PAGODA

  • Create an account
  • Forgot your username?
  • Forgot your password?
or

Connection

Your e-mail is required to ensure the proper functioning of the Website and its services and we make a commitment not to reveal it to third parties

  • หน้าแรก
  • ฐานข้อมูล
  • เสียง
  • วีดิทัศน์
  • E-Books
  • กิจกรรม
  • บทความ
PAGODA
  • หน้าแรก
  • ฐานข้อมูล
  • เสียง
  • วีดิทัศน์
  • E-Books
  • กิจกรรม
  • บทความ

เข้าสู่ระบบ / สมัครสมาชิก

เข้าสู่ระบบ

  • สมัครสมาชิก
  • ลืมชื่อผู้ใช้?
  • ลืมรหัสผ่าน?

Search

  • หน้าแรก
  • เสียง
  • พระพรหมมังคลาจารย์ (ปัญญานันทภิกขุ)
  • ฉลาดเป็นสุข ทุกข์เพราะโง่
ฉลาดเป็นสุข ทุกข์เพราะโง่ รูปภาพ 1
  • Title
    ฉลาดเป็นสุข ทุกข์เพราะโง่
  • เสียง
  • 3837 ฉลาดเป็นสุข ทุกข์เพราะโง่ /lp-panya/2019-05-24-13-37-59-5.html
    Click to subscribe
    • Share
    • Tweet
    • Email
    • Share
    • Share

ผู้ให้ธรรม
พระพรหมมังคลาจารย์ (ปัญญานันทภิกขุ)
วันที่นำเข้าข้อมูล
วันพุธ, 09 เมษายน 2568
ชุด
ธรรมะกับการพัฒนาชีวิต
  • แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [ลองพูดคุยกับ AI ทาง Line]

  • Tags
    การดับทุกข์ | ความทุกข์
  • พุทธบริษัททั้งหลาย ณ บัดนี้ ถึงเวลาของการฟังปาถกฐาธรรมะ อันเป็นหลักคำสอนในทางพุทธศาสนาแล้ว ขอให้ทุกท่านอยู่ในอาการสงบ พวกที่เดินก็หยุดเดินได้แล้ว หาที่นั่งในบริเวณนั้น นั่งพักให้ดี แล้วตั้งใจฟังด้วยดี เพื่อให้ได้ประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการมาวัดตามสมควรแก่เวลา วันนี้ได้มีนักเรียนนางพยาบาลของมหาวิทยาลัยสยามมารวมฟังธรรมด้วย แล้วจะมาพักอยู่ที่วัดเรียกว่าเข้าค่ายเป็นเวลา 3 วัน เพื่อจะได้ศึกษาปฏิบัติธรรมะเอาไปใช้ในชีวิตประจำวันต่อไป

    ในระยะเดือนนี้เมื่อวันที่ 5 วันที่ 4 ในหลวงได้มีพระราชดำรัสแก่ข้าราชการทั่วไป ตลอดจนถึงประชาชน มีคนไปเฝ้าถวายพระพร แล้วฟังพระราชดำรัสกันเป็นจำนวนมาก ปีนี้ในหลวงท่านไม่ยืนพูด เพราะว่าสุขภาพของพระองค์ท่านไม่สู้จะดีนัก ได้ให้นั่งพูดให้คนฟัง คนฟังก็ไม่ได้ยืนฟัง ปีก่อน ๆ ในหลวงท่านยืนพูด คนฟังก็ยืนฟังกัน พูดนานตามสมควรแก่เวลา แต่คราวนี้ท่านนั่งแล้วก็มีพระราชดำรัสเป็นข้อความง่าย ๆ แก่ประชาชนทั่วไป ทรงเตือนนักการเมืองให้ทำอะไรให้มันถูกต้อง อะไรต่าง ๆ หลายเรื่อง  ญาติโยมคงจะมีโอกาสได้ฟังท่านบ้างแล้ว การกระทำเช่นนั้นขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นการทรงเตือนให้เราทั้งหลายได้นึกถึงธรรมะ ได้ปฏิบัติธรรมะกัน เพราะการปฏิบัติธรรมเป็นเหตุให้เกิดความเจริญก้าวหน้าในชีวิต ป้องกันไม่ให้เกิดเหตุร้ายขึ้นในบ้านเมืองของเรา พวกเราทั้งหลายที่สนใจในการศึกษาธรรมะ มีคำบาลีว่า ธัมมะกาโม ภะวัง โหติ  แปลว่า ผู้ใคร่ธรรมเป็นผู้เจริญ

    ใคร่ธรรมหมายความว่าใคร่ที่จะศึกษา ใคร่ที่จะนำไปปฏิบัติในชีวิตประจำวัน ย่อมมีความเจริญ หรือพูดง่ายๆ ว่า ผู้สนใจธรรมะย่อมมีความเจริญ

    แต่มีอีกคำหนึ่งว่า ธัมมะเทสสี ปะราภะโว แปลว่า ผู้ชังธรรมเป็นผู้เสื่อม ชังธรรมก็คือไม่สนใจศึกษา ไม่สนใจปฏิบัติ ไม่เห็นประโยชน์ของธรรมะ แล้วก็กลายเป็นคนไม่ชอบธรรมะ เกลียดธรรมะ ชวนให้ไปวัดนี่เหมือนกับลากแมวข้างหาง ไม่อยากจะไป แต่ถ้าชวนไปเที่ยวไปสนุกแล้วก็ตีปีกพึบพับแล้วก็ไปกัน อย่างนั้นเขาไม่ชอบธรรมะ ที่ไม่ชอบธรรมะก็เพราะว่า ธรรมะสอนให้ไม่หลงใหล ไม่มัวเมาในสิ่งไร้สาระ ไม่ให้เพลิดเพลินยินดีในสิ่งที่มันสิ้นเปลือง ไม่มีประโยชน์ เขาไม่ชอบ เพราะเขาเกิดมาเพื่อความสนุก เพื่อกิน เพื่อเล่น เพื่อเพลิดเพลินในเรื่องอะไรต่าง ๆ แต่ว่าธรรมะสอนให้ไม่เพลิดเพลินมัวเมาสนุกสนานในสิ่งเหล่านั้น เขาก็ไม่ชอบ เขาอยากกิน อยากเที่ยว อยากเล่น อยากสนุก ในรูปต่าง ๆ หาความเพลิดเพลินในด้านนั้น เป็นความเพลิดเพลินด้านต่ำ ด้านไม่เข้าหน้าเท่าใด ชีวิตย่อมทุกข์ทนเกิดปัญหาบ่อย ๆ

    ธรรมะสอนให้เราขจัดปัดเป่าความคิดไม่ดี การพูดไม่ดี การกระทำไม่ดี การคบคนที่ไม่ดี การไปสู่สถานที่ไม่ดี เขาไม่ค่อยชอบ เพราะเขาชอบในทางตรงกันข้าม จึงไม่อยากสนใจในธรรมะ แต่ถ้าเมื่อใดมันมีปัญหา มีความทุกข์เกิดขึ้นในชีวิต ก็คิดถึงธรรมะ คิดถึงพระ แล้วก็ไปหาพระ แต่ว่าการไปหาพระถ้าไปแบบโง่ ๆ มันก็ไม่ได้เรื่องอะไร เช่นว่า ไปหาพระเพื่อให้ทำพิธีไสยศาสตร์ ให้ไปหาหลวงพ่อให้เขกกระบาน เห็นโทรทัศน์ออก นายตำรวจคนหนึ่งแกกลุ้มใจ เลยไปหาหลวงพ่อนั่งเฮลิคอปเตอร์ไปเลย ลงไปถึงหลวงพ่อเขก เขก 3 ครั้ง เขกเข้ามาก็จับหัวเข้ามาพ่นน้ำลายใส่หัวซะหน่อย สบายใจ อย่างนี้ก็เรียกว่าไปหาพระไม่เข้าเรื่อง ไปทำพิธีกรรมที่มันไม่ถูกต้องตามหลักการในทางพุทธศาสนา เขาเรียกกันว่าไสยศาสตร์ ไสยศาสตร์นี่ก็มีไว้สำหรับคนที่ปัญญาอ่อน ๆ ยังไม่มีปัญญา ชอบให้เขาทำอะไรแปลก ๆ ให้กับตน

    เพราะฉะนั้นการหากินในทางไสยศาสตร์นี่ก็พอได้กินได้ใช้บ้าง เพราะว่าคนโง่ยังมีเยอะ ในบ้านเมืองของเรานี่คนโง่มีเยอะ คนฉลาดไม่ค่อยมากเท่าใด เป็นอย่างนั้น คนเขาไปหามาสู่ วัดไหนมีอาจารย์ประเภทปัญญาอ่อน คนก็ไปมากเหมือนกัน ไปหาของเหล่านั้น ไปรดน้ำมนต์ ไปทำพิธีสะเดาะเคราะห์อะไรต่าง ๆ ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องถูกต้อง เพราะว่าเรื่องทั้งหลายที่เกิดขึ้นในชีวิต ก็เกิดจากตัวเราเอง เราทำให้มันเกิดขึ้น เรียกว่าเคราะห์ดีบ้าง เคราะห์ร้ายบ้าง

    เคราะห์ดีก็เกิดจากการทำดี เคราะห์ร้ายเกิดจากการทำไม่ถูกต้อง แล้วจะไปสะเดาะมันออกได้อย่างไร

    เมื่อความคิดนั้นยังอยู่ การกระทำนั้นยังอยู่ มันก็สะเดาะไม่ได้ แต่ถ้าว่าเรารู้หลักการทางพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าสอนว่า สิ่งทั้งหลายเกิดจากเหตุ เหตุนั้นอยู่ที่ไหน ก็อยู่ที่ตัวเรานั่นเอง เราเป็นผู้สร้างเหตุ เหตุดีก็มี เหตุชั่วก็มี เหตุให้เกิดความสุขก็มี เหตุให้เกิดความทุกข์ความเดือดร้อนก็มี เหตุให้ยากจนก็มี เหตุให้ร่ำรวยก็มี ทำเหตุให้เป็นโรคก็มี เช่น ทำเหตุให้เป็นโรคเอดส์บ้าง ให้เป็นโรคอะไรเกิดขึ้นในร่างกาย มันเกิดเพราะเราทำทั้งนั้นล่ะ ไม่ได้เกิดเพราะดวงไม่ดี โชคไม่ดี ไม่เกี่ยว เรื่องดวงเรื่องโชคไม่เกี่ยว แต่ที่เกี่ยวข้องสำคัญก็คือว่า เราทำให้มันเกิดขึ้นทั้งด้านดีด้านเสีย ถ้าเกิดด้านดีก็สบายใจ แต่ถ้าเกิดด้านเสียก็เป็นทุกข์ เป็นทุกข์แล้วก็ไม่รู้จักตัวความทุกข์ ไม่รู้จักเหตุของความทุกข์ ไม่รู้ว่าทุกข์แก้ได้ แล้วไม่รู้ต่อไปว่าจะแก้อย่างไร เป็นอย่างนี้เพราะอะไร เพราะขาดการศึกษา ไม่อ่านหนังสือธรรมะเสียบ้าง ไม่ไปฟังธรรมะเสียบ้าง เพราะไม่เข้าใจเรื่องธรรมะถูกต้อง เลยชีวิตอยู่อย่างหลับหูหลับตาเดิน

    คนตาบอดเดินไปไหนก็ต้องถือไม้เท้า เอาไม้เท้าต่างตา ถือไปถือบ้างแกว่งไป ก็ไปได้ คนตาบอดไปเที่ยวทั่วกรุงเทพ ไปปากน้ำก็ได้ ไปบางรัก ไปสาทร ไปไหนก็ไปได้ เคยถามเขาว่าไปทำไม ก็ไปดู เห็น ไม่เห็น แล้วไปทำไป ก็ไปขำ ๆ ไปตามเรื่อง ไปขำไปทำกับสิ่งเหล่านั้น เขาไปเพื่อให้มันสบายใจ แต่ก็เก่งเหมือนกัน ขึ้นรถเมล์ ลงได้ถูกต้อง ถึงที่ลงเขาก็ลง ลงได้ถูกต้องเรียบร้อย เห็นไปมาบ่อย ๆ บางคนไปมาเรือบิน คราวหนึ่งหลวงพ่อไปโคราช แล้วก็ขึ้นเรือบินที่โคราชกลับกรุงเทพ เขานั่งขวาง นั่งด้านนอก จะต้องเดินเข้าไปข้างใน บอกว่าขอทางหน่อย พอพูดว่าขอทางหน่อย เขาบอกโอ้หลวงพ่อ เขาก็เก่ง จำเสียงได้ ไม่ได้พบหลวงพ่อหลายปีแล้ว หลวงพ่อไปไหน ก็กลับกรุงเทพ ขึ้นที่โคราช มาทำไมโคราช บอกมาเทศน์ เลยนั่งคุยกันไป เขาบอกแหม นานแล้วไม่ได้ไปเยี่ยมหลวงพ่อ ผมมันทำงานเวลานี้ เที่ยวเปิดโรงเรียนคนตาบอดที่ขอนแก่น ที่มหาสารคาม ร้อยเอ็ด หลายแห่ง 

    เขาเป็นผู้ตรวจการทั่วไปเพื่อโรงเรียนตาบอด เขาไปเรียนถึงเมืองอเมริกา ตาบอดน่ะ ไปได้ปริญญามาจากอเมริกา แล้วเขาบอกว่าผมคิดถึงบุญคุณของคุณไก่อยู่เสมอ แต่ไม่ค่อยได้ไปเยี่ยมคุณไก่ ท่านได้ช่วยเหลือคนตาบอด เป็นกรรมการดูแล เขาบอกว่านึกถึงอยู่ ผมได้เอาตัวรอดก็เพราะว่าคุณไก่นี่เอง แล้วก็คุยไปคุยมาเขาล้วงในกระเป๋า เอาเงิน 2,000 บาทใส่ย่ามให้ด้วย บอกว่าทำบุญกับหลวงพ่อ นี่ตาบอด แต่เขาทำอะไรได้หลายอย่าง คือ บอดแต่ตาใจไม่บอด เมื่อก่อนนี้คนตาบอดอยู่หน้าวัด เขามาฟังเทศน์กันทุกอาทิตย์ เดินเป็นแถว ถือไม้เท้าก๊อกแก๊ก ๆ มาแล้ว มานั่งฟังธรรมแต่เดี๋ยวนี้โรงเรียนคนตาบอด อยู่ในความอำนวยการของพระโรมันคาทอลิก วันอาทิตย์เขาก็ให้เข้าโบสถ์ เลยไม่ได้มาวัด พบทีเลยบอกหมู่นี้ไม่ได้ไปวัด ไม่ได้ไปฟังหลวงพ่อ เพราะว่าบาทหลวงเขาไม่ให้ไป แต่เขาก็ยังเป็นชาวพุทธอยู่ตามพ่อแม่ อันนี้เป็นเรื่องชีวิตของคนเราที่เป็นไปในรูปต่าง ๆ กัน

    อันนี้เราที่เป็นคนไม่พิการ คือตาไม่บอด หูไม่หนวก อะไร ๆ เรียบร้อย ไม่ใช่ว่ามันจะไม่มีปัญหาในชีวิต ย่อมมีปัญหาเกิดขึ้นบ่อย ๆ แล้วเมื่อปัญหาเหล่านั้นเกิดขึ้นเราไม่รู้ คือไม่รู้จักตัวปัญหา ไม่รู้เหตุของปัญหา ไม่รู้ว่าปัญหาเป็นเรื่องแก้ได้ แล้วก็ไม่รู้ว่าจะแก้อย่างไร นี่คือความยุ่งในชีวิตประจำวัน เพราะไม่รู้จักสิ่งเหล่านี้ ถ้าจะเรียนรู้สิ่งเหล่านี้ ก็ต้องเรียนจากพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เพราะว่าพระพุทธเจ้าสอนเรื่องนี้มากกว่าเรื่องใด ๆ สอนให้เราเข้าใจเรื่องปัญหา แต่เรียกว่าเป็นความทุกข์ พระองค์ตรัสกับภิกษุทั้งหลายบ่อย ๆ ว่า ภิกษุทั้งหลาย ในกาลก่อนก็ดี ในกาลข้างหน้าก็ดี ในกาลปัจจุบันนี้ก็ดี เราสอนเรื่องเดียวที่สำคัญ คือเรื่อง ความทุกข์และการดับทุกข์ได้ หลักการทางพุทธศาสนาสำคัญที่ตรงนี้ คือสอนให้รู้จักความทุกข์ และรู้จักดับทุกข์ได้ แต่ว่าแจกออกไปก็เป็น 4 เรื่อง คือ

    1. เรื่องความทุกข์
    2. เรื่องเหตุให้เกิดทุกข์
    3. เรื่องความดับทุกข์
    4. เรื่องทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์

    อันนี้เรื่องความทุกข์นี้มันอยู่ที่ไหน ก็อยู่ในชีวิตของเราไม่ได้อยู่ที่ไหน อยู่ที่ชีวิตของเราเอง อยู่ที่ความคิด การพูด การกระทำ การคบหาสมาคม การไปการมาในที่ต่าง ๆ แล้วมันก็เกิดอะไรขึ้นในชีวิตของเรา เกิดอะไรขึ้นแล้วมันก็เป็นไปตามเครื่องปรุงแต่ง ถ้าว่าเหตุเป็นให้เกิดทุกข์ก็เป็นทุกข์ ให้ร้อนใจก็ร้อน ให้เศร้าโศกให้เสียใจอะไรต่าง ๆ มันก็เกิดจากตัวเราเอง เราคิดไม่เป็น ทำไม่ถูก พูดไม่ถูก คบกับคนที่มันไม่ถูกต้อง มันก็เกิดเป็นปัญหาขึ้นมาในชีวิตของเรา เพราะไม่ได้ศึกษาอะไรไว้ก่อน 

    เช่นว่า เรื่องที่เกิดขึ้นในครอบครัว ทุกครอบครัวต้องมีเรื่องอย่างนี้ เช่น บ้านเราอยู่ด้วยกันมีพ่อแม่มีลูก บางทีก็ลูกถึงกรรมไป ลูกถึงแก่กรรมไป ก็คุณแม่นี่เสียใจมาก เสียใจจนไม่รู้จะทำอย่างไร เสียใจ เลยก็มา มาที่วัด สามีก็มาด้วย บอกว่าแม่เขาเสียใจมากเพราะลูกชายตาย แล้วบอกลูกชายอายุเท่าไหร่ อายุยี่สิบกว่าแล้ว ทำงานแล้ว เรียนจบวิศวะ แล้วก็ได้ทำงานทำการแต่งงานแล้ว แล้วก็มีลูกหรือเปล่า มีลูกไว้คนนึง บอกว่าความจริงก็ไม่น่าเสียใจ เพราะว่าความตายเนี่ยมันเรื่องธรรมดา ตายทุกคน เกิดมาแล้วตายทุกคน ไม่เห็นใครเหลืออยู่สักคนในโลกนี้ อยู่ไปอยู่ไปมันก็ตายทั้งนั้น ไม่ใช่ตายแต่ลูกเรา ไม่ใช่ตายแต่สมาชิกในครอบครัวของเรา เพื่อนบ้านข้างเคียงเค้าก็ตายกัน เนี่ยเคยไปในงานศพไหม เคยไป ไปวัดศพบ้างไปอะไรบ้าง ไปอยู่ และเวลาไปนั้นคิดอะไรบ้าง ก็ไม่ได้คิดอะไรไปนั่งนั่งฟังพระสวดจบแล้วก็กลับมาเท่านั้นเอง ไม่ได้ศึกษาให้เกิดปัญญา ไปในงานอะไรไม่ได้เอางานนั้นมาศึกษา ก็ไม่ได้เอามาคิดเป็นข้อเตือนใจ จึงไม่เกิดปัญญาเมื่อไม่มีปัญญามันก็เป็นทุกข์

    ความทุกข์เกิดจากความโง่ ไม่ได้เกิดจากเรื่องไอ้เรื่องโง่ ถ้าโง่แล้วก็เป็นทุกข์ ถ้าฉลาดมันก็ไม่ทุกข์ คนที่จะฉลาดก็ต้องพิจารณาในเรื่องนั้น ๆ เช่น เราไปเห็นคนอื่นตาย ถ้าเราคิดว่าเราจะต้องตายอย่างนี้รึเปล่า ว่าต้องตาย แต่ว่าจะตายเมื่อไหร่ไม่รู้ ด้วยโรคอะไรไม่รู้ ที่ใดก็ไม่รู้ รู้ไม่ได้ ไม่มีใครจะบอกได้แต่ว่าวันหนึ่งจะต้องเป็นอย่างนี้ พระท่านก็สอนให้คิดอย่างนั้น ถ้าไปเห็นอะไรตายก็ให้คิดว่า เอวัง ภาวี เอวัง ธัมโม เอวัง อะนะตีโต  แปลว่าฉันจะต้องเป็นอย่างนี้ ฉันหนีจากความเป็นอย่างนี้ไปไม่ได้หรือพูดให้มันฟังง่ายกว่าว่า ฉันก็ต้องตายเหมือนกัน หนีความตายไปไม่พ้น คิดไว้อย่างนั้น คิดเตือนใจไว้ แล้วเอาไปคิดบ่อย ๆ ก็จะเกิดปัญญา เวลามีใครตายขึ้นในครอบครัว จะไม่เศร้าโศกไม่เสียใจ อาจจะมีนิดหน่อย ความรู้สึกกระทบเทือนใจมีนิดหน่อย แต่ก็คิดได้ว่า โอ้ ตายเหมือนกัน ทุกคนก็ต้องตาย ฉันเองก็ต้องตาย คนนั้นก็ต้องตาย คนนี้ก็ต้องตาย ไม่น่าจะเสียใจอะไรเกี่ยวกับความตาย อย่างนี้ก็ไม่เศร้าโศกไม่เสียใจ ก็ได้พบพระ ได้ฟังคำแนะนำจากพระ หรือได้เห็นแบบสาธิตในเรื่องเกี่ยวกับความตายบ่อย ๆ มันก็ช่วยให้เกิดสิ่งถูกต้องขึ้น แต่ว่ามันไม่ค่อยได้คิด เพราะว่าไปในงานศพนี่ ไม่มีการแนะนำ

    สมัยนี้เขาเรียกว่าแนะนำ ครูแนะนำนักเรียนเข้าใหม่หรืออะไรต่าง ๆ แนะนำ ปฐมนิเทศ นี่เราไปในงานศพนี่ไม่มีการแนะนำ ไปถึงก็ทำพิธี สวดสวดสวดสวดศพจบหยุดให้โยมกินข้าวต้มกินอะไรต่ออะไรก็เลี้ยงแหละ แต่กินก็ไม่ได้มากมายกินนิดหน่อย ๆ เหลือเบื่อบ่าทิ้งขว้าง ทีกับว่าให้ทำขออภัยบ้างอะไรบ้าง แล้วก็ฟังสวดต่อ สวดจบแล้วก็กลับบ้าน ไม่ได้แนะนำให้รู้ว่ามาทำไม มาเพื่ออะไร มาแล้วจะได้อะไรกลับไป ไม่ได้ชี้นำ ไม่ได้อธิบายให้คนเข้าใจ คนก็เลยไม่ได้ปัญญา วันเผาศพก็เหมือนกันคนเยอะ มากันหมด แต่ว่าก็มานั่งคุยกันไปตามเรื่องตามราว ไม่ได้ดูศพ ไม่ได้เอาศพมาเป็นบทเรียนเป็นเครื่องสอนใจคุยสนุกสนุกหัวเราะกันไปเรื่อย ๆ แล้วก็ขึ้นเผาศพ ขึ้นก็แย่งกัน ขึ้นระมุนวุ่นวายไม่มีระเบียบเรียบร้อย ลงแล้วก็ไปยืนคุยกันอีกหัวเราะกันต่อไปอีก ไม่ได้นึกสลดใจว่า โอ้ ชีวิตคนเรามันก็ต้องอย่างนี้แหละ เราหนีจากความเป็นอย่างนี้ไปไม่ได้ มีปัญหาเกิดขึ้นก็เสียใจ กินไม่ได้นอนไม่หลับกันเลยทีเดียว อันนี้เพราะว่าไม่เข้าใจ ความจริงของธรรมชาติ

    พระพุทธเจ้าท่านสอนให้เราพิจารณา 5 อย่าง ให้พิจารณาบ่อย ๆ คิดบ่อย ๆ คิดว่าเราจะต้องแก่เป็นธรรมดา เราหนีความแก่ไปไม่ได้ เราจะต้องเจ็บไข้บ้างเป็นธรรมดา หนีจากโรคภัยไข้เจ็บไม่ได้ เราก็จะต้องตายเป็นธรรมดา หนีจากความตายไม่ได้ เราจะต้องพลัดพรากจากสิ่งที่เรามีเราได้ เราทำอะไรเราได้อย่างนั้น ถ้าเราทำดีเราก็ได้ความดี ทำชั่วมันก็ได้ความชั่ว ทำเหตุให้เกิดอะไรมันก็ได้ผลอย่างนั้น ท่านให้คิดอย่างนี้ คิดเพื่ออะไร เพื่อเตือนใจเราเอง เมื่อสิ่งนั้นเกิดขึ้นก็ไม่ต้องเสียใจ ไม่ต้องอาลัยอาวรณ์ให้มันเกินไป เราว่าทำอย่างนั้นมันขาดสติขาดปัญญา เป็นคนโง่ เป็นคนเขลาไม่รู้อะไร ท่านให้เรียนรู้ไว้บ้างคิดไว้บ้าง คิดว่าเราจะต้องแก่เป็นธรรมดา

    คนเรานี่มันแก่ แก่ 2 อย่าง แก่ขึ้น แล้วก็แก่ลง แก่ขึ้นนี่เริ่มตั้งแต่ปฏิสนธิในท้องคุณแม่ ก็เริ่มแก่ แก่ขึ้นแก่ขึ้น แก่จนครบ 12 เดือนอายุไม่ไหวแล้วในท้อง 12 เดือนแล้วพอแล้ว ก็ออกมา เป็นเด็กน้อยน้อยนอนในเบาะเวลาออกมาถึงร้องไห้ ไม่เห็นใครออกมาแต่หัวเราะสักคนเดียว และเวลาตายก็ไม่ใช่หัวเราะเพราะคนที่อยู่ข้างหลังก็ร้องไห้ เรื่องมันเป็นอย่างนั้น ว่ามันแก่ขึ้นแก่ขึ้น อายุมากขึ้นก็หมายความว่าแก่ แต่เขาให้พรเราว่าขอให้อายุมั่นฝันยืน ก็หมายความว่าให้แก่มาก ๆ แต่แก่มาก ๆ เนี่ยมันสนุกไหม จริงเหรอคิดว่าสนุกไหม แต่ว่าพอใครให้พรขอให้อายุมั่นฝันยืนสาธุชอบใจ ถูกหลอกไม่ชอบใจ ก็ให้พรหลอก ๆ ว่าให้อายุยืนไม่พูดว่าให้อายุมั่นขวัญยืน เราก็พอใจ ที่จริงก็บอกว่าให้แก่มาก ๆ แล้วเห็น เห็นคนที่แก่มาก ๆ มั้ย แก่อายุ 90 95 อะไรนะ เห็นแล้วสบายใจมั้ย น่าน่ายินดีมั้ย แก่มากขนาดนั้น จะกินก็ไม่ไหว จะเดินก็ไม่ได้ ทำอะไรก็ไม่ได้ทั้งนั้น ก็แก่เกินไป แต่มันไม่ตายสักที ร่างกายดี แข็งแรงได้ แต่วันหนึ่งแกก็ต้องตายไป

    ถ้ารู้ว่าคนแก่อายุเก้าสิบเก้าหรือร้อยตายเนี่ย ควรจะนึกว่า อ๋อ ดีแล้ว ตายเสียทีก็ดีแล้ว เพราะว่าอยู่ก็ทรมาน ลำบาก ไม่ใช่เป็นความสุขอะไร ตายเสียได้เสีย หมดเรื่องไป เอ่อ แต่ว่าพูดอย่างนั้นมันก็ไม่ได้ แต่เราพูดกับตัวเราเองว่า เออ อย่าอยู่ให้มันแก่ถึงขนาดนั้นเลย แต่ก็บังคับไม่ได้ ถ้ามันไม่ถึงเวลามันก็ไม่ดับ ไม่ตาย ก็ต้องอยู่ต่อไป อยู่ต่อไปด้วยปัญญา ไม่ใช่อยู่ด้วยความเศร้า ถ้าอยู่ด้วยความเศร้ามามันก็เป็นทุกข์ ถ้าอยู่ด้วยปัญญามันก็ไม่ทุกข์นะ เพราะเข้าใจความจริง และเวลาเราแก่ขึ้น ๆ แต่เดี๋ยวถึงที่สุดแก่ลงไปนี่แก่ลง ชีวิตคนเราเหมือนกับขึ้นสะพานโค้ง เนี่ยเราขึ้นสะพานแล้วเดิน ค่อย ๆ ขึ้น ถึงกลางสะพาน พอถึงกลางสะพานก็ต้องเดินลงไปฝั่งนู่น หรือกลับมาฝั่งนี้ก็ได้ ที่จะไปยืนอยู่กลางสะพานนั้นไม่ได้ เพราะไม่ใช่ที่ที่จะไปเดินเล่นตรงนั้น ถ้าใครไปเดินตำรวจจับตามอง ไม่ได้มาเดินอยู่ตรงนั้น คงจะวางแผนอะไรสักอย่าง จะกระโดดสะพานทำประวัติการณ์ ว่าโดดเป็นคนแรก จะทำอะไรตำรวจก็มองเราไม่ได้หรอก

    เวลาแก่ลงนี่ไม่มีใครชอบ ก็มันเปลี่ยน ตา จมูก แต่เดี๋ยวนี้หมอเค้าเก่ง ตามัวก็ไปทำการพัฒนาได้ ลองพอไปทำตาข้างเดียวข้างนี้ยังมัวอยู่ พอเปลี่ยนเลนส์ใส่ให้ใหม่แล้วแจ๋ว ตัวเลขชัดเจน อ่านหนังสือไม่ต้องใส่แว่นก็ได้ หนุ่มขึ้นอีกหน่อย ตามันหนุ่มขึ้นอีกหน่อย แต่ว่าข้างนี้ยังไม่ได้ทำ ก็ว่าง ๆ ก็จะไปทำอีกตอนนี้ไม่ค่อยว่าง ทำเรียบร้อยแล้วก็ดีขึ้น นี่แก่แล้ว ตาแก่ทำให้ตาหนุ่มได้ ผมหงอกทำให้ดำไม่ได้ ทำได้เอายาย้อมผมมาย้อม หลอกตัวเองหลอกคนอื่น แต่ว่ารู้อยู่ว่าผมกูหงอก แต่ที่มันดำเนี่ยสิเพราะว่าน้ำยา เอามาใส่ไว้อ่าหลอกตัวเอง แก้ความจริงคือให้ดำไม่ได้ หูก็ชักจะตึง ใครพูดก็ต้องเอามือป้องตอนเสียงมันเข้าหูก็ยังไม่ค่อยชัดเจนแจ่มแจ้ง รำคาญ เวลาพูดกับใครก็พูดดัง แต่คนหูตึงนี่พูดดัง ทำไมจึงพูดดังเพราะตัวก็ไม่ค่อยได้ยินเสียงของตัวเอง เลยเข้าใจว่าคนอื่นคงจะไม่ได้ยินเลยพูดดัง เป็นยังงั้น อดทน ปวดแขน ปวดขา ปวดหัวเข่า นี่โยมนี่นั่งอยู่นี่ หวังว่าทุกคนไม่ปวด มีน้อยปวดหัวเข่า ปวดแขน ปวดขา ปวดเอว ปวดหลัง ปวดหัว เออ หลายปวดเรื่องปวด ๆ ทั้งหลายมารวม ๆ กันอยู่ที่ร่างกายของเรา นี่ความแก่มันได้เกิดอย่างนี้ ทุกคนต้องเป็นอย่างงั้น

    เวลานี้ยังไม่แก่มากแต่ว่าแก่อยู่แล้ว แก่แก่ 10 ปี แก่ 20 ปี แก่ 25 แก่ 30 แก่เรื่อย แม่ทุกคนแก่ ตื่นเช้าเวลาไปแต่งตัวหน้ากระจก หวีผมตาแป้งอะไรต่ออะไร ก็บอกตัวเองว่าวันนี้ฉันแก่ขึ้นอีกวันนึงแล้ว ได้อายุมากขึ้น อายุก็คือเครื่องหมายของความแก่ ถามว่าอายุเท่าไหร่อายุ 15 หมายความว่าแก่ 15 อายุ 20 ก็แก่ 20 อายุ 30 ก็แก่ 30 อายุ 80 แก่ 80 ถ้าแก่ 80 เนี่ยก็เตรียมได้แล้ว มันมันแก่แล้วใกล้เข้ามาแล้วเรื่องมันเป็นอย่างงั้นอยู่ความแก่ นี่หนีไม่พ้นอันนี้ดูผิวหนัง หนังมันเหี่ยว มันขึ้น อายุมากแล้ว มันเกี่ยวความเปลี่ยนแปลงของร่างกาย แล้วก็ความรู้สึกนึกคิดก็เปลี่ยน ความจำเสื่อม จำไม่ค่อยได้อายุมากจำไม่ได้ อาตมาบางคนมาหานะยังไม่รู้ว่าชื่ออะไร คุยไปนึกไปมันก็ไม่ออกสักที อ่ะคุยกันไปตามเรื่อง ถ้าเขาถามว่าจำดิฉันได้ไหม อ่ะก็พอนึกไม่ได้ ความจริงมันอย่างนึกไม่ได้หรอกเพราะเพราะชื่ออะไร แต่ก็บอกว่าพอพอนึกได้ ก็คุยกันไปตามเรื่องไป จนเขากลับไปแล้วตั้งชั่วโมงสองชั่วโมง มันถึงผุดออกมาว่าชื่อนั้น มันเสียหายแล้วก็ไปแล้วจึงนึกออก นึกชื่อออกว่าคนนั้นน่ะ ทีนี้คนที่มาเขาก็อยากจะให้รู้จักชื่อเขาด้วยเขาภูมิใจ ภูมิใจว่าหลวงพ่อจำได้ แต่ว่ามันนึกไม่ออกนึก เท่าไหร่ก็ไม่ออก จนเขาไปแล้วจึงนึกออก อ๋อ คนนั้นเอง เป็นแบบนั้นบ่อย ๆ บางทีคนไปมาหาสู่กันอยู่เนี่ย นึกชื่อนึกไม่ออก นึกว่าชื่ออะไรนึกไม่ออก ทั้ง ๆ ที่พบกันทุกวันอาทิตย์นะ โยม ๆ บางทีนึกไม่ออก โยมเพ็ญนำเอาน้ำส้มมาถวาย บางทีเอ๊ะชื่ออะไร เออ มันเป็นไปได้นะ มันลืมหรือไม่รู้ว่าชื่ออะไร แต่ว่าโยมอย่าไปน้อยอกน้อยใจ เพราะว่าธรรมชาติมันเป็นอย่างงั้น เรื่องคนแก่มันเป็นงั้น เป็นทุกคน ความจำมันเสื่อม นึกไม่ค่อยได้

    แต่ว่าถ้าเป็นเรื่องเก่าที่จำมาตั้งแต่เด็ก ๆ นะ มันไม่ค่อยลืม ของใหม่ไม่ค่อยจำ เช่นว่า เมื่อเด็ก ๆ เคยอ่านหนังสืออะไร เวลาปาฐกถามันก็ออกมาได้ ตอนที่เคยท่องเมื่อเด็กมันยังจำได้ ของเก่าจำได้ ชื่อคนเก่า ๆ ก็จำได้ แต่คนใหม่จำไม่ได้ ได้อ่านหนังสือเรื่องประวัติเจ้านาย คนดี ๆ ของเมืองไทยเล่าให้ใครฟังก็จำได้ เออ ก็หลวงพ่อความจำดี ความจริงไม่ได้เรื่องแล้ว มันจำบางเรื่อง แต่มันไม่จำบางเรื่อง ด้วยความแก่ของร่างกาย สมองแก่ คนแก่มาก สมองฝ่อ พอสมองฝ่อนี่ไม่ทำงาน ทำอะไรไม่ได้ นั่งเฉย ใครมาก็ไม่รู้ ใครไปก็ไม่รู้นั่น ถึงเวลาฉันอาหาร เด็กก็มาจูงมือไป ไปฉัน ก็นั่งฉันไป ไม่พูดไม่คุยกับใคร ฉันเสร็จก็นั่งเฉย นั่นแหละอาการ อาการเสื่อมทางสมอง สมองเสื่อม ทำอะไรก็ไม่ได้ นี่เป็นเรื่องของความแก่ที่เกิดขึ้นกับคนทุกคน ไม่ยกเว้น ใครไม่เป็นถึงขนาดนั้น ก็นับว่าบุญแล้ว ที่มันไม่ลืมถึงขนาดนั้นก็บุญแล้ว

    เคยไปหาพระองค์หนึ่ง ท่านอายุมาก ท่านถามว่า มาจากไหน ก็บอกแล้ว คุยคุยไป ท่านถาม เอ๊ะ มาจากไหน ก็ถามมาตั้งกี่ทีแล้วว่ามาจากไหน แล้วท่านถามอีกว่ามาใช่ไหม แล้วบอกว่ามาจากวัดธรปฏิบัติธรรม เอ เมื่อตะกี้ถามทีนึงแล้วใช่มั้ย เออครับ ถามแล้ว เออ ดูท่าน เลอะเลือนแล้วไม่ได้เรื่องละ ก็ไม่ว่าอะไรกัน เพราะว่าเป็นเรื่องของคน ต้องเป็นญาณ อันนี้เมื่อแก่ร่างกายมันก็อ่อน ภูมิต้านทานมันน้อย เปิดช่องให้เกิดโรคปวดเมื่อยตามจุด หรือความเจ็บไข้ได้ป่วย ไอ้ความเจ็บไข้ได้ป่วยนี่พอแก่ตัวลงมันก็เกิดเป็นอย่างนั้นเกิดเป็นอย่างนี้ มีโรคมาก เพราะภูมิต้านทานมันไม่พอ อาหารที่รับประทานก็กินน้อย คนแก่กินน้อย กินไม่ได้ บางทีท้องมันมันอิ่มซะแล้วพอเห็นอาหารก็อิ่มซะแล้ว เมื่อกี้กินกล่องชิปมาแต่ว่าเดี๋ยวมันก็หิวอีกกินไม่ได้ สภาพเรื่องย่อยไม่ดีเฉพาะไม่ดีลำไส้ไม่ดีไม่ดีและเรื่องในร่างกายเปลี่ยนแปลงไปหมด ทำให้เกิดปัญหา ถ้าว่าเรารู้เรื่องมันว่ามันก็เป็นอย่างนั้นแหละ ก็ไม่ต้องเป็นทุกข์ บอกตัวเองว่าธรรมชาติมันเป็นอย่างเนี้ยธรรมดามันเป็นอย่างนี้แหละสบาย เพราะความเจ็บป่วย ทีนี้เวลาเจ็บป่วยก็ต้องรักษา ลูกบางอย่างนี่รักษาไม่ได้ไม่หาย แต่ว่าลูกหลานก็ต้องรักษา ไม่รักษามันก็ไม่ถูกต้องเป็นการละเลยให้คนแก่เจ็บไข้ได้ป่วยต้องลำบากต่อ ตามหน้าที่ รักษาถ้าไปอยู่โรงพยาบาลเอกชนนี่แพงมาก วันละหมื่น วันกลางคืนนี่เอาตั้งหมื่น แต่หลวงการนี้ติดบาท คิดทั้งนั้นนะอยู่นานๆก็ไม่ไหวบางคนป่วยไปอยู่โรงพยาบาลเอกชนสองเดือนแล้วไม่ไหวมาหาหลวงพ่อช่วยทีช่วยยังไงช่วยติดต่อโรงพยาบาลกรมชลขอย้ายคนป่วยมาอยู่หน่อยนะ มันถูกหน่อย ไปติดต่อกับคุณหมอ ว่าคนป่วยอยู่โรงพยาบาลนั้นแล้วก็ลูกมันมันไม่หายก็ให้มานอนที่นี่สักพัก จนกว่าจะถึงที่สุดอ่ามาย้ายย้ายมาบ่อยๆคนมาขอให้ย้ายก็ต้องช่วยพระสงฆ์องค์เจ้าก็มีชาวบ้านก็มี คนยายแก่ๆ คุณตาแก่ๆลูกหลานก็มาขอความช่วยเหลือก็ต้องช่วยย้ายให้เพราะว่าจ่ายเงินไปมากแล้ว หมดไปสามสี่แสนแล้ว ไม่ได้ดีขึ้นเลยถ้าขืนอยู่ต่อไปก็เสียกันอีก

     
     
    ว่าจะตายนี่ต้องขายนา มันไม่ไหว ก็เอ้าย้ายอ่าช่วยย้ายให้แล้วก็มาอยู่อ่ะเดือนก็มาบอกว่าถึงแก่กรรมแล้วอ่าดีแล้ว รออยู่ไปก็ลำบากไม่มีทางรักษาตายเสียจะได้หมดทุกข์กันที คนป่วยก็หมดทุกข์พวกหนูก็หมดทุกข์ก็ไม่ต้องกังวลต่อไปเอาศพมาก็แล้วกัน เอามาตั้งที่นี่ แล้วถามว่าจะตั้งศพกี่วันนะ ตั้งใจไว้เจ็ดวัน เขาไม่ได้มีมาตรฐานเป็นสูตรไว้ว่าต้องตั้งเจ็ดวัน สามวันก็ได้ห้าวันก็ได้คืนเดียวเผาก็ยังได้นะไม่ใช่จะเกิดอะไรแต่บอกว่าญาติหลายคนอยู่ต่างจังหวัดสมัยนี้การสื่อสารสะดวกมากโทรศัพท์ปุ๊บปั๊บปุ๊บปั๊บ ว่าจะเผาวันนั้นเขาก็มากันนั่นแหละ ไม่ลำบากอะไร เพราะเครื่องมือสื่อสารดีส่งหนังสือพิมพ์ก็ได้ สมัยแม่สมหญิง พูดให้แม่สมหญิง ช่วยพูดโฆษณาก็ได้ แต่ว่าแม่สมหญิงก็ตายซะแล้วเหมือนกัน อะไรอาจารย์นั้นก็เลยปล้นไป มันก็สบายไม่ลำบากอะไร ทำไมจะต้องไหว้หลายคืน ทรมานมาพอแล้ว เอาซักสามคืน อ่ะตกลงสามคืนเผา บางคนบอกว่าอยากจะเก็บไว้ จะไหว้ทำไม ของตายแล้วมันเน่าแล้วบูดแล้วจะเก็บไว้ทำไม นี่เผาซะดีกว่า เอาไปเผาซะเลย อ่าจะเอาไว้ห้าคืนแล้วเผาเลยไม่ต้องเก็บไว้ ก็บางคนเก็บลืม ห้าปีแล้วยังไม่เผาเลย ต้องประกาศ ให้มาเผา ถ้าไม่มาเผาวัดเผาเอง เผาศพญาติทอดทิ้งแต่เขามักว่าเผาศพไม่มีญาติไม่มี ศพไม่มีญาติไม่มีแต่ศพญาติทอดทิ้งมีบ่อย แล้วเขาประกาศเผาศพญาติทอดทิ้งแล้วเขาก็มาเผา ก็กว่าจะถูกเผาแบบนั้น แล้วก็เก็บไว้ก็ฟรีดิไม่ได้เสียอะไร ต่อไปต้องเก็บสตางค์บ้างก็เก็บนานๆเสียค่าเช่า ถ้าชาวบ้านจะไปเก็บศพไว้ แล้วจะได้ให้ทำจะได้ไวๆให้เผาจะได้ไวๆ มีดสักหนึ่งสามีเป็นคนจีน หมายถึงบอกว่าผมจะขออนุญาตทำกงเต็ก ที่วัดนี้ได้ไหม บอกว่ายังไม่เคยมีใครมาทำกงเต็กที่วัดนี้ โยมทำทำไมกงเต็กทำเพื่ออุทิศส่วนบุญให้แก่ บรรยายผมที่ตายไปแล้ว บุญอะไรนักหนาที่โยมทำเรือนกระดาษโทรทัศน์กระดาษวิทยุกระดาษรถยนต์กระดาษโอ้ยกระดาษทั้งนั้นแหละเอามาตั้งแล้วก็สวดอะไรก็ไม่ตามเรื่องฟังก็ไม่รู้ แล้วก็เอากระดาษนั้นไปเผาเป็นขี้เถ้า แล้วพูดตายจะได้เหรอได้แต่กงเต็ก อย่าบอกมันโอ้ยโยม เอาเงินห้าหกหมื่นมาทำอะไรที่เป็นประโยชน์ดีกว่า
     
     
     
    ช่วยสร้างโรงเรียนก็ได้สร้างโรงพยาบาลก็ได้ ดีกว่าไปซื้อกระดาษมาเผาเล่น ไอ้กงเต็กเนี่ยพวกทำกงเต็กมันก็หลอกให้โยมทำอะ จะได้ขายกระดาษ ทำกงเต็กบางพวกบางแห่งทำเหมือนกับปราสาทราชวังใหญ่โตมโหฬาร เสียก็ไปตั้งสี่ห้าแสน แล้วพอถึงวันก็เผาเป็นขี้เถ้าเกิดมลพิษอีกเผามากมายพูดไปพูดมาโยมว่าเออ ไม่ต้องกระไรครับแล้วก็มาตั้งเฉพาะวันนี้ ก็เรียบร้อยไม่ต้องทำกงเต็ก โยมคนหนึ่งสามีตาย บอกว่าดิฉันจะขออนุญาตเอาโขนมารำหน้าเมรุสักหน่อยได้ไหม ถามว่าเอาโขนมารำทำไมโยม คนที่ตายนี่ก็ชอบดูโขนมาก ตายแล้วมีตาดูโขนได้มีหูได้ยินเสียงขับร้องโขนโอ้โหนได้ยินไหมถ้าทุกข์สวรรค์ร่วงรู้พระแล้วโยมได้ยินไหม ตาดูได้ไหม แล้วก็ปากร้อง พอยิ้มพอชอบใจอะไรไหมไม่ได้อ่า แล้วจะได้เรื่องอะไร คนตายแล้วดูไม่ได้ฟังก็ไม่ได้พูดก็ไม่ได้ตบมือปรบมือก็ไม่ได้ แล้วทำไมทำไม ค่าโขนอะไรโยม หมื่นห้า ไม่ใช่หมื่นห้าโยม พระองค์ขุนไม่มี ต้องไปเจ้าสังน้ำมันมา วาดอานปู่กระดานทำหลังคานิดหน่อยทำที่ตั้งฉาก มีหลังฉากให้ขุนแต่งตัว แล้วพวกขุนนี่ถ้ามันเต้นอนุมาน เต้นลิงเต้นยักษ์ไม่ได้กินเบียร์มันเต้นไม่ออก ต้องซื้อเบียร์มาเลี้ยงมันดีกว่าซื้อกับข้าวมาเลี้ยง หมื่นห้าไม่พอโยม อย่างน้อยเสียเงินไปสามหมื่น ค่าโขน แล้วโยมมีเงินมากไหม ก็พอมี มีก็เอามาทำบุญเรื่องอื่นดีกว่าโยม มันจะได้เป็นประโยชน์นานๆ ไอ้นี่พวกขุนกินแล้วก็ขี้ออกหมด ไม่ได้เรื่องอะไร คนดูเดี๋ยวนี้ใครจะดูโขนก็ได้เปิดโทรทัศน์ ของของไทยบุญเสรีหวังในธรรมออกก่อนเดี๋ยวโผล่ตอนนั้นตอนนี้เปิดดูได้ ไม่ต้องเอามาลำหน้ามีหรอกพูดไปพูดมาอ่ะไม่ต้องก็ได้ฉันทำ หรือปรับความเข้าใจกันได้ หรือเขาจะทำเพราะไม่รู้ให้เราต้องพูดจาทำความเข้าใจกันก่อนเริ่ม จะทำอย่างนั้นจะทำอย่างนี้ตามเขาว่ามีคนมายุให้ทำเยอะพวกที่ยุให้ทำนั้นก็จะจะเอาสตางค์ทั้งนั้นไม่ได้ทำหรอก ไอ้บอกไม่ต้องก็เลยเริ่ม อย่างนี้ เป็นตัวอย่างนี้นะเนี่ย ความเจ็บป่วยได้ปล่อยที่เกิดขึ้นก็ต้องรักษาตามหน้าที่ รักษาไปมะโรคมะเร็งนี่ไม่มีทางใครก็คุยว่าหมอนั่นดีหมอนี่ดีตายทุกรายเอายามากินไม่รู้สักกี่ขวดกว่าจะรู้ว่าตายทั้งนั้น มันไม่หายมะเร็ง เพราะมันเป็นรูปเนื้อร้ายที่เกิดขึ้นในตัวของผู้ป่วยคนตายมะเร็งตายตายพร้อมกัน แล้วถ้าหากว่าจะไปตัดส่วนใดส่วนหนึ่งมากรวจตรวจก็ตรวจว่ารู้ว่าเป็นมะเร็งเท่านั้นเอง แต่จะเลี้ยงไว้เพื่อทดลองยาไม่ได้มันตายเสียแล้ว พอออกมาจากตัวคนมันก็ตาย เพราะฉะนั้นคนเป็นมะเร็งนี่ตายพร้อมกับรูปที่เป็น ตัด
     

     

     
     
    คนเป็นมะเร็งนี่ตายพร้อมกับลูกที่เป็น รักษาไม่หาย อย่าไปเชื่อเลยว่าที่นั่นเก่งที่นี่เก่ง ไปตามรักษาหายวันนั้นไม่หาย โรคนี้ไม่หายโรคโรคเอดส์ก็ไม่หายตายทั้งนั้น เราควรจะระมัดระวังให้มันไม่ให้มันเกิด มันไม่เป็นระวังมะเร็งก็คือว่าอย่าดื่มเหล้า อย่าสูบบุหรี่ อย่าอยู่ในที่ที่มีมลพิษ จึงเป็นเหตุให้เกิดมะเร็งได้ เดี๋ยวนี้ เหตุการณ์ เหตุมันเยอะ แล้วไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร แต่ถ้าเป็นก็ปลอมไว้ว่า อ่ะ มันเป็นของมันเอง เรื่องธรรมชาติ ธรรมดา รักษาไม่หายก็เตรียม เตรียมตัวตาย ตายให้มันสบายใจหน่อย อย่าตายให้เป็นทุกข์ ก็ เป็นอันว่าถูกต้องจะได้ ความตาย อันนี้เมื่อเราตายเราต้องสูญเสีย ก็ต้องพลัดพรากจากคนที่เรารักจากทรัพย์สมบัติจากนู่นจากนี่ทั้งหมดเอาไปไม่ได้ คนตายนี่เอาอะไรไปไม่ได้ เงินทองข้าวของทรัพย์สมบัตินานาชนิดที่ซื้อไว้เต็มบ้านเต็มช่อง จนไม่มีที่เดิน เวลาตายเอาไปสักสตางค์ก็ไม่ได้ เอาจัดปากให้ก็เอาไปไม่ได้ เอาไปได้อย่างมากที่เชิงตะกอน เวลาเผาแล้วมันก็ตกอยู่นั่น ลูกไฟไหม้ดำๆไม่มีใครเอา สัพเพร่าก็มันไม่เอาพอเอาไปขัดให้ดีเอาไปซื้อได้ ไม่เอา เหมือนปากสี แต่ว่ามีโยมแก่ๆ คนนึงมาเขียน ที่กองกระดูกสี่เหลือ เอาไปกองไว้ ทำอะไรโยม หาสตางค์ โอ้ ดี ได้แล้วก็ต้องเอาไปแช่น้ำ เอาไปขัดทำให้มันไม่ดำ แล้วเอาไปซื้อก๋วยเตี๋ยวก็ได้ ซื้อมาม่าก็ได้ ซื้ออะไรต่างๆ แหละ นี่โยมขยันดี เก็บไปเถอะ ไม่ว่า ยังใช้ได้ เอาไปไม่ได้ สิ่งต่างๆ หลาย แม้สิ่งที่เรารัก เอาไปไม่ได้ สมมุติว่าเราเลี้ยงสุนัขรักมาก เวลาเราตายบอกว่าเอาสุนัขใส่โลงไปด้วยนะ เผาไปด้วย ว้ายังไม่ตายเดี๋ยวเข้าโลงไปยังไง ไม่ได้ เอาไปไม่ได้ ไม่มีอะไรเป็นของเรา แม้ร่างกายนี้ก็ไม่ใช่ของเรา ต้องคืนทั้งนั้น เอาสิ่งต่างๆ นั้น คนผ่านมักจะคิดว่าทรัพย์ของเราบุตรของเราอะไรของเรา ตัวของตัวยังไม่เป็นตัวเองยังไม่ใช่ของตัวแล้วจะไปคิดอย่างนั้นทำไม ลงไปไม่ใช่ของฉันมีอะไรก็ยกขึ้นมาดู
     
     
    ของๆ ยืมก็มาใช้ ยืมจากธรรมชาติมาใช้ชั่วคราว มันอาจจะไปก่อนเราก็ได้ เราไปก่อนมันก็ได้เราเอาไปไม่ได้ ถ้ามันแต่มันหักมันสูญไปก็อย่าไปเสียใจ ก็ธรรมดามันเป็นอย่างนั้น ไม่ต้องอาลัยอาวรณ์ มีโยมคนหนึ่งหมาตาย ร้องไห้ตั้งหลายวัน สามีพามาหวัด นั่งร้องอยู่ ภรรยาบอกช่วย ช่วยสอบโยมปัญญาผมหน่อย ก็ได้ หมาตาย ร้องไห้รักหมา ภรรยาพามา พามานั่งเรียบร้อยบอก คุณนี่มันโง่นักหนา เลี้ยงหมาแล้วยัง หมาตายก็นั่งร้องไห้เพราะหมาตาย เอาไปฝังหมาแล้ว ยังไปนั่งร้องอยู่ที่ปากหลุมหมา แล้วหมาจะได้ยินมั้ยเนี่ยว่าคุณร้องไห้ เอาอาหารไปให้กินมันลุกมากินบ้างหรือเปล่าอาหารที่มันชอบนะกระดูกบ้างใส่มันไปตั้งไว้แล้วนั่งดูหมาก็ไม่ขึ้นมากินแล้วไม่โง่ตายให้ทำอย่างนี้ฉันพูดไปพูดมาพูดให้เข้าใจว่ามันไม่ควรร้องร้องทำไมหมาตาย เออถ้าสามีตายคุณจะร้องไห้มันก็พอจะร้องได้แต่ก็ไม่ควรร้องเหมือนกันเพราะสามีก็ตายได้ คุณเองก็ตายได้แล้วร้องทำไมถ้าร้องแล้วมันฟื้นเอาร้องไป เออร้องไปสักสามวันมันฟื้นมาก็ร้องไปแต่นี่ร้องแล้วมันไม่ฟื้นแล้วจะไปร้องทำไมทำไมถึงโง่กันนักหนาอย่างนี้ไม่ค่อยเข้าวัดเข้าวา มาวัดจะมั่งจะได้ฉลาด แกก็ฟังแล้วแกก็กลับบ้าน ผมจะหยุดร้องถ้าร้องผัวต้องปามาอีกถ้าเป็นอย่างนั้นแปลว่าเราไม่ได้คิดว่าเราจะต้องจากจากสิ่งทั้งหลายไป ไม่มีอะไรเป็นของเรา ของยืมก็มาใช้ชั่วครั้งชั่วคราว สมมุติว่าเราสวมแหวนแหวนนี้สวยฉันยืมก็มาไม่ช้าใดก็ต้องส่งคืนแล้ว ยืมจริงจริงเนี่ยยืมมาจากแผ่นดินที่เราเนี่ยยืมมาจากพระราหูอ่ะ ชั้นยืมมาจากพระราหูโอ้พระราหูมีแหวนนะยืมด้วยมีทุกอย่างพระราหูมีทั้งนั้นน่ะมีทุกอย่างสมบัติพระราหูเยอะแยะชั้นยืมมา เอ่อคนนั้นจะไม่ต่อไปจะไปทำยังไงยืมยังไง ไปกันใหญ่เลย
     
     
     
    ต้องอธิบายให้แก่หายงงซะหน่อยว่ายืมมายังไงใช้ยังไงให้เป็นประโยชน์นี่เอ่อมันเป็นงี้คิดว่าไม่บ่อยสบาย เอ่อพวกนักเรียนเนี่ยเรียนแล้วถ้าเรียนเรียนให้รักการเรียนขยันเอาใจใส่มั่นคิดมั่นค้นมันก็สอบได้ แต่ขี้เกียจไม่รักการเรียนไม่ขยันไม่เอาใจใส่ไม่คิดไม่ค้นตกทุกราย สอบตกเวลาตกร้องไห้ นั่งร้องไห้จุ๊ดจิ๊ดจุ๊ดจิ๊ดไปตามแล้ว ถามว่าเสียใจอีกอ่ะเสียใจอะไรตอบตกแล้ว เสียใจแล้วมันจะได้ขึ้นมา ร้องไห้แล้วมันจะได้หรือเปล่าไอ้ที่ตกน่ะเพราะว่าเรามันขี้เกียจเองไม่เอาใจใส่ถึงตก เรียนใหม่เอ่อขยันหน่อยเอาใจใส่หน่อยมันก็ได้มันอยู่ที่เราเท่านั้นมันอยู่ที่ตัวเรา และการทำสิ่งถูกต้องก็จะเรียบร้อยอ่าให้โยมเอาไปคิด ไปคิดแล้วใจจะได้สบาย ไม่ต้องเศร้าโศกไม่เสียใจไม่อาลัยอาวรณ์ในเรื่องอะไร ของที่มันผ่านไปแล้วก็ผ่านไปแล้วอย่าเอามาคิดเป็นอารมณ์คิดด้วยปัญญาได้อย่าคิดโง่ๆแล้วก็ลุ่มใจ ลุ่มใจมันก็ไม่ถูกต้อง ให้เข้าใจ
     

logo

  • เกี่ยวกับเรา
  • ติดต่อเรา
  • จดหมายข่าว
  • Privacy Policy
  • Terms of Service