แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ขอให้ญาติโยมอยู่ในอาการสงบ ตั้งอกตั้งใจฟังด้วยดี เพื่อให้ได้ประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการฟังตามสมควรแก่เวลา วันนี้เป็นวันอาทิตย์ด้วย ตรงกับวันพระด้วย เป็นวันพระสิ้นเดือน พระสงฆ์องค์เจ้าท่านก็ปลงผมกัน เมื่อวานนี่มันวุ่นวายทั้งวันเลย ไม่ได้สุข (00.33.3) วันนี้ก็มาแสดงธรรมกับญาติโยมทั้งหลาย ในวันพระด้วย ในวันอาทิตย์ด้วย ควบคู่กันไป
พูดถึงเรื่องว่าวันพระ ก็ถือว่าเป็นวันสำคัญของชีวิตชาวพุทธ พระพุทธเจ้าบัญญัติวันพระไว้ สี่วัน คือวันขึ้น ๘ ค่ำกลางเดือน แรม ๘ วันดับ ถือว่าเป็นวันพระ วันพระเป็นวันประเสริฐสำหรับชีวิต เป็นวันที่เราคิดเรื่องดี พูดเรื่องดี ทำเรื่องดี คบคนดีไปสู่ที่ดี เป็นวันที่ควรจะได้พูดเอาสิ่งที่ไม่ดีไม่งามออกจากจิตใจ เพราะในระหว่าง ๗ วันที่ผ่านมานั้น เราอาจจะเผลอเรอทำอะไรหลงไปบ้าง แล้วสิ่งนั้นมันก็ฝังอยู่ในจิตใจ โดยเราไม่รู้ทันไม่รู้เท่า มันก็จับอยู่ในใจพอกพูนอยู่ในใจ ก็จับนานๆ เข้ามันก็กลายเป็นนิสัย เป็นความเคยชิน แล้วก็ทำอย่างนั้นโดยไม่ได้สำนึกว่าเป็นความชั่ว ความบาป ท่านจึงมีวันพระไว้ ๗ วันก็ถึงวันพระครั้งหนึ่ง วันพระเป็นวันที่เราควรจะได้สำรวจตัวเอง พิจารณาตัวเอง ตักเตือนตัวเอง แก้ไขตัวเอง เพื่อจะได้รู้จักตัวเองดีขึ้น รู้ว่าอะไรมันเกิดขึ้นในตัวเรา และสิ่งนั้นเมื่อเกิดขึ้นแล้วมันให้อะไรแก่เรา ให้ความทุกข์ ให้ความสุข ให้ความเจริญ ให้ความเสื่อม ให้ความดี ให้ความชั่ว อะไรเป็นอย่างไร จะได้รู้ได้เข้าใจ และถ้าเห็นว่าอะไรมันบกพร่อง ไม่เหมาะไม่ควร เราก็จะได้ทำการชำระชะล้าง ๗ วันนี่เรียกว่ามาอาบน้ำพระธรรมกันครั้งหนึ่ง เพื่อเอาธรรมะเป็นเครื่องมือ ชำระชะล้างจิตใจของเราให้สะอาดปราศจากเรื่องเศร้าหมองใจ ถ้า ๗ วันไม่ได้ชำระเลย มันก็คอยจับหนาขึ้นไปทุกวันเวลา เหมือนกับสนิมเหล็กที่เกิดในเหล็ก แล้วเราไม่ขูดไม่ขัด เหล็กนั้นก็จะมีสนิมมากขึ้น ผลที่สุดเหล็กมันก็ใช้ไม่ได้ เพราะมีสนิมเกาะจับมากเกินไป ในชีวิตเราแต่ละคนนี่ก็เหมือนกัน มันมากด้วยกิเลส กิเลสก็เป็นสนิมทางใจ ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความริษยา พยาบาท อาฆาต จองเวร มันเกิดอยู่ในใจของเรา และเราก็ไม่รู้ว่ามันไม่ดีอย่างไร ให้ทุกข์ให้โทษอย่างไร เราไม่เข้าใจ หลงผิด นึกว่าสิ่งนั้นเป็นความสุข เป็นความสบายของเรา เราก็เลยเป็นคนเสียไปโดยไม่รู้สึกตัว ท่านจึงให้มาวัดเสียบ้าง วันพระก็มาวัดครั้งหนึ่ง มาก็ได้ฟังคำสอนเป็นเครื่องสะกิดใจ จะได้เอาธรรมะเป็นกระจก ยกขึ้นมาส่องดูด้วยตัวเราเอง จะเห็นตัวเราชัดเจนแจ่มแจ้ง รู้ว่าอะไรผิดก็แก้ไข อะไรถูกก็ทำต่อไป สิ่งใดดีมีประโยชน์ก็ทำ สิ่งใดไม่ดีไม่มีประโยชน์เราก็งดเสีย ไม่กระทำสิ่งนั้น อันนี้แหละช่วยให้ชีวิตเราดีขึ้น ทุกศาสนาก็มีวันพระกันทั้งนั้น แต่อาจจะจัดวันไม่เหมือนกัน ตามความนิยมของท้องถิ่น เช่น ชาวคริสต์เขาก็ถือวันอาทิตย์เป็นวันพระ เพราะเป็นวันหยุดงานหยุดการกัน อิสลามถือวันศุกร์เป็นวันพระ ก็ ๗ วันทั้งนั้น ครบรอบ ๗ วันก็มีวันพระครั้งหนึ่ง ชาวอินเดียสมัยโบราณ ก็ถือเอาวัน ๘ ค่ำ ๑๕ ค่ำ แรม ๘ วันดับ คือถือตามจันทรคติ การเดินของดวงจันทร์ ว่าดวงจันทร์เดินมาเห็นดวงจันทร์ขึ้นมาโดยลำดับ ถึงวัน ๘ ค่ำ พระจันทร์ครึ่งดวง ๑๕ ค่ำพระจันทร์เต็มดวง แล้วก็ข้างแรมก็เว้าแหว่งไปโดยลำดับ จนหมดดวงจันทร์ เรามองไม่เห็น อันนี้เป็นเครื่องนัดหมาย เป็นปฏิทินของคนโบราณ เพราะดวงจันทร์ไม่หายไปไหน ยังอยู่ตลอดเวลา จึงนับว่า ตามแบบเขาเรียกว่าจันทรคติ แต่ในสมัยปัจจุบันนี้ เขาเอาสุริยคติเป็นเกณฑ์ นับตามวันที่ วันที่เท่านั้น เดือนนั้น ครบ ๓๐ วันบ้าง ๓๑ วันบ้าง แล้วก็แบ่งเป็นสัปดาห์ เป็นวันอาทิตย์ จันทร์ อังคาร พุธ พฤหัส ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ เอ้า...เวียนกันไปตลอดเวลา ก็เป็นเครื่องนัดหมายให้เกิดความรู้ความเข้าใจกัน ในด้านศาสนาก็มานัดหมายว่าพอถึงวันขึ้น ๘ ค่ำ วันเพ็ญ แรม ๘ วันดับ เราไปวัดกัน ไปรักษาศีล ไปฟังธรรม ไปเจริญภาวนา ไปศึกษาแนวทางชีวิต เพื่อจะได้เอามาแก้ไขชีวิตของเราให้ดีขึ้น ให้เจริญขึ้นตามสมควรแก่ฐานะต่อไป อันนี้เป็นการกระทำที่ถูกต้องตามหลักการในทางพระพุทธศาสนา เป็นเรื่องที่เรากระทำกันมาตั้งแต่โบราณ เขาถือกันมาอย่างนี้ แล้วก็เป็นการถือที่มีประโยชน์ เราก็ถือตามกันมาและทำตามกันต่อไปชั่วลูกหลานเหลน เป็นระบบอันหนึ่งของชีวิต เรามาวัดในวันพระนี่ก็ต้องมาเพื่อการศึกษา เพื่อการปฏิบัติ ขั้นแรกก็มาศึกษาธรรมะ คือได้ฟังธรรมที่พระท่านสอนให้เราฟังในตอนเช้า และเราก็อยู่วัดปฏิบัติศีล ศีล ๘ ศีล ๘ นี่มันสูงขึ้นไปกว่าศีล ๕
ศีล๕ โดยปกติเราถืออยู่แล้ว คือชาวพุทธเรานั้นต้องอยู่ด้วย ศีล ๕ ก็เรียกว่านิจศีล เป็นศีลที่เราควรถือตลอดเวลา ๕ ข้อ คือไม่ฆ่า ไม่ลัก ไม่ประพฤติผิดในกาม ไม่พูดโกหก ไม่เสพสิ่งเสพติดมึนเมา ศีล๕ ประการนี้เป็นระบบของชีวิต เป็นหลักที่เราเอามาปฏิบัติในชีวิตประจำวัน เพื่อความสุข เพื่อความสงบ ไม่วุ่นวาย ถ้าเรามาคิดดูว่า ศีลข้อ ๑ นี่ เรารับว่าเราจะไม่ฆ่าใคร ไม่ทำร้ายใคร ไม่เบียดเบียนใครในทางร่างกาย เป็นศีลที่บัญญัติขึ้นจากจิตใจของคน เพราะคนเราก็ดี สัตว์ก็ดี มีความคิดประการแรกคือ รักชีวิต รักชีวิตทั้งนั้น สัตว์เดรฉานก็รักชีวิต คนก็รักชีวิต พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า สัตว์ทั้งหลายล้วนกลัวต่อความเจ็บความตาย อันนี้เหมือนกัน เมื่อเป็นเช่นนี้มนุษย์เราก็ควรจะมีระเบียบเพื่อให้ทุกคนอยู่ได้ด้วยความสบาย ไม่มีความหวาดระแวง ไม่มีความกลัวต่อกัน จึงบัญญัติว่า มนุษย์ต้องไม่ฆ่าฟันกัน ไม่เบียดเบียนกันในทางร่างกาย นี่เป็นศีลข้อแรก เพื่อให้อยู่กันด้วยความสงบ ที่ใดมีการเบียดเบียนกันในทางกาย ที่นั่นไม่สงบ กินก็ไม่เป็นสุข นั่ง เดิน ยืน ไม่เป็นสุข นอนก็ไม่เป็นสุข ไปไหนก็ไม่เป็นสุข ต้องหวาดระแวงไปอยู่ตลอดเวลา แต่ถ้าทุกคนอยู่ในศีลข้อ ๑ ก็สบาย นั่งสบาย นอนสบาย กินสบาย ไปไหนก็ไปสบาย ไม่ต้องกลัวอะไร เห็นใครเดินมาเราก็ไม่กลัว ไม่ต้องระแวงสงสัย ว่าคนนั้นจะทำร้ายเรา จะเบียดเบียนเราด้วยประการต่างๆ เพราะทุกคนอยู่ในศีล ศีลเป็นเหตุให้เกิดความสุข ให้เกิดความเจริญในชีวิตประจำวัน เราจึงควรมีศีลข้อนี้ประจำจิตใจเป็นข้อแรก เรื่องเกี่ยวกับชีวิตร่างกาย
ศีลข้อ ๒ เกี่ยวกันทรัพย์สมบัติ เพราะว่าคนเรานี่มันก็ต้องมีอะไรเป็นของตัวบ้าง เพราะว่าเราก็ต้องทำมาหากิน มีพืช มีสัตว์ มีต้นไม้ มีสัตว์เลี้ยง มีเงิน มีทอง มีข้าวของต่างๆ เป็นของเราตามกฎเกณฑ์ธรรมชาติ เขาเรียกว่ากรรมสิทธิ กรรมสิทธิแปลว่ามีสิทธิตามกรรม ความเป็นเจ้าของที่เกิดจากการกระทำ เช่นเราทำนาได้ข้าว ทำไร่ได้ข้าวโพดได้ผัก ได้ฟักแฝงแตงข้าว สิ่งเหล่านั้นเป็นของเรา เป็นกรรมสิทธิของเรา ถ้าใครมาข่มเหง แย่งชิงของเรา เราก็ไม่พอใจ มีความโกรธ มีความเกลียด แล้วก็จะเป็นเหตุให้รบราฆ่าฟันกัน สร้างปัญหา พระพุทธเจ้าท่านเห็นว่า มนุษย์จะอยู่ไม่เป็นสุขถ้ามีการเบียดเบียนกันในทางทรัพย์สมบัติ จึงสอนให้เคารพในกรรมสิทธิของกันและกัน ของใครก็ของใคร อย่าเอาไปเป็นของตัวด้วยวิธีฉ้อฉล ด้วยวิธีลักขโมยหรืออะไรต่างๆ เป็นการสร้างความทุกข์ความเดือดร้อนในสังคม ความทุกข์ที่เกิดจากการล่วงเกินกันในทรัพย์สมบัตินี่มีมากมาย ขึ้นโรงขึ้นศาล เสียเงินเสียทองกันอย่างมากมาย ด้วยประการต่างๆ เพราะไม่มีระเบียบ เขาจึงมีระเบียบกำกับศีล ว่าคนนั้นถือกรรมสิทธิที่ดินตรงนั้น ถือเฉยๆ ก็ไม่ได้ต้องมีโฉนดไว้สำหรับครอบครอง กั้นรั้วกั้นเขตไว้ว่าเป็นของผู้นั้น ใครจะเข้าไปในที่นั้นต้องขออนุญาติ มีผลไม้จะไปเก็บเอามากินตามชอบใจก็ไม่ได้ มีอะไรเกิดขึ้นจะเข้าไปเอาก็ไม่ได้ ทรัพย์สมบัติที่เขาทำมาหาได้ ทุกคนก็หวงแหน สัตว์เดรฉานมันก็หวงแหน เราเอาข้าวไปให้มันกิน ถ้าใครไปเอาจานข้าวออก มันก็กัดให้เท่านั้นเอง มันหวงแหนของที่มันได้ไว้ ยึดถือเป็นกรรมสิทธิ อันนี้เป็นสัญชาติญาณ เป็นพื้นฐานจิตใจของคนทั่วไป ในเรื่องอย่างนี้ เราจึงต้องเคารพกรรมสิทธิของกันและกัน เราจึงต้องถามตัวเราว่าเรามีสิ่งนี้ ถ้าใครมาเอาของเราไป เราชอบใจหรือไม่ เราก็ไม่ชอบใจ แล้วถ้าเราไปเอาของคนอื่นล่ะ คนอื่นเขาก็ไม่ชอบใจเหมือนกัน เอาตัวเราเป็นข้อเปรียบเทียบ เขาเรียกว่าอุปมาเปรียบเทียบ แล้วก็ไม่ไปเอาของใคร เพราะคนอื่นจิตใจเหมือนเรา หวงแหนเหมือนเรา เราก็ไม่ไปเอาของใครมาเป็นของตัว ตั้งหน้าทำมาหากิน คนถ้ารักษาศีลข้อ ๒ นี่มักเจริญ มันเจริญเพราะอะไร เพราะว่าเราทำมาหากิน เราทำตามหน้าที่ ชาวนาทำนา ชาวสวนทำสวน พ่อค้าค้าขาย ข้าราชการก็ทำราชการ ทำไปตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย รักหน้าที่ขยันเอาใจใส่ คิดค้นไปในหน้าที่ก็ได้ทรัพย์สมบัติมา ก็ได้เงินเป็นเครื่องตอบแทน สมัยก่อนยังไม่มีเงิน ก็ให้วัตถุกัน เช่นว่ามาทำงานนี่เอาข้าวไป เอาผลไม้ไป เอานั้นเอานี่ไปเป็นวัตถุ ไม่เป็นราคา แต่ให้ไปกินไปใช้ ต่อมามันลำบาก ลำบากในเรื่องการแลกเปลี่ยน ก็เลยจัดสมมติตัววัตถุขึ้น เรียกว่าเป็นเงิน เป็นแร่โลหะเอามาทำเป็นรูปต่างๆ ตีราคาไว้ อันนี้ราคา ๑ บาท อันนี้ ๕๐ สตางค์ สลึงหนึ่ง ซื้อข้าวซื้อของก็ตีราคากันเป็นเงินเป็นทอง ใครมีเงินมีทองก็ถือว่าเป็นของตัว ใครจะมาแย่งเอาไปก็ไม่ได้ เพราะว่าเขารักของเขา คนเราควรจะคิดไม่ควรจะไปเอาของใคร แต่คนที่มันไม่คิดมันก็ลักขโมยกันเรื่อยไป ลักทรัพย์สมบัติ ลักเงินลักทอง ลักเสื้อลักผ้า ลักรถจักรยาน ลักรถยนต์ ลักทุกอย่าง อย่างที่คนมีโอกาสมันก็ลัก ตำรวจจับได้เอาไปลงโทษ ขังไว้ ถ้าไม่เข้าใจก็รีบออกมาไปลักต่อไป ไม่รู้จักเข็ดไม่รู้จักหลาบ เป็นผู้ร้ายโดยสันดาน ชีวิตคนเหล่านั้นก็ไม่เจริญอะไร เคยถามนักโทษในเรือนจำ ว่าเราไปเที่ยวปล้นเขานี่ได้เงินครั้งละเท่าไร มากบ้างน้อยบ้าง อย่างมากได้เท่าไร ได้แสนสอง แสนนึงก็มี ได้เงินได้ทองอีก ได้วัตถุอื่นอีก ได้มา แล้วเอาไปไหนเงินนั้น เอาไปฝากธนาคารไว้บ้างไหม ไม่มี เอาไปซื้อนาไว้บ้างไหม ไม่มี เอาไปสร้างกิจการที่มันเจริญแกตัว ไม่มี แล้วเอาไปทำอะไร ก็เอาไปเล่นการพนัน เอาไปเที่ยวเอาไปสนุกอะไรต่างๆ ตามประสาของคนที่เป็นอัตพาน ไม่มีเงินเหลือเลย เวลาถูกจับมาพ่อแม่เดือดร้อนลูกถูกจับก็ต้องไปวิ่งเต้น รับประกันบ้าง หาทนายมาสู้ความกันบ้าง จะทำอย่างไร ก็ขายนา ขายสวน ขายบ้านเพื่อเอาไปช่วยลูกชายที่ทำชั่วให้พ้นจากความชั่ว แต่มันก็ไม่พ้น ผลที่สุดก็ทรัพย์สมบัติหมด ลูกก็ติดคุกด้วย คราวหนึ่งได้พบคนๆ หนึ่ง มาจากอำเภอระโนด จังหวัดสงขลา ถามว่าโยมมาทำอะไร เฮ้อ...มาวิ่งเต้นช่วยลูกชาย ช่วยอย่างไร ช่วยให้คนเขาวิ่งเต้นไปพบผู้พิพากษาจะได้ลดหย่อนผ่อนโทษให้หน่อย เลยถามว่าลูกชายของโยมทำผิดอะไร เขาหาว่าฆ่าคน ถามจริงๆ เถอะมันฆ่าจริงหรือเปล่า แกก็บอกว่ามันฆ่าจริงๆ ฆ่าเวลาไหน ฆ่ากลางวัน ตอนเย็นเวลาประมาณ ๔ โมง ไปเกี่ยวข้าว แล้วก็เดินกลับมาก็ไปฆ่าเขา คนเห็นเยอะแยะ คนในทุ่งเห็นกันทั้งนั้นว่าไปฆ่าคนๆ นั้น แล้วโยมจะไปสู้ทำไม ไปต่อสู้คดีทำไม สู้มันก็ไม่หลุดก็ฆ่าเขาจริง ทนายมันบอกว่ามีทางสู้ ทนายคนไหนๆ ก็พูดได้ทั้งนั้นแหละ เพราะมันจะเอาเงินโยม ทีนี้โยมจะเอาเงินที่ไหนให้ล่ะ ก็ขายนา จำนำนาไว้ แล้วพอผลสุดท้ายลูกติดคุก นาก็พลอยติดคุกไปด้วย พ่อก็ติดคุกไปด้วยเหมือนกัน แต่พ่อติดคุกที่ไม่ได้อยู่ในคุก ติดคุกที่บ้าน ก็นั่งกลุ้มใจ นอนกลุ้มใจ นั่นแหละกลุ้มใจแล้วที่ลูกทำให้ติดนี่ คือความไม่รู้ไม่เข้าใจ ไม่ให้สารภาพ สารภาพนี่มันก็ลดน้อยหน่อย แต่ทนายนี่แหละสำคัญ ทนายบอกว่าเรื่องนี้สู้ได้มีทาง ทำไมทนายจึงบอก ก็เพราะทนายจะเอาเงินจากจำเลย ถ้าบอกว่าสู้ไม่ได้แล้วจะได้เงินอย่างไร เป็นทนายมันก็ต้องหากินอย่างนั้นเป็นเรื่องธรรมดาของเขา ก็ไม่ว่าอะไรนะ แต่ว่าเจ้าตัวคือพ่อน่ะ ควรจะบอกลูกว่าเมื่อฆ่าเขาจริงก็ไปรับซะ ติดคุกตามสมควรแก่เวลาสนองกรรมที่เราทำไว้ ไม่ได้ทำอย่างนั้นไง เสียหาย เพราะผิดศีลข้อ ๑ เพราะผิดศีลข้อ ๒ เลยลำบาก
ส่วนศีลข้อ ๓ นั้นก็เป็นศีลสำคัญ เพราะว่าคนเรานี่มันมีคู่ครอง ผู้ชายมีภรรยา ผู้หญิงก็มีสามี ภรรยากับสามีนี่เขารักกันชอบกัน หวงแหนกันและกัน ไม่อยากให้ใครมาล่วงเกิน สัตว์เดรฉานก็เหมือนกัน สุนัขตัวเมียตัวผู้อยู่ในวัดฤดูนี้มันน่ารำคาญ มันเห่ามันหอนเพราะเป็นฤดูที่มันสัดกัน มันก็ตะโกนกู่ร้องเรียก กลางวันมันนอนเงียบเลยไม่ยุ่ง เหนื่อยต้องนอน กลางคืนก็เอาละถึงเช้าเลย ถ้ามันได้ตัวไหนเป็นคู่ครองมัน ตัวอื่นมันเข้ามาใกล้ มันก็จะต้องกัดกัน กัดกันเลย กัดกันเจ็บๆ ซะด้วยนะ ธรรมชาติของสัตว์รักคู่ครอง ไม่อยากให้ใครล่วงเกิน คนเรานี่ก็รักคู่ครอง จะสวยไม่สวย ก็เป็นของที่รักแล้ว ชอบแล้ว อยู่กินกัน ถ้าใครมาล่วงล้ำก้ำเกิน เพียงแต่มาเกี้ยวพาราสีนี่ก็ไม่ชอบ เพียงแต่นั่งดูตาเป็นมันเขาก็โกรธแล้ว มาดูทำไมอย่างนั้นเดี๋ยวก็ได้ต่อยกันซะเท่านั้นเอง นี่นะเรื่องคู่ครอง ก็หวงแหน อันนี้ถ้าเราจะอยู่ให้สบาย ก็อย่าไปยุ่ง ของใครๆ เขาจัดคู่ไว้ให้แล้ว เป็นคู่ๆ ไม่ขาดไม่เกิน มีคู่แล้วเราก็พอใจในคู่ครองของเรา อย่าไปเห็นคนอื่นดีกว่า อันนี้เป็นเรื่องของศีลข้อ ๓ เรียกว่าไม่ประพฤติผิดกามารมณ์ เรื่องไม่ประพฤติผิดกามารมณ์นี้ไม่ใช่เพียงแต่ว่า ไม่ประพฤติผิดในลูกเมียเขา ลูกเขาก็ไม่ได้ เมียเขาก็ไม่ได้ ผู้หญิงประพฤติพรมจรรย์ก็ไม่ได้ เช่นพวกแม่ชี เป็นนักบวช เราไปล่วงเกินมันก็ผิดศีลเหมือนกัน เกิดทุกข์เกิดโทษเหมือนกัน เป็นความเสียหาย แต่นี้มีอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญ คือคนในสมัยปัจจุบันนี้สนุกมากเกินไป เพลิดเพลินมากเกินไป สิ่งยั่วยุให้เกิดราคะ ความกำหนัดมีมาก มีมากเกินไป เที่ยวไปสนุก ไปกินอาหารก็ฟังเพลงด้วย ไปกินกาแฟก็ฟังเพลงด้วย แล้วเพลงแต่ละเพลงนั้นเป็นเพลงยั่วอารมณ์ สร้างกิเลสให้เกิดขึ้นในจิตใจ ไม่ได้เป็นเพลงที่สอนให้รู้ความจริงของชีวิต ไม่ได้สอนเรื่องความดับทุกข์ อะไรต่ออะไรอย่างนั้น ฟังแล้วมันก็เพลินไป หลงไปในเสียงเพลง อย่างนี้ก็เกิดปัญหา แล้วก็ชวนกันไปเที่ยวไปเตร่ เขาก็ทำที่ไว้ให้ สำหรับคนที่มีตัณหาเกิดขึ้นก็มาได้ มาที่เหล่านี้ทำไว้ให้เรียบร้อย เราเรียกว่าโรงแรมม่านรูด ก็เข้าไปอยู่ในนั้น เอารถไปซ่อนไม่ให้ใครเห็น มีม่านปิด แล้วมีที่เข้าไปนอนสมสู่กัน เป็นการผิดในทางศีลข้อ ๓ คนทำผิดศีลข้อ ๓ ในปัจจุบันนี้มีบทลงโทษแรงมาก ลงโทษแรงมาก สมัยก่อนก็มีบทลงโทษ แต่มันเบาหน่อย ยังพอรักษาได้ เยียวยาได้ เช่นเป็นโรคหนองใน โรค (22.49) โรคออกดอก โรคแผลริมอ่อนริมแข็งอะไรนั่น ยังพอรักษา ไม่ถึงกับยื่นคำขาดว่าตายแน่ๆ แต่เดี๋ยวนี้มีโรคร้ายที่สุดเกิดขึ้นในรูป คือโรคเอดส์ โรคเอดส์ คือโรคภูมิคุ้นกันบกพร่อง คือโรคนี้มันเป็นเชื้อไวรัสเล็กๆ มาก มันติดเข้าไปเพราะไปสมสู่กัน เขาเรียกว่าทางเพศสัมพันธ์ มีเพศสัมพันธ์ก็ติดเข้าไปในร่างกาย เข้าไปในเส้นเลือด เลือดของคนที่เป็นโรคเอดส์นี้ ถ้าไปถูกใครเข้ามันก็ได้โรคเอดส์ เช่นว่ามีดโกนหัว เราเกิดปลงผมมีดมันไปปลงผมพระองค์หนึ่งแกเป็นโรคเอดส์มาก่อนบวช แล้วมาบวชเข้ามีดบาดหัวพระองค์นั้น แล้วเอามีดนั้นมาโกนหัวพระองค์อื่น เชื้อโรคติดมาได้ (23.55) หรือว่าเข็มฉีดยา ไอ้พวกขี้ยาชอบเอาเข็มฉีดยาซ้ำๆ กัน ฉีดคนนี้เอามาฉีดคนนี้ เดี๋ยวนี้ตามโรงพยาบาลเขาใช้เข็มเล่มเดียว อันเดียวฉีดคนเดียวแล้วทิ้งเลย เขาไม่ฉีดแล้ว กลัวเชื้อโรคมันจะติดกัน เขาไม่ฉีดแปลว่า สมัยก่อนมักง่าย เช่นแจกวัคซีนนี่ฉีดกันโรคอหิวาฯ นี่ แทงแขนคนนั้นแทงแขนคนนี้ เดี๋ยวนี้ไม่ได้ เพราะมีเชื้อโรคที่จะติดไปกับเข็มได้ แล้วเอาไปฉีดคนอื่นก็ไปติดคนอื่นต่อไป ติดกันทางเข็มฉีดยาก็ได้ ตามบาดแผลที่มีเลือดเข้ามาผลมโรงก็ได้เหมือนกัน ทำให้เกิดความเจ็บไข้ได้ป่วยกันได้ แล้วก็เป็นโรคเอดส์แล้วไม่มียารักษา ธรรมชาติส่งโรคมาให้แต่ไม่ได้บอกยา ความจริงยามีแต่คนไม่รู้ ยังค้นไม่พบเพราะว่าสิ่งทั้งหลายในโลกมันมียาแก้กันทั้งนั้นแหละ ไม่ว่าเป็นอะไรก็มียาแก้ มีพิษก็มีข้อแก้พิษ แก้กันได้ เช่นพวกอยู่ทะเลนี่ไปถูกตัวกระพรุนตัวกระพรุนไฟ พอถูกแล้วมันปวดแสบปวดร้อนนะ ยามันก็มีอยู่ที่หาดทราย ชายทะเล คือผักบุ้ง ผักบุ้งใบใหญ่ๆ ไม่ใช่ผักบุ้งที่เรามากินกับน้ำพริก ผักบุ้งชนิดนั้นมียางสีขาว ยางสีขาวนั่นแหละเอามาทา คนถูกแมงกระพรุน แล้วก็ไม่แสบไม่ปวดหายเลย มันมียาคู่กัน อยู่ในใต้ทะเลด้วย เราว่าโรคมันเกิดจากตัวกระพรุนในทะเล ยามันก็อยู่ตรงนั้น แต่ไม่รู้ ไม่รู้ก็รักษาไม่ได้ ที่รู้ก็เพราะว่า คนๆ หนึ่ง มันถูกแมงกระพรุนแล้วมันเจ็บปวดมาก มันไปกลิ้งในป่าผักบุ้ง กลิ้งไปกลิ้งมาผักบุ้งมันก็ขาด ยางมันก็ออกมาถูกแผลก็เลยหายเจ็บ จึงได้รู้ อ้อนี่เป็นยาแก้แมงกระพรุนได้ หลวงวิจิตรวาทการ แกพาลูกไปเที่ยวพิชสุรี (26.11) แกขึ้นบนภูเขา ไปที่เชิงเขาหิมาลัย ภูเขาสูง อันนี้ลูกแกเดินไปที่ริมถนน ไปถูกต้นไม้ชนิดหนึ่ง บ้านเราเขาเรียกว่ารังตังช้าง มันมีพิษ อันนี้พอถูกพิษก็คันทันที ปวดแสบปวดร้อน พอไปถูกนั้นเข้า คนขับรถก็บอกไม่เป็นไรๆ เดี๋ยวยามีแถวนี้แหละ แล้วมันไปถอนต้นไม้จากนั้นเอามา เอาหินทุบๆๆ โปะปุ๊บหายเลย พิษที่เป็นหายเลย ธรรมชาติเป็นยา ต้นหมากต้นไม้ทั้งหลายก็เป็นยาทั้งนั้น แต่เราไม่รู้เพราะไม่ได้ศึกษาเรื่องยาให้มันกว้างขวาง จึงไม่สามารถจะเอามาแก้อะไรได้ คนโบราณเขาเรียนรู้เรื่องอย่างนี้ เป็นอะไรเขามาเจ็บนั่นมา เช่นมีดบาด เขาก็เอาใบ ใบเฉียงคราด ใบเฉียงคราดแหลมๆ มาถึงก็ตำเข้า แล้วก็เอาปูน เอาใส่นิดหน่อยวางโปะ แผลหาย หรือบางทีก็ง่ายๆ เอาใยแมงมุม แต่ใยแมงมุมนี่ไม่น่าไว้ใจ มันสกปรกด้วยขี้ฝุ่น แต่ฝุ่นสมัยก่อนมันไม่สกปรกเท่าไร ไม่มี (27.37) เขาก็เอาใยแมงมุมมาพันๆ เลือดหยุดหาย ยาง่ายๆ เขาทำกันอยู่ ใบไม้ใบหญ้าเป็นยาทั้งนั้น สุนัขเวลามันไม่สบายมันกินยา ยาก็คือใบหญ้ายาวๆ ใบหญ้าคา ต้นตะไคร้ กัดกินเข้าไป พอกินเข้าไปมันก็บาดคอมันก็อาเจียน อาเจียนเอาไอ้อาหารที่กินผิดออกมาด้วย มันหายโรค หมามันไม่มีใครสอน ว่ามึงไม่สบายก็ไปกินอย่างนั้น หญ้านี่ แต่มันกินกันมา สืบต่อกันมาตามสายเลือด ก็เอาแก้ได้อย่างนั้น แต่โรคเอดส์นี้ยังไม่มียา เป็นแล้วตาย เวลานี้คนไทยติดโรคเอดส์ประมาณล้านคนแล้ว รวดเร็วมาก ล้านคน โรคเอดส์นี่มาจากไหน มาจากลิงป่า พวงลิงมันเป็นโรคนี้ ทีนี้ฝรั่งมันไปเที่ยวฝาง ฝรั่งนี่มันอุตริหนักหนา ชอบทำอะไรแปลกๆ มันก็เห็นลิงตัวโตๆ ลิงใหญ่อุลังอุตังนะ ฝรั่งมันเห็นลิงใหญ่ มันเลยไปสมสู่กับลิง ลิงที่ไม่เคยรู้กันมา ไปสมสู่กับลิง แล้วได้โรคมา ได้โรคเอดส์มา พอได้แล้วเอามาเผยแพร่ในเมือง คือมาสำส่อนทางเพศ โรคมันก็ติดไป ติดรวดเร็ว ไปทั่วโลกเลยเวลานี้โรคเอส์เป็นทั่วโลก เป็นเอดส์นี่เกิดปัญหา ถ้าเรากลัวโรคเอดส์ถือศีลข้อ ๓ กาเมสุมิจฉาจารา เวระมะณีฯ นี่แหละ ถือศีลข้อ ๓ ให้เคร่งครัด เราไม่เป็นโรคเอดส์ แล้วก็ถืออีกอย่างหนึ่ง พระพุทธเจ้าสอนไว้ว่าไม่เที่ยวกลางคืน การเที่ยวกลางคืนนั้นเป็นอบายมุข เป็นปราการแห่งความเสื่อม อบายมุขมี ๖ อย่าง สิ่งเสพติด เล่นการพนัน คบเพื่อนชั่ว เที่ยวกลางคืน ใช้จ่ายทรัพย์สุรุ่ยสุ่ร่าย ขี้เกียจทำงาน นี่ ๖ อย่างนี้ทางเสื่อม ในการเสื่อม ๖ อย่างนั้นมีเรื่องเที่ยวกลางคืนอยู่ด้วย เที่ยวกลางคืนนี่มันไม่ดี พระท่านชี้โทษไว้ว่า เที่ยวกลางคืนไม่รักษาตัว ไม่รักษาทรัพย์ ไม่รักษาครอบครัว มักถูกใส่ความ มักถูกทำร้าย เป็นที่หวาดระแวงของคนทั้งหลาย เพราะเห็นไปเที่ยวกลางคืนเขาหวาดระแวง แล้วก็ผลสุดท้ายมักจะถูกตำรวจจับ เอาไปนอนในกรง เหมือนกับหมีอยู่ในกรง อยู่คนเดียว พวกเที่ยวกลางคืนนี่ เราชาวพุทธ ไม่ควรไปเที่ยวกลางคืน เพราะการเที่ยวกลางคืนนั้นเป็นเหตุให้ผิดศีลข้อที่ ๓ ได้ง่าย โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ๆ เช่น กรุงเทพฯ เชียงใหม่ หาดใหญ่ เมืองใหญ่นี่มัน มันวุ่นวายมาก ส่งเสริมเรื่องชั่วมาก เรื่องเที่ยวกลางคืน เด็กหนุ่มเด็กสาวไปเที่ยวเสียผู้เสียคน คนแก่ไปก็เสียผู้เสียคนเหมือนกัน ไปเที่ยวกลางคืนน่ะเสียหาย โจรมันเยอะ พ่อบ้านอยู่มันก็เกรงใจหน่อย ถ้าอยู่แต่แม่บ้านมันก็ไม่เกรงใจ มันขึ้นไปเที่ยวเลย ไม่มีคนรักษา พ่อบ้านจึงต้องอยู่บ้านไม่ไปไหน ไม่ออกไปเที่ยว ปิดประตูบ้านให้เรียบร้อย หาความสบายที่บ้าน ดูโทรทัศน์ ฟังวิทยุ พอสมควรเวลาไหว้พระ สวดมนต์ แล้วก็หลับนอนตามปกติ ตื่นแต่เช้า กระปรี้กระเปร่ามีกำลังไปทำงานต่อไป ถ้าไปเที่ยวกลางคืนมาก ก็อ่อนเพลีย ตื่นเช้าไปทำงานก็โผเผ ไม่มีแรง ทำงานผิดพลาดเสียหาย ถูกออกจากงาน เพราะเที่ยวกลางคืน คราวหนึ่งมีผู้หญิงคนหนึ่งมานั่งร้องอยู่ข้างเมรุนี่ นั่งร้องอยู่ใต้ต้นไม้ กลางวันนะ หลวงพ่อเดินไปเห็นว่าร้องอยู่ก็ถามว่า อ้าว...หนู ทำไมนั่งร้องไห้ล่ะ คิดถึงสามีค่ะ อ้าวแล้วสามีไปไหนเสียล่ะ ตายแล้ว โอ้สามีตาย ทำไมถึงได้ตายล่ะ เขายิงตัวตาย อ้าวทำไมต้องยิง ไม่ยิงมันก็ตายอยู่แล้ว ทำไมถึงไปยิงตัวตาย เพราะว่าบ้านเขาอยู่โน่น ฝั่งแม่น้ำ คราวนี้ผัวล่ะไปทำงาน กรุงเทพฯ กลับดึกๆ เที่ยว เลิกงานแล้วก็ไปเที่ยวกับเพื่อนกับฝูง กินเหล้าเมายา กลับมาก็เอากลิ่นเหล้าติดตัวมาให้เมียหอมทุกที แล้วเมียก็บ่นว่า วันนั้นกลับถึงตี ๒ เที่ยวเพลิน ตี ๒ กลับบ้าน เมียก็นั่งคอยจนตี ๒ ไม่ได้หลับไม่ได้นอน ทำไมถึงต้องคอยเขา ก็เป็นห่วงกลัวว่าสิบล้อมันจะชนผัวชั้น จะถูกทำร้าย กลัวจะตกน้ำตายเพราะขับเร็ว มันก็เป็นห่วงเป็นกังวลนั่งเฝ้า พอผัวมาก็ต่อว่าต่อขาน ต่อว่าต่อขานก็ผัวรำคาญ ก็ต่อว่าบ่อยๆ เข้าไปในห้องมีปืนไว้ใช้ไม่เป็น เอาปืนโป้งเข้า เท่ากับยิงตัวตาย เลยก็เมียมานั่งร้องไห้ ก็ไม่ ไม่ต้องร้อง ตายสักทีก็ดีแล้ว ไอ้ผัวจัญไรอย่างนั้นอย่าไปคิดถึงมันเลย มันไม่ได้เรื่อง พอพูดอย่างนั้นแกเปลี่ยนอารมณ์ไปเลย จะเลิกคิดถึง ทำไมผัวไม่ดี ช่วยยาก เป็นอย่างนั้นบ่อยๆ เพราะไปเที่ยวกลางคืน ไปสนุกนอกบ้าน มันไม่ถูกต้อง คนโบราณเขาถือ เขาไม่ไปไหนกลางคืน แต่เดี๋ยวนี้ ไอ้สถานที่ท่องเที่ยวยามกลางคืนมันมาก โรงหนัง โรงบาร์ พวกไนท์คลับ สถานเริงรมณ์ต่างๆ มีเยอะแยะ มีเกือบทุกถนนก็ว่าได้ มีแสงวอบๆ แวมๆ ด้านในร้านก็ไฟสลัวๆ กินเบียร์ คนนำเบียร์มาให้ก็เป็นผู้หญิง แต่งตัวนุ่งน้อยห่มน้อย ยั่วกิเลส เรียกว่าหิ้วได้ ก็กินเบียร์กันแล้วก็หิ้วไปไหนก็ได้ เขาเรียกว่าหิ้วไปได้ ความจริงไม่ได้หิ้วนะ เดินคลอกันไป ไปไหนอะ ไปโรงแรมม่านรูดนั่นแหละ ไปหาที่เปลี่ยว แล้วต่อมาก็ได้รับรางวัลอันยิ่งใหญ่ คือเป็นเอดส์ แล้วก็ออกมาเป็นแผล พวกเป็นเอดส์นี่เป็นแผล เป็นแผลทั้งตัว แผลเน่า แผลน่ากลัว คนไม่กล้าจับต้อง ไปจับก็เชื้อโรคมันติดอีก ต้องใส่ถุงมือจับต้อง คนจึงไม่เข้าใกล้ เป็นโรคที่คนรังเกียจ ยาก...เป็นโรคนี้ น่ารังเกียจ พ่อแม่ก็รังเกียจ เอาไปไหน เอาไปโน่น วัด เขาเรียกวัดพระบาทน้ำพุ ที่ลพบุรีโน่น พระท่านสร้างวัดก็สร้างหลุมยาวๆ ให้คนพวกนี้ไปนอน นอนรอความตาย ไม่ใช่รักษาอะไร ไม่มีหยูกมียา นอนรอไป พระพูดธรรมะให้ฟังบ้าง ท่านจะได้ไปเกิดเป็นมนุษย์ที่ดีกว่าหน่อย แล้วใครเป็นโรคนี้ก็ยาก (35.51) ก็พื้นที่คับไป แล้วก็ลงแล้วก็ไปนอนอยู่ใต้ต้นโพธิ นอนไปเลย เหมือนกับเอาหมามาที่วัดนะ หมาขี้เรื้อนมาทิ้งที่วัด มาถึงหน้าวัดก็มึงลงไป ทิ้งไว้ สร้างความรำคาญให้แกพระในวัดต่อไป เที่ยววิ่งเพ่นพ่าน คนจัญไรเอามาทิ้งทั้งนั้นแหละ ไม่ใช่อะไร จัญไรนี่คือความชั่วนั่นเอง ไม่ใช่เรื่องอะไร เขาเรียกจัญไรคือความชั่ว คำบาลีคำว่าอิติแปลว่าจัญไร เวลาพระให้พรว่า (36.30) สัพพีติโย อวจัญโร จงงดเว้นสิ่งที่เป็นจัญไรด้วยประการทั้งปวง ท่านว่าอย่างนั้น อิตินั่นคือตัวจัญไร คนจัญไรก็คือคนที่อิตินะ คนจัญไร ชอบทำสิ่งที่ให้คนอื่นเดือนร้อน เอาหมามาทิ้งวัดอะไรอย่างนี้ เรียกว่าไม่เข้าเรื่อง แมวไม่ค่อยมีเอาแต่หมามา แล้วก็คนเป็นโรคเอดส์ก็เอาไปทิ้ง (36.56) พระเห็นเข้าก็ช่วยกัน ยกไปไว้ในห้องให้รอ นอนรอ รอตาย วันหนึ่งตาย ๓ คน ๔ คน เผา เตาจะแตกแล้ว ต้องสั่งเตาพิเศษจากประเทศอเมริกา เผา ๔๐ นาทีเป็นขี้เถ้าเลย ความร้อนสูงเตานั้น ก็อยากจะสั่งมาตั้งที่วัดชลประทานฯ เหมือนกัน ที่ดินใหม่ ที่ๆ กำลังถมอยู่ อยากจะทำเมรุใหม่ เอาเตาแบบนั้นมาทำ เผาได้ไวหน่อย แต่ว่าค่ามันแพง ไม่เป็นไร แพงก็ใช้หนีบ (37.37) เอาราคาตั้ง ๕ ล้าน เอามาใช้สะดวก สะอาดด้วย ไม่มีควันไม่มีอะไร เป็นขี้เถ้าเลย เผาเป็นขี้เถ้าผงๆ ไม่ต้องเก็บกระดูกเอาไปทิ้งแม่น้ำอะไรเลย เป็นอย่างนั้น นี่ไอ้โรคนี้สำคัญ ผิดศีลข้อ ๓ จะเป็นโรคเอดส์ อันตราย สอนลูกสอนหลานให้มันรักษาศีลตั้งแต่ตอนตัวน้อยๆ ให้ละอายบาป กลัวบาปไปตั้งแต่ตัวเล็กๆ โดยเฉพาะเด็กวัยรุ่นกำลังคะนองกำลังเรียน ม. ๔ ม. ๕ ม. ๖ นี่ ถ้าว่ามันเหลวไหลแล้วมันจะไม่ได้ขึ้นมหาวิทยาลัย เพราะมันไปเที่ยวชอบสนุกกับเพื่อน แล้วมันรักเพื่อนมากกว่าพ่อแม่นะ เด็กวัยรุ่นนี่ เพื่อนมาถึงขยิบตานิดหน่อยไปแล้ว แม่เรียกสิบคำไม่ได้ยินแล้ว จะไปแล้ว พูดไม่รู้เรื่อง ผีมันเข้าแล้ว ผีคือความชั่วเข้าสิง แล้วมันก็ไปเที่ยว เพราะไม่ได้สอนให้ถือศีลข้อ ๓ ผิดศีลข้อ ๓ นี่สำคัญมาก เป็นบ่อเกิดแห่งโรคร้าย แห่งปัญหาด้วยประการทั้งปวง จึงควรถือไว้
ศีลข้อ ๔ นี่ เกี่ยวกับปาก การพูด ปากนี่มันเป็นพิษก็ได้ เป็นคุณก็ได้ ลิ้นเรานี่ให้ทุกข์ก็ได้ให้โทษก็ได้ ให้ดีก็ได้ เพราะฉะนั้นอิสปนี่ อิสปนี่เป็นนักเล่านิทาน แกอยู่กับเศรษฐีนะ เศรษฐีทำอะไรไม่ถูกแกเล่านิทานให้ฟัง คือจะสอนตรงๆ ก็ไม่ได้ ไอ้บ่าวจะไปสอนนาย แกเป็นทาสเขานี่ แกเล่านิทานให้ฟัง นิทานอิสปนั่นแหละที่เราเป็นนักเรียนอ่านนิทาน อิสปมันเล่าให้นายฟัง เรื่องนั้นเรื่องนี้เล่านี้เป็นเรื่องดี ทีนี้วันหนึ่งนายบอกอิสป ไปเอาของที่ดีที่สุดในโลกมาแกงให้ฉันหน่อย ทำกับข้าวด้วยของดีที่สุด อิสปก็เอาอะไรมา เอาลิ้นโคมา ไปเอาลิ้นโคมาผัดมาทอดให้นายกิน ทีนี้วันหนึ่งนายบอกเอาสิ่งที่ชั่วที่สุดในโลกมาแกงให้ฉันกินหน่อย อิสปก็เอาลิ้นโคมาอีก เอาลิ้นโคมาผัดมาทอดให้นาย นายก็เอ๊ะ ไอ้วันก่อนข้าสั่งเองว่าให้เอาของดีที่สุด ก็เอาลิ้นโคมา วันนี้สั่งให้เอาของเลวที่สุดก็เอาลิ้นโคมา เอ๊ะเหตุผลมันเป็นอย่างไร อิสปบอกว่าไอ้นี่น่ะสำคัญนักหนา ลิ้นนี่นะ ลิ้นดีก็ได้ชั่วก็ได้ ทำคนให้รักกันก็ได้ ทำคนให้รบกันก็ได้นะ เวลาประเทศไหนจะรบกันนี่นักการทูตวิ่งวุ่น วิ่งไปดึงประเทศนั้นมาเป็นพวกประเทศนี้เพื่อรบ แล้วก็เป็นฑูตเพื่อให้เลิกรบกันก็ได้ เป็นอย่างนั้น คนเรานี่พูดให้เขารักก็ได้ พูดให้เขาเกลียดก็ได้ อะ ... สำคัญที่การพูด คนพูดเก่งๆ พูดดำเป็นขาวเลย พูดขาวเป็นดำไปเลย พูดตอนออกอย่างหนึ่ง พูดตอนเข้าอีกอย่างหนึ่งแล้ว อ้า ... พูดเก่งนะ นักการเมืองพูดเก่ง เวลาจะออกก็อย่างนั้นอย่างนี้ พอจะเข้าก็อย่างนั้นอย่างนี้ พูดให้คนฟังเชื่อได้ ก็เรียกว่าตลบแตลง ตวัดลิ้นเป็นอะไรก็ได้ ในเรื่องพระอภัยมณีนี่ มีเรื่องนางอะไร..ผู้หญิงน่ะ จะพลิกพลิ้วชิวหาเป็นอาวุธ ไปฆ่าพวกเจ้าลังกาให้อาสัญ เอาลิ้นนี่ไปฆ่าอุศเรน ฆ่าเจ้าลังกา ลูกชายเจ้าลังกา ในเรื่องอภัยมณี นางวาลีนะนางวาลี วาลีนี่มันใช้ลิ้นฆ่าอุศเรนตาย ฆ่าอย่างไร มันไปตัดพ้อต่อว่า แหมเป็นลูกกษัตริย์ (41.52) แต่มานอนอยู่ในกรงเหมือนกับแมว ไอ้นั่นก็เกิดโมโหโทโสซิ มันมาดูหมิ่นกูน่ะ อีหญิงหน้าดำคนนี้มันมาดูหมิ่นกูได้ เลยกระอักเลือดตาย ฆ่าด้วยฤทธิทำให้คนตายได้ แต่พูดให้คนสามัคคีกันก็ได้ เช่นว่า โทณพราหมณ์ โทณพราหมณ์นี่แกอยู่ในสมัยพระพุทธเจ้านิพพาน พระพุทธเจ้านิพพานแล้ว กษัตริย์ต่างๆ ส่งทหารมารับอัฐิธาตุของพระพุทธเจ้า แต่ว่าพวกมัลลกษัตริย์นี่เขาเก็บไว้ เขาไม่ให้ ไม่ให้พวกนั้นก็จะยกกำลังบุกเลย พวกท้าว (42.47) กันแย่งพระธาตุน่ะ ใครเป็นคนเกลี้ยกล่อมโจรนั่น โทณพราหมณ์ขึ้นยืนบนเชิงเนิน แล้วก็พูดว่าท่านทั้งหลาย เราเป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าสรรเสริญความสงบ ไม่สรรเสริญความวุ่นวาย ท่านทั้งหลายเคารพพระพุทธเจ้าอยู่รึ ท่านจะมาเอาพระธาตุของพระพุทธเจ้า แต่ท่านจะรบกันเพื่อเอาพระธาตุมันถูกต้องรึ มันสมควรรึ ตั้งปัญหาถามให้คิด พูดยาวเหมือนกันหลายเรื่องเลย พวกนั้นเลิกรบกัน เลิกรบก็เลยบอกให้ท่านเป็นหัวหน้าแบ่งพระธาตุ โทณพราหมณ์ก็เอา (43.34) มาตักพระธาตุแบ่งให้ไป ๘ นคร ให้ไปทั่วถึง ไม่ต้องรบราฆ่าฟัน ก็เรียกว่าใช้ลิ้นให้คนไม่รบกันก็ได้ ให้คนรบกันก็ได้ ให้คนเกลียดกันก็ได้ ไปบอกอย่างนี้อย่างนั้น บอกข้างโน้นอย่างนี้ ทั้งสองฝ่ายตีกันเลย เขาเรียกว่าอุบายทำให้แตกแยก คนมันหลงผิด ถูกคำยุยงก็เลยตีกันแตกกัน เสียหาย เพราะฉะนั้นลิ้นนี่สำคัญ เราควรจะใช้ลิ้นให้มันถูกต้อง คือพูดคำจริง คำอ่อนหวาน คำสมานสามัคคี คำที่มีประโยชน์ ถ้าพูดคำเหล่านี้ไม่ได้ ทำยังไง นั่งเฉยๆ นั่งนิ่งๆ นั่งนิ่งไม่ผิดกฎหมาย ไม่ผิดศีลธรรม ไม่สร้างปัญหา พระพุทธเจ้าสอนภิกษุว่า ภิกษุทั้งหลาย เมื่อเธอมาพบกัน ให้ทำจิตสองอย่าง คือนั่งนิ่งอย่างพระอริยเจ้า พระอริยเจ้านี่ท่านพูดแต่เรื่องธรรมะนะ ธรรมะนี่ก็พูดแต่เรื่องดับทุกข์ทั้งนั้น ไม่พูดเรื่องอื่น พูดแต่เรื่องดับทุกข์ เรื่องอื่นไม่พูด ถ้าไม่พูดอย่างนั้นนั่งนิ่ง นั่งนิ่งอย่างพระอริยเจ้า ถ้าจะพูด พูดธรรมะ ท่านวางหลักไว้อย่างนั้น ถ้าเราพูด ญาติโยมก็เหมือนกันนะ อุบาสก อุบาสิกา นี่ พักอยู่ในศาลา อู้ย..ต่างคนต่างพูดแข่งกัน รีบพูดเพราะจะตายแล้ว ต้องรีบพูดก่อน อายุก็มากแล้ว เดี๋ยวจะไม่ได้พูด ก็เลยพูดกันใหญ่ เสียงเจี้ยวจ้าว เหมือนกับตลาดนัดอย่างนั้นนะ หลวงพ่อค่อยไปบอกโยม ปิดปากกันเสียมั่ง พูดประเดี๋ยว พอหลวงพ่อเดินไปก็จ้อต่ออีก คนถือศีลนี่มันต้องพูดน้อยๆ นะ มาถือศีลนี่ต้องพูดน้อยๆ ไม่พูดมาก พระพุทธเจ้าตรัสไว้อย่างไร บอกว่า เรานั่งอยู่ในหมู่คนมาก แต่เจริญภาวนาเหมือนนั่งคนเดียว นั่งคนเดียวใจฟุ่งซ่านก็เหมือนนั่งในหมู่คนมากนะ อันนี้เรามาอยู่วัดในวันพระ นั่งเงียบๆ เอาคนละมุม ตีนเสา ตีนฝา ศาลาใหม่ใกล้จะเสร็จแล้วเอ้ย...ศาลาเก่าซ่อมใกล้จะเสร็จแล้ว เรานั่งตรงไหนก็ได้ ไม่มีฝนฟ้าคะนองก็นั่งใต้ต้นไม้ ตรงไหนร่มๆ นั่งเงียบคนเดียว นั่งพิจารณาตัวเอง มองตัวเอง ว่าเรานี่อายุเท่าไรแล้ว เรามีความคิดอย่างไร มีความเห็นอย่างไร มีความเป็นอยู่เป็นอย่างไร อยู่ด้วยความทุกข์ หรืออยู่ด้วยความไม่ทุกข์ เบาอกเบาใจ พิจารณา อย่างนั้นเรียกว่าเรียบร้อยไม่พูดมาก พระอริยบุคคลท่านพูดน้อย พูดแต่เรื่องความดับทุกข์เป็นส่วนมาก เราก็ควรจะอย่างนั้น พบปะกันก็พูดกันแต่เรื่องที่เป็นประโยชน์ ถ้าพูดเรื่องที่เป็นสาระพูดไม่นาน แต่ถ้าพูดเรื่องอื่นมันยาว เรื่องเยอะ คุยกันไม่จบไม่สิ้น จบไอ้เรื่องศีลข้อ ๔ กัน
ศีลข้อ ๕ สำคัญกว่าศีลข้อใดๆ เพราะถ้าผิดศีลข้อ ๕ แล้วข้ออื่นเสียหมด เป็นเพราะอะไร เพราะมันดื่มเหล้าแล้วมันเสียสติ เสียปัญญา ไม่สมดุลย์ทางกายแล้ว ... เมา เมาแล้วพูดมาก กิริยาท่าทางไม่เรียบร้อย เสียหาย ผิดศีล ศีลข้อห้านี่อยากจะย้ำให้โยมเข้าใจว่า มีคำอยู่สามคำ สุราคำหนึ่ง เมระยะ มัชชะ น่ะ เราจึงรับว่า สุราเมระยะมัชชะปะมาทัฏฐานาเวระมณี สิกขาปะทังสะมาทิยามิ ข้าพเจ้าขอสมาทานแบบฝึกหัด ศีลนั้นคือแบบฝึกหัด เอามาปฏิบัติตัว คือตั้งใจงดเว้นการดื่มสุราเมรัย พระท่านแปลว่าว่า งดเว้นการดื่มสุราเมระยะ อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท แปลเท่านั้น...ตก สอบมานี่ตก ทำไมจึงแปลเพียงเท่านั้น ทิ้งศัพท์เสียศัพท์หนึ่ง คือ มัชชะ สุราคือเหล้า เมระยะคือของเมาที่ไม่ได้ต้มไม่ได้กลั่น เอามาหมักมาดองไว้ ให้มันบูดมันเน่าขึ้นเปลือกแล้วเอามาดื่มกัน ... เมา เดินตกบ่อได้เหมือนกัน มัชชะ หมายถึงสิ่งเสพติด บุหรี่ หมาก กัญชา ยาฝิ่น ยาม้า ยาอี นี่ก็เสพติดทั้งนั้น อันนี้พระเราส่วนมากสูบบุหรี่ ผิดศีลข้อที่ ๕ สูบบุหรี่ ฉันหมากด้วย โยมนี่แหละตัวการสำคัญ พอเจอพระแล้วก็เตรียมม้วนหมากถวายเลย หยุดเสียทีๆ หยุดถวายหมากแก่พระเสียที หยุดถวายบุหรี่แก่พระเสียที เพราะมันเป็นบาปเป็นโทษ เป็นโทษอย่างไรก็ทำให้พระเป็นพระขี้ยาไปตามๆ กัน หลวงพ่อที่มีชื่อเสียงชอบเขกกระบาลคน สูบบุหรี่มวนเท่านี้ อู้มวนเท่านี้เลย พ่นควันโขมงเลย นั่งยองสูบบุหรี่พ่อควันโขมงเลย เขาถ่ายรูปมาทำปฏิทิน มันไม่สมควร ไม่ควรจะเอามาทำปฏิทิน เพราะเด็กมันเห็นแล้วนึกว่าหลวงพ่อนี้สูบบุหรี่ กูก็ต้องสูบบุหรี่มั่ง เสียหาย เอาพระที่เรียบร้อยหน่อยก็ได้ ไม่ต้องเอาหลวงพ่อแบบไม่ถูกต้อง พวกอาจารย์ตามภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กินหมากปากเปรอะเต็มกระโถนทั้งนั้น มันไม่ถูก โยมก็ชอบป้อนหมากให้พระ พอมาถึงถวายหมากเข้าไป พระไม่มีฟันจะเคี้ยวก็ ตะบันเข้า ตะบันเข้าเอาเข้าไป ให้พระฉัน ทำบาปทั้งนั้น ส่งเสริมการผิดศีลผิดธรรมทั้งนั้น ไม่สมควร วัดนี้จึงกวดขัน ใครมาบวชสูบบุหรี่ไม่ได้ หมากวางไว้เลย เพราะว่าไม่มีใครกินแล้ว ญาติโยมคนแก่ๆ ยังเชียนหมากก็เลิกๆ เสียบ้าง แก่แล้ว เลิก ฟันก็ไม่มีแล้ว เที่ยวแบกตบันให้มันหนักเปล่าๆ เดินไปไหนหิ้วตัวเอียง นั่งครกตำหมาก หนักตะบัน หนักกระป๋องใส่น้ำหมาก มันไม่เบาสักที เพราะยังมีสิ่งเหล่านี้ คนพอดื่มเหล้าเมาแล้วเสียหมด จะฆ่าคนก็ได้ ลักของคนก็ได้ ทำการข่มขืนเด็กก็ได้ ประพฤติผิดได้ทุกอย่าง พูดหยาบ เหลวไหลได้ทั้งนั้น เพราะเมา เพราะงั้นจึงควรงด หรือให้มันเว้นเสียหน่อย
เพื่อถือศีลให้เคร่ง ศีล ๕ ให้ดีจึงเพิ่มอีก ๓ ข้อเป็นศีล ๘ ศีล ๘ นี่ส่งเสริมศีล ๕ ไม่กินอาหารหลังเที่ยง ตัดปัญหาเรื่องการกิน ไม่ฟ้อนรำขับร้องประโคมดนตรี ดีดสีตีเป่า ไม่ประดับประดาร่างกายด้วยดอกไม้ ของหอม เครื่องงามเครื่องย้อม ส่งเสริมศีลข้อ ๓ เพื่อให้ศีลข้อ ๓ มันดีขึ้น เพราะเครื่องหอมเครื่องอะไรต่างๆ การฟ้อนการรำมันยั่วราคะ ทำให้เกิดความกำหนัด แล้วจะผิดศีลข้อ ๓ เลยเพิ่มขึ้นมา แล้วก็ไม่นั่งนอนที่สบาย ให้นอนง่ายๆ นอนกับพื้น ราดด้วย ... สมัยก่อนเขาเรียกว่าราดด้วยหญ้า เอาหญ้ามาปูนอน เดี๋ยวนี้เราเอาต้นกก ต้นจูก (52.19) มาทำเสื่อก็นอน ไม่นอนให้สบาย จะได้ลุกขึ้นเจริญภาวนา รักษาจิตใจต่อไป ถ้าเราถือศีลมุ่งอย่างนี้ ขอให้ญาติโยมได้เข้าใจไว้ด้วย พูดมาก็พอดีสมควรแก่เวลาแล้ว ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้