนดีเขาอยู่กันอย่างไร ทำอย่างไร จะได้ช่วยคนให้ดีให้งามขึ้นตามสมควรแก่ฐานะ
วันนี้ความจริงก็เลยวันเกิดของท่านมาแล้ว แต่สมาคมภารตะได้เขียนหนังสือมา ท่านดร.ปรีดี เป็นผู้เซ็นลายเซ็น บอกให้ท่านช่วยเทศน์ไว้อาลัยท่านคานธีทางวิทยุ โทรทัศน์ โทรทัศน์ไม่ได้เทศน์ เลิกนานแล้ว เทศน์วิทยุแล้ว เมื่อเช้าโยมฟังแล้วมีคนพอใจหลายที่ คนจันทบุรีโทรมาบอก “อู้ย ท่านเทศน์ดี แต่ผิดอยู่ข้อหนึ่ง รัชกาลที่ ๕ ไม่ได้สวรรคต ๒๔๕๔ แต่เป็น ๒๔๕๓”
“ขอโทษ ไม่เป็นไรโยม แก้เสีย”
“ผมจะพิมพ์หนังสือนี้แจกแก่ประชาชนชาวจังหวัดจันทบุรีให้ได้อ่านทั่วกัน”
โทรมาจากอุบลราชธานี บอกว่า “พวกหมอเขาอยากได้ต้นฉบับ อัดเทปไว้หรือเปล่า”
บอกว่า “ที่กรมประชาสัมพันธ์เขาคงได้อัดไว้ ขอเขาได้ ให้เขาส่งไปให้” คนเขาชอบใจในความงามความดีของท่าน จึงมาพูดสู่กันฟังเพื่อเป็นเครื่องอนุสรณ์เตือนใจ ว่าคนๆ หนึ่งเกิดมาบนแผ่นดินโลกนี้ ได้กระทำความดีสมศักดิ์ศรีตลอดเวลา แล้วก็หมดลมหายใจไป ดับไปแต่ร่างกาย คุณงามความดีหาได้สูญหายไปไม่
พระพุทธเจ้าตรัสว่า “รูปัง ชีรติ มัจจานัง นามโคตดัง นชีรติ รูปร่างกายต้องสลายเป็นธรรมดา แต่คุณงามความดีนั้นไม่รู้จักสลาย” เราก็ควรจะได้ช่วยกันคิดดี พูดดี ทำดี คบคนดี ไปสู่สถานที่ดี มีลูกมีหลานก็ช่วยสอน ช่วยดึงเข้าหาศาสนา พ่อแม่ก็ต้องเป็นคนอยู่อย่างมีระเบียบมีวินัย ประพฤติดีประพฤติชอบตามหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ลูกก็จะได้เดินเป็นแบบอย่าง เพราะลูกไม่ไกลจากพ่อแม่ ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น ถ้าว่าพ่อแม่เป็นอย่างไร ลูกก็เป็นอย่างนั้น เราที่เป็นพ่อเป็นแม่ เป็นปู่เป็นตา เป็นย่าเป็นยาย ต้องช่วยกันสร้างจิตใจคนให้มีความเป็นไทย มีความเป็นมนุษย์ มีความเป็นพุทธบริษัทกันตั้งแต่น้อยๆ โตขึ้นเขาจะได้ทำงานเป็นประโยชน์แก่ชาติแก่บ้านเมืองต่อไป
แสดงมาก็สมควรแก่เวลา เลยไปนิดหน่อย ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้