แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
พุทธบริษัททั้งหลาย ขณะนี้เป็นเวลาที่จะได้ฟังธรรมแล้ว หาที่นั่ง นั่งพัก ณ ที่ใดที่หนึ่งซึ่งสามารถได้ยินเสียงชัดเจน ไม่ต้องกลัวฝนเพราะว่าฝนไม่ตก เรานั่งพักให้สบายแล้วก็ตั้งใจฟัง เพื่อให้เกิดปัญญาเกิดความรู้เกิดความเข้าใจ แล้วจะได้นำไปใช้เป็นหลักปฏิบัติในชีวิตประจำวันของเราต่อไป วันนี้เป็นวันอุโบสถแรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ เข้าพรรษามาได้ ๑๕ วันแล้ว พระสงฆ์ที่จำพรรษาก็มาได้ ๑๕ วันเช่นเดียวกัน วันเข้าพรรษาผ่านมา ๑๕ วันก็เรียกว่าเป็นเวลาที่เราจะต้องคิดนึกพิจารณาตัวเอง ตักเตือนตัวเองแก้ไขตัวเอง ว่าในรอบพรรษาที่ผ่านมา ๑๕ วันนี้เราได้ทำตนอย่างไร ศีลของเราเป็นอย่างไร สมาธิเป็นอย่างไร ปัญญาเป็นอย่างไร จะได้รู้จักสิ่งนั้นถูกต้อง ว่ามันมีอยู่ในใจของเราขนาดไหน อะไรควรเพิ่มเติมให้มากขึ้น อะไรมันลดน้อยลงไป
เรื่องลดๆ นี่ไม่ค่อยจะดี เช่น ลดค่าเงินบาทนี่ก็เสียหาย ทำให้เงินราคามันน้อยลงไป มีเงินอยู่บาทหนึ่ง ร้อยสตางค์ แต่พอลดลงไปมันเหลือไม่ถึงร้อยสตางค์ มันรู้ว่าขาดเพราะว่าไปซื้อของ ของมันแพงขึ้นเพราะเงินมันถูกลงไป ทำให้เกิดปัญหา แต่ว่าจะทำอย่างไรได้ เพราะว่าเรื่องของโลกมันก็เป็นอย่างนั้น ขึ้นๆ ลงๆ เปลี่ยนแปลงกันอยู่ตลอดเวลา เราอย่าไปเป็นทุกข์กับสิ่งที่มันไหลขึ้นไหลลง แต่เราต้องศึกษาให้รู้ทันรู้เท่าต่อสิ่งนั้นตามสภาพที่เป็นจริง จิตใจจะได้ไม่หวั่นไหวโยกโคลงไปกับสิ่งเหล่านั้น ใจที่ไม่หวั่นไหวเป็นใจเขาเรียกว่าคงที่ ภาษาพระเรียกว่าตาที ตาทีหมายความว่า คงที่ ไม่เอนไม่เอียงไปเข้าข้างใดข้างหนึ่ง
เวลาได้ก็ไม่ดีใจ เวลาเสียก็ไม่เสียใจ อย่างนั้นเรียกว่าใจคงที่ คงที่เพราะเรามีปัญญารู้ทันรู้เท่าต่อสิ่งนั้นตามสภาพที่เป็นจริง รู้ว่าสิ่งทั้งหลายมันเป็นอยู่อย่างนี้ เราสวดมนต์ทุกวันพระ เวลาสวดคำพิจารณาตักเตือนตัวเอง ว่ารูปเป็นของไม่เที่ยง เวทนาไม่เที่ยง สัญญาไม่เที่ยง สังขารไม่เที่ยง วิญญาณไม่เที่ยง รูปเป็นทุกข์ เวทนาก็เป็นทุกข์ สัญญาเป็นทุกข์ สังขารทั้งหลายก็เป็นทุกข์ รูปไม่ใช่ตัวตน ไม่ควรจะเข้าไปยึดไปถือเอาตนในตนหนึ่งว่าเป็นตัวเราว่าเป็นของเรา เพราะการเข้าไปยึดไปติดนั้นทำให้เกิดปัญหาขึ้นในชีวิต เพราะการไปยึดไปเกาะ
เราจะไม่ยึดสิ่งนั้นไม่เกาะสิ่งนั้น แต่เราจะมองสิ่งนั้นด้วยสติปัญญา มองด้วยปัญญาก็มองให้รู้ว่ามันเปลี่ยนไปอย่างไร มันไม่คงที่อย่างไร ไม่มีเนื้อแท้อย่างไร เป็นเรื่องที่จะต้องพิจารณาทำความเข้าใจอยู่บ่อยๆ เมื่อมีอะไรเกิดขึ้นเราก็พูดกับตัวเราเองได้ว่า มันเป็นเช่นนั้นเอง มันเป็นเช่นนั้นเอง คือธรรมชาติมันเป็นอย่างนั้น เราจะบังคับก็ไม่ได้ จะฝืนใจก็ไม่ได้ เพราะไม่มีอะไรอยู่ในอำนาจของใคร มันมีแต่เพียงว่าไหลไปเรื่อยไป จนกระทั่งแตกดับไปเท่านั้นเอง เราพิจารณาอย่างนั้น จิตที่จะเข้าไปยึดไปติดอยู่ในสิ่งนั้นๆ ก็ลดน้อยลงไป เราจะเบาขึ้นบางขึ้น มีความสุขมากขึ้น
เบาคือไม่หนักใจ บางก็หมายความว่าสิ่งที่มาครองหนาในจิตใจเหลือน้อย ถูกขูดถูกเกลาด้วยสติด้วยปัญญา มันก็บางลงไปจนกระทั่งหมดไป เหลือแต่ใจแท้ๆ ที่เป็นธรรมชาติคงที่ ไม่เปลี่ยนแปลงเท่าใด เพราะมีปัญญาเป็นเครื่องกำกับ อันนี้เป็นหลักที่ญาติโยมจะต้องพิจารณาบ่อยๆ ไม่ใช่เพียงสักแต่ว่าสวดกันได้ แล้วก็สวดกันทุกวัน หรือว่าสวดกันทุกวันพระ แต่เวลากระทบอะไรก็วู่วาม ยินดีบ้างยินร้ายบ้างอย่างนั้นมันก็ไม่ถูกต้อง แสดงว่าเราไม่ได้ใช้หลักธรรมะเป็นเครื่องมือประคับประครองจิตใจ จิตใจที่ไม่มีธรรมะเป็นเครื่องคุ้มครองย่อมโลดเต้นไปตามสิ่งที่มากระทบ
เวลาโลกมันเปลี่ยนแปลงไปในทางดี เราก็ไหลไปกับความดี เปลี่ยนแปลงไปในทางร้ายเราก็ไหลไปในทางร้าย ไม่คงที่มีการขึ้นๆ ลงๆ วิ่งเต้นไปตามสิ่งที่มันเปลี่ยนแปลง คนเราถ้าวิ่งมากมันก็เหนื่อย เหนื่อยจนลิ้นห้อยก็ว่าได้ แต่ถ้าเราไม่วิ่งตามมัน แต่เรารู้ว่ามันวิ่งอย่างไร มันไปถึงไหน แล้วมันหยุดอย่างไร เราไม่วิ่งตาม แต่เราหยุดพิจารณาสิ่งนั้นเพื่อให้เข้าใจชัดในสิ่งนั้นถูกต้อง สภาพจิตใจก็ไม่หวั่นไหว ไม่โยกโคลงไปกับสิ่งเหล่านั้น อันจิตของคนเรานั้นโดยปกติธรรมชาติเป็นสิ่งที่ผ่องใสอยู่ตลอดเวลา ไม่ได้ขุ่นมัวไม่ได้เศร้าหมองด้วยอะไรๆ ที่จรมากระทบ อันนี้คือเนื้อแท้ของใจเรา ธรรมชาติมันเป็นอย่างนั้น แต่ว่าที่เศร้าหมองก็เพราะว่ามีสิ่งมากระทบ เราเรียกสิ่งนั้นว่าอารมณ์ อารมณ์เข้าทางตา ทางหู ทางจมูก ทางรสลิ้น ทางกายประสาทกระทบร่างกาย แล้วเรารับด้วยไม่รู้ ด้วยไม่เข้าใจ เรียกว่ารับสิ่งนั้นด้วยอวิชชา
เมื่อเรารับสิ่งนั้นด้วยอวิชชา เราก็ถูกมันกัดเอามันทำให้เราเป็นทุกข์เดือดร้อนใจ เช่นว่าถ้าดีเราพอใจ ความดีนั้นมันก็กัดเราเหมือนกัน ความชั่วเราไม่พอใจมันก็กัดเราเหมือนกัน ถ้าเราไม่ให้สิ่งนั้นกัดเราทำร้ายเรา เราก็ต้องมองว่ามันเกิดขึ้นอย่างไร ไหลไปอย่างไร แล้วมันดับไปอย่างไร หายไปอย่างไร ต้องนึกตามมันไว้ พิจารณามันไปเรื่อยๆ สิ่งนั้นก็จะไม่แว้งกัดเราให้เกิดความเสียหาย คนเราที่มีความทุกข์มีความเดือดร้อน เพราะอารมณ์ที่มากระทบ เพราะอารมณ์นั้นก็มีสองแบบ เป็นที่พอใจอย่างหนึ่ง เป็นที่ไม่พอใจอย่างหนึ่ง มันมีอยู่อย่างนั้น บางอย่างเราก็พอใจ เมื่ออารมณ์อันพอใจมากระทบเราก็ดีใจ ตื่นเต้น หัวเราะ หัวไห้ มีอาการร่าเริง
แต่ถ้าไม่เป็นที่พอใจมากระทบ หน้านิ่วคิ้วขมวดแล้วก็คิดด้วยความร้อน ด้วยความไม่รู้ ด้วยความไม่เข้าใจในเรื่องนั้น สภาพจิตใจเปลี่ยนจากความสว่างเป็นความมืดเป็นความบอด แล้วก็มีความทุกข์เพราะเรื่องอย่างนั้น มันเป็นอย่างนี้ เขาเรียกว่าถูกหลอกนั่นเอง เราถูกอารมณ์มันหลอกให้เพลิดเพลิน ให้หลงใหลให้มัวเมาในสิ่งเหล่านั้น แล้วก็ถูกหลอกเรื่อยไป เพราะเราไม่ศึกษาไม่ทำความเข้าใจกับสิ่งเหล่านั้น จึงต้องถูกต้มถูกหลอกอยู่ตลอดเวลา คนที่อยู่ด้วยสิ่งต่างๆ มาหลอกมาหลอนจะเป็นความสุขได้อย่างไร นอนก็ไม่เป็นสุข นั่งก็ไม่เป็นสุข จะทำกิจการงานอะไรก็ไม่มีความสุขใจ เพราะใจมันกังวลวิตกอยู่ในเรื่องนั้นๆ ตลอดเวลา
ปัญหาไม่จบไม่สิ้นเพราะเราไม่ได้พิจารณา ไม่ได้ศึกษาให้เข้าใจเรื่องนั้นถูกต้อง พระพุทธเจ้าจึงสอนเราว่าให้หมั่นพิจารณา ให้หมั่นศึกษาเรื่องนั้นๆ ให้รู้ชัดตามสภาพที่มันเป็นจริง อย่ารู้แต่เพียงภาพมายาผิวเผิน อย่าดูแต่ภายนอก แต่ต้องดูให้ทะลุเข้าไป แทงให้ตลอดในเรื่องนั้น ให้รู้ว่ามันคืออะไรชัดเจนแจ่มแจ้ง ถ้ารู้ว่าอะไรแล้วเราก็จะไม่ติดใจไม่หลงใหล ไม่มัวเมาในสิ่งนั้น เพราะเรารู้ว่ามันคืออะไร ความหลงใหลมัวเมาก็หายไป จิตเราก็เป็นตัวเอง คำว่าเป็นตัวเองหมายความว่า ถอยกลับไปอยู่ในสภาวะดั้งเดิม ภาวะดั้งเดิมนั้นคือความสะอาด ความสว่าง สงบของใจ
แต่ที่เปลี่ยนเป็นสกปรกเร่าร้อนวุ่นวาย เพราะเราไม่รู้จักสิ่งที่มากระทบ เราหลง เรามัวเมาในสิ่งนั้น เพลิดเพลินไปในสิ่งนั้น บางทีหลงใหลมัวเมาเพลิดเพลินจนหมดเนื้อหมดตัว ต้องใช้ทรัพย์สมบัติเพื่อซื้อเพื่อหาสิ่งนั้นมาบำเรอความอยากของตัว แล้วความอยากที่มันเกิดขึ้นในใจเรานั้น มันจบเมื่อไหร่มันสิ้นเมื่อไหร่ ไม่มีวันจบไม่มีวันสิ้น เพราะเราไม่รู้จักอิ่มไม่รู้จักพอ พระท่านจึงกล่าวว่า นัตถิ ตัณหา สมา นที แปลว่าแม่น้ำที่เท่าตัณหาไม่มี ตัณหาก็ไม่รู้จักอิ่มไม่รู้จักพอ ด้วยรูป ด้วยเสียง ด้วยกลิ่น ด้วยรส ด้วยสิ่งที่มากระทบทางกายประสาท ไม่อิ่มไม่พอ ได้เท่านี้อยากได้เท่าโน้น อยากได้เรื่อยๆ ไป จนไม่รู้ว่าจะได้สักเท่าไหร่ เรียกว่าเป็นฝ่ายบวกๆๆๆๆ จนไม่รู้ว่าจะจบเมื่อไหร่ เพราะไม่เข้าใจในสิ่งนั้น แล้วก็ต้องเที่ยววิ่งเที่ยวหา
การเที่ยววิ่งหานั้นเป็นทุกข์หรือไม่ ญาติโยมพิจารณาเราหาสิ่งใดก็เป็นทุกข์ในสิ่งนั้น เพราะหาด้วยความร้อนใจ ด้วยความอยาก อยากมีอยากเป็นในสิ่งนั้นๆ เราก็มีความทุกข์มีความเดือดร้อนใจ แต่ถ้าเรารู้ว่ามันคืออะไร แล้วเราก็หยุดอยาก หยุดแสวงหา พอหยุดแล้วมันก็สบายใจ โปร่งใจ แต่ถ้ายังไม่หยุดมันก็เป็นทุกข์เรื่อยไป เหนื่อยเรื่อยไป คนบางคนเกิดมาเป็นทุกข์ตลอดเวลา ไม่รู้จักพักใจ ไม่รู้จักหยุดจากความอยาก ไม่หยุดจากความหลง ไม่หยุดจากความมัวเมาในสิ่งเหล่านั้น สภาพจิตใจก็เหนื่อย เหนื่อยหน่ายในสิ่งนั้น แต่ไม่ได้เหนื่อยด้วยปัญญา
การที่เหนื่อยไม่มีปัญญากำกับนั้น เป็นความเหนื่อยที่ทำให้เราเหน็ดเหนื่อยทั้งกายทั้งใจ เพราะเราไม่รู้ว่ามันจะจบเมื่อไหร่ มันจะหยุดเมื่อไหร่ มีความกังวล มีความห่วงใจ มีความยึดติดอยู่ในสิ่งนั้นตลอดเวลา ก็มีปัญหาคือความทุกข์ความเดือดร้อน เพราะฉะนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงสอนให้เราทั้งหลายว่า อย่าอยู่ด้วยความยึด อย่าอยู่ด้วยความติด อย่าอยู่ด้วยความหลง อย่าอยู่ด้วยความมัวเมา อย่าอยู่ด้วยความประมาท แต่ให้อยู่ด้วยการลืมหูลืมตา มองสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าด้วยสภาพที่เรารู้ว่ามันคืออะไร เขาเรียกว่ามองด้วยปัญญา
เมื่อมองด้วยปัญญาเราก็รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร มันน่ารักที่ตรงไหน มันน่าพอใจที่ตรงไหน มันน่าจะเอามาเป็นของตัวที่ตรงไหน เมื่อพิจารณาไปรู้ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งรู้ชัดว่ามันไม่มีอะไรที่น่ารัก ไม่มีอะไรน่าเอา ไม่มีอะไรที่น่าจะเข้าไปยึดไปถือว่าเป็นตัวเรา ว่าเป็นของเรา จิตมันก็เบื่อหน่าย คลายความกำหนัด แล้วมันก็หลุดพ้นไปอีก อันนี้เป็นเรื่องที่ควรจะได้ศึกษาทำความเข้าใจ โดยเฉพาะในวันอุโบสถซึ่งเป็นวันที่เราเข้าอยู่ ก็คำว่าอุโบสถแปลว่าเข้าไปอยู่ อยู่ในกรอบของศีล ๘ ข้อที่เรารับจากพระไป ศีล ๘ ข้อนั้นเป็นบทฝึกหัด เป็นบทเรียนเหมือนกับแบบฝึกหัดของเด็กๆ ที่รับไปทำที่บ้านบ้าง ทำที่โรงเรียนบ้าง เราก็รับแบบฝึกหัดมาปฏิบัติบ้าง
จะไม่ฆ่าใคร จะไม่ฆ่าใคร จะมีใจประกอบด้วยความรักเพื่อนมนุษย์ มีความเอ็นดู มีความกรุณาต่อบุคคลเหล่านั้น ต้องการให้เขาอยู่เย็นเป็นสุข พ้นทุกข์พ้นร้อน ถ้าเราเห็นว่าเขามีอะไรที่เป็นทุกข์อยู่ เดือดร้อนใจอยู่ เราก็เข้าไปช่วยเหลือบุคคลนั้น เท่าที่เราจะช่วยได้ เท่าที่เรามีวัตถุ เท่าที่เรามีความรู้ความสามารถ ที่จะพูดให้คนนั้นหายหลง หายเมา หายประมาท ให้อยู่ด้วยสติปัญญาได้อย่างไร เราก็ทำอย่างนั้น การทำอย่างนั้นเป็นการแสดงน้ำใจว่าเรามีความรัก มีความสงสารเพื่อนคนนั้น เขาได้รับคำแนะนำคำเตือนแล้วเขาก็จะรู้สึกตัวขึ้น เมื่อรู้สึกตัวแล้วก็เปลี่ยนวิถีความเป็นอยู่ อยู่ด้วยสติ อยู่ด้วยปัญญา ไม่อยู่ด้วยความหลงใหลมัวเมา สภาพจิตใจก็ดีขึ้น ความสุขก็มั่นคงขึ้น ความเป็นอยู่ทุกอย่างดีขึ้น อันนี้เป็นเรื่องที่ได้ประโยชน์เพราะเรามั่นอยู่ในศีลข้อที่ ๑
ศีลข้อ ๒ หมายความว่าไม่เอาของๆ ใครๆ มาเป็นของตัว สิ่งทั้งหลายที่มีอยู่ในโลกนี่มันมีอยู่เพียงพอสำหรับทุกคนกินใช้ แต่มันเกิดไม่พอขึ้นมาก็เพราะว่า บางคนเอาไปใช้ส่วนตัวเสียมาก ดึงเอาไปทำประโยชน์ส่วนมาก คนอื่นก็ขาดประโยชน์ไป การกระทำการดึงเอาไปเพื่อตัวนั้น ถ้าหากว่าดึงผิดวิถีทาง เช่นไปโกงเขา ไปฉ้อเขา ไปเบียดเบียนเขาให้เกิดความทุกข์ความเดือดร้อน หรือบางทีต้องฆ่ากัน ถึงกับให้ตายไปข้างหนึ่ง เช่น พี่ๆ น้องๆ อยู่ในครอบครัวเดียวกัน ทรัพย์สมบัติมีมากพ่อแม่อุตส่าห์ทำงานอาบเหงื่อต่างน้ำ หาเงินหาทองไว้ให้ลูกได้กินได้ใช้
แต่พอแม่ตายแล้ว ลูกเข้ากันไม่ได้ ทำไมจึงเข้ากันไม่ได้ เพราะจิตมันไปอยู่ที่วัตถุ ที่เงิน ที่มรดกที่ตนจะพึงได้ แล้วก็คิดว่ากูต้องได้มากกว่าคนนั้น ได้ดีกว่าคนนั้น สมมติว่ามีที่ดินหลายแปลง แปลงหนึ่งมันอยู่ในทำเลเหมาะ อยู่ใกล้ลำน้ำ อยู่ใกล้ถนน สะดวกแก่การไปมา ใครๆ ก็อยากได้แผ่นดินตรงนั้น ถ้าเขาแบ่งให้ที่ตรงอื่นตนก็ไม่พอใจไม่อยากได้ก็เกิดขัดใจกัน ขัดใจกันมากๆ เข้าก็เลยฆ่ากันตาย ฆ่ากันบ่อยๆ ปรากฎเป็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ การที่ฆ่ากันเช่นนั้นก็เพราะว่าขาดศีลข้อ ๒ แล้วก็ไม่ได้คิดให้รอบครอบ ไม่ได้ใช้ปัญญาเป็นเครื่องพิจารณา
ความจริงคุณพ่อคุณแม่ คุณปู่คุณย่า คุณตาคุณยาย ที่ท่านตายจากพวกเราไปนั้น ท่านก็แสดงแบบให้เราดูแล้ว แสดงแบบสาธิตให้เราดูแล้วว่าอะไรเป็นอะไร คือแสดงให้เห็นว่าท่านเหล่านั้นเขาเอาอะไรไปไม่ได้ เวลาท่านตายไปท่านเอาอะไรไปไม่ได้ เงินก็เอาไปไม่ได้ นาก็เอาไปไม่ได้ สวนก็เอาไปไม่ได้ เพชรนิลจินดาที่ประดับประดาตกแต่งร่างกาย พอหมดลมหายใจลูกหลานนั่งจ้องตาเป็นมัน พอหมดลมหายใจก็ถอดเอาไปเลย เบียดบังเอาไปใช้ประโยชน์ส่วนตัว เอาไปแล้ว อันนี้แสดงว่าเอาไปไม่ได้ เขาอุตสาห์เวลาอาบน้ำศพเสร็จแล้ว เอาเงินใส่ปากให้กับศพ ใส่ปากให้เพื่อเอาไปใช้ เอาไปได้ถึงไหน เอาไปได้เพียงเชิงตะกอนเท่านั้นเอง
เพราะเวลาเผาศพแล้วไปเก็บอัฐิคือกระดูกและขี้เถ้า เก็บไปเก็บมาเจอเงินเหรียญบาท ถ้าหลานเจอก็ยกให้ อ้าวคุณปู่ให้หนู ความจริงคุณปู่ไม่ได้ให้ ท่านเอาไปไม่ได้เลยทิ้งไว้ที่เชิงตะกอน กระดูกก็ทิ้งไว้ เมื่อถูกเผาไหม้ไป ไม่เหลืออะไร แต่กระดูกมันแข็งมันก็เหลืออยู่ ทำให้เราได้เรียนได้รู้ว่า นี่ตายแล้วเอาอะไรไปไม่ได้ นาก็เอาไปไม่ไม่ได้ สวนก็เอาไปไม่ได้ ตึกแถวก็เอาไปไม่ได้ เงินทองในธนาคารก็เอาไปไม่ได้ เพราะสิ่งเหล่านั้นไม่ใช่ของใคร แต่เป็นของของธรรมชาติที่มีไว้สำหรับคนเกิดมาได้กินได้ใช้ ทีนี้คนที่มีความโลภมากอยากได้ ก็ไปเอาเบียดบังเอาประโยชน์ผู้อื่นมาเป็นประโยชน์ส่วนตัว คนหนึ่งก็ขาดประโยชน์ไป ถ้าขาดมากๆ เข้า เขาก็แค้นใจ พยาบาท จองเวรแล้วก็ไปฆ่าแกงกัน
ส่วนมากก็เป็นญาติกันทั้งนั้น ที่ฆ่าๆ กันอยู่ทั่วๆ ไป คนอื่นจะมาฆ่ามันน้อย นี่ก็เพราะความโลภเป็นเหตุ ไม่ถือศีลข้อที่ ๒ ไว้ ถ้าเราถือศีลข้อที่ ๒ เราสำนึกรู้สึกตัว ได้บทเรียนเป็นเครื่องสอนใจว่าไม่มีอะไรที่จะเป็นของเรา เราเอาไปไม่ได้ แต่แม้มันจะอยู่กับตัวเราเราก็พูดกับตัวเองว่า ฉันใส่ชั่วคราว ฉันใช้ชั่วครั้งคราว เวลาฉันเจ็บหนักหมดลมหายใจฉันก็เอาไปไม่ได้ ก็ทิ้งไว้ให้คนอื่นใช้กันต่อไป นึกไว้อย่างนั้นบ่อยๆ เป็นเครื่องเตือนใจ เราก็จะไม่หลงใหลไม่มัวเมาในสิ่งนั้น เพราะเห็นว่ามันไม่ใช่เป็นของเราอย่างแท้จริง อันนี้ต้องคิดไว้บ่อยๆ ปลอบโยนจิตใจไม่ให้มันไปเกาะไปจับ ไปติดอยู่ในสิ่งนั้น ความทุกข์เพราะพลัดพรากก็ไม่มี เพราะว่าเราไม่ได้ยึดว่าเป็นของเรา
ถ้ามันแตก มันหักไป เราก็พูดได้ว่าธรรมชาติมันเป็นอย่างนี้ ของแตกได้ก็ต้องแตก ของหักได้ก็ต้องหัก ของหายได้มันก็ต้องหาย ของที่ขโมยลักได้ มันก็มาขโมยของเราไป อย่าไปเสียใจมันเลย เพราะของหายแล้วเราจะเสียใจทำไม ของหายแล้วใจหายไปด้วย นั่งเศร้าโศกเสียใจอาลัยอาวรณ์ กินไม่ได้นอนไม่หลับ เรื่องอะไรที่ลงโทษตัวเองอย่างนั้น เป็นความเขลาชนิดหนึ่งเพราะไปยึดติดในสิ่งที่เราหามาได้ ยึดไว้ว่าเป็นของตัว แต่ไม่ได้นึกว่ามันมิใช่เป็นของฉัน ถ้าเรานึกว่าไม่ใช่ของเรา เราก็ไม่เสียใจ แต่ว่ามันอยู่กับเราก็ใช้ไปก่อน ใช้ให้ดีรักษาให้ดี ยังไม่จำเป็นจะให้ใครมาเอา ก็ตอบตัวเองได้ว่าเรามีอะไรอยู่บ้าง แล้วเราเป็นทุกข์เพราะเรื่องนั้นไหม
มีบุตรเป็นทุกข์เพราะบุตรไหม มีทรัพย์เป็นทุกข์เพราะทรัพย์ไหม มีลาภเป็นทุกข์เพราะลาภไหม มีวาสนาบารมีได้เป็นใหญ่เป็นโต นั่งทุกข์ไหม ทุกข์กลัวคนอื่นจะมาแย่งเอาอำนาจของเราไป มาแย่งลาภของเราไป ถ้ามีอย่างนี้ก็ไม่ไหว ทรมานตัวเองให้เกิดความทุกข์ความเดือดร้อนใจ มีโดยไม่ต้องเป็นทุกข์จึงจะใช้ได้ เป็นอะไรก็เหมือนกัน เป็นอย่าให้เป็นทุกข์ เช่นได้เป็นผู้แทนก็อย่าเป็นทุกข์ เป็นรัฐมนตรีก็อย่างเป็นทุกข์ เป็นนายกก็อย่าเป็นทุกข์ แต่ว่าเป็นเพื่อรับใช้ส่วนรวม รับใช้ประเทศชาติ ทำงานเพื่องาน ทำงานเพื่อหน้าที่ ไม่ได้ทำเพื่อจะเอาอะไรเพื่อตัวเพื่อความมั่งคั่งต่อไป
คนเรามันคิดไม่ค่อยได้ เพราะยึดติดในวัตถุ ความจริงถ้าเราไม่ยึด ไม่ติด ไม่หวังอะไร ไม่เป็นอะไร มันก็มีเกียรติอยู่ในตัวแล้วมีความดีอยู่ในตัวแล้ว คนก็นิยมชมชอบ เวลาคราวเลือกตั้งคราวหน้า เขาเห็นอ้อคนนี้มันสะอาดไม่เห็นแก่ตัวไม่เห็นแก่ได้ ควรที่จะได้เป็นผู้ดำรงตำแหน่งนายกต่อไป คือเป็นรัฐมนตรีต่อไป เป็นผู้แทนต่อไปเขาก็เลือกอีก เขาเลือกอีก แต่นี้คนเรามันไม่ฉลาด คิดแต่จะแสวงหาวัตถุไปแลกกับความเป็นใหญ่เป็นโต เอาเงินไปแลกกับความเป็นผู้แทน เอาเงินไปแลกกับความเป็นรัฐมนตรี เอาเงินไปแลกเพื่อเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ ไอ้นี้เรียกว่าโง่ทั้งนั้น ยังอยู่ในสภาพของคนโง่ คนไร้ปัญญา แล้วก็เป็นทุกข์ เป็นอยู่ก็เป็นทุกข์กลัวคนอื่นจะมาแย่ง กลัวคนอื่นจะมาล้ม เป็นทุกข์นะ
แต่ถ้าเราไม่คิดอย่างนั้นเราคิดว่าถึงบทที่ฉันจะต้องเป็นอย่างนี้ บทที่จะแสดงก็แสดงให้เป็นนายก แสดงเป็นรัฐมนตรี แสดงตำแหน่งอธิบดีอะไรต่ออะไรก็ตามเขาให้เป็นน่ะ เราก็แสดงตรงนั้นเป็นตัวละครที่จะแสดงฉากนั้น ก็แสดงให้ดีให้เป็นทีพอใจของคนดู เวลาเราเข้าฉากคนตบมือเกรียวแสดงความดีใจเสียใจ พอเราออกมาคนก็ตบมือต้อนรับ เพราะเราแสดงดีคนพอใจ อย่างนั้นมันก็สบาย แต่ว่าความคิดอย่างนั้นมันไม่เกิด เพราะไม่ค่อยศึกษาธรรมะ ไม่เข้าใกล้พระที่สอนธรรมะให้คนเกิดความรู้ความเข้าใจ ชอบไปหาพระที่สอนให้โง่ ให้งมงาย ให้หลงผิดด้วยประการต่างๆ
เมื่อตะกี้ก่อนมานี้เห็นรูปภาพในหนังสือพิมพ์ พระเป็นมหา เป็นมหาไปอยู่ที่เมืองซานฟรานซิสโก ชื่อว่าวัดพุทธประทีป ชื่อมันไม่สมชื่อเลย วัดพุทธประทีปแปลว่าแสงสว่างของพระพุทธเจ้า แต่การกระทำของพระองค์นั้นมันไม่สมชื่อของวัดพุทธประทีป แสดงอะไร ชักชวนชาวบ้านมาทำพิธีบูชาพระราหู แล้วก็คนมากัน มันชื่อพุทธประทีปไม่ได้ วัดนั้นมันควรจะชื่อวัดตรงกันข้ามคือวัดมืด วัดมืดวัดไม่มีแสงสว่าง เพราะไปดึงคนมาไหว้พระราหู พระราหูคืออะไรก็ไม่รู้ ความจริงพระราหูคือโลกที่เราอยู่นี้ไม่ใช่อะไร โลกที่เราอยู่เป็นดาวดวงหนึ่งเขาเรียกว่าดาวราหู ดาวราหูเป็นดาวที่ประเสริฐเพราะมีทุกอย่าง มีคน มีสัตว์ มีต้นไม้ มีแร่มีธาตุ มีอะไรหลายอย่าง
ดาวอื่นไม่มีอะไร ดาวดวงจันทร์มีแต่หินกับทราย มนุษย์อยู่ไม่ได้ สัตว์ก็อยู่ไม่ได้ ดาวอังคารก็ไปเจออีกไม่มีอะไร นอกจากทรายกับหินเท่านั้นเอง ต้นไม้สักต้นก็ไม่มี มดสักตัวก็ไม่มี เพราะว่าสิ่งที่มีชีวิตมันอยู่ไม่ได้ เป็นดาวที่ร้างไม่มีอะไร ดาวหมันนิ พูดภาษาบ้านเราดาวเป็นหมันเพราะไม่เกิดต้นไม้ ไม่เกิดผลไม่เกิดอะไร แล้วจะไปไหว้ทำไม อันนี้ดาวราหูมีทุกอย่าง เขาเรียกว่าราหูมีทุกอย่าง มีน้ำให้เราดื่ม มีอาหารให้เรากิน มีไม้ให้เราสร้างบ้านสร้างเรือน มียาให้เราแก้ไข้ มีอะไรทุกอย่างสมบูรณ์พูนสุข ไม่มีโลกไหนดาวไหนจะดีเท่าดาวนี้แล้วล่ะ ให้เข้าใจอย่างนั้น แล้วไม่ให้โทษอะไร ไม่ต้องไปบูชาหรอก แต่ถ้าจะรู้จักบุญคุณดาวดวงนี้ เราก็ประพฤติดีประพฤติชอบอยู่ในศีลในธรรม ตั้งหน้าทำมาหากินมันจึงจะเป็นการถูกต้อง
แต่ว่าพระที่ไปอยู่คงไปจากวัดที่เมืองไทยที่มีแต่เรื่องไสยศาสตร์ วัดในกรุงเทพมีหลายวัดไม่สอนพระพุทธศาสนา แต่สอนไสยศาสตร์ประกาศแต่ความโง่ความหลงให้แก่ประชาชน พระที่อยู่วัดนั้นจะไปไหนก็เอาความโง่ไปด้วย เอาวิชาไสยศาสตร์ไปด้วย ทำคนให้หลงต่อไป คนไทยที่ไปจากเมืองไทยไปอยู่อเมริกา ควรจะไปสอนให้เขาฉลาดให้เขามีปัญญาพอเข้ากันได้กับฝรั่งที่มีปัญญา ฝรั่งไม่มีปัญญาก็เยอะเหมือนกันนะโยม อย่านึกว่าฝรั่งฉลาดทั้งหมด ฝรั่งโง่แล้วโง่ดักดานทีเดียว ฝรั่งนี่ถ้าโง่โง่ดักดานเลย โง่จริงๆ ไม่รู้อะไร ไม่เข้าใจอะไร เชื่อง่ายเชื่องมงาย
เขาชวนให้ไปฆ่าตัวตายก็ไป บอกว่าตายแล้วจะได้ไปอยู่กับพระผู้เป็นเจ้า ทำไมต้องรีบตายนักหนา อยู่ในโลกนี้มันก็พออยู่ได้ นี่ตายแล้วจะไปอยู่กับพระผู้เป็นเจ้า จะไปอยู่ได้อย่างไรถ้าทำอย่างนั้น นี่คือความโง่มีแสดงบ่อยๆ ฝรั่งโง่ๆ นี่ นี้คนไทยเราไปอยู่เมืองฝรั่งอย่าไปเข้าหุ้นกับฝรั่งโง่ๆ เหล่านั้น แต่เราไปเข้าหุ้นกับฝรั่งที่ฉลาดที่มีปัญญา พระเราไปอยู่นั้นก็ไปสอนคนให้ฉลาดให้มีปัญญา อย่าเอาความโง่บรรทุกเรือบินไปจากเมืองไทย แล้วเอาไปแจกชาวบ้านที่ไปอยู่ที่นั่นให้โง่หนักขึ้นไป อย่างนี้มันไม่ถูกต้อง
ได้เห็นภาพแล้วนึกขำในใจว่า โธ่เอ๊ยเป็นมหาด้วยนะ เป็นมหาไม่เอาไหน มหาโง่นะ ไม่ได้ฉลาดอะไร ไปสอนคนให้บูชาพระราหู ไม่รู้พระราหูคืออะไร เป็นความเชื่อตามแบบไสยศาสตร์ ถ้าเชื่อตามแบบพุทธศาสตร์ก็ไม่เชื่อว่าราหูเป็นสิ่งที่เราควรจะบูชา แต่ถือว่าแผ่นดินนี้มีประโยชน์แก่เรา เราควรใช้แผ่นดินนี้ให้เป็นประโยชน์ด้วยการทำคุณงามความดี อยู่ให้มันสมศักดิ์ศรีอย่าให้มันหนักแผ่นดิน ให้เป็นประโยชน์แก่แผ่นดินจึงจะเป็นการใช้ได้ อย่างนี้แสดงความโง่เง่าให้คนหลงคนเข้าใจผิด แล้วก็ไปตั้งชื่อวัดว่าพุทธประทีปซะด้วย แหมไม่สมชื่อเลย งมงาย
ไม่ใช่เรื่องอะไร ต้องการสตางค์นั่นเอง เรื่องอะไร เพราะไปซื้อที่ดินใหม่ วัดก็ไม่ใหญ่โตบ้านหลังเดียว แยกไปจากวัดหนึ่งแล้วไปสร้าง ชาวบ้านถือหางว่าไปสร้างวัดใหม่ช่วยกัน ช่วยกันไปซื้อดาวน์ไว้ เป็นบ้านหลังเดียวไม่ได้ใหญ่โตมโหฬารอะไร เข้าไปอยู่กัน อันนี้เงินจะกินจะใช้ก็ไม่มี คนไทยที่ไปก็พกความโง่ไปตั้งเยอะแยะ หากินจากหลังคนโง่ดีกว่า ก็เลยทำพิธีรีตรองเพื่อได้เงินจากคนปัญญาอ่อนทั้งหลายเหล่านั้น มันเป็นการไม่ถูกต้องอย่างนั้น เห็นภาพแล้วเอามาพูดให้โยมฟังเสียด้วย เพื่อจะได้รู้ว่าทำอะไรมันไม่ถูก จะส่งเทปอันนี้ไปให้พระองค์นั้นด้วย เทศน์เสร็จแล้วส่งไปให้สักอันหนึ่งที่เมืองซานฟรานซิสโก
อาตมาไปซานฟรานเหมือนกันแต่ไม่ได้ไปแวะวัดเหล่านี้ ไปวัดบางวัดที่เขาส่งเสริมธรรมะ ไปสอนธรรมะให้ญาติโยมเกิดปัญญาคือความรู้ความเข้าใจ วัดเหล่านี้ มันหลายวัดเดี๋ยวนี้มันแตกกันออกไป อยู่รวมกันที่นี่ พอแตกไปไปสร้างคนละวัดๆ ชาวบ้านก็ส่งเสริมความแตกแยกให้พระไปอยู่ แตกกันอย่างนี้มันก็ไม่ถูกต้อง ชาวบ้านเราอย่าไปส่งเสริมความแตกแยก ถ้าพระแตกกันเราอย่าไปส่งเสริม อย่าไปถือหางพวกนั้นพวกนี้ยุ่ง แต่ต้องพยายามที่จะต้องให้พระปรานีปรานอมกัน พระเองก็ควรจะปรานีปรานอมกันเอง ไม่ต้องให้โยมมาสอน เพราะเรามีหน้าที่สอนอยู่ แล้วเราทำให้เสียหายเอง แตกกันเองก็ไม่ถูกต้อง ลืมๆ ความเป็นพระ เขาเรียกว่าไม่มีสมณะสัญญา สมณะสัญญาคือสัญญาความรู้สึกว่าเราเป็นสมณะ เราเป็นสมณะ
พระพุทธเจ้าตรัสเตือนว่า สะมะนา สะมะนาธิ โว ภิกขะเว ชะโนคันชานาถิ บอกว่าภิกษุทั้งหลาย มหาชนทั้งหลายเขารู้ว่าเราเป็นสมณะ เราทั้งหลายก็ควรสำนึกเสมอว่าเราเป็นสมณะ กิจอันใดที่สมณะควรทำจงทำกิจนั้น กิจใดที่สมณะไม่ควรทำอย่าทำกิจนั้นเป็นอันขาด จึงจะเรียกว่าเป็นสมณะ แต่ไม่ค่อยคิดกันอย่างนั้น จึงไม่ถูกต้อง อันนี้เป็นเรื่องที่เอามาเล่าสู่กันฟังหน่อย เอ้าพูดเรื่องอื่นต่อไป ว่าเราทั้งหลายที่มีชีวิตอยู่ในโลกนี่ โยมคิดดูที่เราอยู่ในโลกนี้เป็นอย่างไร ขึ้นบ้างลงบ้าง เส้นๆ มันขึ้นแล้วมันก็ลง บางทีก็ขึ้นนิดหน่อยแล้วก็ลงวูบลงไป ลงมากขึ้นนิดหน่อย บางทีก็ขึ้นมากลงนิดหน่อย เป็นอย่างนั้นน่ะ
คล้ายๆ กับอะไร เหมือนลูกฟุตบอลที่เขาปล่อยลงสนาม มีคนไปเตะคนหนึ่งก็เอาคนสวยๆ ไปเขี่ยลูกนางงามบ้าง นางจักรวาลบ้าง ไปเขี่ย เขี่ยนิดเดียว พอเขี่ยมันก็แย่งกันเตะต่อไป ลูกฟุตบอลก็ถูกเตะอยู่ตลอดเวลา เตะไปนู้น เตะไปเตะมาตลอด มันน่าจะได้รับความเดือดร้อน แต่ฟุตบอลมันไม่มีชีวิตจิตใจ สุดแล้วแต่ใครจะเตะ เตะไปไหนก็ได้ เรานี่ก็เหมือนกัน คล้ายกับลูกฟุตบอลนะโยมนะ ชีวิตของเราเหมือนกับลูกบอลที่ถูกเตะอยู่ตลอดเวลา อะไรมันเตะเรา อารมณ์ที่มากระทบเรามันเตะเรา อารมณ์รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส นี่ ๕ อย่าง พระท่านเรียกว่ากามคุณ กามคุณแปลว่าสิ่งน่าใคร่สำหรับคนผู้ไม่มีปัญญา แต่บุคคลผู้มีปัญญามองเห็นสิ่งเหล่านั้นว่าไม่ใช่สิ่งน่ารักน่าพอใจ ไม่ใช่สิ่งที่น่าจะเอามายึดมาถือว่าเป็นตัวเราเป็นของเรา คนมีปัญญา
คนมีปัญญานี่ทุกข์น้อย แต่คนไม่มีปัญญาทุกข์มาก เพราะไปเก็บเอามากกมากอดไว้มากรักมาก แต่คนมีปัญญาแม้เขาจะจับไฟ เขาก็จับให้มันไหม้น้อยๆ แต่คนไม่มีปัญญากอดกองไฟเข้ามาเลย อย่างนี้มันก็ทุกข์มาก อยู่ในโลกก็อย่างนั้น อะไรมากระทบดีบ้างชั่วบ้าง สุขบ้างทุกข์บ้าง ได้บ้างเสียบ้าง แล้วเราก็ขึ้นๆ ลงๆ กับสิ่งเหล่านั้น เป็นสุขเพราะได้ เป็นทุกข์เพราะไม่ได้ ถ้าได้ตามชอบใจก็สบายใจ ถ้าได้สิ่งไม่ชอบใจก็มีความทุกข์มีความเดือดร้อนใจ เป็นอยู่อย่างนั้นตลอดเวลา จนกว่าเราจะได้รู้ได้เข้าใจสิ่งนั้นถูกต้อง
รู้ได้เข้าใจเมื่อไร เมื่อเราหันหน้าเข้าหาธรรมะ มาศึกษาธรรมะ คำสอนของพระพุทธเจ้า เพราะคำสอนของพระพุทธเจ้าสอนให้เราเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างตามที่มันเป็นอยู่จริงๆ ให้เข้าใจความจริงอย่างนั้น ให้รู้ว่าความจริงของสิ่งนั้นมันคืออะไร แล้วเราก็เข้าใจ เมื่อเข้าใจเราก็ไม่ตื่นเต้น ไม่ดีใจไม่เสียใจ เมื่อได้ก็ไม่ดีใจ เมื่อเสียไปก็ไม่เสียใจ เพราะเรารู้ว่ามันเป็นอย่างนั้นแหล่ะ ธรรมชาติมันเป็นอย่างนั้น ธรรมชาติมันเป็นอยู่อย่างนั้น เราจะไปเสียใจมันก็ไม่ได้ ไปดีใจมันก็ไม่ได้ ก็ใจสบาย พอปลงพอวางได้ใจก็สบายขึ้น แต่กว่าจะถึงจุดนั้นบางทีก็ครึ่งอายุเป็นทุกข์อยู่ตั้งครึ่งอายุ บางคนก็เป็นทุกข์อยู่จนกระทั่งแก่ก็ยังเป็นทุกข์อยู่ เพราะยังไม่เข้าหาพระ ไม่มีปัญญา
เมื่อเช้านี้มีหนูคนหนึ่งมาถวายสังฆทาน บอกว่ามีคนแนะนำให้มาถวายสังฆทานที่วัดนี้ เพราะว่ามีลูก ลูกคนนี้เข้าเบญจเพศ อาตมาถามอายุยังไม่ถึง ๒๕ เป็นเบญจเพศอะไร ถามว่าหนูเรียนชั้นไหน เรียนชั้น ม.๒ ยังเด็ก แต่ว่าแกว่าลูกจะไม่สบายเลยมาทำบุญ ถามว่าอยู่ไหน อยู่ในกรมชล อ้ออยู่ใกล้ แล้วมาวัดนี้กี่ครั้งแล้ว ครั้งแรกค่ะ อ้อ แล้วก็อยู่กรมชล มาวัดชลประทานครั้งแรก แปลว่าเดินจากกรมชลมาถึงวัดชลประทานใช้เวลา ๓๐ กว่าปี แล้ววัดนี้สร้างเมื่อปี ๒๕๐๓ จนบัดนี้ ๓๗ ปีแล้วแปลว่าแม่คนนั้นแกเดินมาจากรมชล ๓๗ ปี จึงถึงวัดชลประทาน ว่าเออเหลือเกิน
มันมีเยอะนะโยมไม่ได้ โยมมาจากปากเกร็ด บางทีไม่เคยมา มาถามว่าโยมมาเป็นครั้งที่เท่าไหร่ ครั้งแรก โยมเดิน ๒๕ ปีกว่าจะมาถึงวัดชลประทาน นี่เขาเรียกว่าไม่ลืมหูลืมตา ถ้าหากว่ามาวัดเสียบ้างก็จะได้ยินได้ฟังได้รู้ได้เข้าใจเรื่องอะไรถูกต้อง มีปัญหาอะไรขึ้นก็ไม่ต้องเศร้าโศกไม่ต้องเสียใจ หรือไม่ต้องให้ใครมาหลอกมาต้ม คนจะหลอกมันเยอะ พวกหมอดู พวกหมออะไรต่างๆ มาหลอกให้ทำอย่างนั้น ทำอย่างนี้ เขาว่าต้องทำอย่างนั้น เขาว่าต้องทำอย่างนี้ ก็ไปทำตามเขา ทำไปด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจ มันก็เป็นทุกข์เพิ่มขึ้นไม่ได้เรื่องอะไร นี่เพราะไม่ได้เข้าหาธรรมะ พระพุทธเจ้าจึงบอกว่า สัตว์โลกที่มัวเมาหลงใหลอยู่ในอารมณ์โลก ไม่หาแสงสว่างส่องใจก็ยังอยู่ในความมืดต่อไปตลอดเวลา
แต่ถ้าเราไปพบแสงสว่างเข้า โอ้นี่แสงมันอยู่ตรงนี้ ความสว่างอยู่ตรงนี้ ก็เข้าใจขึ้น แสงสว่างคือพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า อ่านหนังสือธรรมะบ้าง ฟังธรรมบ้าง เขาเทศน์ทางวิทยุก็เปิดฟังบ้าง โทรทัศน์มีก็เปิดฟังบ้าง ไม่ใช่ดูแต่เรื่องสนุกสนานเฮฮา แต่เขาไม่เข้าใจ คือไม่รู้ว่าธรรมะเป็นประโยชน์อย่างไร มีคุณค่าแก่ชีวิตอย่างไร ไม่รู้ไม่เข้าใจ นึกว่าชีวิตนี้มันก็มีอาหาร มีเสื้อผ้า มีบ้านอยู่ มียาแก้ไข้ แต่พอไม่มีอาหารก็เป็นทุกข์ ไม่มีเสื้อผ้านุ่งห่มก็เป็นทุกข์ มีแต่นุ่งห่มไม่สวยเหมือนของคนอื่นก็เป็นทุกข์ เลยต้องไปซื้อเสื้อแพงๆ เสื้อนอกตัวหนึ่งราคาสามหมื่น นี่มันโง่เต็มที่ ที่ไปซื้อเสื้อตัวเดียวราคาสามหมื่นนี่มันโง่นะ เสื้ออะไรราคาตั้งสามหมื่นมันทำด้วยอะไร
อาตมาเพิ่งรู้ว่าเสื้อตัวละสามหมื่นมันมีอยู่ในโลกนี้ เพราะว่าไอ้คนออกแบบเสื้อมันตาย ถูกตาแต่เขาก็พูดว่าเสื้อมันขายตัวละสามหมื่น แล้วคนในเมืองไทยก็ใช้เสื้อสามหมื่นหลายคนเหมือนกัน ไม่ใช่คนธรรมดา เป็นคนที่ไม่ต้องซื้อแต่ว่าคนซื้อมาให้ ไอ้คนที่ซื้อมาให้ไม่ใช่เรื่องอะไร ซื้อมาให้เพื่อจะให้สวมให้สบายใจ แล้วค่อยถูกใช้ต่อไป มันจะใช้คนนั้นต่อไป ใช้ให้ทำอะไร เหมือนกับเราไปตกปลานะ เอาเบ็ดใส่เหยื่อหย่อนลงไปปลาก็คิดว่าเหยื่อสวยๆ เบ็ดติดเหงือกเลย ดึงสายเบ็ดขึ้นมาก็เอาปลาไปต้มแกงกินต่อไป คนเราเป็นอย่างนั้นล่ะ เขาล่อด้วยเหยื่อ คนที่ตำแหน่งสูงๆ ใหญ่ๆ เป็นข้าราชการระวังนะ จะถูกล่อด้วยเหยื่อ
พวกพ่อค้าวานิชนักธุรกิจต่างๆ นี่ ไปนอกซื้อนาฬิกาโรเล็กซ์ ราคาตั้งสองสามแสนเอามาให้โก้ หารู้ไม่ว่าไอ้นาฬิกาเรือนนี้จะจูงไปนรก เพราะว่าจะถูกเขาต้มต่อไป ไอ้คนที่ซื้อมันจะใช้เราน่ะ ถ้าใช้เราก็เกรงใจอีกก็ต้องยอมให้เขาใช้ ทำอะไรให้เขา ทำให้เกิดปัญหาอีก เสื้อก็เหมือนกันเนคไทเชือกผูกคอนิ ทำไมจะต้องซื้อราคาตั้งสี่ห้าพัน เศษผ้าก็ยังใช้ได้ เศษผ้าเรามาเย็บเอาเองเป็นรูปเน็คไทแล้วก็ผูกคอก็ได้ แต่ไปซื้อเส้นหนึ่งสี่พันห้าพัน ผูกคอแล้วมันจะได้ขึ้นสวรรค์เพราะไอ้เนคไทนั้น แต่วันนั้นใครก็ไม่รู้ว่าคนนั้นเขามีเชือกผูกคอสี่ห้าพันมาใช้ มันภูมิใจอยู่คนเดียว ภูมิใจเนคไทราคาแพง ใช้เสื้อราคาแพง แต่มันก็ มันไม่คุ้มอะไรหรอก รักษาโรคก็ไม่ได้ ช่วยไม่ให้ตายก็ไม่ได้
ตายกันทั้งนั้นถึงเวลาก็ตาย แล้วเวลาตายจะเอาเสื้อตัวนั้นใส่ไปด้วยไหม เอาเข้าโลง โอ๊ยแพง ตัวละสามหมื่นไปด้วย มันเอาไปไม่ได้ คนอื่นเอาใช้ต่อไป เอาไปให้คนขอทานใช้ก็ได้มันก็จะได้ภูมิใจบ้าง เมื่อวานนี้มีคนมาขอคน ถามว่าเธอมาทำอะไร ขอสตางค์ เอาไปทำอะไรสตางค์ สตางค์มันใช้ได้ร้อยแปด ผมมีสตางค์แล้วผมใช้เป็นประโยชน์ แล้วบอกว่ารองเท้าก็แย่แล้ว นี่เอาเข็มแยงที่เล็บไว้ อยากได้รองเท้าสักคู่ บอกว่าฉันมีหยิบเอาไปคู่หนึ่ง หยิบเอาไปใส่รองเท้าอย่างนี้จะใส่ขึ้นไปสำนักราชการได้อย่างไร ขอทานมันจะไปสำนักราชการ บอกว่าเธอไปทำอะไรสำนักราชการ มีธุระต้องไปแต่ต้องแต่งตัวให้ดีหน่อย ก็เป็นขอทานนี่จะแต่งอะไร เดินเท่าเปล่าขึ้นไปก็ได้
ถ้าเกือกไม่ดีก็วางไว้หัวบันไดไม่มีใครขโมย เธอเดินตัวเปล่าขึ้นไปก็ได้ ไม่ได้มันเสียศักดิ์ศรี เป็นขอทานแล้วยังบอกว่าเสียศักดิ์ศรีอีกนะ พูดไปพูดมามันไม่เอารองเท้าคู่นั้นนะ ไอ้รองเท้าที่มีหนามบอกว่ายังใช้ได้สองสามปีเธอเอาไปเถอะฉันไม่ใช้แล้วเพราะเจ็บเท้า เอาไปสิเอาไปเลย มันไม่เอามันต้องการได้สตางค์ บอกว่าต้องการได้เท่าไร สองร้อย ฉันไม่มีเท่านี้ ฉันไม่มีสตางค์ ก็ไม่มีที่ตัวมันไม่มี บอกเลยไม่มีโว้ย ไม่มีก็ไม่ว่า นั่งพูดเซ้าซี้อยู่นั่นแหล่ะ พอดีเด็กมันยืนก็บอกว่าหลวงพ่อเข้ากุฏิผมจัดการไอ้คนนี้เอง บอกอย่าไปเที่ยวจัดการอะไรกับเขา พูดๆ แล้วมันก็ลาไป ก็ไม่ได้อะไรก็ให้แล้วมันไม่เอา
แต่นึกในใจว่าเป็นขอทานแล้วยังหยิ่งอีก ยังหยิ่ง มันควรจะพอใจในสิ่งที่เขาให้ เขาให้อะไรเราควรพอใจน่าเอ็นดูหน่อย นี่มันยังหยิ่งนะ ยังหยิ่งในศักดิ์ศรีของมัน เรียกว่ามีศักดิ์ศรีที่ไม่ถูกต้อง อย่างนี้มันขาดความรู้ความเข้าใจ ท่าทางมันเป็นอย่างนั้น มาขอ มันเพิ่งพบคนขอตังค์แล้วมันหยิ่งอย่างนี้ มันต้องอ่อนน้อมพูดจาเรียบร้อยให้ทุกที แต่ไอ้นี่เห็นมันหยิ่งก็เลยไม่ให้มัน ดัดสันดานมันบ้างก็ไม่ให้ เป็นงั้นโยมแปลกๆ คนเรานะเพราะไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ไม่รู้จักตัวเองว่าเราคือใคร เรามีหน้าที่อะไร เราควรจะปฏิบัติตัวเองอย่างไร ปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างไร เขาไม่เข้าใจ ไม่รู้ไม่เข้าใจ
ถามว่าเธอเรียนอะไรมา เรียนหลายอย่างผมเรียนหลายอย่าง แล้วเรียนหลายอย่างนี่ไอ้วิชาที่เรียนพอช่วยเธอได้ไหม ก็ไม่ได้เรื่อง อ้าวนี่เขาเรียกว่าวิชาท่วมหัวเอาตัวไม่รอด นี่เป็นอยู่อย่างนี้นะ มันก็เห็นสมควรเวลา บอกมันก็ไม่ให้ก็ไม่ว่าอะไรไปดีกว่า แล้วมันก็ไป ไหว้ก็ไหว้เวลามันจะไป มันคงนึกว่ากูไหว้แล้วไม่ได้สตางค์ จะไหว้อีกทำไมเพราะไม่ให้สตางค์ มันก็ไปเฉยๆ ไปแล้วพูดกับเด็กว่า แหมไอ้นี่มันมาขอทานแต่มันยังหยิ่งอยู่เลยอย่าให้เลย แล้วมันก็ไปเป็นอย่างนั้น คนเรามันอย่างนั้นมันไม่รู้จักตัวเอง ไม่รู้ว่าตัวเราคือใคร เราควรทำอะไรต่อใครอย่างไร ไม่เข้าใจ มันยุ่ง
ความยุ่งทั้งหลายเกิดขึ้นเพราะคนไม่รู้จักตัวเอง ไม่รู้จักทำตัวให้เหมาะแก่คนที่เราเข้าไปหา แก่สังคมที่เราเข้าไปเกี่ยวข้อง ไม่รู้จักหน้าที่จึงเกิดปัญหาเป็นความทุกข์ เป็นความเดือดร้อนใจด้วยประการต่างๆ อย่างนี้จึงบอกว่าเอามาคุยสู่กันฟัง แล้ววันนี้ก็พูดทางวิทยุไปเมื่อเช้า พอดีโยมคนหนึ่งได้ฟังก็มาจองสร้างกุฏิที่วัดพุทธปัญญา คือกุฏิที่วัดพุทธปัญญาได้ไม้ ไม้ของโรงเรียนนางพยาบาล โรงเรียนศรีสังวาลย์ ไม้ดี ไม้ดีมาก ไม้สัก ไม้ตะเคียน ไม้ดีทั้งนั้นโยม แต่ละอันดีทั้งนั้น เขายกให้ ยังเอามาไม่หมดไปขนมาเอามากองไว้เป็นพะเนินเทินทึก หน้าต่างดีๆ มีอะไรพร้อม ก็เอาที่นั้นสร้างกุฏิ เดี๋ยวนี้สร้างได้สามหลัง แล้วก็มีคนมาจองให้คุณพ่อคุณแม่สองหลัง
แล้วก็คนมาจากนู้น …... (49.05) พาคุณแม่มา แกเป็นหมอฟัน อยู่ตรงนี้ บ้านเสนานิเวศน์นิ บอกว่าเอ๊ะสร้างให้คุณแม่สักหลัง ว่าดีๆ จดชื่อไว้ สร้างให้คุณแม่แต่จะเอามาให้นู้นวันที่ ๙ กุมภาพันธ์ วันเกิดคุณแม่ บอกโอ๊ยอีกนานถึงจะได้ แล้วก็เมื่อเช้านี้โยมคนหนึ่งไปขอจองกุฏิหนึ่งหลัง เขาสร้างหลายหลังสร้างรอบบริเวณ ส่วนตรงกลางทิ้งว่างไว้ก่อนเพราะจะสร้างห้องประชุม ห้องประชุมก็คงขนาดอย่างนี้แต่ไม่ดีเท่านั้น ราคามันถูกหน่อยเงินมันน้อย สำหรับให้คนได้มานั่งฟังธรรมกัน ได้มาฝึกจิต ข้าราชการกระทรวงสาธารณสุข กลางวันเขาก็ได้เข้าห้องประชุม นั่งทำจิต ๓๐ นาที ๔๕ นาที แล้วไปทำงานต่อไป นี่เขาเข้ามา มาไปพักสามวัน ไปพักอยู่สามวันเขาก็มาใส่บาตรตอนเช้า
ความจริงตั้งใจจะเดินไป ไปดูบ้านญาติโยม แต่ว่าพระพิรุณไม่ยอมให้เดินไป ฝนตกเช้าๆ เป็นโคลนเป็นเลน เขาบอกหลวงพ่ออย่าเดินไป เดี๋ยวไปล้มลงจะเสียชื่อว่างั้น ให้คนมาใส่ที่วัดดีกว่า คนมาใส่ที่วัดตั้งโต๊ะให้เขามาใส่กัน ใส่กันอยู่สามวัน อาหารเยอะแยะก็เอามาเลี้ยงคนงานที่เขามาทำงานด้วย คนที่มาฟังตอนเที่ยงเขาก็มาทานอาหารด้วย ช่วยกันทานให้หมดๆ ก็เขาก็พอใจ เพราะตรงนั้นมันไม่มีวัด ห่าง มีเหมือนกันแต่ห่าง ห่างวัด แล้วก็ไปมาลำบาก ก็เลยพออยู่ใกล้เขาก็พอใจ คนในกระทรวงก็พอใจ แต่ยังไม่ได้พบท่านรัฐมนตรีจะได้บอกขอความอุปถัมภ์ ท่านรัฐมนตรีคนก่อนรับแล้วนะ แต่ย้ายไปอยู่กระทรวงมหาดไทย คุณเสนาะ เทียนทอง รับแล้วยินดีช่วย อ้าวไปเสียแล้ว
มาใหม่ คุณมนตรี พงษ์พาณิช ยังไม่ได้ไปพบ ความจริงก็เป็นคนพอช่วยเหลือได้ ฝากฝังใจบุญสุนทานเหมือนกัน เพราะว่าทอดกฐินทีเดียวตั้งสามสิบล้าน สมัยเป็นรัฐมนตรีอุตสาหกรรม ทีนี้มาอยู่กระทรวงสาธารณสุข ก็จะไปของความช่วยเหลือ ยังไม่ได้ฤกษ์ คือจะหาโอกาสไม่เหมาะที่จะเข้าไปพบ มันต้องดูว่าเมื่อไหร่เหมาะถึงจะเข้าไป ก็ทำไปเพราะว่าโยมเขาถวายดิน ก็สร้างให้เขาสบายใจ ก็สร้างอีกสักวัดก็เห็นจะพอแล้ว อายุแก่แล้ว สร้างให้เสร็จให้เป็นประโยชน์ พระไปอยู่ ๕ รูป เย็นๆ เขาก็มานั่งสวดมนต์กันกลางแจ้ง วันไหนฝนตกก็งดสวด ก็ทำหลังทำไม้อันหนาเท่านี้ตีไว้ เก็บไม้ เก็บไว้ก่อน ให้นั่งไปก่อน สะดวกดี แล้วก็พอจะเอาจริงค่อยรื้อไม้นี้ไปทำเข้าไป ไม้ยังมีอีกเยอะไม้ยังขนมาไม่หมด เขาให้นับว่าเป็นบุญที่เขาให้ ไม้ยัน ไม้สัก พื้นไม้สักสวยเขารื้อดีเราเอามาทำต่อ ตัดบ้างเติมบ้างก็ใช้ได้ พูดมาสมควรแก่เวลา