แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านทั้งหลาย ณ บัดนี้ถึงเวลาของการฟังปาฐกถาธรรมะ อันเป็นหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนาแล้ว ขอให้ทุกท่านอยู่ในอาการสงบ ตั้งอกตั้งใจฟังด้วยดี เพื่อให้ได้ประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการฟัง ตามสมควรแก่เวลา
อ่า...วันนี้เป็นวันอาทิตย์ วันที่ ๖ เอ้อ ... วันที่ ๑๓ เดือนกรกฎาคม อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันเข้าพรรษา วันที่ ๑๕ นี้ก็จะมีการบวชพระพวกเข้าพรรษาจำนวน ๙๓ รูป บวชวันเดียวเสร็จในวันเดียว เพื่อ (1.06) ว่าจะอยู่จำพรรษาที่นี่ต่อไป สำหรับวันนี้พระที่ลานหินคู้คงจะน้อย แต่อาทิตย์หน้าก็คงจะนั่งเต็มต่อไป ญาติโยมมาทำบุญกันตามปกติ อาตมาเพิ่งกลับมาจากการเดินทางไปต่างประเทศ เมื่อวันที่ ๑๐ เวลา ๒๒ นาฬิกา ๒๒ นาที มาถึงดอนเมือง แล้วก็มีคนไปรับมาวัดเรียบร้อย ตอนนี้ก็ยังรู้สึกว่าง่วงๆ นิดหน่อย เพราะว่าวันที่โน่นกับที่นี่มันผิดกัน ขณะนี้ที่โน่นเป็นเวลากลางคืน สามทุ่มครึ่ง เป็นเวลาที่จะเตรียมนอน แต่ที่นี่มันสามโมงครึ่งเช้า เวลามันผิดกัน เวลาเดินทางนี้ก็ ค่อนข้างนั้น
…... (2.12) หรือ (1.57) นิดๆ หน่อยๆ เพราะว่าเคยฉันตามเวลาที่โน่น เวลาเดินทางมาก็เปลี่ยนเวลาไป ทำให้ท้องไม่ค่อยจะดี แต่เวลานี้มาถึงประเทศไทยเรียบร้อยแล้ว คือฉันอาหารได้ ไปอยู่ต่างประเทศนี้ฉันไม่ค่อยได้ มันเบื่อๆ ยังไงพิกล ก็ฉันผลไม้มากกว่าข้าวเพราะงั้นมาถึงโยมว่า โอ้...ดูท่านซีดไป บางคนว่าดูผอมไป อาตมาบอกว่า ลดความอ้วน (โยมหัวเราะ) ไม่ใช่เรื่องอะไร มันลดไปในตัว ลดความอ้วนไป ทำให้ร่างกายเบาสบาย เพราะว่าหนักแล้วมันก็ไม่ค่อยดี เทอะทะเคลื่อนไหวลำบาก แต่นี้ก็เรียกว่า ถอยหลังไปนิดหน่อย ทำให้ร่างกายสบาย
อันนี้การเดินทางไปต่างประเทศเที่ยวนี้ไปเอานานหน่อย คือออกจากกรุงเทพฯ วันที่ ๑๔ เมษายนขึ้นเรือบิน ซึ่งเช้าวันที่ ๑๕ ก็ไปถึงกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ไปอังกฤษก่อนเพราะว่ามีโครงการจะไปทอดผ้าป่าที่วัดฮานั่ม (Wat Ratanagiri Harnham Buddhist Monastry – ผู้ถอดเทป) ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศอังกฤษ เมื่อไปก็ไปพักอยู่ที่วัดอมราวดี (Amaravati Buddhist Monastery – ผู้ถอดเทป) วัดอมราวดีนี่เป็นวัดที่พระฝรั่งดู ท่านสุเมโธ หรือพระสุเมธมุนีเป็นเจ้าอาวาส มีพระฝรั่งอยู่กัน ๓๐ กว่ารูป ที่ประเทศอังกฤษนี้มีวัดพระฝรั่งอยู่ ๔ วัด คือวัดอมราวดี อยู่เหนือลอนดอน และวัดป่าจิตวิเวก (Chethurst Buddhist Monastery - ผู้ถอดเทป) อยู่ใต้ลอนดอนไปหน่อย และก็วัดเมวอนวิหาร (เดวอนวิหาร) อยู่กลางๆ ประเทศ วัดฮานั่มอยู่ทางตอนเหนือของประเทศ วัดฮานั่มนี่มีปัญหาเรื่องเกี่ยวกับที่ดินเล็กๆ น้อยๆ คืออยากซื้อที่ดินหน้าอาคารของวัดเพิ่มไว้ เพราะว่าถ้าคนอื่นมาซื้อเดี๋ยวเขาจะมาสร้างอาคารบังวัดไป ไปทำให้ไม่สะดวก เลยก็ตกลงซื้อ ขาดเงิน คณะกรรมการมีท่านพลอากาศเอกวรนาถ อภิจารี เป็นหัวหน้า แต่ท่านไม่ได้ไป ให้ลูกน้องไป 2 คน และก็ไปเดินไปร่วมกัน ได้เงินทั้งหมด ๕ หมื่นปอนด์ ก็จะได้ใช้จ่ายสะดวกสบายต่อไป ไปพักอยู่ที่วัดนั้นสองคืนอากาศหนาว อากาศในประเทศอังกฤษปีนี้มันผิดปกติคือ แทนที่ฝนจะตกแบบอังกฤษ ฝนมันไม่ค่อยตก แห้ง พืชพันธุ์ธัญญาหารที่ปลูกไว้ก็ชักจะแห้งๆ คนอังกฤษบอกว่าอากาศแบบนี้ สองร้อยปีมีครั้งหนึ่ง ไม่ได้เป็นบ่อยๆ แต่ปีนี้มันเป็นอย่างนั้น แต่มันก็หนาว ไม่ค่อยจะสะดวกกับผิวหนัง อยู่ไปแล้วมันเป็นผื่นคันตามหัวเข่าตามแข้ง ก็ขอครีมที่เขาทาหน้าทาตัว เอามาทาไว้ แต่มันก็ไม่หาย อยู่อังกฤษสิบเอ็ดวันแล้วก็เดินทางต่อไปกรุงเบอร์ลิน
เบอร์ลินนี้มีบ้านคนผู้มีศรัทธาคือคุณ ศศิธร นครศรี ชื่อเหมือนกับผู้หญิงแต่ความจริงไม่ใช่ เป็นผู้ชาย แกก็เอื้อเฟื้อทุกปี ไปพักที่บ้านแล้วก็ไปแสดงธรรมที่นั่นที่นี่ ก็พารถบริการเดินทางไปต่างจังหวัดไปประเทศอื่น ที่กรุงเบอร์ลินเวลานี้ก็มีวัดพุทธศาสนาอยู่ ๒ วัด เมื่อก่อนมีวัดเดียว พระ ๒ รูปอยู่ด้วยกัน แต่ว่าสถานที่มันไม่ค่อยเหมาะ คือไปอยู่ ... เขาเรียกว่าชั้นล่างของบ้าน คือไอ้บ้านฝรั่งนี้มันมีชั้นล่าง บ้านเราไม่มี ของเขามันขุดลงในดินอีกชั้นหนึ่งเรียกว่า basement อันนี้พระก็ไปอยู่ที่นั่น อาตมาไปเห็นก็บอก เฮ้ย...พระมาอยู่อย่างไง อยู่ใต้ถุนเพื่อน อา...มันไม่ ไม่สวย แล้วสถานที่ก็ไม่ค่อยเหมาะ แต่ว่าเขาได้ย้ายไปหาที่ใหม่ เวลาไปหาที่ใหม่ แทนที่จะไปหาบ้านหลังเดียวและอยู่กันสององค์ กลับไปหาบ้านคนละหลัง องค์หนึ่งไปอยู่บ้านหนึ่ง องค์หนึ่งไปอยู่บ้านหนึ่ง เป็นวัดสองวัดขึ้นมา แล้วพูดกับโยมชาวบ้านว่า โยมนี่ทำไมหาเรื่องให้เป็นทุกข์ล่ะ ทำไมต้องสร้างหนี้ ให้พระอยู่ตั้งสองบ้าน พระสององค์อยู่บ้านเดียวกันก็ได้ ทำไมจะต้องไปหาบ้านสองบ้าน ญาติโยมบอกว่าพระท่านอยู่กันไม่ได้ โธ่ จากสัตว์ (7.53) กันเหมือนกัน อยู่สององค์ยังอุตส่าห์กัดกัน ก็เลยต้องให้ไปอยู่คนละที่ อ่า...มันก็เป็นปัญหา เดี๋ยวนี้ก็ต้องผ่อนส่งบ้านอยู่ตลอดเวลา และต่อมาก็มีเรื่องไม่ค่อยจะเรียบร้อย พระวัดหนึ่งเป็นเปรียญ ๙ ประโยคเลยก็ออกไป ไปพบว่าไปอยู่ที่อเมริกา ไม่ได้ไปอยู่วัดไทย ไปอยู่วัดเขมร นี่วัดเขมรก็คือบ้าน พระเขมรนะ ไม่ได้เป็นวัดอะไร อยู่บ้านธรรมดา เลยทางนี้ก็เป็นสองวัด อันนี้ท่านเจ้าคุณที่เกี่ยวข้องอยู่วัดราชโอรส ท่านก็ไปจัดการ เรียกว่าทำให้เรียบร้อย แยกกันออกไป องค์หนึ่งไปอเมริกา องค์หนึ่งยังอยู่ แล้วก็ส่งพระไป ๕ รูป องค์ที่เป็นหัวหน้าอายุ ๗๒ แก่แล้ว ก็ท่าทางเป็นผู้ใหญ่และอีก ๔ รูปนั้นเป็นพระหนุ่ม เป็นเปรียญมีความรู้ แต่พระหนุ่มนี่พอไปอยู่แล้ว วางแผนบอกว่าวัดนี้มันอยู่ในกำมือของชาวบ้าน เงินทองอะไรเขาถือหมด เราจะใช้จ่ายตามชอบใจก็ไม่ได้ เราสี่องค์อย่าไปยุ่งกะหลวงตาเลย เราสี่องค์เป็นสงฆ์แล้ว ต้องดึงวัดมาเป็นของพระ เลยก็ทำเรื่อง ทำเรื่องเพื่อจะเอาวัดมาเป็นของพระให้มันถูกต้อง ผลที่สุดทั้งสี่องค์กระเด็นกระดอนไปกลับเมืองไทย ให้เหลืออยู่แต่หลวงตาองค์เดียว อาตมาก็ไป ไปแสดงธรรม คนเขาก็มากัน มาประชุมกันฟังธรรมก็เต็ม เต็มวัดแล้วเพราะว่าวัดมันบ้านหลังเดียว ที่นั่งมันก็เต็มแล้ว เทศน์ให้ฟัง แล้วไปอีกวัดหนึ่งก็มีพระสององค์ องค์หนึ่งเป็นธรรมยุต ไปอยู่ร่วมกับมหานิกาย แก่แล้ว ไปอยู่ด้วยกัน ไม่เป็นอะไร ไม่กัดกัน เพราะองค์หนึ่งหมดกำลังจะกัดแล้ว ก็เลยอยู่กันได้สบาย สภาพมันเป็นอย่างนั้น
อันนี้คนที่อยู่นครเบอร์ลินนี้ส่วนมากก็เป็นสุภาพสตรี ไปทำมาหากินที่นั่น อยู่ที่เบอร์ลินได้สามีเป็นฝรั่ง บางคนก็เรียบร้อย แต่บางคนก็ไม่ค่อยจะเรียบร้อยเท่าใด เขาบอกว่าคนไทยเรานี่ ถ้าวันหยุดงานต้องไปที่สวนสาธารณะ หลวงพ่อไปดูก็ได้ เลยก็บอกคุณศศิธรว่าไปดูหน่อยสิ สวนนั้นเป็นยังไง ไปถึงโน่นเจอเป็นวง เป็นวงๆ นั่งกัน เขาคุ้นเขาญาติมีการนะ …... (10.43 หรือ 12.19) เป็นวงๆ มีหลายอย่างทำทุกอย่าง เล่นการพนัน หลวงพ่อไปครั้งแรกก็ไปยืนชิดวงเลย พวกนั้นกำลังสู้เพลินน่ะ คนหนึ่งหงายหน้า เอ้า...หลวงตา เลยถามว่า หลวงตามาจากไหน บอกว่ามาจากสวรรค์ (โยมหัวเราะ) มาโปรดพวกเธอทั้งหลาย เพื่อให้ได้พ้นจากนรกหน่อย เขาบอกว่ามันว่างงาน ว่างงานไม่รู้จะทำอะไร ก็เลยมาแจกไพ่กันเล่น ไม่ใช่เล่นกันเปล่าๆ แพ้ชนะกันคนละมากๆ บอกว่าเนี่ยคนโง่ละมา …... (10.31 หรือ 11.59) ใช้เวลาว่างในการสนุกสนานเฮฮา คนฉลาดเขาหาความรู้ใส่สมอง นี่พวกเรามาอยู่ประเทศเยอรมันนี่ เรียนภาษาเยอรมันบ้างไหม ไม่ต้องใช้ภาษาใบ้กับผัวและพูดจากันรู้เรื่องบ้าง เขาไม่ค่อยคิด เป็นนิสัยติดไปจากเมืองไทย เวลาขึ้นเรือบินที่ดอนเมืองนี่ ไอ้ตัวผีๆ ทั้งหลายน่าจะทิ้งไว้ที่ดอนเมือง ให้มันเที่ยวเพ่นพ่านอยู่แถวนั้น แต่นี่เอาไปด้วย พาไปด้วย พาไปเลี้ยงไว้ที่ประเทศเยอรมัน แล้วถึงวันก็ต้องไปเลี้ยงผีหน่อย ไปเล่นการพนันกัน อยู่กันอย่างนั้นแหล่ะ แต่ถึงบางคราวก็มาช่วยวัดเอาบุญ มาวัดก็มาตามแบบคนทั่วๆ ไป ไม่ได้มาวัดเพื่อการศึกษาหาความรู้ความเข้าใจในด้านธรรมะ มาให้พระดูดวง ดูหมอ รดน้ำมนต์ สะเดาะเคราะห์ อะไรอย่างงั้น พระท่านก็ทำปลอบใจคนเหล่านั้นเพราะยังอยู่ในสภาพปัญญาอ่อน ยังไม่แก่กล้าอะไร แต่ก็พออยู่กันไปได้ พักที่เบอร์ลิน ๓-๔ คืน แล้วก็เดินทางต่อไป ไปด้วยรถยนต์ของเจ้าของบ้าน ไอ้รถคันนั้นน่ะ ไปทุกปี พาไปนู่น เขาเรียกว่า มึนเช่น ภาษาฝรั่งเรียกว่า มิวนิค
เมืองมิวนิคนี่เป็นเมืองใหญ่ ตึกรามบ้านช่องใหญ่โตเหมือนกับกรุงเบอร์ลิน แต่ว่ามันดีอย่างหนึ่งไม่ถูกระเบิด เบอร์ลินนี่เป็นเมืองหลวง ฮิตเลอร์บงการอยู่ที่นั่น แต่ว่าตัวฮิตเลอร์เองน่ะเวลาเกิดสงครามนี่ แกบงการอยู่ใต้ดินโน่น ขุดอุโมงค์อยู่ลึก ๒๕ เมตรน่ะ ไม่ใช่น้อยนะโยมนะ คิดดูว่าเมตรน่ะ ถ้า ๒๕ เมตรขนาดไหนลึกไปใต้ดินไปอยู่ในนั้น ไฟสว่างไสว เป็นบ้านเป็นช่องเป็นกองบัญชาการ มีอาหารการกินกักตุนไว้เผื่อปืนใหญ่จะยิงก็ไม่ถูก ยิงไปก็ตกที่สวนสาธารณะ ระเบิดก็ไม่ไปถึง ทิ้งลูกระเบิดก็ไม่เป็นไร ป้อมแก่ป้อมเบอร์ลินนี่คือฮิตเลอร์อยู่ แต่ผลที่สุดก็แพ้ แพ้สงคราม แพ้เพราะว่าไปรบรัสเซีย ไอ้เมืองรัสเซียนี่เป็นเมืองอาถรรพ์ ใครไปรบแล้วก็บุกเข้าไป บุกเข้าไปรัสเซียมันก็ถอยๆๆ ให้ลึกเข้าไปในกลางประเทศใกล้ถึงมอสโคว์ พอถอยมาเต็มที่ก็รัสเซียก็เริ่มโต้ เวลาโต้นี่เป็นฤดูหนาว ประเทศรัสเซียมันหนาวมาก หิมะตกเต็มบ้านเต็มเมือง และเวลาถอยนี่ ทำลายหมด บ้านช่องเผาหมด ไม่มีอะไรให้กินนอกจากถ่านไฟ อันนี้พอถอยไม่มีที่พัก ไม่มีอาหาร ไม่มีอะไร....แพ้ นโปเลียนก็ฮึกเหิมใจกลับประเทศ ไหนๆ มาได้ เอ้า ต้องมารบรัสเซีย ปราบรัสเซีย ถูกรัสเซียตีโต้....แพ้ นโปเลียนก็เลยถูกจับปล่อยเกาะ แต่ทีหลังหนีจากเกาะขึ้นมาได้ รบกันอีก แต่ก็ยังแพ้ นี่...เขาเรียกว่า ธรรมะมันชนะอธรรม ฝ่ายอธรรมชอบรุกรานคนอื่น ทำให้คนเดือดร้อน ธรรมะก็เป็นผู้ปราบ เขาก็ปราบอยู่ นโปเลียนก็ต้องถูกจับได้ปล่อยเกาะอีก ตายในเกาะ (16.04) ฮิตเลอร์ก็อยู่ในใต้ดินนั้น ข้าศึกรุกเข้ามาล้อมกรุงเบอร์ลินแล้ว ไปไหนไม่ได้ เลยทำพินัยกรรม แต่งงานด้วย แต่งอ่ะ (16.17) เผื่อว่าแฟนนะ ยังไม่ได้แต่งงานแต่ว่าบอกเขาแต่งงานกันหน่อย เอ้า มาแต่งงานจดทะเบียน เป็นสามีภรรยาตามกฎหมายวันเดียว แล้วก็ฮิตเลอร์ฆ่าตัวตาย ฆ่าภรรยาตายด้วย แล้วคนที่สนิทชื่อ เซิร์ทเด้น (16.47) เป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงประชาสัมพันธ์ ทำงานมาตั้งแต่เที่ยวแบกป้ายนั้น แบกป้ายหนังน่ะ ไปเที่ยวติดที่นั่นที่นี่ ทำมาตั้งแต่เริ่มต้นจนกระทั่งพรรคเป็นใหญ่ได้ครองเมือง ก็มีความจงรักภักดีต่อฮิตเลอร์ ไม่ไปไหน คนอื่นเขาหนี พอเห็นว่าฮิตเลอร์จะไปไม่รอดก็หนีกันไป แต่คนนี้ไม่หนี ตาย ฆ่าลูก ๖ คนตายหมด แล้วก็ฆ่าตัว ฆ่าเมีย ฆ่าตัวเองตายในที่ใต้ดินเหมือนกัน แสดงความจงรักภักดีต่อนาย ก็เป็นคนใช้ได้ สงครามก็แพ้ เบอร์ลินก็ถูกทำลายเสียหาย แต่เวลานี้กำลังสร้างใหม่ สร้างกันเป็นการใหญ่เพื่อย้ายเมืองหลวงกลับมาเบอร์ลิน เดี๋ยวนี้ไปอยู่ที่บอนน์ เมืองเล็กๆ ไม่กว้างขวาง จะต้องย้ายกลับมา เบอร์ลินถึงจะคึกคักต่อไป
อันนี้เมืองมึนเช่นนี่ มันเป็นเมืองหลวงของเขาเรียกว่า รัฐบาวาเรีย สมัยก่อนเยอรมันหลายรัฐแตกกัน แต่ทีหลังมาเขารวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ในสมัยพระเจ้าเฟรเดอริกมหาราชได้ขุนพลที่สำคัญคือ บิสมาร์ค รวมเยอรมันเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันหมดเลย แล้วเมืองนั้นก็ไม่ถูกทำลายมีพระราชวังโบราณใหญ่โต มีตึกสูงๆ ใหญ่ๆ ไปดูแล้วละลานตา มีอะไรดีๆ ก็มีพระไปอยู่ที่นั่นองค์หนึ่งชื่อ มหาสุทัศน์ เป็นเปรียญ ๗ ประโยคอยู่วัดมหาธาตุ ไปอยู่เรียกว่า ไปสร้างวัดไทยที่ในเมืองมึนเช่น ยังไม่เป็นวัดสมบูรณ์ คือเช่าไว้ เช่าบ้าน เช่าเดือนละสี่พัน โอ้ย....เดือนละสี่พันมาร์ค มันก็ไม่พอใช้ ต้องหาเงินให้เขาได้ ญาติโยมก็มาทำบุญสุนทาน อาตมาไปพักอยู่นั่นก็นัดคนมาฟังเทศน์เกือบทุกวัน อยู่กันไป บอกไปเมื่อไหร่จะได้ หาที่หายาก ที่ดินในเมืองนั้นมันแพง จะซื้อก็ลำบาก... แพง ก็ต้องทนอยู่ แต่ว่าปีนี้ครบสัญญาเจ้าของจะให้ต่อหรือเปล่าก็ยังไม่รู้ เป็นลูกผีลูกคนอยู่ตอนนี้ แต่ก็อยู่กันไป บ้านเมืองเขาคึกคักใหญ่โต กะจะไปหาที่ดินสร้างวัด ไม่ต้องเอามากนัก เอาเท่าบริเวณโรงเรียนก็แย่แล้ว เงินมันไม่พอ ก็เลยพักนี่นั่น สมควรเวลาก็ออกเดินทางต่อ ไปประเทศสวิสเซอร์แลนด์ เวลาเข้าไปมึนเช่นนี่ไปเห็นในทุ่ง เขาปักไม้เอนๆ ไว้ มากมายก่ายกอง เอ้....ทำอะไร จะเป็น (ค้าง)ร้าน (19.52) ต้นไม้ มันก็ใหญ่ ขนาดใหญ่โตพอสมควร บอกนี่...เขาปลูกพืชชนิดหนึ่ง ซึ่งเอาไปทำเบียร์ เมืองไทยก็สั่งพืชชนิดนั้นมาทำเบียร์ เบียร์บุญรอด ที่เราเขาคนกินอยู่ทั่วไป พอปลูกมากเป็นทุ่งๆ เลย แต่ตอนนี้มันยังไม่ขึ้น เห็นแต่ค้าง (ร้าน) น่ะ มากมายก่ายกอง ออกเดินทางจากมึนเช่นก็ไปประเทศสวิสเซอร์แลนด์
ไปสวิสเซอร์แลนด์นี่ก็ไปพักอยู่ที่วัดไทยเรียกว่า วัดศรีนครินทรวราราม (Wat Srinagarindravararam – ผู้ถอดเทป) ชื่อสมเด็จย่า เพราะสมเด็จย่าเป็นอุปฐากรายใหญ่ ให้สร้างวัด สร้างเป็นตึกสองชั้น สามชั้น ทั้งชั้นล่างก็พออยู่สะดวกสบาย สถานที่เหมาะและก็เป็นของเราเอง อาตมาก็สะดวกมาก สมภารไม่อยู่กลับมาเมืองไทย แต่มีองค์รองเป็นด๊อกเตอร์เหมือนกัน ก็ต้อนรับขับสู้ดี นัดคนมาฟังเทศน์กันตามเวลาสองครั้งสามครั้ง แล้วก็วันหนึ่งใกล้วันวิสาขบูชา ไปที่อีกเมืองหนึ่ง เขานัดคนมาประชุมที่ห้องประชุมของโรงเรียนของศาสนาเขา เจ้าเขาไปประชุมทำบุญสุนทานกัน ถวายข้าวพระ ฟังธรรมเทศนา แล้วเขาจะเวียนเทียน บอกว่าจะเวียนยังไง เทียน ให้เวียนรอบตึกนี้มันก็ไม่ได้ เขาบอกเวียนในนี้ บอกไม่ต้องเวียนในนี้ทำเป็นเด็กเล่นมากไปหน่อย มันไม่มีสถานที่จะเวียน บอกไม่ต้องเวียนนะ เอ้า กล่าวคำบูชาระลึกถึงการตรัสรู้ การประสูติ นิพพานของพระพุทธเจ้าก็พอแล้ว นิมนต์พระไปหลายองค์ พระฝรั่งก็ไปด้วย แล้วก็กลับมาพักที่วัดตามเดิม ในชีวิต ...... (22.17) ไม่มีพระฝรั่งอยู่วัดหนึ่งชื่อ วัดธรรมปาละ อยู่ใกล้ภูเขา ดูภูเขาใหญ่สูงเห็นก็แล้วน่ากลัว ถามว่า แหม...อยู่ตรงนี้ น่ากลัวมั๊ย ถ้าภูเขามันพังลงวันไหน ก็ทับเราแบนไปตามกัน....พระบอกว่ามันไม่พัง หินก้อนมันใหญ่มันไม่พัง ถ้าพังมันพังนานแล้ว นี่ไม่เป็นไร แต่ถ้าฤดูหนาวนี่หิมะพัง เพราะมันมีหิมะเกาะอยู่ตามโขดหิน มันก็หล่นลงมาบ้าง แต่ก็ไม่เป็นไร อ่า...วัดนั้นเป็นที่สงบเงียบดี มีพระ ๓ รูป พูดภาษาเยอรมัน เพราะตรงนั้นคนพื้นบ้านเขาพูดภาษาเยอรมัน เป็นสวิส สวิส(เซอร์แลนด์ – ผู้ถอดเทป)นี่มันพูดภาษาเยอรมันก็มี พูดฝรั่งเศสก็มี พูดอิตาเลี่ยนก็มี เพราะว่าไปเก็บของประเทศนั้นของประเทศนี้มารวมกันเป็นสวิส เขาอยู่กันเรียบร้อย บ้านเมืองสงบสะอาดไม่มีโจรผู้ร้าย ทำให้เราไม่ต้องกลัวใครจะมาจี้มาปล้น เพราะคนเขาดีเขาอยู่ในศีลในธรรม ประพฤติดีประพฤติชอบ นับว่าสะดวกสบาย แถวนี้ไม่ได้ไปนอนที่วัดธรรมปาละ เพียงแต่ไปเยี่ยมแล้วกลับมานอนที่วัดศรีนครินทรวราราม อยู่ที่นั่นสมควรเวลาก็ออกเดินทางไปประเทศฝรั่งเศส
ไปฝรั่งเศสก็พอข้ามแดนก็เป็นฝรั่งเศส เป็นทุ่ง ทุ่งนาทั้งนั้น ปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหาร จนกระทั่งไปถึงปารีส ที่ปารีสนี้เมื่อก่อนมันมีวัดอยู่ ๒ วัด ๆ พระไทยอยู่ทั้งสองวัด แล้วก็มีวัดลาว มีพระลาวอยู่ ก็เคยไปฉันเพลวัดพระลาว แต่เดี๋ยวนี้วัดพระลาวนั่นที่รู้จักกันนั่นเขาย้ายออกไปนอกเมือง ไปซื้อที่ใหม่ ไม่อยู่ในกลางกรุงปารีส เพราะมันแออัดยัดเยียดไม่สะดวก เขาไปซื้อที่ใหม่ไกลออกไป ก็เลยไม่ได้ไปเยี่ยม แต่วัดที่เคยไปพักนี่มีพระไทยอยู่ ๒ องค์ พระที่อยู่สององค์นั้น องค์หนึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์ คือเป็นหม่อมราชวงศ์ เป็นหลานเสด็จในกรมพระนครสวรรค์ชื่อ ม.ร.ว.บริพันธุ์ พูดฝรั่งเศสก็ได้ พูดญี่ปุ่นก็ได้ แล้วก็มาบวชในพุทธศาสนา แกไปอยู่ที่นั่น ก็อยู่ได้รับความสะดวกสบาย คนลาวก็มา คนไทยก็มา ที่นี้ก็มีพระไปจากเมืองไทยนี่ อยู่ในทุ่งแถวนี้ แถวรังสิตนี่ เป็นพระครู พอไปอยู่เข้า คบคิดกับคนลาว บอกว่าคนลาวทำบุญวัดนี้มาก วัดนี้ควรจะเป็นของลาว พระไทยไม่ควรมาอยู่ อ้าว....เลยเปลี่ยนกุญแจประตูหมด แล้วก็ปิดประตูไม่ให้พระไทยเข้า ด้านพระไทย ม.ร.ว.นั้นก็ต้องเผ่นหนีไปอยู่บ้านญาติที่เขาซื้อไว้นอกกรุงปารีส ไปเยี่ยมก็เลยไม่เจอ ถ้าเห็นกำลังพัฒนารื้อกำแพงทำที่ให้มันกว้าง และบอกว่าจะผูกพัทธสีมา อ้า คือนึกว่าเหมือนเมืองไทย ถ้าผูกพัทธสีมาคนจะได้มาปิดทอง จะได้เงิน เอ้อ...เรียกว่าแบบไทย แบบไทย ถ้าผูกพัทธสีมาก็ได้เงินเป็นล้าน สองล้าน สามล้าน แต่ที่นี่นั้นคนมันไม่มาก จะไปเอาอะไรนักหนา เลยบอกว่ามันอย่าไปฝังให้มันใหญ่โต ฝังในนี้ วางพอเป็นพิธี ๔ รูปก็พอ ไม่ต้องเอา ๙ รูปล่ะ ความจริง ๔ รูปก็ได้ แต่มันต้องเก้าเพราะว่าจะได้ปิดทองหลายแผ่น จะได้เงินมากขึ้นหน่อย อย่างนั้น... และคนมักถือว่าไอ้ลูกกลางนี่สำคัญ ความจริงไม่ได้เรื่องอะไรลูกกลาง เพราะมันไม่มีความหมาย มันความหมายมันอยู่ที่ลูกตัวนอก เหมือนกับรั้ว สีมาก็คือรั้วบ้านนี้ ปักเขตไว้เอาหินปักให้มันแข็งแรงหน่อย แต่คนไปยึดติดไอ้ลูกกลาง ที่คนยึดติดก็ไม่ใช่เรื่องอะไร เรื่องพระเราโฆษณาให้คนหลงให้คนติด จะล่อเอาเงินโยมนั่นเองเลยเพราะความเข้าใจผิดติดนิสัยมาจนกระทั่งบัดนี้ ยังแก้กันไม่ได้ ก็เลยได้ข่าวว่าผูกพัทธสีมาเมื่อไหร่ …... วัดพุทธ พุทธเมตตา
วัดพุทธเมตตานี่อยู่ริมแม่น้ำ ...แม่น้ำไรน์ ...แม่น้ำไรน์ก็เหมือนแม่น้ำเจ้าพระยาของเรา เป็นแม่น้ำในกรุงปารีส มาอยู่คนละฝั่ง.....คนละฝั่ง ก็พระนั้น พระที่เป็นสมภารน่ะเป็นพระลาว เป็นศิลปินวาดภาพเก่ง ปั้นรูปเก่ง พระพุทธรูปวางไว้บูชา โอ๊ย...ปั้นสวย ใครปั้น? ผมปั้นเอง อาตมา...อ่อ ใช้ได้ ปั้นพระพุทธรูปสวย เขียนลวดเขียนลายอะไรดี พระอยู่กัน ๓ รูป พระหนุ่มองค์เดียว พระแก่สอง พระแก่องค์หนึ่งนั้นเป็นเชื้อเขมรแต่อยู่ในประเทศลาว อีกองค์หนึ่งนั้นก็เป็นพ่อของพระหนุ่มนั่นเอง บวชเป็นพระอยู่ บวชที่อื่น แล้วก็มาเยี่ยมลูกชายก็อยู่ด้วยกัน ก็นัดคนมาฟังธรรมกลางคืน ได้สนทนาธรรมอะไรกัน ก็สะดวกสบายดี อ่า...พักที่นั่นและก็มีคนเขารู้ เขาก็มาเยี่ยมมาเยียน มาไต่ถาม สนทนาธรรมะอะไรกันเหมือนกัน ที่กรุงปารีสนี่มีวัด วัดพวกเวียดนาม พระสงฆ์ (29.05) พระชื่อพระดูง ชื่อดูง ชื่อภาษาเวียดนามชื่อดูง แต่ว่านุ่งห่มแบบพระไทย เคยอยู่วัดเบญจมบพิตร แล้วก็ไปสร้างวัดอยู่ที่นั่น คนญวนมาก ญวนอพยพไปอยู่กรุงปารีสหลายแสน แต่ก็อยู่กับคนญวนนะ นำพวกเราไปฉันอาหารที่เป็นร้านญวน ๒ ครั้ง แล้วแกก็มา มาสนทนามาอะไรกันไปตามเรื่อง นี่ที่กรุงปารีส แล้วก็มีวัดเขมรแท้ๆ เป็นคนละองค์วัดหนึ่งเป็นสังฆราช สังฆราชปกครองตัวเองนะ ก็ไม่มีลูกน้องจะปกครอง นโรดมสีหนุไปตั้งให้ ท่าน…… (30.04) ท่านเป็นสังฆราช ก็เป็นตามนโรดมว่านะ ท่านนโรดม ตั้งให้ (28.56) ท่านก็เรียกว่าไม่ค่อยจะสมบูรณ์เท่าใด ...... ก็อยู่กันอย่างนั้น ชาวบ้านได้ไปทำบุญสุนทานกันอยู่ พระที่ไปด้วยคือ พระมหาพนม ก็ไปเที่ยว บอกว่าหลวงพ่อไปไหม หลวงพ่อไม่อยากเที่ยวแล้ว อยากนอนวัดมากกว่า อ่านหนังสือหนังหาเท่าที่มี ส่วนใหญ่แกก็ไปเที่ยวดูนั่นดูนี่ตามเรื่อง อยู่นั่นสมควรเวลาก็วันที่ ๑๕ พฤษภาคม ขึ้นเรือบินที่กรุงปารีส เรือบินฝรั่งเศสก็นั่งสบาย เขาจัดที่นั่งให้ดี บินไปชิคาโกใช้เวลาบิน ๘ ชั่วโมง พอไปถึงชิคาโก ไม่มีใครมารับซักคนเดียว สองครั้งแล้ว คราวก่อนไปก็ไม่มีคนมารับ นึกว่า เอ...ไม่มีใครมารับ ขึ้นเรือบินกลับเสียทีดีไหม แต่มันขึ้นไม่ได้ ตั๋วหมดเสียแล้ว ก็ยืนรอ รอ รอ นึกว่าเขาจะไม่รับมารับ ปีก่อนน่ะ ไม่มีใครมารับ เลยนั่งแท็กซี่ แท็กซี่ก็เป็นคนชาวอินเดียเป็นคนขับ บอกชื่อ บอกสถานที่ให้ แล้วบอกว่ารู้นะ... รู้... แล้วก็แวะที่ปั๊มน้ำมัน ถาม ถามว่าวัดนี้อยู่ตรงไหน ความจริงใกล้แล้ว เขาก็บอกให้ออก จากนั้นไปก็พบแล้ว พบวัด (30.23) เสียเงินไป ๓๕ เหรียญ พวกไม่ไปรับ ปีนี้เอาอีกแล้ว ความจริงก็คุณศศิธรโทรศัพท์ไปบอกแล้ว บอกว่าวันนี้เวลา ๑๖ นาฬิกา เรือบินมาถึงนครชิคาโก คนรับสายเป็นคนผู้หญิงเพิ่งไปจากเมืองไทย แกนะ แกก็นึกวันที่ ๑๖ น่ะ ไอ้ ๑๖ นาฬิกาน่ะแกเข้าใจว่าวันที่ ๑๖ แล้วแกไปเขียนไว้ในตารางว่าวันนี้ ๑๖ นาฬิกา อ้อ...วันที่ ๑๖ ท่านเจ้าคุณปัญญามาถึงชิคาโก ก็เลยไม่มีใครไปรับ นัดกันจะไปรับวันที่ ๑๖ ทั้งนั้น อาตมานั่งรอ รอ รอ รอกันจนเหนื่อยนะ เอ...ไม่มาแล้ว ไปแท็กซี่ เลยเรียกแท็กซี่มา มันรู้ทางดีแต่มันคิดแพงกว่าปีก่อน คือคิดเอาถึง ๕๓ เหรียญ แต่พอไปถึงวัด ดูสตางค์ในกระเป๋ามีไม่ถึงนะ มีอยู่ ๔๐ กว่าเหรียญ บอกโอ้...ฉันมีเท่านี้ เอาไปเถอะ มันก็ว่าไม่เป็นไร อ่า...ตามจริงมันเอาเกินแล้ว ก็เลยให้มันไป ก็แล้วยกกระเป๋า หิ้วเข้าไปในวัด พวกนั้น เอ้า...หลวงพ่อมายังไง...ก็มาเรือบินสิ (โยมหัวเราะ) ก็ไม่มีใครไปรับ ก็ไม่เห็นซักตัว ไม่มีใครไป ปีก่อนก็ไม่รับ ปีนี้ก็ไม่รับ ปีหน้าไม่รับอีกแล้วก็ไม่ต้องมาอีกต่อไป...ว่าอย่างงั้น (โยมหัวเราะ) เราก็บ่นกันใหญ่ บอก เอ้....พรุ่งนี้นัดกันไว้หลายคนจะไปรับ รถหลายคัน....พรุ่งนี้ไปรับอะไร มาถึงแล้ว เรียบร้อยแล้ว เอ...เป็นอย่างนั้น ก็เลยไม่ว่าอะไร คุยกันสนุกๆ กันนั่นเอง ก็ไม่ได้ยึดถืออะไร มาแล้วก็ใช้ได้ พอดีปัจจัยมันมีอยู่เท่านั้นก็ให้มันเลย..? (32.28) มีเท่านี้...มันก็พอใจเอาไปเท่านั้น ใช้ได้
?...... (32.37) ไปพักอยู่ที่วัดพุทธธรรมที่ชานเมืองชิคาโก มันไม่ใช่เมืองชิคาโกแท้ เขาเรียกว่าชานเมือง คือมันมีเมืองใหญ่และเมืองเล็กเมืองน้อยรอบๆ กันหลายๆ เมืองด้วยกัน ยังไม่เจริญเท่าใดเมืองที่ไปอยู่ เพราะน้ำประปาไม่มี ใช้น้ำบาดาล น้ำมาก็มีกลิ่นคาวๆ เหมือนกับสาบโคลน ลองอาบเข้าไปตามเรื่อง ส่วนน้ำดื่มนั้นไปซื้อน้ำใส่ขวดมาไว้ดื่ม ก็พออยู่ได้ บอกว่า แหม... เมื่อไหร่น้ำประปาจะเข้าที ไอ้ฝั่งถนนซีกโน้นมีประปา ไอ้ซีกนี้ไม่มี เมืองฝรั่งนี่มันก็ปิดเหมือนกัน คนฝั่งนี้เป็นคนกะเหรี่ยงบ้านนอกเว้ย ไม่มีน้ำประปาให้ใช้ แต่ก็อยู่กันได้ อ่า...เป็นงั้น อันนี้สภาพวัดมันก็เหมือนเดิมน่ะ พระอยู่กันทำงานไปตามหน้าที่ แต่ว่ามันเกิดปัญหาบางประการ ชาวบ้านเกิดแตกแยกแตกร้าว คือ (33.45) ที่แตกแยกนี่ไม่ใช่เรื่องอะไร ชาวพุทธที่นั่นมารู้จักพระองค์หนึ่ง เป็นด็อกเตอร์แน่ะ ไอ้ด็อกเตอร์ ด็อกเตอร์นี่ก็ไว้ใจไม่ค่อยได้ ไอ้ด็อกเตอร์ก็นึกว่า เอ่อ...พระองค์นี้พูดฝรั่งเก่ง เอาไปไว้นู่นจะได้พูดธรรมะกับฝรั่ง อาตมาก็ช่วยวิ่งเต้นติดต่อไปขอกับสมภารวัดพระบาทตากผ้า เวลาไปขอนี่บอกว่า วันนี้มาขอลูกสาว ท่านบอกว่า ผมไม่มีลูกสาว บอกว่ามีพระที่มีความรู้ จะขอนิมนต์ให้ไปอยู่ที่ชิคาโก อ๋อ...อย่างงั้นเรอะ ก็เจ้าตัวเขาไปไหมล่ะ ...เขาไป...ตกลงกันแล้ว เอ้า...ถ้างั้นก็ไม่ขัดข้อง อ้า ก็เลยตกลงได้ ก็ไปช่วย ไปสองครั้งสามครั้ง เพื่อให้ได้หนังสือเดินทาง แล้วก็พาไปอยู่นั่น ไปอยู่ ๑ พรรษาแล้ว พอไปอยู่หนึ่งพรรษานี่ปรากฏว่าไม่เรียบร้อย คือทำให้ชาวบ้านแตกน่ะ แตกพรรคแตกพวกไป ถือองค์นั้นองค์นี้ พระยุ่ง (35.06) แล้วก็พระที่อยู่ก่อนชื่อ ท่านวรศักดิ์ เคยอยู่สวนโมกข์ตั้งยี่สิบกว่าปี พูดอังกฤษได้ สอนฝรั่งได้ ก็สอนๆ มา ก็รวบรวมคำสอนไว้พิมพ์เป็นหนังสือเล่ม เลข? (35.22) ให้ชื่อว่า “Suffering No Suffering” (35.25) แปลว่า “ทุกข์ไม่มีทุกข์” ชื่อดีน่ะ เล่มใหญ่เนี่ยอ่ะ ตอนนี้ท่านด็อกเตอร์คนนี้ไปถึงเห็นบอกว่า อืมม์...หนังสือนี้ใช้ไม่ได้ ผิด ผิดคำสอนของพุทธเจ้า คำสอนนี้ไม่มีในคัมภีร์พุทธศาสนา อ้าว...ว่าเข้าไปนั่น แล้วไม่ได้ว่าไม่ใช่ บอกชาวบ้าน หนังสือนี้ใช้ไม่ได้ โพนทะนาไปเที่ยวพูด แล้วไปรัฐอื่นก็ไปเที่ยวพูด บอกว่าหนังสือนี้ไม่ถูก ผิดหลักพุทธศาสนา ทำไมทำอย่างนั้น ก็นั่งฉันข้าวด้วยกันทุกวันๆ ทำวัตรเย็นด้วยกัน แล้วมาคุยกันหน่อยไม่ได้รึ บอกนี่ หนังสือคุณมันผิดนะ ตรงนี้ไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า อ่ะ...ไม่ยักพูด แต่ไปเที่ยวโพนทะนา เวลาเขาประชุมพระ เขาเรียกว่า สมัชชา แกก็ไปน่ะ ไปแล้วก็ไปพูด ไปให้พระองค์หนึ่งเป็นมหาป. (เปรียญ – ผู้ถอดเทป) ๙ ประโยค ลุกขึ้นพูดโจมตี หลวงพ่อนั่งเป็นประธาน แกบอกว่า หนังสือนี้ไม่มีตัวคนเขียนอยู่ในที่นี้ เราจะวิพากษ์วิจารณ์ลับหลังผู้เขียนมันไม่ถูกต้อง เพราะเขาไม่มีโอกาสจะอธิบาย ไม่ควรจะเอามาพูด อ้า...เลยนั่งลง แล้วก็บอกว่า อืมม์...ถ้าหลวงพ่อไม่ขัดคอน่ะ จะมีพระโจมตีอีกหลายองค์ ว่า ไอ้พวกพระปัญญาอ่อนมีหลายองค์ เลยก็ไม่ได้โจมตี ก็เป็นเรื่องของพระองค์นี้ที่ไปทำอย่างนั้น ไปยุแล้วมาเมืองไทยก็เที่ยวพูดบอกว่า หนังสือชื่อนี้ของพระองค์นี้ ใช้ไม่ได้ อย่าเอามาอ่าน อย่าเอามาเรียน อ้อ...ไปกันใหญ่ เหลวไหลมากสิ้นดี ไม่ได้เรื่อง อาตมาก็นั่งคิดในใจว่า เอ...จะทำยังไงน้า ที่จะให้ออกไปจากวัดนี้นะ ไอ้เราจะขับไล่ไสส่งมันก็ไม่สมควร หาอุบายอยู่ พอดีประธานสมัชชาอยู่นครนิวยอร์กส่งจดหมายมาขอนิมนต์ท่านด็อกเตอร์นั้นให้ไปอยู่วัดพรหมคุณาราม .... สูตร....(39.30) วัดที่พระถูกยิงตายเก้าคนนะ ให้ไปอยู่วัดนั้นนะ ไปเถียงกับพวกนั้น (37.58) เลยเอามาให้หลวงพ่ออ่าน เขานิมนต์ผมอ่ะ... แล้วคุณพอใจมั๊ย... พอใจ... อ่ะ ดี อนุมัติ อาตมาก็บอกว่าตามที่ประธานสมัชชาขอนิมนต์ท่านด็อกเตอร์ให้ไปอยู่ที่นั่น อนุมัติ...เบาใจเลย ให้ไป เอ้า...มันเกิดปัญหาอีก ชาวบ้านที่เลื่อมใสแบบโง่ๆ นั้นมันมีอยู่ ก็เกิดเที่ยวล็อบบี้ ภาษาบ้านเราก็หมายความว่า เที่ยวชักจูง โน้มน้าวจิตใจให้เข้าชื่อกันไม่ให้พระองค์นี้ออกไป พูดหลายครั้งหลายหน หลวงพ่อบอกว่า เรื่องของพระชาวบ้านอย่ามายุ่ง พระจัดการกันเอง ญาติโยมไม่ต้องยุ่ง อ่ะ.. .เลยพับไป (38.49) ผลที่สุดก็ไม่ค่อยนอนวัด ไปนอนที่ไหนก็ไม่รู้ ถามว่าไปไหน... ไปปฏิบัติศาสนกิจ แหม... ศาสนกิจที่ไหนก็ไม่รู้ แล้วก็ไปอวดวิเศษ กำลังจักรวาล ..... มาก...ใหญ่โต (39.09) เที่ยวทำมา ถ้าใครเจ็บไข้ได้ป่วยอย่ามาเชียวนะ (โยมหัวเราะ)... กำลังจักรวาล เอามาจากไหนก็ไม่รู้ ไอ้กำลังจักรวาลนี่ มันมีในคัมภีร์พระพุทธเจ้าหรือเปล่า ก็ไม่รู้ ไม่มีอ่ะ จะทำน่ะ คนโบราณน่ะ สมมติว่าเราเป็นบวมนะ บวมที่หน้าแข้ง จีวรเก่านี่ มีหมอคนไทยโบราณ เขาเรียกว่าปัดเป่า ทั้งปัดทั้งเป่า รายการสาระ (เสียงเป่า) ...... (39.44) …... เป่า แต่นี่ปัด ต้องเอามือทำ … (เสียงครืด) ... ถ้าเป็นที่มือก็ลูบ (39.54) ลูบไป…...ให้มันหายบวม ยิ่งปัดมันก็ยิ่งบวมหนักขึ้นไป เพราะว่าไม่ได้กินยานี่ เดี๋ยวนี้ไม่ต้องปัด กินเพนิซิลลิน ยาพวกปฏิชีวนะนะ พอกินไปแล้วมันแก้อักเสบ มันก็หายบวม โบราณไม่รู้จะกินอะไร ก็ไม่ต้อง ….. (40.17) แต่ก็ฟื้นนะ ไปทำยังไง บอกไม่เข้าท่า มีความรู้สมัยใหม่เป็นด็อกเตอร์ แต่ไปนั่งแบบปัดเป่าโบราณ แหม่... แล้วมีคนๆ หนึ่งป่วย สองคน อุบาสิกาน่ะ ป่วยจะตายอยู่ทั้งคู่น่ะ แกก็ไปทำให้ ทำ ?? (40.37) ถามเป็นไงดี ดีขึ้นมาก มันไม่ดีขึ้นหรอก ไปหลอกแก ดีขึ้นๆ ดีขึ้นใกล้จะตายนะ โอ...ไอ้พวกนั้นก็เชื่อ ก็เลื่อมใสศรัทธา เลยหาว่าพระที่อยู่ทุกรูปไม่ได้เรื่อง อ้อ...ไปขนาดนั้นเลย พวกนี้ไม่ได้เรื่องสู้องค์นั้นไม่ได้ อาตมาบอกมันไปกันใหญ่แล้ว (41.05) เออ... ดี ก็เลยวางนโยบายไว้ว่า ต้องเด็ดขาด ให้ออกไปจากวัด ให้ไปอยู่อริโซนา ถ้าว่าขืนไม่ไปก็ต้องใช้อำนาจสงฆ์บังคับไป แล้วก็อาตมาก็อยากจะพูดกับแก... แกจะหลบเรื่อยไม่รู้ ไอ้วันจะขึ้นเรือบินนี่ อาตมามาขึ้นเรือบิน พอจะไปขึ้นเรือบิน เห็นเดินอยู่นะ อ้าว...มายังไง หายหน้าไปไหน ไปปฏิบัติศาสนกิจนะฮะ (41.36) ไปศาสนกิจที่ไหนก็ไม่รู้ แล้วพอว่าคุณต้องทำตามสัญญานะ ถ้าไม่ทำตามสัญญา... ยุ่ง ขออย่าให้เกิดความยุ่งเพราะปีนี้ญาติโยมที่ชิคาโกน่ะ เขาวิ่งเต้นมาขอผ้าไตรจากในหลวง เรียกว่าเป็นผ้ากฐินพระราชทาน จะทอดในวันที่ ๘ ที่ ๙ เดือนพฤศจิกายน เขาก็ประชุมกันแล้ว หลวงพ่อก็นั่งในที่ประชุมด้วย แล้วเขาก็ขอร้องว่า ให้หลวงพ่อมาด้วย ต่อให้หลวงพ่อมามันขึ้นอยู่กับปีก ถ้าปีกมันแข็งมันก็บินได้อ่ะ ถ้าปีกอ่อนมันก็บินไม่ได้ อ่า... บอกเขาอย่างงั้น เขาอยากให้ไป อันนี้บอกว่า ปีนี้จะรับกฐินในหลวง วัดเราต้องเรียบร้อย คนไหนไม่เรียบร้อยต้องให้ไปอยู่ที่อื่น วางมาตรฐานไว้กับพระทั้งหลายที่อยู่ร่วมกัน คือพระที่อยู่ที่นั่นน่ะ ท่านมหาบัญญัติ ปริญญาโทจากอินเดีย เป็นพระที่เย็น เฉื่อยชา ชักช้า นิมนต์ไปไหน แกออกหลังเพื่อนทุกที องค์อื่นมาหมดแล้ว มหาบัญญัติยังไม่มา หลวงพ่อบอกว่า ท่านมหานี่ รั้งตำแหน่งท้ายสุดเพื่อนทุกที ไม่ให้เพื่อนเสียบ้างเลย แกก็เลยยิ้มแฮ่ะๆ แกยิ้มใจเย็น ก็เลยบอกญาติโยมในวันที่จะกลับไปเทศน์ส่งท้าย บอกว่าพระที่มาอยู่นี่ อาตมาเลือกแล้ว บอกเป็นพระใช้ได้ เช่น มหาบัญญัตินี่ มีความรู้ ใจเย็น ใจสงบ ถ้าอาตมาส่งพระใจร้อนมาก็ได้วางมวยกันหลายหนแล้ว นี่แหล่ะ ไม่มีอะไร ใจเย็นค่อยพูดค่อยจากับใครแล้ว ก็ค่อยดี เรียบร้อย แล้วก็พระอื่นๆ
มหาฤทธิ์ก็มีฤทธิ์มีเดชพอสมควร พยายามพิมพ์หนังสือแจกจ่าย หนังสือภาษาลาวเป็นอักษรลาว หนังสือภาษาอังกฤษ หนังสือภาษาไทย อัดเทปส่งไปตามวัดต่างๆ ไม่มีวัดไหนทำนอกจากวัดพุทธธรรมนี่ อัดเทปแจกไปคนเขาก็ได้รับเทป ได้อ่านหนังสือ เขาก็พอใจ มหาฤทธิ์นี่ทำหน้าที่นี้และมหาสมโภชน์ มหาสมโภชน์นี่คนที่ไม่ชอบ ว่าหมาสมเพช อ่า...ไปเปลี่ยนชื่อเขาอีกนะ ชื่อสมโภชน์ไปเปลี่ยนเป็นสมเพช อ้อ...คุณ เดี๋ยวนี้เขาเปลี่ยนชื่อให้แล้วนะ เขาเรียกว่าหมาสมเพช (หัวเราะ) แกก็ยิ้มแหยๆ ท่านว่าแล้วใครจะเปลี่ยนอะไรก็ แกก็ใช้พิมพ์ดีดเป็น ใช้คอมพิวเตอร์ได้ ก็ช่วยพิมพ์เรื่องวางรูปวางหน้าให้เรียบร้อย พิมพ์แล้วส่งโรงพิมพ์ อาตมาต้องการ ก็ไม่หยุดไม่หย่อน อีกองค์หนึ่งชื่อถนอม ฉายาว่า กุ๊กไก่ เขาเรียกท่านไก่กันนะ พระหนุ่ม แต่ก็ไม่หนุ่มนัก ๓๓ แล้ว บอกว่าคุณไปอยู่ชิคาโกสอนเด็ก ไม่ต้องทำเรื่องอะไร แกสอนเด็กเป็น สอนดีเด็กสนุก คุยให้เด็กเพลิดเพลินนำ ทำอะไรท่าทางกะเด็กนะดี พลอยเป็นที่พอใจอ่ะ แต่ว่าพวกไม่ชอบมันก็หลุกหลิกเหมือนลิง ว่าเอาหนักล่ะนะ หาว่าพระเป็นลิงไปแล้ว แกเป็นคนอารมณ์สนุก คุยกับเด็กมันต้องให้สนุก จะไปนั่งหลับตาพูดกับเด็ก เด็กมันก็ง่วงตาย อ่ะหาว่าหลุกหลิก เป็นงั้น บอกเจียรนัยให้ฟัง ว่าที่พูด ทำอย่างนื้ อาตมาไว้ใจ เข้ามาอยู่ แต่ถ้าโยมทั้งหลายไม่ชอบใจ ลงมติว่าใช้ไม่ได้ อาตมาจะถอนกลับหมดเลย แล้วอาตมาก็ลาออกด้วย ไม่เป็นสมภารวัดนี้ต่อไป ... อ่า ... พวกนั้นก็ตกใจ (45.49) มหาบอกว่า หลวงพ่อเดี๋ยว (46.09) ......ไม่ต้องตกใจ อย่าไปเชื่อคนประเภทนั้น คนที่เลื่อมใสยังมีอยู่มาก... บอกว่าผมไม่ได้ตกใจ แต่ว่าต้องเบ่งซะหน่อย ไม่พูดอย่างนี้คนมันก็นึกว่าเราอ่อนแอ เลยแสดงฤทธิ์กันหน่อย ให้คนมันได้ตื่นตัวบ้าง อาตมาเรียบร้อย แต่หาว่าอย่างงั้น อันนี้ท่านวรศักดิ์นี่สอนฝรั่งได้ เออ....ก็มาฟัง มาเรียน วันอาทิตย์ต้นเดือนนี้ต้องพูดภาษาอังกฤษ แต่ว่ามีพระฝรั่งอยู่องค์หนึ่งชื่อ ญาณโสภณ ท่านญานโสภณนี่เป็นพระฝรั่งที่เคร่งที่สุด เคร่งวินัย เคร่งมาก สบู่ในห้องน้ำนี้ ถ้าว่าแกไม่ได้ขออนุญาต แกไม่กล้าใช้ ต้องขออนุญาต ผมใช้ได้ไหม สบู่ในห้อง...ใช้ได้ มันของกลาง ใช้ไปเหอะ แกกลัว จะเป็นอาบัติ ... อะไรๆ ... (47.12) และเป็นพระที่ตั้งใจดี สอนฝรั่ง เทศน์ให้ฝรั่งฟัง ท่านวรศักดิ์นี่ เปิดสอนเข้าชั้นอธิบาย มีกระดานป้ายสอนเรื่อง ปฏิจจสมุปปบาท ให้ฝรั่งเข้าใจ ฝรั่งเขาก็มาฟังท่านสม่ำเสมอ ครั้งละ ๑๐ คน ๑๕ คน เข้ามากันอยู่
แต่ว่าที่เป็นด็อกเตอร์นี่ก็ ให้ไปสอนที่นั่น พอสอนค่อยหายไปๆ ลูกศิษย์หายไปหมด แกก็ไปเที่ยวบอกชาวบ้านว่า พระพวกนี้ริษยาอาตมา ไม่ให้คนมาฟังอาตมาสอน ก็อันนี้อาตมาเรียกประชุม ถามว่าโยมเคยฟังมั๊ย...ฟัง...แล้วทำไมหายหน้าไป...หัวเราะแฮ่ะ เลยตอบว่า พูดจาไม่รู้เรื่อง เขาว่าพูดฝรั่งแต่ว่าฝรั่งฟังไม่รู้เรื่อง คนไทยฟังก็ไม่รู้เรื่อง แกก็หายไป แกสักแต่ว่า (48.12) พระที่อยู่รวมหัวกัน ยุแยงไม่ให้คนมาฟังแกเทศน์น่ะ..... คนเรานี่มันไม่ได้มองตัวเอง ไม่ได้มองว่าตัวบกพร่องอะไร แล้วไปเที่ยวระแวงคนอื่น แล้วพอให้ไปอยู่ห้องไหน เปลี่ยนหมด เปลี่ยนกุญแจหมดเลย อ้าว...กลัวคนจะไปห้อง เข้าไป นี่อะไรนักหนา ทรัพย์สมบัติก็ไม่มีอะไร ให้ไปอยู่กุฏิหลังไหน แล้วก็ขอติดโทรศัพท์ขอนั่นขอนี่ มหาบัญญัติบอกว่าที่นี่เป็นที่สงบไม่อยากให้มีโทรศัพท์ ไม่ให้ใครโทรมารบกวน เอ้า...เวียนมาอยู่ข้างหน้าใต้โบสถ์ไปยึดเอาห้องหนึ่ง ไปยึดแล้วเปลี่ยนหมด เปลี่ยนกุญแจ เปลี่ยนอะไรหมด อ้าว...เอาเป็นของตัว ในห้องมีอะไรบ้างก็ไม่รู้ แล้วไปขอโยมให้ช่วยซื้อเครื่องอัดเทป เครื่องขยายเทป บอกว่าของวัดนี่เขาไม่ให้ใช้ เที่ยวพูดอย่างงั้น เขาไม่ว่าอะไร ไปอยู่ใหม่ๆ พระทุกรูปเอาใจใส่ ดูแลปัดกวาดห้องให้ บริการทุกอย่าง พอออกลายขึ้นมา ใช้ไม่ได้ เวลาฉันข้าวก็ไม่พูดกับพระเลย นั่งฉันเฉย สำรวมเหลือเกิน อ่ะ...เป็นงั้น มีอะไรควรพูดควรคุยกันได้ หลวงพ่อไปนั่งฉันก็ชวนถามองค์นั้นถามองค์นี้ อยากให้คุยกันบ้าง ให้ยิ้มกันบ้าง แกก็ไม่ค่อยเอาเรื่อง เอ้...ลำบาก อยู่ลำบาก ไปไหนก็เอาไปติน่ะ ไปติให้คนฟังโดยเฉพาะหนังสือท่านสุรศักดิ์ ไปเที่ยวบอกทุกแห่ง อย่าไปอ่านนะหนังสือเล่มนี้ ผิดคำสอนของพระพุทธเจ้า มันผิดตรงไหน แกบอกว่าเรื่อง “จิตว่าง”นี่ มันไม่มีในคำสอนพุทธศาสนา อาตมาก็ยังจำได้ พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ปะภัสสะระ มิทัง ภิกขเว จิตตัง ตัญจะโข, อาคันตุเกหิ อุปักกิเลเสหิ อุปักกิลิฏฐัง” ภิกษุทั้งหลาย จิตนี้เป็นธรรมชาติผุดผ่อง เศร้าหมองเพราะสิ่งภายนอกจรเข้ามา รูปเข้ามาทางตา เสียงเข้ามาทางหู กลิ่นเข้าทางจมูก รสผ่านลิ้น สิ่งนี้สัมผัสผ่านทางประสาท ใจก็รับ ถ้าใจรับด้วยความโง่ มันก็ปรุงแต่งเป็นรูป เป็นโกรธ เป็นหลง ถ้ารับด้วยปัญญา มันก็ไม่มีอะไร อันนี้ธรรมชาติของจิตแท้ๆ น่ะ มันอยู่ในสภาพที่ไม่เป็นอะไร คือไม่ดี ไม่ชั่ว ไม่บุญ ไม่บาป มันผ่องใสตามธรรมชาติ นี่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ แต่ว่ายังไม่รู้ว่าอยู่ในสูตรไหน วันหนึ่งก็เรียกท่านสุรศักดิ์มา สุรศักดิ์...ไอ้จิตประภัสสรนี่มันอยู่ตรงไหน เปิดให้หลวงพ่อดูหน่อย ก็หยิบพระไตรปิฎกมา อยู่นี่หลวงพ่อ... อ่านดูสิ มันมีอยู่ในคัมภีร์ อ่า...ไม่มีในคัมภีร์พุทธศาสนา แล้วก็เรื่องอีกเรื่อง “สุญญตา” นักร้องน่ะ (51.31) เปรียญ ๙ ประโยคไม่เคยอ่าน บอกว่านี้ สุญญตาไม่มีในพุทธศาสนา เป็นของมหายาน อ่ะ ว่าไปอย่างนั้น แกไม่เคยอ่าน มีคราวหนึ่งแขกอินเดีย เป็นด็อกเตอร์ภาษาบาลีมากับวิเวก...นันทะ (51.49) พาไปไชยา ตัวแกมาแวะไชยา คุยธรรมะ ๑ ชั่วโมง แล้วก็พาพ้นไปนครศรีธรรมราช แต่พอไปถึงไชยา ท่านเจ้าคุณวิเวกฯ บอก …... (52.05) พาแขกมาทำไมชั่วโมงเดียวทำอะไรได้ ดูต้นไม้ก็ยังไม่ทั่ว อย่างน้อยมานอนซักคืนหนึ่ง จะได้คุยกัน จะได้รู้เรื่อง แกเตรียมตัวนอนคืนหนึ่งแล้ว ก็เวลาตอนบ่ายก็นั่งคุยกัน คุย ตกลงกันได้ทุกเรื่อง พอมาถึงว่าสุญญตา ... (52.29) ... อืมม์ ...ไม่มีอ่ะไม่มี ไม่มีในคัมภีร์พุทธศาสนา อ่ะ ท่านเจ้าคุณท่านไม่ว่าอะไร ลุกขึ้นเดินช้าๆ เข้าไปในห้อง หยิบพระไตรปิฎกมาเล่มหนึ่ง เอามาถึง เปิดแล้วก็อ่านภาษาบาลี แขกเขาเก่งนะ เขาเรียนเขาพูดได้อ่านได้ แขกนั่งฟังตกใจ ตาลุกเลย เอ...ไอ้เรานี่เป็นด็อกเตอร์ภาษาบาลี ยังไม่รู้เลย ท่านพระองค์นี้เก่งมาก ยอมเลย นั่งลงกราบ เพราะว่าเขาเป็นบัณฑิต พอรู้ว่ามันมีจริงๆ ก็กราบ คนฉลาดอย่างนั้น แต่คนที่บัณฑิตปัญญาอ่อนนั้นไม่ยอมท่าเดียว เขาเรียกว่า ดื้อไปเรื่อยไป อ่ะ เป็นงั้น มันมี ไม่ใช่เรื่องไม่มี
แล้วท่านเจ้าคุณพุทธทาสจะเทศน์เรื่องอะไรน่ะ ถ้าไม่มีหลักฐานอยู่ในพระไตรปิฎกท่านไม่พูด พูดมันต้องมีหลักฐานทั้งนั้น เวลามาเทศน์ที่กรุงเทพฯ พวกกรุงเทพฯ พวกอภิธรรมน่ะ พวกนี้ไม่อ่านหนังสือท่านพุทธทาส พวกไอ้ที่ไม่อ่าน ตายไปแล้วหมด ขนาดชั้นลูกศิษย์ก็ยังไม่อ่าน พระบางองค์ก็ไม่อ่าน หนังสือกองในตู้ไม่อ่านเลย เพราะว่าไม่ชอบ ไม่อ่าน ปิดประตูตัวเอง ปิดตาปิดหูปิดหมด ปิดให้มันมืดอย่างนั้น ไม่สนใจอะไรถูกอะไรผิด ทีหลังท่านมาเทศน์ที่ธรรมศาสตร์ พุทธศาสนาสำหรับนักศึกษาหนุ่ม อ่านทุกข้อเลย พูดอะไรมาอยู่ในคัมภีร์นั้น สูตรนั้น หน้าที่เท่านั้น บอกหมดเลย พวกมันไม่ต้องไปเถียงให้ลำบาก จะได้ไปเปิดดูเองว่ามันอยู่ตรงไหน แต่ไม่มีใครมาเปิด เงียบ (54.30) ...... เป็นงั้น อันนี้ท่านวรศักดิ์แกเขียนอะไร แกมีหลักฐาน เพราะว่าอยู่กับท่านพุทธทาสมาตั้ง ๒๐ กว่าปี เวลาไปก็เอาธรรมะไป พูดเก่งสอนคนได้ สอนได้ทุกอย่าง แต่พวกที่ไม่ชอบบอก อื้อ...สอนกรรมฐานก็ไม่ได้ มันคนละแบบ กรรมฐานคนละแบบ ไม่ใช่กรรมฐานกำลังจักรวาล อันที่ด็อกเตอร์นั้นเขาไปสอนเกิดปัญหา อย่างนี้เกิดปัญหาขึ้นมา ก็ต้องพูดทำความเข้าใจกับพระที่อยู่ว่าให้จัดการเด็ดขาด ให้ออกไปจากวัดนี้ไปอยู่วัดอื่นซะตั้งแต่ ... (55.13) อันนี้พวกที่เลื่อมใสบอกว่าให้ไปอยู่วัดอื่นแต่สังกัดวัดนี้ เพราะว่าพระเราน่ะอยู่วัดไหนมันก็สังกัดวัดนั้นน่ะ อยู่วัดชลประทานก็สังกัดวัดชลประทาน ถ้าไปอยู่สวนโมกข์มันก็ต้องสังกัดวัดสวนโมกข์ ไม่ต้องสังกัดวัดเดิมน่ะ เป็นอย่างนั้น ระเบียบเขาเป็นอย่างนั้น (55.34) ...... ไปอยู่แล้ว …… ขอให้สังกัดวัดนี้หน่อยได้มั๊ย...ไม่ได้ ไปไหนก็ต้องอยู่ที่นั่น กลับมาอีกได้มั๊ย ไอ้นั่นข้างหน้า ค่อยว่ากัน ว่าปัจจุบันกันก่อนให้เรียบร้อย พูดกันทำความเข้าใจ ให้ระงับเรื่องไว้ ไม่ให้วุ่นวาย
อ้าว ๗ โมงครึ่งแล้ว พูดเพลินไป เกินเวลาแล้ว เอาเพียงเท่านี้ก่อน วันนี้เอาเพียงเท่านี้แหล่ะ มีเรื่องจะเล่าให้ญาติโยมฟังว่ามันมีอะไร ได้ประสบพบเห็นอะไรบ้าง ยังมีเรื่องอื่นที่จะต้องพูดจาว่า อาทิตย์หน้าค่อยว่ากันต่อไป ตอนนี้ก็ไม่ไปไหนแล้ว เข้าพรรษาอยู่วัด ทุกวันอาทิตย์ก็อยู่เทศน์ให้โยมฟัง ไม่ใช่ (56.20) ไปแล้ว ต้องอบรมพระใหม่ที่บวชเข้ามาด้วย ต้องให้เขาได้เกิดปัญญาด้วยความรู้ความเข้าใจจะได้นำไปใช้ในชีวิตประจำวันต่อไป สำหรับวันนี้ก็ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้