แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้วันอาทิตย์ที่ ๒ เดือนมิถุนายน วันนี้ญาติโยมมาน้อย คงจะไปเลือกตั้ง กรุงเทพฯ แต่ไม่ใช่เรื่องเลือกตั้ง คงกลัวฝนจะตก ไม่ตกที่วัดนี้ ไปตกรอบนอก ตกบางเขน แถวรอบนอก ไม่ตกที่นี่ เพราะที่นี่คนเขาทำบุญกัน ฝนไม่ตก จะไปตกที่อื่น เราไม่ต้องกลัว ถึงตกก็ไม่เป็นไร เพราะนั่งในหลังคาแล้ว ไม่เดือดร้อน อยู่ใต้ฟ้า กลัวฝน ไม่ต้องกลัว เรื่องธรรมดา แต่ว่า นึกอธิษฐานใจแล้วว่าอย่ามาตกที่นี่ ให้ไปตกที่อื่นที่เขาต้องการน้ำฝน วัดชลประทานไม่ต้องการ เพราะน้ำเยอะแล้วเวลานี้ ตกทีไรน้ำเจิ่งทุกที ตอนนี้ เลยไม่ต้องมาเพิ่ม ไปเพิ่มที่อื่นก็แล้วกัน
วันนี้ เป็นวันใกล้วันสำคัญวันหนึ่งในประเทศไทย คือวันกาญจนาภิเษกของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ได้ทรงครองราชย์มาครบ ๕๐ ปี เขาจะมีงานกันตั้งแต่วันที่ ๗ ที่ ๘ ที่ ๙ ที่ ๑๐ เรื่อยไป มีหลายที่หลายแห่ง สนามหลวงก็สร้างสถานที่ใหญ่ เพื่อให้พระองค์เสด็จมาบูชาบูรพมหากษัตริย์ ตั้งแต่ยุคกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี มาจนถึงยุคปัจจุบัน ท่านเหล่านั้นได้ทำคุณทำประโยชน์แก่ชาติแก่บ้านเมือง ได้ทำให้ประเทศไทยเป็นไทย ทำให้ประเทศไทยเป็นพุทธบริษัทสืบต่อมาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท่านระลึกถึงพระคุณของท่านเหล่านั้น จึงไปทำการบวงสรวงตามปรากฏในรายการ พวกเราก็ไปชุมนุมกันได้ ถ้าไม่ได้ไปที่นั่นก็ทำที่บ้าน น้อมจิตระลึกถึงพระคุณของพระมหากษัตริย์ แล้วก็ตั้งใจที่จะปฏิบัติตนเป็นคนดีเป็นคนเรียบร้อยต่อไป จะเป็นการถูกต้องตามหลักการ
เมื่อวันก่อน วันวิสาขบูชา ที่เราปฏิบัติกันที่นี่ ก็ได้แสดงธรรมเรื่องเกี่ยวกับพระพุทธเจ้า ตั้งแต่ประสูติ แล้วก็หนีออกจากวังไปอยู่ในป่า ทำการปฏิบัติตามแบบที่เขาเคยปฏิบัติกันมาก่อน เพื่อเป็นการทดสอบว่าแบบนั้นมันใช้ได้หรือไม่ เป็นประโยชน์หรือไม่ แต่เห็นว่าไม่เป็นประโยชน์ ไม่เป็นทางพ้นจากความทุกข์อย่างแท้จริง จึงได้เปลี่ยนวิธีใหม่ และเมื่อเปลี่ยนวิธีใหม่ก็ได้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าในวันเพ็ญเดือนหก ก่อน พ.ศ. ๔๕ ปี แล้วก็ทำหน้าที่ของพระพุทธเจ้าต่อไป เราได้ฟังแล้วก็คงจะเกิดศรัทธา ความเชื่อ ภาษาพระ ความเลื่อมใส ในองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า วันนี้จะพูดต่อไปอีกเพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจมากขึ้น
ภายหลังจากการตรัสรู้แล้ว พระองค์ก็นั่งประทับอยู่ในบริเวณนั้น คือนั่งประทับอยู่ใต้ต้นโพธิ์ ประทับอยู่ใต้ต้นอัฌชพาลนีครูด …… (4.14 เสียงไม่ชัดเจน) คือต้นไทรเป็นที่พักของคนเลี้ยงแพะ แล้วไปพักที่สระมุจลินท์ มีต้นไม้ …… (4.23 เสียงไม่ชัดเจน) ก็ทรงไปพักที่นั่น พักที่ราชายัตนเจดีย์ …… (4.29 เสียงไม่ชัดเจน) เจดีย์ไม่มีหรอกแต่ว่าไปประทับยืนอยู่ที่นั่น อยู่ที่ต้นโพธิ์ที่พระองค์ตรัสรู้อย่างละ ๗ วัน ๗ วัน เป็นการพักผ่อน แล้วก็คิดถึงเรื่องข้อที่ได้ตรัสรู้ว่าเป็นเรื่องลึกซึ้งละเอียดอ่อน ทรงพิจารณาทบทวนไปมา ในเรื่องเกี่ยวกับปฏิจจสมุปบาท คือธรรมที่เกิดสืบเนื่องกัน เพราะเหตุปัจจัยปรุงแต่ง เช่น อวิชชาเป็นเหตุให้เกิดสังขาร เกิดวิญญาณ เกิดนามรูป เกิดสฬายตนะ เกิดภัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพชาติ โดยลำดับ คิดไปตามลำดับ คิดถอยหลังย้อนไปย้อนมาตลอดเวลา ไม่ได้เสวยพระกระยาหาร เพราะมีธรรมะเป็นอาหารใจ มีความสุขด้วยธรรมะตลอดเวลา
เมื่อประทับอยู่ในที่เหล่านั้น ก็ทรงคิดว่าธรรมะที่ได้ตรัสรู้เป็นของลึกซึ้ง ละเอียดอ่อน ยากที่คนธรรมดาสามัญจะเข้าใจได้ คิดชั้นแรกก็คิดว่าอาจจะไม่ได้เรื่อง ไปเทศน์ไปสอนแล้วเกรงว่าคนจะไม่เข้าใจ พอดีได้ทรงเห็นดอกบัวในสระน้ำซึ่งอยู่ใกล้ๆ ก็เห็นว่าดอกบัวมี ๔ ประเภท คือดอกบัวที่เสมอน้ำจะบานในตอนเช้า ดอกบัวที่อยู่ใต้น้ำจะบานในวันต่อไป ดอกบัวที่จะบานได้ และดอกบัวที่ไม่บาน เป็นดอกบัว ๔ เหล่า เห็นดอกบัวแล้วก็คิดถึงคน ว่าคนเราก็เหมือนดอกบัว ผู้ที่มีปัญญาพอพูดปุ๊บเข้าใจปั๊บมี พวกที่ปัญญาน้อยต้องชี้แจงแสดงเหตุผลให้เข้าใจจึงจะเข้าใจก็มี พวกที่พอจะจูงไปได้ก็มีเหมือนกัน ส่วนพวกที่สอนไม่ได้เป็นพวกปัญญาอ่อนปัญญาทึบเกินไปสอนไม่ได้ก็ต้องปล่อย เหมือนกับดอกบัวเน่าเป็นเหยื่อเต่าเหยื่อปลาไปตามเรื่อง เมื่อพิจารณาเห็นดอกบัวเอาเปรียบกับคนที่อยู่ในโลก ก็ทรงเห็นว่าควรจะลองสอนดู ในการลองสอนดูนั้นจะสอนใครก่อน ชั้นแรกก็คิดถึงพระดาบส ๒ องค์ ที่ได้สอนการบำเพ็ญฌาณให้แด่พระองค์ พระดาบส ๒ องค์นั้นมีปัญญาแก่กล้าได้อบรมบ่มนิสัยมานานแล้ว ไปสอนเข้าก็คงจะเข้าใจ แต่พอทราบได้ว่าท่านทั้งสองตายเสียแล้ว พลาดโอกาสที่จะมีจะได้ ก็คิดต่อไปถึงพวกปัญจวัคคีย์ที่เคยร่วมบำเพ็ญเพียรด้วยกัน ปัญจวัคคีย์ ๕ คน คือ โกณฑัญญะ วัปปะ ภัททิยะ มหานาม และอัสสชิ รวม ๕ ท่าน ๕ ท่านนี้คอยเป็นพี่เลี้ยงดูแลพระองค์ในการบำเพ็ญความเพียรอดแรงอดแล้งอยู่ในป่า ช่วยเหลือทุกอย่าง แต่ครั้นเมื่อพระองค์เปลี่ยนแนวทางมาเสวยพระกระยาหารบำรุงร่างกายให้แข็งแรงตามปกติ ก็เลยนึกว่าไม่ได้เรื่องแล้ว พระสมนะโคดมนี่คลายความเพียร เวียนมาส่งเสริมกำลังกายให้อ้วนพีมีกำลัง เราจะอยู่ต่อไปก็คงไม่ได้เรื่อง เลยซุบซิบกัน เลยหนีไปเลย หนีไปอยู่ที่เมืองพาราณสี พระองค์ได้ตรัสรู้แล้วก็คิดถึงว่าท่านทั้ง ๕ นั้น มีปัญญาแก่กล้าพอสมควร พอจะพูดให้เข้าใจได้ ก็จะต้องไปทดสอบดูว่าจะเข้าใจหรือไม่ ก็เลยออกเดินทางจากพุทธคยาเพื่อไปสู่พาราณสี พาราณสีนั้นอยู่ทางทิศเหนือของพุทธคยา รถไฟวิ่ง ๖ ชั่วโมง แต่ว่าในสมัยนั้นพระองค์เดินลัดในป่าก็ไปถึงได้ในวันเดียว เดินทางลัดเข้าป่าลัดเลาะไป รถไฟมันวิ่งไปตามเส้นทางก็ช้า ลัดเลาะไปจนถึงเมืองพาราณสี แล้วก็หลีกลงข้างทางไปสู่บริเวณที่เรียกว่าป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เป็นสวนกวางของพระเจ้าพรหมทัต ผู้ครองเมืองพาราณสี เพื่อไปพบปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ แต่ว่ายังไม่ถึงบริเวณที่จะพบกันก็พอดีไปถึงสถานที่แห่งหนึ่ง สมัยนี้เขาสร้างเป็นเจดีย์แปดเหลี่ยมไว้บนยอดเจดีย์ เรียกว่า เจาคันธีสถูป เจาคันธีสถูปนี้เป็นเจดีย์ที่เขาสร้างไว้ ณ จุดที่พระพุทธเจ้าพบปัญจวัคคีย์ เลยสร้างเจดีย์ไว้เป็นเครื่องหมาย เจดีย์มันก็เก่าผุพังเป็นเนินดินสูงอยู่ พระเจ้าโอรังเซป กษัตริย์มุสลิม เที่ยวรุกรานเมืองนั้นเมืองนี้ คราวหนึ่งก็พ่ายแพ้แก่ข้าศึก พระองค์ก็หนีมาถึงที่ตรงนั้นก็ขึ้นไปซ่อนอยู่ในพุ่มไม้บนยอดเจดีย์อันนั้นแหละ รอดไป ข้าศึกมองไม่เห็น พระองค์ก็เห็นว่าเจดีย์นี้เป็นประโยชน์แก่พระองค์ก็เลยไปสร้างป้อมเป็นรูปแปดเหลี่ยมไว้บนเจดีย์นั้นเพิ่มเติมขึ้นมา
พระพุทธเจ้าเดินทางไปถึงที่บริเวณนั้นก็พบปัญจวัคคีย์ ปัญจวัคคีย์เห็นแต่ไกล จำได้ว่าพระสมณโคดมมาแล้ว เลยพูดกันว่า เราอย่าต้อนรับ อย่าพูดด้วย แต่ว่าปูอาสนะไว้ ถ้าอยากจะนั่งก็นั่ง เราทำเฉยๆ ไม่ยุ่งด้วย เพราะว่าคลายความเพียรมาเสียแล้ว สัญญากันมั่นเหมาะ แต่ว่าพระองค์ก็เดินเข้าไปด้วยท่าทางสง่าผ่าเผย น้ำพระทัยก็เต็มไปด้วยความเมตตา กำลังแห่งความเมตตานั้นแผ่กระจายออกไป ไปกระทบจิตใจของท่านทั้ง ๕ เมื่อพระองค์เข้ามาใกล้ ท่านทั้ง ๕ ลืมคำมั่นสัญญาว่าจะไม่ต้อนรับไม่พูดด้วยไม่แสดงอาการอะไร ลืมหมด ลุกขึ้น คนหนึ่งไปรับบาตร คนหนึ่งไปรับจีวร คนหนึ่งไปตักน้ำล้างเท้า คนหนึ่งไปปัดขี้ฝุ่น ที่ปูอาสนะไว้สะอาด พระองค์ก็ประทับนั่ง แต่ว่าพูดกับพระองค์ด้วยถ้อยคำที่ไม่เคารพ คือพูดว่า อาวุโส คำพูดของพระนี้มีอยู่ ๒ คำ คำว่า อาวุโส หมายถึง เพื่อน เสมอกัน พันเต หมายถึง ผู้ที่อายุแก่กว่า ที่ควรแก่การเคารพสักการะเรียกว่า พันเต เมื่อพระพุทธเจ้าเข้าไปพวกนั้นก็พูดว่า “อาวุโสโคตะมะ” พระองค์บอกว่า อย่าพูดเช่นนั้น อย่าพูดคำเช่นนั้นกับเรา เพราะเราได้บรรลุอมฤตธรรมแล้ว พูดกันอย่างนั้น ท่านเหล่านั้นก็บอก ไม่เชื่อหรอก เมื่อก่อนทำความเพียรอดแห้งอดแล้ง ทำร่างกายสูบผอม ท่านยังไม่ได้อะไรเลย แล้วท่านเปลี่ยนวิธีการมากินอาหารบำรุงร่างกายให้แข็งแรง ท่านจะบอกว่าบรรลุอมฤตธรรมน่ะ เราไม่เชื่อ พระองค์ก็พูดจาต่อไปบอกว่า คิดดูให้ดีนะ เราอยู่กันมานานนะ หลายปีนะ ๕-๖ ปี เราเคยพูดคำเช่นนี้บ้างไหม คิดดูให้ดี ว่าเราเคยพูดคำเช่นนี้บ้างไหม ท่านทั้ง ๕ ก็มองตากัน ซุบซิบกันไปตามเรื่อง และว่า เอ....ท่าจะมีดีแล้ว ฟังกันหน่อย ก็เลยนั่งลงฟังคำสอน ก็นึกว่าคงจะมีดี แล้วพระองค์ก็แสดงธรรมให้ท่านเหล่านั้นฟัง เรียกว่า “ธัมมจักกัปปวัตนสูตร” พูดถึงเรื่องที่พระองค์ได้ตรัสรู้ ได้ค้นพบ ได้นำมาเปิดเผยแก่ท่านเหล่านั้น
เมื่อกี้นี้มีคำๆ หนึ่งที่ว่า “อมฤตธรรม” แปลว่า ธรรมที่ไม่ตาย แต่ว่าในตำนานของพวกฮินดูนั้น เขามีเรื่องน้ำอมฤต คือว่าพวกเทวดากับพวกอสูร อสูรนี่เป็นเจ้าของถิ่น อยู่ในประเทศอินเดียมาก่อน เทวดานี่อพยพมาจากทางเหนือ เป็นคนมีความรู้ มีความสามารถกว่า ก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับพวกอาริยันที่อพยพมาอยู่ในอินเดีย อันนี้ในอินเดียพื้นบ้านพื้นเมืองเขามีคนอยู่แล้ว เรียกว่า พวกเมนรัตถะ หรือ ทัสยุ แปลว่า พวกทาส อยู่มาก่อน รูปร่างเล็กๆ ตัวดำๆ ไม่ค่อยเจริญด้วยปัญญา แต่พวกที่มาใหม่นี่พวกอาริยัน ชนเผ่าอาริยะชน มาอยู่ในอินเดีย ก็ขับไล่พวกนั้นถอยร่นลงมาอยู่ทางตอนใต้ของประเทศอินเดีย ทีหลังเขาแต่งเป็นนิยายว่า พวกเทวดาเกิดขึ้นไปขับไล่พวกอสูร อสูรนี่เป็นพวกเจ้าถิ่น อยู่ชั้นสวรรค์เหมือนกัน แต่ว่าไม่เจริญอะไร ก็ถูกพวกพระอินทร์ขับไล่หนีมาอยู่ชายทะเล ตกลงมาจากสวรรค์มาอยู่ชายทะเล แล้วก็มีความคิดแบบคนปัญญาอ่อน พอดอกจิตติปาตลิ บานบนสวรรค์กลิ่นฟุ้งลงมา คิดถึงบ้านเดิม ก็จัดทัพไปรบกับพวกเทวดา พวกเทวดาก็จัดทัพออกมาต่อสู้ ปรากฏใน “พระชัคคสูตร” สูตรเรื่องเกี่ยวกับธง คือพระอินทร์บอกว่าท่านทั้งหลายเวลารบ ถ้าเกิดความเหนื่อยหน่ายท้อแท้อ่อนแอทางจิตใจ ให้ดูธงของเรา ดูธงพระอินทร์ ถ้าไม่ดูธงพระอินทร์ก็ดูธงท้าววารุณะ ท้าวประชาปฏิตสะ ท้าว ๔ คนด้วยกัน ให้ดูธง พอดูธงแล้วจิตมันจะเข้มแข็งขึ้น เพราะฉะนั้นในกองทัพเขามีธง เรียกว่าธงประจำกองทัพ พระเจ้าอยู่หัวเอาพระเกศาใส่ เอาเล็บใส่ไว้ในธงนั้นด้วย เป็นธงสำคัญที่ทหารต้องถือออกรบ เรียกว่า ธงชัยสมรภูมิ เป็นธงสำคัญมาก ก็ได้มาจากเรื่องนี้ เรื่องพระชัคคสูตร พวกเทวดาก็ดูธงพระอินทร์ ดูธงประชาปฏิตสะ วารุณะ แล้วใจเข้มแข็ง รบชนะ พวกอสูรตกทะเลไป ทุกที สู้ไม่ได้ ปัญญาอ่อนจะไปสู้คนปัญญาแก่ยังไง เหมือนพวกอาหรับรบกับยิว ยิวตีแตกทุกที ขึ้นมาแหย่ทีไรก็เจ็บตัวทุกที เพราะยิวเก่งกว่า ต่อมาเทวดาคิดว่าจะกวนน้ำอมฤต กวนน้ำอมฤตนี่ต้องเอาพญานาคมาพันภูเขา ๒ ภูเขา ด้านหัวให้พวกอสูรอยู่ อสูรอยู่ใกล้หัวนาค นาคก็พ่นพิษออกมาร้อน ลำบาก เทวดาฉลาดกุมหางนาค แล้วก็ดึงกัน ดึงให้ภูเขามันหมุน บดกัน เขา ๒ ลูกบดกัน ต้นหมากรากไม้ พืชต่างๆ ที่อยู่ในภูเขานั้นก็ละลายเป็นตมในทะเล แล้วก็เกิดเทพธิดาทูนพานทูนขัน ในขันนั้นมีน้ำอมฤต น้ำอมฤตนี้กินแล้วจะไม่ตาย พอเทวดาผุดขึ้นมา พวกเทวดาเห็นก่อน แย่งกินหมด พวกอสูรมาถึงเหลือแต่ขันแล้วไม่มีอะไรจะกิน แล้วก็ร้อนพิษพญานาค นึกในใจว่า แหม...กูเสียท่าไอ้พวกนี้ทุกที มันต้มให้กูชักเสียจนเหงื่อไหลไคลย้อย ของดีเกิดขึ้นมันกินหมด แล้วก็ไม่ได้กิน นี่เรื่องมันเป็นตัวอย่างว่า คนโง่ก็ต้องเสียเปรียบคนปัญญาเสมอไป คนปัญญาที่ขาดธรรมะก็เอาเปรียบคนโง่ตลอดไป เป็นอย่างนั้น ในสังคมโลกมันก็เป็นอย่างนั้น คนโง่ก็เสียเปรียบคนมีปัญญา เรื่องนี้ก็เหมือนกัน น้ำอมฤตเกิดขึ้น พวกเทวดากินหมด
พระพุทธเจ้าเอาเรื่องนี้มาพูดเปรียบเป็นธรรมะ บอกว่าเราได้รู้อมฤตธรรมแล้ว อมฤตธรรม คือ ธรรมที่ไม่ตาย ผู้เข้าถึงจุดนั้นแล้วเป็นผู้ที่ไม่ตาย เพราะไม่เกิด ไม่เกิดมันก็ไม่ตาย ความตายมาคู่กับความเกิด ถ้ายังมีเกิดก็ต้องมีตาย ไม่เกิดมันก็ไม่ตาย เรื่องเป็นอย่างนั้น ก็เลยเปรียบว่า เราได้พบอมฤตธรรมแล้ว ชั้นแรกก็ไม่เชื่อ แต่ว่าเมื่อพระองค์บอก คิดดูให้ดีนะ เราพบกันมานาน อยู่ด้วยกันมานาน เคยได้ยินเราพูดคำเช่นนี้บ้างไหม ท่านทั้ง ๕ ก็นึกในใจ เออ...จริง เราไม่เคยได้ยิน แต่ท่านพูดดังนี้คงจะมีอะไรดีแล้วล่ะ ก็เลยตั้งใจฟัง ตั้งใจฟังธรรมของพระพุทธเจ้า ธรรมะที่พระพุทธเจ้าแสดงคราวนั้น เรียกชื่อว่า “ธัมมจักกัปปวัตนสูตร” ธัมมจักกัปปวัตนสูตร เป็นสูตรแรกของพระพุทธเจ้า เป็นสูตรสำคัญที่สุด
เมื่อหลวงพ่อไปอเมริกา คราวหนึ่งไปที่หอสมุดของสภาผู้แทนฯ บรรณารักษ์แกเป็นคนนับถือพุทธศาสนา แกก็ตั้งปัญหาถามว่า ทางฝ่ายมหายานเขามีพระสูตรสำคัญ เช่น ลังกาวตารสูตร เพชรตัดเพชร วัชรเขติกสูตร อะไรต่างๆ ทางฝ่ายเถรวาทถือสูตรใดว่าเป็นสูตรสำคัญ หลวงพ่อก็ตอบว่าฝ่ายเถรวาทถือว่าธัมมจักกัปปวัตนสูตรเป็นสูตรสำคัญ เขาถามว่าเพราะอะไร บอกว่าเพราะเป็นสูตรแรกที่พระพุทธเจ้าประกาศในสิ่งที่พะองค์ตรัสรู้ให้ท่านปัญจวัคคีย์เข้าใจ แล้วในสูตรนั้นมีข้อความสำคัญที่แสดงถึงผลการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า จึงถือว่าเป็นสูตรสำคัญ ก็ตอบเขาอย่างนั้น เขาก็พอใจ
ชาวจีนเขามีสูตรหลายสูตรที่สำคัญ เช่นว่าที่วัดที่เมืองลอสแอนเจลิส วัดใหญ่มาก สร้างบนภูเขา สิ้นเงิน ๒๕ ล้านเหรียญนะโยม ไม่ใช่น้อยนะ ๒๕ ล้านเหรียญ เอา ๒๕ คูณ ๒๕ ล้าน เป็นเงินไทยเท่าไหร่ ใหญ่โตมาก แล้วตรงห้องกลางห้องใหญ่ที่ประชุม ริมฝา เขาเขียนพระสูตรนั้นไว้ เรียกว่า วัชรเขติกสูตร แปลว่า เพชรตัดเพชร สูตรนี้สำคัญ เพชรตัดเพชร ในสูตรของเวยหลั่ง เวยหลั่งได้ฟังคนๆ หนึ่งนั่งท่องสูตรนี้อยู่ แกฟังแล้วมันฮืมขึ้นในใจเลย ได้ความรู้ได้ความเข้าใจ แต่คนท่องก็ยังไม่รู้ ท่องเรื่อยไป เวยหลั่งถามว่าทำไมท่องสูตรนี้ เขาก็ตอบว่าอาจารย์ทางเหนือ สูตรนี้เกิดที่กวางโจว เมืองกวางตุ้ง อันนี้อาจารย์อยู่ทางปักกิ่ง บอกว่าให้ท่องสูตรนี้ ให้ทุกคนท่อง ให้จำและมาท่องเหมือนเราท่องสวดมนต์อย่างนั้นแหละ แต่ถ้าสวดโดยไม่แปลก็ไม่เข้าใจอะไร แต่วัดเราสวดแปลก็เข้าใจเรื่อง ทีนี้ก็บอกว่าอาจารย์ให้ท่อง แล้วก็ถามว่าอาจารย์อยู่ที่ไหน บอกอยู่วัดชื่อนั้น อยู่ที่เมืองโน้น มีคนๆ หนึ่งสอดเข้ามาทันทีบอกว่า ไอ้หนู เอ็งไปเถอะ ไปหาอาจารย์องค์นี้ ไปเรียน ไปศึกษา เจ้าหนูน้อยคนนั้นบอก จะไปอย่างไร คุณแม่ไม่มีใครเลี้ยง เราอยู่กันสองคนแม่ลูก ข้าพเจ้าต้องเข้าป่าหาฟืนมาขายในเมือง ได้เงินเอาไปให้คุณแม่เลี้ยงชีวิต ทำอยู่อย่างนี้ ถ้าไปเสียแล้วคุณแม่จะอยู่อย่างไร คนๆ นั้นก็บริจาคเงินให้เป็นเงิน ๕ ตำลึง เงินจีนนะ เป็นแท่งๆ เคยดูหนังเปาบุ้นจิ้นหรือเปล่า เป็นแท่งๆ ๕ ตำลึง ๕ ก้อน ให้คุณแม่เอาไปไว้เลี้ยงชีวิต เจ้าหนูน้อยคนนั้นก็เอาเงินไปให้คุณแม่ แล้วก็เดินทางไปที่วัดนั้น ไปถึงก็ได้ไปท่องสูตรนี้เหมือนกัน และผลที่สุดก็ได้เป็นคนเก่ง เป็นสังฆราชองค์ที่ ๖ ของนิกายเซน เวยหลั่งเนี่ย สูตรนี้สำคัญ เขามีเป็นสูตรๆ วัชรเขติกสูตร สุขาวดี มหายานสูตรไม่เหมือนกัน พวกหนึ่งถือสูตรหนึ่ง พวกหนึ่งถือสูตรหนึ่ง แต่ของเรานั้นมีพระสูตรมากมาย
เราก็ถือว่าธัมมจักรเป็นสูตรสำคัญเพราะประกาศสิ่งที่พระองค์ได้ตรัสรู้ ประกาศอะไร ประกาศเรื่องอริยสัจ ๔ ประการ คือ เรื่องความทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ความดับทุกข์ได้ และข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ เป็นของใหม่ เป็นสิ่งที่ไม่เคยมีใครพูดกันมาก่อน ไม่มีใครเข้าใจกันมาก่อน พระองค์จึงตรัสว่าเรื่องนี้ไม่เคยมีมาก่อน ไม่เคยมีใครสอน ไม่มีใครพบมาก่อน เราได้พบแล้ว เราได้ญาณแล้ว ได้จักษุแล้ว ได้ปัญญาแล้ว ได้แสงสว่างแล้ว จากเรื่องนี้มาพูดให้ปัญจวัคคีย์ฟัง ปัญจวัคคีย์ฟังแล้วได้ผลอย่างไร คือว่าพอเทศน์จบได้ผลคนเดียว เทศน์กันตั้งนาน ท่านโกณฑัญญะรู้เรื่อง เข้าใจ พระพุทธเจ้าท่านรู้ว่าโกณฑัญญะเข้าใจ ในตอนท้ายจึงได้ตรัสว่า “อัญญาสิ วะตะ โภ โกณฑัญโญ” เวลาตอนท้ายสูตรว่าอย่างนั้น โกณฑัญญะรู้แล้ว พระองค์ตรัสว่าอย่างนั้น เพราะฉะนั้นท่านโกณฑัญญะจึงได้ชื่อว่า “อัญญาโกณฑัญญะ” แปลว่าพระโกณฑัญญะผู้ได้รู้แล้ว แล้วได้ขอบวชเป็นภิกษุในพระพุทธศาสนาเป็นองค์แรก องค์แรกของโลกคือท่าน โกณฑัญญะ หรือ อัญญาโกณฑัญญะ ส่วนอีก ๔ ท่าน ยังไม่รู้ ฟังแล้วยังงง สอนต่อไปอีก ๔ วัน ท่านเหล่านั้นก็เข้าใจ พระองค์สอนทุกวันๆ ก็เกิดความรู้ความเข้าใจ
พอเกิดความรู้ความเข้าใจแล้วก็เรียกมาประชุมเทศน์เรื่องสำคัญที่ ๒ คือเรื่อง “อนัตตลักขณสูตร” สอนเรื่องอนัตตา เรื่องไม่มีตัวตน ให้ท่านเหล่านั้นฟัง โดยขึ้นต้นว่า รูปเป็นอนัตตา วิญญาณเป็นอนัตตา สังขารเป็นอนัตตา วิญญาณเป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สิ่งที่เป็นตัวเป็นตน เรียกว่า อนัตตลักขณสูตร เทศน์แล้วจบ ท่านทั้ง ๕ ก็ได้บรรลุอรหันตปุต …… (27.10 เสียงไม่ชัดเจน) คือมองเห็นว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา ตามปกติญาติโยมทั้งหลายทั่วไป ชาวบ้าน พระด้วย ยังมีตัวมีตน ยังยึดถือในตัวตน รูปเป็นตน เวทนาเป็นตน สัญญาเป็นตน สังขาร วิญญาณเป็นตน แล้วก็มีของตนเข้ามา มีตัว มีของตัว นั่นแหละตัวให้เกิดทุกข์ในชีวิตประจำวัน แต่พระพุทธเจ้าของเราประกาศให้ชาวโลกทั้งหลายทราบว่า ไม่มีตัว ไม่มีอะไรเป็นของตัว เมื่อตัวไม่มีแล้ว ของตัวมันจะมีได้อย่างไร เพราะมีตัวจึงมีของตัวขึ้นมาแล้วเป็นทุกข์เพราะเรื่องนี้ แต่เนื้อแท้ตัวไม่มี ของตัวก็ไม่มีเหมือนกัน มีนักเทศน์บางองค์พูดว่า พระนิพพานเป็นตัว นี่ผิดแล้ว นิพพานเป็นตัวตน แล้วก็เป็นสุข เป็นของเที่ยง ขัดกับหลักพระพุทธศาสนาหมดเลย พระพุทธศาสนาถือว่า “สัพเพ สังขารา อะนิจจา” สังขารทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยง “สัพเพ สังขารา ทุกขา” สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ “สัพเพ ธัมมา อนัตตา” ธรรมทั้งหลายทั้งปวงเป็นอนัตตา นี่บอกชัดว่าเป็นอนัตตา แล้วก็จะไปพูดให้คนฟังวุ่นวายว่ามีตัวมีตนทำไม ที่พูดเช่นนั้นก็เพื่อล่อคนให้มาทำบุญ เพราะมีตัวจะรับ ทำแล้วมีตัวจะได้จะมีจะเป็นไปกันใหญ่ ล่อให้มาทำบุญอย่างนั้นมันไม่ถูกต้อง ความจริงนั้นไม่มีตัว ในพุทธศาสนาเรียกว่า อนัตตา ไม่ใช่ อัตตา เป็นอัตตาก็เรียกว่า “อัตตวาที” ผู้มีปกติกล่าวว่ามีตัวมีตนมีของตน มันก็เป็นทุกข์กันใหญ่ อันนี้ท่านให้ใช้ปัญญาพิจารณาว่า ตัวไม่มี ของตัวก็ไม่มี อะไรๆ ไม่มีตัวทั้งนั้น มันเป็นแต่ผสมกันเข้า ไหลไป ตามอำนาจการปรุงการแต่ง หาเนื้อแท้ไม่ค่อยได้ ไม่มีตัว สิ่งต่างๆ ที่เราใช้อยู่ก็รวมกันเข้า ก็เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา เช่น รถ ก็รวมส่วนต่างๆ ก็กลายเป็นรถ ยี่ห้อนั้นยี่ห้อนี้ สมมติ ถ้าถอดออกหมดรถหายไป ไม่มีรถ พระเจ้าปเสนทิโกศลมีความทุกข์มากเพราะมเหสีอันเป็นที่รักสวรรคต มเหสีของพระเจ้าปเสนชื่อมัลลิกา พระนางมัลลิกาเทวี เป็นมเหสี เป็นพี่เลี้ยง เป็นผู้คอยเตือนพระเจ้าปเสนไม่ให้หลงผิดหลายเรื่องหลายอย่าง เช่นว่า คราวหนึ่งพระเจ้าปเสนจะบูชายันต์เป็นการใหญ่ ช้าง ๑๐๐ ม้า ๑๐๐ คน ๑๐๐ หญิง ชาย ๑๐๐ ๑๐๐ ๑๐๐ บูชายันต์ ขุดหลุมแล้วก็เอาไม้ถ่านมาจุดไฟลุกแดง เตรียมพร้อมที่จะบูชายันต์ เอาสัตว์เหล่านั้นไปอาบน้ำ ทาแป้ง แต่งตัว และจะเอามาฆ่าโยนลงไปในหลุมยันต์ อันนี้ก็เรื่องมันก็ “นั่น จะทำอะไรเพคะ” บอกว่า “ฉันก็จะบูชายันต์สะเดาะเคราะห์ เพราะฉันฝันร้าย โหรเขาทำนายว่าฝันร้ายให้บูชายันต์” บอกว่า “แหม พระองค์นี่ทำไมไปถามคนปัญญาอ่อนอย่างนั้น ทำไมไม่ไปถามพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าอยู่ในวิหารเชตวัน ทำไมไม่ไปถาม” เอ้า เลยไป มเหสีจูงจมูกพระราชาไปแล้ว ไปหาพระพุทธเจ้า ไปถึงพระนางมัลลิกาก็เล่าเอง เล่าเรื่องให้พระพุทธเจ้าฟัง พระพุทธเจ้าก็เลยบอกว่า มันไม่เป็นการถูกต้อง ถามว่าบูชายันต์ทำไม บูชายันต์เพื่อให้ได้สิ่งที่เราต้องการ สิ่งที่ต้องการจะได้ก็เมื่อเพราะเราเสียสละสิ่งที่เรารักใช่หรือไม่ พระเจ้าปเสนบอกว่าใช่ ถ้าอย่างนั้นอะไรเป็นที่รักยิ่งของพระองค์ ชีวิตของพระองค์ใช่ไหมเป็นที่รักยิ่ง แล้วทำไมไม่กระโดดลงกองไฟเพื่อบูชายันต์ล่ะ จะได้บูชาให้มันถึงพริกถึงขิงกันเลย พูดภาษาชาวบ้านว่าอย่างนั้น พระเจ้าปเสนก็รู้สึกตัวเลยกลับวัง สั่งรื้อหมด ไม่ต้องบูชายันต์ มเหสีช่วยให้พระเจ้าแผ่นดินฉลาด คือพระราชามหากษัตริย์คนใหญ่คนโตนั้นสำคัญคนอยู่ใกล้ คนอยู่ใกล้ฉลาดแล้วนำเจ้านายไปในทางถูกทางชอบ ถ้าคนอยู่ใกล้โง่ก็นำไปในทางโง่ทางเข้าใจผิด ฉะนั้นเขาจึงมีปุโรหิตไว้เป็นที่ปรึกษา ปุโรหิตต้องเป็นคนที่มีปัญญา แล้วกล้ากราบทูลในสิ่งที่ถูกต้อง สิ่งใดพระราชาหลงผิดทำผิดต้องห้าม นั่นถูกต้อง แต่ถ้าหากว่าเหมือนขันทีคล้อยตามพระเจ้าแผ่นดิน เลอะเทอะหมด ทำให้เลอะเทอะหมด เพราะว่าขันทีมันกินสินบนทำให้เกิดความเสียหายได้ ต่อมาพระนางมัลลิกาสวรรคต พระเจ้าปเสนก็ไม่เป็นอันกินอันนอน คิดถึง เสียใจ พระพุทธเจ้าทรงทราบก็เลยเสด็จเข้ามาในวัง เวลาเสด็จเข้ามาในวังไม่ขึ้นไปบนปราสาท แต่ไปนั่งที่โรงรถเก่า เหมือนในพิพิธภัณฑ์เรามีราชรถเก่า พระพุทธเจ้าไปนั่งที่โรงรถเก่า พวกอำมาตย์ก็ไปเห็นไปกราบทูลพระเจ้าปเสนทิโกศลว่าพระพุทธเจ้ามาประทับอยู่ที่โรงรถเก่า “อ้าว ทำไมไม่ขึ้นมาที่ปราสาท เดี๋ยวฉันจะไปดูเอง” เลยไป พระเจ้าปเสนก็ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า คือพระพุทธเจ้าท่านไปอยู่ที่โรงรถเก่าเพื่อหาเรื่องพูดธรรมะให้พระเจ้า ปเสนเข้าใจด้วยเรื่องสาธิต เอารถเก่ามาเป็นแบบสาธิตสอนธรรมะ พอพระเจ้าปเสนมาถึงก็ถามว่าทำไมพระองค์ไม่ขึ้นไปบนปราสาท พระองค์บอกว่าที่นี่ดี ร่มเย็นสบาย มา ไปดูรถกันหน่อย แล้วพาพระเจ้าแผ่นดินไปดู รถคันนี้เก่าแก่ สร้างในสมัยไหน สร้างสมัยพระเจ้าปู่ อันนี้สมัยพระเจ้าพ่อ คันนี้สมัยหม่อมฉันสร้างเอง แล้วก็ถามว่า อันนี้อะไร ชี้ไปที่คันรถ อะไร เรียกว่าคันรถ อันนี้ล้อรถ อันนี้ตัวถังรถ อันนี้พื้นรถ อันนี้หลังคารถ ถามหลายเรื่อง ถามเรื่องตัวรถ ถามหมดเลย ถามไปถามมาก็ถามว่า แล้วรถมันอยู่ตรงไหน ถามพระเจ้าแผ่นดินว่ารถมันอยู่ตรงไหน พระเจ้าแผ่นดินก็ฉลาดขึ้นหน่อยแล้ว บอกว่า คำว่ารถนี้เพราะประกอบส่วนต่างๆ เข้าจึงเป็นรถ ถ้าส่วนเหล่านั้นออกรถหายไปไหน รถมันก็ไม่มี ถอดออกหมดมันก็ไม่มี เก้าอี้ที่นั่งนี่ถอดออกหมดเก้าอี้มันก็หมดไป กระเป๋าที่โยมซื้อถอดออกหมดกระเป๋ามันก็ไม่มี เสื้อผ้าที่โยมใช้ถอดออกไปเผาไฟเสื้อผ้ามันก็หมดก็ไม่มี รองเท้าก็ไม่มี กระเป๋าก็ไม่มี อะไรๆ มันก็ไม่มี ที่มันมีก็เพราะว่ารวมกันเข้า พอรวมกันเข้ามันก็เกิดมี ศาลาหลังนี้เกิดขึ้นเพราะรวมวัตถุต่างๆ วัตถุก็มีทราย มีปูน มีเหล็ก มีไม้ เอามาผสมตามแบบสถาปนิก กลายเป็นศาลา เป็นโรงเรียนพุทธธรรม เป็นที่ฟังธรรมของญาติโยม อยู่ไปอยู่มารื้อหมด หายไปแล้ว โรงเรียนพุทธธรรมหายไปแล้ว รื้อกุฏิ กุฏิหายไปแล้ว ร่างกายเรานี้ก็เหมือนกัน ที่มันเป็นร่างอยู่ได้เพราะอะไร เพราะรวมกันเข้าของนามรูป เอา ๒ อย่างก่อน รูปกับนามมารวมกันเข้า เรียกว่านามรูป เราพูดว่า นามะรูปังอนิจจัง นามะรูปังอนัตตา นามคือใจ มีหน้าที่นึกคิดกำหนดจดจำในเรื่องอะไรต่างๆ รูปคือร่างกายทั้งหมด ตั้งแต่ปลายผมถึงปลายเท้า ยาววา วาใครๆ หนาคืบ กว้างศอกนึง มีใจครอง นี่เรียกว่าเป็นชีวิต ชีวิตคือการรวมกันเข้าของนามรูป อันนี้รูปร่างกายที่เป็นรูปอยู่ได้เพราะอะไร เพราะว่ามีส่วนประกอบธาตุ ธาตุมาก ถ้าจะเอาธาตุแล้วมากมาย แต่เอาสำคัญก็ธาตุ ๔ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ธาตุดินก็เป็นของแข็ง ธาตุน้ำก็เป็นของเหลว ธาตุไฟก็คือความร้อน เรียกว่า อุณหภูมิ แล้วก็ธาตุลมคือแก๊ส วาโยธาตุคือแก๊สที่มีในร่างกาย บางคราวแก๊สมาก บางคราวแก๊สน้อย กินอาหารบางอย่างเพิ่มแก๊ส ถ้าสมส่วนร่างกายปกติ ถ้าผิดส่วนร่างกายผิดปกติ หมอโบราณเขาจึงรักษาโรคด้วยการรู้ว่ามันขาดธาตุอะไร เอาวันเดือนปีมาตั้ง เอาอะไรมาคูณตามสูตรที่เขาตั้งไว้ คูณแล้วก็รู้ว่า อ๋อ ขาดธาตุดิน ขาดธาตุอะไร ต้มยาเติมธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม มากิน ดีขึ้น คนอายุมากๆ ควรกินยาเพิ่มธาตุ มีหลายอย่าง ต้มกินแล้วก็ดีขึ้น เป็นการเพิ่มธาตุในร่างกาย เพราะร่างกายเราประกอบด้วยธาตุทั้ง ๔ แล้วก็ธาตุมันมากกว่า ๔ แต่ว่าพระพุทธเจ้าสอนเอาแต่ใจความสำคัญว่าร่างกายนี้ประกอบขึ้นด้วยธาตุทั้ง ๔ มีพ่อแม่เป็นผู้ให้กำเนิด เกิดมาเป็นอยู่ได้ด้วยอาหารคาวหวานที่เรารับประทานเข้าไปทุกวันทุกเวลา ธาตุสำคัญที่หล่อเลี้ยงคือแก๊ส ลมหายใจ ขาดลมหายใจอยู่ไม่ได้ ขาดน้ำก็อยู่ไม่ได้ ขาดอุณหภูมิก็อยู่ไม่ได้ มันต้องรวมกันจึงอยู่ได้เรียบร้อย ร่างกายนี้เป็นอยู่ได้ด้วยธาตุทั้ง ๔ เราเรียกว่ารูปร่าง หรือว่า รูปัง หรือว่า รูป แล้วก็มีนามคือใจ ใจเป็นหน้าที่นึกคิดกำหนดจดจำในเรื่องอะไรต่างๆ แยกออกเป็น ๔ คือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ รวม ๕ กับรูป เรียกว่า ขันธ์ ๕ ถ้าขันธ์ ๕ อยู่เป็นคน ถ้าแยกขันธ์ ๕ ออกหมด คนหายไปแล้ว อันนี้พระท่านสอนให้เราแยกออกเสียบ้าง สมมติว่าใครทำให้เราโกรธ ถามตัวเองว่าโกรธใคร โกรธแม่คนนั้น แล้วแม่คนนั้นมันมีตัวมีตนที่ไหน แยกดูสิ แยกรูปไปทางไว้ แยกนามไปทางไว้ แยกไปกองๆ อ้าว หายไปแล้ว แล้วเราไปโกรธอะไร โกรธธาตุ ๔ เหรอ โกรธรูปเหรอ โกรธเสียง โกรธกลิ่น โกรธรส โกรธสัมผัส โกรธมันทำไม ของเหล่านั้นมันไม่เข้าเรื่อง แต่เพราะมันรวมตัวกันเข้า แล้วก็เกิดกิริยาอาการที่ใจพูดวาจาหยาบคายว่าเรา ไอ้คนที่ว่ามันก็ไม่มี ไอ้คนที่ถูกว่ามันก็ไม่มีเหมือนกัน ต่างคนต่างไม่มีแล้วจะโกรธอะไรกัน เราคิดอย่างนั้นมันก็ได้ปัญญา ไม่โกรธใคร ไม่เกลียดใคร ใครจะว่าอะไรเราก็ไม่โกรธ เพราะเขาไม่ได้ว่าเรา ตัวเราไม่มีให้เขาว่า ไอ้ตัวคนว่ามันก็ไม่มีเหมือนกัน มันเป็นแต่เรื่องสมมติ เกิดขึ้น เป็นไปตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ เรานึกได้ พอนึกได้จิตมันก็หยุด หยุดโกรธ หยุดเกลียด หยุดริษยา หยุดพยาบาทอาฆาตจองเวร เพราะใช้ปัญญาเป็นเครื่องพิจารณา หลักการมันเป็นอย่างนั้น พระพุทธเจ้าจึงนำหลักการแท้จริงคือขันธ์ ๕ คือแยกออกเป็นกอง คนเรามันมักจะถือเอาเป็นก้อน เห็นอะไรแล้วเอามาทั้งก้อนเลย ไม่รู้จักแยก ไม่แยกมันยิ่งไม่ออก แยกเสียบ้าง แยกคนออกเป็นกองรูป กองเวทนา กองสัญญา กองสังขาร กองวิญญาณ หรือแยกร่างกาย ตัดหัวไปซะ ตัดแขนออกไป ตัดขาออกไป มันไม่มีอะไร คนมันไม่มี ตัดออกหมดแล้ว อันนี้เรามันไม่ยอมตัด รวมไว้เลย รวมคน เอารูปมารวมกับใจ แล้วใจคิดปรุงแต่ง ดีบ้าง ชั่วบ้าง คิดดีก็เป็นกุศล คิดไม่ดีก็เป็นอกุศล แล้วก็ออกมาตามปาก ตามฐานของใจ ใจเป็นกุศลพูดดี อ่อนหวาน สมานสามัคคี มีประโยชน์ แต่ถ้าใจเป็นอกุศลพูดคำหยาบ พูดคำให้เขาทะเลาะกัน ให้เขาโกรธเขาเกลียดกัน มันเป็นเรื่องปรุงแต่งทั้งนั้น ไม่มีอะไรเป็นเนื้อแท้จริงจัง คนเราถ้าเข้าใจคิดในแง่ธรรมะ ก็ไม่มีเรื่องโกรธใคร ไม่มีเรื่องเคืองใคร ใครเขาจะมาว่าอะไรเราก็ไม่นึกว่าเขาว่าเรา ไอ้ตัวผู้ว่ามันก็ไม่มี ไอ้ตัวผู้ถูกว่ามันก็ไม่มี ไม่มีทั้งคู่ แล้วจะไปโกรธอะไร โกรธลมโกรธแล้งมันโกรธได้อย่างไร อันนี้คือความไม่เข้าใจ ไม่ได้คิดตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้า ก็ไม่มีเรื่องไม่มีปัญหาไม่ต้องฟ้องร้องกัน ให้อภัยกัน ไม่โกรธไม่โทษไม่อะไรกัน ไม่วุ่นวาย อันนี้คนเรามันน้อยอกน้อยใจบ้าง เสียใจบ้าง เพราะมีตัวนั่นเอง เอาตัวเข้าไปใช้มาก เลยเกิดน้อยอกน้อยใจ หาว่าอย่างนั้นว่าอย่างนี้ เรื่องเหลวไหลทั้งนั้น เรื่องไม่มีสาระ ทำให้เกิดปัญหาขึ้นในสังคมเปล่าๆ แต่ถ้าเราเข้าถึงธรรมะของพระพุทธเจ้า หยิบเอาธรรมะมาเป็นหลักเป็นเครื่องพิจารณา สิ่งเหล่านั้นมันก็เบาไปบางไป สภาพจิตใจก็อยู่ในความสงบเรียบร้อย เพราะฉะนั้นจึงต้องมาฟังบ่อยๆ มาวัดนี่มาฟังธรรม มาศึกษาธรรมะ ไม่ใช่มาเพื่อเรื่องอื่น เรามาศึกษาธรรมะ ศึกษาเพื่อเอาไปใช้ เหมือนเรามารับยาจากหมอเอาไปรับประทาน ถ้ารับยาแล้วเอาไปไว้ข้างเตียง นอนครางโอยๆ อยู่ ไม่กินยา ยามันจะมีประโยชน์อะไร ยาดีเท่าไหร่มันก็ใช้ไม่ได้ มันใช้ได้เมื่อเรารับประทานถูกต้อง ยานั้นก็ไปเกิดอาการขึ้นในท้องให้โรคหายไป ธรรมะก็เหมือนกัน เรารู้เราเข้าใจก็ต้องเอาไปใช้ในเวลามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น เช่นมีอะไรมากระทบ เราก็คิดในแง่ธรรมะ สิ่งใดเกิดขึ้น สิ่งใดตั้งอยู่ สิ่งใดดับไป อย่างไร คิดให้ดีแล้วมันไม่มีอะไรน่าโกรธ ไม่มีอะไรน่ารัก ไม่มีอะไรน่ากลัว ไม่มีอะไรที่เราจะต้องไปริษยาอาฆาตพยาบาทจองเวร เพราะตัวผู้ริษยาก็ไม่มี ตัวผู้ถูกก็ไม่มี ไม่มีทั้งคู่ แล้วจะไปโกรธกันทำไม เกลียดกันทำไม ทุกครั้งที่เราโกรธ เราก็เหมือนลงโทษตัวเอง ทุกครั้งที่เราเป็นทุกข์ก็เหมือนลงโทษตัวเอง คิดให้เป็นทุกข์ เป็นการลงโทษตัวเอง เรื่องมันดับไปแล้ว แต่เรายังไม่ยอมให้มันดับ เอามาครุ่นคิดอยู่ในใจ คิดให้เป็นทุกข์ ให้วุ่นวาย ใจเศร้าหมอง หน้าตาไม่ผ่องใส คิดมากจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ เพราะเรื่องกลุ้มใจ มันเรื่องอะไรที่เอากลุ้มอย่างนั้นเอามาคิดอย่างนั้น ไม่ฉลาด ไม่เข้าใจสิ่งทั้งหลายตามสภาพที่เป็นจริง ก็เกิดปัญหาด้วยประการต่างๆ จึงควรจะรู้จักยึดธรรมะขึ้นมาใช้เป็นเครื่องมือแก้ไขปัญหาทันท่วงที ธรรมะจะเป็นประโยชน์เมื่อเราหยิบมาใช้ทันท่วงที เหมือนยาอยู่ใกล้หยิบยาได้ทันที เช่นคนเป็นโรคหัวใจ เส้นโลหิตตีบตัน เขาให้ยาไว้ระเบิด พออาการไม่ดีหยิบยาใส่ บางทีหยิบไม่ทัน ตายเลย มันเป็นโรคอะไรหยิบไม่ทัน คนมันจะตาย เหมือนพระองค์หนึ่งเป็น ไปไหนก็มียาไปด้วย วันนั้นไม่ได้เอายาไป ไปนั่งรถหน้าวัด ใกล้ๆ นี้ แล้วก็เป็นขึ้นมา สั่งลูกศิษย์ ไปเอายาๆ ไม่ได้บอกว่ายาอยู่ตรงไหน อันนั้นไปเที่ยวหายา พอกลับมา ตายแล้วเรียบร้อย หัวใจวาย ไอ้โรคนี้มันตายง่าย หัวใจวายนี่เป็นง่าย เขาจึงต้องมียาอยู่กับเนื้อกับตัว ใส่กระเป๋า หยิบใส่ปุ๊บ มันแก้ได้ อมเข้าไป แก้ได้ แต่ถึงเวลาจะตาย อมไม่ทัน ไม่ได้เอายาไป ก็ยามันอยู่ในย่ามแขวนอยู่ที่กุฏิ ลูกศิษย์ก็ไปเที่ยวหาไม่เจอยาเสียที มาทางนี้เรียบร้อยแล้ว เป็นอย่างนั้น มันดับง่าย เกิดง่าย ตายง่าย เครื่องในร่างกายของเรามันเป็นสภาพอย่างนั้น จึงควรจะได้พิจารณา มีอะไรเกิดขึ้นต้องถามตัวเองว่า อะไรเกิดขึ้น มันเกิดอย่างไร มันให้อะไรแก่เรา เราควรจะต้อนรับมันในรูปใด รับอย่าให้มันเกิดอะไรขึ้นในชีวิตของเรา ต้องเข้าใจอย่างนั้น สิ่งทั้งหลายก็จะดีขึ้น ไม่เกิดปัญหา ขอให้ญาติโยมเข้าใจอย่างนี้ ตอนนี้ต้องให้เข้าใจไว้ก่อน
อาทิตย์หน้า วันที่ ๙ วันครบรอบ ๕๐ ปี ของการเสวยราชย์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เรามากันพร้อมเพรียง มาทำบุญฉลอง ๕๐ ปี ของการครองราชสมบัติ เพราะว่าพระเจ้าอยู่หัวพระองค์นี้ทรงกระทำหน้าที่เป็นประโยชน์เป็นความสุขแก่ชาวบ้านชาวเมืองเหลือหลาย ไม่มีพระเจ้าแผ่นดินองค์ใดจะเทียบเท่าในการบำเพ็ญประโยชน์แก่ประชาชน เข้าถึงประชาชน ไปนั่งพับเพียบเรียบร้อยต่อหน้าฝูงชน คุยกับชาวบ้าน คนเฒ่าคนแก่ดึงมา ในหลวงไป เอาไปหอม ไปลูบไปคลำ ท่านก็ไม่ว่าอะไร ให้เขาลูบเขาคลำตามสบาย ทรงทำงานเพื่อประโยชน์เพื่อความสุขแก่ประชาชนอย่างแท้จริง เมื่อวันที่ ๓๐ นี่ อาตมาเข้าไปในวัง พระที่นั่งดุสิตาลัย ไปรับโล่ ในฐานะเป็นผู้รณรงค์ไม่ให้คนสูบบุหรี่ มีคนไปรับประมาณเกือบ ๓๐ คน สมเด็จพระเทพฯ ท่านมาถวายให้ อันนี้ไปรับเสร็จแล้วก็กลับมาเรียบร้อย เอามาเก็บไว้ที่กุฏิ เป็นพยานของการทำดี ไม่ใช่เรื่องอะไร อันนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท่านทำแต่เรื่องความดีกับประชาชน วันนั้นไปพบช่างถ่ายรูป เขามาบอกว่า เห็นหลวงพ่อเทศน์หลายหนแล้ว เรื่องรูปในหลวงที่เหงื่อไหลปลายจมูกนี่ ผมเป็นคนถ่ายเอง โอ้...ฉันบอกว่าให้รางวัลคนถ่ายหน่อย ชื่อนายเอกชัย ถือกล้องเรื่อย ทำงานอยู่กับพระเทพฯ แล้วไปถ่ายรูปในหลวงขณะเหงื่อติ้งออกมาที่ปลายจมูกนะ แววนะ เห็นแล้วชอบใจนะรูปนี้ ชอบใจ บอกว่า แหม ใครถ่ายน่าจะให้รางวัล เขาเลยมาบอก กระผมเป็นคนถ่ายเอง แล้วได้รางวัลอะไรมั่ง ได้ความอิ่มใจ ไม่มีใครให้ ได้ความอิ่มใจ รูปนั้นเป็นเครื่องเตือนใจว่า ในหลวงนี้ทรงทำงานหนักจนเหงื่อไหลปลายจมูกแล้ว แล้วเราชาวบ้านชาวเมืองจะขี้เกียจอย่างไร โดยเฉพาะข้าราชการจะขี้เกียจได้อย่างไร ควรเอารูปนั้นไปไว้ที่โต๊ะทำงาน เวลาใดเบื่อหน่ายก็ดูแล้วก็พูดว่าแกดูในหลวงบ้างสิ่ ท่านทำงานจนเหงื่อไหลปลายจมูกแล้ว แกจะขี้เกียจได้อย่างไร จะท้อถอยได้อย่างไร แล้วก็คึกคักขึ้น แล้วก็ทำงานต่อไป เป็นประโยชน์ ในหลวงท่านธรรมะเป็นประโยชน์มาก ครบ ๕๐ ปี ก็เป็นปีพิเศษ กาญจนาภิเษก เขาทำอะไรกันหลายอย่าง แต่ว่ามาพูดทางวิทยุว่าควรจะละเลิกสิ่งชั่วร้ายตั้งแต่วันครบ ๕๐ ปี ของในหลวง เลิกดื่มเหล้า เลิกสูบบุหรี่ เลิกเล่นการพนัน เลิกเที่ยวกลางคืน เลิกคบเพื่อนชั่ว เลิกสุรุ่ยสุร่าย เลิกขี้เกียจทำงานทำการ เพื่อบูชาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะเป็นการถูกต้อง แต่ว่าเราทำอะไรต่ออะไรเยอะ แต่ว่าไม่ได้เลิกความชั่วมันก็ไม่ได้เรื่องอะไร มันต้องบูชาด้วยการปฏิบัติ การปฏิบัติบูชานั่นแหละสำคัญ เวลาพระผู้มีพระภาคเจ้าจะปรินิพพาน คนเอาดอกไม้มากองสูง พระองค์ตรัสกับพระอานนท์ อานนท์เอ้ย การที่เอาดอกไม้มาบูชาอย่างนี้ไม่เรียกว่าบูชาตถาคตอะไร แล้วพระองค์ตรัสว่า ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาใด ประพฤติธรรม สมควรแก่ธรรม ปฏิบัติชอบยิ่ง ปฏิบัติตามธรรมอยู่ นั่นแหละชื่อว่าบูชาสักการะตถาคตด้วยการบูชาสูงสุด บูชาสูงสุดคือบูชาด้วยการปฏิบัติ อันนี้เราเห็นในหลวงท่านทำดีอะไรทำอย่างนั้น ช่วยกันทำ ช่วยกันทำเพื่อประเทศ ทุกคนช่วยกันทำ ไม่ว่านักการเมือง ผู้แทนราษฎร ประชาชนช่วยกันทำความดี เลิกกินเลิกโกงกันเสียที บ้านเมืองมันก็เรียบร้อย มีความก้าวหน้า แต่ถ้าเราทำจุดเทียนถวายพระองค์ท่าน หมื่นเล่ม ล้านเล่ม มันก็อย่างนั้น แต่ก็ทำไปเถอะตามประเพณี ให้คนเห็น แต่ว่าเนื้อแท้มันต้องจุดใจเราให้สว่างด้วยแสงธรรม จึงจะเป็นการถูกต้อง แต่ว่าไม่มีใครค่อยพูดเรื่องอย่างนี้ พูดไปแล้วเมื่อเช้าทางวิทยุ แนะนำว่าควรทำอย่างนั้น วันนี้ก็เอามาพูดย้ำกับญาติโยมอีกหน่อย แสดงมาก็พอสมควรแก่เวลา ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ ต่อนี้ไปก็ขอเชิญญาติโยมนั่งฝึกจิต กำหนดลืมหายใจเข้าออก เป็นเวลา ๕ นาที เชิญได้