แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ถึงเวลาของการฟังปาฐกธรรมของธรรมะอันเป็นหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนาแล้ว ขอให้ทุกท่านอยู่ในอาการสงบตั้งอกตั้งใจฟังด้วยดี เพื่่อให้ได้ประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการมาวัดตามสมควรแก่เวลา
วันนี้เป็นวันพระกลางเดือนสิบสอง หมดเขตกฐินแล้ว วันนี้ยังทอดได้แต่พรุ่งนี้ก็หมดเรื่อง กฐินทำได้เฉพาะเดือนเดียวหลังออกพรรษา นอกนั้นแล้วก็ทำบุญแบบอื่นกันต่อไป แต่ฤดูเดือนสิบสองนี่น้ำมาก เขาจะร้องเพลงว่าเดือนสิบสองน้ำนองกัน แล้วก็รำวงกันตามเรื่องตามราว แล้วก็คืนวันนี้ญาติโยมเขาก็ไปทำให้แม่น้ำเจ้าพระยาสกปรกด้วยการลอยกระทงๆ เป็นจำนวนมากทิ้งลงไปในแม่น้ำ ก็ทำให้แม่น้ำสกปรกเลอะเทอะ แต่ถือว่าเป็นธรรมเนียมที่เคยทำกันมา การลอยกระทงที่จังหวัดเชียงใหม่นี่ เขาทำกันครึกครื้นมาก คือ ลอยกระทงเล็กๆ ทำด้วยใบตอง กระทงขนาดใหญ่ทำด้วยใบตอง แล้วก็มีดอกไม้ มีเทียนปักลงไปในกลางกระทง ตัดเล็บ ตัดผม เล็กๆ น้อยๆ ใส่ลงไปด้วย เรียกว่า “ลอยเคราะห์” ลอยบาปให้มันหมดสิ้นไป ไม่ใช่ธรรมเนียมของพุทธศาสนาแต่เป็นธรรมเนียมของชาวฮินดูที่เขาทำกันมาก่อนยุคพระพุทธเจ้า ที่เมืองพาราณสีคืนนี้ก็มีคนไปลอยกระทงกันเหมือนกัน กระทงก็ทำด้วยใบตองเล็กๆ เพราะชาวอินเดียนั้นมีนิสัยประหยัดอดออมอยู่แล้ว จึงไม่ได้ใช้กระทงใหญ่อะไร
เมืองไทยเราประกวดประขันทำกระทงรูปต่างๆ เอาไปลอยน้ำ แต่ที่หนักที่สุดคือ วันพรุ่งนี้จังหวัดเชียงใหม่มีการลอยแพไม่ใช่ลอยกระทง คือว่าสิ่งอะไรที่ชาวบ้านเขาทำกันอยู่เรียบร้อยดีแล้ว ทางราชการเข้าไปสนับสนุน พอราชการสนับสนุนก็เละไปเลย คือว่าฟุ่มเฟือย สุรุ่ยสุร่าย มีการประกวดประขันกระทงกัน ลอยเป็นแพในแม่น้ำปิงมาหยุดที่สะพานนวรัตน์ ตัดสินกันที่นั่น ทำกันเป็นงานใหญ่ แพใหญ่ ขนาดดาวเคราะห์ลงไปอยู่ในแพได้ มีเครื่องไฟเล็กๆ แล้วก็มีการติดไฟประดับประดาให้มันสวยงาม สนุกสนานกันเป็นพิเศษ อันนี้ไม่ใช่ลอยกระทงแบบพิธีโบราณๆ น่ะ เขาทำแบบประหยัดอดออม แต่จะเห็นว่าในแม่น้ำปิงนี่เทียนสว่างไปในลำน้ำดูสวยงาม แต่ว่าลอยแพนี่มันไม่ได้สวยอะไร แล้วก็ต้องลงทุนกันหลายหมื่นกว่าจะเป็นแพขึ้นมาได้ แต่การสงเสริมความสุรุ่ยสุร่ายฟุ่มเฟือย ข้าราชการก็ส่งเสริม
ก็เป็นอย่างนั้นแหละ สังเกตดูทุกเรื่องที่ชาวบ้านเขาทำกันอยู่มันก็ดีแล้ว แต่ว่าไปส่งเสริมเข้ามันก็เป็นการสิ้นเปลืองกันต่อไม่ใช่น้อย บางจังหวัดไม่ได้มีแม่น้ำจะเอากระทงไปลอยก็ไปลอยกันในหนอง ลอยในหนองมันก็ไม่ไหลเพราะน้ำมันไม่ไหลแล้วก็ทิ้งอะไรให้รกหนองต่อไป เป็นการกระทำอย่างนั้นตามธรรมเนียมที่เคยทำๆ กันมา การลอยกระทงนี่ เกิดขึ้นในสมัยกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี เป็นอุบายของพระเจ้าแผ่นดินที่จะให้คนได้เข้าเฝ้าใกล้ชิดบ่อยๆ จึงมีพิธีต่างๆ เขาเรียกว่า “พิธีสิบสองเดือน” ทุกเดือนมีพิธีนั่นพิธีนี่เรื่อยไป ชาวบ้านก็ได้เข้าเฝ้าพระเจ้าแผ่นดิน ได้เข้าเฝ้าใกล้ชิดเป็นเรื่องชื่นอกชื่นใจ สร้างความสามัคคีร่วมแรงร่วมใจกันให้เจริญก้าวหน้า จุดหมายเป็นอย่างนั้น นางนพมาศเป็นพระมเหสีของพ่อขุนรามคำแหงก็ได้กระทำพิธีนี้ คนก็ได้ไปกระทำตามกัน พัฒนากันมาเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้ อันนี้เป็นเรื่องลอยกระทง
แล้วก็การลอยกระทงนั้นก็ชักเข้าหาพุทธศาสนา บอกว่าลอยกระทงไปบูชาพระบาทของพระพุทธเจ้าที่อยู่ฝั่งแม่น้ำธรรมทานที แม่น้ำธรรมทานทีนี้อยู่ในประเทศอินเดีย เราลอยเมืองไทยจะไปถึงอินเดียได้อย่างไร ถ้าจะไปอินเดียก็ต้องเดินทางอ้อมมาก เพราะต้องออกปากอ่าวและเลยไปสิงคโปร์ ไปมหาสมุทรอินเดียแล้วจึงไปหาแม่น้ำธรรมทานที กว่าจะถึงนั้นกระทงก็ผุพอดีไม่ได้เรื่องอะไร แต่เขาก็ให้คนทำอย่างนั้นเป็นการให้ระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้าให้ไหว้พระบาทของพระพุทธเจ้า พระบาทของพระพุทธเจ้าที่เราควจจะไหว้จะบูชามีอยู่ ๓ รอย คือพระบาทหนึ่งก็ “ศีล” เรื่องที่สองก็ “สมาธิ ปัญญา” bหรือพูดแบบให้ชาวบ้านฟังก็ว่า “ทาน ศีล ภาวนา” เป็นพระบาทที่เราควรจะตื่น พระพุทธเจ้าท่านเดินไปตามทางศีล ทางสมาธิ ทางปัญญา แต่เราไหว้พระบาทก็หมายความว่าปฏิบัติตนให้เป็นคนมีศีล มีธรรมประจำจิตใจ ถ้าเราเป็นคนมีศีล ธรรม ประจำจิตใจ ก็เรียกว่า เป็นคนดี มีชีวิตเป็นประโยชน์ มีคุณค่ามีราคาแปลอย่างนั้นเป็นการถูกต้อง
แต่ว่าบางทีเราไม่เข้าถึงข้อปฏิบัติ แต่ว่าไปถึงวัตถุกันเสียมากจึงไม่ถึงข้อปฏิบัติ บางคนไปไหว้พระบาทที่สระบุรี ไปทุกปีแต่ชีวิตไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงอะไรเพราะว่าไปตามธรรมเนียม ไปไหว้ให้ครบเจ็ดครั้งแล้วจะไม่ตกนรก สมัยก่อนไปลำบาก เดินไปไหว้ ต้องไปรถไฟ ไปลงที่สถานีท่าเรือ แล้วขึ้นรถไฟเล็กของกรมพระนราไปถึงพระบาท หรือเดินไป พระสงฆ์องค์เจ้าท่านเดินกันไปปีหนึ่งมากมาย ชาวบ้านก็เดินไป ทีนี้ชาวบ้านที่อยู่แถวนั้นก็ได้โอกาสทำบุญๆ ด้วยการตั้งโรงทาน เลี้ยงอาหารถวายพระและให้ชาวบ้านรับประทาน ตั้งโรงทานต้มน้ำและก็ต้มแก่นขนุนให้พระธุดงค์ซักผ้า ตั้งโรงทานต้มน้ำชงชาหรือว่าน้ำปานะอย่างใดอย่างหนึ่ง พอไปถึงนั้นก็หยุดดื่มน้ำดื่มท่า ซักผ้าซักผ่อน หากพักพอสบายผ้าแห้งก็เดินทางต่อไปสำหรับพระ ชาวบ้านได้ทำบุญหลายอย่าง ได้บุญหลาย
แต่เดียวนี้ก็ไปรถยนต์กันหมดแล้ว ไม่มีใครตั้งโรงทานเลี้ยงอะไรต่ออะไร เพราะไปรถยนต์วิ่งรวดเร็วผ่านไป กลับมาก็ไม่แวะ โรงทานหมดไป สมัยก่อนเขาไปตั้งโรงทานแล้วที่องค์พระพุทธบาทก็มีครัวทาน คนไปตั้ง คนจังหวัดนั้น คนจังหวัดนี้ เห็นว่าทั้งพระทั้งชาวบ้านมาไหว้พระบาทกันมาก เขาก็ตั้งโรงทานเลี้ยงไม่ต้องซื้อไม่ต้องหา ตอนเช้าพระออกบิณฑบาตก็มีข้าวมาขายให้ทุกคนใส่บาตรกันพระก็ไปรับบาตร ไปพักที่เขาจำกัดให้อยู่แถวที่เป็นที่พักพระธุดงค์มีห้องส้วมห้องน้ำอะไรพอสมควร ก็สะดวกสบาย แต่ว่าไปในงานไหว้พระบาทนี่ มันว่าได้ไม่คุ้มๆ เพราะอะไร เพราะเดี๋ยวนี้มันหนวกหูด้วยเครื่องขยายเสียงที่ตะโกนแข่งกันขายนั่นขายนี่จนฟังไม่ได้ศัพท์ไม่รู้ขายอะไร เคยไป ไปฤดูที่เขามีงานไหว้พระบาท ไปทีเดียว แล้วบอกใครๆ ว่าอย่าไปดีกว่า เพราะไปแล้วมันไม่สงบ จะนั่งไหว้พระให้สบายใจสัก ๕ นาที ก็ไม่ได้ คนมันแทรกกันเข้ามา ต้องรีบออก เข้าประตูนี้ ออกประตูโน้น นั่งพิจารณารอยพระบาท ก็ไม่มีเวลา คนมันมาก
เลยบอกว่าถ้าจะไปพระบาท ไปเวลาไม่มีงาน ขอกุญแจทางวัดให้มาเปิดเข้าไปนั่ง ไปชมได้นานๆ แล้วจะไปนั่งที่ชะง่อนหินไหน ใต้ต้นไม้ไหนก็ได้สบาย ไม่หนวกหูด้วยเสียง เครื่องขยายเสียงที่ตะโกนแข่งกันด้วยเรื่องร้อยแปดพันประการ ความจริงไม่ควรให้ใช้เครื่องขยายเสียง ทางวัดควรเรียกประชุมว่าห้ามใช้เครื่องขยายเสียง เพราะไม่จำเป็นอะไร คนซื้อกับคนขายมายืนจมูกจะชนกันอยู่แล้ว แล้วจะต้องไปตะโกนทำไม พูดกันได้ก็ไม่ให้ ไม่ต้องใช้ก็ได้ งานมันก็สงบเรียบร้อย แต่ไม่มีใครคิดจะทำอย่างนั้นเพราะว่าชอบสนุกกันทั้งนั้น เลยไปเที่ยวก็ไป ไปสนุกกัน ไปจากร้อยครั้งก็ยังจะเท่าเดิมน่ะไม่มีอะไรดีขึ้น จึงใคร่ขอฝากญาติโยมว่า ถ้าจะไปไหว้พระพุทธบาท อย่าไปที่ฤดูคนมาก ท่านจะไปนั่งไหว้สบายใจ นั่งสวดมนต์สบายใจ นั่งตรงไหนก็ได้ต้นไม้ร่มรื่น ชะง่อนผาอะไรๆ สบาย นั่งพักสบาย นั่นแหละเป็นการถูกต้อง มันไม่ยึด เพราะงั้นเวลาเราไปวัดก็เหมือนกัน ถ้าเวลามีงานวัด เช่นมีงานปิดทองพระ มีงานอะไรที่มีดนตรี มีหนัง มีลิเก ละครเต็มวัด อย่าไป ไปก็ไม่ได้เรื่อง จะได้แต่ขี้ฝุ่นเข้าจมูกเท่านั้นเอง กลับบ้านก็มานั่งเป็นหวัดคัดจมูก เพราะว่ามันหนวกหูเต็มทีไม่ได้เรื่อง แล้วทำหลายวันวัดก็เน่า ถ้าเขาทำ ๗ วัน เราไปวันที่ ๗ นี่ กลิ่นเหม็นเต็มวัดเลย คนไปเที่ยวถ่ายไว้เพ่นพ่านไม่มีระเบียบ น้ำท่าก็ไม่น่าดื่ม อาหารก็ไม่น่ากิน สิ่งแวดล้อมก็เสียหาย อย่างนี้ไม่ไปดีกว่า ถ้าจะทำบุญบำรุงวัด เมื่อใดว่างๆ ก็ไปทำให้เขาได้ ไม่ต้องเอาเงินนั้นไปให้พวกลิเก ละคร บอนรำ สามช่า เป็นประโยชน์แก่พระศาสนาดีกว่า มันควรจะเป็นอย่างนั้น
งานลอยกระทงก็เหมือนกัน ถ้าเราไปลอยกันที่โป๊ะมากๆ โป๊ะจม เพราะคนมันลงไปๆ ไม่รู้ว่าโป๊ะรับน้ำหนักได้เท่าไร ไม่มีใครดูแล ผลที่สุดโป๊ะแตกจมน้ำ คนก็ตายกันเพราะไปลอยกระทง แล้วไปเบียดเสียดเยียดยัดกัน ถูกคนล้วงกระเป๋าบ้างอะไรบ้าง วุ่นวาย ไม่จำเป็นจะต้องไปก็ได้ นั่งลอยอยู่ในบ้านก็ได้ ไม่ต้องทำกระทงลอย แต่ว่า “ลอยบาป” ของตนเสียบ้าง พระพุทธเจ้าเคยเห็นชาว อินเดียไปลอยกระทงมากๆ แล้วทรงถามว่ามาทำอะไรกันมากมายอย่างนี้ บอกว่า มาลอยบาปในแม่น้ำคงคา อาบน้ำล้างบาปด้วย ลอยบาปไปกับกระแสน้ำด้วย พระพุทธเจ้าถามว่า ใครสอนให้ทำอย่างนี้ ในคัมภีร์เขียนไว้อย่างนั้น บอกว่า นั่นมันไม่ถูกต้องไม่ตรงตามความจริงของทางศาสนา บาปไม่ใช่ขี้ไคล ไม่ใช่ขี้ฝุ่นเกาะอยู่ตามร่างกาย บาปนั้นอยู่ที่จิตเพราะคิดผิด พูดผิด ทำผิด เราจะลอยบาปก็ต้องลอยความชั่ว ที่อยู่ในใจของเราให้ลดน้อยลงไป ถึงจะเป็นการถูกต้อง
หากคนเหล่านั้นฟังแล้วเข้าใจ เชื่อฟังก็หยุดไม่ไปทำ พวกไม่เชื่อก็ทำต่อไป พระพุทธเจ้าท่านสะกิดบอกอย่างนั้น เราจะไปลอยกระทงก็นั่งลอยอยู่ที่บ้าน ไหว้พระสวดมนต์ทำใจให้สงบ พิจารณาตัวเอง ตักเตือนตัวเอง แก้ไขตัวเอง พิจารณาให้มันรู้ว่าตัวเรามันมีอะไรบกพร่อง มีอะไรไม่ดีไม่งามอยู่ในเนื้อในตัวเราบ้าง แล้วก็คิดแก้ไข เลิกละจากสิ่งเหล่านั้น นั่นล่ะ เรียกว่า ลอยกระทงล่ะ คือลอยความชั่วออกไปจากตัวของเรา มันจะลอยไปไหนก็ช่างมันเถอะให้มันออกจากตัวเราก็แล้วกัน อย่างนี้เป็นการกระทำที่ถูกต้องแล้วไม่สิ้นเปลืองด้วย ไม่เกิดการจราจรคับคั่ง ไม่เกิดความเสียหายที่ริมตลิ่งหรือในแม่น้ำ เป็นการลอยบาปแบบอริยะชน คนฉลาดเขาทำกันอย่างนั้น
พระพุทธเจ้าท่านสอนให้แก้ไขสิ่งที่เรียกว่า “ทำอะไรพอเป็นพิธี” นั้นให้หมดไป แต่ให้ทำเข้าถึงแก่นของตัวจริงตัวแท้ว่าอะไรเป็นอะไรการลอยกระทงนี่ก็เหมือนกัน คือให้ลอยบาปในตัวเรา ลอยความชั่วที่อยู่ที่กาย วาจา ที่ใจให้มันลดน้อยลงไป คือการกระทำที่ถูกต้องประการหนึ่ง ให้ญาติโยมได้คิดอย่างนั้นแล้วก็ไม่ต้องไปแทรกกับคนที่เขาจะไปลอย พวกเด็กๆ เขาไปกัน หนุ่มสาวเขาไปกันเป็นเรื่องความสนุก ในที่คนมากๆ ได้เบียดเสียดกันได้แทรกกัน สนุกเกือบตาย กลับมาว่า แหม สนุกเกือบตายวันนี้ เพราะว่าโป๊ะแตกโป๊ะจมน้ำ เรียกว่าสนุกเกือบตายเพราะไม่ได้อะไรคุ้มค่า นอนอยู่ที่บ้านไหว้พระสวดมนต์ทำจิตใจให้สงบดีกว่า เรามีลูกหลานก็เรียกมาประชุมกันพร้อมหน้า คุยให้เขาฟังให้เขาเข้าใจวิธีปฏิบัติที่ถูกที่ชอบให้เลิกให้ละให้ลดในสิ่งที่มันไม่ถูกต้องในชีวิตประจำวัน
สมัยนี้มีคนโทรศัพท์มาถามบ่อยๆ หลายคน ๒-๓ คืนนี้มีบ่อย คนเหล่านั้นมีความทุกข์ มีความทุกข์ใจด้วยปัญหาต่างๆ เลยโทรมาถามว่าจะทำอย่างไร เมื่อคืนนี้ก็มีคนหนึ่งทุกข์ โทรมาจากจังหวัดชลบุรี เพราะว่าเคยอ่านหนังสือที่หลวงพ่อเทศน์ เคยฟังวิทยุ เคยดูโทรทัศน์ มีความทุกข์มีปัญหาก็เลยอยากจะปรึกษา เขาก็ปรึกษา ถามว่ามีปัญหาอะไร บอกว่าเป็นปัญหาในครอบครัว อยู่กันในครอบครัว อยู่กันมากี่ปีแล้ว อยู่กันมา ๑๐ ปีแล้ว มีลูกกี่คน มีลูก ๓ คน แล้วเวลานี้มันเกิดปัญหาอะไรขึ้น บอกว่าผู้ชายนี่มันมีปัญหา คือเขาชอบไปเที่ยวกลางคืน แล้วก็ไปอาบไปอบ สถานที่อาบอบนวดในกรุงเทพมีเยอะ รัฐบาลควรจะสั่งปิดเสียบ้างคือปิดหมดเลยไม่เปิด เพราะเป็นสถานที่ก่อกรรมทำผิด ทำให้พ่อบ้านไปประพฤติเหลวไหล ละทิ้งบ้านช่องทิ้งลูกทิ้งเต้า ไม่เป็นความสุขแก่ครอบครัว อย่าหากินทางนั้นเลย สั่งปิดเสียบ้าง ปิดเลย ไม่มีอาบอบนวดใครอยากอาบก็อาบที่บ้าน ใครอยากนวดก็ให้แม่บ้านนวดให้ที่บ้านก็ได้ ไม่ต้องเสียสตางต์เพิ่มให้เขาทำอย่างนั้น
แต่ว่ารัฐบาลไหนจะกล้า กล้าทำอย่างนั้น ไม่กล้า หรือมันจะปล่อยตามเรื่องตามราว ปล่อยตามกิเลสของมนุษย์ ทำอะไรก็ส่งเสริมกิเลส ส่งเสริมราคะความกำหนัด ส่งเสริมโทษะความประทุษร้าย ส่งเสริมโมหะความหลง แม่บ้านคนนั้นก็บอกว่าเมื่อก่อนก็อยู่กันเรียบร้อย แต่ต่อมาพ่อบ้านไปเที่ยว ไปอาบอบนวด ไปรู้จักผู้หญิงที่เป็นนางนวด ผู้หญิงที่นวดบางคนก็ดีเรียบร้อย นี่มาวัดอยู่คนหนึ่งมาทุกอาทิตย์ ถามว่าหนูทำงานอะไร หนูทำงานนวด เป็นหมอนวด แต่เป็นหมอนวดที่ฉลาด ใครไปให้นวดก็ พอนอนเรียบร้อยก็ส่งหนังสือให้เล่มหนึ่ง คุณลุงอ่านหนังสือเล่มนี้ไป หนูจะนวดให้ ที่นี้หนังสือที่อ่านมันเป็นหนังสือธรรมะ อ่านแล้วก็เกิดความละอายใจที่จะล่วงล้ำก้ำเกินแมว แม่นวดทั้งหลาย ก็เอาตัวรอดมาได้ และบอกว่าเงินหาได้ก็เก็บไว้บ้างนะหนูนะ อย่าใช้จ่ายเสียหมด เขาก็เป็นเด็กเรียบร้อย นั่งอยู่แถวนี้ฟังธรรม มาทุกอาทิตย์ ซื้อหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งมาฝากหลวงพ่อทุกคราวไม่เคยขาด
เขามีอาชีพอย่างนั้น แต่ไม่ได้ทำเหลวไหลกับใครๆ ผู้ชายเข้าไปก็ไม่กล้าประพฤติเหลวไหลเพราะเอาหนังสือธรรมะให้อ่าน เห็นหนังสือธรรมะใจมันก็ละอายแล้ว เกิดหิริโอตัปปะเลยไม่กล้าทำอะไร ก็ดีเหมือนกันรู้จักรักษาตัวรอด แต่ว่าในเรื่องที่แม่ผู้หญิงเมืองชลถามมานี้คือไปอาบหมอนวดคนนั้นเป็นแม่ม่าย มีลูกติด ๒ คน การดำรงชีพคงจะลำบาก เพราะฉะนั้นเมื่อใครไปนวดเขาก็พยายามเอาอกเอาใจ พูดจาหว่านล้อมให้เกิดความหลงใหลมัวเมา ให้เกิดความสงสารแล้วก็เอาเงินไปให้เขา เขาก็ได้เงินไปกินไปใช้ แต่ไม่ได้คิดว่าเราได้เงินจากผู้ชายคนนี้ มันเกิดปัญหาในครอบครัว และก็เกิดปัญหาขึ้น อันนี้เขาถามว่าจะแก้อย่างไรดีคะ บอกว่า หนูต้องใจเย็นๆอย่าวู่วาม อย่าใจร้อน ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ถ้าเขากลับบ้านมาก็อย่าไปเที่ยวถามอะไรวุ่นวาย ต้อนรับเขาให้ดี เอาน้ำมาให้เขาดื่ม พัดลมให้ พูดจาอ่อนหวาน ยิ้มแย้มแจ่มใส ทำเหมือนกับไม่รู้ไม่ชี้อะไร แล้วก็พักผ่อนหลับนอนไปตามเรื่อง ผู้ชายก็จะละอายใจไม่กล้าไปกระทำเช่นนั้น
แต่ถ้าพอมาถึงกลับบ้านหนูยืนเท้าสะเอวหน้าหัวบันได พูด …… (24.21 เสียงไม่ชัดเจน) ไม่ทัน ฉอดๆๆๆ ว่าสามี สามีก็รำคาญ เขาก็เลยไปบ้านนั้น เพราะบ้านนั้นเขาไม่ว่าอะไรให้เจ็บช้ำน้ำใจ เขาเอาอกเอาใจ เขาหลอกเอาสตางค์ไม่ใช่อะไร เราก็แพ้เขา เรามันต้องเป็นผู้ไม่แพ้ แต่ว่าต้องชนะด้วยความดี เอาอกเอาใจสามี กลับมาก็ไม่ถามไม่พูดเรื่องอะไร แต่เอาใจพูดจาดีๆ กับเขาให้เรียบร้อย นี่แหละวิธีเดียวที่หนูจะเอาชนะได้ คนนั้นตอบว่าตอนนี้ทำใจไม่ค่อยได้ ต้องหัดๆๆ หัดทำใจ อย่าใจร้อน อย่าใจเร็ว ถ้าหนูทำใจร้อนเดี๋ยวก็หลุดมือไปเลย เขาไปไม่กลับเสียเมื่อไร เสียหาย แต่ถ้าเราใจเย็นเอาชนะด้วยความดีก็จะได้ ชนะได้ด้วยความดีหลายปัญหาก็ตอบไปอย่างนั้น
ก็มีรายอื่นเข้ามาอีก ถามมาจากจังหวัดนครปฐม อันนี้ไม่ใช่ผู้หญิงเป็นผู้ชาย ถามปัญหาว่า ผมนี่เปิดร้านซ่อมรถจักรยานยนต์ ซ่อมรถยนต์ ซ่อมรถสิบล้ออะไรต่างๆ แล้วร้านซ่อมรถนี่มันมีมาก นครปฐมรถเยอะ สิบล้อมีมาก แล้วก็รู้สึกว่ามันไม่พอ ขาดทุนๆ แล้วมืดแปดด้าน นั่งคิดนั่งตรองว่าจะเอาเงินที่ไหนมาลงทุน จะทำอย่างไรถึงจะเอาตัวรอด คิดมากกลุ้มใจแต่ว่ามาคิดถึงหลวงพ่อก็เลยโทรมาปรึกษา หลวงพ่อก็ให้คำปรึกษาว่าไอ้เรื่องค้าเรื่องขาย มันมีได้มีเสีย บางครั้งขายได้มีกำไร แต่บางครั้งขายไม่ได้ไม่มีกำไร บางครั้งไม่มีคนมาติดต่อเราก็ไม่มีรายได้เข้าบ้าน เวลาไม่มีรายได้อย่าเป็นทุกข์ เวลามีรายได้ก็อย่าสบายใจ …… (27.02 เสียงไม่ชัดเจน) ในเรื่องได้ แล้วก็ใช้จ่ายจนลืมตัว กลายเป็นหนี้มีสินรุงรังต่อไป ขณะนี้ก็ต้องตั้งใจทำงาน เอาใจลูกค้า ทำใจให้เย็นๆ ให้สบาย อย่าหงุดหงิด อย่างุ่นง่าน ใครเข้ามาในร้านก็ยิ้มกับเขา ไต่ถามว่ามีธุระอะไร มีอะไรจะให้ผมช่วยเหลือเรื่ออะไรบ้าง พูดกับเขาดีๆ แล้วก็คิดราคาอย่าแพง เรามาอยู่ใหม่ เราคิดแต่พอสมควร ให้เขาติดใจ ทีหลังเขาจะมาติดต่อกับเราอีก ก็แนะนำไปในรูปอย่างนั้น ก็ช่วยแก้ปัญหาความทุกข์ที่เกิดขึ้นจากการค้าขาย ซึ่งเป็นปัญหาในชีวิตประจำวัน
แล้วก็มีคนหนุ่มเป็นเด็กๆ หนุ่ม ขณะนี้อาจจะมานั่งฟังอยู่ในที่นี้ด้วยก็ได้ เพราะว่าเมื่อคืนนี้ให้นอนวัด แต่เมื่อเช้ายังไม่พบหน้า จะกลับไปหรือยังก็ไม่รู้ เด็กคนนี้มีปัญหามาก มีปัญหากับคนในบ้านเกือบทุกคน มีปัญหากับคุณพ่อคุณแม่ มีปัญหากับพี่น้อง คือเขาคิดว่าคนทุกคนเป็นศัตรู คุณแม่ก็เป็นศัตรู คุณพ่อก็เป็นศัตรู พี่น้องก็เป็นศัตรู ระแวงไปหมดๆ เรียนหนังสือก็ไม่ค่อยเก่ง เพราะมัวแต่ระแวง กลัวคนนั้นคนนี้ เห็นใครเข้าก็ระแวงว่าคนนี้จะมาทำร้ายตัวอย่างนั้นอย่างนี้ ก็เลยแนะนำบอกว่าเธอเปลี่ยนแนวคิดเสียใหม่ เปลี่ยนแนวคิดใหม่ว่าทุกคนไม่เป็นศัตรูกับเรา เราก็ไม่เป็นศัตรูกับใคร คนทุกคนเป็นเพื่อนของเรา เป็นมิตรของเรา เป็นผู้หวังดีต่อเรา ไม่ได้หวังร้ายต่อเรา ให้คิดใหม่อย่างนั้น เห็นใครก็ยิ้มกับเขาเสียบ้าง เขาไปใกล้ยกมือไหว้ เคารพ ถ้าเป็นคนมีอายุมากกว่าตัว ยิ้มแย้มแจ่มใสพูดจากันดีๆ เขาบอกว่าผมมันไม่มีเพื่อน ผมอยู่คนเดียว ไปโรงเรียนก็อยู่คนเดียวไม่มีเพื่อน บอกว่าคนอยู่ในโลกมันต้องมีเพื่อนบ้าง
แต่ว่าเพื่อนนั้นมันก็ต้องพิจารณาว่าเป็นคนดีหรือเปล่า เป็นคนที่จะนำเราไปในทางที่ถูกที่เจริญหรือเปล่า ถ้าได้เพื่อนประเภทนำเราไปในทางชั่วทางต่ำ เราก็อยู่ห่างๆ ไม่ได้เกลียดเพื่อนแต่เกลียดความชั่วที่มันอยู่ในเพื่อน เราพยายามหลีกไว้ คนเกลียดชังกันเห็นการทำร้ายกัน ก็ไม่ร้าย ไม่ร้ายเท่าความคิดชั่วที่อยู่ในตัวเรา ความคิดชั่วที่อยู่ในตัวเรา มันทำร้ายเรา เป็นข้าศึกของเรา ทำอันตรายเราอยู่ตลอดเวลา เราจึงต้องรู้จักหน้าตามันแล้วขับมันให้ออกไปจากใจของเรา อย่าให้มาอยู่ในใจของเราต่อไป ด้วยการคิดเปลี่ยนแนว เช่นว่า เราเปลี่ยนให้เป็นความรักเสีย เราโกรธก็ให้เป็นความเอ็นดูกรุณาเสีย เราริษยาก็มองเห็นความดีเขาเสียบ้าง เปลี่ยนแนวคิดให้เป็นในทางที่ถูกที่ชอบ ที่เป็นไปเพื่อความเจริญก้าวหน้าของชีวิต ให้คิดอย่างนั้นจิตใจจะได้สบายขึ้น เพราะว่าถ้าเราคิดไม่ดีก็ลงโทษตัวเอง เช่น เราโกรธใครสักคนหนึ่ง คนที่เราโกรธเขายังไม่รู้ว่าเราโกรธเลย แต่ตัวเรานั้นร้อนใจแล้วถูกเผาด้วยความโกรธแล้ว ความโกรธมันเสียดแทงใจเราอยู่ทุกเวลาของการที่เราคิดโกรธ แต่ถ้าเราหยุดโกรธไอ้ลูกศรตัวนั้นหลุดออกไปจากอกของเรา หลุดไปจากใจของเรา เราก็สบายใจขึ้น
คนเราโดยปกติไม่รู้ ไม่รู้ว่าสิ่งชั่วร้ายทั้งหลายมันเกิดขึ้นในใจของเราเอง แล้วเราก็เก็บมันไว้ สะสมไว้ ไม่ยอมปล่อยไม่ยอมวางไม่ยอมหยุดสิ่งนั้น สิ่งนั้นก็ทำลายเราเรื่อยไป เช่น เราเกลียดใคร ได้อะไรบ้าง เวลาเราเกลียดนี่ ใจเราสบายไหม เป็นทุกข์ไหม กลุ้มใจไหม มันก็ไม่สบาย เป็นทุกข์กลุ้มใจด้วยประการต่างๆ คนที่เราเกลียดเขายังไม่รู้ว่าเราเกลียด เขานั่งสบาย เขาทำงานได้ปกติ แต่เรานั้นดิ้นลน ผลุดลุกผลุดนั่ง เดินไปเดินมา เจ็บใจนักๆ มันเรื่องอะไร ทำไมคิดด้วยความโง่อย่างนั้น ทำไมสร้างแต่อารมณ์ไม่ดีให้เกิดขึ้นในใจ หยุดแล้วก็เปลี่ยนอารมณ์เสีย หัดรักเขาเสียบ้าง หัดมองความดีเขาเสียบ้าง หัดเอ็นดูเขาเสียบ้าง เรื่องร้ายเหล่านั้นมันก็จะเบาไปจากใจของเรา หายไปจากใจของเรา เพราะว่าเราคิดถูกขึ้นมา ทำถูกขึ้นมาเรื่องร้ายก็หายไป
ทีนี้ทำไมจิตคิดไม่ได้คิดไม่เป็น เพราะไม่เคยเข้าใกล้ผู้รู้ ไม่เคยเข้าใกล้พระที่เป็นผู้รู้ ไม่ได้รับฟังคำสอนที่ถูกต้อง ไม่ได้ฟังด้วยความตั้งใจ ไม่เอาไปคิดให้เข้าใจ แล้วก็ไม่ได้เอาไปปฏิบัติมันก็ช่วยไม่ได้ ใครที่ไหนจะมาช่วยเราได้ เราต้องช่วยตัวเองต้องพึ่งตัวเอง ต้องแก้ไขตนเองให้มันดีขึ้น สิ่งอื่นช่วยไม่ได้ นอกจากพูดแบบหลอกๆ ว่าสิ่งนั้นจะช่วยสิ่งนี้จะช่วย มันช่วยไม่ได้หรอก เราต้องช่วยตัวเองด้วยการเปลี่ยนแนวคิด เปลี่ยนความโกรธให้เป็นความรัก เปลี่ยนความชังให้เป็นความรักความเอ็นดู เปลี่ยนความริษยาให้เป็นเรื่องน่ายินดี หัดมองคนในแง่ดี อย่ามองคนในแง่ร้าย เห็นคนอื่น ถ้าเรานึกว่า ไอ้นี่ มันไม่น่าไว้ใจ เราเป็นทุกข์แล้วกลุ้มใจแล้ว กลัวแล้ว แต่ถ้าเรารู้ว่าเขาเป็นเพื่อน เป็นเพื่อนมนุษย์เกิดแก่เจ็บตายเหมือนเรา เขาคงไม่คิดทำร้ายเราเพราะเราก็ไม่คิดทำร้ายเขา เดินเข้ามาถึงใกล้ๆ ก็ สวัสดีครับคุณพี่ สวัสดีน้อง มันก็หมดเรื่อง ไม่ใช่เดินหน้าบึ้งบอกบุญไม่รับ เขาเรียกว่า หน้าบอกบุญไม่รับ บอกให้ทำดีก็ยังไม่เอา อย่างนี้มันก็ตกต่ำเรื่อยไป ชีวิตไปไม่รอดเพราะไม่ได้รู้จักเปลี่ยนแนวทางชีวิตให้มันดีขึ้น ไปคิดเอาเรื่องเก่าๆ มาไว้ในใจ
ไอ้ความจริงเรื่องเก่าๆทั้งหลายมันเกิดขึ้นแล้วมันก็ดับไปแล้ว ให้ญาติโยมเข้าใจหลักความจริงไว้ว่า อะไรที่เกิดขึ้นในใจเรามันดับไปแล้ว เพราะสิ่งทั้งหลาย เกิดดับๆ เกิดดับอยู่ตลอดเวลา เราเกิดความโกรธมันก็ดับไปแล้ว เกิดความเกลียดมันก็ดับไปแล้ว เกิดความหลงมันก็ดับไปแล้ว เกิดความริษยาพยาบาทมันก็ดับไปแล้ว แต่ว่าเราทำผิด ทำผิดตรงไหน ไม่ยอมให้มันดับฟื้นมันขึ้นมา เหมือนจุดไฟขึ้นมา ไฟมันจะมอดแล้วใส่ถ่านเพิ่มเอาไม้ฟืนเพิ่ม เอาน้ำมันราดมันลงไปให้มันลุกพรึ่บพรั่บไหม้บ้านไหม้เรือนต่อไป นี่มันเป็นความถูกต้องหรือไม่ที่เราทำเช่นนั้น มันไม่เป็นการถูกต้องอะไร สร้างความเสียหายให้แก่ชีวิตเปล่าๆ เราจึงควรจะหัดคิดในแง่ดี มองคนในแง่ดีแง่งามเสียบ้าง ในหลักธรรมะก็สอนว่าให้แผ่เมตตาต่อกัน
อันนี้สำคัญมากคือให้แผ่เมตตา เห็นใครเดินมาก็นึกในทางที่เป็นไปด้วยเมตตาธรรมว่าขอให้เป็นสุขๆ เถิด เจริญๆ เถิด ขอให้ปราศจากโรค ปราศจากอุปสรรคปัญหาในชีวิตประจำวันเถิด นึกอย่างนี้ มันไม่เกลียดใคร ไม่โกรธใคร ไม่ทำร้ายใคร และไม่ทำร้ายตัวเองด้วย แต่ถ้าพอเห็นหน้า แหม หมั่นไส้ไอ้คนนี้ อยากจะเตะอยากจะทุบกบาล อยากจะทำอย่างนั้นอย่างนี้คือคิดผิดแล้ว ทำไมไปคิดอย่างนั้น ทำไมไปคิดในแง่ชั่วร้ายอย่างนั้นมันไม่ถูกต้อง เราคิดโดยเราไม่รู้ตัวว่าเราคิดอะไร เราพูดอะไร เราทำอะไรกับคนๆ นั้น แล้วสิ่งที่เราทำนั้นมันจะไปไหน มันกลับมาหาเรา เหมือนเราโยนลูกหนังไปที่ฝามันก็กระดอนกลับมาหาเรา เราเอาขยะหลายอย่างโยนขึ้นไปบนฟ้า มันก็ตกลงบนหัวเราทั้งนั้น ตกลงบนหัวบนตัวของเรา มันไม่ไปไหน แล้วทำไมหาเรื่องอย่างนั้นทำไมไปคิดอย่างนั้น ทำไมไม่คิดให้ใจสบาย ทำไมไม่คิดให้เขาสบาย หรือทำอะไรที่จะให้คนอื่นมีความสุขมีความเจริญ ทำไมเราไม่คิดอย่างนั้น
เราคิดไม่เป็นเพราะไม่เคยหัดเปลี่ยนความคิด ไม่เคยฝึกจิตของตัวเอง มีแต่ปล่อยจิตให้ไหลไปกับอารมณ์ ไหลไปกับสิ่งแวดล้อมไม่พยายามดึงกลับมาอยู่ในเรื่องที่ถูกต้องในเรื่องที่เป็นความดีความงาม ถ้าจะแนะวิธีการปฏิบัติจิต มีหลายอย่าง เช่นว่า ให้เจริญเมตตาภาวนา เมตตาภาวนา หมายความว่า คิดนึกด้วยความเมตตา พูดด้วยความเมตตา ทำด้วยความเมตตา ไปไหนก็ไปเพื่อความเมตตา ลงจากบ้านพร้อมกับความเมตตาด้วยการบอกตัวเองว่าฉันไปเพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ให้มีความสุขความเจริญ ให้มีความก้าวหน้าในชีวิตประจำวัน แล้วเราก็ไป เห็นใครเดินมาก็ขอให้มีความสุขเถิด ขอให้มีความเจริญมีความก้าวหน้าในชีวิตในการงานเถิด อย่าไปนึกในแง่ร้าย อย่าไปนึกโกรธ นึกเกลียด นึกแช่งชักหักระดูกคนนั้น เมื่อไรมันจะตายเสียทีไอ้นี่มันขวางโลกเหลือเกิน นึกทำไม ไปแช่งเขาทำไม ไปรังเกียจเขาทำไม และเราทำเช่นนั้นมันก็ตกบนตัวเรา เราได้รับผลเอง คนนั้นไม่รู้เรื่อง แต่เราเป็นทุกข์ใจเศร้าหมอง สร้างสิ่งไม่ถูกต้องให้เกิดขึ้นในใจ นี้เป็นเรื่องไม่ถูกต้อง
พระพุทธเจ้าท่านจึงสอนให้แผ่เมตตา พระพุทธเจ้าท่านไปไหนแผ่เมตตา ไปทิศตะวันออก ทิศตะวันตก ทิศเหนือ ทิศใต้ เบื้องบน เบื้องล่าง ทั่วสากลจักรวาล เพื่อให้สรรพสัตว์ทั้งหลายมีความสุขความเจริญ ใครมาพบพระพุทธเจ้าก็ต้องรักพระพุทธเจ้า เลื่อมใสพระพุทธเจ้า เพราะพระองค์แผ่ดวงจิตที่เต็มไปด้วยความรักความเมตตาต่อสัตว์ทั้งหลายต่อคนทั้งหลาย ต่อทุกสิ่งทุกอย่าง สิ่งเหล่านั้นได้รับกระแสจิตที่เป็นเมตตาก็ตอบโต้ด้วยความเมตตา ถ้าเราส่งกระแสจิตดุๆ ไปยังคนใดคนหนึ่ง เขาก็คิดในทางดุกับเราในทางร้ายกับเรา แล้วอาจจะมาทำร้ายเราเมื่อใดก็ได้ เพราะกระแสจิตที่เราส่งไปมันเป็นฝ่ายอกุศลฝ่ายชั่ว จึงไม่ควรคิดอย่างนั้น หัดคิดด้วยความรักความเมตตา ปรารถนาดีต่อคนทั้งหลาย แผ่เมตตาให้มนุษย์เป็นสุข ให้สัตว์เป็นสุข ให้ธรรมชาติอยู่ตามปกติของธรรมชาติ เราจะไม่ทำลายอะไรๆ บนพื้นแผ่นดินนี้ให้เสียหาย เราคิดอย่างนั้น ทำอย่างนั้น พูดอย่างนั้น สิ่งแวดล้อมตัวเรามันก็เป็นไปในทางดีทางสร้างสรรค์ทำให้ชีวิตเจริญก้าวหน้า
นี่เป็นเรื่องที่เราต้องคิดต้องทำทุกอย่าง จะไปไหนก็ต้องตั้งใจว่า ฉันไปเพื่อประโยชน์เพื่อความสุขแก่เพื่อนมนุษย์ทั้งหลาย ไม่ได้ไปเพื่อให้ร้ายใครเพื่อเบียดเบียนใคร ไปเพื่อให้ ไม่ได้ไปเพื่อจะเอาอะไรจากใคร คิดอย่างนั้นเป็นการถูกต้อง ชีวิตเรียบร้อยเพราะเราไม่สร้างศัตรู ศัตรูตัวสำคัญที่เราสร้างคือสร้างความคิดชั่วขึ้นในใจของเราเอง สร้างความโกรธ สร้างความเกลียด สร้างความพยาบาทอาฆาตจองเวรไว้ในใจของเรา สิ่งนั้นมันจะกัดเราให้กร่อนลงไปทุกวันทุกเวลา ทำลายตัวเราให้เสียหายเราจึงไม่ควรจะอยู่ด้วยความคิดอย่างนั้น แต่อยู่ด้วยความคิดแผ่เมตตา ปรารถนาความสุขความเจริญแก่เพื่อนมนุษย์ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นคนชาติใดภาษาใดหรือศาสนาอะไร เราไม่จำกัด เราถือว่าทุกคนเป็นเพื่อนร่วมเกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งนั้น ขอให้อยู่กันด้วยความสุขความสงบเถิด เรานึกอย่างนั้นใจก็สบาย เรื่องร้ายๆ อันใดที่เคยคิด เลิกคิดมัน ไม่คิดถึง
แต่ว่าจิตมันชอบคิด หัดคิดอะไรมันก็เป็นไปอย่างนั้น คิดเรื่องโกรธใจมันก็มีความโกรธ คิดเรื่องเพียรมันก็มีความเพียร คิดริษยาใจมันก็มีความริษยา เราก็เปลี่ยนมาคิดรักคนอื่น สงสารคนอื่น เมตตาปราณีต่อเพื่อนทุกคนที่เราได้พบได้เห็น สภาพจิตใจก็จะดีขึ้น แล้วก็คอยมองดูตัวเอง มองดูความคิดของตัวว่ามันคิดอะไร เราหยุดมันได้ห้ามมันได้ ไม่ใช่ว่าหยุดไม่ได้ ห้ามไม่ได้ มนุษย์ทั้งหลายที่เลิกคิดเรื่องชั่วก็สบายขึ้น เลิกพูดเรื่องชั่วเลิกทำเรื่องชั่ว ชีวิตมันก็ดีขึ้น เมื่อคนอื่นทำดีได้เราทำไมไม่ทำ เราก็ต้องทำบ้างเพื่อให้ดีขึ้น ตื่นแต่เช้านั่งอธิษฐานใจ อธิษฐานใจคือสร้างความมั่นใจให้เกิดขึ้นในใจของเรา อธิษฐานใจว่าวันนี้ข้าพเจ้าจะมีชีวิตอยู่ด้วยความรักเพื่อนมนุษย์ ข้าพเจ้าจะคิดจะพูดจะทำแต่สิ่งที่เป็นความสุขเป็นความเจริญแก่เพื่อนมนุษย์ทั้งหลาย ข้าพเจ้าจะรักทุกคน ช่วยเหลือทุกคนให้อยู่เย็นเป็นสุขมีความก้าวหน้าในชีวิตในการงาน เราคิดอย่างนั้นแล้วก็ทำอย่างนั้นตลอดวัน จิตเราก็จะสงบขึ้น สะอาดขึ้นสว่างขึ้นด้วยอำนาจพระธรรมที่เราได้คิดนึกอยู่ประจำในชีวิตประจำวันของเรา อันนี้เป็นข้อคิดสำหรับญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายในวันนี้
แสดงมาก็คอแห้ง สมควรแก่เวลา ขออวยพรให้ญาติโยมทั้งหลายจงเป็นผู้มีสติ มีปัญญานึกคิดในทางสร้างสรรค์ชีวิตแก่ตนแก่ท่าน ให้เกิดความสุขความเจริญกันทั่วหน้าจงทั่วกันทุกท่านทุกคนเถิด