แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
พุทธบริษัททั้งหลาย ณ บัดนี้ถึงเวลาของการฟังปาฐกถาธรรม อันเป็นหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนาแล้ว ขอให้ทุกคนอยู่ในอาการสงบ นั่ง ณ ที่ใดที่หนึ่งที่สามารถได้ยินเสียงชัดเจน แล้วจงตั้งใจฟังด้วยดี เพื่อให้ได้ประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการมาวัดในวันอาทิตย์ ตามสมควรแก่เวลา
วันนี้ เป็นวันอาทิตย์ที่ ๒๖ ของเดือนมกราคม อาทิตย์ปลายเดือน อาทิตย์หน้าก็เป็นวันเดือนกุมภาพันธ์ วันเวลานี่มันล่วงไป ล่วงไปไม่หยุดยั้ง วันเวลาที่ล่วงไปนั้นไม่ได้ไปแต่เวลา แต่ว่าฉุดพวกเราทั้งหลายไปด้วย วันเวลาผ่านไป เราก็ได้สิ่งหนึ่งที่เรียกว่า อายุ นั่นเอง จะได้อายุ อายุเพิ่มขึ้นทุกวินาที นาที ชั่วโมง วัน สัปดาห์ เดือน นี่สิ่งที่เราได้ ได้อายุ อายุนี่เป็นเครื่องหมายของความแก่ อายุเท่าใดก็หมายความว่าแก่เท่านั้น ถ้าแก่มาตั้งแต่เกิดได้หนึ่งวัน ก็แก่หนึ่งวัน หนึ่งเดือนก็หนึ่งเดือน หนึ่งปีก็หนึ่งปีมาโดยลำดับ
จนบัดนี้ ถามตัวเราเองว่า อายุเท่าไร ไปยืนแต่งตัวที่กระจกเงา แล้วก็ถามว่า นี่แกรู้ไหม วันนี้อายุแกเท่าไรแล้ว แล้วแกจะอยู่ไปอีกสักกี่ปี กี่เดือน กี่วัน แล้วแกก็จะต้องไปป่าช้า ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา
ทุกคนต้องไป เราไม่ควรจะกลัวความตาย แต่อย่าไปหาเรื่องให้ตายก็แล้วกัน ถึงเวลามันก็ตายของมันเอง ตายตามเรื่อง ก็สังขารร่างกายของคนเรานั้น มีความเกิดแล้วก็ต้องมีความแก่ เจ็บไข้ แล้วก็ตายเป็นเรื่องธรรมดาทุกคนต้องผ่านสถานีเหล่านั้น จนไปถึงสุดปลายทางคือ ความตาย ความตายเป็นเรื่องธรรมดา
เขาเอาศพมาเผากันบ่อยๆ ที่วัดชลประทาน วันอาทิตย์นี่ก็เช้ามาแห่ศพ เพราะว่ารบกวนญาติโยม เที่ยงเผาได้ วันนี้ก็มีเผาถึงสองศพ ไปเผาศพก็ต้องไปศึกษาธรรมจากศพ เราเห็นอะไรก็ควรเรียนรู้จากสิ่งเหล่านั้น เรียนรู้ให้เห็นว่าความจริงมันเป็นอย่างไร ความจริงของสรรพสิ่งทั้งหลายมันเป็นอย่างไร นี่ต้องศึกษาทำความเข้าใจ ถ้าเราไม่ศึกษาทำความเข้าใจ ก็เกิดปัญหา มีอะไรเกิดขึ้นก็เป็นทุกข์ เดือดเนื้อร้อนใจ ร้องไห้ ร้องห่ม เสียใจเสียดาย
นั่นก็เพราะไม่รู้เรื่อง ว่าอะไรมันเป็นอะไร แต่ถ้าเราได้ศึกษาไว้ เวลาอะไรเกิดขึ้น เราก็รู้ทันแต่ ...... (4.10 เสียงไม่ชัดเจน) ว่า ธรรมชาติมันเป็นอย่างนี้ ธรรมดามันเป็นอย่างนี้ ไม่มีใครจะหนีกฎเกณฑ์ของธรรมชาติไปได้ ทุกคนเป็นเหมือนกัน ต่างกันแต่ว่า เมื่อไรจะถึงตรงนั้น วันหนึ่งก็จะต้องถึงตรงนั้น หนีไม่พ้น นี่เป็นเรื่องธรรมดา
ศึกษาไว้เป็นเครื่องเตือนใจ เพราะธรรมนี่ช่วยให้เราสบายใจ ให้เราสงบใจ ให้เรามีปัญญา รู้แจ้งเห็นจริงในสิ่งเหล่านั้นตามที่เป็นจริง ความทุกข์มันก็ไม่เกิด แม้จะเกิดขึ้นก็ไม่นาน เพราะเรารู้ทันรู้เท่า รู้ตัวได้เข้าใจเรื่องนั้นถูกต้อง ความทุกข์มันก็หายไป น้ำตาเหือดแห้ง แล้วก็มองเห็นสิ่งทั้งหลายว่ามันเป็นเช่นนั้นเอง ไม่มีอะไรที่จะหนีจากความเป็นเช่นนั้นไปได้ พอนึกได้ใจก็สบาย ไม่ต้องเป็นทุกข์ ไม่ต้องเดือดร้อนใจ
เรามีข้าวมีของ ไว้ใช้ในชีวิตประจำวัน มีเงินบ้าง เงินนี่ก็จำเป็น เพราะว่าการแลกเปลี่ยนกันในปัจจุบันนี้ก็ใช้เงิน หรือใช้กระดาษที่สมมุติว่าเป็นเงิน มีค่าเท่านั้นเท่านี้ เพื่อไปแลกเปลี่ยนกัน เอากระดาษจำนวนเท่านั้นไปแลกเปลี่ยนเสื้อผ้ามาชุดหนึ่ง ไปแลกเปลี่ยนรถยนต์มาคันหนึ่ง ไปแลกเปลี่ยนเป็นบ้านมาหลังหนึ่ง แล้วก็ยังของแถม เครื่องประดับประดาร่างกาย เครื่องประดับประดาภายในบ้าน เป็นของแถม
เราก็ต้องแสวงหาสิ่งนั้น ให้ได้มาในทางที่ถูกที่ชอบ คือไม่ทำผิดอะไรที่เป็นการเบียดเบียนคนอื่น ให้คนอื่นได้รับความทุกข์ความเดือดร้อน เรารักสุขเกลียดทุกข์อย่างใด คนอื่นเขาก็รักสุขเกลียดทุกข์เหมือนกัน
เพราะฉะนั้นเมื่อจะทำอะไร ก็ต้องคิดเสียก่อนว่า ใครเดือดร้อนบ้าง ใครไม่สบายใจเพราะการกระทำของเราบ้าง ถ้าเห็นว่าเป็นเรื่องไม่สบายใจ สร้างปัญหา หยุด ไม่ทำ แม้จะได้เงินได้ทองมาจากการกระทำนั้น เราก็ไม่ทำ
ถ้าคนคิดได้อย่างนี้ ก็จะไม่มีคนขายยาบ้า เพราะว่ายาบ้านี่เป็นยาทำลายเยาวชนของชาติ ทำลายทุกคนที่ไปสูบยาบ้า ทำให้ชีวิตเปลี่ยนแปลง เปลี่ยนสภาพจากความเป็นคนปกติเป็นคนไม่ปกติ บางทีก็คลุ้มคลั่ง ทำอะไรแปลกๆปรากฏเป็นข่าวบ่อยๆ เพราะเขาคิดไม่ได้ เพราะเขาไม่ได้เข้าวัด ไม่ได้ฟังธรรม ไม่ได้รู้จักคำสอนในทางพระศาสนา เขาจึงทำไปตามอารมณ์และสิ่งแวดล้อม จนติดสิ่งนั้นงอมแงม เลิกไม่ได้
ความจริงไม่ตั้งใจจะเลิกหรอก ถ้าตั้งใจเลิกมันก็เลิกได้ อย่างเราติดบุหรี่ ถ้าว่าตั้งใจเลิกมันก็เลิกได้ แต่เลิกไม่ได้ก็เพราะว่าเป็นคนใจอ่อน ใจอ่อนใจง่าย พอเกิดความอยากขึ้นก็ไม่รู้จักบังคับตัวเอง ไม่ได้พิจารณา ไม่ได้ถามตัวเองว่า สูบทำไม สูบเพื่ออะไร สูบแล้วมันได้อะไร ธรรมชาติร่างกายต้องการควันบุหรี่ไปรมปอดให้ตายเร็วไหม หากก็ไม่ได้คิด เพราะไม่มีคนแนะแนวให้คิด เลยคิดไม่เป็น พออยากขึ้นมาก็สูบทุกที แพ้มันทุกที เสียเงินเยอะแยะ
เวลาคนบางคนมาไหว้ หลวงพ่อชำเลืองตาดูกระเป๋า อยู่ในกระเป๋าก็เห็นบุหรี่ เห็นบุหรี่ก็เลยล้วงออกมา ล้วงออกมาว่า เลิกเสียบ้างไม่ได้หรือ เขาบอกว่า มันยังเลิกไม่ได้ ก็เราไม่เลิกมันก็เลิกไม่ได้ ถ้าเลิกมันก็เลิกได้ บอกแนวคิดได้กี่ข้อ เพื่อให้คิดว่าสูบทำไม สูบเพื่ออะไร สูบแล้วมันได้อะไร ธรรมชาติร่างกายต้องการควันบุหรี่ไปรมปอด ให้เป็นมะเร็งในปอดให้ตายไวไหม ให้เขาคิด แล้วถามว่านี่บุหรี่ซองละเท่าไร สูบของนอก มัลโบโร่ ไม่นิยมของไทย ของนอกนี่ซองละเท่าไร บอกว่ายี่สิบสองบาท ยี่สิบสองบาทนี่สูบกี่วัน บางทีก็วันเดียวหมด บางทีเหลือไปพรุ่งนี้สักตัวสองตัว แล้วก็ซื้อใหม่ วันละยี่สิบสองบาท เดือนหนึ่งใช้เงินค่าซื้อยาพิษไปรมปอดให้ตายนี่เท่าไร ให้เขาคิดคูณ ยี่สิบสอง สามสองหก สามสองหกก็หกร้อยหกสิบบาท นี่สูญเปล่า ค่าบุหรี่ แล้วปีหนึ่งเท่าไร ปีหนึ่งเจ็ดพัน เจ็ดพันบาท เจ็ดพันกว่าบาท มีลูกกี่คนน่ะเรา มีสองคน โตขนาดไหนแล้ว กำลังเรียนชั้นประถม แล้วจะให้เรียนต่อถึงชั้นมัธยมไหม ก็อยากให้เรียนต่อ แล้วถ้าเราสูบบุหรี่เสียวันละยี่สิบสองบาทนี่ เงินให้ลูกเรียนหนังสือมันก็ขาด เก็บเงินไว้ให้ลูกเรียนหนังสือไม่ดีกว่าหรือ เก็บไว้ทุกวันทุกวัน วันละยี่สิบสองบาท ใส่กระป๋องไว้ ออมสินไว้ พอครบเดือนก็ทุบกระป๋องเอาไปฝากธนาคาร หรือซื้อพันธบัตรออมสินใบละยี่สิบบาท โอ้ ได้ตั้งหลายใบ ...... ( 11.49 เสียงไม่ชัดเจน) ละใบมีหวังถูกรางวัล ถูกไม่ถูกก็ไม่เป็นไรซื้อไว้ก็แล้วกัน แล้วบอกลูกให้ทราบว่า พ่อนี่สูบบุหรี่มาหลายปีแล้ว เดี๋ยวนี้พ่อเลิกสูบบุหรี่ เพราะคิดถึงลูก อยากเห็นลูกเจริญเติบโต เลยพ่อเลิกสูบบุหรี่ ลูกก็จะปลื้มใจในความดีของพ่อ ในชัยชนะที่พ่อได้รับจากการงดเว้นจากการสูบบุหรี่ เป็นเรื่องที่ลูกภูมิใจ เราจะสอนลูกเรื่องอะไรมันก็พูดง่าย เพราะพ่อทำตนให้เป็นตัวอย่าง อย่างนี้ก็เป็นคนเก่ง
ที่เชียงใหม่มีคนคนหนึ่ง ชื่อนายพันธุ์เลิศ บูรณะศิลปินเป็นคนทำสวนส้ม สวนส้มเขาใหญ่ตั้งห้าร้อยไร่ เขาเรียกว่า ส้มวังน้ำค้าง มีชื่อ ในหลวงเสด็จทุกปี ถ้าท่านไปเชียงใหม่ก็ต้องไปเที่ยวสวนส้มวันหนึ่ง เจ้าของสวนต้องทำการต้อนรับ ในหลวงและราชบริพาร เสียเงินไปหลายเหมือนกันล่ะ
ในหลวงก็ไปเที่ยวเดินในสวนส้ม คุยกันกับคุณพันธุ์เลิศ ถามเรื่องต้นส้ม เรื่องการปลูก เรื่องการเลี้ยง ถามละเอียด ราวกับไปศึกษาเรื่องส้ม แล้วก็ให้คุยให้ฟัง หลังเสวยพระกระยาหารกลางวัน ท่านก็ไปเดินชมอีก สามทุ่มจึงจะกลับภูพิงค์ จะไปทุกปี
คุณพันธุ์เลิศ นี่แกก็สูบบุหรี่เหมือนกัน สูบจัด สูบบ่อยๆ ทีนี้มีลูกสองคน ชายคนหนึ่ง หญิงคนหนึ่ง ไอ้เจ้าลูกชายมันก็สูบบุหรี่เหมือนพ่อ บุหรี่ที่พ่อสูบยี่ห้อไหน มันก็สูบยี่ห้อนั้น พอมาสูบ นั่งพ่นควันแล้วก็มองดูควันเอาสบายใจ
คุณพันธุ์เลิศ มองดูลูกชายสูบบุหรี่ ก็นึกว่า ไม่ไหว ไอ้ทิดมันทำอย่างนี้มันก็จะเสียคน แต่ว่าโทษมันไม่ได้ เพราะมันทำตามพ่อ เลยพ่อก็เลยเลิกบุหรี่เลย พ่อเลิกไม่สูบ เลิกหลายวัน
วันหนึ่งลูกชายบอกว่า พ่อ หมู่นี้พ่อแปลกไปเยอะนะ พูดกันหลังกินข้าว พ่อก็ถามว่า แปลกอย่างไรลูก ผมสังเกตดูพ่อไม่สูบบุหรี่มาหลายวันแล้ว อ๋อ อ้าว ฟังๆ พ่อจะอธิบายให้ฟัง พ่อนี่สูบบุหรี่มาตั้งแต่อายุสิบห้า สูบมานาน แต่เดี๋ยวนี้พ่อเลิก ไม่สูบต่อไป เพราะพ่อคิดถึงลูก พ่อจะตายเสียก่อนด้วยโรคมะเร็งเพราะสูบบุหรี่ ลูกยังไม่ทันเติบโต ยังช่วยตัวเองไม่ได้ ยังรับมรดกสวนส้มของพ่อไว้ไม่ได้ พ่อเลยตัดสินใจเลิกเลย ไม่สูบ ไม่พูดขอให้ลูกหยุดเลยสักคำเดียว แต่ลูกมันหยุดเหมือนกัน เพราะพ่อเลิกได้ ลูกก็เลยเลิกเหมือนพ่อ
ในบ้านนั้นเลยไม่มีการสูบบุหรี่ทั้งบ้าน แล้วแกก็กินอาหารประเภทผัก ในสวนนั้นมีเนื้อที่ไร่หนึ่ง ปลูกผักไม่ใช้สารพิษ ปล่อยมันไปตามเรื่อง แมลงกินบ้าง คนกินบ้างแบ่งกัน กินผักครบปี เขียนหนังสือเล่มหนึ่ง รายงานประชาชน เรื่องการกินผักมีดีอย่างไร แจกเป็นธรรมทาน คนได้อ่านได้ศึกษา
เดี๋ยวนี้แกก็ยังร่างกายแข็งแรง ยังทำสวน แต่ว่าเปลี่ยนจากส้มมาเป็นต้นแมคคาเดเมีย แพงกว่า แล้วก็ปลูกทุเรียน ปลูกมังคุด เป็นทั้งนั้น ทุเรียนดก มีประมาณสองร้อยต้น แล้วมันเป็นหลังคนอื่นเป็น ทุเรียนเมืองนนท์เลิกเป็นเลิกแล้ว หมดฤดู แต่ที่โน่นกำลังเป็น ขายดี ขายทุเรียน แกทำสวนอยู่สบาย ไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ไม่ประพฤติอบายมุขสิ่งเหลวไหล หากกลายเป็นคนที่เรียบร้อย เป็นตัวอย่างแก่ลูก เขาเลิกได้เพราะคิดถึงลูก
เวลานี้ หลวงพ่อคูณก็เลิกแล้ว เลิกสูบบุหรี่ ไม่ใช่เลิกเองนะหมอมาขอร้อง บอกว่าหลวงพ่อนี่ถ้าจะอยู่ไปนานๆ มันต้องเลิกสูบบุหรี่ ถ้าไม่เลิกสูบบุหรี่รักษาไม่หาย แล้วจะตายไม่ได้เขกกบาลคนต่อไป เลยหลวงพ่อก็ตัดสินใจเลิก เลิกตั้งแต่อยู่โรงพยาบาล กลับวัดก็ประกาศ วัดนี้เลิก ปลอดบุหรี่ พระทุกรูป (17.52 พระเป็นบุคคลใช้รูป พระพุทธรูปใช้องค์) ไม่สูบบุหรี่ เพราะหลวงพ่อไม่สูบ อ้า ดี นึกจะเขียนจดหมายไปชมเชยหน่อย ยังไม่ได้เขียน ก็เรียกว่าเลิกเป็นตัวอย่างได้เรียบร้อย
เรื่องจะเลิกอะไรนี่ ถ้าว่าใจเรามันเข้มแข็ง แล้วมันก็เลิกได้ ใจอ่อนแล้วก็เลิกไม่ได้ ถ้าใจเข้มแข็งว่า กูไม่สูบ ไม่ดื่ม ไม่ทำอย่างนั้น มันอยากก็อยากไป เราไม่ทำ นั่งเฉยๆ บังคับตัวเองไม่เคลื่อนไหว ถ้ามันอยากจะสูบบุหรี่ก็อย่าไปหยิบบุหรี่มาสูบ อย่าไปหยิบไม้ขีดไฟมาจุด นั่งมันเฉยๆ นั่งจนหายอยาก จะเอาชนะ ชนะสักครั้งแล้ว มันก็จะชนะตลอดไป ทุกอย่าง บุหรี่ หมาก อะไรต่ออะไร ถ้าเราเลิกแล้วมันก็เลิกได้ทั้งนั้น ที่จะเลิกไม่ได้
เมื่อวานนี้ ไปเยี่ยม เมื่อวานซืน ไปเยี่ยมบิดาโยมพ่อแม่ของท่านมาริศ ท่านมาริศเวลานี้ไปอยู่ชิคาโก ขยันงานดี พิมพ์หนังสือแจกจ่ายญาติโยมหลายเรื่อง ทำเรื่อย ทำงานเรื่อย อันนี้ก็ถนอม ...... (19.21 เสียงไม่ชัดเจน) เขาเรียกว่า ท่านไข่ ชื่อเล่นว่า ไก่ ไก่ก็ไปอยู่ใกล้ๆ มหาพาไปพระพรหมบอกว่าต้องไปเยี่ยมโยมท่านมาริศ ท่านจะได้สบายใจ ท่านมาริศมาก็ไปเยี่ยมโยมถนอมที่เพชรบูรณ์ ก็ ...... (19.43 เสียงไม่ชัดเจน) นั่งรถเข้าไป ไปที่วัดก่อน วัด ...... (19.49 เสียงไม่ชัดเจน) ไปสืบว่าบ้านโยมมาริศอยู่ตรงไหน พระนำไป ทางรถคดเคี้ยว ไปในป่าสวนยาง
ไปถึงบ้าน แกยืนอยู่ที่หน้าบ้าน นุ่งผ้าโสร่ง ผ้าขาวม้าพาดบ่า กินหมากปากเปรอะเชียว และคุยกัน คุยกันแล้วก็ถามว่า โยมรู้จักไหมว่า ฉันนี้คือใคร แกว่าทำไมจะไม่รู้จัก ก็มาด่าผมไว้ตั้งหลายปีแล้ว เฮอะๆๆ บอกว่าไม่ได้ด่า มาเทศน์ นั่นล่ะ เทศน์มันก็ด่า ด่าว่าอย่างไร ด่าว่าเป็นคนเหลวไหล ชอบดื่มเหล้า ดื่มน้ำตาลเมา เลี้ยงไก่ เลี้ยงไก่เอาน้ำอาบไก่ ตลอดเวลาไม่เคยอาบน้ำให้คุณพ่อคุณแม่ รักไก่มากกว่าพ่อแม่ ก็ว่าท่านเทศน์อย่างนั้น ผมจำได้ จำได้มาจนบัดนี้ เทศน์จำได้ หลายสิบปีแล้วไปเทศน์ แกยังจำได้ แล้วก็เล่าให้ฟังว่า นั่นล่ะท่านเทศน์แล้วด่าผม ผมเลยเลิกแล้ว เหล้าก็ไม่ดื่มแล้วเดี๋ยวนี้ การพนันก็ไม่มี อะไรความชั่วไม่มี มีอย่างเดียวกินหมาก
บอกว่า ไปเยี่ยมมาริศที่ประเทศอเมริกาสักครั้ง เอาไหม โอ๊ย ไกลเหลือเกิน ไม่ไกลหรอก นั่งเรือบินไปได้ แต่ว่าพอขึ้นเรือบินแล้วเขาไม่ให้กินหมากนะ โอ ไม่ได้ๆๆไม่ให้กินข้าวยังดีกว่าไม่ให้กินหมาก เพราะว่าเลิกหมากไม่ได้ต้องกิน บอกถ้าอย่างนั้นไปไม่ได้
คุยกัน แกคุยสนุก คุยร่าเริง ถ่ายรูปไว้เยอะเมื่อวาน เพราะว่าจะส่งไปให้มาริศดูว่าได้ไปเยี่ยมคุณพ่อคุณแม่ พ่อแม่ยังอยู่ มีลูกตั้งหลายคน สิบคนแล้ว มาริศ มาริศที่ได้บวชนี่เพราะพ่อเมา กลับมาถึงบ้านลูกนั่งอยู่หลายคน ถามว่า ใครจะบวชบ้าง ถามด้วยความเมา มาริศยกมือ ลูกฉันชื่อริศยกมือ เอ้า ไปวัดเดี๋ยวนี้ เอาไปวัด เดินโซซัดโซเซ ...... (22.50 เสียงไม่ชัดเจน) เดินไปวัด พอไปถึงพบสมภารว่า ไอ้ริศมันจะบวช ท่านช่วยให้มันบวชด้วย ให้มันเป็นนาค เขียนหนังสือ บวช มันก็เลยได้บวช
บวชแล้วก็เรียนนักธรรม อะไรต่อะไร มาอยู่กรุงเทพฯ เรียนได้พุทธศาสตร์บัณฑิต แล้วก็ไปเรียนอินเดีย ได้ปริญญาโท อยู่วัดโน่น สวนหมาก ฝั่งธน ...... (23.26 เสียงไม่ชัดเจน) หลวงพ่อพบเข้าบอกว่า คุณอย่าอยู่เลยวัดป่าหมาก นี่ไม่ได้เรื่อง ไม่ได้เรื่องอะไร ไปอยู่วัดชลประทาน จะได้ฝึกสอน ...... (23.38 เสียงไม่ชัดเจน) บ้าง ได้เทศน์ได้สอน เลยมาอยู่นี่
แล้วก็เลยส่งไปอยู่อเมริกา ไปอยู่สักสองสามปีแล้ว ยังอยู่ อยู่เรื่อยไป ก็เป็นพระที่ทำงานดี ไปเยี่ยมโยมแกให้สบายใจหน่อย บ้านช่องก็พอ พออยู่ได้ สมัยใหม่ ทำสมัยใหม่เรียบร้อย ก็เลยถามว่าให้กินน้ำที่ไหน ไม่เห็นบ่อ บ่อน้ำ บ่อลึก อยู่ระหว่างต้นไม้สองต้น น้ำในบ่อ อยู่ใกล้คลอง ลำห้วย ขุดบ่อก็ให้น้ำในห้วยนั่นล่ะมาลงในบ่อ แล้วมันก็กรองเสียหน่อย เอามาดื่มกัน สบายๆ ไปเยี่ยม
ไปพัทลุงคราวนี้ ไปทอดผ้าป่า เมื่อวันอาทิตย์ก่อนจะไปไม่ได้บอกโยมให้อนุโมทนา ก็เลยทอดผ้าป่าช่วยโรงพยาบาล เพราะโรงพยาบาลพัทลุงนี่ขาดเครื่องมือ เครื่องใช้หลายอย่าง ไปทอดครั้งแรก เขาต้องการเครื่องแยกเลือด เครื่องแยกเลือดใหญ่ขนาดนี้ ราคาเจ็ดแสนห้าหมื่น เขามาขอ เห็นว่าบ้านอยู่พัทลุง ไปช่วยที่อื่นมาเยอะแล้ว ยังไม่ได้ไปช่วยพัทลุง ก็เลยบอก เอาโว้ย ติดต่อซื้อ แล้ววันที่จะมอบนี้ต้องนัดคนทั้งจังหวัดมาทอดผ้าป่า ให้เขาได้รับรู้ ได้ร่วมมือกัน ไปทอดผ้าป่าปีนั้นได้เงินแปดแสน ก็ให้ไปหมด ให้โรงพยาบาล เจ็ดแสนห้านี่หลวงพ่อจ่ายไปให้โรงพยาบาลเขาได้ใช้
คือเด็กเมืองพัทลุงนี่เป็นโรคพุงป่อง ผอม เมื่อวานพบเด็กคนหนึ่ง ถามว่าอายุเท่าไร ยี่สิบ ตัวนิดเดียว ไม่โต เพราะโรคอันนี่ โรคทาลัสซีเมีย ต้องให้เลือดบ่อยๆ
ทีนี้ เลือดมันต้องแยก ใช้เครื่อง ต้องเอาไปหาดใหญ่ ก็วิ่งไปร้อยกิโลกลับมาร้อยกิโลถึงได้เลือดมาให้คนไข้ ลำบาก ก็เลยซื้อเลย
ทีที่สองไปที่ ...... (26.21 เสียงไม่ชัดเจน) ก็ไปทอดอีก ได้เงินไม่มาก ห้าแสน เพราะว่าโฆษณาน้อยไป ปีนี้ก็บอกหมอว่า เรื่องทอดผ้าป่านี่ต้องโฆษณาไวๆ เนิ่นๆ คนจะได้รู้ เลยเมื่อวานคนมากันเต็มหอประชุม ล้นลงไป ฟังปาฐกถา ทอดผ้าป่า ตอนเย็นเขามาบอกว่า ขณะที่เทศน์อยู่นั้น เขาส่งเงินที่ได้ว่าได้เจ็ดแสน แต่พอตอนเย็นนี่เขา คนยังมาอีก ได้เงินเป็นหนึ่งล้านหกพัน ล้านหกคงจะเพิ่ม คนใกล้ๆ ยังไม่มา ....... (27.17 เสียงไม่ชัดเจน) ก็สบายใจ ให้โรงพยาบาลได้ใช้ ไม่ได้เอาอะไร แต่ว่าไปเที่ยวนี้ ถ้าเป็นการค้าก็ขาดทุนยุบยับ เพราะว่าต้องเอาเงินไปช่วยเขาด้วย เอาไปช่วยสองหมื่น เงินที่สะสมไว้ทำประโยชน์
อดีตผู้ว่า คุณไพโรจน์ พรหมสาส์น ให้เช็คไปสองหมื่นเป็นสี่หมื่น ...... (27.42 เสียงไม่ชัดเจน) เขานิมนต์ไปเทศน์งานศพก่อนจะขึ้นเรือบิน เทศน์หนึ่งชั่วโมง ว่ากันจนคอแห้ง ลงแล้วไม่เห็นถวายอะไรเลย ก็เรียกว่า ถ้าเป็นการค้าขายก็ขาดทุนแล้วเที่ยวนี้ไม่ได้อะไร แต่ก็สบายใจ สบายใจว่าเราได้ไปทำประโยชน์แก่บ้านเกิดเมืองมารดร เมืองพัทลุงนี่คนใจบุญเยอะ คนเกะกะก็เยอะ แต่ว่าเดี๋ยวนี้เบาแล้วไม่รุนแรง ไม่เหมือนสมัยก่อน คนดีขึ้นมาก บ้านช่องการเป็นอยู่ดีขึ้น มีความสะดวกสบายในการทำมาหากิน
เวลาผ่านตลาดตอนเช้า รถบรรทุกยางมาเป็นแถว เอายางมาขาย ได้ยางราคาดี ก็ชาวบ้านสบาย ราคาไม่ดีก็ ไม่เป็นไร ก็ยังขายได้ เดี๋ยวนี้บ้านช่องชาวบ้านมันอยู่ตึกกันนะ เรือนสองชั้น อยู่ตึก เพราะว่ารายได้จากสวนยาง แล้วเขาทำของเขาเอง ค่อยทำเรื่อยไปจนสบาย ...... (29.16 เสียงไม่ชัดเจน) ถนนหนทางไปถึงทุกตำบล ทุกอำเภอ วิ่งรถถนนสบาย ราดยางเรียบร้อย ก็นับว่าเจริญขึ้น การศึกษาก็ดี นักเรียนพัทลุงเรียนเก่ง ที่มาอยู่ที่วัดนี่ตั้งสี่สิบกว่าคน อยู่กัน ท่านสมชายดูแล
ไปเรียนมหาวิทยาลัย เขาก็มาเรียน เข้าโรงเรียนนายร้อย มาด้วยกันห้าคน สอบได้หมด ได้เข้าเรียน เดี๋ยวนี้เป็นนายร้อยโท ออกทำงานแล้ว นายร้อย แต่ว่าวันสุดสัปดาห์ก็มานอนวัดอยู่ เพราะว่าเขามีบ้านให้อยู่ฟรี อยู่วัดดีกว่ามานอนวัดดีกว่า มาช่วยเหลือวัด พอก้าวหน้าได้ ช่วยคนให้ก้าวหน้า ก็สบายใจ คนเจ็บไข้ได้ป่วยได้รักษาหายก็สบายใจ จึงขอเอาส่วนบุญนี้มาฝากโยมด้วยนะ ให้โยมทั้งหลายได้อนุโมทนาใน ...... (30.29 เสียงไม่ชัดเจน) บุญนี้ด้วย
แล้วก็เดินทางกลับมาถึงเมื่อคืน สามทุ่ม ไปเทศน์สองครั้งสองชั่วโมง คอดีขึ้นหน่อย ยังไม่เรียบร้อย คอยังไม่หายดี คอยังแห้ง เทศน์ไปพลางดื่มน้ำไปพลาง เพราะว่ามันแห้ง ดื่มน้ำแล้วก็ชุ่มคอ ดื่มน้ำแล้วก็ชุ่มขึ้นมาหน่อย เพราะว่าคอนี่มันแห้ง มันแห้งผากเลย ไม่มีน้ำลายออกเลย เวลาพูด แห้ง มันเป็นโรคอะไรก็ไม่รู้ หมอก็บอกว่ามันก็อย่างนั้นล่ะครับ โรคคนแก่ แล้วโยมเป็นหรือเปล่า ...... (31.33 เสียงไม่ชัดเจน) แก่เป็นเพราะไม่ใช่นักปาฐก หลวงพ่อมันหากินทางเทศน์ เลยคอมันก็แก่ เสียงแห้ง แต่ตอนนี้ก็เบา ไม่ค่อยรับเทศน์ ให้พระอื่นไปแทนที่รับไว้แล้ว ให้พระอื่นไปแทนได้พักผ่อน พักผ่อนแล้วมันก็ค่อยยังชั่ว วันนี้ดีขึ้นหน่อยก็เลยมา พบปะญาติโยม สนทนากันหน่อย เพื่อจะได้สบายใจว่า ไม่เป็นไร ยังอยู่ คอยังไม่แตก ก็ยังใช้ได้ หาเรื่องไปอย่างนั้น นี่ดีที่ไม่รุนแรงเพราะไม่สูบบุหรี่ หลวงพ่อไม่สูบบุหรี่เลย แล้วก็ไม่ดื่มสิ่งเป็นพิษ กาแฟ ไม่ดื่ม น้ำอัดลมก็ไม่ดื่ม ดื่มน้ำธรรมดา ใส่น้ำแข็งก็ก็ไม่ได้แสลงคอ ก็เพราะรักษามันไว้ เพื่อได้ใช้ต่อไป ส่วนอื่นไม่เป็นไร
วันก่อนไปเช็คร่างกาย ที่รามคำแหง หมอดนัย เขาเอาไป ให้ไปนอนสองคืน นอนคืนแรก ยังไม่ตรวจ พอรุ่งขึ้นตรวจ เขาให้กินน้ำขวดเท่านี้ สามขวด บอกว่าให้ดื่มให้หมดภายในสองชั่วโมง บ้า ดื่มอย่างไร น้ำขวดพันซีซี สามพันซีซีต้องดื่มให้หมด เลยต้องกาว่า สิบนาทีแก้ว สิบนาทีแก้ว ดื่ม พอดื่มน้ำเข้าไปมันก็ถ่าย แล้วก็ดื่ม ถ่าย ๆถ่ายจนไม่มีอะไรจะถ่าย เท่ากับให้ล้างท้องนั่นเอง ดื่มน้ำล้างท้องจนหมดสามขวด หมอก็ให้เอารถเข็นมาเข็นเข้าห้อง ห้องฉุกเฉิน เพื่อไปทำการตรวจภายใน เข้าไปในห้องฉุกเฉินเขาเอาน้ำเกลือมาเจาะตรงนี้ ให้น้ำเกลือ ให้นอน น้ำเกลือใส่ไว้
แล้วมีหมอคนหนึ่ง แอบเอายาทำให้ไม่รู้สึกตัว ยาสลบน่ะโยม ฉีดเข้าไปในหลอดน้ำเกลือ ซึมเข้าไป นอนดูเพดาน เอ๊ะ ทำไมตามันมืด มันเลือนๆ เลยบอกว่า เอ ทำไมมันดูอะไรไม่ค่อยชัด ตาข้างขวานี่ทำแล้วมันก็ดูชัด แต่นี่ดูมันมัวๆอย่างไร อ้ะ เพดานชักจะเดินได้แล้ว หมอว่าหลับตาเสีย ...... (34.53 เสียงไม่ชัดเจน) นอนหลับตา หลับตาก็หมดความรู้สึก ไม่มีความรู้สึกอยู่ชั่วโมงครึ่ง
ตื่นขึ้น นี่หนู หลวงพ่อนอนมานานแล้ว เมื่อไรจะทำให้เสียที เขาบอกเรียบร้อยแล้วหลวงพ่อ อ้าว ไม่ยักบอกสักหน่อย เพราะว่าเขาเอา สายยางสองเมตรยาวสักวาหนึ่งล่ะ ใส่เข้าไปทางทวาร ใส่เข้าไปๆ หมด แล้วก็เอกซเรย์ดูลำไส้
พอเสร็จแล้วหมอมาบอก สบายใจแล้วครับหลวงพ่อ ผมเป็นห่วง กลัวหลวงพ่อจะเป็นเหมือนชาติชาย ว่าอย่างนั้น โอ๊ย ชาติชายแกดื่มเหล้ามาก หลวงพ่อไม่ได้ดื่มเหล้า ไม่เป็นมะเร็งหรอก ไม่มีอะไรๆ เรียบร้อย ลำไส้เรียบร้อย อยู่ไปได้อีกสักร้อยปี ก็หมอสบายใจ ครั้งก่อนตรวจทีหนึ่งแล้ว แต่หมอยังไม่สบายใจ ผมยังไม่สบายใจ ยังเป็นห่วง เอ้า ตรวจใหม่ แล้วก็คราวนี้หมอว่าสบายใจ เพราะว่าไม่มีอะไร ลำไส้เรียบร้อย หมดเรื่องไป
รถเก่านี่ มันต้องซ่อมบ่อย เข้าอู่ซ่อม ตา ตาข้างซ้าย ข้างขวาเรียบร้อยแล้วมองชัด นี่ตาข้างซ้ายยังเลย เลยหมอบอกว่า หลวงพ่อปีใหม่แล้วก็ ผ่าหน่อย เลยไป เข้าโรงพยาบาลไปนอนสามคืน จัดการเรื่องตา ข้างซ้าย เปลี่ยนเลนส์ให้ เดี๋ยวนี้ใช้ได้ แต่มันยังนิดๆ หน่อยๆ ตื่นขึ้นเช้า มันยังเคืองๆ แต่อ่านหนังสือโดยไม่ต้องใส่แว่นก็ได้ ดู ดูลายมือชัด ถ้าเป็นหมอลายมือก็ไม่ต้องใส่แว่น นี่ก็ดูไม่เป็น ดูแต่ว่าเป็นเส้นนะ นี่เรียบร้อย ตาเรียบร้อย ก็ซ่อมไปเรื่อยๆ
ต่อไปนี้ไม่มีอะไร ก็คอ เรื่องคอนี่ ไม่มีอะไร ไม่มีอะไร เรื่องคอเรียบร้อย ไม่มีอาการมากแต่ว่า สายเสียงมันหย่อนเพราะใช้มากเกินไป หมอบอกว่าหลวงพ่อพักเสียบ้าง อย่าเทศน์นานๆ เทศน์นิดๆ หน่อยๆ บอกว่าไปเทศน์ตามบ้านนอก มันเทศน์นิดหน่อยไม่ได้ อย่างน้อยต้องชั่วโมงหนึ่ง เทศน์ชั่วโมงแล้วเขายังบ่นว่าทำไมเทศน์น้อยไป ขืนเทศน์มากก็ไม่ต้องเทศน์กันแล้ว ก็สบายใจ ตอนนี้สบายไม่มีอะไร
ก็เรื่องมันเป็นอย่างนั้น อย่างธรรมดาร่างกายของคนเรา พระพุทธเจ้าตรัสว่า รูป อนิจทัง ปะปังคุณ (38.28 ไม่ทราบพุทธภาษิต) ร่างกายนี้เป็นเรือนรู้ เชื้อโรคมันก็เข้าไปอยู่ในร่างกาย มันคอยจ้อง ว่าเมื่อใดอ่อนล่ะ กูเอามึงล่ะ แต่ถ้าแข็งแรงมันก็สงบ สงบ ออกฤทธิ์ไม่ได้ แต่เมื่อใดเกิดอาการอ่อนแรง เกิดมีโรคแทรก ไอ้ ไอ้โรคที่เข้าไปอยู่ก่อนมันก็ได้ที กำเริบเสิบสาน รักษาไม่ดีก็ตายกัน ธรรมดา ในโลก
พระพุทธเจ้าของเรา ท่านไม่มีโรคทางใจ แต่มีโรคทางกายเหมือนกัน ก็มีการรักษาโรคบางครั้ง แต่ว่าในตอนใกล้ปรินิพพานนี่ ท่านเป็นโรคเกี่ยวกับลำไส้ ลำไส้ไม่ดี ถ่ายไม่คล่อง เพราะอาหารอินเดียนี่มันต้องร้อน เครื่องเทศเยอะ ฉันเข้าไปแล้วมันไม่ค่อยถ่าย เวลาไปเที่ยวอินเดียนี่ สามวันไม่เดือดร้อน มันไม่ถ่าย ต้องฉันไอ้โน่นไอ้นี่ให้มันถ่าย ถ่ายยาก ก็นึกถึงพระพุทธเจ้าว่า ท่านอยู่กับอาหารแขก อาหารเหนียวๆ เช่น แป้งจี่ เขาเรียก จาปาตี เอามาจี่เป็นแผ่นเคี้ยวยาก แกงถั่ว ถั่วเม็ดตั้งเท่านี้ ถั่วแดง ...... (40.12 เสียงไม่ชัดเจน) แกงในเครื่องเทศ ฉันแล้วถ่ายไม่ค่อยออก ท้องผูกตลอดเวลา
อันนี้พระพุทธเจ้าท่านก็จะเดินทางไปเรื่อย ลำไส้ไม่ปกติ เป็นโรค แล้วก็ไปฉันอาหารมื้อสุดท้าย แสลงโรค อาหารมื้อสุดท้ายนี่ไม่ใช่เนื้อหมู แต่ว่าเป็นสิ่งที่หมูชอบ เขาเรียกว่า เห็ด ...... (40.36 เสียงไม่ชัดเจน) เป็นเห็ดชนิดหนึ่งที่มีอยู่ในประเทศอินเดีย แล้วก็หมูชอบ ก็เลยเรียกว่า สูกรมัททวะ สูกรมัททวะ นี่แปลว่า เห็ด ชื่อเห็ดชนิดหนึ่ง นายจุนทะ ปรุงอย่างดีมาถวาย พระพุทธเจ้าท่านรู้ ว่าอาหารอันที่นายจุนนำมาถวายนี้เป็นพิษ เลยบอกว่า อาหารที่ปรุงด้วยสูกรมัททวะ ทั้งหมดนี้เอามาถวายเราคนเดียว ห้ามถวายพระอื่น แล้วก็ฉัน เพื่อเอาใจนายจุนให้สบายใจ
ฉันเสร็จแล้วยังบอกนายจุนว่า อาหารสำคัญที่ตถาคตฉันมีสองมื้อ อาหารมื้อแรกคือ ข้าวมธุปายาสของนางสุชาดา อาหารมื้อนั้นช่วยให้ตถาคตได้ตรัสรู้ มีกำลังวังชา ...... (41.49 เสียงไม่ชัดเจน) ข้าวมธุปายาส ข้าวมธุปายาสที่นางสุชาดาถวาย ไม่เหมือนมธุปายาสที่เขาทำกันเมืองไทย มธุปายาสเมืองไทยกินแล้วเหมือนกับกินยา ใส่อะไรเยอะแยะ มธุปายาสของแขกไม่มีอะไรหรอก เรียกว่า นมสดกับข้าวสาลีต้ม ข้าวต้ม นมสดกับข้าวต้มเละๆ ใส่ผักไปถวายพระพุทธเจ้า ฉันหมดถาด ดังนะมธุปายาส
เวลาไปอินเดีย นายภัตตาจาร (42.40 ไม่พบศัพท์ในพจนานุกรม) แกรับเหมาสร้างโบสถ์ที่วัดไทย แกพาไปที่บ้าน อาหารตอนเช้ามาให้ฉันถามว่า อาหารอะไร มธุปายาส แกบอกนี่ล่ะ มธุปายาส โอ ก็เป็นข้าวต้มกับนมสด เหลวๆ เละๆ กินอร่อย กินกันหมดเลย
อันนี้ พระพุทธเจ้าฉันมธุปายาสแล้วตรัสรู้ อาหารมื้อสุดท้ายคืออาหารที่นายจุนทกัมมารบุตร คือช่างทอง แกทำถวายเป็นอาหารมื้อสุดท้าย ตถาคตฉันแล้วไปนิพพาน มีคุณค่าเหมือนกันทั้งสองอย่าง เทศน์ให้นายจุนทะสบายใจ เพราะว่าเมื่อฉันอาหารมื้อนั้น แล้วพระพุทธเจ้านิพพาน (43.30 หลวงพ่อจะพูดว่า สวรรคตแล้วแก้ภายหลัง) คนก็จะว่าว่า นายจุนนี่มอมเมาพระพุทธเจ้า เอาของเป็นพิษให้พระพุทธเจ้าฉัน แล้วพระพุทธเจ้านิพพาน แต่พระองค์บอกว่า อาหารนายจุนนี่เป็นอาหารประเสริฐ ให้สบายใจได้ ไม่มีพิษมีภัย พระองค์ฉันผู้เดียว เหลือเท่าใดห้ามไม่ให้ใครกินอาหารนั้น ห้าม ไม่ให้ใครกิน เอาไปฝังดิน เอาไปฝังดินโดยบอกว่า อาหารนี้วิเศษมาก น้ำย่อยคนธรรมดาย่อยไม่ได้เพราะฉะนั้นเอาไปฝังดินให้หมด ไม่ให้ใครกินเป็นอันตราย พระองค์ฉันผู้เดียวแล้วก็นิพพาน เป็นอาหารมื้อสุดท้าย
พระพุทธเจ้าท่านก็มี ลูกเวลาตาย แต่ก็เหมือนกับไม่มี เพราะไม่ได้มีความทุกข์เพราะลูก ไม่มีความเจ็บปวดอะไร
เมื่อครั้งที่อยู่เขาคิชกูฎ เดินลงจากเขาคิชกูฎทุกวัน มาบิณฑบาตในเมือง เทวทัต ...... (44.55 เสียงไม่ชัดเจน) ใจพาล จะทำร้ายพระพุทธเจ้า ทางมันเอียงอย่างนี้ นี่นี่ภูเขา เทวทัตขึ้นไปกลิ้งหิน บนยอดภูเขาก้อนใหญ่ กลิ้งให้ไปหินนั้นไปชนพระพุทธเจ้าแล้วจะได้ตาย
แต่หินนั้นมันกลิ้งมาชนต้นไม้ หยุด ไม่เป็นไร แต่สะเก็ดหินนิดหนึ่ง ไปกระทบพระชงฆ์ แข้ง ไปกระทบหน้าแข้งพระพุทธเจ้าเลือดไหลซิบๆ หมอชีวกโกมารภัจจ์ก็เอายามาพอกให้ พอกให้แล้วกลับบ้าน นอนไม่หลับทั้งคืน เป็นห่วง เป็นห่วงว่าพระพุทธเจ้าคงจะแสบ ยาที่ไปปะแผลแสบมาก มันก็ทิงเจอร์ไอโอดีนที่เราใช้ทาแผล มันแสบ เดี๋ยวนี้เขาไม่ใช้ แสบคนไข้ทรมานใช้ยาแดง
ก็เลยรีบตื่นเช้ามืดไปหาพระพุทธเจ้า ไปถึงก็ถามว่า เมื่อคืนนี้ พระองค์บรรทมหลับสบายดีไหม พระเจ้าค่ะ (46.20 หลวงพ่อพูด พะยะ แล้วเปลี่ยน) พระองค์ตอบว่า เราเป็นคนหนึ่งที่หลับสบายทุกคืน หมอเบาใจ หมอบอกว่า ข้าพระองค์นอนไม่หลับทั้งคืน เป็นห่วง ว่ายาที่โปะไว้ที่แผลน่ะมันร้อน พระองค์คงจะนอนไม่หลับ พระพุทธเจ้าตรัสบอกว่า ความร้อนในร่างกายของตถาคตหมดไปนานแล้ว ดับหมดแล้วตั้งแต่ใต้ต้นโพธิ์ที่พุทธคยา คือ ความร้อนไม่มี ดับไปหมด หมดความยึดถือว่าเป็นตัวเรา เป็นของเรา ...... (46.54 เสียงไม่ชัดเจน) ให้ไม่รู้สึกร้อนอะไร หมอก็สบายใจ
พระพุทธเจ้าท่านไม่มีโรคทางใจ (47.04 หลวงพ่อพูดทางกายแล้วเปลี่ยน) และทางกาย แม้จะมีโรคเกิดขึ้นก็ไม่เป็นทุกข์ เพราะไม่ยึดมั่นถือมั่น ปล่อยวางได้อยู่สบาย เรา เวลาเจ็บไข้ได้ป่วย ถ้าเป็นคนที่ฝึกสมาธิ ได้ชำนาญปล่อยได้วางได้ก็สบาย มันไม่เจ็บไม่ปวด ร่างกายปวดแต่ใจไม่ปวด เพราะใจไม่ได้เข้าไปยึดถือว่าร่างกายของฉัน มันก็ไม่มีอะไร ปล่อยวางได้สบาย โรคมันก็หายไปเอง เป็นอย่างนั้น
คนเราก็มีโรคด้วยกัน โรคกายโรคใจ ไอ้โรคกายนี่หมอมากเดี๋ยวนี้ก็รักษาได้ แต่โรคใจนี่ไม่ค่อยมีหมอรักษา เพราะหมอเองก็เป็นโรคเหมือนกัน โรคทางใจ เพราะโรคของกิเลส ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความริษยาพยาบาท อาฆาตจองเวรนี่โรคทางใจ เกิดแก่คนที่ไม่รู้จักระมัดระวัง แต่ถ้ามีการฝึกฝนอบรมจิตใจ มีสติมั่นคง มีปัญญามองเห็น สิ่งทั้งหลายตามสภาพที่เป็นจริง โรคไม่มี มันหายไปเอง หยุดไปเอง เพราะเราไม่ได้ยึดถือ ว่าร่างกายนี้เป็นของฉัน โรคไม่ได้เกิดแก่ร่างกายของฉัน มันเกิดขึ้นตามธรรมชาติ ไม่ได้ยึดมั่นถือมั่น ก็สบายใจ เป็นเช่นนี้ เพราะฉะนั้นหัดทำใจไว้บ้าง ปลงๆ วางๆไว้ มีอะไรก็นึกว่า มันไม่ใช่เรื่องของเรา ของฉัน เรื่องของธรรมชาติ ปล่อยๆ วางๆ ไป อย่าไปยึดไปติด ก็ใจสบาย
ในชีวิตประจำวันควรจะอยู่ด้วยปัญญา อยู่ด้วยสติ อยู่ด้วยความรู้จักสิ่งทั้งหลายตามสภาพที่เป็นจริง ความทุกข์มันก็น้อย ไม่ต้องเป็นทุกข์มากเกินไป ยิ่งญาติโยมอยู่ในวัยชรา ก็ควรจะไม่เป็นทุกข์ เพราะว่าทุกข์มานานแล้ว พอที เลิกกันเสียที เลิกกันความทุกข์ ให้รู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องที่จะไปสนใจ ไม่ใช่เรื่องที่ต้องคิดมากๆ ไอ้เรื่องนี้ ถ้าคิดต้องคิดด้วยปัญญา คิดด้วยปัญญามันก็เข้าใจ ถูกต้อง ความทุกข์มันก็น้อย แต่ถ้าคิดด้วยความเขลาก็ทุกข์มาก พระพุทธเจ้าจึงสอนให้อยู่ด้วยสติปัญญา อย่าอยู่ด้วยความโง่ ความเขลา ชีวิตจึงจะเรียบร้อย
อ่า มาก็สมควรแก่เวลา ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้