แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เป็นการพบกันระหว่างความตั้งใจของครูทั้งหลาย การจัดนี้ไม่ได้จัดเป็นทางราชการ แต่จัดจากจิตใจของครู ที่มีความคิดก้าวหน้า มาร่วมแรงร่วมใจกันจัดประชุมเพื่อปรึกษาหารือกันในเรื่องกิจการต่างๆ เพื่อสร้างเด็กของชาติให้มีความเจริญก้าวหน้า ในทางที่ดีที่งามตามหลักธรรมะต่อไป พวกเราทั้งหลายที่มาประชุมกันนี้ไม่มีเบี้ยเลี้ยง ไม่มีเงินรางวัล แต่มาด้วยความภูมิใจในฐานะเป็นครูของชาติ มาด้วยการนัดหมายซึ่งกันและกัน ก็นับว่าเป็นการกระทำที่ถูกต้อง ว่าแต่ที่ครูเมี้ยนแกบ่น บ่นว่าที่ทำงานนี้ไม่เห็นโทรทัศน์มา ก็ไม่บอก เขาจะมายังไง บอกเขาสิ เขาก็มา พวกนั้นมันอยากได้ข่าวจะตายไป ทีนี้เราไม่ได้บอกเขา เขาก็ไม่ได้มา ถ้าบอกเขาแล้ว เขาก็มากันทุกช่อง มาถ่ายกันใหญ่ เอาไปออกเป็นข่าว ทีนี้เรามันขาดการประชาสัมพันธ์ เลยไม่มีใครมา ก็ไม่ต้องน้อยใจแบบคนหัวล้านหรอก คนหัวล้านเขาว่าใจน้อย ขี้น้อยใจ ก็ไม่ต้องน้อยอกน้อยใจ เพราะเราทำกันด้วยความตั้งใจที่จะให้เกิดประโยชน์
การที่จัดให้มีขึ้น ในรูปอย่างนี้ ก็เกิดจากความคิด วิตกกังวลในเรื่องอนาคตของชาติของบ้านเมือง ว่ามันจะไปกันอย่างไร ควรจะทำอะไรกันบ้างในทางที่สร้างสรรค์ ให้เด็กไทยของเรามีความรู้ มีความสามารถ และมีความประพฤติดีเป็นหลักครองใจ พวกครูที่มีความคิดแนวเดียวกัน ก็เลยมาร่วมกัน ปรึกษาหารือกันในรูปอย่างนี้ ทำมาหลายครั้งแล้ว เอาวัดชลประทานรังสฤษฏ์ เป็นเวทีสำหรับมาปรึกษาหารือกัน ก็น่าอนุโมทนา หลวงพ่อในฐานะเจ้าอาวาส และเป็นผู้ที่ขวนขวายมากในเรื่องสร้างชีวิตจิตใจคน ให้มีความเจริญก้าวหน้า ในทางศีลทางธรรม เมื่อมีกิจกรรมประเภทนี้ขึ้น ก็พลอยอนุโมทนา ดีใจ ก็งานอย่างนี้เป็นงานที่ควรจะทำกันบ่อยๆ อย่างน้อยก็ปีละครั้ง เพื่อจะได้ปรึกษาหารือกัน และเอาไปปฏิบัติกัน ตามโรงเรียนที่เราได้ทำงานกันอยู่ ใครเขาจะว่าอะไรช่างเขา แต่เราเห็นว่าอะไรดีมีประโยชน์เป็นการกระตุ้นเตือนจิตใจคนให้มีความสำนึกในกิจกรรมที่ตนกระทำแล้ว ก็เป็นอันใช้ได้ จึงขออนุโมทนาในส่วนนี้ และก็ในตอนนี้ อาจารย์สมทรงที่เป็นหัวเรือใหญ่ บอกว่าให้หลวงพ่อมาพูดตามความสบายใจ ไม่ได้ตั้งหัวข้อให้พูดอะไร แต่ให้พูดตามความคิดนึก ที่ควรจะพูด ควรจะแนะนำตักเตือนพวกเราทั้งหลาย เพื่อความก้าวหน้าในหน้าที่การงานต่อไป
ในเบื้องต้นก็ใคร่ที่จะทำความเข้าใจว่าเราทั้งหลาย ที่เป็นครูนี่ ควรจะถือว่าเป็นคนสำคัญของชาติ หรือของโลกก็ว่าได้ ไม่มีคนประเภทใดที่จะเป็นคนสำคัญในการสร้างคน สร้างชาติเท่ากับครู เพราะครูมีหน้าที่สอนคน ให้เป็นคนดี ให้มีความรู้ มีความสามารถ ให้มีความเป็นอยู่ที่ถูกต้อง โลกเรานี้ถ้าขาดคนที่มีจิตใจเป็นครู มันก็ไม่มีความรู้ ไม่มีความสามารถ ไม่มีความประพฤติดีเป็นหลักคุ้มครองจิตใจ จะเป็นอยู่อย่างไม่เจริญก้าวหน้า เป็นพวกป่าคนดงอยู่อย่างนั้น ไม่ก้าวหน้า แต่ที่ก้าวหน้ามาได้ขนาดนี้ ก็เพราะว่ามีคนประเภทหนึ่ง ซึ่งเป็นคนที่มีน้ำใจเสียสละ ไม่เห็นแก่ประโยชน์ของตัว แต่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม จึงได้ทำหน้าที่เป็นครู มาตั้งแต่โบราณ
ครูในสมัยโบราณนั้นไม่มีเงินเดือน ไม่มีอะไรเป็นเครื่องตอบแทน อย่างดีก็มีบ้างนิดๆ หน่อยๆ ผู้ปกครองเอาไปให้ ในวันบูชาครู เขาเรียกว่า วันไหว้ครู ใครๆ ก็เอาผลหมากรากไม้ ข้าวสุก ข้าวสาร ไปให้ เพื่อจะได้เลี้ยงลูกศิษย์กันต่อไป ปัจจัยเงินทองเขาไม่นิยมใช้ ในสมัยนั้นคนใช้เงินกันน้อย ยังไม่ได้ยึดติดในเรื่องเงิน เงินบาทก็ยังไม่ลอยตัวเหมือนกับในสมัยนี้ ปัญหาเรื่องเงินมันก็มีน้อย แล้วคนส่วนมากก็ไม่ได้ติดใจ ในเรื่องเงินทอง ทำงานเพื่องาน ทำหน้าที่เพื่อหน้าที่อย่างแท้จริง ไม่ได้หวังอะไรจากการงานที่ตนกระทำ
ในปัจจุบันนี้โลกมันเปลี่ยนแปลงไป ความนิยมในทางด้านวัตถุมีมากขึ้น ก็เรียกว่าวัตถุนิยม พวกวัตถุนิยมนี่ก็คิดแต่เรื่องว่าจะทำอย่างไรให้ได้เงินมาใช้ให้ได้มากๆ จะได้ใช้กันสนุกมือ ครูเราก็พลอยติดนิสัย วัตถุนิยมไปด้วย จะเห็นได้ง่ายๆ ว่า เวลาที่ควรที่จะให้ลูกศิษย์ คิดเงินจากลูกศิษย์ ถ้าเป็นครูสมัยก่อนเขาทำไม่ได้ เขาละอาย ละอายที่จะเรียกอะไรจากศิษย์ ครูมีหน้าที่เพียงให้ แต่ไม่มีหน้าที่จะเรียกร้องอะไร แต่สมัยนี้จิตใจคนเรามันตกต่ำ ครูก็พลอยตกต่ำไปด้วย ซึ่งความจริงครูเรานี้ควรจะอยู่ในฐานะที่เป็นไท เป็นมนุษย์ เป็นพุทธบริษัทที่สมบูรณ์ไว้ แต่ว่าเปลี่ยนไปมาก คือสอนศิษย์ในชั่วโมงนอกเวลาเรียน แล้วก็เรียกเงินจากศิษย์ ลูกศิษย์จะคิดอย่างไรกับครูเหล่านั้น บุญคุณที่เคยมีมันก็จะหายไป เสื่อมไป เพราะแลกเป็นวัตถุเสียแล้ว เพราะฉะนั้นความสำนึกในความเป็นศิษย์เป็นครูก็จะลดน้อยลงไป เพราะเขานึกว่าเราซื้อมา แลกเปลี่ยนมา จึงได้สิ่งนี้มา อันนี้เป็นการที่น่าตำหนิอยู่ พวกเราควรจะได้คิดในเรื่องอย่างนี้
จริงอยู่ในสมัยนี้ภาวะการครองชีพมันบีบรัด แต่มันไม่บีบสำหรับคนที่มักน้อย สันโดษ คือพอใจในสิ่งที่เรามีเราได้ มันก็ไม่บีบคั้นอะไร แต่ว่าเราไม่ได้ประพฤติธรรมข้อนั้น มีความทะเยอะทะยาน อยากจะมีอะไรเหมือนกับที่เขามี เราไม่อยู่ในโลกของครู แต่เราอยู่ในโลกของนักธุรกิจที่ฟุ้งเฟ้อทะเยอะทะยาน อยากได้นั่น อยากได้นี่ ดวงใจที่เป็นครูมันก็ขาดหายไป มีแต่จิตใจที่เป็นนักธุรกิจ กับลูกศิษย์ลูกหา แล้วคุณค่ามันก็ลดน้อยลงไป อันนี้เป็นเรื่องที่อยากจะฝากให้คิด ว่ามันเป็นเช่นนั้น
หลวงพ่อเป็นเด็กนักเรียน ไปเข้าโรงเรียนสาย เขาเปิด ๑๗ พฤษภา แต่ไปเอาวันที่ ๒๐ มิถุนา เมื่อเข้าชั้นเรียน ครูก็เลยชี้ให้อ่าน อ่านภาษาอังกฤษสมัยนั้น ใช้วิธีผสมตัว (9.54 เสียงไม่ชัดเจน) หนังสือของ (10.02) ก็อ่านไม่ได้นะ เพิ่งเข้า ก็บอก ...เอา เธออ่าน ...ก็ลุกขึ้นบอก ผมอ่านไม่ได้ครับ ... อ้าว ทำไมอ่านไม่ได้ ...ก็ผมเพิ่งเข้าเมื่อตะกี้นี่เอง ...เอ้า นั่งลง นั่งลง ก็คนอื่นก็อ่าน เราก็ฟังไป แต่พอตอนเย็นเลิกเรียน ครูก็ ...เธอ มานี่ ...ครูนี่เข้มแข็ง เอาจริงเอาจัง ดุ แต่ใจดี ...เธอมานี่ ...เสียว นึกว่าครูจะเรียกไปดุ ไปว่า ไปตีอะไร ไปถึงก็ ...ทำไมเธอเพิ่งมา เขาเปิดตั้งนานแล้ว มัวไปงมอยู่ที่ไหน ...มันไม่ใช่เรื่องของผมครับครู คุณพ่อไม่พามา ผมจะมาอย่างไร ก็ไม่รู้ว่าโรงเรียนอยู่ตรงไหน บ้านผมกับโรงเรียนมันห่างกันตั้งเกือบยี่สิบกิโล จึงไม่ได้มา ...แล้วตอนเย็นทำอะไร ...ก็กินข้าวแล้วก็เตะลูกมะงั่วเล่น ... ส้ม ส้มมะงั่วเนี่ย โตขนาดส้มโอ เปรี้ยวจัด เอามาฟัดให้ร่วน (11.18 เสียงไม่ชัดเจน) แล้วก็เตะกันในสนามวัดทุกวัน ครูก็บอกว่า ...มัวแต่เตะมะงั่ว มันก็เปรี้ยวเหมือนมะงั่วน่ะสิ ทีหลังกินข้าวแล้วมาที่บ้านครูนะ เอาหนังสือมาด้วย ...เรียกไปสอนกวดวิชา ก็เลยต้องไป ไปบ้านครู ตามตะเกียง น้ำมันก๊าดควันโขมง สังกะสีบัดกรี (11.52 เสียงไม่ชัดเจน) ควันโขมง แล้วก็สอนให้ อ่าน และ เขียน
สอนอยู่ตั้งเกือบสองเดือนจนทันคนอื่น ครูไม่ได้เรียกอะไร ไม่ได้บอกให้เอาอะไรมาให้อะไร แต่เรียกมาสอน สอนให้ แต่เวลานั้นก็ไม่รู้สึกอะไร ก็มันเป็นเด็กคิดอะไรไม่ได้ เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่แล้วมาคิด ทวนหลังไปถึงสภาพของครูที่เรียกไปกวดภาษาให้ มันซาบซึ้ง ซาบซึ้งในบุญคุญของคุณครูมากเหลือเกิน แล้วอาตมากลับไปพัทลุงไปเทศน์ ครูต้องมาทุกที ต้องมานั่งข้างหน้า นั่งตาจ้องเขม็ง อาตมาก็พูดไปตามเรื่อง พอพูดจบลงจากเวที ครูต้องมาบีบ สามที ทุกทีไม่เคยขาด บีบแขนสามทีด้วยความดีใจ นี่เป็นเรื่องของครูแท้ ครูคนนี้ยังไม่ตาย เผาแล้วนะ แต่ว่ายังไม่ตาย เพราะว่าความดีที่ทำไว้ยังอยู่ในใจของศิษย์ ยังจำได้ ยังระลึกถึงอยู่ตลอดเวลา หลวงพ่อนึกถึงครูทุกคน จำครูทุกคนได้ตั้งแต่ชั้นประถมหนึ่ง ถึงชั้นมัธยมสี่ ก็เรียนเพียงนั้น จำครูได้หมด ยังนึกถึงอยู่เสมอ เพราะครูแต่ละคนนั้นเป็นครูจริงๆ ตั้งใจสอนตั้งใจเตือน ให้เรามีความรู้มีความสามารถอยู่ตลอดเวลา เราเป็นหนี้คุณครู คุณครูเป็นเจ้าหนี้ของเรา ให้กู้เงินโดยไม่คิดดอกเบี้ย ให้กู้วิชาได้เอามาใช้อยู่ในปัจจุบันนี้ตลอดเวลา ครูไม่ได้เอาดอกเบี้ย และก็ไม่เรียกทุนคืน ให้ไว้ๆ เท่านั้นเอง
อันนี้คือ สปิริต (spirit) หรือวิญญาณของครูในสมัยก่อน แต่สมัยนี้ครูเราเปลี่ยนไปตามโลก เรียกว่าเป็น โลกาภิวัฒน์ คือหมุนไปตามโลกมากไปหน่อย ซึ่งไม่สมควรที่จะหมุนไปอย่างนั้น เราควรจะช่วยกันต้านกระแสโลกไม่ให้หมุนไปในทางที่จะตกต่ำ เราควรจะรวมตัวกันในหมู่ครูทั้งหลาย รวมตัวกันต่อต้านความฟุ้งเฟ้อ ความเห่อเหิม ความไม่ดีไม่งามทั้งหลายทั้งปวงที่เกิดขึ้นในชาติ ในบ้านเมืองของเรา ถ้าเราพร้อมเพรียงกัน มันกำลังไม่ใช่น้อย ครูนี่มีกำลังทั่วประเทศ ถ้าหากว่าผนึกกำลังกันต่อสู้ ใครจะมาสู้ครูได้ กำลังมากมาย แต่ว่าเราไม่ค่อยได้ใช้กำลังเพื่อต่อสู้กับสิ่งชั่วร้าย แต่กลับไปเข้ากับสิ่งชั่วร้ายเสีย ไปร่วมมือกับอันธพาลทั้งหลาย ที่ให้เราไปร่วมมือกับเขา เรากลายเป็นเครื่องมือของพวกอันธพาล สร้างปัญหาขึ้นในชาติ ในบ้านเมืองมากมาย ทำให้เกิดความเสียหาย อันนี้เป็นอยู่ทั่วๆ ไป
เพราะฉะนั้นคนบางคนก็พยายามที่จะยึดครูไว้ แต่ยึดด้วยอามิสสินจ้าง รางวัล ไม่ได้ยึดด้วยคุณธรรมเท่าใด ครูเราถ้าคล้อยตามกับบุคคลเหล่านั้น ความเป็นครูก็จะหายไป เหลือแต่ความเป็นลูกจ้างที่จะรับเงินค่าจ้างอยู่ตลอดเวลา อย่างนี้ก็เป็นการเสียหาย ซึ่งการต่อต้านการซื้อเสียงนี่ ถ้าครูเอาจริงเอาจังแล้ว ทำไม่ได้ เพราะเราจะต้องพูดทำความเข้าใจกับประชาชน แล้วครูเราจะต้องสร้างค่านิยมให้เกิดขึ้นในหมู่ชาวบ้าน ให้ชาวบ้าน รักครู เลื่อมใสครู เชื่อฟังคำแนะนำของครู ครูก็จะมีค่า แต่เดี๋ยวนี้เอาเฉพาะครูประชาบาลตามบ้านนอก ให้อยู่กับชาวบ้าน เมากับชาวบ้าน เล่นการพนันกับชาวบ้าน เหลวไหลกับชาวบ้านกันหมด ไม่เป็นผู้นำทางวิญญาณ มีมาก ทั่วไป หลวงพ่อเที่ยวไปในประเทศไทยนี่เกือบทุกจังหวัดแล้ว และก็ศึกษาเรื่องนี้อยู่ ครูเราเป็นหนี้สินกันมาก เพราะดื่มเหล้าจัด เป็นนักการพนัน ขี้เมาหยำเป อย่างนี้มันก็เสียหาย แต่ว่าครูที่มาประชุมนี่ เป็นครูสตรีเป็นส่วนมาก ผู้ชายน้อย ผู้ชายไม่ค่อยมา มาไม่กี่คน มีแต่ครูผู้หญิง ครูผู้หญิงก็เรียบร้อย ไม่ค่อยยุ่ง แต่ครูผู้ชายนี่ยุ่งกันพอสมควร เป็นนักการพนัน เป็นนักดื่ม ตัวฉกาจฉกรรจ์ เมาตลอด นอกจากจะอยู่ในห้องเรียน บางทีก็เมา (18.08 เสียงไม่ชัดเจน) เป็นอย่างนี้แล้วจะเป็นครูได้อย่างไร
กระทรวงศึกษาธิการก็ไม่ค่อยกวดขันเอาจริงเอาจัง คือว่าฐานการสร้างครูมันก็ไม่ค่อยดีเท่าใด สมัยก่อนนี้โรงเรียนฝึกหัดครูนี่เขาสอนคนให้เป็นครูจริงๆ เพราะครูบาอาจารย์ที่สอนครู เป็นพวกที่ได้รับการศึกษาจากประเทศที่เป็นผู้ดี คือเรียนมาจากอังกฤษส่วนมาก ครูเก่าๆ เป็นนักเรียนอังกฤษทั้งนั้น เจ้าพระยาพระเสด็จฯ (Wikipedia : ( ๑๖ เมษายน พ.ศ. ๒๔๑๐ – ๑๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๕๙) เจ้าพระยาพระเสด็จสุเรนทราธิบดี นามเดิม หม่อมราชวงศ์เปีย มาลากุล อดีตเสนาบดีกระทรวงธรรมการ) เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี (Wikipedia : ( ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๑๙ – ๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๘๖) นามเดิม สนั่น เทพหัสดิน ณ อยุธยา เสนาบดีกระทรวงธรรมการ ผู้วางรากฐานการศึกษาภาคบังคับพื้นฐานและการอาชีวศึกษา ผู้ร่วมดำริให้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยแห่งแรกของประเทศ หรือ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) พระยาไพศาลศิลปศาสตร์ (18.52 คือท่านเดียวกันกับเจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี) ล้วนเป็นนักเรียนอังกฤษทั้งนั้น คนอังกฤษนี่เขาเป็นผู้ดี เขามีระเบียบ มีวินัย เราไปเรียนก็เอาแบบมาใช้ ตามแบบอังกฤษ
แต่เดี๋ยวนี้กระทรวงศึกษาธิการ ไม่ได้ส่งคนไปเรียนประเทศอังกฤษ แต่ไปเรียนอเมริกา อเมริกานี่พูดกันไปแล้วไม่ค่อยเป็นตัวอย่างเท่าใด เพราะเป็นเมืองผสม คนอเมริกันนี่ผสม เหมือนกับส้มตำบ้านเรา มันผสมหลายอย่าง หลายชาติ หลายภาษา ปนกันไปหมด ไอ้ที่เป็นเนื้อแท้ มันไม่ค่อยมี แล้วก็ให้เสรีภาพเกินขอบเขต เสรีภาพมาก นักเรียนไปโรงเรียนจะแต่งตัวอย่างไรก็ได้ ใส่รองเท้าอะไรก็ได้ ใส่เสื้อสีอะไรก็ได้ ดูไปแล้วมันละลานตา เพราะมันหลายสีหลายแบบ การนั่งเรียนก็ไม่ค่อยเรียบร้อย ตามใจ นั่งหันหลังให้ก็ได้ หันข้างให้ก็ได้ คุยกันก็ได้ ครูมีหน้าที่เล็คเชอร์ (Lecture) หน้าชั้น สอนไป นักเรียน ฟังไม่ฟัง ก็ตามใจ จะไปดุ ไปว่าก็ไม่ได้ ตีก็ไม่ได้นะ ก็เป็นอย่างนั้น เสรีภาพ
แต่อังกฤษนั้นเขายังมีระเบียบ โรงเรียนเขา เด็กนั่งเรียบร้อย แต่งตัวเรียบร้อย แต่งตัวเหมือนกันหมด กางเกง เสื้อ เหมือนกัน เรียบร้อย นั่งเรียบร้อย เข้าแถวเรียบร้อย ไม่เพ่นพ่าน เขามีระเบียบ มีวินัย ฉะนั้นครูเก่าของพวกเรานี่ มาตั้งโรงเรียนฝึกหัดครู ฝึกครูให้มีระเบียบวินัย ครูเก่าๆ จึงเป็นครูที่ค่อนข้างจะมีระเบียบวินัย ผิดกับครูสมัยนี้ ครูสมัยนี้สำเร็จจากสถาบันราชภัฏ เมื่อก่อนเรียกว่าโรงเรียนฝึกหัดครู แต่ว่าเป็นความผิดพลาดของกระทรวงศึกษาธิการ ผิดตรงไหน ผลิตครูมากเกินไป ไม่มีที่จะบรรจุ ครูก็ว่างงาน ไอ้จะยุบหรือก็ไม่รู้จะเอาผู้อำนวยการไปไว้ที่ไหน เพราะมันเปิดกันทุกจังหวัด และในสมัยที่คุณเดโช สวนานนท์ เป็นอธิบดีน่ะ ก็เลยเปลี่ยนเป็นสถาบันราชภัฏ สอนวิชาหลายอย่าง วิชาครูไม่หนักแล้ว เรื่องอื่นด้วย ปนกันไปหมด คนที่จะมาเป็นครู ก็ไม่ได้ตั้งใจจะมาเป็นครูอย่างแท้จริง ก็สอนวิชาหลายอย่างปนกันไป
กระทรวงศึกษาธิการ ควรจะแยกครูออกมาต่างหาก ถ้าคนได้เป็นครูอย่างแท้จริง ครูต้องอยู่อย่างมีระเบียบ มีวินัย เหมือนนักเรียนนายร้อย จปร. ไปดูโรงเรียนนายร้อย จปร. ว่าเขาอยู่กันอย่างไร แต่งตัวอย่างไร ตัดผมอย่างไร มีระเบียบอย่างไร เวลากินข้าวเขาทำอะไร ของเขาดี เขามีระเบียบ แม้ออกจากโรงเรียนไปยืนรอรถ ก็เดินไปยืนเป็นแถว นักเรียนนายร้อยยืนเป็นแถว ไม่เก้งก้าง ยืนรอรถ เราจะเห็นว่ายืนกันเป็นแถว พอรถมาก็ขึ้น เขามีระเบียบ แม้แต่นอกโรงเรียนก็ยังมีระเบียบ คนที่จะมาเป็นครูมันต้องสร้างอย่างนั้น สร้าง discipline ให้มันหนักแน่นหน่อย เดี๋ยวนี้ไม่มี discipline แต่งตัวรุ่มร่าม ไว้ผมจนจำไม่ได้ว่าเป็นใคร หลวงพ่อไปยืนคุยกับครูตั้งชั่วโมงกว่า คุยๆ แล้วถามว่า คุณทำงานอะไร ...ผมเป็นครู ...อ้อ ... อาตมาประหลาดใจว่าเป็นครูหรือ สอนที่ไหน ...ที่โรงเรียนนี่แหละ ... อ้อ ... เอ นึกแปลกใจว่าครูนี่แย่มาก แต่งตัวไม่เรียบร้อย ผมเผ้า หวีไม่เป็น อย่างนี้ เขาหวีผมมาอย่างนี้ หวีผมศพ หวีอย่างนั้นเขาเรียกว่าหวีศพ คนตายแล้วเขาหวีให้ หวีแล้วหวีทิ้งเลย เอาหวีเก่าๆ มาหวี แล้วหักทิ้งไปเลย ใช้ไม่ได้ หวีอย่างนั้น ไม่รู้จักตัดผม ไม่รู้จักหวีผมให้มันเป็นระเบียบเรียบร้อย อันนี้มันเสียตั้งแต่หัวแล้ว แล้วถ้าไปอยู่ในชั้นเด็กมันเห็นว่าครูแต่งตัวอย่างนั้น เด็กก็กลัวครู วันหนึ่งจะต้องแต่งตัวเหมือนครู อย่างนั้น ตัวอย่างไม่ค่อยจะดี เห็นมาอย่างนั้น ไม่ได้มีการกวดขัน เพราะว่าเสรีภาพที่ไม่เข้าเรื่อง
เวลานี้เมืองไทยนี่บ้าเสรีภาพที่ไม่เข้าเรื่อง เสรีภาพแบบทาส ไม่ใช่เสรีภาพแบบไท เสรีภาพมันมีสองอย่าง เสรีภาพแบบทาส แบบทาสก็คือว่า ปล่อยตามใจ ใครจะทำอะไรก็ได้ ไอ้อย่างนั้นเสรีภาพแบบทาส ไม่ได้เรื่อง เสรีภาพแบบไทก็คือว่า มีระเบียบ มีการบังคับ มีการควบคุม ยกระดับจิตใจให้สูงขึ้น เป็นเสรีภาพแท้ๆ ยิ่งมีเสรีภาพสูงสุดก็ พ้นจากคนเลย เป็นอริยะบุคคลไปเลย เสรีภาพชั้นสูง เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยถึง เอาเสรีภาพแบบทาสกันมาก มันเลยไปกันใหญ่ แล้วเวลานี้นักการเมืองก็ไม่ค่อยมีระเบียบ ไม่มีวินัยทำอะไรตามใจตัว ตามใจอยาก ไม่เป็นตัวอย่างแก่ผู้ที่เป็นลูกน้อง ก็เกิดความเสียหายหลายเรื่องหลายประการ พูดไปแล้วมันเหมือน extreme มองแง่ร้าย แต่ว่าไม่ได้มองแง่ร้าย แต่มองตามสภาพที่มันเป็นอยู่แล้วก็เห็นว่ามันจะไม่ได้เรื่อง ถ้าเราไม่ช่วยกันปรับปรุงแก้ไข ก็จะเป็นอยู่อย่างที่เป็นอยู่ แล้วจะตกต่ำลงไปเรื่อยๆ เด็กของเราจะตกต่ำลงไปเรื่อย เพราะว่ามันมีสิ่งยั่วยุมากเกินไป
ความสนุกสนานยามค่ำคืน เป็นสิ่งทำลายวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามของชาติ บ้านเมืองเราตกอยู่ในกำมือของพ่อค้า สุดแล้วแต่พ่อค้ามันจะเสกสรรค์ปั้นแต่ง เครื่องมือสื่อสารนี่พ่อค้าเอาหมด วิทยุกี่สถานี พ่อค้าเอาหมด วิทยุทหาร ไม่ได้เป็นของทหาร ทหารอยู่ข้างหลัง สุดแล้วเถ้าแก่จะให้ สุดแล้วเถ้าแก่จะใช้เรื่องอะไร อยู่ในกำมือพ่อค้า เอาเวลาไปสนุกสนานเฮฮา มอมเมาประชาชน จนไม่เป็นไทกันแล้วเวลานี้ โทรทัศน์ก็เหมือนกัน แต่ละสถานีนั้นอยู่ในอำนาจพ่อค้า เบียดพระตกไปเลย เมื่อก่อนนี้หลวงพ่อพูดอยู่ช่องห้า พูดสี่สิบห้านาที คนฟังทั่วบ้านทั่วเมือง เขาพอใจ ต่อมาลดลงเหลือครึ่งชั่วโมง เมื่อปีก่อนนี้มาบอกว่า ท่านพูดสักห้านาทีก็พอ แสดงว่าคนมันดีแล้ว ไม่ต้องพูดมาก ให้พูดห้านาที ก็ลองพูดเหมือนกัน แต่พอจะพูดเขาโฆษณาก่อน โฆษณาสองสามอย่าง แล้วให้เทศน์ พอเทศน์จบปุ๊บโฆษณาตามหลังเลย อ้อ อย่างนี้เอง พวกคุณนี่เอาหลวงพ่อมาเป็นเครื่องมือโฆษณาสินค้าแล้ว ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป หลวงพ่อจะไม่มาเทศน์สถานีนี้ต่อไป เพราะกลายเป็นเครื่องมือโฆษณาสินค้า เลยไม่เทศน์ แต่ว่าถูกเบียดตกไปเลย ชิดซ้ายไปเลย เป็นอย่างนั้น เขาคิดแต่เงิน เอาเงินเป็นใหญ่ พบหัวหน้าก็คุยกัน แกว่าผมไม่รู้เรื่องนี้นะ จะไปตรวจดูว่าเป็นอย่างไร ท่านหัวหน้าไปตรวจดูแล้วก็ รักในหลวงมากก็เลยทำอะไรไม่ได้ คนไทย รักในหลวง มากเหลือเกิน ชอบ ชอบในหลวง ใบสีม่วงนี่ชอบ ใบพันก็ชอบ ชอบในหลวง บูชาในหลวง เลยก็ไม่ทำอะไร จบไป เรามันตกอยู่ในอำนาจวัตถุ พ่อค้าเอาหมด แม้การเมืองก็อยู่ในมือพ่อค้า เวลานี้ พ่อค้าเอาไปหมด ติดอยู่ในอำนาจพ่อค้า พวกพ่อค้ากำหัวใจของนักการเมืองไว้ ก็ให้เงิน เวลาเลือกตั้งไปซื้อ ประชาธิปไตยมันไม่มีแล้ว ถ้าว่าซื้อมันก็หมดประชาธิปไตยแล้ว ไม่ได้เรื่องอะไร จะเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ก็ กะยื้อกะแย่งกันอยู่ เอาหรือไม่เอา (29.25 เสียงไม่ชัดเจน) พวกรักประโยชน์มันไม่ยอม ประโยชน์ของตัว ไม่ใช่ประโยชน์ของประเทศชาติ อันนี้ก็ลำบาก แล้วใครจะต่อสู้
อาตมานั่งคิดอยู่ก็มีคนพวกเดียวที่จะลุกขึ้นต่อสู้ได้ ครูนี่เอง ครูต้องต่อสู้ ครูจะต้องรวมตัว ผนึกกำลัง ต่อสู้กับสิ่งชั่วร้าย เราจะต้องทำตนให้เป็นไท เป็นมนุษย์ เป็นพุทธบริษัทที่ถูกต้อง ไม่โอนเอียงไปกับสิ่งชั่วสิ่งร้าย ไม่โฆษณาสิ่งเหลวไหล แต่จะโฆษณาแต่สิ่งที่จำเป็น ในการสร้างชาติสร้างบ้านเมือง สมัยก่อนนี้ เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี ท่านแต่งหนังสือให้เด็กเรียนทุกเล่ม หลังปกเขียนไว้ละเอียด เรื่องไสยศาสตร์ เรื่องโชค เรื่องลาง ว่าเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ไม่ควรจะเอามาประพฤติปฏิบัติในโรงเรียน พอเปลี่ยนการปกครอง ไม่รู้ใคร ฉีกทิ้งหมด แผ่นหลังปกอันนั้นหายไปหมด ไม่มีอะไร หนังสือเรียนก็เปลี่ยนไป ความจริงท่านก็เขียนไว้ดีแล้ว แต่ว่าก็เปลี่ยนไปหมด ถ้าเปลี่ยนข้างในก็ไม่ว่า แต่เปลี่ยนหลังปกนี่มันเสียหาย ก็ทำให้คนเสีย เลยก็เป็นพุทธบริษัทที่ครึ่งๆ กลางๆ ถือไสยศาสตร์มากกว่าพุทธศาสนา
ในหัวใจของพวกเรามีแต่เรื่องไสยศาสตร์อยู่ในสมอง เชื่อสิ่งเหลวไหล เชื่อโชค เชื่อลาง เชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีฤทธิ์มีเดช ว่าจะช่วยเราได้ ซึ่งความจริงแล้ว พูดกันตามความจริง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในโลกนี้มันไม่มีหรอก มันสมมติกันขึ้น แล้วก็เชื่อกันไปตามสมมติ ไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อะไรที่จะทำให้เราเป็นอะไร เราเป็นของเราเอง เป็นด้วยความคิด การพูดการกระทำของเรา แต่เวลานี้ส่งเสริมแต่เรื่องไสยศาสตร์ หนังสือพิมพ์หน้าสุดท้าย ประกาศแต่เรื่องโง่ๆ ทั้งนั้น ไสยศาสตร์ทั้งนั้น อ่านดูแล้วหน้านี้ควรจะตัดทิ้งไป ขายพระเครื่อง เครื่องรางของขลัง หลวงปู่นั่น หลวงปู่นี่ หลวงปู่ทั้งหลายนั้น เป็นหลวงปู่ของคนปัญญาอ่อน ไม่ใช่หลวงปู่ของคนมีปัญญา มีการศึกษา ทำหน้าที่เขกกบาลบ้าง ทุบหัวบ้าง ถ่มน้ำลายรดหัวมันบ้าง แม้คนผู้หลักผู้ใหญ่ มีความทุกข์ความเดือดร้อน อุตส่าห์นั่งเฮลิคอปเตอร์ไปให้อาจารย์เขกกบาล เขกแล้วออกโทรทัศน์ด้วย เขกแล้วไม่พอ จับหัวมา ถ่มน้ำลายรดหัวมันอีก ให้สมกับความโง่ของมัน อาตมาเห็นแล้ว แหม รำคาญ ทำไมจึงทำอย่างนั้น ไม่ไหว นี่บ้านเมืองจะไปรอดอย่างไร
เราไม่เอาใจใส่กับพระพุทธเจ้าที่แท้ ไม่เอาใจใส่กับธรรมะที่แท้ แต่เอาใจใส่กับเปลือก หลงเปลือก ติดเปลือก โฆษณาเปลือกกัน มันก็ไม่ได้เรื่อง ไม่ช่วยกันแก้ แล้วเราไม่ได้สอนเด็กให้เข้าใจในเรื่องอย่างนี้ เด็กก็หลงไหล เด็กนักเรียนมีด้ายสกปรกผูกข้อมือกันทั่ว เป็นผู้ใหญ่แล้วก็ยังผูกไว้ ด้ายน่ะ ผูกมันจนสกปรกแล้ว ผูกไว้ทำอะไร ข้อมือ คนเรานี่พอปกติแล้วเห็นด้าย บอกตัดทิ้ง ด้ายอัปมงคล เอามาผูกไว้ทำไม เลยให้ตัดทิ้งไป แต่พ่อแม่ผูกให้ลูก เป็นเครื่องหมายแห่งความโง่ ความเขลา ไปโรงเรียนก็ผูกไป เอาไปใช้กัน เราไม่กล้าที่จะพูดความจริงให้คนฟัง ไม่กล้าที่จะคัดค้านสิ่งเหลวไหลมันจึงเป็นอยู่กันอยู่นี้ มันต้องสะสางจิตใจใหม่ ตั้งแต่เด็ก ให้มีความเชื่อถูกทาง ให้มีความเชื่อหลักการของพระพุทธเจ้า
ชาวญี่ปุนนี่เขาเชื่อมั่นในหลักการของพระพุทธเจ้า เขาจึงก้าวหน้ามากกว่าเรา เจริญมากกว่าเรา ญี่ปุ่นกับไทย เกิดพร้อมกัน จักรพรรดิเมยิของญี่ปุ่น อายุ ๑๖ ปี เสวยราชย์ รัชกาลที่ห้าก็ ๑๖ ปี เสวยราชย์ เกิดมายุคเดียวกัน แต่ญี่ปุ่นมันก้าวไกล เพราะญี่ปุ่นตื่นตัวว่องไว ก้าวหน้า ตามหลักการของพระพุทธเจ้า คนไทยไม่ตื่น ตื่นแล้วนั่งอมน้ำลายบูด ยังไม่เข้าห้องน้ำ ยังไม่ทำอะไร เฉื่อยช้า ชักช้า ญี่ปุ่นมันตื่นแล้วมันวิ่ง ไปทำงาน วิ่งไปจนเทียมฝรั่ง สู้ฝรั่งได้ ฝรั่งมาบังคับให้เปิดประตูเมือง ญี่ปุ่นเจ็บใจนักฝรั่งดูหมิ่น ก็เลยเปิดให้ ญี่ปุ่นส่งคนสองร้อยคน ไปต่างประเทศ ไปอังกฤษ ไปเยอรมัน ไปอเมริกา ไปฝรั่งเศส ให้ไปเรียน กลับมาทำ พวกนั้นไปเอาจริงเอาจัง กลับมาสร้างชาติ สร้างประเทศ ห้าสิบปีเท่านั้น ญี่ปุ่นยืนเขย่งเก็งกอย เทียมฝรั่งได้ เจริญก้าวหน้า ถ้าญี่ปุ่นไม่ทำสงครามนะ ฝรั่งกลัวญี่ปุ่น แต่แม้ทำสงครามแพ้เหลือแต่กางเกงใน ญี่ปุ่นมันก็ปรับตัวเองภายในสามสิบปี ขึ้นไปยืนเคียงบ่าเศรษฐีเจ็ดชาติได้ เศรษฐีในโลกมีเจ็ดชาติ ญี่ปุนเป็นชาติที่หนึ่ง ไปยืนอยู่ในนั้น มันเก่ง เก่งเพราะอะไร เพราะเขารักงาน เสียสละ เอาจริงเอาจัง เขาเป็นเหมือนกันหมดทั้งชาติ ทำอะไรพร้อม เป็นอันหนึ่งอันเดียว ไม่แตกแยก แตกหัก เขาเชื่อฟังพระเจ้าจักรพรรดิ พระเจ้าจักรพรรดิบอกว่า รบ รบสุดใจขาดดิ้น พอบอกว่า แพ้ แพ้ที่สุดเลย แพ้ไม่สู้ ในมาเลเซียเห็นได้ ทหารญี่ปุ่นเดินมา (36.50 เสียงไม่ชัดเจน) มันกระโดดตบหน้า ญี่ปุ่นเดินเฉย ไม่สู้ แพ้แล้ว บางคนถ่มน้ำลายใส่หน้ามันเลย ญี่ปุ่นเช็ดเดินเฉย ไม่สู้ ญี่ปุ่นเดินในซอยข้างบนเอาน้ำล้างถ้วยล้างจาน เทรดหัวญี่ปุ่น ญี่ปุ่นไม่เห็นว่าน้ำมาจากไหน มันเดินเฉย สปิริต จิตมันดี มันชนะฝรั่ง เพราะว่าจิตมั่นคง เขาฝึกจิตของเขาให้มัน แพ้ก็แพ้ รบก็รบ มันเอาจริงเอาจัง ผลที่สุดญี่ปุ่นตั้งตัวได้ มีเงินให้เรายืมด้วยนะ เวลานี้ ประเทศไทยก็ไปยืมเงินญี่ปุ่นด้วยนะ ก็อย่างนั้น มันเก่ง มันใช้หลักพุทธศาสนา ช่วงสร้างชาติ สร้างบ้านเมือง เขาไม่เหลวไหล ของเราไม่ค่อยได้ใช้ ใช้น้อย ฉะนั้น ไม่เข้าท่า
ทีนี้มันต้องปฏิรูป สอนเด็กให้เข้าใจความจริง ให้รู้จักช่วยตัวเอง รู้จักพึ่งตัวเอง ไม่ให้เชื่อสิ่งเหลวไหล แต่เชื่อว่าอะไรๆ จะสำเร็จแก่ตัวเราได้ด้วยการกระทำของเราเอง ความดี ความชั่ว ความสุข ความทุกข์ ความเสื่อม ความเจริญ ที่จะเกิดขึ้นในชีวิตของเรานั้นเกิดจากตัวเราเอง พวกนักเขียนที่เก่งๆ เขียนหนังสือประเภทนี้ออกมาให้เป็นหนังสืออ่านสำหรับเด็ก เพาะนิสัยแห่งการพึ่งตัวเอง ช่วยตัวเองให้มากขึ้น ไม่ให้อ่อนแอ ไม่ให้คอยแต่จะพึ่งคนอื่น ขอความช่วยเหลือจากคนอื่น มันก็ไม่ได้ ไปไม่รอด เราจะต้องสร้างชาติของเราใหม่ให้เด็กทุกคนตื่นตัว ว่องไว ก้าวหน้า รักงาน ขยัน เอาใจใส่ คิดค้น เพื่อทำงานให้ดีขึ้น ก็ต้องฝึกใจอย่างนั้น ต้องสอนอย่างนั้น
เวลานี้การฝึกใจคนไทยให้ตื่นตัวมันน้อยมาก น้อย สมัยรัชกาลที่หกท่านปลุกใจมาก เทศนาเสือป่า ปลุกใจเสือป่า บทเพลง บทละครที่ท่านแต่ง ล้วนแต่สร้างจิตสำนึกทั้งนั้น (39.20 เสียงไม่ชัดเจน) สอนจนกระทั่งประชาธิปไตย สร้างเมืองดุสิตนคร ก็สอนบอกประชาธิปไตยให้มีการเลือกตั้ง ให้มีนายกเทศมนตรี อะไรต่ออะไร ท่านทำให้ดูเป็นตัวอย่าง ท่านอยู่ในตำแหน่งเตี้ยๆ ไม่ได้สูงอะไร เป็นเจ้าแผ่นดิน แสดงละครท่านก็เป็นตัวคนใช้ ตัวตลกอะไรไปตามเรื่อง แสดงให้เห็น คนจะได้เอาอย่าง แต่ว่าพ้นจากนั้น เราไม่ได้รับช่วง ไม่ได้ทำต่อ ขุนหลวงวิจิตรวาทการก็แสดงละครปลุกใจ แต่งเพลงมาร้อง ซึ่งควรจะเอามาเปิดวิทยุบ่อยๆ ... ไก่แก้วขามขัน พระจันทร์ส่องแสดง ท้องฟ้าสีแดง พระอาทิตย์เริ่มฉาย ตื่นเถิดชาวไทย อย่ามัวหลับไหลสบาย การงานมากหลายต้องลุกขึ้นทำ ลุกขึ้นทำ บ้านเมืองจะเรืองรุ่ง เพราะไทยมุ่ง ไทยประจำ ชาติไทยจะต้องทำประเทศไทยให้เจริญ ... แน่ะ ไม่มี ไม่มีหรอก ถ้าร้องเพลงนี้ทีไร รถถังเต็มเมืองทุกที สังเกตไว้ ถ้าเพลงตื่นเถิดชาวไทย ... เอาแล้ว รถถังเต็มเมืองแล้ว ปฏิวัติแล้ว มันเป็นเสียอย่างนั้น
เพลงเหล่านี้ต้องเอามาร้อง ให้นักเรียนร้องปลุกใจ เพลงเดิน ... เดิน เดิน เดิน ถ้าหวังก้าวหน้าต้องพากันเดิน พบเสือเราจะสู้ พบศัตรูเราจะฆ่า พบแม่น้ำขวางหน้าเราจะว่ายข้ามไป เดิน เดิน เดิน ถ้าหวังก้าวหน้าต้องพากันเดิน ... เช้าๆ ให้เด็กร้องเข้าโรงเรียน เดินมันทุกวัน มันคึกคัก แทนที่จะ เธอจ๊ะ เธอจ๋า ขอจูบอีกที ...อะไร ทำไมเอามาร้องให้บ้านเมืองฉิบหาย มันเป็นอย่างนั้น คือไม่มีแนวคิดสร้างสรรค์ มีแนวคิดทำลาย วิทยุก็เปิดเพลงอะไรก็ไม่รู้ เพราะวิทยุอยู่ในกำมือพ่อค้า เขาจะเปิดเพลงอะไรก็ได้ เราไม่มีการควบคุมต้องควบคุมให้เปิดเพลงที่ควรเปิด ร้องเพลงที่ควรร้อง นักแต่งเพลงเยอะแยะ ทำไมแต่งเพลงน้ำเน่าทั้งนั้น ไม่ค่อยได้เรื่องได้ราวอะไร เอามาร้อง แหม รางวัลเมขลา รางวัลหนุมาน อะไรก็ไม่รู้ แจกกันไป หลวงพ่อนั่งดูก็ โอ๊ย มันแจกอะไร เพลงก็ไม่ได้เรื่อง ไม่ได้เป็นไปเพื่อสร้างชาติ สร้างประเทศ ไม่ได้ปลุกใจคนให้ลุกขึ้นให้ก้าวหน้า ทำงานแข่งเวลาเลย เพลงอะไรก็ไม่รู้ นี่มันเป็นอย่างนั้น จิตใจคนมันตกต่ำ แล้วใครจะช่วย พระกับครู ต้องช่วย พระก็กำลังน้อย อาตมาก็ดิ้นอยู่คนเดียว องค์อื่นเขาไม่เล่นด้วย ทำกันจนเหนื่อย แต่ก็ยังไม่เลิก ทำต่อไป สู้จนหมดลงหายใจ เวลานี้ ๘๗ แล้วก็ยังสู้ ยังสู้กับสิ่งที่งมงายอยู่ จัดการสิ่งที่เหลวไหลอยู่ตลอดเวลา
แต่วัดนี้ไม่มีความงมงาย ไม่ได้สอนเรื่องงมงาย แม้จะหาเงินหาทองสร้างอะไรก็ไม่ทำสิ่งงมงาย ไม่ขายพระ ไม่ขายผ้ายันต์ ไม่ขายเรื่องเหลวไหล เราไม่ทำ ใครจะมาขอให้รดน้ำมนต์ก็ไม่รดให้ แต่สอนให้เข้าใจว่าดี ชั่ว สุข ทุกข์มันเกิดกับหนูเอง ต้องแก้ที่ตัวหนู อย่าไปแก้ด้วยรดน้ำมนต์ ด้วยการสะเดาะเคราะห์ ถ้าสะเดาะเคราะห์ก็ต้องสะเดาะความชั่วที่มันเป็นเคราะห์นั่นแหละ ถ้าเราเสียคนเพราะเหล้าก็เลิกดื่มเหล้า เสียคนเพราะเล่นการพนัน ก็เลิกเล่นการพนัน เสียคนเพราะคบเพื่อนชั่วก็เลิกคบเพื่อนชั่ว ต้องอย่างนั้น ปลุกใจเด็กให้มันตื่นตัว ให้รังเกียจสิ่งเหล่านั้น รังเกียจอบายมุขซึ่งแพร่หลายที่สุดในประเทศไทย ยาเสพติดนี่แพร่หลายมาก ชาติบ้านเมืองจะล่มจมก็เพราะยาเสพติด เพราะมันเข้ามาถึงในโรงเรียน ม้าไปกระโดดโลดเต้นอยู่ในสนามหญ้า เด็กติดม้ากันเยอะแยะ เสียหายมาก เพราะคนขายกับคนจับมันพวกเดียวกัน มันจะจับกันได้อย่างไร จับแล้วมันเอาไปขายต่อ แหม มันไม่เด็ดขาด ประเทศมาเลเซีย ใครมียาเสพติดในครอบครอง ขึ้นศาลวันนั้นแขวนคอวันนั้นเลย ไม่ยาว ของเราจับได้มาขังไว้ในโรงพัก มันยังร่ายมนต์แหกกรงไปได้ มันเก่งนักหนา เป็นลูกศิษย์ขุนแผน แหกกรงหนีไปได้ ไอ้ตำรวจโรงพักนั้นมันต้องไล่ออกหมด ทำให้ผู้ร้ายหนีไปได้ ไล่ออกหมดทั้งโรง ไม่มีเบี้ยหวัด เบี้ยบำนาญ ถ่ายรูปลงหนังสือพิมพ์ด้วย โฆษณาให้คนรู้หมดเลย ว่าคนชั่ว ไมให้รับราชการต่อไปนะ ไม่ได้ ไม่ให้ไปโรงพักอื่น ไม่ให้ไปทำชั่วโรงอื่นต่อไป ไอ้คนอย่างนี้ต้องไล่ออก มันต้องเด็ดขาด บ้านเมืองถึงจะเอาตัวรอด
ไม่กล้า ทำไม่ได้ เพราะว่ามีแผลกันอยู่ทั้งนั้น มันก็ยุ่ง แผลมันเหวอะหวะ พอไปคุ้ยแผลเข้าก็เกิดเรื่อง หมอปากเปราะคนหนึ่งไปพูดถึงเรื่องแม่อ้อยบีเอ็มเขา (45.28 เสียงไม่ชัดเจน) ฉิบหาย มันคุ้ยกันทั้งเมืองเลย คนนั้นก็ไป คนนี้ก็ไป (45.38 เสียงไม่ชัดเจน) เปิดเผยได้ เอ้า ตายแล้ว
ในประเทศอังกฤษนะ รัฐมนตรีต่างประเทศไปเที่ยวกลางคืน ไปคบหาสมาคมกับผู้หญิงบาร์ชาวรัสเซีย หนังสือพิมพ์มันลงข่าว ถ่ายภาพด้วย ว่าเดินคลอเคลียไปกับผู้หญิงอย่างนั้น เช้าตีหราในหน้าหนังสือพิมพ์ รัฐมนตรีคนนั้นลาออกเลย รับผิดชอบลาออกเลย เขาไม่นั่งหน้าด้านเป็นรัฐมนตรี เพราะว่าประชาชนรังเกียจ ในฐานะ เป็นผู้ร้ายใจอธรรม เขาเอาขนาดนั้น ในอเมริกา คนคนหนึ่งจะสมัครเป็นรองประธานาธิบดี แต่หนังสือพิมพ์มันคัดค้าน บอกว่าคนคนนี้เป็นรองประธานาธิบดีไม่ได้ เพราะเป็นคนที่ไม่มีจริยธรรม ชอบเที่ยว กลางค่ำกลางคืน แกบอกฉันเที่ยวที่ไหน เอารูปมาให้ฉันดู นั่น ไปท้าหนังสือพิมพ์ หนังสือพิมพ์มันจ้องถ่ายรูปออกมาจากบาร์กับผู้หญิงคนหนึ่ง ถ่ายรูปปุ๊บ ลงหนังสือพิมพ์เลย นายคนนั้น เลิกเป็นรองประธานาธิบดี ไม่สมัครต่อไป สมัครไป คนมันก็ไม่เลือก
ประชาชนเขาเอาจริงเอาจัง เขาร่วมมือกันคัดค้านสิ่งชั่วร้าย ของเรามันยังไม่มี ที่ไม่มีก็เพราะว่า เราไม่ได้ปลุกใจให้คนลุกขึ้น ให้คนตื่นตัว ว่องไวก้าวหน้าในทางที่ถูกที่ชอบ ไม่ให้สิทธิในการที่จะทำสิ่งถูกต้อง เลยก็ยังอยู่ได้ ของเขา เขาละอาย เขาลาออก ของเราไม่มีใครลาออก แม้จะมีอะไรอย่างนั้นก็ไม่ลาออก เหลวไหล พื้นฐานทางจริยธรรมมันแย่ เป็นความผิดของใคร ก็ไม่รู้จะว่าใคร นอกจากจะว่าครูนี่แหละ ครูนี่ไม่ใช่ครูเรา ครูที่บ้านด้วยนะ คุณพ่อคุณแม่ ก็เป็นครู เป็นครูเหมือนกัน ครูคนแรกของลูก เรานี่เป็นครูคนที่สอง หลวงพ่อนี่ก็เป็นครูคนที่สาม ช่วยกัน ถ้าเราไม่ช่วยกัน เฉยๆ สบาย ไม่ทำอะไรในทางที่จะส่งเสริมความดีความงาม ถ้าเขานิมนต์ไปนั่งปลุกเสก ก็ไปกัน ร้อยแปดองค์ ไปนั่งหลับตา ปลุกดินให้เป็นพระ ปลุกว่านให้เป็นพระ แล้วจะเป็นได้อย่างไร ทำอะไรเหลวไหล ไม่เข้าเรื่อง ทำกันอยู่บ่อยๆ คนก็ไปกัน ทำคนให้หลงให้งมงาย มันผิดหลักพุทธศาสนา มันไม่ถูกต้อง ทำอย่างนั้นไม่ถูกต้อง แต่ว่าไปทำกัน มีชื่อ อาจารย์มีชื่อ
อาจารย์องค์หนึ่ง อยู่เมืองชลฯ เวลาเขานิมนต์พุทธาภิเศก ติดทุกทีล่ะ แล้ววันหนึ่งขโมยมันมาจี้อาจารย์ เอาเงินไปเสียสองหมื่น เงินจะไปอินเดียเอามาเตรียมไว้ แล้วก็เหรียญที่ปลุกเสกแล้วใส่อ่างไว้ มันเอาหมด มันเอาทองเหลืองไปหลอมขายใหม่ มันบังคับอาจารย์ให้นอนคว่ำ หลวงพ่อนอนคว่ำ อย่าพูด ทานก็ว่านอนสอนง่ายดี นอนคว่ำ ให้มันยกหมด หนังสือพิมพ์ลงข่าว หลวงพ่อตั้งคำถาม ถามไปจากทางวิทยุว่า ... หลวงพ่อเก่งนักหนา ไปนั่งปลุกเสกพระบ่อยๆ แล้วทำไมไม่เสกขโมยให้เป็นหมาขี้เรื้อนเที่ยววิ่งอยู่ในวัดล่ะ (49.50 เสียงไม่ชัดเจน) คงเสกให้เป็นหมาขี้เรื้อน ถ้าอย่างนั้นหลวงพ่อปัญญาท่านไปกราบแทบเท้าเลย แต่ถ้าเป็นอยู่อย่างเดี๋ยวนี้ กราบไม่ไหว ไม่ได้วิเศษอะไร ไม่สามารถจะทำให้ขโมยกลายเป็นผู้รู้สึกผิดชอบได้ ไม่ทำอะไร ก็เทศน์ให้มันไม่จี้เราก็แล้วกัน เออ ก็ยังเทศน์ไม่เป็น นอนคว่ำเฉย (50.21 เสียงไม่ชัดเจน) แล้วจะดังอะไร วิเศษอะไร ยังช่วยตัวเองไม่ได้ คนมันก็งมงายไปเชื่อตามหลักโฆษณา เดี๋ยวนี้โฆษณาให้คนหลง ให้คนงมงายมีทั่วไป มอมเมาประชาชนกันใหญ่โต ประเทศชาติก็ถูกปิดหูปิดตาปิดใจ ไม่เห็นอะไรที่ถูกต้อง นี่คือความเสียหาย
เราต้องช่วยกันเปิดหู เปิดตา เปิดใจ ให้มันมองเห็นอะไรถูกต้อง จึงจะเป็นการกระทำที่ถูกต้อง ต้องช่วย ครูเราต้องช่วย ครูอย่างมงาย อย่าไปเชื่อสิ่งเหลวไหล สิ่งศักดิ์สิทธิ์ อย่าไปยุ่ง โรงเรียนครูนี่ยังเอารูปพระพิฆเณศวร ไปวางไว้ บางเขน ฉันไปเทศน์ หลวงพ่อไปเทศน์ ไปเห็น เทศน์เลย อะไร โรงเรียนฝึกหัดครู เอามนุษย์ครึ่งสัตว์มาให้เด็กไหว้ พระพิฆเณศวร นั่นคือมนุษย์ครึ่งสัตว์ ตัวเป็นคน หัวเป็นช้าง แล้วมันจะต่อกันได้ไง ช้างกับคน เลือดมันคนละกรุ๊ป ประสาทมันก็ไม่เหมือนกัน เนื้อมันก็ไม่เหมือนกัน จะมาต่อกันอย่างไร มันเป็นนิยายของแขกเขา ไอ้เราไปรับความโง่ๆ จากอินเดียมา ของดี เรารับมานิดหน่อย ของพระพุทธเจ้า ไปรับของโง่มาก่อนเลยติดนิสัย เอารูปพระพิฆเณศวรไปวางไว้ บอกว่าอธิบดีฝึกหัดครูคนไหน ที่โง่ดักดาน เอารูปมนุษย์ครึ่งสัตว์มาให้เด็กไหว้ในวิทยาลัยครู เดี๋ยวนี้ก็ยังอยู่ไม่กล้ายกออก ไม่มีความกล้าพอ ให้เด็กไหว้ เอาพระพุทธรูปไปวางไว้ให้เด็กไหว้ ยังฉลาดกว่า เดี๋ยวนี้ก็ยังไหว้ มันไม่ถูกต้อง ทำอย่างนั้นไม่ถูก เราไม่ได้ปลุกใจคนให้มันเป็นผู้รู้เป็นผู้ฉลาด มีปัญญา
นี่เป็นข้อคิดที่น่าคิดเวลานี้ เราต้องช่วยกันเปลี่ยนแปลง ระบบสังคมต้องรวมพวกกัน ปรึกษาหารือกัน แล้วเราก็ทำสิ่งที่ถูกต้องไม่ต้องกลัวใคร เพื่อสิ่งถูกต้องไม่ต้องกลัวใคร พูดสิ่งถูกต้องไม่ต้องกลัวใคร หลวงพ่อพูดมานานแล้วก็ไม่มีใครว่าอะไร เพราะหลวงพ่อไม่ได้ทำตามคำสั่งของใคร ทำตามคำสั่งของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าสั่งให้สอนคน ให้สอนสิ่งถูกต้อง สั่งมาตั้งสองพันกว่าปี เอาคำสั่งนี้มาเป็นหลักแล้วก็ทำอยู่ ใครจะคัดค้านก็มาคัดค้าน พูดกันได้ ว่านี่เป็นคำสั่งของพระพุทธเจ้า ทำตามคำสั่งของพระพุทธเจ้า เราเป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้า ต้องเชื่อคำพระพุทธเจ้า ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ไปเชื่อพวกไสยศาสตร์ เชื่อพระพรหม เชื่อพระอิศวร พระนารายณ์อะไรก็ไม่รู้ เลอะเทอะ เต็มบ้านเต็มเมือง ทำให้เกิดปัญหา มันเป็นอย่างนั้น คิดดู หลวงพ่อพูดอะไร คิด เตือนให้เราคิด ว่าเรากำลังเขว กำลังทิ้งสิ่งถูกต้อง ไปอยู่กับสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ทิ้งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไปอยู่กับพระอิศวร นารายณ์ พระพรหม อะไรก็ไม่รู้ ซึ่งเป็นเรื่องเหลวไหล ไร้สาระ เราควรจะวกกลับมาหาพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ครูทำตนให้เป็นตัวอย่างแก่เด็กในเรื่องถูกต้อง แล้วก็ช่วยกันทำงานอย่างจริงจังเพื่อกู้เรือไทย ที่กำลังจะล่มอยู่เวลานี้ เรือไทยมันจะล่มอยู่แล้ว ณ เวลานี้ เราต้องช่วยกัน กู้ กู้ด้วยการทำงานอย่างจริงจัง รักงาน ขยัน เอาใจใส่ คิดค้น เพื่อทำงานให้ดี ให้เจริญ ทำงานเพื่องาน ทำหน้าที่เพื่อหน้าที่ อย่าไปหวังอะไรเลย
คราวหนึ่งมีการชุมนุมเผารูปปลัดกระทรวง หลวงพ่อไปไชยา ท่านเจ้าคุณโยนหนังสือพิมพ์มา ดูสิน้องท่าน ดูสิ ครู ทำอย่างนี้ วิญญาณครูมันหายไปไหน กรีดเลือด กรีดเนื้อ เผารูปท่าน อภัย จันทวิมล ที่คุรุสภา ท่านบอกนี่วิญญาณครูมันไปไหนหมด มันมีแต่ความอยากมีอยากได้ ท่านว่าอย่างนั้น อาตมาก็เห็นด้วยว่ามันเป็นการไม่ถูกต้อง ทำอย่างนั้น ครูเราไม่ควรทำอย่างนั้น อย่าไปพูดเรื่องจะมีจะได้ พูดแต่ว่ามีงานอะไรให้ข้าพเจ้าทำ ข้าพเจ้าจะทำงานนั้นด้วยความเต็มอกเต็มใจ โดยไม่หวังอะไรตอบแทน ใครจะให้อะไรไม่ให้อะไร ฉันไม่เกี่ยว ขอให้มีงานให้ฉันทำก็พอแล้ว แล้วฉันจะทำงานด้วยความเสียสละ เพื่อประโยชน์แก่ประเทศชาติ แก่ส่วนรวม เราคิดจะให้ จึงจะได้ แต่ถ้าไม่คิดอย่างนั้นก็ วิญญาณครูมันหายไป มีแต่ลูกจ้างสอนหนังสือเต็มบ้านเต็มเมือง จะมีความหมายอะไร ลองคิดดูก็แล้วกัน พูดมาก็สมควรเวลา ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้