แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
พุทธบริษัททั้งหลาย ณ บัดนี้ ถึงเวลาของการฟังปาถกฐาธรรมะ อันเป็นหลักคำสอนในทางพุทธศาสนาแล้ว ขอให้ทุกท่านอยู่ในอาการสงบ พวกที่เดินก็หยุดเดินได้แล้ว หาที่นั่งในบริเวณนั้น นั่งพักให้ดี แล้วตั้งใจฟังด้วยดี เพื่อให้ได้ประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการมาวัดตามสมควรแก่เวลา วันนี้ได้มีนักเรียนนางพยาบาลของมหาวิทยาลัยสยามมารวมฟังธรรมด้วย แล้วจะมาพักอยู่ที่วัดเรียกว่าเข้าค่ายเป็นเวลา ๓ วัน เพื่อจะได้ศึกษาปฏิบัติธรรมะเอาไปใช้ในชีวิตประจำวันต่อไป
ในระยะเดือนนี้เมื่อวันที่ ๕ วันที่ ๔ ในหลวงได้มีพระราชดำรัสแก่ข้าราชการทั่วไป ตลอดจนถึงประชาชน มีคนไปเฝ้าถวายพระพร แล้วฟังพระราชดำรัสกันเป็นจำนวนมาก ปีนี้ในหลวงท่านไม่ยืนพูด เพราะว่าสุขภาพของพระองค์ท่านไม่สู้จะดีนัก ได้ให้นั่งพูดให้คนฟัง คนฟังก็ไม่ได้ยืนฟัง ปีก่อนๆ ในหลวงท่านยืนพูด คนฟังก็ยืนฟังกัน พูดนานตามสมควรแก่เวลา แต่คราวนี้ท่านนั่งแล้วก็มีพระราชดำรัสเป็นข้อความง่ายๆ แก่ประชาชนทั่วไป ทรงเตือนนักการเมืองให้ทำอะไรให้มันถูกต้อง อะไรต่างๆ หลายเรื่อง ญาติโยมคงจะมีโอกาสได้ฟังท่านบ้างแล้ว
ผู้ใคร่ธรรมเป็นผู้เจริญ
การกระทำเช่นนั้นขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นการทรงเตือนให้เราทั้งหลายได้นึกถึงธรรมะ ได้ปฏิบัติธรรมะกัน เพราะการปฏิบัติธรรมเป็นเหตุให้เกิดความเจริญก้าวหน้าในชีวิต ป้องกันไม่ให้เกิดเหตุร้ายขึ้นในบ้านเมืองของเรา พวกเราทั้งหลายที่สนใจในการศึกษาธรรมะ มีคำบาลีว่า ธัมมะกาโม ภะวัง โหติ แปลว่าผู้ใคร่ธรรมเป็นผู้เจริญ ใคร่ธรรมหมายความว่าใคร่ที่จะศึกษา ใคร่ที่จะนำไปปฏิบัติในชีวิตประจำวัน ย่อมมีความเจริญ หรือพูดง่ายๆ ว่าผู้สนใจธรรมะย่อมมีความเจริญ แต่มีอีกคำหนึ่งว่า ธัมมะเทสสี ปะราภะโว
ผู้ชังธรรมเป็นผู้เสื่อม
ธัมมะเทสสี ปะราภะโว แปลว่า ผู้ชังธรรมเป็นผู้เสื่อม ชังธรรมก็คือไม่สนใจศึกษา ไม่สนใจปฏิบัติ ไม่เห็นประโยชน์ของธรรมะ แล้วก็กลายเป็นคนไม่ชอบธรรมะ เกลียดธรรมะ ชวนให้ไปวัดนี่เหมือนกับลากแมวข้างหาง ไม่อยากจะไป แต่ถ้าชวนไปเที่ยวไปสนุกแล้วก็ตีปีกพึบพับแล้วก็ไปกัน อย่างนั้นเขาไม่ชอบธรรมะ ที่ไม่ชอบธรรมะก็เพราะว่า ธรรมะสอนให้ไม่หลงใหล ไม่มัวเมาในสิ่งไร้สาระ ไม่ให้เพลิดเพลินยินดีในสิ่งที่มันสิ้นเปลือง ไม่มีประโยชน์ เขาไม่ชอบ เพราะเขาเกิดมาเพื่อความสนุก เพื่อกิน เพื่อเล่น เพื่อเพลิดเพลินในเรื่องอะไรต่างๆ
แต่ว่าธรรมะสอนให้ไม่เพลิดเพลินมัวเมาสนุกสนานในสิ่งเหล่านั้น เขาก็ไม่ชอบ เขาอยากกิน อยากเที่ยว อยากเล่น อยากสนุก ในรูปต่างๆ หาความเพลิดเพลินในด้านนั้น เป็นความเพลิดเพลินด้านต่ำ ด้านไม่เข้าหน้าเท่าใด ชีวิตย่อมทุกข์ทนเกิดปัญหาบ่อยๆ ธรรมะสอนให้เราขจัดปัดเป่าความคิดไม่ดี การพูดไม่ดี การกระทำไม่ดี การคบคนที่ไม่ดี การไปสู่สถานที่ไม่ดี เขาไม่ค่อยชอบ เพราะเขาชอบในทางตรงกันข้าม จึงไม่อยากสนใจในธรรมะ แต่ถ้าเมื่อใดมันมีปัญหา มีความทุกข์เกิดขึ้นในชีวิต ก็คิดถึงธรรมะ คิดถึงพระ แล้วก็ไปหาพระ แต่ว่าการไปหาพระถ้าไปแบบโง่ๆ มันก็ไม่ได้เรื่องอะไร
เช่นว่า ไปหาพระเพื่อให้ทำพิธีไสยศาสตร์ ให้ไปหาหลวงพ่อให้เขกกระบาน เห็นโทรทัศน์ออก นายตำรวจคนหนึ่งแกกลุ้มใจ เลยไปหาหลวงพ่อนั่งเฮลิคอปเตอร์ไปเลย ลงไปถึงหลวงพ่อเขก เขก ๓ ครั้ง เขกเข้ามาก็จับหัวเข้ามาพ่นน้ำลายใส่หัวซะหน่อย สบายใจ อย่างนี้ก็เรียกว่าไปหาพระไม่เข้าเรื่อง ไปทำพิธีกรรมที่มันไม่ถูกต้องตามหลักการในทางพุทธศาสนา เขาเรียกกันว่าไสยศาสตร์ ไสยศาสตร์นี่ก็มีไว้สำหรับคนที่ปัญญาอ่อนๆ ยังไม่มีปัญญา ชอบให้เขาทำอะไรแปลกๆ ให้กับตน เพราะฉะนั้นการหากินในทางไสยศาสตร์นี่ก็พอได้กินได้ใช้บ้าง เพราะว่าคนโง่ยังมีเยอะ ในบ้านเมืองของเรานี่คนโง่มีเยอะ คนฉลาดไม่ค่อยมากเท่าใด เป็นอย่างนั้น
คนเขาไปหามาสู่ วัดไหนมีอาจารย์ประเภทปัญญาอ่อน คนก็ไปมากเหมือนกัน ไปหาของเหล่านั้น ไปรดน้ำมนต์ ไปทำพิธีสะเดาะเคราะห์อะไรต่างๆ ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องถูกต้อง เพราะว่าเรื่องทั้งหลายที่เกิดขึ้นในชีวิต ก็เกิดจากตัวเราเอง เราทำให้มันเกิดขึ้น เรียกว่าเคราะห์ดีบ้าง เคราะห์ร้ายบ้าง เคราะห์ดีก็เกิดจากการทำดี เคราะห์ร้ายเกิดจากการทำไม่ถูกต้อง แล้วจะไปสะเดาะมันออกได้อย่างไร เมื่อความคิดนั้นยังอยู่ การกระทำนั้นยังอยู่ มันก็สะเดาะไม่ได้
สิ่งทั้งหลายเกิดจากเหตุ
แต่ถ้าว่าเรารู้หลักการทางพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าสอนว่าสิ่งทั้งหลายเกิดจากเหตุ เหตุนั้นอยู่ที่ไหน ก็อยู่ที่ตัวเรานั่นเอง เราเป็นผู้สร้างเหตุ เหตุดีก็มี เหตุชั่วก็มี เหตุให้เกิดความสุขก็มี เหตุให้เกิดความทุกข์ความเดือดร้อนก็มี เหตุให้ยากจนก็มี เหตุให้ร่ำรวยก็มี ทำเหตุให้เป็นโรคก็มี เช่น ทำเหตุให้เป็นโรคเอดส์บ้าง ให้เป็นโรคอะไรเกิดขึ้นในร่างกาย มันเกิดเพราะเราทำทั้งนั้นล่ะ ไม่ได้เกิดเพราะดวงไม่ดี โชคไม่ดี ไม่เกี่ยว เรื่องดวงเรื่องโชคไม่เกี่ยว แต่ที่เกี่ยวข้องสำคัญก็คือว่า เราทำให้มันเกิดขึ้นทั้งด้านดีด้านเสีย ถ้าเกิดด้านดีก็สบายใจ แต่ถ้าเกิดด้านเสียก็เป็นทุกข์
เป็นทุกข์แล้วก็ไม่รู้จักตัวความทุกข์ ไม่รู้จักเหตุของความทุกข์ ไม่รู้ว่าทุกข์แก้ได้ แล้วไม่รู้ต่อไปว่าจะแก้อย่างไร เป็นอย่างนี้เพราะอะไร เพราะขาดการศึกษา ไม่อ่านหนังสือธรรมะเสียบ้าง ไม่ไปฟังธรรมะเสียบ้าง เพราะไม่เข้าใจเรื่องธรรมะถูกต้อง เลยชีวิตอยู่อย่างหลับหูหลับตาเดิน คนตาบอดเดินไปไหนก็ต้องถือไม้เท้า เอาไม้เท้าต่างตา ถือไปถือบ้างแกว่งไป ก็ไปได้ คนตาบอดไปเที่ยวทั่วกรุงเทพ ไปปากน้ำก็ได้ ไปบางรัก ไปสาทร ไปไหนก็ไปได้ เคยถามเขาว่าไปทำไม ก็ไปดู เห็น ไม่เห็น แล้วไปทำไป ก็ไปขำๆ ไปตามเรื่อง ไปขำไปทำกับสิ่งเหล่านั้น เขาไปเพื่อให้มันสบายใจ แต่ก็เก่งเหมือนกัน ขึ้นรถเมล์ ลงได้ถูกต้อง ถึงที่ลงเขาก็ลง ลงได้ถูกต้องเรียบร้อย เห็นไปมาบ่อยๆ
บางคนไปมาเรือบิน คราวหนึ่งหลวงพ่อไปโคราช แล้วก็ขึ้นเรือบินที่โคราชกลับกรุงเทพ เขานั่งขวาง นั่งด้านนอก จะต้องเดินเข้าไปข้างใน บอกว่าขอทางหน่อย พอพูดว่าขอทางหน่อย เขาบอกโอ้หลวงพ่อ เขาก็เก่ง จำเสียงได้ ไม่ได้พบหลวงพ่อหลายปีแล้ว หลวงพ่อไปไหน ก็กลับกรุงเทพ ขึ้นที่โคราช มาทำไมโคราช บอกมาเทศน์ เลยนั่งคุยกันไป เขาบอกแหม นานแล้วไม่ได้ไปเยี่ยมหลวงพ่อ ผมมันทำงานเวลานี้ เที่ยวเปิดโรงเรียนคนตาบอดที่ขอนแก่น ที่มหาสารคาม ร้อยเอ็ด หลายแห่ง เขาเป็นผู้ตรวจการทั่วไปเพื่อโรงเรียนตาบอด
เขาไปเรียนถึงเมืองอเมริกา ตาบอดน่ะ ไปได้ปริญญามาจากอเมริกา แล้วเขาบอกว่าผมคิดถึงบุญคุณของคุณไก่อยู่เสมอ แต่ไม่ค่อยได้ไปเยี่ยมคุณไก่ ท่านได้ช่วยเหลือคนตาบอด เป็นกรรมการดูแล เขาบอกว่านึกถึงอยู่ ผมได้เอาตัวรอดก็เพราะว่าคุณไก่นี่เอง แล้วก็คุยไปคุยมาเขาล้วงในกระเป๋า เอาเงิน ๒,๐๐๐ บาทใส่ย่ามให้ด้วย บอกว่าทำบุญกับหลวงพ่อ นี่ตาบอด แต่เขาทำอะไรได้หลายอย่าง คือบอดแต่ตาใจไม่บอด เป็นคนที่เสมอ (12.51)
เมื่อก่อนนี้คนตาบอดอยู่หน้าวัด เขามาฟังเทศน์กันทุกอาทิตย์ เดินเป็นแถว ถือไม้เท้าก๊อกแก๊กๆ มาแล้ว มานั่งฟังธรรมแต่เดี๋ยวนี้โรงเรียนคนตาบอด อยู่ในความอำนวยการของพระโรมันคาทอลิก วันอาทิตย์เขาก็ให้เข้าโบสถ์ เลยไม่ได้มาวัด พบทีเลยบอกหมู่นี้ไม่ได้ไปวัด ไม่ได้ไปฟังหลวงพ่อ เพราะว่าบาทหลวงเขาไม่ให้ไป แต่เขาก็ยังเป็นชาวพุทธอยู่ตามพ่อแม่ อันนี้เป็นเรื่องชีวิตของคนเราที่เป็นไปในรูปต่างๆ กัน อันนี้เราที่เป็นคนไม่พิการ คือตาไม่บอด หูไม่หนวก อะไรๆ เรียบร้อย ไม่ใช่ว่ามันจะไม่มีปัญหาในชีวิต ย่อมมีปัญหาเกิดขึ้นบ่อยๆ แล้วเมื่อปัญหาเหล่านั้นเกิดขึ้นเราไม่รู้ คือไม่รู้จักตัวปัญหา ไม่รู้เหตุของปัญหา ไม่รู้ว่าปัญหาเป็นเรื่องแก้ได้ แล้วก็ไม่รู้ว่าจะแก้อย่างไร นี่ๆ คือความยุ่งในชีวิตประจำวัน เพราะไม่รู้จักสิ่งเหล่านี้
ความทุกข์และการดับทุกข์ได้
ถ้าจะเรียนรู้สิ่งเหล่านี้ ก็ต้องเรียนจากพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เพราะว่าพระพุทธเจ้าสอนเรื่องนี้มากกว่าเรื่องใดๆ สอนให้เราเข้าใจเรื่องปัญหา แต่เรียกว่าเป็นความทุกข์ พระองค์ตรัสกับภิกษุทั้งหลายบ่อยๆ ว่าภิกษุทั้งหลาย ในกาลก่อนก็ดี ในกาลข้างหน้าก็ดี ในกาลปัจจุบันนี้ก็ดี เราสอนเรื่องเดียวที่สำคัญ คือเรื่องความทุกข์และการดับทุกข์ได้ หลักการทางพุทธศาสนาสำคัญที่ตรงนี้ คือสอนให้รู้จักความทุกข์ และรู้จักดับทุกข์ได้ แต่ว่าแจกออกไปก็เป็น ๔ เรื่อง คือ เรื่องความทุกข์ เรื่องเหตุให้เกิดทุกข์ เรื่องความดับทุกข์ เรื่องทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์
อันนี้เรื่องความทุกข์นี้มันอยู่ที่ไหน ก็อยู่ในชีวิตของเราไม่ได้อยู่ที่ไหน อยู่ที่ชีวิตของเราเอง อยู่ที่ความคิด การพูด การกระทำ การคบหาสมาคม การไปการมาในที่ต่างๆ แล้วมันก็เกิดอะไรขึ้นในชีวิตของเรา เกิดอะไรขึ้นแล้วมันก็เป็นไปตามเครื่องปรุงแต่ง ถ้าว่าเหตุเป็นให้เกิดทุกข์ก็เป็นทุกข์ ให้ร้อนใจก็ร้อน ให้เศร้าโศกให้เสียใจอะไรต่างๆ มันก็เกิดจากตัวเราเอง เราคิดไม่เป็น ทำไม่ถูก พูดไม่ถูก คบกับคนที่มันไม่ถูกต้อง มันก็เกิดเป็นปัญหาขึ้นมาในชีวิตของเรา เพราะไม่ได้ศึกษาอะไรไว้ก่อน เช่นว่า เรื่องที่เกิดขึ้นในครอบครัว ทุกครอบครัวต้องมีเรื่องอย่างนี้ เช่น บ้านเราอยู่ด้วยกันมีพ่อแม่มีลูก บางทีก็ลูกถึงกรรมไป ลูกถึงแก่กรรมไป ก็คุณแม่นี่เสียใจมาก เสียใจจนไม่รู้จะทำอย่างไร เสียใจ เลยก็มา มาที่วัด สามีก็ ......