แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
สัตว์ทั้งหลายต่อนี้ไป ขอให้ทุกท่านอยู่ในอาการสงบ ตั้งอกตั้งใจฟังด้วยดี เพื่อให้ได้ประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการมาวัด ตามสมควรแก่เวลา
เมื่อวานเป็นวันพระกลางเดือน ๘ วันนี้เป็นวันแรมค่ำ ๑ เป็นวันตั้งต้นฤดูฝน ฤดูเขามีอยู่ ๓ ฤดูด้วยกัน เรียกว่าฤดูฝน ฤดูหนาว ฤดูร้อน ฤดูฝนเริ่มตั้งแต่วันนี้ คือแรมค่ำ ๑ เดือน ๘ จนถึงกลางเดือน ๑๒ ฤดูหนาวเริ่มตั้งแต่แรมค่ำ ๑ เดือน ๑๒ จนถึงกลางเดือน ๔ ตั้งแต่แรมค่ำ ๑ เดือน ๔ จนถึงกลางเดือน ๘ เป็นฤดูร้อน เดี๋ยวนี้ฤดูร้อนหมดไปแล้ว ย่างเข้าฤดูฝน แต่ว่าฝนยังไม่ตกมาก ตกบางแห่ง ในประเทศจีน ฝนตกมาก น้ำท่วมหลายจังหวัด เสียหายมากมาย ในประเทศเยอรมัน ประเทศโปแลนด์ในยุโรป ก็ปรากฏว่ามีน้ำท่วมมากมายเหมือนกัน
เรื่องดินฟ้าอากาศเอาแน่นอนไม่ได้ มันเป็นไปตามกฏของธรรมชาติ ชีวิตของเราทั้งหลาย ผ่านมาโดยลำดับ รอบปีหนึ่ง ๆ ก็ผ่านฤดูร้อน ผ่านฤดูฝน ผ่านฤดูหนาวมาหลายปีแล้ว บางคนก็ล่วงการผ่านวัย อยู่ในวัยชรา ร่างกายชำรุดทรุดโทรม เปลี่ยนแปลงไปตามธรรมชาติ บางคนก็ต้องนั่งรถเข็นเพราะเดินไม่สะดวก ร่างกายไม่แข็งแรง อันนี้เป็นเรื่องธรรมชาติธรรมดาที่มันจะต้องเป็นอย่างนั้น เราอย่าไปเป็นทุกข์กับมัน แต่เรารู้จักมันตามสภาพที่เป็นจริง ว่านี่แหละคือธรรมชาติ นี่แหละคือธรรมดาของสรรพสิ่งทั้งหลาย มันไม่อยู่ในอำนาจของใคร ไม่มีใครจะบังคับเอาตามชอบใจได้ ย่อมเป็นไปตามกฏตามเกณฑ์ของธรรมชาติ เราอย่าไปทุกข์กับสิ่งนั้น อย่าไปกังวลกับสิ่งนั้น ทำใจให้สบาย อยู่ด้วยสติปัญญา รู้ทันรู้เท่าสิ่งทั้งหลายตามสภาพที่เป็นจริง ก็จะทำให้มีชีวิตไม่ลำบาก คือไม่ต้องนั่งเป็นทุกข์ นอนเป็นทุกข์ เดินเป็นทุกข์อยู่ตลอดเวลา เพราะเรารู้จักทุกข์ รู้จักเหตุให้เกิดความทุกข์ รู้ว่าทุกข์เป็นเรื่องแก้ได้ ดับได้ และก็ดับที่เหตุนั่นเอง จึงต้องรู้จักเหตุของมันด้วย
ความจริงจิตใจของคนเรานั้นไม่ได้มีความทุกข์อยู่ตลอดเวลา ปกติของใจนั้นไม่ได้ทุกข์อยู่ตลอดเวลา ไม่ได้เศร้าหมองอยู่ตลอดเวลา แต่ถ้าปกติก็อยู่ในสภาพสว่าง สงบอยู่ ที่เกิดไม่สว่าง ไม่สงบนั้น เพราะมีอะไรมากระทบรูป กระทบตา เสียงกระทบหู กลิ่นกระทบจมูก รสกระทบลิ้น การได้ถูกต้องสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ใจก็ไปรับเอาสิ่งนั้นมาเป็นอารมณ์ ถ้ารับด้วยความโง่ก็เป็นทุกข์ ถ้ารับด้วยปัญญาก็ไม่เป็นทุกข์อะไร พระพุทธเจ้าท่านสอนให้เราเข้าใจความจริงของจิตว่าเป็นธรรมชาติ ไม่สกปรก ไม่เร่าไม่ร้อน ไม่มีอะไร แต่ว่ามันอาศัยสิ่งที่มากระทบ แล้วเรารับสิ่งนั้นด้วยอะไร ถ้าเรารับด้วยปัญญา เราก็ไม่เป็นทุกข์ ถ้ารับด้วยความโง่ก็มีความทุกข์ความเดือดร้อนใจ คนส่วนมากรับอะไรด้วยไม่มีปัญญา ที่ไม่มีปัญญาก็เพราะว่าไม่ได้ศึกษา ไม่ได้ทำความเข้าใจ ไม่ได้เข้าใกล้พระ ไม่ได้ฟังคำสอน ไม่เอาไปคิดไปตรองให้เกิดความเข้าใจถูกต้อง แล้วก็มีความกระทบกระทั่งทางจิตอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งเป็นโรคนอนไม่หลับ กินไม่ได้ นั่นคือความผิดพลาดของชีวิต
ถ้าเราไม่ต้องการความผิดพลาดอย่างนั้น เราก็ต้องสนใจศึกษาเรื่องของพระธรรม ศึกษาด้วยการฟัง เช่นมาฟังธรรมในวันอาทิตย์ เพราะวันอาทิตย์เขาหยุดงานให้เราพักผ่อน ไม่ต้องไปทำงานตามปกติ เราก็มาวัด มาสงบจิตสงบใจ มาไหว้พระสวดมนต์ การไหว้พระสวดมนต์ที่วัดนี้ก็สวดแปล จะได้รู้ความหมายว่าเราว่าอะไร สิ่งนั้นให้ข้อคิดให้ปัญญาแก่เราอย่างไร เราจะได้เอาไปพิจารณาศึกษาทำความเข้าใจ ก็เป็นทางให้เกิดปัญญาได้อย่างหนึ่ง หรือว่าเรามาอ่านหนังสือ เดี๋ยวนี้มีหนังสือธรรมะมากมาย เขาพิมพ์ออกจำหน่ายในราคาพอสมควร เราซื้อไปสักเล่มหนึ่งก็จะได้ประโยชน์แก่ชีวิต ว่าเดินมาตรงนี้ เห็นหนูคนหนึ่งก็ยังไม่แก่ไม่เฒ่าเท่าไร แต่เขาซื้อหนังสือเล่มใหญ่ชื่อว่า ตัวกู ของกู หนังสือที่ท่านเจ้าคุณพุทธทาสท่านเทศน์สอนพระนวกะ ในฤดูเข้าพรรษา (07.04) ฤดูปีหนึ่ง ให้ชื่อว่าตัวกู ของกู ถ้าเราอ่านทำความเข้าใจในหนังสือนั้น เราก็จะรู้จักตัวเรา รู้จักสิ่งที่มันเกิดขึ้นในตัวเรา รู้จักเหตุของสิ่งนั้น แล้วจะรู้ว่าเราจะแก้ไขสิ่งนั้นอย่างไร แต่ต้องอ่านหลายเที่ยว อ่านไปคิดไป ทำไปเป็นเครื่องมือสำหรับพิจารณาตัวเอง ตักเตือนตัวเอง แก้ไขตัวเอง ไม่ใช่อ่านเหมือนหนังสืออ่านเล่น หนังสืออ่านเล่น อ่านทีเดียวก็โยนไป หรือเก็บไว้ แต่หนังสือธรรมะเป็นอาหารใจที่จะต้องรับบ่อย ๆ คือต้องอ่านบ่อย ๆ อ่านครั้งหนึ่งคราวหนึ่ง ก็จะได้ปัญญาเพิ่มขึ้น ได้ความรู้ความเข้าใจเพิ่มขึ้น
ไปที่อำเภอวิเศษชัยชาญ พบคนคนหนึ่งเป็นคนแก่ คนบ้านนอก มีหนังสือเล่มเดียวคือแก่นพุทธศาสน์ เป็นปาฐกถาของเจ้าคุณพุทธทาส ท่านพูดกับหมอที่ศิริราช ๓ ครั้ง ๓ กัณฑ์ ก็เอามาพิมพ์เป็นหนังสือเล่มภาษาไทย แล้วก็มีคนแปลออกเป็นภาษาอังกฤษ คนก็เอาไปอ่านไปศึกษากัน โยมคนนั้นแกบอกว่าผมมีเล่มเดียวนี่แหละ อ่านมาแล้ว ๕๐ ครั้ง อ่าน ๕๐ ครั้ง ยิ่งอ่านยิ่งมัน ยิ่งอ่านก็ยิ่งได้ปัญญา ได้ความรู้ความเข้าใจใหม่ ๆ จากการอ่าน นี่เรียกว่าอ่านเพื่อศึกษา ไม่ใช่อ่านพอผ่านพ้นไป
คนบางคน หลวงพ่อถามว่าเคยอ่านหนังสือนั้นไหม ตอบว่าเคยอ่าน ถามว่าอ่านกี่ครั้ง ตอบว่าครั้งเดียว หลวงพ่อบอกว่าอ่านครั้งเดียวนี่มันได้อ่านเท่านั้นเอง แต่ยังไม่รู้อะไร มันต้องอ่านแล้วอ่านอีก อ่านทบทวนหลายครั้ง เหมือนกับเรารับประทานถั่วลิสง รับประทานไปแล้วมันต้องเคี้ยว ๆ เคี้ยวให้แหลกละเอียด แล้วจะทั้งมัน ทั้งหวาน ได้ประโยชน์แก่ร่างกาย ถ้าเคี้ยว ๒ – ๓ ที กลืน เวลาออกมาก็เหมือนเดิม มันไม่เปลี่ยนแปลงอะไร อ่านหนังสือก็ต้องอ่านแบบกินถั่ว คือหมายความว่าอ่านแล้วย่อย ๆ ย่อยให้หลายครั้ง หลายหนจนเข้าใจ จนสามารถเอามาใช้เป็นเครื่องมือแก้ไขปัญหาชีวิตของเราได้ การอ่านอย่างนั้นจึงจะเกิดประโยชน์
ที่วัดนี้พยายามช่วยเหลือให้คนได้อ่านหนังสือ จึงได้เปิดห้องสมุดไว้ เฉพาะที่ตรงโน้น มีห้องสมุด ท่านสุรศักดิ์อยู่ประจำที่นั่น คอยแนะนำญาติโยม มีเทปด้วย ใครอยากจะยืมเทปไปฟังที่บ้านก็ได้ ยืมหนังสือไปอ่านที่บ้านก็ได้ บริการเป็นที่ประทับใจของคนทั่วไป เรามาวัดก็เดินดูให้มันทั่ว ตรงไหนมีอะไรบ้าง พบว่ามีหนังสือ ก็เข้าไปดู พระท่านก็แนะนำว่าควรอ่านอะไรก่อน ควรอ่านอะไรหลัง มีเทปควรฟังอะไรที่จะเป็นประโยชน์แก่ชีวิต เราก็เอาไปฟัง เอาไปอ่าน และเอามาส่งคืน เวลาเอาไปหลายวันนี่ต้องเอาค่าป่วยการมาให้บ้าง เอาไปไว้นาน ๆ ก็ต้องคิดค่าป่วยการบ้างนิดหน่อย เอามาถวายเจ้าหน้าที่เพื่อจะได้บำรุงหนังสือหรือได้ทำหนังสืออื่นออกต่อไป เรื่องหนังสือนี่เป็นประโยชน์มาก
ที่ประเทศอเมริกา วัดพุทธธรรม พระที่นี่ไปอยู่ ก็ทำหนังสือเป็นภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ภาษาลาว ภาษาลาวก็พิมพ์เป็นเรื่อง ๆ ให้เขาถอดจากคำไทยเป็นคำอักษรลาว แล้วก็พิมพ์แจกแก่ญาติโยม คนลาวเขาก็มารับเอาไปแจกตามบ้านตามช่อง เวลาไปเยี่ยมบ้านคนลาว เอาหนังสือไปแจกเขา เอาเทปไปแจก เขาก็พอใจ เขาได้เปิดฟัง ได้เปิดหนังสืออ่าน ได้ความรู้ ได้ความเข้าใจ เป็นที่แพร่หลาย ในสังคมของคนที่นับถือพุทธศาสนา ที่วัดเราก็ทำอยู่อย่างนี้ หลาย ๆ ที่ หลาย ๆ แห่ง ควรจะสนใจไปอ่าน ไปศึกษาบ้าง
ถือว่าเรามาวัดควรจะเข้าไปหาพระ ไม่ต้องเกรงใจ ยอมเข้าไปหาพระ เช่น ไปหาหลวงพ่ออย่างนี้ บางคนบอกว่า ท่านเจ้าคุณปัญญานี่เข้าหายาก ก็บอกว่าไอ้คนที่พูดว่าเข้าหายาก แสดงว่าไม่เคยเข้าไปหา เพราะถ้าเคยเข้าไปหา มันไม่ยากอะไร ประตูเปิดอยู่ ถ้าเป็นวันอาทิตย์ หลวงพ่อก็ยืนอยู่ในกุฏิ คอยดูใครไปใครมา พอเห็นคนเข้ามาที่ประตู ก็บอกว่าเชิญโยม เขาเข้ามาไม่ยากอะไรเลย แต่บางคนบอกว่าเข้าไม่ถึง เอ๊ะ คนมันไปยืนขวางหรืออย่างไรเลยเข้าไม่ถึง หรือมีภูเขาขวางเลยเข้าไปไม่ถึง ไม่มีอะไรเข้าไม่ถึง เพราะไม่เข้าไปเท่านั้นเอง ไปเดินเตร่ไปแล้วก็มาบอกว่า พระองค์นั้นเข้าหายาก มันไม่อยากเห็นอะไร และเล่าลือไปทั่ว ๆ ไป ว่าท่านปัญญาที่เข้าหายาก เข้าไม่ถึง นี่แหละคือการไม่เข้าไปหา ถ้าเดินเข้าไป มันก็ถึงเท่านั้น
แล้วมานี่ บางคนปากคอเราะราย ถ้าเห็นคนเข้าไป ก็ทักแต่ไกล เพื่อให้เขาสบายใจ และก็เชิญให้นั่ง พอนั่งแล้วก็ถามว่ามีธุระอะไรบ้างโยม โยมก็บอกว่าไม่มีธุระอะไรค่ะ มากราบเท่านั้นเอง ก็กราบก่อน แล้วชวนพูดชวนคุยธรรมะ ชี้แจงแนวทางชีวิตให้เขาเข้าใจ ก็พยายามทำอยู่อย่างนั้น เราจึงควรจะมา ถ้ามีปัญหาชีวิต เช่น มีความทุกข์ มีความเดือดร้อนใจ มีปัญหาอะไร ไม่ต้องเกรงใจ เข้าไปถามได้เลย ก็จะอธิบายให้เกิดความรู้ความเข้าใจถูกต้อง เพราะว่าพระนี่พร้อมอยู่ตลอดเวลาที่จะช่วยเหลือญาติโยมที่มีปัญหา ที่มีความทุกข์มีความเดือดร้อนใจ
เคยไปพูดที่สถานีวิทยุ แล้วก็บอกเบอร์โทรศัพท์ไว้ว่าใครมีเรื่องข้องใจเป็นทุกข์ มีปัญหา ให้โทรศัพท์มาได้ มีคนโทรมาเยอะ บางทีกลางคืนเที่ยงคืนแล้วยังอุตส่าห์โทรมา หลวงพ่อถามว่ามีอะไรโยม โยมบอกว่ากลุ้มใจค่ะ หลวงพ่อถามว่ากลุ้มใจเรื่องอะไร โยมตอบว่ากลุ้มใจพ่อไอ้หนูมันไม่กลับบ้าน หลวงพ่อเลยบอกว่า ไปไหนหรือ ที่ว่าไม่กลับบ้าน โยมตอบว่า ไม่ทราบ ไปบ่อย ๆ ถามไปถามว่าว่าพ่อไอ้หนูอายุเท่าไรแล้ว อายุ ๖๗ แล้วโยมเองอายุเท่าไร โยมตอบว่า ๖๒ ปีค่ะ เลยบอกว่า พอแล้วโยม ปล่อยมันเถิด พ่อไอ้หนูจะไปไหน รถสิบล้อทับตายก็ช่างหัวมัน โยมไม่ต้องคิดถึงแล้ว เพราะแก่กันทั้งคู่แล้ว กินกันไม่ไหวแล้ว เลยบอกให้ไปนอนเสีย แล้ววันหลังแกก็มา มาก็เอาเทปไป บอกว่า เปิดไว้ในบ้าน เวลาพ่อไอ้หนูกลับมา ก็เปิดเทปให้ฟัง ความจริง ไม่ใช่พ่อไอ้หนูแล้ว มันปู่ไอ้หนูแล้ว ตาไอ้หนูแล้ว เพราะหลาน ๆ มันโตแล้ว แต่ว่ายังชอบเที่ยว ชอบสนุก คนแก่นี่อยากไปเที่ยว ลำบาก เดิน เตะ ๆ พัง ๆ เดี๋ยวรถชนเอา แข้งขาหัก มันลำบากเดือดร้อน ไม่ควรจะไปเที่ยวไปเตร่ ถ้ามาวัดก็ไม่ว่าอะไร เช่น วันพระก็มาวัด วันอาทิตย์ก็มาวัด มาศึกษาธรรมะ ปฏิบัติธรรมะ เตรียมตัวตาย เพราะว่าแก่แล้วก็ เตรียมตัวตาย ไม่ใช่เตรียมจะอยู่ต่อไป อยู่มาตั้ง ๖๐ – ๗๐ แล้วก็เตรียมตัวว่าจะตาย ตายให้มันเป็นสุขหน่อย ตายไม่ต้องเป็นทุกข์ ไม่ต้องกังวลถึงเรื่องนั้นเรื่องนี้ พอจะปลงได้ วางได้ก็สบายใจ ต้องแก้ตัวอย่างนั้น
โดยเฉพาะวันนี้เป็นวันแรมค่ำ ๑ เดือน ๘ เราถือว่าเป็นวันเข้าพรรษา ถือว่าเป็นเรื่องของพระ แต่โยมก็เกี่ยวข้องด้วยเหมือนกัน คือพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนานี่ สมัยแรกทีเดียว ก็ไม่มีผลอะไร เพราะพระจำนวนน้อย แล้วก็ตั้งใจมาบวชจริง ๆ ประพฤติดีประพฤติชอบไม่มีอะไร ต่อมาพระเพิ่มจำนวนมากขึ้น มีเรื่องอะไรมากขึ้น พระพุทธเจ้าก็บัญญัติพระวินัย วินัยแต่ละข้อไม่ใช้ตั้งขึ้นเฉย ๆ ไม่ใช่ประชุมแล้วก็เขียนเหมือนกับนั่งเขียนรัฐธรรมนูญ แล้วมาเถียงกันในสภาฯ ไม่ใช่อย่างนั้น ถ้าไม่มีเรื่อง พระพุทธเจ้าก็ไม่บัญญัติพระวินัย ถ้ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ชาวบ้านติเตียน ก็ทรงบัญญัติพระวินัยว่าตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ภิกษุอย่ากระทำอย่างนั้นกระทำอย่างนี้ เป็นอาบัติตามเรื่องตามขั้น พระวินัยต่าง ๆ ก็เกิดขึ้น
แต่การเป็นอยู่ของพระ เมื่อใหม่ ๆ พระพุทธเจ้าก็พักจำพรรษาที่ป่าอิสิปตนะมฤคทยาวัน พร้อมด้วยปัญญจวัคคีย์ ๕ ท่าน พวกปัญญจวัคคีย์ก็ไปบิณฑบาตร พระพุทธเจ้าไม่ต้องไปบิณฑบาตร พระเหล่านั้นไปบิณฑบาตรก็มาแบ่งกันฉัน ฉันเพียงมื้อเดียว ฉันแล้วก็หมดเรื่องกัน อยู่กันอย่างนั้น ไม่มีปัญหาอะไร แต่ต่อมาพระเณรมากขึ้น พระบางพวกไปเที่ยวสอนคนตามที่ต่าง ๆ ขยันมากไปหน่อย ไม่ได้หยุดพัก เวลาฝนตกก็ไม่หยุด เที่ยวไปเรื่อย ๆ ตามปกติ คนอินเดียเขาพอหน้าฝนนี่เขาหยุด กองเกวียนก็ต้องหยุด เพราะถนนหนทาง มันเป็นโคลนเป็นเลน วัวพาเกวียนไปไม่สะดวกจะไปพักที่ไหนก็ไม่สะดวก ฝนตกเฉอะแฉะไปหมด เขาก็หยุด แต่ว่าพระเราไม่หยุด ยังเที่ยวไปที่นั่นที่นี่ตลอดเวลา พระพุทธเจ้าเห็นว่ามันไม่เหมาะไม่ควร ชาวบ้านติเตียน เพราะเวลาเดินทางไปนั้น ไม่ใช่เดินไปเฉย ๆ ไปเหยียบพืชเหยียบผักเขาให้เสียหาย ชาวบ้านก็ติเตียน ทราบไปถึงพระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์ก็เห็นว่าไม่เหมาะก็เลยบัญญัติว่าภิกษุทั้งหลาย ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปเมื่อถึงวันแรมค่ำ ๑ เดือน ๘ พระต้องหยุดอยู่กับที่ อยู่ในที่ที่มีฝา มีหลังคา คำว่ามีหลังคา หมายความว่ากันฝนได้ มีฝาก็กันน้ำฝนสาดได้ เป็นกระท่อมเล็ก ๆ พระไปอยู่ที่ไหน ชาวบ้านเขามักจะนิมนต์ พอถึงวันแรมค่ำ ๑ หรือใกล้วันแรมค่ำ ๑ เขาก็บอกว่าขอให้พระคุณเจ้าอยู่ที่นี่ พวกกระผมจะได้ฟังธรรม จะได้ให้ทาน จะได้รักษาศีล จะได้ปฏิบัติพระสงฆ์ (20.29) เขาก็สร้างกระต๊อบเล็ก ๆ ให้พระอยู่เฉพาะองค์ ๆ มุงด้วยใบไม้ ฝาก็กั้นด้วยใบไม้ เขาเรียกว่าบรรณกุฏิ บรรณะแปลว่าใบไม้ กุฏิก็คือกระท่อมนั่นเอง ทำให้พระอยู่ชั่วคราวตลอดฤดูฝน
พระที่อยู่ในที่นั่น ๆ ก็ต้องอธิษฐานใจว่าข้าพเจ้าจะอยู่จำพรรษาที่นี่ตลอด ๓ เดือน แล้วก็ไม่ไปไหน นอกจากไปบิณฑบาตรรับอาหารจากญาติโยมชาวบ้าน แต่ว่ามีกิจจำเป็นก็ไปได้เหมือนกัน เช่นว่า โยมมารดาบิดาป่วยหนัก ต้องไปปลอบใจก็ไปได้ หรือว่าเพื่อนฝูงมิตรสหายเจ็บไข้ได้ป่วยก็ไปได้ หรือว่าโจรมาปล้นบ้าน ชาวบ้านแถวนั้นหมดเนื้อหมดตัว ขืนอยู่ต่อไปก็ไม่รู้จะกินอะไร ก็ไปได้ ไม่ถือว่าขาดพรรษา มีเหตุมีบัญญัติหลายเรื่อง พระจึงต้องอยู่จำพรรษา แต่ในสมัยนี้ปกติก็หยุดอยู่แล้ว เพราะพระอยู่เป็นวัด ไม่ได้ท่องเที่ยวไปเหมือนสมัยก่อน สมัยก่อนพอถึงหน้าแล้ง พระก็ออกไปแล้ว คือรับกฐินเสร็จท่านก็ไป ดินฟ้าในอินเดีย พอหมดฤดูฝน ฤดูฝนมัน ๔ เดือน คือตั้งแต่แรมค่ำ ๑ เดือน ๘ จนถึงกลางเดือน ๑๒ แต่ให้จำพรรษา ๓ เดือน เหลือไว้เดือนหนึ่ง ไว้เป็นเดือนสำหรับทำจีวร พอออกพรรษาแล้วพระก็ช่วยกันทำจีวร เตรียมตัว เพื่อเดินทางไปสอนคนต่อไป พอออกพรรษารับกฐิน คือทำจีวรเสร็จ ท่านก็ออกเดินทางจาริกไปตามที่ต่าง ๆ เพื่อไปสอนคนบ้านนั้นเมืองนี้ พอไปถึงฤดูเข้าพรรษา ท่านก็หยุดอยู่จำพรรษา ทุกรูปทำเหมือนกัน อันนี้เป็นระเบียบของพระสงฆ์
ทีนี้ในการอยู่จำพรรษานั้น ไม่ใช่อยู่เฉย ๆ ต้องปฏิบัติกิจวัตรประจำวันให้ดี ให้เจริญขึ้นเป็นพิเศษ เพราะเป็นฤดูฝนไปไหนไม่ได้ หยุดพักอยู่กับที่ แล้วก็ต้องปฏิบัติเช่นว่า เจริญกรรมฐาน ภาวนา เพื่อเอาชนะกิเลสในตัวให้หายไป มีเรื่องเล่าว่าพระกลุ่มหนึ่งมีจำนวนประมาณ ๓๐ รูป ฤดูการเข้าพรรษาก็หยุดพักตามที่ที่ชาวบ้านเขาจัดถวาย พระองค์ที่เป็นหัวหน้า ท่านก็เรียกประชุมลูกน้อง แล้วก็บอกว่าในพรรษานี้เราอยู่ด้วยสัจจะ ด้วยความตั้งใจจริง ด้วยการทำจริง ให้ทุกรูปอธิษฐานใจว่าจะทำอะไรตลอด ๓ เดือนในฤดูกาลเข้าพรรษา พระทุกรูปก็อธิษฐานใจกันในรูปต่าง ๆ แต่องค์ที่เป็นหัวหน้า ท่านอธิษฐานใจว่าในพรรษา ๓ เดือนนี้ ผมจะไม่นอน คือถือไม่นอนทั้งกลางวันกลางคืน อยู่ด้วยการเจริญภาวนา นั่งเจริญภาวนาบ้าง เดินเจริญภาวนาบ้าง ตามเรื่อยไป ตามที่ได้ตั้งกติกาไว้กับตัวเอง เมื่อทำไป ๆ ไม่นอนมากเข้า ตาไม่ค่อยจะดี เพราะไม่ได้พักสายตา เป็นโรคตาแดง หมอประจำบ้านที่เป็นหมอตาก็มาเห็นเข้า ก็บอกว่าตาพระคุณเจ้าเป็นอย่างไร ท่านก็บอกว่ามันก็เป็นอย่างนี้แหละโยม ก็อาตมาไม่ได้นอน หมอบอกว่า โอ้ ผมจะทำยามาให้ ท่านหยอดยาเถิดนะ แล้วตาจะได้หาย หมอก็ทำยามาให้ ท่านก็หยอดยา ผ่านไป ๗ วันหมอก็มาเยี่ยม พอมาเยี่ยม หมอก็บอกว่าพระคุณเจ้าหยอดยาของผมหรือเปล่า ท่านก็บอกว่าหยอด หมอก็ถามว่า หยอดอย่างไร ยาของผมนี่ หยอดสัก ๓ ครั้ง มันก็หายแล้ว แต่นี่ ๗ วันแล้วไม่เห็นได้เรื่องเลย ท่านหยอดอย่างไร ท่านบอกว่าอาตมานั่งหยอด หยอดยาตานี่ ถ้านั่งมันไม่เข้าไปในตา หยอดยาตามันต้องนอนจึงจะถูกต้อง ท่านบอกว่า นั่งหยอด หมอก็บอกว่า โอ้ พระคุณเจ้าทำอย่างนั้นไม่ถูก ต้องนอน ท่านบอกว่านอนไม่ได้ เพราะอาตมาตั้งจิตอธิษฐานไว้ว่าจะไม่นอน ถ้านอนก็มันผิดสัจจะ ผิดข้อสัญญา เลยก็ต้องหยอดอย่างนี้ และหมอว่า เอ้า หยอดต่อไป หยอดไป หยอดไป ก็ตามันไม่หาย มันบวมขึ้นมาก และผลที่สุดก็เจ็บหนักตาบอดไปเลย บอดในวันออกพรรษา พอวันออกพรรษาท่านก็ตาบอด แต่กิเลสก็หมดเหมือนกัน บรรลุอรหันตผลเหมือนกัน แต่มรรคได้ผล หมอมาบอกให้นอน ท่านว่าปรึกษาแล้ว ไม่ยอมนอน หมอถามว่าปรึกษากับใคร ท่านว่าปรึกษากับร่างกาย แล้วก็ไม่ยอมจะนอน ก็เลยต้องตาบอด ไม่เป็นไร ตาบอด แล้วท่านก็อยู่ไป ทีนี้ก็เวลาตาบอดก็ยังลุกขึ้นเดินจงกรม
วันหนึ่งฝนตก เวลาฝนตกนี่ แมลงชนิดหนึ่งมันออกจากรู เราเรียกว่าแมลงเม่า แมลงเม่ามันออกจากรู มันมีปีกบินได้ และมันก็ตกเรี่ยราดไป พระเดินจงกรมก็เหยียบแมลงตายเป็นจำนวนมาก แมลงนี้ความจริง ถ้าว่ามันออกจากรู เราเปิดไฟให้สว่างไว้ เอาน้ำใส่กะละมังมาวางไว้ใต้ไฟ มันจะตกลงไปในน้ำ แล้วเอาไปคั่วกินเลย แมลงเม่านี่มันดี กินได้ แต่นั้นท่านไม่รู้ไม่เห็น ก็เลยเดินเหยียบแมลงตาย พระทั้งหลายก็นินทา บอกว่าท่านจกุมารนี่ (27.50) เดินไม่ระมัดระวัง เหยียบแมลงตายเป็นกองเลย พอได้ยินไปถึงพระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคทรงทราบแล้วว่าอะไรจะเป็นอะไร แต่เพื่อจะเอาเหตุผลให้กระจ่าง ก็เลยเรียกท่านจกุมารมา ถามว่าเธอเดินจงกรมเหยียบแมลงตายเป็นจำนวนมากใช่หรือไม่ ท่านบอกว่าไม่ทราบพระเจ้าค่ะ เพราะตาไม่เห็น เดินไปมันเลยเหยียบไป คือไม่มีเจตนา กรรมที่คนทำนี่มันต้องมีเจตนา พระพุทธเจ้าตรัสว่าเจตนาหัง ภิกขเว กัมมัง วทามิ ภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวเจตนาว่าเป็นกรรม เจตนาคือหมายความว่าตั้งใจทำ ถ้าตั้งใจทำ มันเป็นกรรม แล้วก็มีผลกรรมเกิดขึ้นแก่ตัวผู้นั้น แต่ท่านเดินไปตามปกติ ไม่ได้แกล้ง ไม่ได้เจตนาอะไร เหยียบแมลงเม่าตายโดยไม่เจตนา บาปไม่มี พระพุทธเจ้าก็บอกว่า จกุมารไม่มีบาป ไม่มีทูต (29.10) เพราะไม่ได้ตั้งใจ พูดเสร็จพระเข้าใจไปอย่างนั้น แต่เป็นเครื่องแสดงให้เห็นว่าท่านเอาจริงเอาจัง ทำงานจริง ปฏิบัติจริง ไม่ยอมนอนตลอด ๓ เดือน ถ้าเป็นเราสมัยนี้ก็ว่าตึงไปหน่อย เรียกว่าตึงไป แต่พระในสมัยก่อน เขาไม่ถือว่าตึงนะ ถือว่าเป็นคนทำจริง พระพุทธเจ้าสอนว่า กะยิรา เจ กะเยราเถนัง ถ้าจะทำ ทำให้จริง ทัฬหะเมนัง ปะรักกะเม พึงบากบั่นในงานนั้นให้มั่น การทำอะไรหลวม ๆ มันไม่เกิดประโยชน์เหมือนเราไปจับหญ้าคา จับเบาะ ๆ แล้วกระชาก หญ้าคาไม่หลุดจากคอ บาดมือเลือดไหล แต่ถ้าเรากำแน่น จำให้มั่นกระชาก ได้หญ้าคาเอาไปทำประโยชน์ได้ ในการปฏิบัตินี่ก็เหมือนกัน ท่านสอนว่าให้ตั้งใจทำจริง อย่าทำแบบหลวม ๆ อย่าทำแบบที่เรียกว่าไม่ตั้งใจ ให้ตั้งใจทำจริง จึงจะหลุดพ้นจริง นี่เป็นตัวอย่าง
ในฤดูกาลเข้าพรรษานี่ ญาติโยมควรจะอธิษฐานใจ ทำอะไรบางอย่างที่ให้มันจริงจัง สมมติว่าอธิษฐานใจว่าในพรรษานี้จะถือศีล ๕ อย่างเคร่งครัด ให้ดีขึ้นเป็นพิเศษ ศีล ๕ เรารับกันอยู่ ไม่ฆ่า ไม่ลักของใคร ไม่ประพฤติผิดในกามารมณ์ ไม่พูดคำโกหก คำหยาบ คำเหลวไหล คำที่ทำคนให้แตกจากกัน ไม่เสพสิ่งเสพติดมึนเมาทุกประเภท ตั้งใจรักษาศีล ๕ ให้เคร่งครัด ไม่ฆ่าแม้แต่ตัวมด …… (31.23) สงสารมัน อย่างนี้ดี
เขาเล่าว่าคนคนหนึ่งเป็นพระยา เคยเป็นเจ้าเมือง แล้วก็ต้องหาคดีกบฏบวรเดช เจ้าพระยาหลายคนติดไปในกบฏนั้น ถูกขังในคุกบางขวาง ท่านไม่เคยฆ่าสัตว์ตัวเล็กตัวน้อย ไม่เคยฆ่าแมลง ไม่เคยฆ่ามดฆ่ายุงแม้แต่น้อย ท่านถือเคร่งมาก อยู่ต่อมาก็ได้รับพระราชทานอภัยโทษปล่อยออกมาจากคุก ก็ยังมีชีวิตอยู่ต่อไป แต่เดี๋ยวนี้ไม่อยู่แล้ว ตายแล้ว แต่ท่านเป็นคนถือศีลข้อที่ ๑ อย่างเคร่งครัด ไม่ฆ่าอะไร ไม่ทำลายอะไร แผ่เมตตาให้แก่สรรพสัตว์ทั้งหลายด้วยการนึกว่าเราอยากได้สุข สัตว์ทั้งหลายก็อยากได้สุข เราเกลียดทุกข์ สัตว์ทั้งหลายก็เกลียดทุกข์เหมือนกัน ไม่ทำร้ายให้เกิดปัญหา เกิดความเดือดร้อน
ข้อที่ ๒ ถือว่าไม่ถือว่าเอาสิ่งของของใคร ๆ ที่เจ้าของเขาไม่ได้ให้ เรียกว่าลักขโมย ในสมัยนี้มันต้องคลุมไปถึงการคอร์รัปชั่น การกินสินบน ก็ไม่ถูกต้อง ผิดศีลข้อที่ ๒ เหมือนกัน การยักยอกทรัพย์สมบัติของส่วนรวมเอามาเป็นของส่วนตัว การกินสินบนจากคนที่ให้สินบนเป็นการเพิ่มความชั่วร้ายขึ้นในสังคม ก็เป็นการไม่สมควร ฉ้อใครโกงใครก็ไม่สมควร นี่เรียกว่าถือศีลข้อที่ ๒ เคร่งครัด ก็ได้รับประโยชน์ไม่ต้องยุ่งยาก ไม่ต้องมีปัญหา
ศีลข้อที่ ๓ หมายความว่าไม่หมกมุ่นมัวเมาในกามารมณ์ คือไม่เที่ยวสนุกสนานในยามค่ำคืน เลิกงานแล้วกลับบ้าน บ้านนี่เป็นสวรรค์ เป็นวิมานของเรา เราจะไปเที่ยวทำไม สมัยนี้สถานที่ท่องเที่ยวมันมาก คนเขาสร้างไว้สำหรับดักคนปัญญาอ่อน พวกที่ไปเที่ยวบาร์ เที่ยวไนท์คลับ ไปเที่ยวตามสถานเริงรมย์นั้น ลงในบัญชีเป็นคนปัญญาอ่อนทั้งนั้น ยังไม่มีปัญญาแก่กล้า ไม่รู้จักอะไรเลยไปเที่ยว อันนี้ว่าไปเที่ยวมันก็เสียหาย ลืมเนื้อลืมตัว อาจจะกระทำอะไรผิดก็ได้ เดี๋ยวนี้มีโรคชนิดหนึ่งเกิดขึ้นในสังคม เรียกว่าโรคเอดส์ คนเป็นโรคเอดส์กันมาก เด็กหนุ่ม ๆ เป็นโรคเอดส์กันมาก คนแก่ก็เป็นเหมือนกันเพราะไปเที่ยวซุกซนทำให้เกิดความเสียหาย บางทีถึงกับฆ่ากันตาย เพราะเรื่องอย่างนี้ เราเป็นคนนับถือพุทธศาสนา ควรจะสำรวมจิตใจ ไม่ปล่อยให้คิดฟุ้งซ่านไปในเรื่องรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส บังคับตัวเองให้สงบเสียบ้าง จะไม่ได้ไปเที่ยวเตร่อย่างนั้น ไม่ฟุ้งซ่านอย่างนั้น
ศีลข้อ ๔ เกี่ยวกับการพูด หัดพูดสัมมาวาจา คือพูดคำจริง พูดคำอ่อนหวาน พูดคำสมานสามัคคี พูดคำที่เป็นประโยชน์แก่ผู้ฟัง ไม่พูดคำโกหก ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดคำเหลวไหล ไม่พูดคำที่ทำคนให้แตกจากกัน รวมไปถึงการเขียนด้วย ถ้าเราเขียนอะไรทำให้เกิดปัญหาขึ้นในหมู่ในคณะ ก็เป็นการไม่สมควร ผิดศีลข้อ ๔
ศีลข้อที่ ๕ นี้ต้องถือให้เคร่งเป็นพิเศษ เพราะว่าเมื่อผิดศีลข้อ ๕ แล้ว ข้ออื่นจะพลอยเสียหายไปด้วย เพราะว่าถ้าเราผิดศีลข้อที่ ๕ เราทำลายสติ ทำลายปัญญา ทำลายความรู้สึกผิดชอบของตัวเองให้หายไป เราก็อาจจะไปทำร้ายใครก็ได้ อาจไปลักของใครก็ได้ อาจะไปประพฤติผิดในทางกามารมณ์ก็ได้ อาจจะพูดคำโกหกคำหยาบก็ได้ เพราะผิดศีลข้อที่ ๕
ทีนี้ศีลข้อ ๕ มีอะไรบ้าง ศีลข้อ ๕ มีคำ ๓ คำ อยากให้โยมได้จำไว้คือว่า สุราคำหนึ่ง เมรัยคำหนึ่ง มัชชะคำหนึ่ง เรารับศีลข้อที่ ๕ ว่า สุราเมรยะ มัชชปมาทัฎฐานา เวรมณี สิกขาปะทังสมาธิยามิ แปลว่า ข้าพเจ้าขอรับแบบฝึกหัด คือศีลที่เป็นแบบฝึกหัดนั่นเอง รับเอาไปปฏิบัติ คือตั้งใจงดเว้นจากการดื่มสุราเมรัยและสิ่งเสพติดทุกประเภท มันมีคำ ๓ คำ สุรา เมรัย มัชชะ แต่ว่าพระแปลไม่ค่อยหมด แปลให้โยมฟังไม่เกลี้ยง พระยังสูบบุหรี่ ยังฉันหมาก ยังฉันลิโพวิตัน อะไรต่ออะไร มันไม่ได้นะ โยมอย่าซื้อมาถวายพระ ของเสพติดทั้งนั้น ให้โทษทั้งนั้น ไม่ควรจะฉันสิ่งเหล่านั้น
สุราก็คือเหล้าประเภทต่าง ๆ ที่เขากลั่นออกมาขายเกลื่อน บอกว่าเป็นเหล้านอก เหล้าใน เหล้าเถื่อน เหล้าอะไรก็ตาม เป็นเหล้าทั้งนั้น กินแล้วเสียทรัพย์ เกิดโรค ก่อการทะเลาะวิวาท หน้าด้านไม่รู้จักละอาย คนดีดูหมิ่น สติปัญญาเสื่อม คนดื่มเหล้าแล้วเป็นอย่างนั้น เมื่อวานมีศพเข้ามาศพหนึ่ง อายุ ๖๐ กว่า ตาย ถามว่าเป็นอะไร เป็นโรคตับแข็ง พอบอกว่าตับแข็ง อาตมาก็ถามว่า แต่ก่อนชอบดื่มเหล้าไหม ตอบว่าหนักไปหน่อย ก็คือเป็นคนชอบดื่มเหล้า คนชอบดื่มเหล้านี่เป็นโรคตับแข็ง ทุกคนเป็นตับแข็ง อยู่ไม่ยืน อายุได้ ๖๐ ก็เกษียณราชการแล้ว ตามจริงน่าจะอยู่กินเงินบำนาญไปสัก ๑๐ ปี ๑๕ ปี ๒๐ ปีก็ได้ แต่ว่าเพราะไม่กินข้าว กินเหล้า ดื่มเหล้ามาก เหล้าไปทำเป็นโรคตับแข็ง ทำให้หัวใจไม่ดี การสูบฉีดโลหิตไม่เรียบร้อย เวลาน้ำเหล้าเข้าไปโลหิตฉีดแรง พอหมดฤทธิ์เหล้า โลหิตฉีดอ่อน ทำให้หัวใจเต้นไม่สม่ำเสมอ หล่อแหลมต่อการที่จะไปนอนในโลง เป็นอย่างนี้ ให้โทษ นี่เหล้าเป็นของที่ไม่ควรดื่ม ไม่จำเป็นอะไร เราก็ไม่ดื่ม
ต่อไปก็เมรัย เมรัยคือของเมาที่ไม่ได้ต้มได้กลั่น เอามาหมัก มาดอง มาแช่ไว้ ให้มันบูดมันเน่า ถ้าโยมเดินผ่านโรงงานบางยี่ขัน จะได้กลิ่นตลอดเวลา คนที่ว่าอยู่ใกล้โรงงานบางยี่ขัน ไม่ต้องดื่มเหล้า เขาดื่มทางจมูกอยู่ตลอดเวลา กลิ่นมันเข้าจมูกตลอดเวลา ซึมอยู่ตลอดเวลา อันนั้นเขาเรียกว่าน้ำเมรัย ไม่ได้ต้ม เช่นว่าน้ำตาลมะพร้าว น้ำตาลโตนด น้ำตาลจาก เอามาแล้วทิ้งไว้เกินเวลาเป็นเมรัยทั้งนั้น ดื่มแล้วก็เมา ตกท่อ ตกบ่อได้เหมือนกัน เป็นสิ่งที่ต้องห้าม พระสงฆ์ดื่มไม่ได้ โยมก็ดื่มไม่ได้ อันนี้คือเมรัย
ทีนี้ มัชชะ พระไม่ค่อยแปล มักแปลว่าข้าพเจ้าขอขมา ลาสิกขาบท คือตั้งใจงดเว้นจากการดื่มสุราเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท แต่สอง (40.04) พระไม่กล้าแปล เพราะพระยังสูบบุหรี่มวนโต ๆ ยังฉันหมากอยู่ มันไม่ถูกนะ โยมอย่าเอาบุหรี่ไปถวายพระ เวลามีงานมีการ ชอบมวนหมากถวายพระ เอาบุหรี่ถวายพระ ยุให้พระเป็นขี้ยาไปตาม ๆ กัน เสียผู้เสียคน เป็นเรื่องไม่สมควร จำไว้ด้วย ถวายของอื่น เอาน้ำมาถวาย เวลาพระจะไปสวดมนตร์ฉันเพล อย่าเอาน้ำอัดลมมาถวาย เพราะน้ำอัดลมเข้าไปต้อง มันมีแก๊สอยู่ ท้องอืด ฉันข้าวไม่ได้ มันก็เสียหายแก่พระตอนเย็นน่ะ เพราะฉะนั้นอย่าไปถวายน้ำอัดลม ถวายน้ำธรรมดา ดื่มแก้คอแห้งได้ ถวายน้ำธรรมดาให้ท่านกลั้วคอนิดหน่อย อย่าไปถวายน้ำประเภทอื่น และอย่าไปถวายหมาก ถวายบุหรี่ไม่สมควรแก่พระ
ฝรั่งเขานับถือพุทธศาสนา เขาเป็นนายกพุทธสมาคมแห่งประเทศอังกฤษ เขามาเมืองไทย พุทธสมาคมเชิญไปที่สมาคมหน้าวัดบวรฯ แล้วก็มีการเลี้ยงพระให้เขาเห็นว่าเมืองไทยนี่เขาเลี้ยงพระอย่างไร พอเลี้ยงอาหารเสร็จ พอพระฉันเสร็จก็เอาพานหมากบุหรี่ไปถวาย นายกพุทธสมาคมอังกฤษนั่งมอง ถามว่าเอาอะไรไปถวายพระ คนนั่งใกล้ ๆ บอกว่า ซิกาแรต (Cigarette) และก็ เบเทลนัท (Betel Nut) เขาก็ถามว่า อ้าว อะไร พระสูบซิกาแรตด้วยหรือ เขาถามเลยนะ คนนั้นก็ว่า มีสูบกันอยู่ทั่ว ๆ ไป เขาก็ว่า ไม่ได้นะ เขาว่าไม่ควรสูบนะ พระไม่ควรสูบซิกาแรต ไม่ควรฉันหมากนะ ฝรั่งเขามานับถือศาสนาใหม่ เขายังท้วงเลยว่าไม่ได้ ไม่ควรถวายหมากบุหรี่แก่พระ เป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นโยมต่อไปให้เลิก ไม่ถวายหมากบุหรี่แก่พระ พวกน้ำประเภทสองนิ้ว ไม่ได้นะ ถวายพระไม่ได้ กระทิงสองตัวจะชนกัน ถวายพระไม่ได้ เพราะมันเป็นสิ่งเสพติด ดื่มแล้วติด พวกนี้ติดทั้งนั้น ดื่มบ่อย ๆ ต้องดื่ม ไปเห็นบางวัด มีขวดกอง ถามว่าขวดอะไร ใครดื่มมากมายอย่างนี้ เขาตอบว่าพระที่นี่ดื่ม …... (43.00) ของเสพติดไม่ควรดื่ม ไม่พูด ศีลข้อ ๕ ละเอียดอ่อน
และก็พวกเฮโรอีน พวกยาม้า ยาอี ยาอะไรพวกนี้ ไม่ได้ทั้งนั้น ขายก็ไม่ได้ เสพก็ไม่ได้ คือชาวพุทธเรานี้ ต้องงดเว้น ไม่สูบเฮ ไม่ขายเฮ แล้วก็ไม่ให้ใครส่ง ไม่ช่วย ไม่ส่งเสริมการสูบ เดี๋ยวนี้บ้านเมืองจะล่มจมนะโยมรู้ไหม จะล่มจมด้วยยาม้า ยาอี ยาเสพติดนี่ขายกันเกิน เด็ก ๆ นักเรียน ติดงอมแงมตามโรงเรียนต่าง ๆ คนเอาไปขาย เด็กก็เลยเอาไปขายให้เพื่อนสูบกัน ทำให้ติดกันมากมาย เป็นภัยใหญ่ของชาติของประเทศ ถ้าเราไม่ช่วยกันแก้ไข บ้านเมืองจะล่มจม เพราะเด็กโตขึ้นเป็นคนที่ร่างกายอ่อนแอ สมองเสื่อม แล้วจะรักษาชาติประเทศไว้ได้อย่างไร มันไปไม่รอด อันนี้พ่อแม่จะต้องระวัง คอยดูลูกหลานถ้ามานั่งซึม ๆ แล้วเรียกมาคุยหน่อย ถามเขาว่า เป็นอย่างไรลูก ทำไมถึงนั่งซึม ๆ อย่างนี้อย่าไปดุ อย่าไปว่า อย่าไปรุนแรง บอกเขาไป ไหนบอกคุณย่าทราบ คุณยายทราบ เป็นอย่างไรลูก มีปัญหาอะไร เดี๋ยวเด็กมันก็จะบอกว่าหนูติดยา แต่ว่าพอติดยานี้ คุณยายคุณย่าต้องบอกพ่อแม่แล้ว ให้จัดการกับลูกชาย ไม่ทุบไม่ตีไม่ว่าอะไร ไม่เสียหายหรอก แต่เรียกมาพูดมาคุยให้เข้าใจ แล้วพาไปหาหมอ ให้ช่วยรักษา
มีเด็กคนหนึ่งเป็นชาวชลบุรี เคยมาบวชสามเณรที่นี่เหมือนกัน แล้วเขาก็ไปเรียนหนังสือ เพื่อนเอาบุหรี่มาให้สูบ เพื่อน ๆ นะชอบขโมยบุหรี่ให้เพื่อนสูบ ตัวเองสูบแล้วก็อยากให้เพื่อนสูบ เหมือนกับหมาหางห้วน ไปเที่ยวลักไก่ชาวบ้าน หางติดกับ ดิ้นหางขาด แล้วก็ไปชวนหมาอื่นให้ตัดหางกันเป็นแถว มันให้เพื่อนสูบ สูบแล้วติด มันอยากบุหรี่แล้วก็ไปซื้อเอง ก็ไม่หายอยาก สูบแล้วไม่หายอยาก เพราะไม่ใช่บุหรี่ชนิดนั้น เลยถามว่า เฮ้ย ลื้อเอาบุหรี่อะไรมาให้อั้วสูบ อั้วไปซื้อสูบเองไม่หายอยากเลย ยังอยากอยู่ เพื่อนก็ตอบว่า อ้าว มันต้องมือชั้นนี้ รู้ที่จะไปซื้อ ก็ไปซื้อมาให้ แต่เด็กคนนี้ฉลาด พอได้ทราบอย่างนั้นก็รู้ว่าไอ้เพื่อนนี้ทำลายกูแล้ว ทำให้กูเสียผู้เสียคน กลับไปบอกคุณตา คุณตาเคยมาที่นี่ เดี๋ยวนี้มาไม่ไหว แก่ เลยบอกคุณตา ผมเสียท่าแล้ว ติดยา เพื่อนให้สูบบุหรี่ ติดยาแล้ว ตาก็เอาหลานชายไปหาหมอเลย เสียเงิน ๒๐,๐๐๐ บาท ค่ารักษา แพงกว่าไปซื้อเฮโรอีนสูบ พอเสียสองหมื่นรักษาเรียบร้อยแล้ว เอามาบวชอีก มาบวชที่นี่ บวชอยู่ประมาณ ๒ เดือน แล้วออกจากโรงเรียนนั้น ไม่ให้เรียนต่อ ส่งไปสิงคโปร์แทน
ที่สิงคโปร์นี่เขามีระเบียบมีวินัย เขากวดขันหน่อย เขาไม่ปล่อยให้เกิดความวุ่นวาย คนไปเที่ยวสิงคโปร์ ถ้าไว้ผมรุ่มร่าม มันไม่ให้เข้าเมือง บอกว่าตัดผมเสียก่อนที่จะเข้าสิงคโปร์ได้ ต้องจับกร้อนผมหมด ไอ้พวกฝรั่งฮิปปี้ทั้งหลาย และก็แต่งตัวไม่เรียบร้อยไม่ให้เข้า ต้องนุ่งกางเกงขายาว ไม่ใช่แต่งตัวแบบลิงอุรังอุตังเข้าบ้านเข้าเมือง เขาไม่ยอม เขากวดขัน เขาเอาใจใส่ดี เลยเอาไปเรียนสิงคโปร์ เรียนอยู่ ๓ – ๔ ปี ก็จบชั้นที่นั่น แล้วก็ส่งไปเรียนออสเตรเลีย ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์นี่ ลูกหลานไปเรียนได้ ไว้ใจได้ เพราะฝรั่งที่นั่นไม่เหลวไหล ไม่มีความชั่วเหมือนที่อื่น ไม่มียาเสพติดอะไรมากมาย แต่คนที่ไม่ค่อยชอบ ชอบไปอเมริกา ขอโทษเถิด ที่อเมริกานี่ มีสิ่งยั่วยุเยอะ เด็กไปอยู่ลำบาก มันชวนให้เสียหายมาก แต่เมืองนั้นเขาเรียบร้อย ก็ไปเรียน แล้วก็จบมา เดี๋ยวนี้ช่วยเหลือพ่อแม่ทำมาหากิน ไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มเหล้า เพราะมันรู้ทัน แต่เด็กบางคนติดแล้วไม่บอกพ่อแม่ เที่ยวนั่งซึมตาลอย มองดูฟ้า ไม่เห็นดาว เสียคน นี่ต้องระวัง ฝากไว้ด้วยนะพรรษานี้ ต้องคอยสำรวจดูลูกหลาน ว่ามันมีอาการอย่างไร ถ้าเห็นอาการไม่ดี ต้องเรียกมาชวนพูดชวนคุย แสดงความรักความเอ็นดู อย่าไปดุไปว่าเขา ให้เขาช้ำใจ ถ้าว่าหนักเข้า ไปเลย ไปกับเพื่อน ไปอยู่หน้าโรงหนัง ไปเที่ยวตามซอกตามซอย เสียผู้เสียคน เขาว่าสถานที่เหล่านั้นมันเยอะ อันนี้สำคัญ
เราชวนกันถือศีลทั้ง ๕ ให้เรียบร้อย เรียกว่าปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบทั้งครอบครัว พ่อบ้านแม่บ้านลูกหลาน ชักชวนกันให้รักษาศีลฟังธรรม ให้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตลอด ๓ เดือน อันนี้ถ้าจะเขยิบฐานะให้สูงขึ้นไปหน่อย พอถึงวันอาทิตย์หรือวันพระ วันพระสำหรับคนเฒ่าคนแก่ไม่ไปทำงาน ก็มาถืออุโบสถ มานอนวัด การมาถืออุโบสถ ก็เพื่อมาควบคุมตัวเองให้อยู่อย่างเรียบร้อย ให้อยู่อย่างสงบไม่วุ่นวาย ไม่ให้เกิดความเสียหาย ไม่ใช่มาถืออุโบสถแล้วคุยกันเช็ดเลย คุยกันไม่รู้อะไร คุยกันเสียงดังมาก หลวงพ่อต้องไปเตือนบ่อย ๆ ว่าโยม คุยอะไรกันนักหนา บางทีก็พูด เอ้า โยมรีบคุยกันเสีย อีกไม่กี่วันก็จะตายแล้ว โยมเงียบเลย หลวงพ่อบอกว่ารีบคุยสิ แก่แล้วใกล้จะตายแล้ว เดี๋ยวจะไม่ได้คุย นี่ก็ดี กลัวตายเหมือนกัน ต้องอยู่เงียบ ๆ อย่าไปคุยอะไรกันให้มันมาก นั่งมองดูตัวเอง พูดกับตัวเอง ให้รู้ว่าเรานี้เป็นอย่างไร มีอะไรบกพร่อง มีอะไรควรแก้ไข เรียกว่ารักษาอุโบสถ อุโบสถคือการเก็บตัว อยู่ในกรอบของศีลธรรม อยู่ด้วยความสงบ ไม่วุ่นวาย ทำได้ แล้วกลางค่ำกลางคืนก่อนหลับก่อนนอน ก็ควรจะได้ตั้งใจ ในครอบครัว เอาลูกหลานมาไหว้พระสวดมนต์ การไหว้พระสวดมนต์ก่อนนอนนี่ก็ดีมาก จะช่วยให้สิ่งทั้งหลายดีขึ้น ครอบครัวดีขึ้น ทำให้ครอบครัวเราสงบไม่วุ่นวาย เพราะเด็กได้เข้าใกล้พระ ได้คุ้นเคยกับขนบธรรมเนียมประเพณี อันดีอันงาม พ่อบ้านไม่ไปเที่ยว เลิกงานกลับบ้าน มากินข้าวพร้อมกันได้คุยกันระหว่างครอบครัว รับประทานอาหารเสร็จแล้วดูโทรทัศน์ ดูข่าว เรื่องอื่นไม่ต้องดูก็ได้ ถ้าถึงเวลาก็เข้าไปนอน เข้าไปในห้องพระ จุดธูป จุดเทียนบูชาพระ ไม่ต้องจุดเทียนก็ได้ จุดแล้วก็ไม่ดับแล้วก็จะเสียหาย มานั่งพร้อมใจกัน ก็บอกลูกหลานให้ทราบว่า เราเป็นคนไทย เรานับถือพุทธศาสนา ประเทศชาติของเราได้มีความก้าวหน้ามาจนบัดนี้ เพราะอาศัยบารมีพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เรามาสวดมนต์ไหว้พระกันก่อน แล้วก็ไหว้พระ …... (51.47) แบบหนังสือสวดมนต์นี้ โยมเอาไปไว้ที่บ้าน อรหังสัมมา สัมพุทโธภควา พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นพระอรหันต์ แปลไปเรื่อย เด็ก ๆ ได้ยินเข้าใจ สวดมนต์เสร็จแล้วก็นั่งสงบใจสัก ๕ นาทีเป็นการฝึกบังคับตัวเองควบคุมตัวเอง ให้เรียบร้อย เสร็จแล้วพ่อแม่ก็หันมาทางลูก อบรมบ่มนิสัย เห็นลูกทำอะไรบกพร่องเสียหายไม่เหมาะไม่ควร ก็เอามาเตือนกันตอนนั้นแหละ ลูกคนนั้นทำอย่างนั้นไม่ถูกต้อง ไม่ใช่วัฒนธรรมไทย ไม่ใช่ประเพณีอันดีอันงาม ทำอย่างนั้นบ่อย ๆ นิสัยเสีย โตก็จะเสียผู้เสียคน เราเตือนเราสอน เตือนบ่อย ๆ ย้ำบ่อย ๆ มันฝังเข้าไปในใจ อะไรที่รับเมื่อเป็นเด็กนี่มันฝังอยู่ในใจ หลวงพ่อสมัยเด็กได้รับการอบรมจากคุณยายอย่างไร ก็ยังฝังอยู่ในใจ เป็นคำเตือนที่เรียกว่าฝังอยู่ในสายเลือด จะไปไหนจะทำอะไร สิ่งนั้นมันคอยกระตุ้น คอยเตือนใจไม่ให้ทำผิด มันมีอิทธิพลที่เราสอนเขาตั้งแต่เด็ก แต่ถ้าเราไม่สอน มันก็เสียหาย เด็กไม่มีหลักไม่มีเกณฑ์ ไม่มีระเบียบไม่วินัย ความรักชาติ รักประเทศก็ไม่มี รักศาสนาก็ไม่มี รักพ่อรักแม่ก็ไม่มี ถ้าพ่อแม่ให้สตางค์ก็กูรักหน่อย แต่ถ้าไม่ให้สตางค์ก็ไม่รักแล้ว ไม่ชอบแล้ว ไม่สำนึกในความกตัญญูกตเวทีต่อมารดาบิดาปู่ตาย่ายาย แล้วมันจะเอาตัวรอดได้อย่างไร มันเป็นอย่างนี้ พออบรมบ่มนิสัยแล้ว ให้กราบคุณพ่อคุณแม่ นั่งให้เรียบร้อยให้ลูกกราบพ่อแม่ ลูกกราบแล้วก็ให้พรเขา ให้พรว่าขอให้ลูกมีความคิดก้าวหน้าในทางที่ถูกที่ชอบให้รู้จักช่วยตัวเอง พึ่งตัวเอง ไม่ดื้อไม่ซุกซนนะลูก และไปนอนได้
พ่อแม่ยังไม่นอนก่อน ไม่นอนก็ปรึกษาหารือกันในเรื่องชีวิตประจำวัน ว่าเราวันนี้ดำเนินชีวิตอย่างอะไร จะทำงานอะไรได้เงินเท่าไร แล้วก็ใช้อะไรบ้าง ต้องดูบัญชีรายรับรายจ่าย เวลานี้ข้าวของมันแพง เงินมันลอย มันจะลอยไปหมดถ้าเราไม่บังคับไว้ ก็ควรจะได้พิจารณาตัดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น เป็นอยู่อย่างประหยัดอดออมหน่อย อย่าสุรุ่ยสุร่ายเพราะมันลำบาก เดี๋ยวนี้ในเมืองอเมริกา ร้านอาหารไทยนี่คนกินน้อย ทำไมจึงกินน้อย เพราะฝรั่งมันประหยัดแล้ว เศรษฐกิจไม่ดี เขาไม่ออกมากินข้าวนอกบ้าน เขาทำกินเองในครอบครัว ร้านอาหารที่เคยขายดี ขายไม่ค่อยดีเท่าไร เพราะฝรั่งเริ่มประหยัด เริ่มรัดเข็มขัดเข้าไปทุกวันทุกเวลา ก็ทำอย่างนี้ บ้านเรานี่ก็ต้องรัดเข็มขัด เรียกว่าควบคุมการใช้จ่าย อะไรไม่ควรจ่ายก็หยุดเสียบ้าง อะไรไม่ควรซื้อ ก็อย่าไปซื้อ ไม่ต้องไปร้านขายของบ่อย ๆ ร้านซุปเปอร์มาร์เก็ตนี่เราไม่ต้องไปถ้าไม่อยากซื้อ ทนไม่ได้ บังคับตัวเองไม่ได้ ก็ซื้อ เสียหาย เราก็งดไม่ไป กินอยู่แต่พอดี นุ่งห่มพอสมควร ตัดรายจ่ายสุรุ่ยสุร่าย อะไรมันก็ดีขึ้น
ชาวพุทธเราต้องเป็นอยู่ประหยัด ไม่ใช่อยู่อย่างฟุ่มเฟือย สุรุ่ยสุร่าย พระพุทธเจ้าตั้งหลักไว้ว่าพุทธศาสนามีหลักประหยัด และก็มีบทพิจารณาว่า ทฤษฎีหรือการปฏิบัติอันใดที่เป็นไปเพื่อความสุรุ่ยสุร่าย ไม่ใช่พุทธศาสนา ทฤษฎีหรือการปฏิบัติใด ๆ ที่เป็นไปเพื่อการประหยัดนั่นแหละคือตัวพุทธศาสนา เพราะฉะนั้นเราต้องช่วยกันประหยัดอดออม ไม่ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย ตัดรายจ่ายที่จำเป็นเสียบ้าง อะไรก็จะเรียบร้อยขึ้น
รวมความว่าในฤดูกาลเข้าพรรษานี้ อย่าอยู่โดยไม่มีสัจจะ ไม่มีความจริงใจ ต้องอยู่ด้วยความมีสัจจะ มีความจริงใจ ทำอะไรทำจริง ต้องอยู่เพื่อการขูดการเกลา สร้างนิสัยดีงามให้เกิดขึ้นในจิตใจ มีคนไม่ใช่น้อยเหมือนกัน อดเหล้า พอเข้าพรรษา อดเลย คนขายเหล้าบอกว่าเข้าพรรษานี่เหล้าขายได้น้อย เพราะคนอดกันมาก แต่อด ๓ เดือน พอวันออกพรรษา ก็เตรียมกันเป็นการใหญ่ ฉลองการอดไม่กินเหล้าต่อไป ปีหนึ่งมี ๑๒ เดือน อดได้ ๓ เดือน อีก ๙ เดือนเมาแปล้เลย จะได้เรื่องอะไร มันตราชั่ง มันลงมาก อดได้ ๓ เดือนแล้ว ออกพรรษาก็อดต่อไป ไม่แตะต้องเลยก็สบาย ใครสูบบุหรี่ก็เลิกสูบบุหรี่ เมื่อเช้าเดินมา โยมคนหนึ่งเอาบุหรี่ใส่กระเป๋า ยังไม่ได้สูบ บอกว่าอันนี้ขอหน่อยได้ไหม โยมถามว่า อะไรครับ หลวงพ่อบอกว่าบุหรี่ โยมก็ถวาย หลวงพ่อก็บอกว่าไม่ใช่ถวายซองนะ ถวายหมดนะ คือไม่สูบต่อไป ถามว่านี่ราคาซองละเท่าไร ตอบว่า ๒๙ บาท หลวงพ่อก็บอกว่าแพงนะโยม บุหรี่ซองละตั้ง ๒๐ เกือบ ๓๐ บาท และก็สูบหมดในวันหนึ่ง เสียดายเงิน การที่เอาไปซื้อควันพิษมารมปอดตัวเองให้ตายทีเดียว มันสูญเปล่า ๆ เอาไปซื้อนมกล่องกิน เอาไปซื้อน้ำตาล ซื้อขนมมาเลี้ยงลูกเลี้ยงหลานดีกว่าไปซื้อเหล้า สูบบุหรี่ ก็พูดให้ดู (58.20) เดี๋ยวนี้เขารณรงค์กัน ให้เรางดสูบบุหรี่ งดดื่มเหล้า งดเล่นการพนัน งดเที่ยวกลางคืน งดสนุกสนานในทางสิ้นเปลือง ชีวิตมันก็ดีขึ้น เรียบร้อยขึ้น
เชิญ ขอให้โยมทั้งหลายได้ตั้งใจ ประพฤติดีประพฤติชอบในฤดูกาลเข้าพรรษา และก็มาฟังธรรมกัน วันพระ วันอาทิตย์ ตามที่เคยมาโดยทั่วกันนะ แสดงมาก็ พอสมควรแก่เวลา