แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ตอนนี้ไปก็ขอให้ทุกคนอยู่ในอาการสงบ ตั้งอกตั้งใจฟังด้วยดี เพื่อให้ได้ประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการฟังตามสมควรแก่เวลา เมื่อตะกี้ช้าไปหน่อย เพราะว่า สถานีโทรทัศน์ช่อง ๕ เป็นช่องที่เคยพูดมานาน เค้ามาสัมภาษณ์ พวกที่มาสัมภาษณ์นี่เป็นบริษัทประมูลเอาเวลาไปใช้เพื่อประโยชน์ทางการค้าการขาย เค้ามาสัมภาษณ์หลวงพ่อเรื่องโรงเรียนวันอาทิตย์ ก็เลยว่ากันไปจนเสร็จ เสร็จแล้วก็รีบมาที่นี่เพื่อพบปะญาติโยมต่อไป
เวลานี้สังคมโลกนี่มีข่าวแต่เรื่องร้าย ๆ ข่าวเบียดเบียนรบราฆ่าฟันกัน ไม่รู้จักจบไม่รู้จักสิ้น คนชาติเดียวกันก็เบียดเบียนกันรบราฆ่าฟันกันเพราะผลประโยชน์มันไม่ตรงกันขัดกัน มีเกือบทุกประเทศแต่ส่วนมากก็เป็นประเทศที่เรียกว่าด้อยพัฒนา ยังด้อยพัฒนากัน เพราะไม่ใหญ่ไม่โต เล็ก ๆ แต่ว่ายังด้อยการพัฒนา การบ้านการเมืองก็จะไม่ค่อยเรียบร้อย มีการเดินขบวนกันบ่อย ๆ เดินแล้วมันไม่เดินสงบมันวุ่นวาย
เมืองไทยเราก็มีบ้าง ไม่เดินแล้วมานอนอยู่ข้างทำเนียบเต็ม ขับรถผ่านไปทางนั้นก็ไม่ได้ลงดู นั่งรถดู นอนหลับบ้าง นั่งหลับกันไปบ้าง กำลังกินข้าวบ้าง เลี้ยงลูกบ้าง ไม่อยู่บ้านแล้วมาอยู่ข้างทำเนียบ บ้านเมืองรุงรังไปหมด รัฐบาลก็ไม่รู้จะทำยังไง เพราะพวกนั้นมันบอกว่าไม่กลับถ้าไม่ได้ นี่มันเรียกเด็กๆ เรามีลูกนะ ลูกมันเอาอะไรกลับจากเรา ขอเงิน ๑๐๐ บาท ไม่มีมันก็นอนดิ้นพรวดพราด ๆ แม่ก็สงสาร เอาไป เด็กมันเดินยิ้มไป บอกว่าอีไม้นี้กูได้ทุกทีแล้วที่หลังมันก็ใช้ลูกไม้นี้ พอคุณแม่ไม่ให้ก็ดิ้นพรวดพราด ๆ เอาหัวชนฝาแต่มันชนเบา ๆ ไม่ให้เจ็บมากเกินไป แม่กลัวลูกเจ็บ เอาไปลูก มันก็ยิ้มแบบนี้กูได้ทุกที เด็กคนนั้นเสียคนแล้วโตขึ้นไปขู่คนนั้นไปคนนี้จนกระทั่งมาขู่รัฐบาล
แม้ผู้พิพากษาซึ่งมีความรู้มีความสามารถ เป็นที่ไว้ใจของประชาชนก็เอาเหมือนกัน กำลังต่อสู้กับรัฐบาลเรื่องศาลปกครอง เรื่องอะไรชวนกันแต่งตัวดำไว้ทุกข์ เหมือนกับพ่อแม่ตายอย่างนั้นแล แล้วก็เอาผ้าดำไปปิดหน้าศาลไว้ทุกข์กัน มันถูกต้องหรือเปล่า ถ้าคิดให้ดีมันก็ไม่ถูกแต่เขาก็ทำ ชอบทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องทำให้เกิดปัญหาขึ้นด้วยประการต่าง ๆ รบราฆ่าฟันกัน รุนแรงก็ถึงกับฆ่า
พวกยิวกับพวกอาหรับ นี่เป็นข้าศึกกันมาตั้งแต่สร้างโลก ตั้งแต่เริ่มคัมภีร์ รบกันแล้วในคัมภีร์ รบกันจนบัดนี้ก็ยังไม่เลิกซักที อยู่กันไปอย่างนั้น รบกันไป นอนไม่หลับ ก็เอาคนทั้งหญิงชายมาเป็นทหารหมด ๑๘ ปีต้องเป็นทหาร ก็เดินพายปืนเดินเกร่ออยู่ในบ้านในเมือง เดี๋ยวมีเสียงปึง ๆ ๆ กันจากทางเหนือ เอาไปกัน ขึ้นเรือบิน เอาเรือบินเอาระเบิดไปทั้งหัวมัน บินไปบินมาชนกันเองตายกันไปเกือบร้อย มันก็อย่างนี้ ปรากฏเป็นข่าวอยู่ตลอดเวลา
ในประเทศเปรูนั่น นายกรัฐมนตรีเป็นคนเชื้อสายญี่ปุ่น ก็นับว่าเก่งเรียกว่าไปอยู่นั้นจนเป็นที่ไว้วางใจก็เลือกให้เป็นประธานาธิบดี แต่มีพวกโจรพวกหนึ่งเกิดขึ้น สถานทูตญี่ปุ่นจัดงานเลี้ยง โจรแอบเข้าไปปิดประตูตีแมว จับคนขังไว้ตั้ง ๖๐-๗๐ คน ไม่ปล่อย รัฐบาลก็วิ่งวุ่นไป โจรพวกนั้นมันสู้ไม่ยอมถอยเหมือนกับแมวกัดอาหารมันไม่ยอมปล่อย ก็เลยยุ่งกันอยู่อย่างนั้นไม่สงบ
ความไม่สงบนี่มันมีทั่วไป เกิดจากอะไรเล่า เกิดจากจิตใจคนที่มันไม่สงบ ใจคนที่ไม่สงบมันก็ไม่สงบ คิดไม่สงบ พูดไม่สงบ ทำสิ่งที่ไม่สงบเพราะใจไม่สงบ พระพุทธเจ้าจึงสอนเราทั้งหลายว่า อะไร ๆ มันเกิดที่ใจเราทั้งนั้น ความดีความชั่ว ความสุขความทุกข์ ความเสื่อมความเจริญ ความมั่งมีความยากจนอะไร ๆ ต่าง ๆ มันเกิดที่ใจเราเอง ฐานมันอยู่ที่ใจไม่ได้อยู่ที่ภายนอก ไม่มีอำนาจอะไรที่จะมาทำเราให้เป็นอะไรถ้าใจเราเข้มแข็ง เราก็เอาตัวรอด แต่ว่าคนสมัยปัจจุบันนี้ขี้ขลาดตาขาวกลัวไปหมด กลัวไม่เข้าเรื่องและก็หาที่พึ่ง ไม่หันมาพึ่งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ในฐานะเป็นพุทธบริษัท แต่ไปพึ่งสิ่งภายนอก ไปเที่ยวกราบเที่ยวไหว้สิ่งนั้นสิ่งนี้ อ้อนวอนบนบานศาลกล่าว คอรัปชั่นกับวัตถุที่เขาทำไว้เต็มไว้เต็มบ้านเต็มเมือง
แม้คณะรัฐมนตรีก็ยังไปคอรัปชั่นกับอะไร ๆ ก่อนเข้าไปทำงาน ก่อนเข้าทำงานก็ไปยืนรออยู่หน้ากระทรวงเสียเวลาไปครึ่งชั่วโมงเพราะยังไม่ได้เซ่นไหว้อะไร ๆ ที่เค้าทำไว้ ไม่ได้เอาเนื้อแท้ไปใช้ เช่น อยู่กระทรวงมหาดไทยก็ควรจะนึกถึงความงามความดีของเสด็จในกรมพระยาดำรงราชานุภาพที่ท่านสร้างกระทรวงมหาดไทย แล้วก็ปกครองบ้านเมืองเป็นแบบเป็นฉบับไว้ ไม่สนใจ สนใจที่จะไปไหว้รูปของท่าน ไหว้วันเดียว เสร็จแล้วก็ไม่ค่อยจะเรียบร้อยต่อไป อย่างนี้มันไม่ได้สาระอะไรคือไม่เข้าถึงเนื้อของสิ่งที่เราเคารพสักการะ ไปทำอย่างนั้น ทำอยู่ตลอดเวลา
คุณชวน หลีกภัย นี่ไปทำเนียบแกไม่ไหว้อะไร แกเข้าไปทำงานเลย พวกก็ว่าบอกให้ขึ้นไปบนหลังคาไปไหว้เทวดา บอก “เฮ้ย ทำไมต้องขึ้นบนหลังคา ไหว้ตรงนี้ก็ได้” แกไม่ค่อยเชื่อสิ่งเหล่านั้น เรียบร้อย แต่ว่าคนเราก็มีคนไม่เลือกก็มีอยู่อย่างนั้น คนฉลาดมีแต่คนโง่ก็มากเหมือนกัน ทำอะไรแบบโง่ๆ
มีผู้ว่าคนหนึ่งชื่อ จรูญ โลกะกะลิน ไปเมืองสกลนคร นายผู้ว่าเก่าชื่อ นายอะไรชาวสกลนครนั่นแล แล้วว่าแน่ะไอ้รูญ มึงมาครองเมืองสกลนครนี่ไหว้ผีไหว้ผีป่าอะไรซะบ้างนะ บ้านเมืองจะได้อยู่เป็นสุข แกก็บอกข้าราชการว่าพรุ่งนี้จัดที่เพื่อสักการะ กูจะไปไหว้ผีป่าผีดงตามคำของนายอดีตผู้ว่าฯแล หวังว่าจัดใหญ่ไปถึงแกจุดธูปเทียน แกยกขึ้นเหนือหัว ข้าพเจ้าจรูญ โลกะกะลิน ได้รับพระบรมราชโองการจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้มาบำบัดทุกข์บำรุงสุขประชาชนเมืองสกลนคร ผีป่าผีดงทั้งหลายอย่ามายุ่งกะข้า อยู่ในป่าตามเรื่องตามราว ให้ข้าทำงานตามสบาย ปักธูป พวกท่านตกใจตายแล้ว ผู้ว่าฯไปเล่นผีเข้าแล้ว แกก็ครองเมืองเรียบร้อยเด็ดขาดเอาจริงเอาจังอยู่กันด้วยความสุขความสงบจนออกจากราชการ แกทำอย่างนั้น แกไม่โอนอ่อนกับสิ่งเหลวไหลของชาวบ้านชาวเมือง อ้อชื่อ โบแดง อดีตผู้ว่าชื่อโบแดง จันตะเสน แกก็ไม่ทำตาม แกกลับต่อว่าด้วยว่าผีป่าผีดงทั้งหลายอย่ามายุ่งกับข้า ข้าได้รับมอบหมายจากพระเจ้าแผ่นดินให้มาปกครองเมืองสกลนคร ผีป่าผีดงทั้งหลายก็อยู่ในป่าอย่าเข้ามายุ่งในเมือง ปักธูปแล้วลุกขึ้นไปทำงานเฉย พวกข้าราชการเสียวไส้กันไปตามๆ กัน นี่คนเด็ดขาด เอาจริงเอาจัง เวลานี้ตายแล้วไม่อยู่หมดหนีไปเสีย (10.45 เสียงไม่ชัดเจน) แกทำอย่างนั้น แกไม่เชื่อสิ่งเหลวไหล
เราเที่ยวกลัวไปเอง ไม่ใช่เรื่องเราก็เชื่อที่เค้าว่าก็กลัวไป ไม่ต้องไกล ลำลูกกานี่ เรือบินมันมาตกคนตายเยอะตอนนั้น ชาวบ้านนอนผวากลัว กลัวอะไร กลัวว่าเรื่อบินจะมาตกอีก กลัวผีพวกนั้นจะมาเหยียบตอแย ยุ่งไปหมด นั้นทว่าพวกหมอดูหมอปลุกหมอเสกได้รับเรื่องถือโอกาสไปต้มพวกนั้นอีก ไม่ได้ต้องทำอย่างนั้นต้องทำอย่างนี้ ต้องทำบุญสวดมนต์ทำอะไรต่ออะไร ชาวบ้านก็เสียเงินอีก หลอกให้เสียเงินอีกแล
ที่จะไปสอนว่าอย่าไปกลัวเลย มันไม่มีอะไร เราเที่ยวกลัวไปเอง เราสร้างภาพขึ้นเอง ควบคุมจิตใจของเราอย่าให้ไปคิดฟุ้งซ่านในเรื่องเหล่านั้น หมั่นไหว้พระสวดมนต์ คิดให้มันฉลาดเสียบ้างอะไรมันก็จะดีขึ้น ไม่สอนเพราะสอนอย่างนั้นมันได้น้อย ต้องต้มให้ได้หลายที หลอกแล้วมันได้มาก อะไรที่หลอกแล้วก็ได้บ่อย ๆ แต่ถ้าพูดความจริงมาทีเดียวมาแล้วก็ไม่อีกแล้ว ก็รู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไรก็ไปจัดการกับตัวเองได้ แต่ถ้าหลอกว่าให้มันต้องมาบ่อย พอกลุ้มใจก็มาให้หลวงพ่อรดน้ำมนต์หน่อยวันนี้กลุ้มใจ หลวงพ่อก็รดไปแล้วก็ได้สตางค์จากการรดน้ำมนต์ มันมาบ่อยเพราะมันโง่แต่ถ้าสอนให้ฉลาดมาทีเดียวแล้วหายไปเลยไม่มาอีก อันนี้พวกอยากได้ลาภสักการะก็หลอก ๆ ไว้พอประทะประทังไปอย่างนี้มันก็เหลวไหวกันเต็มบ้านเต็มเมือง หลวงพ่อทั้งหลายชอบทำให้คนหลงผิดเข้าใจผิด เชื่อผิดด้วยประการต่าง ๆ มันจึงเกิดปัญหาไม่รู้จบ สอนให้มันฉลาดซะที่เดียวก็หมดเรื่อง เขาไม่ต้องลำบากใจต่อไป แต่มันน้อย คนที่สอนอย่างนั้นมันน้อย ทำตามใจเขาให้เขาได้โง่ไปต่อไปจะได้หากินกับความโง่ของคนต่อไป ไม่ส่งเสริมคนให้ฉลาดมันก็ไม่ถูกหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า
ที่นี้โลกเราที่มันยุ่งนี่มันยุ่งเพราะใจคน อะไรเป็นฐานแห่งความยุ่ง มีเรื่องปรากฏในพระสูตรกล่าวไว้ว่า เทวดามาเฝ้าพระพุทธเจ้า เทวดาที่มาเฝ้าพระพุทธเจ้าไม่ใช่เทวดาสวรรค์ชั้นไหนดอก คือพวกพระเจ้าแผ่นดินพระราชามหากษัตริย์ที่เค้าเรียกว่าเป็นเทวดาเป็นสมมติเทพ อันนี้เทวดานี่กลางวันมันไม่ว่าง ว่างกลางคืนก็ไปหาพระพุทธเจ้ากลางคืน เวลาไปก็ถือคบเพลิงสว่างไสวทั่วทั้งอารามเพราะว่ามันมืด ก็ถือคบเพลิงคบเพลิงเดินหน้านำไปข้างหลังก็มีสว่าง เข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าสนทนาธรรมกันในเรื่องต่างๆ
เมืองไทยเราสมัยพ่อขุนรามคำแหง กลางคืนท่านก็ไปหาพระเหมือนกัน พระอยู่วัดอรัญอยู่ในป่าบนภูเขา แล้วก็มีสะพานหิน ยังอยู่ สะพานไม่พัง หินมันแข็ง พระเจ้าแผ่นดินก็ทรงช้างไป พอถึงที่ก็ไปเทียบจอดที่สะพาน ท่านก็ลงเดินบนสะพานนั้น เดินไปด้วยเท้า ไปถึงก็พบพระเลยนั่งคุยกับพระ ดึกดื่นเที่ยงคืนจึงกลับวัง รุ่งเช้าขึ้นก็ป่าวร้องประชาชนให้มาประชุมกันที่ดงตาล หน้าวังมีต้นตาลเยอะ แล้วก็มีแท่นหินเขาเรียกว่า “มนังศิลา” เป็นแท่นหินเอามาจากป่าสวย ๆ มาวางไว้ พระเจ้าแผ่นดินประทับนั่งบนแท่นหิน ประชาชนนั่งล้อมรอบ ท่านก็เล่าให้ฟังว่าเมื่อคืนข้าไปหาพระมา พระท่านบอกอย่างนั้นอย่างนี้ ก็สอนคนให้อยู่ในศีลในธรรมให้ประพฤติดีประพฤติชอบ เจ้าแผ่นดินกับประชาชนก็ได้ใกล้ชิดกัน ได้สนทนาพาทีกัน เป็นนโยบายที่ดีทำให้เกิดความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ท่านทำอย่างนี้บ่อย ๆ แท่นหินมนังศิลา นั้น ตอนหลังเมื่อรัชกาลที่ ๔ ขึ้นเสวยราชสมบัติ ท่านเสด็จประภาสเมืองสุโขทัย ได้ไปเห็นแท่นหินนั้น ก็เลยยกเข้ามาไว้ในพระบรมมหาราชวัง อยู่ในวังเดี๋ยวนี้
ต่อมา ก็มีพรรคการเมืองพรรคหนึ่งตั้งพรรคแล้วชื่อ “พรรคเสรีมนังศิลา” โกงกันวายวอดไปเลย เรียกว่าโกงกินมีชื่อ อำเภอดุสิตนี่โกงมากกว่าเพื่อนปิดหีบไม่ลง นับไม่เสร็จสักที อำเภออื่นนับเสร็จแล้วอำเภอนี้นับไม่เสร็จ ก็ถามอำเภออื่นแพ้อำเภอนี้ เติมลงไป ๆ เรียกกันว่าโกงกันลือชื่อไปเลยนะ อำเภอดุสิตนี่โกงลือชื่อ แล้วก็พรรคนั้นก็ล้ม สิ่งใดไม่เป็นธรรมมันอยู่ไม่ได้ อะไรเป็นธรรมละก็อยู่ได้ ถ้าไม่เป็นธรรมมันก็ล้ม ธรรมชาติลงโทษและล้มหายตายจากไป พรรคเสรีมนังศิลา เพราะไม่เสรีเป็นทาสมันไม่ได้เรื่องอะไร เอาหินที่มีชื่อเก่าแก่มาตั้งเป็นชื่อพรรค แต่ไม่ประพฤติธรรมมันก็เสียหายไม่ได้เรื่อง ยุ่ง มันเป็นอย่างนั้น
พระเจ้าแผ่นดินสมัยก่อนนั้น หรือในหลวงของเราก็ทรงปรีชาสามารถเข้าหาคน ท่านไปเยี่ยมคน ไปนั่งยอง ๆ คุยกับชาวบ้าน ชาวบ้านก็ได้กราบได้ไหว้ได้ทำอะไรหลายอย่างซึ่งเป็นการแสดงความจงรักภักดี ในภาพโทรทัศน์มีคนยายแก่คนหนึ่งไปนั่งห่างเพื่อนถือขวดเป๊ปซี่ถือแก้ว พอในหลวงผ่านมา เปิดเป๊ปซี่รินใส่แก้วถวาย ในหลวงก็รับแล้วก็ดื่มจนหมดแก้ว คุณยายคนนั้นคงจะดีใจไปจนหมดลมหายใจ เวลาใกล้จะตายแกคงนึกภาพในหลวงที่ดื่มน้ำเป๊ปซี่ที่แกให้ ตายแล้วคงไปเกิดสวรรค์เพราะว่าใจสบาย ในหลวงท่านทำอย่างนั้น ไปเยี่ยมไปเยือนที่นั่นที่นี่ช่วยเหลือเขา ทำแบบกษัตริย์ผู้ทรงศีลทรงธรรม ประพฤติดีประพฤติชอบอยู่ตลอดเวลา จึงเป็นที่รักที่เคารพของประชาชน ประชาชนรักในหลวงก็คือรักพระธรรมที่อยู่ในใจของในหลวงนั่นเอง ไม่ใช่รักเรื่องอะไร รักธรรมะ เรารักใครนี่เรารักธรรมะ
สามีภรรยาที่อยู่กันได้นี่ก็เพราะว่าสามีก็มีธรรมะ ภรรยาก็มีธรรมะ เลยอยู่กันได้เรียบร้อยจนแก่จนเฒ่าจนจากกันไป แม้ตายแล้วก็ยังคิดถึง ก็คิดถึงคุณธรรมนั่นแหละ ไม่ได้คิดถึงเรื่องอะไร ธรรมะช่วยให้คนรักกัน ไอ้วันเวลา วาเลนไทน์ที่บ้ากันทั่วกรุงเทพฯ นั่น ดอกไม้ขายดีเสียเงินกันไปเยอะแยะ มันวันเดียว ถ้าว่าเรามีธรรมะคือเมตตาต่อกัน รักกันสามัคคีกัน มันก็อยู่กันได้ตลอด บางทีแต่งงานกันโอ้เอิกเกริก แต่งโรงแรมมีแขกเป็นพัน ๓ เดือนหย่าแล้ว มันไม่รักกัน มันแต่งกันด้วยเงินด้วยอะไรต่ออะไรภายนอก ใจมันไม่รักเลยแตกกันเข้ากันไม่ได้ โดยเฉพาะพวกดารานี่เขาแต่งกันบ่อย แต่งกับคนนี้เลิกไปแต่งกับคนนั้นต่อไป จิตใจมันวอกแวกโวเวไปตามเรื่องตามราว หากธรรมะเป็นหลักครองใจมันก็อยู่กันไปได้ คนสองคนรักกันก็เพราะมีธรรมะเสมอกัน สามีภรรยามีธรรมะเท่าเทียมกันมันก็อยู่กันได้
บริษัทห้างหุ้นส่วนที่เข้าหุ้นทำการค้าขาย ที่แตกแยกจนหุ้นพังนั่นเพราะอะไร เพราะมันไม่มีธรรมะ โกงกันเอารัดเอาเปรียบกัน ถ้าไปเข้าหุ้นเพื่อจะไปโกงเอารัดเอาเปรียบ ฐานมันไม่ดี ฐานไม่ดีก็ไปไม่รอด เลยล้มพับไปบ่อย ๆ ปรากฏกล่าวบ่อย ๆ ก็ขาดธรรมะ
พรรคการเมืองก็เหมือนกัน ถ้ามีธรรมะก็อยู่กันได้ ขาดธรรมะมันก็อยู่กันไม่ได้ แม้จะแจกเงินมันก็อยู่ไม่ได้ ถ้าไร้ธรรมะ มันอยู่กันด้วยคุณธรรม ถ้ามีคุณธรรมแล้วก็อยู่ได้ ขาดคุณธรรมมันก็อยู่ไม่ได้ ทุกอย่างเหมือนกัน
วัดก็เหมือนกันวัดไหนที่แย่งกันเป็นสมภาร แย่งกันนะ ไปอยู่ไม่ใช่เรื่องอะไร แล้วชาวบ้านก็เข้ามาถือหาง พระก็มีหางให้ชาวบ้านถือด้วย มันเหลวไหลเต็มทีแล้ววัดนั้น ถ้ามีหางให้ชาวบ้านถือ แล้วก็ยุให้ทะเลาะกัน มันเสียชื่อแล้ว ควรจะไล่ออกหมดทั้งวัดให้หมาขี้เรื้อนอยู่แทน เพราะอยู่กันด้วยความเหลวไหลอยู่ทำไมเล่า ไม่ได้เรื่อง มันเป็นอย่างนั้น ไม่มีธรรมะ แย่งกันทำไม แย่งกันเป็นสมภารนี่มันโง่เต็มที เป็นสมภารมันสนุกเมื่อไร มันต้องหนักใจนะลำบากนะ เหมือนที่หลวงพ่อเป็นอยู่นี่เวลานี้ เป็นสมภารอยู่นี่ก็คิดจะออกอยู่ทุกวัน แต่มันออกไม่ได้เพราะไม่มีใครมาแทน ถ้ามีคนแทน หลวงพ่อออกไปแล้ว ออกไปเป็นลูกวัดดีกว่า ไม่ยุ่ง เป็นสมภารรับภาระตั้งแต่โบสถ์จนถึงส้วม ต้องคอยดูแลเอาใจใส่ตลอดเวลา มันสนุกที่ไหน ใคร ๆ อยากเป็นสมภาร สนุกที่ไหน ใครอยากก็มาที่นี่ก็ได้ ว่าให้ผมเป็นหน่อย เอาคุณเป็น เป็นสัก ๓ เดือนนะ พอแล้ว ถ้าว่าไม่สามารถผมถอดนะ ไม่เรื่อยมา แยกอยู่ตามวัดบ้านนอกที่โน่นที่นี่โดยมากวัดมีผลประโยชน์มีที่เช่า ก็แย่งแล้วแย่งกันเป็น ไอ้วัดบ้านนอกร้างเยอะไม่มีสมภาร ไม่มีใครไปเอา เป็นเพื่อลาภเป็นเพื่อสักการะ ไม่ได้เป็นเพื่อพระศาสนา แล้วมันก็แตกกัน สร้างความเสื่อมเสียหาย ชาวบ้านอย่าไปถือหาง อย่าไปยุให้พระแตกกันอยู่ตรงกลาง แล้วไปพูดจาทำความเข้าใจให้พระสามัคคีกันเพราะมันน่าขายหน้า พระเถียงกันนี่มันน่าขายหน้า พระเราไม่ควรทะเลาะกับใครไม่ควรจะเถียงกับใครควรจะอยู่กันด้วยความสงบ
ในเรื่องธรรมบท เล่าว่าฤๅษีทะเลาะกัน เกิดอาการผิดประหลาดคือพระอาทิตย์ไม่ส่องนะ มืดไปหมด ราชาก็สงสัยว่าทำไมอาทิตย์ไม่ขึ้นตามปกติบ้านเมืองมืดมิดไปหมด สืบได้ความว่า อ้อ ฤๅษีสองตนทะเลาะกัน แช่งชักหักกระดูกกัน แล้วก็เลยดวงอาทิตย์ก็เลยไม่ส่องแสง คือหมายความว่านักบวชทะเลาะกันโลกมันก็มืดนั่นแหละ วัดอยู่ตรงไหนนักบวชไหนทะเลาะกัน บ้านนั้นมันก็มืดไม่มีแสงสว่าง มืดไป อาทิตย์มืด คราวนี้ก็ทำอย่างไร ต้องให้ฤๅษีตนหนึ่งที่เป็นคนก่อเรื่องนั่นลงไปอยู่ในสระ แล้วเอาดินหนา ๑ ฟุตมาพอกไว้บนหัวทูนไว้ แล้วอาทิตย์ส่องแสงก็ดินนั้นก็จะแตก หัวไม่แตก ถ้าว่าหัวเฉย ๆ อาทิตย์ส่องแสงแล้วหัวแตกตายเลย แต่นี่เอาดินพอกไว้ หนา ๑ ฟุต กว้าง ๑ ฟุต เอาไปทูนไว้ในสระ ทรมานตนหน่อย พออาทิตย์ส่องแสงดินแตกออกเป็นหลายเสี่ยงเลย ถูกแสงแดดแตกเลย หัวฤๅษีไม่แตก แล้วก็เลยรักกันสามัคคีกันอยู่กันต่อไป
ตัวอย่างมันมีอยู่ใน “คัมภีร์ธรรมบท ๑๐” ก็เล่าเรียนกันอยู่ เป็นอย่างนั้น หมายความว่านักบวชนี่เป็นผู้นำประชาชนเป็นแสงสว่างของโลก ถ้าว่านักบวชมืดแล้วชาวบ้านมันก็มืด นักบวชทะเลาะกันมันก็ไม่ได้เรื่องอะไร ทะเลาะกันทำไมขายหน้า ไม่ควรจะทะเลาะกัน เราอยู่กันเงียบ ๆ มีเรื่องอะไรก็ปิดประตูคุยกันเงียบๆ คุยกันเบาๆ อย่าไปคุยดัง ๆ ชาวบ้านจะได้ยินจะขายหน้าเขา
เดี๋ยวนี้มันไม่ได้ ต้องคุยให้ดัง แล้วเที่ยวไปบอกโยมนั้นโยมนี้หาสมาชิก โยมก็เหมือนกันนะไปเที่ยวเขาข้างฝ่ายนั้นเที่ยวเข้าข้างฝ่ายนี้ ก็เพื่ออะไร เพื่อประโยชน์ของตัว ถ้าองค์นี้เป็นสมภาร กูจะได้เป็นไวยาวัจกรได้จัดการผลประโยชน์จะได้เบียดบังผลประโยชน์ของพระศาสนามาใช้ส่วนตัวบ้าง เรื่องเหลวไหลทั้งนั้นไม่ได้สาระอะไร ไม่ได้มีความบริสุทธิ์ในใจ ไม่ได้ทำงานเพื่องาน ไม่ได้ทำงานเพื่อพระศาสนา ก็เกิดยุ่งมีบ่อย ๆ ปรากฏเป็นข่าวในหนังสือพิมพ์ มาอ่านทีไรแล้ว แหม นึกในใจว่าทำไมมันบ้ากันถึงขนาดนี้ ไม่ควรจะบ้าถึงขนาดนี้ ควรจะยับยั้งชั่งใจเสีย อย่าไปยุ่งก่อเรื่องก่อราวกันนะชาวบ้าน ชาวบ้านเค้าเลี้ยงเรา เราควรเกรงใจเขาบ้างถึงจะเรียบร้อยดี แต่ไม่เกรงใจเพราะกิเลส
กิเลสที่หนุนหลังความวุ่นวายสับสนนี่มะเร็ง ตัวเละมีสองตัวคือ “ความริษยา”กับ “ความตระหนี่” ริษยามีอาการอย่างไร ไม่อยากเห็นใครดี ไม่อยากเห็นใครเจริญ ไม่อยากเห็นใครมีความสุขความก้าวหน้า ตัวริษยาที่เห็นชัดคือในระหว่างสุภาพสตรีสองคน อย่าไปเรียกว่าสุภาพเลย สตรีสองคน คนหนึ่งเมียใหญ่คนหนึ่งเมียน้อย ต่างคนต่างริษยากัน เมียน้อยก็คอยเพ่งโทษเมียหลวง เมียหลวงก็เพ่งโทษเมียน้อย แล้วคอยติคอยว่าคอยซุบซิบอะไรต่าง ๆ นี่แหละอาการของความริษยา
หรือว่าลูกศิษย์สองคนอยู่ในสำนักเดียวกัน ลูกศิษย์สองคนนั้นมีใจริษยา ถ้าอาจารย์เรียกคนไหนไปใช้ ไอ้ลูกศิษย์คนนั้นจะมันคันอยู่ในอก ยุบยิบ ๆ เชียว จิตมันริษยา ไม่อยากให้คนนั้นไปรับใช้อาจารย์ เผลอ ๆ เข้าไปบอก ฮื้อ อาจารย์ ไอ้นั้นมันไม่ได้เรื่องนะ ต่อหน้าอาจารย์นะมันทำดีนะ ลับหลังอาจารย์มันเลอะเทอะนะ ไอ้อีกคนหนึ่งไปหาอาจารย์ ก็บอกอาจารย์อาจารย์อย่าไปเชื่อไอ้คนนั้นนะเหลวไหล เหลวไหลที่สุดเลย อาจารย์ก็ ฮึ ไม่รู้จะทำอย่างไร หูนี้ก็ได้ยินไอ้นี่ หูนี้ก็ได้ยินไอ้นี่ ต่างคนต่างริษยากันเลยก็ทำลายกัน ความริษยาทำลายกัน
พระพุทธเจ้าตรัสว่า “อรติ โลกนาสิกา แปลว่า ริษยาทำให้โลกฉิบหาย” คำนี้อย่าถือว่าหยาบ มันเป็นอย่างนั้น ฉิบหายล่มจมนะ ถ้ามีความริษยาในวงการใด วงการนั้นล่มจมเสียหายอยู่ไม่ได้เพราะความริษยา ความริษยานี่เป็นเหตุให้เกิดแข่งดีแข่งชั่วกัน ให้เกิดทำร้ายกัน ให้เกิดการเบียดเบียนกันในระหว่างผู้ที่อยู่ร่วมกัน เช่น เมียน้อยริษยาเมียหลวงก็เบียดเบียนเมียหลวง หนังสือเรื่องจักร ๆ วงศ์ ๆ ที่เราอ่านนั้นล้วนแต่มีความริษยากันทั้งนั้น ทำลายกันอยู่ตลอดเวลา จนกว่าจะตายไปหมดทั้งสองฝ่าย เลิกกันที่จบฉาก มันเป็นอย่างนั้น ตัวริษยา
เดี๋ยวนี้เราจะเห็นว่าโลกนี่ใช้ความริษยามาก ไม่อยากเห็นใครดี ไม่อยากเห็นใครก้าวหน้า ไม่อยากเห็นใครเจริญ ไม่อยากได้ยินคำชมเชยใคร ถ้าใครคนใดคนหนึ่งมาพูดชมเชยใครคนใดคนหนึ่ง ใจมันไม่สบายแล้วถามอยู่ในใจว่า ชมอะไรไอ้คนนั้นมันไม่เอาไหน นึกริษยาอยู่ในใจ แล้วบางทีมันล้นออกมาเป็นคำพูดคัดค้าน โต้เถียงกัน ขัดคอกัน ฐานมันอยู่ที่ความริษยา แล้วก็ทำให้เกิดความพยาบาทอาฆาตจองเวรทำร้ายเบียดเบียนกันด้วยประการต่างๆ ท่านจึงว่าเป็นบ่อเกิดแห่งความเสื่อมเป็นบ่อเกิดแห่งความเสียหายในสังคมในชาติในประเทศเพราะความริษยา
กษัตริย์ลิจฉวีแห่งเมืองเวสาลีอยู่กันเรียบร้อย เวลาประชุมก็พร้อมเพรียงกันประชุม เลิกประชุมก็พร้อมเพรียงกันเลิก ช่วยกันทำกิจที่หมู่คณะจะต้องทำ เคารพหัวหน้าทำตามหัวหน้า มีกติกาอะไรตกลงเป็นมติในที่ประชุมแล้วก็ทำตามมตินั้น ไม่มีการแก่งแย่งแข่งลาภต่อกัน พระเจ้าอชาตศัตรูต้องการจะยึดเมืองเวสาลีออกเป็นเมืองขึ้นของแคว้นราชคฤห์ ไปตีทีไรก็สู้ไม่ได้ เขาสู้ด้วยความพร้อมเพรียง เลยส่งนักบวชปลอม ๗ คนไป ไปเดินทางไปเฝ้าพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเห็นแต่ไกลบอกอานนนท์ว่านั่น เดี๋ยว ๆ ๆ จะเข้ามาหาเราตถาคต อ้ายนี่ไม่ใช่นักบวชจริง เป็นนักบวชปลอม พระเจ้าอชาตศัตรูส่งมาเป็นจารบุรุษ มาสืบสาวราวเรื่องอะไรต่าง ๆ ประเดี๋ยวเดียวไอ้เจ็ดคนนั้นก็มา ก็เข้ามาเฝ้าพระพุทธเจ้า มาสนทนากับพระพุทธเจ้า แล้วก็อ้างเรื่องว่า ไอ้นครเวสาลีมันอยู่กันอย่างไรมันถึงไม่แตกไม่ร้าว โจมตีเท่าใดมันก็ไม่แตก พระพุทธเจ้าก็บอกว่า ตราบใดที่กษัตริย์ลิจฉวีเขาประพฤติธรรมอยู่เรียกว่า “อปริยหานิยธรรม” ธรรมที่เป็นไปเพื่อความเจริญ ไม่เป็นไปเพื่อความเสื่อม แบบที่ว่าไปเมื่อสักครู่นี้ เวลาประชุมพร้อมเพรียงกันประชุม เวลาเลิกพร้อมเพรียงกันเลิก ช่วยกันทำกิจที่หมู่คณะจะต้องทำ เคารพบุคคลที่เป็นหัวหน้า เมื่อตกลงข้ออันใดเป็นมติที่ประชุมก็ทำตามนั้น ไม่ไปตั้งข้อประชุมเอาตามชอบใจ ไม่ไปเที่ยวโพทะนาว่าชั้นไม่เห็นด้วย ไอ้เรื่องนี้ ไอ้เรื่องศาลปกครองนั้นเราไม่เห็นด้วย ไปตั้งข้อแม้ แต่นี้เราก็แตกกันเท่านั้นเอง สร้างความแตกแยกแตกร้าว ในหมู่กษัตริย์ลิจฉวีไม่มีระบบอย่างนี้แต่เขาอยู่กันด้วยความรักความสามัคคี
ได้ฟังพระพุทธเจ้าเล่าอย่างนั้น พวกนั้นก็ได้เรื่องไปหาพระเจ้าอชาตศัตรู บอกว่าอย่าพยายามเลยไม่สำเร็จดอก กษัตริย์ลิจฉวีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเหมือนน้ำในสระแยกไม่ได้ พระเจ้าอชาตศัตรูก็บอกว่า “ฉันจะทำให้แยกได้” ก็เลยเรียกพราหมณ์เก่าคนหนึ่งมาชื่อว่า วัสสการพราหมณ์ เป็นข้าเก่าสมัยพระเจ้าพิมพิสาร เป็นปุโรหิตคือเป็นที่ปรึกษาพระเจ้าแผ่นดิน ถ้าสมัยนี้เรียกว่าเป็นองคมนตรีล่ะ พราหมณ์คนนั้นเรียกมาถึงบอกว่า “เจ้าแสดงละครกันหน่อยนะ ฉันจะเฆี่ยนเธอให้หลังลายเลยแล้วขับไล่เธอออกจากเมือง เธอก็ต้องไปนครเวสาลี ไปอาศัยอยู่กับกษัตริย์เวสาลี แล้วแกก็ใช้กลอุบายของแกทำให้กษัตริย์ลิจฉวีแตกแยกไม่พร้อมเพรียงกัน เมื่อใดแตกแยกส่งข่าวมาให้ฉันทราบ ฉันจะยกทัพไปตี” แตกสมใจ เพราะวัสสการพราหมณ์นี่เดินทางไปทุลักทุเล
โดยมีหนังสือเขาเรียกว่า “สามัคคีเภทคำฉันท์” แต่งโดย นายชิต บุรทัต แต่ตัวนายชิต บุรทัต นี่แกเอาตัวไม่รอดเหมือนกัน เพราะเป็นนักเขียนขี้เมา เมาไม่ได้ศัพท์ สั่งให้เขียนอะไรต้องเอาเหล้ามาวางไว้แกถึงเขียนได้ แต่พอดื่มแล้วไม่ได้ เขียนไม่ได้ เคยมาวัดสามพระยาบ่อย มาหาเจ้าคุณผิน เดี๋ยวนี้อยู่หาดใหญ่ สิ้นบุญแล้วจะทำศพวันที่ ๓ พฤษภา เจ้าคุณแกให้เขียนไรก็เอาเหล้ามา แก้ววางไว้ให้เขียน เขียนแล้วให้ดื่ม ทำได้ ถ้าให้ดื่มก่อนเขียนไม่ได้ เมาอยู่อย่างนั้น เดี๋ยวนี่ก็สมัยก่อนนักเรียนชั้น ม.๗ - ม.๘ เค้าให้เรียนหนังสือนี้ เรื่องสามัคคีเภทคำฉันท์ เรียนภาษา เรียนธรรมะไปด้วย
อันนี้ เมื่อวัสสการพราหมณ์ไปถึงกรุงเวสาลี ก็เข้าไปกราบพวกกษัตริย์ลิจฉวี เล่าความให้ฟังว่า “ข้าพระองค์นี่เป็นข้าเก่าเมืองราชคฤห์ ทำงานมาตั้งแต่สมัยพระเจ้าพิมพิสาร เป็นที่โปรดปรานของพระองค์ มาถึงอชาตศัตรูลูกชายใจชั่วใจบาป ลงโทษข้าพเจ้านี่ หันหลังให้ดู ดูมันเฆี่ยนข้าพเจ้าจนหลังลาย และขับไล่ออกจากเมือง ตุรัดตุเร่ ไม่รู้จะไปอยู่ไหน ได้ข้าวว่าเมืองลิฉฉวีนี่มีความดีมาก เลยมาขอพึ่งบารมีอยู่ด้วยเถอะ” เขาก็รับไว้ รับไว้แล้วก็ให้ทำหน้าที่สอนเด็ก ก็เป็นครูเป็นอาจารย์ ความรู้ดี พราหมณ์นี่มีหน้าที่สอนเด็ก ก็เลยให้สอนเด็ก ให้สอนเด็กก็ยุเด็กให้แตกกันก่อน วิธีการยุเด็กครั้งแรก เด็กมาถึงเรียกเข้ามาในห้องไม่พูดอะไร เรียกมา เด็กออกไปเพื่อนถามว่าอาจารย์ว่าอย่างไร ไม่ว่าอย่างไรไม่พูดอะไร เด็กสงสัย แล้วเด็กคนอื่นเข้าไปก็ไม่พูดอะไร ออกไปเด็กมันก็ถามกัน เลยไม่ไว้ใจกัน ว่าอาจารย์คงจะบอกอะไรแต่มันไม่บอกเรา คอยจนเด็กแตก แตกแยกกัน แล้วเด็กไปเล่าให้พวกพ่อฟัง พ่อแตกกัน แล้วก็มีกลองใบใหญ่ กลองนั้นถ้าตีแล้วกษัตริย์ลิจฉวีมาหมด มาประชุมกันอย่างพร้อมเพรียง ตีกลอง ไม่มีใครมา แตกแล้วได้การแล้ว ส่งข่าวไปถึงพระเจ้าอชาตศัตรูว่าเมืองวาเสลีเดี๋ยวนี้แตกแล้ว ยกทัพมาได้ มาตีก็แตกตกเป็นเมืองขึ้นของพระเจ้าอชาตศัตรู มันเป็นอย่างนั้น มันแตกเพราะขาดธรรมะ ถ้ามีธรรมะอยู่ก็ไม่แตก ยังพร้อมเพรียงกันอยู่
คราวนี้ คนที่ทำงานบางทีมันมีริษยากัน ไอ้คนนั้นมันได้เป็นอธิบดี แหม มันเก่งกว่ากู กูจะหาทางทำลายมัน ซุบซิบนินทาว่าร้ายกันด้วยประการต่าง ๆ แต้มสี เดี๋ยวนี้เครื่องมือดีคือหนังสือพิมพ์ ให้หนังสือพิมพ์ลงข่าวแต้มสี คนนั้นอย่างนั้น คนนั้นอย่างนี้ ว่าบ่อย ๆ ผลที่สุดก็ถูกปลด แล้วตัวก็ได้ขึ้น เรียกว่าปืนบันไดที่เต็มไปด้วยขวากหนาม จนหนามตำเท้าเลือดโทรมแล้วขึ้นไปนั่ง มันจะไปสบายได้อย่างไร มันไปนั่งอย่างนั้นมันก็ไม้สบาย ลูกน้องของคนนั้นมันก็โกรธ มันก็ประทุษร้ายกันต่อไป
เวรไม่เคยระงับด้วยการจองเวร แต่ระงับด้วยการให้อภัยแก่กันและกัน แต่ว่าใช้วิธีการหนามยอกหนามบ่ง มันก็เจ็บปวดนะ หนามมันยอกเข้าไปแล้วเอาหนามไปบ่งมันก็เจ็บปวดนะ แม้เอาหนามออกได้แต่มันก็ปวด บางทีอาจเป็นบาดทะยักตายก็ได้ ทำให้เกิดความเสียหายก็เพราะความริษยาต่อกันและกัน
ในเมืองไทยนี้เขียนหนังสือไว้หลายเรื่อง เรื่องริษยา พระเพื่อนพระแพง ก็เป็นเรื่องของความริษยาแก่กันและกัน จึงเกิดเรื่องมีปัญหารบราฆ่าฟัน
เรื่องอื่น ที่เมืองสองจังหวัดแพร่ และก็สืบมาจนบัดนี้คนเมืองแพร่ก็ยังเกลียดยังโกรธกันอยู่ ยังรบราฆ่าฟันกัน พยาบาทกันจริงๆ โกรธใครแล้วต้องให้ไปยิงมัน ยิงกันไปยิงกันมาจนหมดตระกูล สองสกุลนั้นยิงหมด ลูกเด็ก ๆ นอนในบ่อมันก็ยิงกันให้ตาย ไม่ให้มันเติบโตกันต่อไป มันรุนแรงถึงขนาดนั้นเพราะความไม่ลงรอยกัน ไม่รักกัน ไม่สามัคคีกัน ไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเพราะความริษยาอาฆาต เพราะเริ่มต้นด้วยความริษยา แล้วก็แตกหน่อแตกกิ่งแตกก้านกลายเป็นเรื่องใหญ่โตมโหฬาร มีอยู่ในสังคมมนุษย์ทั่วๆ ไป
คนดี ๆ คนเรียบร้อยทำงานทำการเป็นประโยชน์ ก็มีพวกคนบางพวกก็ริษยาทำลาย ยกตัวอย่างเช่นว่า ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ เหมือนโยมนี่เสียสละครอบครัว ลาสามีเพื่อไปขอไปออกบวชลาอยู่ ๒ ปีนะ สามีจึงอนุญาตให้ แล้วก็บวชนุ่งผ้าสีขาวไปเที่ยวอยู่ตามวัดนั้นวัดนี้ ไปศึกษาการปฏิบัติที่เลียบ (38.01 สถานที่ไม่ชัดเจน) ต่อมาก็ได้มาอยู่ที่เมืองกาญจน์ เกาะมหามงคล ที่ดินที่มันอยู่นะแม่น้ำมันโค้งมาอย่างนี้สวย มีภูเขา เป็นที่ของพระวัดอรุณ หลวงพ่อเอี่ยม ท่านเห็นว่าแม่ชีนี้ตั้งใจจริงที่จะบวช (38.25 เสียงไม่ชัดเจน) ก็บอกว่าลูกพี่ไปอยู่ที่ตรงโน้น ทีหลังเปลี่ยนชื่อว่าเกาะมหามงคล อยู่เขาอยู่เรียบ ๆ ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ คนโน้นเขาก็เอาของไปให้เอาเงินไปให้สามารถสร้างสถานที่ใหญ่โต สร้างศาลาหลังใหญ่ ๆ เสาต้นเท่า ๆ นี้ สองหลังสามหลัง กำลังสร้างอีกหลังเรียกว่าศาลาพรหมจรรย์ ให้พระไปอยู่อีกส่วนหนึ่งของบริเวณ ให้พระไปอยู่พื้นที่เล็ก ๆ พระอยู่ ให้พระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ แต่หาพระยาก มีไปอยู่อยู่สามสี่องค์ พระแกไม่อยู่เพราะว่าระเบียบมาก แม่ชีคุมพระ แกก็ไม่อยากอยู่ ไม่ไหว แกก็อยู่อย่างนั้น ไม่เคยแจกฎีกาไม่เคยออกโทรทัศน์ ไม่เคยออกวิทยุ แต่เงินมันมา เงินมาเยอะๆ คนเอามา ศาลาหลังหนึ่งมันไม่ใช่สองสามหมื่นบาทนี่ เสาต้นเดียวก็ตั้งสองหมื่นกว่าบาทแล้ว เสาไม้สักนะ มากมายสามไม้ (39.31 เสียงไม่ชัดเจน)
แล้วก็บนภูเขานั้นมันเป็นที่ว่าง ป่าไผ่ ไม่มีต้นไม่ใหญ่อะไรดอก แล้วมีโขดหินสวย แกก็ขึ้นไปสร้างเจดีย์บนโขดหินนั้นแล หนังสือพิมพ์ว่าสร้างคอนโด มันคนละเรื่องกับคอนโดนะ สร้างเป็นเจดีย์สวยงามเรียบร้อย ใกล้จะเสร็จแล้วนะ หินปูพื้นนี่สั่งมาจากไต้หวันเป็นหินสีเขียวสีหยกไปเลย โบกฝา (40.02 เสียงไม่ชัดเจน) ทำดี ราคามาก หลวงพ่อไปนอนหลายหนแล้ว ไปดูพฤติกรรมว่าเขาทำอะไร เรียบร้อยไม่มีอะไร แล้วก็พวกก็โจมตีว่าอย่างนั้นว่าอย่างนี้นะ หนังสือพิมพ์โจมตีทุกวัน นี่หยุดไปแล้ว แล้วก็บอกว่าวันที่ 14 เป็นวันดีเดย์ตำรวจจะบุกจับแม่ชี โอ้ แล้วบอกว่าต้องเอา ตชด. สักสองร้อยไปช่วยกันจับ ไปจับผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ไปเอาตำรวจไปทำไมมากมาย ไปคนเดียวก็พอแล้ว ไปบอกว่า ขอเชิญแม่ชีไปโรงพัก แกก็ไปนะ มันไม่ต้องลำบากอะไรดอก
เหมือนกับไปจับพระเจ้าคุณพิมลวัดมหาธาตุนะ เอารถโล่ (40.44 เสียงไม่ชัดเจน) เอาไปสามสี่คัน เอาไปจะจับพระองค์เดียว แล้วไม่บ้าตายหรือ เจ้าหน้าที่นั่นมันไม่เต็มบาท เอารถเกราะไปด้วย พระที่ไหนจะมาสู้รบตบมือ ไปถึงก็นิมนต์ ว่านิมนต์ท่านไปสันติบาลสอบสวนหน่อย ท่านก็ไปเรียบร้อยไม่ได้ว่าอะไร เอาไปกักไว้ ๕ ปี ตอนนี้ก็ฟ้องศาล ศาลตัดสินยกฟ้อง ดีนะไอ้พวกที่จับท่านตายเสียก่อนแล้ว ถ้าไม่ตายก็จะได้ฟ้องกลับสักที ทำให้เสียอิสรภาพ ทำให้เสียชื่อเสียง แต่มันตายเสียก่อน บาปกรรมตายก่อนแล้ว ไปตายต่างประเทศด้วยนะไอ้พวกนี้ ถ้าไม่อย่างนั้น
นี่ก็เหมือนกัน ลงข่าวเอาทุกวัน ๆ อาตมาก็อ่านแล้วนึกในใจว่าเรื่องอะไร คนเขาทำดี พวกผู้หญิงที่อกหักอกแตกอกร้าวทั้งหลายก็ไปอยู่ที่นั่นนะโยม ไปแล้วมันสบาย มีอาหารให้กิน มีที่หลับนอน สอนให้ประพฤติธรรม เขาอยู่กันเรียบร้อย อยู่กันตั้งสองสามร้อย คน ๆ เดียวนี่เลี้ยงคนวันละสามร้อยคนมาหลายปีแล้วนะ สามร้อยสี่ร้อย ไม่มีดีมันจะเลี้ยงได้อย่างไรนะ แล้วคนมันริษยาหาว่าอย่างนั้นหาว่าอย่างนี้
เขียนบ่อย ๆ ท่านพยอมก็ผสมโรงด้วยนะไปว่าเขา หลวงพ่อไปเทศน์วัดพยอมแล้วถามว่า ไอ้เรื่องแม่บงกชนั่นเอาข่าวมาจากไหนไปเทศน์เป็นตุเป็นตะ เขาว่า เอานี่มันเสียเหลี่ยมนา เขาว่าอย่าเอามาพูด พูดให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์รุนแรงเสียหาย หนังสือพิมพ์มันไปเขียนเองนะ ผมไม่ได้ว่าอย่างนั้นนะ ว่าไม่ว่าแต่เขาว่าท่านพยอมว่ามันเสียชื่อนะ ทีหลังอย่าพูดดีกว่า อย่าให้สัมภาษณ์เลย อยู่เฉย ๆ ใครมาถาม ฉันไม่รู้ หลวงพ่อเขามาถามเรื่องยันตระกับหลวงพ่อนะ มาหลายคนนะ โอย ฉันไม่รู้ อยู่ไกล เขาอยู่นู่น ...... (42.52 สถานที่ไม่ชัดเจน) ฉันยังไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหนนี่ อยู่อย่างไรฉันก็ไม่รู้ ฉันจะพูดได้อย่างไร แล้วก็ไป พวกหลังมาอีก ก็ตอบอย่างนั้น ทำไมไม่เอาลงล่ะ มันไม่ลงว่าท่านปัญญาว่าอย่างนั้น มันไม่เป็นประโยชน์แก่เขา เขาก็ไม่ลง เราไม่พูด มันก็เรียบร้อย พูดทำไมหรือ จ้องทำลายฉันมันก็เรื่องของเขา ใครบาปก็ให้มันบาปไป เราอย่าไปผสมบาปกับเขา อย่าไปส่งเสริมคนบาปคนชั่ว เฉย ๆ
อันนี้พวกที่อยู่เกาะมงคลเค้าก็ร้อนใจ ตำรวจจะจับแล้ว มาหาหลวงพ่อกัน มีอะไรกันหนูมาทำไม เขาจะจับแม่แล้ว บอกไม่ต้องกลัว อยากจะจับก็จับไป เอาไปไว้โรงพักไหนก็ไป คนมันไปเยี่ยมเอง หลวงพ่อจะไปเยี่ยมด้วยให้กำลังใจ ปล่อยไว้ (43.41 เสียงไม่ชัดเจน) เป็นคนดี เราจะไปว่าร้ายเขาทำไม มองเห็นแล้วว่าเขาทำเรียบร้อยทำดี แล้วไม่ได้หาเงิน ไม่ได้โฆษณาไม่ได้ประชาสัมพันธ์ให้คนรู้ คนรู้เอง เขาไปกันเอง เอาเงินไปให้ เอาไปสร้างนั่นสร้างนี่
เค้าทำนี่กำลังทำสะพานข้ามแม่น้ำคราวที่น้ำท่วมไหลใหญ่ สะพานที่ลอยขึ้นลงนะน้ำมันเอาไปหมด เลยทำใหม่ทำเหมือนพระราม๙ เลยเชียว โครงเหล็กอันใหญ่ ๆ พระมาช่วย พระองค์หนึ่งวัดดงศักดิ์มาช่วยทำ แกทำมาหลายสะพานแล้ว ทีนี้เดินสบาย ไม่กลัวน้ำเพราะสูงพ้นน้ำ สะดวกสบาย เอาเงินที่ไหนมาสร้าง ชาวบ้านให้ เขาไปทำบุญ คือเขาเห็นว่าคนดี คนมันจะพ้นภัย ไม่ใช่หูหนาตาเล่ออะไร เขาดูคนเป็น ฟังเป็น รู้อะไรถูกต้อง เขารู้ เขาไปดู อ้อ ใช้ได้ เขาช่วย บางคนช่วยตั้งล้านสองล้าน เขาให้เพราะเห็นว่าทำประโยชน์
แล้วคนมาอยู่กันเยอะแยะ พวกสาว ๆ แส้ ๆ ไม่แก่หง่อม มาอยู่กันนะ อยู่สบายมีอาหารกิน กินผัก กินกันเป็นระเบียบ โรงครัวสะอาด ห้องน้ำสะอาด ทุกส่วนในวัดสะอาด ผู้หญิงทำทั้งนั้น ทำงานตื่นเช้าก็ทำงาน ทำทุกคน แล้วก็ทานข้าว ทานแล้วทำงาน บางทีก็หยุดงาน ปฏิบัติธรรม ๙ วัน คือขึ้นภูเขา ขึ้นภูเขาเดินไปแล้วก็ลงมา แล้วก็เดินขึ้นเดินลง วันหนึ่งหลายรอบ เดินกันไป เวลาจะสร้างเจดีย์นี่ เอาทรายขึ้นไป เอาไปคนละกระป๋องเล็ก ๆ หิ้วขึ้นไปเอาไปเทไว้ ๆ คนสามสี่ร้อยหิ้วตักทรายขึ้นไป หิ้วหินขึ้นไป เอาน้ำขึ้นไปเพราะยังไม่มีเครื่องสูบน้ำ เขาทำกันได้ ทำกันโดยความพร้อมเพรียงทำด้วยศรัทธา และเราจะไปรังเกียจไปรังแกคนประเภทนั้น มันเรื่องอะไร
หนังสือพิมพ์ข่าวสดนี่ลงทุกวัน มานึกในใจว่าต้องไปโปรดบรรณาธิการเสียที ทำไมชอบลงอย่างนั้น ข่าวสดชอบลงเรื่องพระนี่ก็ลงแล้วลงอีก มันควรจะจบแล้วก็ลงอีกอย่างนั่น ไอ้อย่างอื่นไม่ค่อยจะลง ลงเรื่องอะไร นี่แลคือความริษยา ที่ทำอย่างนั้น ริษยาเพราะเขาจะดีจะเก่ง
ความจริงมันมีต้นตอ คือผู้หญิงคนหนึ่ง แรก ๆ ก็อยู่ที่นั่น แล้วก็ร่วมกันซื้อที่ดินแปลงหนึ่งที่สร้างศาลาพรหมจรรย์นี่ แกจะให้ลงชื่อแก พวกไม่ยอมนะ พวกลูก ๆ ทั้งหลายไม่ได้ลงชื่อเขาถ้าเขาเอาไปเราก็ไม่ได้ใช้ ก็หาเงินให้เขา เอาเงินชดเชยให้เขาแล้วก็ลงชื่อมูลนิธิ เป็นของมูลนิธิ ไม่ใช่ของแม่บงกชอะไร ของมูลนิธิ แล้วก็พัฒนา แม่คนนั้นโกรธผูกพยาบาท กูจะต้องทำลายอีนี่ให้ได้ อย่างนั้นแล้วมาเที่ยวทำลาย ไปพูดกับคนนั้นคนนี้ซุบซิบนินทา คนก็เชื่อ ตามจริงไม่น่าเชื่อเพราะว่าพูดจาไม่ดี แต่ว่าเป็นคนพูดเก่งตลบตะแลง ทำเอาท่านยันตระพลิกห้อง (47.19 เสียงไม่ชัดเจน)ไปแล้ว คนเดียวกันนะโยม เค้าเรียกแม่นั้น แม่เดียวกัน แม่ไม่โตนั่นแล พลิกห้อง (47.27 เสียงไม่ชัดเจน) ไปเรื่อย แล้วจะไปขวิดแม่ชีอีก
มันเรื่องอะไร เขาทำดีทำถูกทำเป็นประโยชน์ ถ้าเราช่วยเขาไม่ได้ก็อยู่เฉย ๆ แต่มันทนไม่ได้ จิตใจมันเต็มไปด้วยความริษยาเลยต้องทำลาย ไปเที่ยวบอกคนนั้นไปบอกคนนี้ จ้างนักข่าวให้เขียนข่าว ให้โจมตี แกมีลูก ๒ คน นั่นจะโจมตีไปถึงลูกว่าลูกนั้นไม่ใช่ลูกท่านปลัด เฮ้อ ถ้าเขียนอย่างนั้นก็ต้องให้ฟ้องศาลกันละ หาว่าหมิ่นประมาท ไม่รู้ยังไง เราไม่ใช่ลูกปลัด
แกเป็นคนเรียบร้อยทำมาหากิน เป็นช่างตัดผม ไปทำผมแข่งกันถึงปารีสนะ ชื่อเสียงแกอยู่สระแก้ว อรัญประเทศ อำเภอวัฒนา ทีนี้แกทำงาน ทำงานแล้วแกเบื่องาน แกอยากจะออกบวช เขาเบื่อของเขาเอง เขาออกบวช บวชจริงจัง ทำจริงไม่โกนผมแต่ว่าแต่งตัวนุ่งขาวห่มขาว พูดจาเรียบร้อยสุภาพนิ่มนวล ไม่อะไร
หลวงพ่อไปนี่เขาตั้งแถวต้อนรับ พอไปถึงก็ “สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ” เขาเรียบร้อยพร้อมกันหมด ดูแล้วน่าเอ็นดู ไม่น่าจะทุบหัวแล้ว เป็นอย่างนั้น มาเล่าให้ฟังเสียหน่อย มีคนบางคนว่าหลวงพ่ออย่าไปยุ่งนะ แม่คนนั้นนะไม่ได้นะ เดี๋ยวเสียชื่อ มันจะเสียชื่อยังไง ถ้าเราทำดีมันจะเสียชื่อได้อย่างไร เราสนับสนุนคนดีมันจะเสียชื่ออย่างไร หลวงพ่อไม่ใช่คนตาถั่ว ดูอะไรมันต้องดูนาน ๆ ดูอย่างละเอียดลึกซึ้ง แต่ถ้าหลวงพ่อชมว่าดีล่ะก็ดีจริงนะ แต่ถ้าหลวงพ่อว่าใช้ไม่ได้ มันก็ใช้ไม่ได้ เพราะว่าพูดด้วยการใช้ปัญญา ไม่ได้พูดด้วยความโง่ความเขลาความริษยาความพยาบาทอะไร
เขาก็สบายใจ เอาเทปมาให้ฟัง เขาเทศน์พูดดีนะ สอนคนนะ สอนเรียบร้อยเอามาให้ฟังเพื่อเป็นเรื่องเป็นจริง แต่ไม่ได้ยกตัวยกตนอะไร สอนคนธรรมดาสอนลูก ๆ ต้องทำอย่างนั้นต้องทำอย่างนี้ทำดีไว้เถิดไม่ต้องตกใจไม่ต้องกลัวอด ข้าวสารหมดก็อย่าไปเป็นทุกข์ ผักหมดก็อย่าไปเป็นทุกข์ ทำดีไว้มันมาเอง ไม่เท่าไรข้าวสารก็มา เอามา ๆ เอามาเยอะเลย กินกันไม่หวาดไหว มันเป็นอย่างนั้น ว่าง ๆ ไปดูสักที นัดไปดูกันสักวัน ไปนอนก็ได้ไม่ต้องเสียสตางค์ นอนสองวันสามวันก็ได้ อากาศดีน้ำดี ตักน้ำจากแม่น้ำขึ้นไปบนภูเขาไปสร้างเจดีย์ไม่ใช่คอนโด ไอ้คอนโดนั้นที่ให้คนเช่า นั่นมันเจดีย์ พระพุทธรูปองค์ใหญ่นั้นทำด้วยหินอ่อนนะจากพม่านะ ราคาเท่าไรเอาไปไว้บนนั้น ทำอย่างดี
แล้วแกค่อยทำที่อินเดีย ไปซื้อที่ดินอินเดียก็ตั้งร้อยกว่าไร่ ไปสร้างวัด เวลาไปชุดแรกลงเรือบินกัลกัตตาแล้วแกเดินไป สามร้อยนะเดินไป เดินไปจนตำรวจอินเดียต้องมาดูแลเอารถมาคุมการเดินให้ไปเรียบร้อย กลัวผู้คนจะรังแก ผู้หญิงทั้งนั้น เค้ามาคุมคุ้มครองให้ไปจนถึงพุทธคยา ไปเมืองพาราณสี ไปกุสินารา ลุมพินี สาวัตถี เดินทั้งนั้น เดินฝึกความอดทน อาหารก็พาไปไปดักข้างหน้า ไปหุงไปแกงไว้ เดินไปถึงก็ไปฉันกัน แล้วก็เดินต่อไป เรื่อยไปถึงสาวัตถีไปซื้อทีดินไว้ ตอนนั้นไปเมืองอินเดีย ไปกัน ๗๐๐ คน สนามบินเต็มไปหมด แม่ขงแม่ขาวนั่งเต็มไปหมด
หลวงพ่อไปเทศน์ในสนามบินนะ ไปเรือบิน ๓ ลำ ลำเดียวไม่พอ ทยอยกันไปวันนั้น เหมาลำไป ไปปลูกต้นไทรตั้ง ๙,๙๙๙ ต้น เอาหน่อไปจากเมืองไทย พาไปปลูกทำให้เป็นสวนร่มรื่นสบาย มีพระพุทธรูปหินองค์ใหญ่เลยไปวางไว้ เดี๋ยวนี้ส่งลูกน้องไปอยู่ ๕๐ คนไปดูแลรักษาต้นไม้
แกทำได้ คนอย่างนี้หาได้ที่ไหน คนมีเงินก็ทำไม่ได้ เพราะว่าขี้เหนียวทำไม่ได้ แกไม่มีเงินแต่ก็ทำได้ มีคนช่วยเหลือ เขาเอาไปช่วยเพราะทำดี คนนั้นช่วยคนนี้ช่วย เงียบ ๆ ไม่โฆษณา แอบ ๆไปทำบุญ ไม่ต้องประกาศชื่อว่า นายจันทร์ ๑๐๐ บาท นายโน้นนายนี่ไม่มี เขาไม่ประกาศชื่อ ไม่โฆษณา ไม่มีมหรสพหลอกคน คนไปนั่นก็มีพักผ่อนสบาย คนบางคนเป็นทุกข์กลุ้มอกกลุ้มใจมาที่นี่ มาเขียนจดหมายไปโน่นแล้ว (53.19 เสียงไม่ชัดเจน) เลยไปอยู่นั่นเลยไม่กลับบ้าน ผัวตามไปก็ไม่กลับเพราะผัวมันเกเรเหลวไหล เลยบอกไปอยู่โน่น ให้ไปสงบจิตสงบใจเหมาะที่สุดแล โยมเป็นทุกข์แล้วไปสิ ไม่ต้องให้เขียนจดหมายก็ได้ ไปเขารับทั้งนั้น ไปอยู่มีอาหารให้กิน มีที่ให้พักผ่อนหลับนอน มีธรรมะให้ปฏิบัติ เขาเรียบร้อยดีจริง ๆ แล้วจะไปโจมตีเขาทำไมคนดี ๆ ให้กำลังแก่คนดีเพื่อทำดีต่อไปนั้นถูกต้อง แต่ถ้าใครทำดีแล้วปัดแข้งปัดขาเตะไปเลย อย่างนี้ไม่ใช่คุณธรรม ไม่ใช่เรื่องถูกต้อง ไม่ควรทำ เราควรสนับสนุน
พระพุทธเจ้าบอกว่า “ทำดีด้วยตน สนับสนุนคนทำดี ส่งเสริมให้กำลังใจแก่คนทำดี ทำดีด้วยตน ชักชวนคนอื่นให้ทำดี สนับสนุนคนที่ทำดี ให้มีกำลังใจ ทำดีได้ดีต่อไป นั่นแล การส่งเสริมศาสนา” ถ้าเราทำลายมันก็ไม่ได้เรื่องอะไร เอาละ สมควรแก่เวลาหรือยัง หมู่นี้คอมันแห้งจริง ๆ ยังไม่หาย ปากแห้ง