แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
พุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้อากาศครึ้มท้องฟ้าชุ่มฉ่ำด้วยเมฆเหมือนกับว่าแสดงความเศร้าโศกเสียใจในอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นที่จังหวัดนราธิวาส ทำให้บุคคลสำคัญหลายคน โดยเฉพาะท่านผู้หญิงถึง ๔ คน เป็นผู้อยู่ใกล้ชิดรับใช้สมเด็จพระบรมราชินีนารถในเรื่อง หลายเรื่องหลายประการ แต่ว่าไปนั่งเฮลิคอปเตอร์กลับมาสู่ตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ แล้วก็เกิดอุบัติเหตุ อุบัติเหตุนี่มันก็เป็นเรื่องที่อาจจะเกิดขึ้นแก่ใครเมื่อใดก็ได้เราไม่รู้ เรือบินที่ใช้นี่ก็เป็นเรือบินใหม่ สั่งมาจากประเทศฝรั่งเศส ใช้มาเพียงเดือนเดียวยังไม่นานเลย ถ้าเอาเครื่องบินเก่าไปใช้เขาว่าเรือบินมันเก่าเอาไปใช้ ไอ้นี้เรือบินใหม่ เฮลิคอปเตอร์ใหม่จุคนถึง ๒๒ คน แต่ความจริงนั่งเพียง ๒๑ มันไม่ได้มีน้ำหนักมากอะไร คนก็ไม่ใช่อ้วนท้วนใหญ่โตผอมๆ ทั้งนั้น แต่ว่ามันคงเกิดฝนตก เพราะทางปักษ์ใต้ตอนนี้ฝนมักจะตก เกิดลมพายุแรงๆ ท้องฟ้าไม่สว่าง เรียกว่าท้องฟ้าไม่เปิด อันตราย
คราวหนึ่งเขาเอาเฮลิคอปเตอร์พาหลวงพ่อไปอำเภอศรีสวัสดิ์ จังหวัดกาญจนบุรี ไปเทศน์กับตำรวจ ตชด. กำลังบินออกจากตัวเมือง เห็นท้องฟ้ามืด เมฆก้อนใหญ่ นักบินบอกว่าไอ้นี่มันต้อง เลยบินอ้อมหลบเมฆ บอกว่าบินตรงเข้าไปไม่ได้เหรอ ไม่ได้หลวงพ่อ มันใหญ่ ความจริงในหมู่เมฆมันไม่มีหนาทึบ แต่เราเห็นว่าหนา มันไม่หนาเหมือนก้อนหินฝ่าไปก็ได้ แต่เรือมันเล็กนั่งได้ ๔ คนเท่านั้นเอง นั่งก็นึกวิตกว่ามันเหมือนกับนั่งแมลงหวี่บินไปในอากาศ เลยต้องอ้อมไป ไปลง ขากลับท้องฟ้าเปิดบินแป๊บเดียวถึงกาญจนบุรี ขาไปต้องอ้อมเสียเวลาไปนาน นักบินเขา เขากลัวเมฆใหญ่ๆ เขาไม่กล้าโจมตีเข้าไปหรอก เพราะเรือบินมันเล็ก
แต่ถ้าเครื่องบิน ๗๔๗ เครื่องยนต์นี่เขาไม่กลัว เพราะเขาบินสูงมาก บินสูงถึง ๙ กิโลเมตร ๙๐,๐๐๐ เมตร ๙ กิโล มันสูงไม่มีอะไร ลมเกิดก็ไม่เป็นไร ลมเกิดก็ปลอดภัย แต่ก็ไม่แน่เหมือนกัน เพราะเรือบินลำใหญ่ก็มีตกบ่อยๆ คนก็ตายกัน เรือบินเกาหลีมาตกที่พนมเปญตายหมด เหลือเจ้าอาเหลียงคนเดียวไม่ตาย เพราะว่ากระเด็นลงไปตกในโคลน ตกอยู่ในโคลน พ่อก็เที่ยวตามหา เจ้าหน้าที่เขาอุ้มไว้ พอเห็นหน้าพ่อ มันร้องป่ะป๊าน่ะ ไอ้เด็กคนนี้ พ่อก็รับไป ทีนี้ขาหักนิดหน่อย มีบาดแผลนิดหน่อย เอาไปรักษา เดี๋ยวนี้รักษาอยู่ที่ภูมิพล จะปกติแล้ว เอาไปทำบุญแล้ว ส่วนคุณแม่นั้นตาย คุณแม่คงจะอุ้มลูกไว้ แต่ว่าถึงแก่กรรมไป ลูกอยู่ เขาเรียกว่าเด็กกระดูกเหล็ก ความจริงมันกระดูกธรรมดา ไม่เป็นไร ก็เป็นบุญนะที่ว่าเป็นอย่างนั้นไม่ถึงแก่กรรม
คนเราที่ไม่ถึงแก่กรรมนั้นมันก็มีอะไรรับไว้ ไม่เป็นไร ในเรื่องคัมภีร์ธรรมบทของพระพุทธศาสนาเรา มีเด็กคนหนึ่งก็ไปเป็นบุตรบุญธรรมของท่านเศรษฐี เพราะเศรษฐีไม่มีลูกชาย คนอินเดียนี่ถ้าไม่มีลูกชายเขาเป็นทุกข์มาก เขากลัวจะตกนรก เขามีนรกไว้ขุมหนึ่งเรียกว่าปุตตะนรก ตกนรกเพราะไม่มีลูกชาย คราวนี้ก็ไปเอาลูกของเพื่อนเศรษฐีเหมือนกันแต่พ่อแม่ตาย เอามาเลี้ยงไว้ เลี้ยงไปๆ เอ้าไอ้เจ้าลูกชายมันมาเกิดคนหนึ่ง พอลูกมาเกิดก็เกิดความลำเอียง บอกว่าคนนี้ไม่ใช่ลูกเรา ทำยังไงดี ก็คิดหาอุบายที่จะฆ่าให้ตาย ฆ่าเด็กคนนั้น ก็เลยสั่งคนใช้บอกว่าเธอเอาเด็กนี้ไปไว้ที่ประตูคอก คอกวัว วัวออกมาเช้าๆ มันจะได้เหยียบเด็กตาย คนใช้ก็เอาไปนอนไว้ที่ประตูคอก วัวออกมา แต่ว่ามีวัวตัวหนึ่งเป็นวัวตัวเมีย เป็นวัวแม่ ออกมาก่อน มาถึงยืนค่อม ยืนอยู่อย่างนั้นแหล่ะไม่ไป เด็กก็นอนอยู่ใต้ท้องวัว วัวตัวอื่นก็แทรกไปๆๆ เอ้าไม่ตาย ไม่ตายคนใช้ก็เก็บมาบอกเศรษฐีว่ามันไม่ตาย มันมีวัวมายืนค่อมไว้เลยไม่ถึงแก่ความตาย
โอกาสใหม่อีก ก็ให้ทำอย่างอื่นอีก ทำอย่างอื่น วันนั้นได้ข่าวว่ามีเกวียนตั้ง ๕๐๐ เล่มจะผ่านมา พอรุ่งเท่านั้นก็ให้เอาไปวางไว้ที่ทางเกวียน เกวียนผ่านไปวัวจะได้เหยียบให้ตาย เกวียนก็ผ่านพ้นไม่ตาย คนที่เป็นนายพ่อค้าเกวียนเห็นเด็กก็เลยเอาไปอุ้มขึ้นมา โอ้เด็กน้อยน่าเอ็นดู เอาไปจะเลี้ยงเป็นลูก แต่เศรษฐีรู้เข้าบอกให้คนใช้ไปเอามา เอามาอีก เอามาอีก เพื่อจะเอามาฆ่าให้จนได้ แล้วก็คิดว่าเอาไปโยนเหวซะดีกว่า โยนลงไปในเหวลึก เขาก็ไปที่ปากเหวแล้วโยนลงไป มันไม่ลงไปถึงก้นเหว เพราะว่าในเหวนั้นมีต้นไม้ขึ้นครึ้ม แล้วก็มีเถาวัลย์น่ะมาคลุมต้นไม้ โยนลงไป ตกลงไปบนเถาวัลย์มันก็บ่อรับไว้อย่างนั้น ไม่ตาย มีคนมาตัดไม้ได้ยินเสียงเด็กร้องก็เลยลงไปเอามา เศรษฐีรู้ว่าอ้อมันยังไม่ตาย เอาใหม่ๆ เลยทำใหม่ ก็ทำอีก ทำอีก
วันหนึ่งก็คิดว่าเอาอย่างนี้ดีกว่า เด็กมันก็โตขึ้นเรื่อยๆ เลยก็นึกว่าเขียนจดหมายไปถึงโรงงานเผาอิฐ บอกว่าถ้าเด็กคนนี้มาแล้วให้จับใส่เข้าไปในเตาเผาเสียเลย คราวนี้ก็เด็กเดินเอาไปถือจดหมายไป จดหมายฆ่าตัวตาย แต่ไปถึง ไอ้ลูกชายเศรษฐีตัวจริงกำลังเล่น เล่นไอ้พวกพนันกันในหมู่เด็ก มันแพ้ แพ้มาก เลยพอเห็นพี่ชายบุญธรรมมา โอ้พี่ๆ ช่วยหน่อย ผมเล่นแพ้มากแล้ว พี่ช่วยเล่นแทนทีเถอะ ฉันจะเอาหนังสือไปให้เจ้าคนเผาอิฐที่นอกเมือง ไม่เป็นไรพี่เล่นอยู่หนังสือผมจะถือไปเอง เลยก็ไป พาไปจนถึงเตาอิฐ พอถึงเตาอิฐแล้วก็ ไอ้คนที่เผาอิฐรับจดหมายก็เอาเด็กเข้าไปในเตาปิดรูไว้ เผาอิฐน่ะ เด็กก็คงจะตายนะ แต่ว่าพอตอนเย็นไอ้เจ้าหนูคนนั้นกลับมา อ้าวเอ็งไม่ได้ไปที่เตาอิฐเหรอ ผมไม่ได้ไปน้องเขาไป แล้วน้องเอาจดหมายไปไหม เอาไปด้วย อ้าวตายแล้ว เศรษฐีก็ขี่ม้ารวดเร็วไปที่เตาอิฐ ร้องตะโกนว่าอย่าเผาๆ เผาจริงไปเรียบร้อยแล้ว ไอ้เจ้าคนเผาอิฐก็บอกว่าเรียบร้อยแล้วๆ ก็เลยเสียใจ นี่เรียกว่าประทุษร้ายผู้อื่น เลยบาปกรรมตกแก่ตัวเอง เด็กคนนั้นหาได้ตายไม่ อยู่ต่อมาแล้วก็เศรษฐีถึงแก่กรรมก็ได้เป็นเศรษฐี ตำแหน่งเศรษฐีแทนพ่อบุญธรรมต่อไป นี่คนมันไม่ถึงที่ตายมันก็ไม่ตาย อยู่ได้
เมื่อสมัยสงครามญี่ปุ่นนี่นั่งรถไฟ คนสองคนนั่งรถไฟ คนหนึ่งนั่งด้านนี้ คนหนึ่งนั่งด้านนี้ คุยกันไปคุยกันมา คุยไป ไอ้เรือบินมันมาทิ้งขบวนรถไฟ กระสุนที่ทะลุหลังคารถไฟลงมาถูกคนนั่งด้านนี้ ไอ้คนนี้ไม่เป็นไรน่ะพลาดนิดเดียว คนนี้พลาดนิดเดียว ถูกเอาคนนี้ได้รับความตาย ถึงตาย กระสุนมันใหญ่เจาะหัวลงมาเลยตาย มันเป็นอย่างนั้นก็มี แล้วก็ท่านมหาจำรัสกับเจ้าคุณหลังสวนพบกันในรถไฟคุยกัน คุยกันในรถไฟคุยไปคุยมา ไอ้คนขี้เมามันชอบเอาหินขว้างรถไฟ กลางคืนมันขว้าง ท่านเจ้าคุณหลังสวนนั่ง โยกมาหน่อย ท่านมหาก็ก้มมาหน่อย โป้งพอดีเลย หินก้อนเท่านี้ โป้ง มึนไปเลย บวมไป ไม่ตาย แต่ว่าไม่ตาย บอกว่าคุยกันสองคน มันถูกผมพอดีถูกด้านนี้ ก้มไปหน่อย โป้งมานี่ นี่คนมันจะถึงเวลาเจ็บมันก็เป็นไปตามเรื่อง ของคนที่จะเจ็บที่จะตาย อย่างนั้นแหล่ะ มันเป็นเรื่องธรรมดา คนบางคนจะไปตายมันก็ไม่ตายเพื่อนดึงไว้ แต่บางคนไม่อยากไปก็ตายเพราะเพื่อนดึงอีกเหมือนกัน ดึงกันไปมีบ่อยๆ เรื่องอย่างนี้มีบ่อยๆ
เรากำหนดรู้ไม่ได้ว่าข้างหน้าของเราคืออะไร มีอะไรจะเกิดขึ้นในชีวิตของเรามันรู้ไม่ได้ เพราะมันเป็นไปตามเรื่องของธรรมชาติ แต่ว่าเราต้องเตรียมตัวไว้ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นเราก็ต้องบอกตัวเองว่ามันอาจจะเป็นอะไรก็ได้ อย่าไปวิตกกังวลให้มันมากเกินไป
ตัวอย่างเช่น ในเวลานี้คนวิตกกังวลกันมากเรื่องเกี่ยวกับข้าวของแพง ของที่มันแพงก็เพราะเงินค่ามันน้อย ค่าของเงินมันตกของก็เลยแพง ความจริงของก็ไม่ได้แพงแต่ว่าเงินมันถูก เลยของแพง อันนี้คนอยู่ในเมืองใหญ่นี่ก็มีความวิตกกังวล เพราะเคยกินเคยใช้เคยเที่ยวเคยสนุกกันมาก พอเงินมันตกลงไปไม่สบายใจ มีความทุกข์ มีความเดือดร้อนใจ นี้คนตามชนบทบ้านนอกเขาทุกข์มากไหม เขาก็อย่างนั้นไม่ได้ทุกข์มากมายอะไร เพราะอะไร เพราะเขาอยู่ตามธรรมชาติ เขามีข้าวสารเป็นทุนสำรองอยู่แล้ว เพราะเขาทำนาเก็บข้าวไว้กิน ไอ้ที่ขายก็ขายไปแต่ส่วนหนึ่งแบ่งไว้กิน เขากะว่ากินปีหนึ่งเท่านั้น เขาก็เก็บไว้ แล้วเอาไปทำเป็นข้าวสาร สมัยก่อนเขาสีเองตำเอง หลวงพ่อเมื่อเด็กๆ กลับจากโรงเรียนต้องสีข้าวทุกวัน ครกสีแบบโบราณดึงออกกำลังดี สีข้าวทีละกระสอบ สีข้าวข้าวเปลือกให้เป็นข้าวสาร สีแล้วก็ต้องเอาไปซ้อมอีกที ขัดให้เอารำบางส่วนออกไปทำอย่างนั้น
ถ้าว่าฝนจะตกนี่เขาต้องเตรียมตัวแล้ว เช่นว่าเดือนอ้ายนี้ฝนตกหนัก น้ำท่วมบ้านท่วมเมือง แสงแดดไม่มีที่จะตากข้าว เขาก็ต้องเตรียมไว้ เตรียมข้าวสารไว้สำหรับไว้กินในตอนฤดูฝน มันไม่ประมาท พอฝนตกเดือนนั้นฝนแล้ง ควรจะเตรียมอะไรไว้บ้างเขาก็เตรียมไว้ เรื่องข้าวสารนี้เป็นหลักสำคัญเตรียมไว้ ไม้ฟืนเขาก็เตรียมไว้ พอตอนฝนตกไม้มันเปียกหมดเอามาติดไฟไม่ได้ เพราะฉะนั้นต้องเตรียมไม้ฟืนเอามาไว้ใต้ถุนบ้าน ในที่สูงที่จะน้ำไม่ท่วม พอใช้สำหรับฝนตกเดือนหนึ่งคือเดือนอ้าย พอถึงเดือนยี่ฝนหายแล้วอากาศสบาย ไม่ประมาท เขาทำกันไว้ทุกบ้านทุกช่อง ไม่เดือดร้อนอะไร น้ำจะท่วมก็ไม่เดือดร้อนเพราะเขาเตรียมไว้แล้ว
แต่ว่ามันบางแห่งมันท่วมรุนแรง เหมือนกับน้ำท่วมชุมพร สุราษฎร์มันแรงเกินไป มันท่วมถึงหลังคา อะไรที่เตรียมไว้มันก็เสียหายไปหมด เพราะมันมากเกินไป น้ำมันมาก สมัยนี้เพราะอะไร เพราะว่าคนเราช่วยกันทำลายธรรมชาติ ทำลายธรรมชาติให้เสียดุล ทำลายธรรมชาติคือตัดป่ามากๆ โค่นต้นไม้ ต้นไม้จึงมากองอยู่ที่โรงเรื่อย นั่งรถผ่านทีไรมันไม่ใช่น้อยต้นใหญ่ๆ ตัดมากอง ป่ามันก็เตียนแหล่ะ ป่าเตียนฝนมันก็ตก ถ้าไม่ตกก็แล้งไปเลย แต่พอฝนตกไม่มีป่ารับน้ำ ต้นไม้ใหญ่มันใบมันครึ้ม ฝนตกลงมาก็ใบไม้มารับน้ำฝน ไม่ให้กระทบดินแรง ไม่ให้ชะดิน มันก็อยู่ได้ตามธรรมชาติ แต่พอเราตัดป่าเตียนลงไป ฝนตกก็ชะดิน เพราะฉะนั้นน้ำที่ไหลมาในแม่น้ำฤดูฝนนี่ขุ่นเป็นตมเลย เป็นตมเลยทีเดียว เพราะเอาดินมาเยอะแยะ โดยเฉพาะแม่โขงเวลาน้ำมาท่วมล้นตลิ่งเข้ามาในวัด เอาโคลนมาให้วัดเต็มโบสถ์เลยครึ่งโบสถ์ วัดนั้นชื่อวัดหายโศก แต่พอน้ำท่วมนี่มันโศกหาย ไม่ใช่หายโศก เรียกว่าโศกมันหายไป เพราะว่าลำบาก พบสมภารโอ๊ยวัดผมแย่ ท่านเจ้าคุณเป็นไง แม่น้ำเอาดินมาใส่โบสถ์ให้ครึ่งโบสถ์ ชดเชยเพราะว่าเขาเอาดินวัดไปหลายปี เซาะตลิ่งวัดไปหลายปีแล้ว คราวนี้เอามาชดเชย ท่านบ่นว่าชดเชยแบบนี้ไม่ไหว ต้องขนดินออกไปจากโบสถ์เอาไปทิ้งข้างนอก ได้ออกกำลังดีเหมือนกัน ฉันเพลแล้วก็ได้ขนดินไม่นอนจำวัด ท่านหัวเราะแหะๆ มันเป็นอย่างนั้น
น้ำขุ่น ลองตักน้ำใส่ขันมา ขันขนาดนี้นะ ตักน้ำใส่ขันให้เต็มแล้วก็วางทิ้งไว้ มันตกตะกอนหนาตั้งสามนิ้ว ดินโคลนที่อยู่ในขันหนาสามนิ้ว หนาแค่นี้ มันมากมายถึงขนาดนั้น ปริมาณดินที่เอามา มาถมแม่น้ำให้ตื้นให้เขิน เพราะฉะนั้นน้ำแม่น้ำทุกสายตื้นเขินเพราะตะกอนที่ไหลมาจากบนภูเขา อันนี้ใครทำให้เกิดตะกอนก็คน นักตัดไม้ทำลายป่า เจ้าของโรงเลื่อยทั้งหลายได้รับสัมปทาน ตัดนอกเขตสัมปทานบ้างในเขตสัมปทานบ้าง พวกนี้ทำลายป่ากันมากจึงเกิดปัญหาความทุกข์ ความเดือดร้อนเกิดขึ้น เพราะเราทำลาย ทำลายพระราหูคือโลกนี่เขาเรียกว่าราหู ราหูไม่ให้ร้ายเราหรอกอย่าไปเชื่อหมอดูปัญญาอ่อน ที่หลอกให้เราไปซื้อเหรียญ
วันก่อนนี่วัดศีรษะทองเขาหลอกคนให้ไปไหว้ราหู แล้วทำใหญ่ ท่านราหูใหญ่เสียเงินชาวบ้านไปเยอะแยะ มันไม่ถูกต้อง สร้างสิ่งโง่ๆ ไว้ในวัดนี่มันไม่ถูกต้อง แล้วหลอกคนให้ไปไหว้ เขียนจดหมายมาเชิญ คุณหญิงพันเครือ ยงใจยุทธ ให้ไปจุดเทียนหน่อย ดีคุณหญิงไม่อยู่ไปเมืองนอก ยังอยู่เมืองนอกตอนนี้ยังไม่กลับ ถ้ากลับมาต้องไปจุดเทียนนั้น เขาเรียกว่าไปส่งเสริมความโง่ของวัดนั้นเท่านั้นเอง ไม่ได้เรื่องอะไร ผู้หลักผู้ใหญ่นี่ก็ควรดูเหมือนกัน เขาเชิญไปทำอะไรไม่จำเป็นก็อย่าไป เพราะว่าไปแล้วเป็นการส่งเสริมความโง่เราก็ไม่ควรไป แต่ว่าไปแล้วส่งเสริมความฉลาดก็ไปหน่อย เพราะว่าส่งเสริมปัญญา แต่ส่งเสริมอวิชชานี่อย่าไปดีกว่า เท่านั้นก็เลยคุณหญิงไม่ได้ไปเพราะไม่อยู่ ก็ดีแล้ว
ถามคนที่มาวัดนี้ว่าคุณหญิงกลับหรือยัง ยัง คือถ้ากลับมาอยากจะไปพบสักหน่อย ไปคุยกับท่านหน่อยบอกว่าให้ระวังหน่อย ใครเชิญไปไหนต้องระวัง ให้พิจารณาด้วยปัญญา ถ้าเขาเชิญไปทำสิ่งโง่ๆ อย่าไปส่งเสริมนะ เพราะว่าคนมันโง่กันอยู่พอแล้ว เราอย่าไปส่งเสริมความโง่ของประชาชน แต่ถ้าเขาเชิญไปทำอะไรที่มันก้าวหน้า เป็นไปในทางที่ถูกที่ชอบแล้วก็ควรไป อย่าไปถือสิ่งเหลวไหลมันเป็นตัวอย่างที่ไม่ดี ต้องการพบไปคุยกับท่านอย่างนั้น แต่ว่ายังไม่มีโอกาส ยังไม่กลับ ถามอยู่ถ้ากลับมาก็อยากจะไปเยี่ยมท่าน ว่าไปเมืองนอกเป็นอย่างไร สะดวกสบายดีไหม คุยเรื่องอื่นกันก่อน แล้วก็ค่อยคุยเรื่องธุระที่จะพบ ไปเตือนไปสอนท่าน
ผู้ใหญ่นี่บางทีไม่มีพี่เลี้ยงที่คอยชี้คอยเตือน มีแต่คนประจบสอพลอ
ไปยุให้ทำนั่น ยุให้ทำนี่ ทำตามทั้งนั้น เอาใจคน คราวนี้มันเสียหาย เพราะว่าไม่มีพี่เลี้ยง พระเจ้า ปเสนทิโกศลในกรุงสาวัตถี แกฝัน ฝัน ก็ฝันธรรมดานี่ คือฝัน ๑๖ ข้อ เขาเรียกว่าทำนายฝันปัตเถวน ท้าวปัตเถวนนั้นคือท้าวปเสนทิโกศลนี่เอง มี ๑๖ ข้อ วันต่อไปจะไปค้นมาเทศน์ให้โยมฟังว่าไอ้ ๑๖ ข้อที่ฝันนั้นมีอะไรบ้าง คราวนี้เมื่อฝันแล้วก็กลัวมีเรื่องแปลกๆ ไปถามปุโรหิต ปุโรหิตก็คือพวกพราหมณ์ผู้เฒ่าผู้แก่ที่มีความรู้ในเรื่องไสยศาสตร์ ถามปุโรหิตว่าเรื่องนี้ร้ายมาก จะเกิดภัยอันตรายแก่ราชสมบัติแก่พระองค์จะต้องแก้ แก้อย่างไร พวกนั้นก็บอกว่าให้แก้บูชายัญด้วยสัตว์ห้าร้อย แกะห้าร้อย แพะห้าร้อย วัวห้าร้อย ม้าห้าร้อย ไม่ได้เอาคนบูชาห้าร้อยคนด้วยเท่านั้นเอง ก็เตรียมขุดสระใหญ่ทำหลุมแล้วเอาไม้ท่อนใหญ่ๆ มาจุดไฟเผาให้คุเป็นถ่าน ควันโขมง แล้วเอาสัตว์มาอย่างละห้าร้อยๆ พาไปอาบน้ำขัดสีฉวีวรรณให้มันสะอาดหน่อย เทวดาไม่ชอบสัตว์สกปรก อาบน้ำแล้วทาแป้งเอาน้ำมันมาทาจุนเจิม ทำแบบเขา ทำทุกอย่าง
พอดีพระราชินีชื่อมัลลิกาเทวีได้ทราบข่าว ก็เลยไปถามว่า พระองค์กำลังจะทำอะไร โอ้เธอเอ๋ยฉันฝันร้าย ปุโรหิตเขาบอกว่าจะเสียหายแก่ตัวฉัน และราชบัลลังก์แก่ส่วนรวมคือประเทศ ฉันจึงจะทำบูชายัญด้วยสัตว์ห้าร้อยๆ เอ๊ะถูกต้องหรือ เราบูชายัญด้วยสัตว์ก็เท่ากับเราฆ่าสัตว์ ศาสนาฮินดูสอนว่า อหิงสา ปรโม ธัมโม การไม่เบียดเบียนเป็นธรรมสูงสุด นี้เราเบียดเบียนสัตว์มันก็เสียหาย ทำไมพระองค์ไม่ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ไม่ไปถามพระพุทธเจ้าให้รู้เรื่องว่าเรื่องมันเป็นอย่างไร โอ้ดี งดไว้ก่อนเรื่องบูชายัญพักไว้ก่อน ไปหาพระพุทธเจ้าไปกับมเหสี ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า เมื่อไปเล่าเรื่องให้ฟัง พระพุทธเจ้าว่าไม่มีอะไร เรื่องที่ฝันทั้งหมดไม่ได้เกิดขึ้นแก่มหาบพิตร ไม่ได้เกิดแก่ราชอาณาจักรในสมัยนี้ แต่มันเป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นในกาลต่อไปข้างหน้า คือเกิดอยู่ในปัจจุบันนี่แหล่ะ เรื่องเหล่านั้นมันเกิดอยู่ในปัจจุบัน ถ้าเราไปดูคำทักที่ฝันนะกับเรื่องปัจจุบันมันเท่ากัน เรื่องความยุ่งยากของโลก ความเดือดร้อน ความวุ่นวาย ความไร้ศีลธรรม มันปรากฎอยู่ในสมัยนี้ พระองค์บอกว่าในสมัยต่อไปข้างหน้าไม่ใช่เวลานี้ เมื่อพระเจ้าปเสนทิโกศลได้ฟังแล้วก็คลายกังวล กลับมาก็สั่งให้เลิกหมด เอาน้ำมาดับไฟในหลุมยัญ ปล่อยสัตว์เหล่านั้นให้เป็นอิสระปลอดภัยไป มันเป็นอย่างนี้ เรื่องบูชายัญทำกันอย่างนั้นเพื่อทายชีวิต (25.13) เพื่อเอาความสุขให้ตน แต่ไปทำให้สัตว์ทั้งหลายเดือดร้อน แล้วจะเป็นสุขอย่างไร
พระพุทธเจ้าตรัสว่าผู้ที่ต้องการความสุขเพื่อตน แต่ทำคนอื่นให้เดือดร้อนจะไม่ได้รับความสุขสมใจ แต่ว่าถ้าเราต้องการความสุขก็ต้องทำให้ผู้อื่นเป็นสุขด้วย จึงจะได้ความสุขสมใจ เรื่องเป็นอย่างนี้
อันนี้เมื่อสมัยพระพุทธเจ้ายังไม่บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ ยังเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ นักบวชเป็นนักบวช แล้วก็วันคราวหนึ่งก็เข้าไปในเมืองราชคฤห์ เขาต้อนแกะเป็นฝูง แกะตัวหนึ่งขามันง่อย เดินอยู่หลังเพื่อน พระองค์ก็อุ้มมันไป อุ้มตามไปจนไปทันคนที่เป็นหัวหน้านำฝูงแกะ ถามว่าท่านจะนำฝูงแกะไปไหนมากมายอย่างนี้ บอกว่าจะเอาไปถวายพระราชา เอ๊ะพระราชาทำไมต้องการแกะมากมาย เพราะพระราชาจะต้องทำยัญญกรรม คือทำการบูชายัญ สมัยก่อนเขาบูชายัญกันบ่อยๆ ถือว่าเป็นทางไปสวรรค์ อ้ออย่างนั้นหรือเราไปด้วย ท่านก็อุ้มแกะตัวน้อยนั้นไปด้วย ไปจนได้พบกับพระราชา แล้วอุ้มแกะตัวนั้นไปพบพระราชา ก็ถามว่าพระองค์กำลังทำอะไร บอกว่ากำลังจะทำพิธีบูชายัญด้วยสัตว์จำนวนห้าร้อย
พระองค์ก็เล่าถึงเรื่องบูชายัญในสมัยก่อน ว่าพระเจ้าแผ่นดินพระองค์หนึ่งทำการบูชายัญ แต่ไม่ได้ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตไม่ได้ทำอะไร เล่าเรื่องไว้สูตรๆ หนึ่งเรื่องยัญญกรรมนี่ แล้วผลที่สุดพระเจ้าแผ่นดินได้ฟังแล้วก็เลยงดไม่ทำการบูชายัญ แกะห้าร้อยตัวก็ปลอดภัย พระองค์ก็ปล่อยแกะน้อยขาเปี้ยนั้นไปอยู่ในฝูงต่อไป พระพุทธเจ้าท่านทรงปฏิรูปเปลี่ยนแปลง กิจกรรมที่เห็นว่าเป็นการเบียดเบียนผู้อื่น ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนไม่สมควรกระทำ ให้กระทำสิ่งที่ถูกต้องทรงเปลี่ยนแปลง ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นในโลก การบูชายัญก็ยังมีอยู่ บางครั้งก็เอาคนมาบูชายัญ ฆ่าคนทิ้งลงไปในหลุมไฟ จำนวนเท่านั้นเท่านี้เป็นการทารุณโหดร้ายมาก มันไม่ควรกระทำ ผิดหลักศาสนา แต่ว่ามีความเชื่อในรูปอย่างนั้น ก็ทำกันอย่างนั้น พอมาถึงยุคพระพุทธเจ้าก็ทรงเปลี่ยนแนวทาง ไม่ให้ทำอย่างนั้น แต่ให้ทำอย่างอื่นที่เป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์ทั้งหลายแก่คนทั้งหลาย ทรงเปลี่ยนแปลงไปอย่างนั้น
พระพุทธศาสนาเรานั้น ไม่มีพิธีกรรมอะไรที่จะแก้ปัญหาความทุกข์ความเดือดร้อน แต่ว่าให้ทำโดยค้นหาเหตุของสิ่งนั้น แล้วแก้เหตุของสิ่งนั้น เพราะว่าสิ่งทั้งหลายเกิดจากเหตุ ไม่มีเหตุผลเกิดไม่ได้ อันนี้เราจะต้องแก้ที่เหตุ
เรื่องเหตุเศรษฐกิจตกต่ำก็ต้องรู้ว่าเหตุมันอยู่ที่อะไร ก็ต้องช่วยกันหาเหตุ แล้วช่วยกันแก้เหตุนั้น ไม่ให้เกิดขึ้นปรากฎต่อไป จึงจะเป็นการแก้ที่ถูกต้อง แต่การแก้ด้วยวิธีอื่นอาจจะไม่ถูกต้อง แต่ก็ทำไปตามเรื่องตามราว ใครมาแนะนำให้ทำอะไรก็ทำไป เพื่อจะให้เบาบรรเทาเบาบาง มีพิธีกรรมต่างๆ เกิดขึ้นเพื่อบรรเทาเบาบาง มันแก้ไม่ได้หรอก วิธีแก้ที่ถูกต้องก็ต้องสอนคนให้เข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร แล้วคนควรจะกระทำอะไรให้เป็นการถูกต้อง พระสงฆ์องค์เจ้าเรามีมาก เวลานี้ควรจะตั้งองค์การขึ้น องค์การออกไปพบประชาชน ให้พระไปพบประชาชน ไปพูดให้ประชาชนเข้าใจ ในกรุงเทพต้องนัดพบประชาชนที่ท้องสนามหลวง หรือที่สนามกีฬาแห่งชาติสนามศุภชลาศัย ดีกว่าเอาฝรั่งบ้าๆ บอๆ มาร้องเพลง จนเวทีพังไป อันนี้ก็นัดคนมาฟังกันที่นั่น เอาพระที่มีความรู้มีความสามารถไปพูดจาทำความเข้าใจกับประชาชน เป็นการปลอบใจให้เขาได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไรถูกต้อง จะเป็นการที่แก้ปัญหาถูกจุด เพราะคนจะได้ช่วยกันคิดช่วยกันทำ ในเรื่องที่ควรคิดควรทำให้เป็นการถูกต้อง ที่สนามหลวงก็ได้ วันไหนดินฟ้าอากาศแจ่มๆ ฝนไม่ตกฟ้าไม่ร้อง ก็นัดประชุมกันกลางสนามหลวง เอาพระไปพูด จะนิมนต์หลวงพ่อไปพูดก็ยังได้ ยินดีเต็มใจอยู่ตลอดเวลา พูดให้คนฟังกันเป็นการใหญ่เลย อย่างนี้แหล่ะเรียกว่าแก้ถูกจุด เพราะทำคนให้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร แล้วเขาจะได้ไปแก้ไขตัวของเขาเอง ไม่ใช่แก้โดยวิธีไสยศาสตร์เช่นทำกันอยู่ทั่วๆ ไปอย่างนั้นมันแก้ไม่ได้ เพราะไม่ได้แก้ที่เหตุ
อันนี้พวกโหรก็ถือโอกาสนี้นี่แหล่ะ เนื่องจากจันทรุปราคา เรือบินถึงได้ตก คนถึงได้ตาย เศรษฐกิจจึงตกต่ำ เพราะมีจันทรุปราคา พูดหลอกคนโง่ทั้งนั้น ไม่ได้พูดให้คนฉลาดขึ้นเลย ไปเที่ยวใส่เรื่อง หาเรื่องใส่ แล้วมักถือโอกาสเอาเรื่องที่มันมีอะไรเกิดขึ้น สมมติว่ามีใครที่ไม่เจ็บไม่ตายสักคนหนึ่ง เหมือนอาเหลียงที่มันไม่ตาย คนไปถามว่ามีพระอะไรบ้าง อาเหลียงมีพระอะไรห้อยคอบ้าง พ่อบอกว่าเคยเอารูปหลวงพ่อโสธรไปให้ แต่มันแขวนคอหรือเปล่าก็ไม่รู้ ไอ้พวกจะขายพระอีกล่ะ เอาไปโฆษณาว่าโอ้อาเหลียงที่มันรอดอยู่ได้เพราะหลวงพ่อโสธรช่วย คนก็ตื่นเต้นไปซื้อหลวงพ่อโสธรกันเป็นการใหญ่ เอามาห้อยคอไว้ อย่างนี้เขาเรียกว่าแก้ภายนนอก ไม่ได้แก้ภายใน ไม่ได้แก้ตรงเป้า เป็นเครื่องปลอบใจนิดๆ หน่อยๆ
ถ้าเรามีพระข้างนอกยังช่วยไม่ได้ ต้องมีพระข้างในจึงจะช่วยได้
พระข้างในคืออะไร คือ การประพฤติดีประพฤติชอบ ตามคำสอนของพระพุทธเจ้าเรียกว่าพระข้างใน เรามีชีวิตชอบทำตนอยู่ในทางสุจริตไม่ผิดกฏหมาย ไม่ผิดศีลธรรม ไม่ทำอะไรที่เป็นเรื่องเสียหาย อย่างนี้สิ่งนั้นแหล่ะจะช่วยป้องกันเราไม่ให้เกิดอันตราย เพราะเราเป็นคนที่ไม่ประมาทไม่มัวเมา จะไปไหนจะทำอะไรก็ต้องไม่ประมาท ต้องคิด ต้องดูให้มันรอบคอบ วันก่อนนี้เรือบินจะขึ้นจากจังหวัดสุราษฎร์ แต่ว่าฝนมันตกหนัก ท้องฟ้าครึ้มหมด เขาไม่ให้ขึ้น เขาบอกว่าให้ขึ้นไม่ได้เพราะท้องฟ้าไม่เปิด ให้รอไปก่อน วันนั้นมหาจัญญามาเรือบินลำนั้นต้องรออยู่ครึ่งชั่วโมง ฝนจึงหยุดพายุหยุดขึ้นเรือบินมาได้ วันก่อนนั้นหลวงพ่อไปภูเก็ต ก็ต้องขึ้นไปนั่งอยู่บนเรือประมาณสี่สิบนาทีออกไม่ได้ ถามเจ้าหน้าที่บอกทำไมปล่อยให้นั่งรออยู่เฉยๆ ไม่ได้หลวงพ่อเวลานี้ลมแรงพายุใหญ่ปะทะสนามบินภูเก็ตขึ้นไม่ได้ กลัวว่าเรือบินจะขึ้น ลมมันจะตี มันบินไม่ขึ้น แล้วก็จะเสียหาย อ๋ออย่างนั้น ไม่เป็นไร ก็เลยนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อะไรไปตามเรื่องตามราว ประมาณสี่สิบนาทีท้องฟ้าสว่างก็บินขึ้นได้ มากรุงเทพได้ นี่เขากลัว เขามีความไม่ประมาท เรานั่งรถยนต์ไปไหนก็ต้องดู ดูรถ ดูแบตเตอรี่ ดูเครื่อง ดูล้อ มีอะไหล่หรือเปล่า มันก็จะเรียบร้อย
คราวหนึ่งไปจังหวัดระยอง เวลาขากลับนี่ท่านผู้ว่าการจังหวัดในสมัยนั้น ชื่อนายเลื่อน ไขแสง แกก็ดีบอกว่าผมจะจัดรถไปส่งหลวงพ่อถึงกรุงเทพ ถึงวัด ท่านพักวัด แกก็จัดรถมา พอรถมาถึงถามว่าเป็นไงรถยางเรียบร้อยไหม เรียบร้อยครับ ยางอะไหล่มีไหม มีครับ น้ำมันพอไหม พอครับ เรียบร้อย มันตอบครับทั้งนั้น ทีนี้ก็ออกรถเลย ออกรถมาไม่ถึงสิบกิโลยางแตก ยางแตกแล้ว แล้วบอกว่าไหนล่ะยางอะไหล่มี มีครับแต่ไม่มีลม มียางแต่ไม่มีลมจะใส่อย่างไร แล้วจะไปอย่างไรล่ะ หลวงพ่อรออยู่นี่ ผมจะเอายางเข้าเมือง เอายางไปสูบลมในเมืองไปแก้ไข ให้หลวงพ่ออยู่ตรงนั้น คราวนี้จะไปรออยู่คนเดียวก็กระไร เข้าไปในบ้าน ขึ้นไปบนบ้านไปคุยกับชาวบ้าน เผยแพร่ธรรมะไปในตัว คุยกัน คนก็มาห้อมล้อม พอรู้ข่าวว่าโอ้ท่านปัญญาที่เราเคยฟังวิทยุมา มากันใหญ่ ชาวบ้านแถบนั้นรู้ข่าวมาคุยกัน คุยกันชั่วโมงกว่า ยางยังไม่มา คุยต่อ รอยางมา มาก็ใส่ยางเรียบร้อยขับมา พอมาถึงเลยชลบุรีหน่อยมันมีทางเบี่ยง คราวนี้เข้าทางเบี่ยง พอเข้าทางเบี่ยงเครื่องหยุดปั๊บเลย อะไรๆ อะไรอีกล่ะเธอ เอ๊ะเครื่องหยุดครับ เอ๊ะทำไมมันหยุดล่ะ สตาร์ทๆ ไม่ติด ไปดู โอ้แบตเตอรี่หมดแล้วครับ ไม่ได้ถามว่าแบตเตอรี่พร้อมหรือเปล่า แบตเตอรี่ไม่มีครับ อ้าวแล้วกันแล้วจะไปอย่างไร ไปไม่ได้ครับ เพราะไม่มีแบตเตอรี่จะชาร์ทรถ อ้าวทำไม เข็นๆ ให้พ้นทางเบี่ยงจอดโน้น จอดอยู่
จอดอยู่สักประมาณชั่วโมงกว่า มีรถมาจากระยองมาถึงถามรถที่ไปส่งท่านเจ้าคุณปัญญาใช่ไหม ใช่ครับ ท่านผู้ว่าการท่านสั่งมา บอกว่าไปทางนั้นถ้าเห็นรถที่ไปส่งท่านเจ้าคุณเสียก็รับไปด้วย ผู้ว่าการแกก็ฉลาดเหมือนกันรอบคอบ รู้ว่ารถของแกมันไม่ได้เรื่อง มันต้องมาเสียกลางทาง เลยสั่งรถที่มาถามบอกว่าถ้าพบท่านเจ้าคุณก็ฝากไปด้วย เขาก็เลยพามาส่งถึงวัดมหาธาตุ นี่มันเป็นอย่างนั้น นี่คือความประมาทของคนขับ ที่ไม่ค่อยดูแลรถให้เรียบร้อย พอรถเข้าโรงก็ไปเที่ยวเล่นบิลเลียด ไปเล่นหมากรุก ไปดื่มอะไรกันตามเรื่อง ไม่ได้ตรวจตราดูแลว่ารถนี่มันบกพร่องอะไร จะไปไหนควรจะปรับปรุงแก้ไขให้เรียบร้อย แต่ถามมันก็ว่า ยางอะไหล่มีไหม มีครับ แต่ไม่มีลม มันใส่ไว้ทำไมยางไม่มีลม มันจะใช้ได้เมื่อไร มันต้องไปสูบลม แบตเตอรี่มาหน่อยก็หมดสตาร์ทรถไม่ติด มันเสียหายเพราะความประมาท ไม่ใช่เรื่องอะไร
เพราะฉะนั้นเราต้องระมัดระวังไปไหนระวัง อย่าไปทำอะไรที่หมิ่นเหม่จะเกิดอันตราย เดี๋ยวนี้อันตรายมันเยอะที่จะทำให้เราเสียหายมีรอบทิศรอบด้าน เผลอไม่ได้ วันก่อนนี้คนจังหวัดชุมพร (38.40) อำเภอหลังสวน ไปเป็นอุตสาหกรรมจังหวัดอยู่เมืองเลย แล้วก็ลงมากรุงเทพ ลงมากรุงเทพก็ไปยืนอยู่กลางเกาะน่ะ ยืนรอรถจะข้าม แต่ว่ามันยังไม่มีช่อง ก็ยืนๆ ไอ้รถสิบล้อคันหนึ่งมันไม่รู้ว่าเผ่นมาจากไหน มันกระโดดมาชนปังเข้าให้ เรียบร้อย เอาศพมาตั้งไว้ที่นี่ บอกไปยืนอยู่กลางเกาะ มันรถยังชนได้ มันคงจะเป็นเวรเป็นกรรมของคนนั้นนะ มันไม่น่าตาย ยืนอยู่บนทางเกาะน่ะ แต่รถมันเหาะขึ้นมาชนได้ ไอ้คนขับสิบล้อนั้นก็เก่งเหมือนกัน ควรจะให้ถ้วยรางวัลมันขับรถดี มันก็ถูกจับไหม ไม่ได้จับมันไปแล้วเหลือแต่รถทิ้งไว้ มันไปแล้ว มันเป็นอย่างนั้น อันตราย
อย่าไปยืนตรงไหน ยืนต้องดูข้าง ดูรอบๆ อันตรายไหมตรงนี้ ถ้าเห็นว่าไม่เหมาะก็รีบไปเสีย ให้พ้นไปอยู่ที่ปลอดภัยหน่อย ทำอะไรมันต้องคิดต้องตรอง ต้องใช้สติปัญญาให้รอบคอบ จึงจะอยู่ได้ แล้วก็ในสมัยปัจจุบันนี้ไม่มีทางใดที่เราจะแก้ปัญหาเศรษฐกิจในครอบครัวได้ นอกจากว่าประหยัดอดออมเท่านั้น ต้องตัดเรื่องที่ไม่จำเป็นออก ต้องประชุมคนในครอบครัว การประชุมกันปรารภสู่กันฟังว่า พ่อมีเงินเดือนเท่านี้ แม่มีเงินเดือนเท่านี้ รวมแล้วก็ได้เงินเท่านี้ แต่เงินเท่านี้เวลานี้ค่าของเงินมันตก มันเหลือเพียงเท่านั้น เงินหนึ่งบาทนี่มันเหลืออยู่ราวสี่สิบสตางค์แล้ว ไม่ได้มากมายอะไร เพราะฉะนั้นต้องจำกัดจำเขี่ยในเรื่องการกินการใช้ บอกลูกให้เข้าใจ ลูกขอสตางค์คุณแม่ไปโรงเรียนมากก็ไม่ได้ เพราะสตางค์มันไม่ค่อยมี ต้องประหยัด อะไรไม่จำเป็นก็อย่ากินอย่าใช้ ดื่มน้ำถ้ากินโค้กราคามันแพง ถ้าดื่มน้ำธรรมดาที่สะอาดคงจะถูกหน่อย ตามร้านขายอาหารเขามีน้ำขวดสะอาดราคามันไม่แพงเท่าไร ก็ดื่มน้ำไม่ต้องดื่มโค้ก เด็กนักเรียนกินโค้กวันหนึ่งหลายขวด แล้วก็ติดโค้ก ติดเป๊บซี่ ติดสไปร์ทติดอะไร เยอะแยะน้ำอัดลมทั้งนั้น ซึ่งความจริงมันเป็นประโยชน์แก่ร่างกายน้อย มันมีน้ำตาลนิดหน่อยเท่านั้นเอง ที่เป็นประโยชน์แก่ร่างกาย ถ้าเราอยากได้น้ำตาลก็ซื้อน้ำตาลทรายใส่ปากเคี้ยวกลืนลงไปมันก็พอแล้ว ไม่ต้องเอาละลายน้ำโค้กใส่ มันก็กินได้ สอนให้ลูกกินอยู่อย่างประหยัด
เครื่องนุ่งห่มก็เอาแต่พอสมควร มีกี่ชุดแล้ว กางเกงเสื้อก็ใช้เท่านั้น ปีนี้ไม่ต้องซื้อใหม่ สมุดดินสอปากกาก็ต้องใช้อย่างประหยัด อย่าฟุ่มเฟือยสุรุ่ยสุร่าย อาหารการกินก็กินเท่าที่จำเป็น มากินกันที่บ้าน แม่บ้านก็ทำอาหารให้ลูกกินพอสมควร ทำน้ำส้มน้ำหวานสดๆ ให้เขาได้กินบ้าง ผลไม้มีเราก็เอามาทำเป็นน้ำซุป หาเครื่องมาไว้อันหนึ่งใส่บด น้ำสัปปะรดสดๆ น้ำส้มสดๆ อะไรๆ ให้เด็กได้กินมีประโยชน์แก่ร่างกาย แล้วให้กินเป็นเวลา พอถึงเวลากินก็กินทั้งคาวทั้งหวานเสร็จหมด พ้นเวลานั้นปิดตู้ใส่กุญแจไม่ให้เปิดกินพร่ำเพรื่อ หัดลูกไว้ให้กินเป็นเวลาเรื่องมันก็ไม่เสียหาย แล้วก็รู้จักบังคับตัวเองมีความอดทน มีความอดกลั้น มีความเสียสละในเรื่องที่ควรเสียสละ ชีวิตมันก็ดีขึ้นเรียบร้อยขึ้น
การจัดงานสังสรรค์อะไรต่างๆ เด็กเวลานี้พอถึงวันเกิดรบกวนคุณแม่ วันเกิดหนูจะจัดงานวันเกิด มันเอาอย่างผู้ใหญ่ เพราะผู้ใหญ่ชอบจัดงานวันเกิดกัน วันเกิดผู้ใหญ่เขาได้กำไร แต่วันเกิดเด็กนี่มันขาดทุนนะเพราะว่าไม่มีใครมาช่วย มีแต่คุณแม่ช่วยอยู่คนเดียวมันก็ขาดทุน วันเกิดผู้ใหญ่คนนั้น เอาแจกันใหญ่มาให้ เอาดอกไม้มาเต็มบ้านเต็มเรือนรกไปหมด แล้วยังแถมใส่ซองมาให้บ้าง บริษัทห้างร้านที่ประมูลนั่นประมูลนี่ก็วันเกิดเอาใส่ซองไปให้ เงินสดนะ เช็คไม่ได้เป็นหลักเป็นฐาน เดี๋ยวฝ่ายค้านเขาจะไปคัดค้านเข้าจะมีปัญหา เพราะฉะนั้นให้เงินสดในวันเกิดเขาว่า วันเกิดนี้มีกำไรเขาจึงจัดใหญ่โต ไม่เสียตังค์เอง บริษัทนั้นจ่ายนั่นบริษัทนั้นจ่ายนี่ จ่ายๆๆ เขาจ่ายให้หมด มีคนรับอาสา บ้านเมืองเรามันเต็มไปด้วยอย่างนี้ คอรัปชั่นกันด้วยประการต่างๆ จึงเกิดความเสียหาย
ทีนี้ถ้าตัดปัญหาเราไม่ทำบุญวันเกิดอย่างนั้น พอถึงวันเกิดก็แอบไปวัด ไปนอนวัดเงียบๆ มาวัด มาวัดชลประทานก็ได้ มาถึงก็ขอกุญแจเข้าโบสถ์หน่อย เข้าโบสถ์ปิดประตูอยู่ในโบสถ์คนเดียว ตอนเที่ยงขออาหารกินสักมื้อหนึ่ง ข้าวราดแกงสักจานก็พอแล้ว วัดก็จัดข้าวราดแกงไปให้น้ำขวดหนึ่งกินเสีย แล้วก็อยู่วัดจนกระทั่งสามทุ่มสี่ทุ่มแอบกลับบ้าน หมดเวลากินเลี้ยง หมดเวลาสนุกสนาน ยังไม่มีใครทำ อยากจะให้ใครเป็นผู้นำในเรื่องนี้ทำเป็นตัวอย่าง วันเกิด
สมัยก่อนนี้ คุณสัญญา ธรรมศักดิ์ ท่านไปอยู่เชียงใหม่เป็นผู้พิพากษาภาค ๕ ท่านอยู่ที่บ้านท่าน แต่พอวันเกิดไปวัดอุโมงค์แต่เช้าเลย เช้ามืดเลยไป โอ้วันนี้ทำไมท่านมาแต่เช้า ท่านว่าวันนี้วันเกิดครับ ผมจะมาอยู่วัด มอบกุฏิให้หลังหนึ่งเปิดให้ท่านก็เข้าไปนั่ง ไปนอนสบายๆ สามทุ่มท่านก็กลับบ้านหมดเวลาเลี้ยง ลูกน้องก็ไม่ต้องเปลืองสตางค์ที่จะเอาของไปเลี้ยง ไอ้พวกเจ้าถ้อยหมอความทั้งหลายก็ไม่ต้องไปประจบท่านประธานเพื่อเลี้ยง ให้อะไรต่ออะไรไปไม่ยุ่ง ถ้าทำอย่างนั้นก็ดี เรียบร้อยไม่เกิดปัญหา เพราะเข้าวัดเสีย คนก็ไม่รู้ว่าท่านไปไหน ท่านไม่บอกใครด้วยว่าไปไหน ท่านแอบไปอยู่วัดอุโมงค์ทั้งวัน นั่งสงบจิตสงบใจพิจารณาตัวเอง ตักเตือนตัวเองแก้ไขตัวเอง นี่มันก็เรียบร้อย เพราะฉะนั้นใครถึงวันเกิดก็มาวัด มานั่งสงบจิตสงบใจที่วัด จะไปยุ่งเรื่องการเลี้ยงการอะไร ทำให้เพื่อนลำบาก
บางคนจัดงานวันเกิดสนุกมาก เลี้ยงเหล้า เลี้ยงข้าว กินกันเต็มที่เลย คนบางคนเหล้ากินโดยไม่เสียสตางค์ ไม่เสียตังค์เอามากๆ หน่อย เลยกลับบ้านไม่ถึงบ้าน รถไปพลิกคว่ำกลางทาง กลายเป็นศพไปก็มี เนื่องจากวันเกิดผู้หลักผู้ใหญ่คนก็กลายเป็นศพไปอย่างนี้มันไม่ถูกต้อง สมัยนี้ต้องพัฒนาแล้วต้องเปลี่ยนแปลง ทำบุญวันเกิดแบบง่ายๆ ให้เป็นการประหยัดอดออม ถ้าเรามีเงินมีทองก็ช่วยทำบุญที่เป็นประโยชน์ ช่วยมูลนิธินั่นมูลนิธินี่ เพื่อเอาไปช่วยเหลือคนที่ลำบากยากจน เช่น ช่วยคนน้ำท่วมตามจังหวัดต่างๆ ก็จะดีกว่าที่จะเอามาจัดงานกันสนุกสนาน แล้วเมื่อจัดงานโทรทัศน์ก็ต้องไปถ่ายรูปเอามาออกอากาศ คนได้เห็นแล้วเขาอาจจะไม่เลื่อมใสก็ได้ เขาอาจจะมองว่าบ้านเมืองอย่างนี้ยังสนุกกันอยู่อีก แล้วมันจะไปรอดได้อย่างไร เขาจะว่าอย่างนั้น เป็นคำครหานินทาจากผู้มีปัญญา เป็นการไม่ถูกต้อง
เพราะฉะนั้นจะทำอะไรก็ต้องคิดต้องตรอง อย่าให้เกิดความเสียหายแก่ส่วนรวม ประหยัดอดออมก็ใช้ได้ โยมๆ นี่เข้าวัดมานาน รู้จักปลงรู้จักวางแล้ว ยังไม่มีใครบ่นว่าลำบากก็พอดีๆ มีคนถามว่าต้องการเงิน เศรษฐกิจตกต่ำนี่คนมาวัดน้อยไหม ไม่น้อยยังแน่นอยู่ เข้าวัดกันทุกวันๆ คนก็มากัน เพราะมาวัดนี่ไม่ได้เสียอะไร เสียค่าน้ำมันรถนิดหน่อย แล้วก็มา จะมาทานอาหารที่วัดก็ได้ อาหารเยอะแยะ ทานสักมื้อหนึ่งพออยู่ได้ ความจริงคนเราจะกินอะไรนักหนา กินนิดหน่อยไม่ได้มากมายอะไร อาหารเต็มโต๊ะก็กินไม่หมด กินได้แต่บางอย่าง บางอย่างก็กินไม่ได้ แล้วก็ไม่ได้กินมาก ท้องมันไม่ยอม มันบอกว่าอิ่มก็ต้องอิ่มให้ได้ ถ้าขืนใส่ลงไปก็เกิดทุกข์เกิดโทษเปล่าๆ ไม่ใช่กินมากแล้วจะดี กินน้อยดีกว่า ดื่มน้อยกินน้อย ใช้จ่ายน้อยๆ ชีวิตก็จะเป็นสุขตามสมควร
อันนี้เป็นข้อคิดเตือนจิตสะกิดใจแก่ญาติโยมทั้งหลาย ที่ได้มาประชุมกันในวันนี้ ดินฟ้าอากาศก็อำนวย ตอนบ่ายไม่รับรองว่าฝนจะไม่ตก แต่ตอนนี้ไม่เป็นไร โดยมากไม่ค่อยตกวันอาทิตย์เช้า มันตกตอนบ่ายหรือตกกลางคืนวันเสาร์ พอวันอาทิตย์ก็สบาย โยมมาทำบุญสบาย พูดมาก็สมควรแก่เวลาขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ ขออวยพรให้คุณโยมทั้งหลายมีความสำรวมในการเป็นอยู่ ระมัดระวังในการจับจ่ายใช้สอย เป็นอยู่อย่างประหยัดอดออมจงทั่วกันทุกท่านทุกคนเถิด สาธุ