แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ขอให้ทุกท่านอยู่ในอาการสงบ ตั้งอกตั้งใจฟังด้วยดี เพื่อให้ได้ประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการมาวัดตามสมควรแก่เวลา หมู่นี้คอมันไม่ค่อยดีเท่าไหร่เสียงแห้ง เมื่อวานนี้บวชนาคตอนเช้า ๓๓ นาค เกือบจะไปไม่รอด เสียงมันแห้ง ตอนบ่ายให้ท่านเจ้าคุณราชวิสุทธิโมรีเป็นอุปัชฌาย์แทน อาตมาพักเอาเสียงไว้หน่อย เมื่อเช้านี้เขานิมนต์ไปที่หมู่บ้านประชานิเวศน์ ๔ เขาทำบุญกลางบ้านกลางถนน มาร่วมกันทำบุญฟังธรรมนิดๆ หน่อยๆ แล้วก็กลับมาวัด มาถึงญาติโยมคนนั้นเข้าไป คนนี้เข้าไป ไม่ได้พักผ่อน เพราะวันอาทิตย์คนมามาก ก็เลยนั่งต้อนรับโยม พอถึงเวลาบอกว่าไม่เอาแล้ว จะไปเทศน์แล้ว โยมก็ลุกขึ้นกลับไปมานั่งฟังธรรมกันต่อไป
เรื่องการฟังธรรมะนี่เป็นเรื่องจำเป็นสำหรับชีวิตที่เราจะต้องฟัง เรียกว่าต้องศึกษาทำความเข้าใจ ศึกษาด้วยการฟัง ศึกษาด้วยการอ่าน ศึกษาด้วยการคิดค้น ในเรื่องที่เราได้พบได้เห็นในชีวิตประจำวัน เพื่อให้รู้ว่ามันคืออะไร ไม่ให้เราตกอยู่ในอำนาจของสิ่งเหล่านั้น แต่ว่าเรามีจิตใจอยู่เหนือสิ่งเหล่านั้น ถ้าอยู่เหนือสิ่งเหล่านั้นเราก็เป็นไทแก่ตัว ไม่เป็นทาสของสิ่งที่เราได้พบได้เห็น แต่ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจก็ตกเป็นทาส เป็นความทุกข์ในชีวิตประจำวัน พระผู้มีพระภาคเจ้าสอนให้เราเข้าใจเรื่องต่างๆ ตามสภาพที่เป็นจริง เพื่อจะได้แบ่งเบาความทุกข์ความเดือดร้อนที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน ให้มันสร่างไปหายไป อันนี้เป็นจุดหมายสำคัญ
ที่เรามาวัดก็มาเพื่อศึกษา หาความรู้ความเข้าใจในเรื่องสิ่งทั้งหลาย ตามสภาพที่มันเป็นอยู่จริงๆ ไม่รู้ ไม่ใช่รู้แต่เพียงผิวเผิน รู้ไม่ลึกไม่ซึ้ง ไม่เข้าใจชัดเจน ก็ย่อมเป็นเหตุให้เกิดการหลงผิดเข้าใจผิด แล้วก็สร้างปัญหาขึ้นในชีวิตด้วยประการต่างๆ แต่ถ้าเรารู้ชัดเห็นชัดในเรื่องนั้นตามสภาพที่เป็นจริง เราก็ไม่ต้องเป็นทุกข์ ไม่ต้องตกไม้ทรายขมเพราะเรื่องอย่างนั้นต่อไป อันนี้เป็นจุดหมายสำคัญที่เรามาศึกษาธรรมะ แล้วก็ศึกษาเพื่อให้เกิดปัญญา เกิดความเข้าใจถูกต้อง การศึกษาธรรมะในทางพุทธศาสนา ต้องศึกษาเรื่องที่ถูกต้องตรงตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ถ้าเราศึกษาไม่ถูกไม่ตรงมันก็เขวออกไปนอกลู่นอกทาง สร้างปัญหาแก่ชีวิตขึ้นได้
แต่ถ้าเรารู้จักทาง ทางตรง ทางถูก เดินไปแล้วไปถึงปลายทางด้วยความปลอดภัย นั่นเป็นการถูกต้อง ผู้สอนธรรมะมีมาก สอนในรูปต่างๆ มีวิธีการสอนไม่เหมือนกัน การสอนนั่นเขาสอนเพื่ออะไร ถ้าสอนเพื่อให้คนรู้แจ้งเห็นจริง ในสิ่งที่ควรรู้ควรเข้าใจ ก็เป็นการถูกต้อง แต่ถ้าสอนด้วยความคิดแอบแฝง ความคิดแอบแฝงก็หมายความว่า สอนเพื่อลาภ เพื่อสักการะ เพื่อดึงญาติโยมไว้ให้อยู่ในสำนักของตัว แล้วจะได้ลาภ ได้สักการะเพื่อเอาไปใช้จ่ายในเรื่องใดก็ตาม การสอนอย่างนั้นมันไม่ถูกต้อง เป็นการสอนที่ทำให้คนหลงผิดเข้าใจผิด งมงายด้วยประการต่างๆ ผู้สอนจึงต้องมีจิตใจไม่ลำเอียง ไม่ลำเอียงเข้าข้างตัว ไม่สอนเพื่อลาภ เพื่อสักการะ เพื่ออะไร แต่ว่ามีจิตมุ่งประการเดียวว่า สอนเพื่อให้คนเกิดความรู้ความเข้าใจถูกต้อง ทำตามหน้าที่ผู้สอนที่ถูกต้อง เมื่อสอนออกไปแล้วคนเขารับไปคิดไปปฏิบัติ เป็นการช่วยตัวเองให้พ้นจากปัญหา คือความทุกข์ความเดือดร้อนในชีวิตประจำวัน ก็เป็นอันใช้ได้ นั่นคือจุดหมายสำคัญ
พระผู้มีพระภาคเจ้าของชาวเราทั้งหลาย พร้อมด้วยพระสงฆ์สาวกจำนวนมาก ที่ออกไปประกาศธรรมะแก่ประชาชนตามคำสั่งของพระองค์ พระองค์สั่งว่าลูกเอ๋ยเจ้าได้พ้นแล้วจากบ่วงอันเป็นพิษ พ้นแล้วจากบ่วงอันเป็นของมนุษย์ ไม่มีบ่วงพันคอแล้ว จงเที่ยวไปเพื่อประโยชน์เพื่อความสุขแก่มหาชน ให้ไปเพื่อประโยชน์เพื่อความสุขแก่มหาชน จงประกาศหลักพรหมจรรย์ หลักพรหมจรรย์คือหมายถึงว่าการปฏิบัติที่ถูกที่ชอบที่ตรง ที่เป็นไปเพื่อความพ้นทุกข์พ้นร้อน อันไพเราะเบื้องต้นท่ามกลางที่สุดแก่เขา เธอจงไปทางเดียวรูปเดียว อย่าไปกันสองรูปเพราะพระน้อย ให้ไปทางเดียวองค์เดียวแล้วก็สอนเขา นี่เป็นคำสั่งที่สำคัญมาก ที่พระผู้มีพระภาคสั่งแก่ภิกษุจำนวน ๖๐ รูป ที่จะออกเดินทางไปเผยแพร่พรหมจรรย์แก่ญาติโยมทั้งหลาย ให้เกิดความรู้ความเข้าใจถูกต้อง
พระองค์เองก็ไปเหมือนกัน แล้วก็ไปสอนเพื่อให้คนมีความรู้มีความเข้าใจถูกต้อง ไม่ได้มุ่งอะไร ไม่ได้ต้องการอะไรจากการสอน แล้วก็ไม่สอนให้กระทบกระเทือนใคร พระพุทธเจ้าไม่ติไม่ว่าใคร พูดแต่หลักการปฏิบัติให้คนเข้าใจ ในประเทศอินเดียในสมัยนั้นมีครูอาจารย์เยอะมากมาย ครูอาจารย์ทั้งหลายก็ยกย่องลัทธิของตัว เชิดชูแนวทางของตัวว่าเป็นทางประเสริฐ เป็นทางเป็นไปเพื่อความพ้นทุกข์พ้นร้อน พระผู้มีพระภาคแม้จะไม่ทรงเห็นด้วยกับแนวทางเหล่านั้น ก็ไม่ได้พูดวิพากษ์วิจารณ์เขา ปล่อยให้เขาทำงานไปตามเรื่องของเขา แต่พระองค์จะชี้ลงไปให้ชัดเจนว่า ทางนี้เป็นอย่างไร ปฏิบัติโดยวิธีใด เมื่อปฏิบัติแล้วเธอทั้งหลายจะรู้ได้ตัวเอง รู้ได้ด้วยตัวเองเป็นปัจจัตตัง
ที่เราสวดมนต์อยู่ในพระธรรมคุณว่า ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ อันวิญญูชนทั้งหลายพึงรู้เฉพาะตัว หมายความว่ารู้ได้เอง เห็นเอง เข้าใจเองถูกต้อง ไม่ต้องเชื่อเขาว่า ไม่ต้องเชื่อเขาบอกอีกต่อไป แต่เชื่อด้วยตัวเองเพราะเห็นชัด ว่าทางที่เดินนั้นปลอดภัย ไม่มีอันตราย มีความเย็นมีความสงบตลอดเวลา เขาเข้าใจเอง เรียกว่ารู้เองเห็นเอง เหมือนกับเรากินอาหารนะ เขาบอกว่าอาหารนั้นอร่อย มีขายที่นั่นที่นี่ ถ้าเราไม่ได้ไปซื้อมารับประทาน เราก็ไม่รู้ว่ารสชาดมันเป็นอย่างไร แต่ถ้าไปซื้อมาสักจานหนึ่งแล้วก็รับประทานเข้าไป เราก็รู้ว่ารสชาดมันเป็นอย่างไร รู้ได้เอง
คำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นสิ่งที่ผู้ศึกษาผู้ปฏิบัติจะรู้ชัดด้วยตัวเอง ไม่ใช่รู้ตามเขาว่า ถ้ายังรู้ตามเขาว่าอยู่ก็ไม่รู้จริง ไม่รู้ถูก ไม่เป็นไปเพื่อความพ้นทุกข์ แต่เมื่อใดเราเห็นชัดด้วยตัวเราเอง เราร้องออกมาได้ว่า อ้อมันเป็นอย่างนี้นั่นแหล่ะถูกต้อง เราปฏิบัติได้เห็นได้ด้วยตัวเราเอง ว่าสงบอย่างไร สะอาดอย่างไร จิตใจสว่างเป็นอย่างไร รู้ได้เอง ไม่ต้องไปฟังใครบอกใครเล่า เราเข้าใจด้วยตัวเอง เพราะได้ทำด้วยตัวเองแล้ว จุดหมายเป็นอย่างนั้น ในสมัยปัจจุบันนี้เราฟังกันมาก อ่านหนังสือก็เยอะ แต่ว่ายังไม่พ้นจากความทุกข์ ความเดือดร้อนใจ แม้จะสวดมนต์ทุกวันๆ แต่สวดแล้วก็แล้วกันไป ไม่ได้เอาคำสวดนั้นมาใช้เป็นเครื่องมือแก้ไขปัญหาชีวิต
เมื่อมีอะไรเกิดขึ้นในใจของเรา เราก็ไม่รู้ไม่เข้าใจ เพราะไม่ได้เอาสิ่งที่เรารู้เป็นเครื่องมือไปคิดแก้ปัญหา จึงไม่พ้นจากความทุกข์ความเดือดร้อนใจ ยังสงสัยอยู่ ยังลังเลใจอยู่ในเรื่องนั้นๆ ตลอดเวลา เพราะเราไม่ได้ทดสอบด้วยตัวเอง เพราะฉะนั้นจะต้องทดสอบด้วยตัวเอง มองที่ตัวนั่นแหล่ะไม่ต้องมองที่ไหน เช่น ความไม่เที่ยงมันก็อยู่ที่ตัวเรา ความทุกข์มันก็อยู่ที่ตัวเรา ความเป็นอนัตตาไม่มีเนื้อแท้มันก็อยู่ที่ตัวเรา ไม่ได้อยู่ที่ไหน ไม่ได้อยู่ไกลออกไปจากตัวเรา สิ่งทั้งหลายที่เราสวดเราท่อง มันปรากฏอยู่ในตัวของเรา ปรากฏที่ใจของเรา แต่เราไม่ค่อยได้มองคิดในเรื่องนั้น เอามาใช้ไม่ทัน
เวลาถูกโจมตีด้วยอารมณ์นอก รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส มากระทบ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เราปรับตัวไม่ทัน พอถูกมันโจมตีก็ล้มไปเลย เจ็บปวดไปเลย นี่เพราะไม่รู้ไม่เข้าใจไม่ได้เตรียมตัว ที่ว่าไม่ได้เตรียมตัวก็หมายความว่าไม่ได้ฝึกหัดไว้ ไม่ได้ฝึกหัดทำให้มันคล่อง เลยมันก็เกิดเป็นปัญหา เหมือนนักมวยที่ไม่ค่อยได้ซ้อม พอขึ้นชกบนเวทีมันก็แพ้เขา แพ้เพราะไม่ได้ซ้อม อ่อนซ้อม ขี้เกียจซ้อม มัวไปเที่ยวเถลไถลกินเหล้าเมายา พอถึงเวลาก็มาขึ้นเวทีรับรองว่าถูกน็อคแน่ๆ เพราะว่ามันไม่ซ้อม อันนี้เราได้ถูกข้าศึกโจมตีตลอดเวลา ข้าศึกก็คืออารมณ์ที่มากระทบ อารมณ์หมายความว่าสิ่งที่มากระทบ กระทบตา หู จมูก ลิ้น กาย ไปถึงใจ เพราะว่าตาเราเห็น หูได้ยิน ลิ้นได้สัมผัส จมูกได้กลิ่น ร่างกายก็ได้รับรู้ในเรื่องที่กระทบ
เมื่อสิ่งใดมากระทบเราไม่รู้ไม่เข้าใจ เพราะไม่เคยฝึกหัดต่อสู้กับสิ่งนั้น หรือพูดแบบหนึ่งว่าไม่เคยฝึกหัดปัดเป่าสิ่งนั้นออกไปจากแนวทางของเรา ไม่เคยหัดปัดสิ่งนั้น เขี่ยสิ่งนั้นออกไปจากแนวคิดของเรา เราก็เสียท่าทุกที พอมันโจมตีเข้าก็แพ้ แพ้ก็หมายความว่ายินดีในสิ่งที่เราชอบ ยินร้ายในสิ่งที่เราไม่ชอบใจ ยินดีมันก็เป็นทุกข์เหมือนกัน ยินร้ายก็เป็นทุกข์เหมือนกัน เป็นทุกข์ทั้งสองฝ่าย เช่น เรายินดีก็อยากได้ อยากเอา อยากมีไว้นานๆ แต่มันไม่ได้ตามที่เราต้องการ มันเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพ เราไม่รู้ว่ากฎธรรมชาติมันเป็นอย่างไร ก็เลยเสียใจเสียดายในเมื่อสิ่งนั้นเปลี่ยนไป นี่เพราะเราไม่ได้ฝึกฝนอบรมจิตใจให้รู้ทันรู้เท่าต่อสิ่งเหล่านั้น อะไรมันโจมตีก็แพ้
เหมือนกองทัพที่ไม่ได้ฝึกหัดในการต่อสู้ ไม่อบรมยุทธวิธีเพื่อต่อสู้กับสิ่งเหล่านั้น พอข้าศึกโจมตีก็แพ้ไปยกธงขาวสู้เขาไม่ได้ ตัวเราก็เหมือนกันข้าศึกคือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ผ่านเข้ามาทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย แล้วก็ไปขังอยู่ที่ใจ ใจนั่นเป็นเหมือนกับแอ่งใหญ่ที่อะไรมันไปตกรวมอยู่ตรงนั้น รูปก็ไปตกที่นั่น เสียงก็ไปตกที่นั่น กลิ่นก็ไปตกที่นั่น รสก็ไปตกที่นั่น สิ่งถูกต้องทางกายประสาทก็ไปรวมอยู่ที่นั่น มันไม่ได้ไปรวมเฉยๆ แต่มันไปกวนใจ เรียกว่ากวนใจ พูดภาษาง่ายๆ มันไปกวนใจของเราให้ขุ่นให้ข้น ให้เปลี่ยนสภาพไป ธรรมชาติของจิตนั้นมันอยู่สงบนิ่ง ไม่ได้ขุ่นมัวเศร้าหมองอะไร แต่เมื่อมีอารมณ์มากระทบ จิตก็เปลี่ยนไป
เปลี่ยน เรียกว่าฟูขึ้นเรียกว่ายินดี แฟบลงไปเพราะยินร้าย มีสองเรื่องฟูแฟบ ฟูขึ้นเพราะเราชอบใจพอใจ ได้เห็นรูปที่เราพอใจ ได้ยินเสียงที่เราพอใจ ได้กลิ่นที่เราชอบใจ ได้รสที่เราชอบใจเช่นอาหารถูกปากถูกใจ หรือว่ามีอารมณ์เป็นที่พอใจ มันก็เปลี่ยนสภาพจิตไปจากความสงบสะอาดสว่าง กลายเป็นเรื่องที่ไปติดพันอยู่กับสิ่งเหล่านั้น สภาพจิตที่แท้จริงเหมือนกับตัวแมลงมุม ตัวไหม ตัวแมลงมุม ถ้าเราไปเที่ยวป่าก็จะเห็นว่ามันมีตาข่าย คล้ายกับเครื่องเรด้าที่เราใช้กันอยู่ในการรับข่าวสาร ก็เอามาจากนั้นทำเรด้าเอามาจากแมลงมุมน่ะ แมลงมุงมันชักใยบริเวณกว้าง ชักไว้ในป่า
แล้วก็เมื่อชักใยแล้วตัวแมลงมุมไปอยู่ตรงไหน ไปอยู่ตรงจุดกลางเลย ไปหมอบนิ่งอยู่ตรงนั้น ไม่กระเทือนไม่ลุกขึ้นไม่ไปไหน แต่ว่าพอใยสายไหนกระเทือนมันก็วิ่งป๊าดไปที่นั่น ไปจับแมลงตัวนั้นทำให้ตาย แล้วเอามาดูดเนื้อข้างในกิน แมลงที่ถูกแมลงมุมกินนั้นรูปร่างยังเหมือนเดิม แต่เนื้อในมันหมดไปเสียแล้ว มันดูดเอาไปกินเสียแล้ว แมลงมุมมีลักษณะอย่างนั้นฉันใด ใจคนเรานี่ก็เหมือนกัน มันหมอบนิ่งอยู่ตามสภาพดั้งเดิมของมัน อันนี้พอรูปกระทบตาใจก็วิ่งไปที่รูปนั้น พอเสียงกระทบหูก็วิ่งไปที่เสียง กลิ่นกระทบจมูกก็วิ่งไปที่กลิ่น รสได้กระทบลิ้นก็วิ่งไปที่รส สิ่งมาถูกต้องกายเขาเรียกว่าโผฏฐัพพะมันก็วิ่งไปที่เรื่องนั้น พอวิ่งไปที่เรื่องนั้นมันก็เกิดสิ่งหนึ่งขึ้นในใจเรียกว่าธรรมมารมย์
ธรรมมารมย์ มันเกิดเพราะตาเห็นรูป หูได้ฟังเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายได้ถูกต้องอะไร แล้วก็ส่งไปที่ใจ ใจรับไว้รวมไว้แล้วก็ปรุงแต่ง ปรุงแต่งให้เกิดความยินดีให้เกิดความยินร้าย ให้เกิดความอยากได้เกิดความโกรธเกิดความเกลียด เกิดความริษยาพยาบาทอาฆาตจองเวรไปกันใหญ่ ไปกันใหญ่ แล้วมันก็บังคับกายให้ทำ เช่น โกรธขึ้นมาก็สั่งกายว่าเอาไม้ท่อนไปทุบกะบาลมันหน่อย เอาไม้ไปทุบเขา ปืนยิงเขา มีดไปแทงเขา มันทำตามคำสั่งที่ไม่ถูกต้อง เป็นคำสั่งที่ผิด แล้วเราก็กลายเป็นผู้ผิดกฎหมาย ผิดศีลธรรม ต้องถูกลงโทษถูกจับถูกคุมไปตามเรื่องตามราว ปรากฎเป็นข่าวอยู่บ่อยๆ
สิ่งเหล่านั้นมันก็เป็นเครื่องสอนตัวเรา ให้รู้ว่านั่นแหล่ะคือตัวอย่างของความพ่ายแพ้ ตัวอย่างของการไม่มีสติปัญญาเป็นเครื่องกำกับจิตใจ มันก็ไหลไปตามอารมณ์อย่างนี้ ทำให้เกิดอะไรขึ้น เช่น เกิดความโลภ เกิดความโกรธ เกิดความหลง เกิดความริษยา พยาบาท อาฆาต จองเวร แข่งดี ถือตัว โอ๊ยมากหลายเรื่อง มีมากมายหลายหน้าหลายตา เปลี่ยนกันออกมาแสดงบนเวทีของใจเรา แสดงออกมาในรูปต่างๆ ที่ได้เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าเราไม่ได้ฝึกฝนอบรมตัวเอง ให้รู้จักสิ่งนั้นตามสภาพที่เป็นจริง เลยเราหลงติดอยู่ในสิ่งนั้น เรื่องการทำอย่างนี้ไม่ใช่ทำได้ง่ายๆ ต้องทำบ่อยๆ ทำจนมันชินต่อการคิดการทำเช่นนั้น
อะไรมากระทบก็เกิดความรู้สึกทันท่วงที ห้ามตัวเองได้ ควบคุมตัวเองได้ ไม่ไหลไปกับอารมณ์ที่มันมากระทบ เขาเรียกบุคคลเช่นนั้นว่า เป็นบุคคลคงที่ เหมือนกับหินปักอยู่ในดิน ลมพัดมาสี่ทิศหินก็ไม่ได้โยกโคลงเสียหาย แต่ว่าปักไว้นานๆ มันก็กระทบกระเทือนเหมือนกันสึกหรอ หินมันแข็งแต่มันก็สึกหรอได้ ไปดูศาลาที่เขาก่อด้วยอิฐริมทะเล มันสร้างมานานแล้วศาลานั้นสร้างมาเป็นร้อยปี เสาสี่เหลี่ยมนี่มันกิ่วเข้าไปกิ่ว กิ่วคอดเหลือนิดเดียว เพราะว่าลมที่พัดมาจากทะเลมันเค็ม มันมาจับที่อิฐเหล่านั้นทำให้กร่อน กร่อนลงไปแล้วก็ถ้าไม่ไปซ่อมมันก็พัง ถ้าเราไปเห็นเสาแบบนั้นก็เท่ากับว่าไปเห็นแบบสาธิต เป็นเครื่องเตือนใจ เตือนใจว่าสิ่งนี้มันไม่เที่ยงจริงๆ มันมีการเปลี่ยนแปลงจริงๆ จนกระทั่งมันกร่อน ความเปลี่ยนมันมีอย่างนั้น
ไม่ว่าวัตถุอะไรมันก็กร่อน หินก็กร่อน ถูกลมพัดนานๆ ก็สึกหรอทีละน้อยๆ จนกิ่วคอดไป เปลี่ยนสภาพไป ภูเขาต่างๆ ทางภาคใต้จะเห็นว่าถ้าอยู่ด้านตะวันออก หน้าผามักจะอยู่ด้านตะวันออก แล้วหน้าผานั้นมันจะเปลี่ยนสภาพเป็นรูปต่างๆ ถ้าอยู่ฝั่งตะวันตกจังหวัดภูเก็ต กระบี่ พังงา ตรัง สตูล หน้าผาก็อยู่ด้านตะวันตก แล้วด้านตะวันตกที่กระทบอากาศ กระทบลม หินเหล่านั้นก็เปลี่ยนสภาพไป อันนี้เป็นเครื่องชี้ให้เราเห็น เตือนใจให้เราได้พิจารณา แต่ถ้าเราไม่ศึกษาด้วยการพิจารณาก็ไม่รู้ไม่เข้าใจสิ่งเหล่านั้น มองเพียงผิวเผินไม่ได้สาระจากสิ่งนั้น
พระผู้มีพระภาคจึงเตือนว่า จงดูทุกสิ่งทุกอย่างตามที่มันเป็นอยู่จริงๆ ดูทุกสิ่งทุกอย่างตามที่มันเป็นอยู่จริงๆ คือดูให้ลึก ดูให้ละเอียด เราจะเห็นว่ามันมีสภาพเป็นอย่างไร ต้องพิจารณาเป็นบทเรียนเป็นเครื่องสอนใจ เราไปเที่ยวป่า ไปเที่ยวทะเล ไปเที่ยวที่ไหนๆ มันต้องได้ปัญญาจากสิ่งที่เราได้ประสบพบเห็น เอามาเป็นบทเรียนเป็นเครื่องเตือนใจ เข้ากับหลักที่เราสวดอยู่บ่อยๆ ว่า รูปปังอนิจจัง รูปไม่เที่ยง, เวทนาอนิจจา เวทนาไม่เที่ยง, สัญญาอนิจจา สัญญาไม่เที่ยง, สังขาราอิจจา สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง, แล้วก็เป็นทุกข์เป็นอนัตตาสามอย่าง สามอย่างนี้เป็นกฎธรรมชาติ เป็นกฎธรรมชาติ ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นอย่างนี้เป็นธรรมดา ไม่มีอะไรที่จะไม่เป็นอย่างที่กล่าว มันเป็นอย่างนั้น มันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ มันเป็นอนัตตา ตลอดเวลามันเป็นอย่างนั้น
สิ่งภายนอกที่เราเห็นมันเป็นอย่างใด เราก็ต้องเอามาคิดเทียบเคียงกับตัวเรา ว่าตัวเราเป็นเหมือนสิ่งนั้นหรือไม่ ถ้าเราพิจารณาก็เห็นว่าเป็นเช่นนั้นเหมือนกัน ร่างกายของเรานี้มันก็เป็นเช่นนั้น มันไม่เที่ยง มันมีความทุกข์อยู่ตามสภาพ และไม่มีอะไรที่เรียกว่าเป็นเนื้อแท้ มันเป็นแต่เพียงของผสม ปนเข้าเป็นรูปเป็นร่างอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วก็ไหลไปตามอำนาจของการปรุงการแต่ง ทำให้เราเห็นว่ามันเปลี่ยน ไอ้ความเปลี่ยนนั่นแหล่ะคือตัวชีวิต ชีวิตของเราคือความเปลี่ยน หมุนไหลอยู่ตลอดเวลา ถ้าหยุดเปลี่ยนหยุดไหลก็หมดลมหายใจ ตาย ความตายคือที่สุดของความเปลี่ยน
เหมือนกับเราเล่นล้อ สมัยเด็กๆ เอาไม้มาขอดเป็นวงกลมแล้วเอาไม้ตี วิ่งตามมันไปตีมันไป วิ่งตามไป ตีไปมันก็กลิ้งไป กลิ้งไปจนสุดฤทธิ์ของแรงที่เราตี พอมันหมดแรงตีมันก็ล้มลงบนแผ่นดิน แปลว่าหมดเรื่องจบสิ้นตาย เหมือนกับว่าเป็นความตาย ชีวิตของคน ของสัตว์ ของต้นไม้ ของสิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้น มันก็มีการเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา เปลี่ยนไหม ถ้าหยุดเปลี่ยนก็คือจบเรื่อง ซึ่งเราเรียกว่าตายนั่นเอง ความตายก็คือที่สุดของความเปลี่ยน มันเปลี่ยนไปถึงตรงไหน หยุดมันก็ตาย เหมือนนาฬิกาเดินเพราะหมุนลาน พอหมดลานมันก็หยุด หรือเดินด้วยพลังทด ทดพอหมดฤทธิ์มันก็หยุดต้องไปใส่ใหม่แล้วก็เดินต่อไป ชีวิตเราก็เหมือนกันมันจะไหลไปจนหมดแรงงานที่เป็นปัจจัยให้ ให้ไหล มันก็หยุด หยุดก็เรียกว่าตาย
คนจะตายนี่มันอาศัยเหตุหลายเรื่อง ตายเพราะสิ้นอายุไข สิ้นอายุหมายความว่าหมดเครื่องปรุงแต่ง เหมือนตะเกียงไส้หมด น้ำมันหมด มันก็ดับ จุดไม่ได้ไม่มีไส้ไม่มีน้ำมันแล้วดับ อย่างนี้เรียกว่าสิ้นไปตามธรรมชาติ แต่บางทีมันยังไม่ถึงเวลานั้น ยังไม่ถึงที่จะแตกดับ แต่ว่ามีสิ่งเกิดขึ้นคือโรคภัยไข้เจ็บ เบียดเบียนร่างกาย ร่างกายของเรานี้พระท่านบอกว่า โรคะนิทธัง ปะภังคุนัง เป็นเรือนโรค ของเน่าเปื่อย ไม่ถาวรอะไร โรคที่มีอยู่ในตัวเรานี่มันเยอะ มันไปแอบแฝงอยู่ในร่างกาย ถ้าเครื่องปรุงแต่งให้มีชีวิตแข็งแรงโรคยังไม่ปรากฎ เราเรียกภาษาว่าภูมิต้านทาน ภูมิต้านทานยังดี โรคยังเอาชนะเราไม่ได้
แต่เมื่อใดภูมิต้านทานอ่อนโรคมันก็แข็งขึ้น เราเจ็บไข้ได้ป่วย แล้วก็ถึงความตาย โรคบางอย่างรุนแรง เช่น โรคมะเร็ง ใครเป็นแล้วมีหวังยาก ไม่ถึงครึ่งเปอร์เซ็นต์ เป็นแล้วเรียบร้อยต้องตายแน่ๆ เพราะโรคนี้มันรุนแรงไม่มียารักษา หมอเขาก็คิดค้นกันอย่างเต็มที่ เพื่อหายามาปราบโรคมะเร็ง แต่ก็ยังปราบไม่ได้เพราะอะไร เพราะว่าโรคนี้มันเป็นเนื้อร้ายที่เกิดขึ้นเฉพาะคนนั้น ไม่ใช่โรคติดต่อ ไม่ได้ติดต่อกับใครทั้งนั้น มันเป็นของมันเอง เป็นเนื้อร้ายที่เกิดขึ้นในตัวของบุคคลนั้น เพราะการผสมส่วนมันไม่ถูกต้อง เพราะมีสิ่งภายนอกมากระทบ
เช่นว่า พิษสารต่างๆ ที่เราหายใจเข้าไปบ้าง ดื่มเข้าไปบ้างกินเข้าไปบ้าง มันไปสะสมอยู่ในร่างกาย แล้วก็เกิดเนื้อร้ายขึ้นมารักษาไม่ได้ เพราะโรคนี้เอามาเลี้ยงไม่ได้ มันไม่ยอมให้ใครเลี้ยง พอตัดมาจากคนมันก็ตายแล้ว ไปเลี้ยงใส่หลอดแก้เลี้ยงไม่ได้ โรคหลายอย่างเขาเอามาใส่หลอดแก้วเลี้ยง ทดลองยาจึงรู้ว่ายาอย่างนี้ฆ่าไอ้ตัวนี้ได้ ก็ทำยาขึ้นขายกันต่อไป แต่ว่าโรคมะเร็งนี้ไม่ยอมให้รักษา เนื้อร้ายส่วนใดเกิดขึ้นในร่างกายตัดออกมามันก็ตายหมด พอตัดมามันก็ตายแล้วไม่สามารถจะเลี้ยงได้ หมอก็ยังจนใจอยู่ แต่ว่าเขาก็คิดอยู่ มีนักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งคิดว่าพบยาแก้โรคมะเร็งแล้ว ได้รับรางวัลโนเบลทางวิทยาศาสตร์จากประเทศสวีเดน แต่หมอคนนั้นตายด้วยโรคมะเร็งเหมือนกัน คนที่ค้นพบยาตายด้วยโรคมะเร็ง ตายด้วยมะเร็งเหมือนกัน
นี่โรคนี้ร้าย แต่ยังไม่ร้ายเท่าโรคอีกชนิดหนึ่งซึ่งติดต่อแพร่หลาย ทำให้คนไทยเป็นกันมากเวลานี้ จำนวนทวีขึ้นจะถึงล้านแล้ว แล้วก็ตายกันทุกวันๆ ตายมาก ที่วัดพระบาทน้ำพุลพบุรีน่ะ ท่านอลงกตท่านเป็นนักเรียนนอกมาบวชแล้วก็ไปตั้งสร้างวัด รับคนเป็นโรคเอดส์ไปอยู่อาศัยโรงยาวนอนกัน เผากันทุกวัน วันละสามศพสี่ศพเผา เผาจนเตาแตก เผาบ่อยทานความร้อนไม่ไหวเตาแตก ไปสั่งเตาใหม่มาจากอเมริการาคาห้าล้าน เอามาเผาสี่สิบนาทีส่งเข้าไปก็กลายเป็นขี้เถ้า เพราะความร้อนมันแรง โรคเอดส์ก็พลอยตายไปด้วย นั่นตายมาก
ไอ้โรคนี้มันไม่ได้เกิดขึ้นในตัวคนเหมือนโรคมะเร็ง มะเร็งมันเกิดขึ้นเพราะเราไม่รู้ แต่โรคนี้เกิดแก่คนที่แส่ แส่ไปหาโรค กลางค่ำกลางคืนไม่หลับไม่นอนไปเที่ยว เที่ยวทำอะไร เที่ยวสนุกเพลิดเพลิน กินเหล้ากินเบียร์ เมาแล้วไปเข้าซ่อง แล้วก็ได้รับรางวัลที่หนึ่งกลับบ้านได้เป็นโรคเอดส์ อันตราย เวลานี้ทางฝ่ายราชการกวดขันมากเรื่องยาบ้า จับกันทุกวันจับยาบ้า แต่ยังไม่ได้จับคนเป็นโรคเอดส์ ยังไม่ได้ตัดเหตุของโรคเอดส์ เหตุของโรคเอดส์มันก็อยู่ที่ความอยาก ตัณหาคือความอยาก อยากเที่ยวอยากสนุก จนลืมเนื้อลืมตัว แต่ว่าเขาก็โฆษณาว่าห่อหุ้มทุกทีป้องกันโรคเอดส์ หุ้มแล้วมันก็ช่วยไม่ได้หรอก
บางทีมันอยากมากเลยหุ้มไม่ทันได้โรคไปแล้ว เอาไปฝากเมียเอาไปฝากลูก เป็นกัน เด็กเกิดมาเป็นเอดส์ เวลานี้อันตรายมาก โรคนี้ธรรมชาติส่งมาลงโทษพวกซุกซน พวกไม่ฟังเสียงพระไม่เชื่อพระ ไม่ถือศีลข้อที่สามในศีลห้า ข้อที่สามในศีลห้ารับว่า กาเมสุ มิจฉาจารา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ ข้าพเจ้าขอรับแบบฝึกหัดเอาไปปฏิบัติงดเว้นจากการสำส่อนทางเพศ ไม่ได้ถือไม่สนใจแล้วก็เป็นกันทางภาคเหนือ บางหมู่บ้านพวกหนุ่มๆ ตายหมด เหลือแต่คนแก่ ตายเพราะเอดส์ เพราะว่าคนทางเหนือเขามาเที่ยวกรุงเทพมาหากิน แล้วกลับบ้านก็หอบโรคไปด้วย ไปหากินที่บ้าน ไอ้พวกหนุ่มๆ ก็ชอบใจเลยไปเที่ยว
มันควรจะจับคนไปเที่ยวใส่คุก จับพวกผู้หญิงหากินทางนั้น จับแม่เล้า จับแมงดา สร้างคุกวิเศษเอาไปกักไว้ให้มันตายอยู่ในคุก โรคมันจะเบา แล้วก็ควรจะปิดสถานเริงรมย์ให้มันน้อยหน่อย อย่าให้มันมากเกินไป เที่ยงคืนปิดหมด เลิกอย่ามีมัน เปิดจนตีสองตีสามแล้วคนมันจะหลับจะนอนกันอย่างไร แล้วไปทำงานก็งัวเงียๆ ไม่ได้การไม่ได้งานเสียหายแก่ประเทศชาติ อันนี้ยังไม่มีการแก้ไข รัฐบาลยังไม่เอาจริง เอาจริงอยู่กับโรคยาบ้าจับ แต่ว่ารัฐมนตรีที่เป็นหัวหน้าปราบยาบ้านี่ ยังคาบบุหรี่ของหลวงพ่อคูณอยู่ มวนโตเท่าของหลวงพ่อคูณ มีรูปถ่ายลงหนังสือพิมพ์คาบบุหรี่ จะไปปราบคนอื่นปราบตัวเองก็ยังไม่ได้เลย ถ้าพบกันก็จะเจริญพรสักที บอกว่าเจริญพรมีหน้าที่ปราบยาบ้าแต่ว่ายาบ้ามันยัดปากที่ตัวใหญ่เมื่อไหร่จะเลิกเสียที เป็นอย่างนั้น ยังไม่ปราบตัว ปราบตัวเองยังไม่ได้จะไปปราบคนอื่นได้อย่างไร นี่อันนี้สำคัญ โรคทำให้คนตาย ตายกันบ่อยๆ
เจ้าหนุ่มคนหนึ่งมาบวชที่นี่ เวลาบวชก็ทิ้งไม่ได้บุหรี่ชอบแอบสูบ จับได้ สึกเข้าไปก็บอกว่าเธอถ้าอยากจะอยู่นานๆ ก็เลิกสูบบุหรี่เสียบ้าง ไม่เลิก ไม่เชื่ออาจารย์ อายุ ๓๓ เป็นมะเร็งตาย เอามาเผาที่นี่ ให้หลวงพ่อไปเทศน์หน้าศพเขาด้วย ก็เลยชี้ลงไปเป็นตัวอย่างว่านี่คนดื้อไม่เชื่อพระ ไม่เลิกสูบบุหรี่เลยเป็นมะเร็งตาย คุณแม่เสียใจว่าลูกเป็นมะเร็งตาย แล้วคุณแม่ไม่สอนลูกตั้งแต่เล็กๆ ว่าอย่าสูบบุหรี่ ปล่อยมันมานานจนเสียคน พวกที่ศพมาเผาที่นี้เป็นโรคหอบหืด เป็นโรคปอดโรคพวกนี้มาจากนี้ทั้งนั้น ถามว่าสูบบุหรี่จัดหรือเปล่า เมื่อก่อนสูบจัดเพิ่งเลิกไปสองปี ก็สายอยู่แล้วมาเลิกเอาตอนจะตาย เลยก็เสียหายอันตรายมาก ควรจะช่วยกันกวดขันเรื่องนี้
อาตมาพบใครมาในวัดสูบบุหรี่เดินเข้าไปใกล้ ถามว่าสูบบุหรี่ยี่ห้ออะไร มีไหมในกระเป๋าล้วงมาดูหน่อย เขาล้วงมา ยี่ห้อมาโบโร่ของนอก ถามว่าราคาเท่าไหร่ ราคาซองละ ๔๐ บาท ก่อนนี้ ๒๐ บาท เดี๋ยวนี้ขึ้นแล้ว ๔๐ ก็ยังอุตส่าห์ไปซื้อมาเพื่อเอาควันรมปอดตัวเองให้มันตายเร็ว ถามว่าวันหนึ่งสูบเท่าไหร่ ซองหนึ่ง ก็ใช้เงิน ๔๐ บาทต่อวัน เดือนหนึ่งเท่าไหร่ พันสองร้อย ปีหนึ่งเท่าไหร่ หมื่นกว่า มีลูกกี่คน มีสองคน ประหยัดเงินนี้ไว้ให้ลูกเรียนหนังสือไม่ดีกว่าหรือ เพราะเวลานี้ค่าเล่าเรียนมันก็แพงขึ้น ดีไหม ดี แล้วทำไมไม่เลิก ยังเลิกไม่ได้ ใครติดใคร บุหรี่ติดเราหรือเราติดบุหรี่ บุหรี่ติดไม่ได้ติด ผมติดบุหรี่ ก็เลิกมันเสียซิ ถ้าปลิงมาเกาะที่เนื้อก็ปลดมันออกไปซิ บุหรี่มาเกาะอยู่ที่เราทิ้งมันเสียซิ ทิ้งได้ไหม ทิ้งได้ แล้วทำไมไม่ทิ้ง ก็ไม่เห็นใครชวนให้ทิ้ง วันนี้หลวงพ่อมาชวนให้ทิ้งแล้ว เอามาซองนั้นเอามา เก็บซะ แล้วบอกว่าเลิกเสียล่ะ เขาบอกว่าครับ เลิกหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่ว่าแนะเขาแล้วให้เลิก มันอันตราย
เมืองนอกนี่ผู้หญิงสูบบุหรี่มากที่สุด คือเห็นผู้หญิงทีไรก็เห็นบุหรี่ทุกที ขับรถก็สูบบุหรี่ เดินสูบ แล้วเที่ยวทิ้งก้นเต็มไปหมด ฝรั่งเขามามีวัฒนธรรมแต่ว่าก้นบุหรี่นี่ไม่ได้เรื่องทิ้งเต็ม ตรงไหนเป็นที่ยืนรอรถเมลล์แล้วก้นบุหรี่มากมายทิ้งไว้ตรงนั้น สูบจริงๆ แล้วยังทำบุหรี่มาขายเราอีก แต่รัฐบาลประกาศไม่ให้โฆษณาบุหรี่ทางโทรทัศน์ เดี๋ยวนี้ไม่โฆษณาแต่โฆษณาเหล้าทุกคืน เหล้าแบลคแคทแมวดำนี่โฆษณาใหญ่เลย แต่งเป็นเรื่องเป็นราว ถือแก้วแย่งกันใหญ่ แย่งกันตายไม่ใช่เรื่องอะไร แย่งกันดื่มเหล้าให้มันตายไวๆ นี่หาโรคใส่ตัว ทำให้เกิดปัญหา เราไม่ควรจะหาโรคใส่ตัว
คนหนุ่มๆ เยาวชนมานั่งฟังหลายคน อย่าริสูบบุหรี่ อย่าริดื่มเหล้า อย่าริเที่ยวกลางคืน ค่ำแล้วอยู่บ้าน เพราะเขามีกลางคืนไว้ให้คนพักผ่อน พักผ่อนที่บ้านไม่ได้ไปพักผ่อนในสถานท่องเที่ยวยามราตรี ไอ้สถานท่องเที่ยวยามราตรีเขาสร้างไว้ดักคนโง่ๆ คนปัญญาอ่อนไปเที่ยว คนปัญญาแก่กล้ามีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีเขาไม่ไป ไม่ไป เราก็ไม่ไปเรามันไม่ใช่คนปัญญาอ่อนเราไม่ไป ค่ำแล้วอยู่บ้านอ่านหนังสือหาความรู้ใส่สมอง ดูโทรทัศน์ฟังข่าวคราวบ้างตามสมควร สมควรเวลาก็นอนจะได้ตื่นเช้ากระปรี้กระเปร่าไปทำงานเรียบร้อย ชีวิตมันก็ไม่เสียหาย อยู่อย่างนี้ตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าทำให้ชีวิตของเราดีขึ้น
ตามสถานที่ต่างๆ นี่ควรจะห้าม ไม่ให้คนสูบบุหรี่ แต่เดี๋ยวนี้เขาห้าม โรงหนังก็ไม่ให้สูบ ดีนะ แต่ว่ายังไม่ได้กวดขันเรื่องเหล้า ยังผลิตขายกันอยู่มาก พระพุทธเจ้าห้ามไม่ให้ขายนะ ขายยาพิษ ขายเครื่องดื่มของเมา ขายอาวุธเครื่องประหาร ขายสัตว์ที่จะฆ่าเป็นอาหาร ขายคน ห้ามทั้งนั้นเป็นมิจฉาวณิชชา เป็นอาชีพที่ไม่ชอบธรรม เป็นการเบียดเบียนผู้อื่นสัตว์อื่น ไม่สมควร แต่เดี๋ยวนี้คนเลี้ยงไก่ขายรวยเหมือนกันเป็นเศรษฐีใหญ่ ฆ่าไก่วันละกี่ล้านตัวไม่รู้มากมาย นี่มันมีกันอยู่ อันนี้เราไม่จำเป็นก็อย่าไปฆ่า ไม่ค้าขายสิ่งเหล่านั้น ไม่ขายน้ำเมา ไม่ขายยาพิษ ไม่ขายเครื่องประหาร ไม่ขายสัตว์ที่จะไปฆ่าเป็นอาหาร เราคิดดูว่าถ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้โรคจะดีขึ้น ไม่มีโรงงานทำอาวุธขายแล้วมันจะเกิดรบกันได้อย่างไร รบกันชกกันไม่เท่าใดมันก็หยุด ไม่ตาย ชกกันไม่ตาย แต่เดี๋ยวนี้เครื่องทุ่นแรงมันเยอะ พอมีเรื่องก็เปรี้ยงเข้าให้ ปืนมีมากขายกันเกร่อ
เมืองไทยควรออกกฎหมายไม่ให้คนธรรมดามีปืน คนอยากจะมีปืนบอกว่าไว้ป้องกันตัว ไม่มีทางป้องกันไม่ได้ เพราะผู้ร้ายมันรู้ว่าบ้านนี้มีปืน มันต้องเข้ามาในเวลาที่เราไม่มีโอกาสใช้ปืน แล้วมันเอาปืนเราไปเสียด้วย ไม่ได้เอาไปแต่ปืนเอาวิญญาณเราไปด้วย ช่วยไม่ได้ไม่มีทางช่วยให้ตำรวจถือปืน ตำรวจก็ต้องเป็นชั้นสัญญาบัตร เป็นนายร้อยเอก ร้อยตรีก็ไม่ได้เด็กหนุ่มเกินไปใจร้อนใจเร็วไม่ให้ใช้ มันก็ยิงกันน้อยเพราะไม่มีปืนจะยิง จับปืน ร้านปืนไม่มีร้านขายกระสุนไม่มี มีแต่ของรัฐ ถ้าใครมีก็ผิดกฎหมายควบคุม ก็ดี ประเทศมาเลเซียไม่มีปืนจึงไม่มีข่าวยิงกัน ประเทศอินเดียเขาก็ไม่มีปืน ตำรวจถือไม้ตะบองยาวเก้าวา ไม้ไผ่ข้อที่สี่ตีแล้วเจ็บ คนกลัว กลัวตำรวจมาก เขาไม่มีปืนนะ มีไม้ตะบองกับไม้ยาวๆ เป็นไม้ไผ่ ให้คนกลัว ไม่เหลือ เรียบร้อย
บ้านเรารึปืนมันเยอะ คนไทยนี่ทำปืนเก่ง ปืนเถื่อน ที่จังหวัดนครสวรรค์ใกล้ไปทางอุทัยทั้งบ้านเลยทำปืน ปราบยาก พอตำรวจเข้าไปในหมู่บ้านมันรู้กันหมด บอกสัญญาณทิ้งน้ำหมด มันนั่งทำริมน้ำพอตำรวจมาทิ้งน้ำหมด ทุกอย่างอยู่ในน้ำหมด จับไม่ได้ไม่มีของกลาง ตำรวจคนหนึ่งแกก็เก่งเกษียณแล้ว แกพยายามสืบสวนได้เรื่องได้ราว แล้วก็ไปชักชวนให้เลิกให้เปลี่ยนอาชีพ เปลี่ยนเป็นมาทำมีด ทำอะไรของที่ใช้เป็นประโยชนย์ให้ทำสิ่งนั้นแล้วช่วยขายให้เขา ก็ดีขึ้นบ้านนั้นเลิก เลิกทำปืน ความจริงพวกนี้มันเก่งควรเอามาไว้โรงทหาร โรงทำ กรมช่างแสงๆ เอ้ามาอยู่กรมช่างแสงเพราะว่ามีความเก่งในทางทำปืน ให้มานั่งทำปืนอยู่ในโรงช่างแสง ให้เงินเดือนเขาด้วยช่วยครอบครัวมันก็ดี แต่นี่มันจับกันไม่ได้ แล้วทำเก่งเหมือนปืนนอกทุกอย่าง เขาเอามาให้ดู เหมือนเหมือนทุกอย่าง ยิงไม่ใช่นัดเดียว โป้งเดียวนะ ลูกเลื่อนเหมือนกัน คนไทยไม่ใช่ไม่เก่งนะ เก่ง เก่งทางทำสิ่งที่มันยุ่งๆ เหมือนกัน มีทั่วไป นี่มันต้องแก้ แต่ว่าเรื่องนี้มันทิ้งไว้กับเจ้าหน้าที่ไม่ต้อง เรามาแก้ตัวเราแต่ละคน แก้จากความหลงให้เป็นความไม่หลง แก้จากความมืดให้เป็นคนสว่าง แก้ให้เป็นคนก้าวหน้า เป็นคนตื่นตัว เป็นคนว่องไวตามหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ชีวิตของเราก็จะดีขึ้นตามสมควรแก่การปฏิบัติ พูดมาก็สมควรเวลาขอยุติไว้แต่เพียงนี้