แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ญาติโยมอยู่ในอาการสงบ อย่ามัวเดินไปเดินมา นั่งพัก ณ ที่ใดที่หนึ่ง ซึ่งสามารถจะได้ยินเสียงชัดเจน แล้วจงตั้งใจฟังด้วยดีเพื่อให้ได้ประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการฟัง ตามสมควรแก่เวลา
วันนี้เป็นวันเพ็ญเดือน ๖ ตรงกับวันที่เราเรียกกันว่าวิสาขบูชา วันวิสาขบูชาก็คือวันที่เราทำการบูชาพระรัตนตรัยในวันนี้ วิสาขะเป็นชื่อดาวดวงหนึ่ง ดวงจันทร์โคจรเดินผ่านดาวดวงนี้เป็นวันเพ็ญพอดี จึงเรียกว่าเพ็ญวิสาขะ วันเพ็ญวิสาขะมีประวัติเกี่ยวเนื่องกับพระพุทธเจ้าของชาวเราทั้งหลาย เพราะพระพุทธเจ้าของชาวเราทั้งหลายนั้นได้เกิดจาก พระครรภ์มารดาที่สวนลุมพินี ประเทศเนปาลในปัจจุบันในวันเพ็ญเดือน ๖ แล้วต่อมาถึงเวลาตรัสรู้ คือออกบวชแล้วก็ได้ทำความเพียร ๖ ปีจึงได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าที่ใต้ต้นโพธิ์พุทธคยา แคว้นพิหาร ประเทศอินเดียในปัจจุบันตรงกับวันเพ็ญเดือน ๖ เหมือนกัน แล้วก็เที่ยวเผยแผ่ธรรมะเป็นเวลา ๔๕ ปี เสด็จปรินิพพานที่ใต้ต้นสาระใกล้เมืองกุสินารา ตรงกับวันเพ็ญเดือน ๖ อีกเหมือนกัน การทั้งสามมาตรงกันในวันดิถีเดียวกัน จึงถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ เป็นวันที่เราทั้งหลายควรจะได้น้อมจิตระลึกถึงพระคุณของพระผู้มีพระภาคเจ้าให้เห็นชัดในพระคุณนั้นๆ แล้วนำพระคุณนั้นๆ มาใส่ไว้ในใจของเราเพื่อเป็นผู้มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อยู่ประจำใจ บุคคลที่มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อยู่ในใจเป็นผู้อยู่ปลอดภัย ไม่มีอันตรายทั้งภายในและภายนอก แต่ถ้าเราไม่มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์แนบสนิทอยู่ในใจของเรา ข้าศึกก็จะโจมตีได้ง่าย ข้าศึกที่โจมตีเรานั้นคือข้าศึกภายใน ได้แก่กิเลสประเภทต่างๆ มีความโลภอยากได้ของคนอื่น ความโกรธใจคอไม่เรียบร้อยคิดประทุษร้ายผู้อื่น ความหลงคือไม่รู้อะไรตามสภาพที่เป็นจริง กิเลส ๓ ตัวนี้เป็นตัวใหญ่ ที่คอยรบกวนจิตใจของเรา เรียกว่าเป็นพญามาร มารแปลว่าผู้ทำลาย โลภ โกรธ หลงก็เป็นมารที่มาคอยทำลายจิตใจเรา ทำให้เราตกอยู่ในอำนาจของมัน แล้วมันก็ใช้ไปทำอะไรต่างๆ ที่เป็นความผิดพลาดเสียหาย คนเราที่ไปฆ่าคนเพราะความโลภก็ได้ ฆ่าคนเพราะความโกรธก็ได้ ฆ่าคนเพราะความหลงก็ได้ หรือว่าเราไปลักของๆ คนอื่นเพราะความโลภอยากได้ทรัพย์สมบัติของผู้อื่นก็มี เพราะความโกรธเกลียดบุคคลนั้นก็มี เพราะความไม่รู้ไม่เข้าใจในเรื่องสิ่งถูกต้องก็มีจึงได้ทำการลักขโมย คนที่ประพฤติผิดในเรื่องกามารมณ์ก็เป็นเพราะความโลภอยากได้ในเรื่องนั้น ความโกรธ ความหลงเกิดขึ้นในใจแล้วก็ทำอย่างนั้น คนที่พูดจาเหลวไหลพูดโกหกคำหยาบคำเหลวไหลคำที่ทำคนให้แตกจากกันก็เพราะใจถูกกิเลสครอบงำ แล้วก็พูดเพื่อประโยชน์ของตัวในทางที่ไม่ถูกต้องจึงได้ผิดศีลข้อที่ ๔ ศีลข้อที่ ๕ คนที่ไปดื่มสุราเมรัยเพราะความโลภอยากจะดื่มเพราะความไม่รู้ไม่เข้าใจว่าสุราเมรัยเป็นสิ่งให้โทษแก่ชีวิต มันทำลายความรู้สึกผิดชอบชั่วดีทำให้เราตกต่ำทางจิตใจ เราไม่รู้ไม่เข้าใจก็ไปดื่มเข้าเป็นเหตุให้เมามายเสียผู้เสียคนก็เพราะกิเลสครอบงำจิตใจ กิเลสทุกอย่างเป็นข้าศึกแก่สัจธรรม เป็นข้าศึกแก่ความสะอาดความสว่างสงบในจิตใจ เป็นเรื่องที่เราจะควบคุมไม่ให้มันเกิดขึ้นได้ พระผู้มีพระภาคเจ้าของชาวเราทั้งหลายก็ได้ประสูติจากพระครรภ์มารดา ตอนนั้นยังไม่เป็นพระพุทธเจ้าหรอก เรียกว่าพระโพธิสัตว์หรือพระมหาสัตว์ก็ได้ โพธิสัตว์แปลว่าผู้เกี่ยวข้องทางภรรยา ผู้แสวงหาโพธิคือปัญญาอันจะเป็นเหตุให้เกิดความหลุดพ้น มหาสัตว์คือสัตว์ผู้ยิ่งใหญ่ที่เกิดมาเพื่อประโยชน์เพื่อความสุขแก่เพื่อนมนุษย์ทั้งหลาย ได้ทรงกระทำพระองค์ให้เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นด้วยการสอนธรรมะอยู่ตลอดเวลา เราจึงเรียกว่าพระมหาสัตว์บ้างพระโพธิสัตว์บ้าง เมื่อยังไม่ได้บวชก็เรียกอย่างนั้น ชีวิตก่อนบวชของพระองค์เป็นชีวิตที่เรียบร้อย ไม่มีปัญหาอะไร แต่ว่าพระองค์กำพร้าคือกำพร้าคุณแม่ พระนางสิริมายาเมื่อเกิดเจ้าชายได้แล้ว ๕ วันก็ได้สวรรคตไป คือละโลกนี้ไป ทิ้งเจ้าชายไว้ แต่ว่ามีคนอื่นมาเลี้ยงคือน้า น้าของท่านชื่อโคตมี หรือว่าประชาบดีโคตมี ก็เป็นมเหสีของพระเจ้าสุทโธทนะด้วยเหมือนกัน เป็นผู้ทำหน้าที่เลี้ยงเจ้าชายสิทธัตถะ ที่ชื่อว่าสิทธัตถะนี่แปลว่าสำเร็จ เพราะว่าพระเจ้าสุทโธทนะอยากได้ลูกชายคนหัวปลี แล้วก็ได้ลูกชายสมใจก็เลยชื่อว่าสิทธัตถะ คล้ายกับเราชื่อลูกว่าพ่อสมนึก สมหมาย สมปอง สมจิต สมใจอะไรอย่างนั้นแหละ เกิดได้ดังความต้องการก็เลยตั้งชื่ออย่างน้ัน เจ้าชายเกิดมาแล้วเป็นลูกหัวปลีเป็นผู้ชาย พระเจ้าสุทโธทนะก็พอพระทัยจึงได้ตั้งชื่อว่าสิทธัตถะแปลว่าสำเร็จดังที่ต้องการ เจ้าชายเติบโตขึ้นในวังด้วยความสะดวกสบายทุกอย่าง พระเจ้าสุทโธทนะและพระนางประชาบดีโคตมีได้เอาใจใส่เลี้ยงดูเจ้าชายเป็นอย่างดี แม้ว่าสมัยเด็กๆ พระฤาษีคนหนึ่งมาเยี่ยมเจ้าชาย เจ้าชายน้อย ได้เห็นรูปร่างเจ้าชายแล้วก็ทำนายว่าเจ้าชายคนนี้ถ้าอยู่ครองเมืองจะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์ผู้ยิ่งใหญ่ ถ้าออกบวชจะได้เป็นบรมครูของโลก เป็นครูที่ยิ่งใหญ่ของชาวโลกทั้งหลาย ทำนายแล้วท่านก็กลับไป พระเจ้าสุทโธทนะก็เลี้ยงดูเจ้าชายด้วยความรัก ด้วยความเอ็นดูจนเจ้าชายเติบโตขึ้นอายุได้ ๗ ขวบ ก็ให้เรียนวิชาการกับฤาษีชื่อวิศวามิตร พระฤาษีเป็นผู้สอนวิชาการให้ สอนทุกอย่างตามแบบกษัตริย์ที่จะพึงรู้พึงเรียน แล้วก็จบการศึกษาเมื่ออายุได้ ๑๖ ปี เมื่ออายุ ๑๖ ปีจบการศึกษาแล้ว พระเจ้าสุทโธทนะผู้เป็นบิดาต้องการจะผูกมัดเจ้าชายให้อยู่บ้านอยู่เรือน ไม่ให้ออกบวชเพราะว่าฤาษีทำนายไว้ว่าถ้าออกบวชจะได้เป็นบรมครูของโลก พระเจ้าสุทโธทนะไม่ต้องการให้ลูกชายบวช ต้องการให้เป็นพระเจ้าแผ่นดินผู้ยิ่งใหญ่จึงเอาอกเอาใจเลี้ยงดูอย่างดี เหมือนกับว่าพ่อแม่ที่มีลูกชายคนเดียวมักจะเลี้ยงดูจนลูกชายเสียผู้เสียคน เสียคนเพราะอะไร เพราะตามใจมากเกินไป ลูกจะเอาอะไรก็ให้ดังใจ ลูกชายก็นึกว่าเราเกิดมาสบายไม่คิดจะก้าวหน้าอะไร เสียผู้เสียคนกันไป พระเจ้าสุทโธทนะท่านก็เลี้ยงลูกชายของท่านอย่างดีเหมือนกัน แต่ว่าไม่ใช่เอาใจมากเกินไป มีระเบียบข้อบังคับหลายเรื่องหลายประการ เช่นว่า เมื่อเจ้าชายเรียนหนังสือจบแล้วก็คิดว่าควรจะผูกมัดเจ้าชายด้วยการแต่งงาน จึงได้ไปขอหมั้นเจ้าสาวที่เมืองเทวทหะ กษัตริย์กรุงเทวทหะกับกรุงกบิลพัสดุ์นี่เขาเกี่ยวข้องเป็นดองกัน พูดภาษาบ้านเราเรียกว่าเป็นดองกัน คือเจ้าชายฝ่ายกบิลพัสดุ์ไปได้เจ้าหญิงฝ่ายเทวทหะบ้าง เจ้าชายฝ่ายเทวทหะไปได้เจ้าหญิงฝ่ายกบิลพัสดุ์บ้าง เกี่ยวข้องกันด้วยการแต่งงาน แล้วต้นตระกูลก็เป็นพี่น้องกัน คือว่าลูกสาวของพระเจ้าสุทโธทนะเป็นหญิงหัวปลี เมื่อเป็นหญิงก็ต้องอยู่เป็นโสดพระว่าไม่มีใครจะแต่งงานด้วย แต่ว่าไปเที่ยวในป่า ไปเที่ยวป่าไม้ระเบา ไม้กะเบานี่มีผลลูกโตๆ เอามากินแล้วโรคเรื้อนหาย ก็มีเจ้าชายฝ่ายเทวทหะคนหนึ่งไปอยู่ในป่า คือเขาขับไล่ คนเป็นโรคเรื้อนนี่เขาขับไล่ไม่ให้อยู่ในบ้านในเมืองเพราะถือว่าเป็นโรคเวรโรคกรรม เลยต้องไปอยู่ในป่า ไปอยู่ในป่าก็กินไอ้ลูกกะเบานี่ กินทุกวัน ทุกวัน ทุกวัน กินต่างอาหารแล้วโรคเรื้อนมันหายไป ผิวพรรณผุดผ่องเรียบร้อย เจ้าหญิงฝ่ายเทวทหะไปที่นั่นก็ไปเจอกัน เกิดปฏิพัทธ์รักใคร่ แล้วก็แต่งงานกัน ผูกพันกันทั้งสองฝ่ายแล้วก็เกิดลูกเกิดหลาน ฝ่ายเทวทหะเรียกว่าวงศ์โกลิยะ ฝ่ายเมืองกบิลพัสดุ์เรียกว่าศากยะ มาสัมพันธ์กันแต่งงานกัน ทีนี้พระเจ้าสุทโธทนะก็ต้องการผูกเจ้าชายให้อยู่ในวัง ผูกด้วยอะไร ผูกด้วยเชือกด้วยอะไรไม่ได้ ต้องผูกด้วยกามารมณ์ คือจับเจ้าชายแต่งงานกับเจ้าหญิงพิมพา ซึ่งเป็นลูกสาวของเมืองเทวทหะ ก็เป็นลูกพี่ลูกน้องกันนั่นเอง พระนางพิมพานี่เป็นลูกสาวของ พระเจ้าสุปปพุทธะ แล้วมารดาของพระนางพิมพาก็เป็นน้องสาวพระเจ้าสุทโธทนะ ก็พัวพันกันในวงศ์พี่วงศ์น้องแต่งงานกันตั้งแต่อายุ ๑๖ แล้วก็สร้างปราสาทให้อยู่อย่างสบาย ๓ หลัง หลังหนึ่งสำหรับฤดูร้อนถ้าไปอยู่แล้วเย็นสบาย หลังหนึ่งสำหรับฤดูหนาวถ้าไปอยู่แล้วอบอุ่น มีเครื่องทำความอุ่น อีกหลังหนึ่งสำหรับฤดูฝนถ้าไปอยู่แล้วก็สบาย หลังปราสาทก็มีสวนใหญ่ สวน ต้นไม้ ดอกไม้ สระน้ำ มีนกมีปลา มีสัตว์ต่างๆ ที่เอามาเลี้ยงไว้ให้เจ้าชายได้ไปชมเล่น ปรกติเจ้าชายสิทธัตถะชอบไปอยู่ในสวนหลังบ้าน ไปดูนกดูปลาดูสัตว์เลื้อยคลานดูสัตว์ต่างๆ แล้วก็สังเกตเห็นว่าสัตว์เหล่านั้นยังมีการเบียดเบียนกัน ปลาตัวใหญ่รังแกปลาตัวเล็ก นกตัวใหญ่ตีนกตัวเล็ก กวางตัวใหญ่ไล่ขวิดกวางตัวเล็ก เหยี่ยวบินมาแล้วก็โฉบปลาเอาไปกินเป็นอาหาร ท่านเห็นว่าชีวิตของสัตว์ในโลกนี่อยู่กันไม่เรียบร้อยมีการเบียดเบียนกัน รังเกียจรังแกกันด้วยประการต่างๆ แต่ไม่เห็นคนเบียดเบียนกันเพราะว่าคนเบียดเบียนกันก็อยู่ข้างนอก ไม่มีโอกาสออกไปเห็น พระเจ้าสุทโธทนะไม่อนุญาตให้เจ้าชายสิทธัตถะออกไปข้างนอกกำแพงเมือง กำแพงวัง ให้อยู่แต่ในวัง ให้เห็นแต่ของสวยของงามของน่ารักน่าพอใจ ไม่เห็นสิ่งที่แปลกออกไปจากนั้น แต่ว่าอยู่ต่อมาแต่งงานกันได้ อยู่ได้ ๑๓ ปี พระนางพิมพาก็ตั้งท้อง เมื่อพระนางพิมพาตั้งท้องพระเจ้าสุทโธทนะก็ดีใจ ดีใจว่าจะได้อุ้มหลานแล้ว ก็เลยเปิดโอกาสให้เจ้าชายออกไปเที่ยวได้ ก็นึกว่ามีภรรยาแล้วมีลูกแล้วก็คงจะติดอยู่กับภรรยาและลูกไม่ออกไปบวช ก็เลยบอกว่า เอ้าลูกจะออกไปดูบ้าน ดูเมืองบ้างก็ได้ แต่ว่าวันไหนจะออกต้องบอกให้พ่อทราบก่อน จะได้มีการเตรียมตัวให้มันเรียบร้อย ไม่ได้เห็นสิ่งที่ไม่น่าเห็นไม่น่าดูไม่น่าชมเพราะมีการเตรียมการไว้ล่วงหน้า พอถึงเวลาเจ้าชายสิทธัตถะก็ไปขออนุญาตออกไปชมบ้านชมเมือง พระเจ้าสุทโธทนะก็สั่งคนให้ไปทำความสะอาดบ้านเมือง ห้ามคนแก่ออกมาเดินบนถนน คนเจ็บไข้ก็ห้ามมา ใครตาย ก็วันนั้นห้ามเอาศพออกจากบ้าน ให้เก็บไว้ในบ้านก่อนเพราะกลัวเจ้าชายจะไปเห็นเข้าแล้วจะกระเทือนใจ เจ้าชายนั่งรถม้าไปกับนายฉันนะ ขับรถไปเรื่อยๆ บ้านเมืองสะอาด ประชาชนอยู่เย็นเป็นสุข ท่านก็สบายพระทัย แต่ว่าเที่ยวไปๆ ก็ไปถึงปากซอยแห่งหนึ่ง มีคนแก่หลังโค้ง ผอม ตาลึก เห็นซี่โครง นุ่งผ้าน้อยชิ้น ถือไม้เท้าเดินง่อกแง่กๆ เข้ามา พอได้เห็นพระองค์ก็ประหลาดใจเพราะไม่เคยได้เห็นคนแก่ขนาดอย่างนั้นมาก่อน ก็เลยถามว่านั่นอะไรฉันนะ นั่นอะไร ฉันนะอะไร ฉันนะบอกว่าคนแก่พระย่ะค่ะ อ้อคนแก่เรอะ พระองค์ก็ลงจากรถม้าแล้วก็ไปชวนพูดสนทนาปราศรัยเยี่ยมเยียนเขา แล้วถามฉันนะว่า เอ ฉันเองก็จะแก่อย่างนี้ไหม ฉันนะว่าแก่เหมือนกัน แล้วถามถึงสาวใช้รูปร่างดีๆ ที่ร้องรำทำเพลงว่าคนเหล่านั้นจะแก่ไหม ฉันนะก็บอกแก่ทุกคน คนเกิดมาแล้วก็ต้องแก่อย่างนี้ ก็รู้สึกไม่สบายใจเพราะได้เห็นคนแก่ เลยสั่งกลับวัง กลับวังแล้วก็ไปนั่งคิดถึงความแก่อยู่เป็นเวลาหลายวัน ต่อมาก็ออกไปเที่ยวอีก ไปชมบ้านชมเมือง พระเจ้าสุทโธทนะก็สั่งให้จัดการ เรียกว่าปัดกวาดให้เรียบร้อยไม่ให้ใครออกมา พอไปเพลิดเพลินไปเจอคนครางอยู่กลางถนน คนป่วยมานอนครางโอยๆ อยู่ข้างถนน ทรงหยุดรถม้าแล้วถามฉันนะว่าอะไรน่ะ บอกว่าคนป่วย เอ้าลงไปดูเขาหน่อย ลงไปเยี่ยมเยียนถามอาการ ปรากฏว่าเป็นคนไม่มีญาติไม่มีมิตร ไม่มีใครดูแลรักษาก็ทรงกระเทือนพระทัยในสภาพเช่นนั้น แล้วก็คิดถึงความเจ็บไข้ได้ป่วยที่อาจจะเกิดมีขึ้นแก่พระองค์เกิดขึ้นแก่นางพิมพา เกิดขึ้นกับใครต่อใครที่รูปร่างสวยๆ งามๆ ต้องมีสภาพเช่นนั้น แล้วก็พักไม่ออกไปชมเมือง วันหลังออกไปอีกไปเที่ยวเพลิดเพลิน กำลังไป เดี๋ยวคนหามศพผ่านมาแล้ว หามศพผ่านมามีคนนอนอยู่บนแคร่ คนอินเดียเวลาตายเขาไม่ใส่โลง โลงไม่มี ไม่มีโลงใส่ ตายบนเตียงก็ยกไปทั้งเตียงเลย เอาไปทิ้งหมด เตียงนั้นเผาเลยไม่เอาไว้ ทีนี้วันนั้นคนเขาหามศพมา หามศพมาแล้วคนเดินตามหลังศพ ร้องไห้ร้องห่ม ตีอกชกหัว สยายผมร้องครวญครางด้วยอาการน่าสงสาร ท่านก็ถามฉันนะว่าทำไมคนเหล่าน้ันร้องไห้ ฉันนะบอกว่าเพราะเขาสูญเสียสมาชิกในครอบครัว นั่นแหละคนที่นอนอยู่บนแคร่ไม้ไผ่ นั่นคือคนที่ตายหมดลมหายใจ แล้วคนที่อยู่ข้างหลังก็ร้องไห้ เสียดงเสียดายด้วยประการต่างๆ เราก็สั่งรถกลับวังไม่ไปเที่ยวต่อไป ก็ไปนั่งคิดถึงความตายของคนหลายวัน คิดอยู่เรื่องนี้เรื่องเกิด แก่ เจ็บ ตาย แล้วก็ออกอีกทีนึง ออกอีกทีนึงก็เห็นนักบวช นักบวชในอินเดียมีก่อนพระพุทธเจ้า แต่เป็นนักบวชประเภทอื่น ไม่ใช่ภิกษุอย่างเรา แต่ก็เห็นเข้าแล้วก็ ต๊าย คนนั้นทำไมแต่งตัวอย่างนั้น ทำไมศีรษะไม่มีผม ฉันนะบอกว่านั่นเป็นนักบวช เป็นนักบวช แล้วเล่าให้ฟังว่านักบวชคือใคร ทำหน้าที่อะไร เราก็คิดในใจว่า (20.47 หลวงพ่อกล่าวเป็นภาษาบาลี) บวชนี่เข้าที เลยตัดสินใจว่าจะบวชแล้ว ก็เลยกลับวัง ไม่ขึ้นไปบนปราสาทแต่ไปนั่งพักอยู่ในสวนริมสระน้ำ นั่งดูปลา ดูนก ดูอะไรต่ออะไรไปตามเรื่อง เพื่อให้เกิดความเพลิดเพลินใจแล้วก็พอตกเวลาเย็นประมาณสัก ๕ โมงอะไรอย่างนั้น นางพิมพาก็คลอดลูกเป็นผู้ชาย พวกอำมาตย์ข้าราชการทั้งหลายก็ไปกราบทูลให้เจ้าชายทราบ ไปกราบทูลว่าพระนางพิมพาคลอดลูกแล้วเป็นชาย พระองค์ก็เลยเปล่งวาจาออกมาว่า ราหุโล อุปปันโน ราหุโล อุปปันโน แปลว่าบ่วงเกิดแล้ว บ่วงเกิดแล้ว พวกอำมาตย์ที่ไปเฝ้าได้ยินเสียงว่าราหุล ราหุล ก็นึกว่าเจ้าชายตั้งชื่อลูกชายว่าพ่อราหุล ลูกชายก็เลยได้ชื่อว่าราหุลต่อมา จนกระทั่งบวชเป็นพระ ได้เป็นพระอรหันต์มีชื่อมีเสียงเหมือนกัน เมื่อได้ยินข่าวเรื่องพระนางพิมพาคลอดบุตรเป็นชาย พระองค์ก็เปล่งวาจาว่าบ่วงเกิดแล้ว บ่วงเกิดแล้ว คนเราโดยทั่วไปนั้นมีบ่วงผูกอยู่ ๓ บ่วง คำโคลงโลกนิติกล่าวว่ามีบุตรบ่วงหนึ่งเกี้ยว พันคอ, ทรัพย์ผูกบาทาคลอ หน่วงไว้, ภรรยาเยี่ยงบ่วงปอ รึงรัด มือนา, สามบ่วงใครพ้นได้ จึ่งพ้นสงสาร นี่ ๓ บ่วง มีบุตรพันคอ พันคอไว้ มีทรัพย์เมื่อมีเมียผูกมือไว้ ผู้หญิงก็สามีผูกไว้ ผู้ชายก็ภรรยาผูกไว้ แล้วก็มีทรัพย์สมบัติผูกเท้าไว้ เพราะเช่นนั้นเวลาทำศพเขาจึงทำบ่วง ๓ บ่วง ผูกคอ ผูกมือ ผูกเท้า ตรึงกันไว้ คนเห็นนึกว่ามัดแข็งแรงดี ศพคงจะไม่ดิ้น ไม่ดิ้นอะไร ตายแล้ว ที่เขามัดอย่างนั้นก็เป็นบทเรียนเป็นเครื่องสอนใจ สอนใจว่าคนเราที่อยู่ในโลกนี่มีบ่วง ๓ บ่วง มีบุตรพันคอ มีภรรยาผูกมือ มีทรัพย์ผูกเท้า (23.23 หลวงพ่อพูดว่า มีบุตรพันคอ มีทรัพย์ผูกมือ มีภรรยาผูกเท้า แต่แก้เป็น มีบุตรพันคอ มีภรรยาผูกมือ มีทรัพย์ผูกเท้า เพื่อให้ตรงกับโคลงโลกนิติ ที่หลวงพ่อได้กล่าวไว้) ไปไหนไม่ได้ เป็นห่วงบ้านห่วงเรือนห่วงทรัพย์สมบัติอะไรต่างๆ นี่มันบ่วง เพราะเช่นนั้นพระราหุลเกิดมาเจ้าชายสิทธัตถะจึงได้พูดออกมาว่า บ่วงเกิดแล้ว แปลว่ามีบ่วงผูกคอแล้วบ่วงหนึ่ง ท่านก็นั่งคิดอยู่ว่าจะทำอย่างไรดี จนกระทั่งใกล้พลบก็เสด็จกลับด้วยรถม้า กลับไปวัง ขณะไปวังก็นั่งคิดแต่เรื่องจะออกบวช ครุ่นคิดแต่เรื่องจะออกบวชตลอดเวลา ขนาดไปวังนั้นมีสาว ผู้หญิงสาวคนหนึ่งยืนอยู่บนที่สูงปราสาท หน้ามุขปราสาท ยืนอยู่ พอเห็นเจ้าชายก็ได้พูดออกมาว่า นิพพุตา นูนะสาปิตา นิพพุตา นูนะสามาตา นิพพุตา นูนะสานารี ยัสสายัง อิติโสปติ พูดเป็นคำกลอน เป็นคาถา เจ้าชายได้ฟังแล้ว โอ้ พูดดีมาก เพราะได้ยินคำว่า นิพพุตะ ซึ่งแปลว่าดับ นิพุตตา ก็คือนิพพานนั่นเอง แปลว่าดับ ดับได้ ท่านกำลังคิดจะไปแสวงหาเครื่องดับทุกข์ เมื่อเขาพูดคำว่าดับให้ได้ยิน ก็พอพระทัย ถอดสายสร้อยโยนขึ้นไป รางวัลให้ แล้วก็เดินทางเข้าไปในวัง เมื่อเข้าไปในวังก็เข้าไปในห้องนั่งเล่น ห้องโถง พวกสาวใช้เมื่อเห็นเจ้าชายเข้ามานั่งในห้องโถงก็ออกมา จะทำเพลงฟ้อนรำขับร้อง ใครดูหนังแขกบ้าง ไปดูหนังแขกก็อย่างน้ัน เขาฟ้อนเขารำกันไปตามเรื่อง ให้เจ้าชายเพลินใจ แต่เจ้าชายเมื่อนั่งบนเก้าอี้ตัวใหญ่ แล้วก็พอพวกนั้นทำท่าจะเล่นดนตรีร้องเพลง ท่านก็ยกมือห้ามบอกว่าไม่ต้อง พวกนั้นก็นั่งแถวนั้นแหละ นั่งเฉยๆ เจ้าชายก็นั่งหลับตาคิดถึงเรื่องว่าจะออก ออกอย่างไร จะไปบวชนี่ใจหนึ่งคิดถึงพระบิดา ใจหนึ่งคิดถึงพระมารดาคือนางโคตมี แม่น้า แล้วก็คิดถึงพิมพา คิดถึงลูกน้อยที่ชื่อราหุล คนเราเวลาจะจากบ้านไปไหนคิดมาก เป็นห่วงบ้านห่วงข้าวห่วงของ ขโมยมันจะมางัดมาลักข้าวลักของข้างบน ผลุดลุกผลุดนั่ง ไม่ค่อยจะเรียบร้อย เป็นอย่างนั้น แต่ว่าเราออกจากบ้านแล้วไม่เท่าไรก็กลับมา แต่เจ้าชายสิทธัตถะออกไปเลย ออกแล้วไม่กลับมาอีกต่อไป ไม่เหลียวหลัง ไปเลย ก็ต้องคิดมากเป็นธรรมดา ก็ต้องคิด ผลที่สุดก็ตัดสินใจว่าไปแน่ๆ ก็ลืมตาขึ้น พอลืมตาขึ้นเห็นพวกสาวใช้นอนระเกะระกะ นอนคว่ำ นอนตะแคง นอนหงาย น้ำลายไหล สยายผม กรนครอกๆ ดูอาการแล้วเหมือนกับป่าช้า เห็นเหมือนกับป่าช้า ก็น่ารังเกียจ แต่ท่านก็ลุกขึ้นเดินลัดเลาะคนเหล่านั้นไป ไปพบนายฉันนะ ฉันนะอยู่เวร ฉันนะเป็นผู้รับใช้ใกล้ชิดเจ้าชายสิทธัตถะ เกิดพร้อมกันด้วย สหัชชะ เกิดเวลาเดียวกัน เลยบอกว่า ฉันนะไปเตรียมม้าฝีเท้าดีๆ มาให้ฉันตัวนะ เอาตัวที่วิ่งเก่งนะ ฉันจะไปทำธุระนอกเมือง แล้วก็เดินเลยไป ไปเข้าห้องนางพิมพา ไปดูลูก ก็นึกว่าจะไปอุ้มลูกสักหน่อย แต่นางเอามือวางอยู่บนลูก กกลูกอยู่ ถ้ายกลูกนางตื่น แหม ถ้านางตื่นแล้วจะรู้เรื่องว่าเราจะไปไหน แล้วก็จะเข้ามากอดแข้งกอดขา ถ่วงเวลาให้ไปไม่ได้ ไม่ต้อง แต่ว่าคิดหลายตลบนะโยมนะ คิดหลายตลบว่า แหม อุ้มสักหน่อยไหม ให้นางตื่นขึ้นแล้วก็บอกตรงๆ จะดีไหม แต่ใจยังไม่ได้ ไม่ได้ ผู้หญิงนี่เขาเรียกว่าไว สมองไว เซ้นซิทีฟ สมัยนี้เรียกเซ้นซิทีฟ ว่องไว อย่าไปยุ่ง ก็เลยไม่เข้าไปแตะต้อง ถอยหลังออก ปิดประตูค่อยๆ แล้วก็บอกฉันนะ ม้าพร้อมหรือยัง ฉันนะ พร้อมแล้วพระย่ะค่ะ เอ้า ไปๆๆ ก็ไปขึ้นม้าเลย พอขึ้นม้าก็ขี่ช้าๆ เบาๆ เดี๋ยวคนจะตื่น เพราะเวลานั้นคนหลับหมดแล้ว ออกกลางคืนนะ ออกเวลากลางคืนไม่ให้ใครรู้ คนหลับหมด พระเจ้าสุทโธทนะก็หลับ พระนางประชาบดีก็หลับ พิมพาก็หลับ หลับหมด ยามก็หลับ เดินค่อยๆ ไปถึงประตูยามเฝ้าอยู่ บอกฉันนะเปิดประตูค่อยๆ แง้มนิดหน่อยไม่ต้องเปิดกว้างให้พอม้าไปได้ แง้มออกมานิดพอม้าออกได้ พอแง้มประตูนิดหน่อยม้าออกได้พระองค์ก็ขี่ม้าออก พอออกพ้นประตูก็ควบเลย ควบม้าเต็มที่เลย มันวิ่งฝีเท้าดี ม้ากัณฑกะนี่ฝีเท้าดี วิ่งใหญ่ เดือนหงายเพราะเป็นเดือนแรม พระจันทร์ขึ้นส่องฟ้า ควบเข้าป่าไปเลย ไปจนพ้นเขตแดนของเมืองกบัลพัสดุ์ ก็ไปหยุดม้าอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำชื่ออโนมานที แม่น้ำอโนมานที หยุดที่นั่น หยุดพักให้ม้าพักผ่อน ม้าเหงื่อไหลไคลย้อย หยุดแล้วเอาพระขรรค์ตัดผม ตัดให้สั้น เพราะว่าคนอินเดียสมัยนั้นเขาไว้ผมยาว เกล้าไปบนหัว การตัดผมสั้นนั้นเขาถือว่าไม่ถูกต้อง พระองค์ก็ตัดเสียเลย ตัดด้วยพระขรรค์ ไม่ได้โกน ตัดให้สั้นเกรียน แล้วก็ถอดเครื่องแต่งกายแบบกษัตริย์แบบเจ้าชายออก ห่อผ้าเรียบร้อยมอบให้ฉันนะ ฉันนะ เอาเครื่องประดับนี้ไปคืนพระบิดา ต่อไปนี้เราไม่ใช่เจ้าชายแล้ว เราเป็นนักบวช เราจะเป็นอยู่อย่างนักบวช ฉันนะก็ไม่อยากจะไป อาลัยอาวรณ์ แต่ก็พระองค์บอกว่าฉันนะ ฉันไม่ใช่เจ้าชายแล้วนะ ฉันเป็นนักบวช นักบวชต้องไปคนเดียว อยู่คนเดียว กินอยู่ง่ายๆ เธอไม่ต้องมารับใช้ฉันต่อไป รับใช้เป็นครั้งสุดท้ายเถอะ พาเครื่องประดับกับม้ากลับวัง ส่วนฉันจะไปตามทางของฉัน เธอไม่ต้องเป็นทุกข์ พูดปลอบโยนฉันนะให้สบายใจ นายฉันนะก็จูงม้ากลับไปด้วยน้ำตา กลับไปด้วยน้ำตา เจ้าชายท่านก็อยู่ที่นั่น แล้วก็เช้าขึ้นก็ไปบิณฑบาต ไปบิณฑบาตนี่คือไปขอรับอาหารจากบ้านแถวนั้น คนป่าบ้านนอก ชายแดน อาหารก็ไม่ดีเท่าไร แต่ก็ได้อาหารมา ได้อาหารมาก็นั่งพิจารณา พิจารณานานแหละกว่าจะฉันได้ ของมันไม่เคยฉัน เคยอยู่ในวังเสวยอาหารที่อร่อย ปรุงด้วยห้องเครื่อง เป็นอาหารประณีตมีรสมีชาติ แต่นี่มีแต่แป้งจี่แผ่นหนึ่ง ถั่ว แกงถั่ว แกงถั่วเม็ดเท่านี้เขาเรียกว่าถั่วดาน แกงดาน ไอ้แกงดานนี่ไม่ต้องกินกับอะไรหรอก กินแต่แกงก็อิ่มแล้ว อิ่มตื้อแล้ว แล้วแกงเมืองแขกใส่ครื่ิองเทศมากกินแล้วถ่ายไม่ค่อยออก ท้องผูก หลวงพ่อไปอินเดียกินอาหารประเภทนี้แล้วก็รักพระพุทธเจ้าขึ้นอีกเป็นกอง คือรักพระพุทธเจ้าว่าท่านเป็นเจ้าชาย ท่านหนีออกจากความสบายไปนั่งอยู่ในป่า นอนกลางดิน กินกลางทราย เสวยอาหารอย่างนี้ ท่านก็มีชีวิตอยู่ได้ตั้ง ๘๐ ปี เรามากินอาหารนี้เข้าไปแล้วก็ท้องไส้มันไม่ค่อยปรกติ ก็นึกเลื่อมใสในพระคุณงามความดีของพระพุทธเจ้า ท่านก็นั่งดูพิจารณา ก็เสวยค่อยๆ เสวยพออยู่ได้ ก็อยู่อย่างนั้น แล้วก็ออกเดินทางต่อไป ไปกรุงราชคฤห์ ราชคฤห์เป็นนครใหญ่ เป็นรัฐใหญ่ เป็นที่ประชุมของพวกนักปราชญ์ราชบัณฑิตทั้งหลาย คนที่เป็นนักปราชญ์เป็นผู้รู้อยู่แถวนั้นมาก ต้องไป ไปหาเขาไปศึกษาเพราะออกมาใหม่ๆ ยังไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรก็ต้องไปศึกษาก่อน ก็ไปเที่ยวสนทนาไต่ถามอาจารย์นู้น อาจารย์นี้หลายที่หลายแห่ง แล้วผลที่สุดก็ไปพบอาจารย์มีชื่อ ชื่ออาฬารดาบส กับอุทกดาบส ๒ คน อยู่คนละที่ ชั้นแรกก็ไปหาอาฬารดาบสก่อน ศึกษาที่นั่น ปฏิบัติที่นั่น เอาจริงเอาจัง ทำอะไรทำจริง ไม่เหลาะแหละโลเล ปฏิบัติจนกระทั่งทำได้เหมือนอาจารย์ อาจารย์รู้อย่างใดท่านรู้อย่างนั้น อาจารย์ทำอะไรได้เจ้าชายพระโพธิสัตว์ก็ทำได้อย่างนั้น จนอาจารย์ชมเชย อาจารย์ก็ชมเชยว่าเรามีความรู้อย่างใดท่านมีความรู้อย่างนั้น เราทำอะไรได้ท่านก็ทำอะไรได้เหมือนเรา อยู่นี่แหละ ช่วยสอนศิษย์ต่อไป แต่พระองค์ไม่ต้องการ ไม่ต้องการเพียงเท่านั้น ไม่ต้องการความเป็นอาจารย์ในสำนักอย่างนั้น จึงได้ลาต่อไป ไปเจออุทกบาสรามบุตร มีความรู้สูงกว่าคนแรก ก็ไปเรียนอีก เรียนจนทำได้ ทำได้ทุกอย่าง อาจารย์ก็ขอร้องให้อยู่ด้วย แต่ท่านไม่อยู่เพราะยังไม่ถึงที่สุดของความดับทุกข์ เรียนแล้ว รู้แล้ว ปฏิบัติแล้ว ใจมันยังไม่พ้นทุกข์ ยังมีกิเลสเกิดขึ้นรบกวนใจอยู่ ยังไม่ถึงที่สุดต้องไปต่อไป ผลที่สุดก็ไปที่เมืองพุทธคยา เมืองคยา เมืองคยานี่เป็นเมืองเก่าแก่ เดี๋ยวนี้ยังอยู่ อายุ ๔,๐๐๐ ปีเมืองนี้ เก่ามาก เก่าเมืองไทย เก่ากว่าเมืองเรา เป็นเมืองใหญ่แต่สกปรกที่สุดในโลก พอไปนั้นก็เข้าป่าไปเลย เข้าป่าไปที่ภูเขาห่างเมืองคยา เป็นภูเขาเป็นป่าทึบดงดิบเลย ก็เข้าไปอยู่ในป่า ทำความเพียร ศึกษาค้นคว้าคนเดียว ทำจริงอย่างเอาจริงเอาจัง จนกระทั่งร่างกายผ่ายผอมเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก แต่รู้สึกว่าไม่ได้อะไร ทำแล้วไม่สำเร็จประโยชน์ ไม่ได้อะไร ก็เปลี่ยนแนวทาง ไม่ทรมานกายไม่อดอาหารไม่อดนอน บำรุงร่างกายให้แข็งแรง แล้วก็ศึกษาใหม่ ในการทำความเพียรอย่างแรงกล้านี้มีนักบวช ๕ คน คือ โกณฑัญญะ วัปปะ ภัททิยะ มหานามะ และอัสสชิ ๕ ท่านด้วยกัน ๕ ท่านนี้บวชก่อนเพราะว่าฤาษีที่ไปดูลักษณะเจ้าชายมาบอกหลานไว้ บอกว่าหลานเอ๊ยคุณตานี่อายุมากแล้วไม่สามารถจะอยู่ชมบุญพระกุมาร เธอออกบวชนะ รอไว้ เวลาพระกุมารบวชแล้วให้ไปอยู่ด้วยจะได้รับความรู้ความเข้าใจ ท่านเหล่านั้นก็ได้มาบวชรออยู่ ๕ คนด้วยกัน แล้วก็ไปทำความเพียรด้วยกัน อดแห้งอดแล้งด้วยกัน ลำบากด้วยกัน ต่อมาเจ้าชายเปลี่ยนแนวเพราะเห็นว่าการกระทำเช่นนั้นไม่ได้ผล ทำให้เหนื่อยเปล่าไม่ได้บรรลุอะไร ก็เลยเปลี่ยนมาเสวยอาหาร บำรุงร่างกายให้แข็งแรง แล้วจะไปศึกษาค้นคว้าใหม่ต่อไป ถ้าทำความเพียรแบบนั้นก็จะตายซะเปล่าไม่ได้อะไร
อันนี้ก็เป็นตัวอย่างแก่เราทั้งหลายที่ปฏิบัติ บางทีปฏิบัติตึงเกินไปไม่ได้ผล หย่อนเกินไปก็ไม่ได้ผล แล้วก็ไปติดสำนักติดลัทธิติดคำสอนไม่ยอมเปลี่ยนแปลง ดื้อไปเรื่อยๆ ไม่ได้ผลอะไร เจ้าชายของเรานั้นท่านไม่ดื้อ ท่านยอมเปลี่ยน ท่านงอได้ไม่ใช่งอไม่ได้ ก็เรียกว่ายอมเปลี่ยนแปลงแนวทางชีวิตจึงได้ผลเป็นพระพุทธเจ้า และเมื่อเห็นว่าการกระทำอย่างนั้นไม่ได้ผลก็เปลี่ยนมาเสวยอาหาร บำรุงร่างกายให้แข็งแรงเพื่อศึกษาค้นคว้าต่อไป นักบวชทั้ง ๕ คนยึดติดแบบเก่า พอเห็นเจ้าชายเปลี่ยนแนว บอกไม่ไหวแล้ว เราขืนอยู่กับเจ้าชายโคตมะนี่จะไม่ได้เรื่องอะไร ไปกันเถอะ ทิ้งหมดเลย ไปเลย ไม่อยู่แล้ว ไม่อยู่ร่วม ไปเมืองพาราณสี ท่านอยู่องค์เดียวก็ดีเหมือนกันเพราะว่าต้องการความสงบ ไม่อยากให้ใครรบกวน ต้องการนั่งศึกษาค้นคว้าสงบๆ อยู่มาจนกระทั่งใกล้ถึงวันเพ็ญเดือน ๖ ใกล้วันเพ็ญเดือน ๖ ก็ไปที่คยา ไปถึงตรงนั้นก็มองเห็นทุ่งหญ้าเขียว ภูมิประเทศดีแล้วก็มีต้นโพธิ์ใหญ่อยู่ต้นหนึ่ง บนเนินสูง ถัดไปจากนั้นก็มีแม่น้ำชื่อแม่น้ำเนรัญชรา น้ำไหลตลอดปี ก็นึกว่าเหมาะที่จะอยู่ทำความเพียร หนึ่งไม่ไกลแม่น้ำ อาบน้ำสะดวก สองสภาพภูมิประเทศสวยงาม สามใกล้เมืองคยา พอจะไปบิณฑบาตหาอาหารได้ ตกลงใจไปพักที่นั่นทำความเพียร เอาใหม่ พอถึงวันเพ็ญเดือน ๖ ตอนเช้า เนี่ยวันนี้ คล้ายๆ วันนี้ ก็ลงไปอาบน้ำที่แม่น้ำเนรัญชรา ชาวอินเดียนี่เขาตื่นเช้าแล้วต้องอาบน้ำทุกคน ไม่อาบน้ำไม่ได้ เขาบัญญัติให้คนอินเดียอาบน้ำเพื่อให้มันสะอาดหน่อย ท่านก็ลงไปอาบน้ำ อาบน้ำเสร็จแล้วก็ไปฝั่งนู้น ข้ามน้ำไปนั่งใต้ต้นไทร ใบหนา นั่งสงบจิตสงบใจ นั่งให้สบาย นางสุชาดาเป็นแม่บ้านที่มีคุณธรรม แล้วแกก็เคยบนบานศาลกล่าวกับเทวดาว่าถ้าได้แต่งงานกับผู้ชายที่มีฐานะเท่าเทียมกัน เกิดเป็นลูกเศรษฐีด้วยกันแล้วให้มีลูกชายหัวปลีก็จะได้แก้บนกับเทวดาด้วยการทำข้าวมธุปายาสมาถวายเทวดา นางได้แต่งงานสมใจ มีลูกหัวปลีด้วย ก็นึกว่าเราบนกับเทวดาไว้ บนไว้แล้วมันเป็นพันธะทางใจ เทวดาจะช่วยหรือไม่ช่วยก็ไม่รู้ แต่ว่าคับข้องใจก็เลยเตรียมทำข้าวมธุปายาสไปถวายเทวดา ข้าวมธุปายาสคืออะไร คือข้าวต้มกับนมนั่นเอง แต่มธุปายาสเมืองไทยกินแล้วเหมือนกินยา เขากวนกันบ่อยๆ มีงานนั้นงานนี้วิชาการ เขากวนกันวัดแจ้งวัดอะไรก็กวนกระทะใหญ่ๆ แล้วห่อขายคนบอกว่าข้าวมธุปายาส คนเคยเอามาให้ฉันดู รสชาติมันเหมือนกับกินยาอะไรก็ไม่รู้ มันไม่อร่อยอะไร แต่ว่าเมื่อไปอินเดียนี่ นายภัทราจารย์แกเป็นผู้รับเหมาสร้างโบสถ์ที่วัดไทยพุทธคยา แกถือพุทธ แกนิมนต์ไปฉันที่บ้าน ไปฉันก็เอาข้าวต้มกับนม ข้าวเหนียวต้มกับนมเปียกๆ มาถวาย นี่อะไร แกว่ามธุปายาส มธุปายาส โอ อะไรมั่ง ข้าวเหนียว นม มธุแปลว่าหวาน ปายาสก็คือข้าวต้ม กินแล้วอร่อย โอ้แหม ได้กินข้าวนี้ต้องได้ตรัสรู้เหมือนพระพุทธเจ้า ก็กินเข้าไปหมดจานแหละ อร่อย นี่แหละข้าวมธุปายาส โยมจะต้มกินบ้างก็ได้ ว่างๆ หามากินมธุปายาสกันหน่อย ก็เอาข้าวเหนียวมาต้มกับนมสด ต้มกับนมสดจนกระทั่งสุก แล้วก็ใส่น้ำผึ้งกินอร่อย คนป่วยกินดีมธุปายาส นางก็เตรียมข้าวมธุปายาสถาดหนึ่งใส่ถาด ถาดทองนะ คนรวยถาดทอง แล้วก็บอกสาวใช้ว่าแกไปดูที่ต้นไทรนะ ไปกวัดไปกวาดที่โคนไทรให้เรียบร้อย ฉันจะไปไหว้เทวดา สาวใช้ไปถึง โอ๊ะ พุทธเจ้านั่งอยู่ตรงนั้นแล้ว รูปสวยจัง เป็นกษัตริย์รูปขาว ท่านเกิดเมืองกบิลพัสดุ์คนผิวขาว ไม่ใช่ดำเหมือนที่เราเห็นนะ แขกดำนี่มันอยู่ชายทะเล พวกอยู่ชายทะเลแล้วก็ดำเมี่ยมทั้งนั้นเลย ดำแววนะ แต่พระองค์ผิวขาวรูปสวย นางไปถึงก็โอ้ตายแล้ว เทวดามารอแล้ว มารอจะรับข้าวมธุปายาสแล้ว ก็วิ่งไปบอกนาย นายจ๋าๆ เป็นบุญเหลือเกินแล้ว เดี๋ยวนี้เทวดามานั่งรออยู่แล้ว ว่างั้น นางสุชาดาก็ยกถาดทองที่ใส่มธุปายาสไป คลานเข้าไปถึงก็ไม่ดูหน้าล่ะ เขาไม่ค่อยดูหน้า คลานเข้าไปถวาย แล้วก็กราบแล้วก็ออกมา กลับบ้านเลย พระพุทธเจ้าก็ได้ฉันข้าวมธุปายาส หมดถาด ฉันหมดแล้ว ถาดใบนี้จะเอาไปไหน ก็เลยทิ้งลงไปในแม่น้ำ ใครจะมาเก็บเอาไปใช้ก็ได้ โยนไปเลย แล้วก็นั่งพักอยู่ที่นั่นจนกระทั่งเย็น พักทั้งวัน ร่มสบาย ต้นไทรร่มสบาย ที่อินเดียมีต้นไม้นี้เยอะ ร่มสบาย แต่ว่าอินเดียเดี๋ยวนี้นั่งไม่สบาย มันเหม็นขี้แขก ชอบไปขี้ไว้ในบริเวณนั้น เหม็น เหม็นขี้แห้ง ไอ้เราเห็นต้นไม้ขึ้นดีๆ อยากไปนั่งหน่อย เหม็น เหม็นขี้แขก นั่งไม่ไหว แขกมันเที่ยวขี้เพ่นพ่าน พระองค์ก็เดินข้ามแม่น้ำกลับมาที่ต้นโพธิ์ มาถึงพบนายพรานชื่อโสตถิยะ นายพรานนี่ไปตัดหญ้าคามาจะทำอะไรใช้ หญ้าคานี่ภาษาบาลีเรียกว่าปุสะ ปุสะนี่มันไม่ใช่หญ้าคาที่ขึ้นรกบ้านบ้านเรานะ เขาเรียกว่าตะไคร้หอม โยมเคยรู้จักตะไคร้หอมไหม มันหอมนะตะไคร้นี้ ไม่ใช่ตะไคร้ที่ใส่แกงกะหรี่หรือว่าต้มยำ ไม่ใช่ เป็นต้นตะไคร้หอม ใบหอม เอามาขยี้แล้วหอม แกก็ตัดมา มาเห็นนักบวชคือเจ้าชายสิทธัตถะก็เลยถวาย ๘ กำมือ มัดอย่างนี้ ๘ กำ เพราะว่านักบวชเขาชอบใช้หญ้าคาปูนั่ง นั่งแล้วมันสบาย เหมือนเบาะแหละนั่งสบาย ก็เลยถวาย ๘ กำมือ แล้วก็หอบหญ้าคานั้นไปที่โคนโพธิ์ ไปที่โคนโพธิ์แล้วก็ปูลงไปเรียบร้อย แล้วจะนั่ง ก่อนจะนั่งนี่ยืนสำรวมจิต อธิษฐานใจ อธิษฐานใจว่าร่างกายนี้จะเหือดจะแห้งเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกก็ช่างมันเถอะ สิ่งใดที่จะสำเร็จด้วยความเพียร ด้วยความอดทนของคน ถ้าไม่สำเร็จสิ่งนั้นเราจะไม่ลุกขึ้นจากที่นั่งนี้เป็นอันขาด อธิษฐานใจยอมตาย ยอมตายให้เนื้อหนังเปื่อยอยู่ตรงนี้ ถ้าไม่ได้อะไรจะไม่ลุกขึ้นจากที่นั่งเป็นอันขาด นี่ เป็นการอธิษฐานใจอย่างแรงกล้า เรียกว่ายอมตายให้กระดูกผุอยู่ตรงนี้ ถ้าไม่สำเร็จอะไรจะไม่ลุกขึ้นเป็นอันขาด แล้วก็นั่งหันหน้าไปทางทิศตะวันออก นั่ง นั่งคิด นั่งคิด คิดค้น คิด คิด คิดค้นไป จนกระทั่งได้ปัญญา ได้ความรู้ในสิ่งทั้งหลายถูกต้อง เรียกว่าตรัสรู้ รู้ว่าทุกข์คืออะไร เหตุให้เกิดทุกข์คืออะไร ความดับทุกข์คืออะไร ทางดับทุกข์มันคืออะไร รู้ เข้าใจแจ่มแจ้ง พิจารณาปฏิจจสมุปบาท ไปโดยลำดับจนกระทั่งสว่าง ก็ได้เป็นพระพุทธเจ้าในวันเพ็ญเดือน ๖ เหมือนกัน ที่ใต้ต้นโพธิ์ที่เมืองพุทธคยา ประเทศอินเดีย ที่พุทธคยานั้นเขาตกแต่งไว้เรียบร้อย มีเจดีย์ใหญ่สร้างไว้เป็นอนุสรณ์ แล้วก็มีแท่นหิน ไอ้สมัยพระพุทธเจ้านั่งไม่มีแท่นหินอะไร นั่งบนดินใต้ต้นโพธิ์แต่เขาทำแท่นหินไปวางไว้ หนาขนาดอย่างนี้สำหรับไว้ไปกราบไหว้บูชา ตรงนั้นเป็นสถานที่สำคัญ เป็นสถานที่เกิดของพุทธะ คือเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานแจ่มใส ความเป็นพุทธะเกิดขึ้นในใจของเจ้าชายสิทธัตถะ พอความเป็นพุทธะเกิดขึ้น เจ้าชายสิทธัตถะหายไป เหลือแต่พระพุทธเจ้า ก็ถือว่าพระพุทธเจ้าเกิดที่ตรงนั้น กิเลสดับไปที่ตรงนั้น มันพร้อมกัน พุทธะเกิดขึ้นกิเลสดับไปพร้อมกันในเวลาเดียวกัน จึงถือว่าได้เกิด ได้ตรัสรู้ ได้นิพพานกันที่ตรงน้ัน แล้วต่อจากนั้นก็ทำหน้าที่ ทำหน้าที่สั่งสอนธรรมะแก่ประชาชนให้เกิดปัญญา เกิดความรู้ความเข้าใจกันต่อไป อันนี้เป็นเรื่องตอนต้นที่เราควรระลึกถึงพระองค์ เราระลึกถึงความดีของพระองค์ ระลึกถึงพระคุณที่ได้ทรงกระทำต่อชาวโลกว่าเป็นอย่างไร เรามานึกถึง วันนี้เป็นวันวิสาขบูชา เราอย่าไปนั่งคุยกันกับใคร นั่งคนเดียวเงียบๆ แม้นั่งในหมู่คนก็เหมือนไม่รู้จัก ปิดปากเสียมั่งทำเป็นคนใบ้ ปิดตาเสียมั่งไม่รู้ไม่เห็นอะไรของคนอื่น ปิดหูเสียบ้างไม่ฟังเรื่องของคนอื่น ฉันจะฟังเสียงพระพุทธเจ้า นั่งฟังพระพุทธเจ้านึกถึงพระพุทธเจ้า แล้วก็ดูว่าพระพุทธเจ้าจะพูดอะไรกับเรา นั่งสงบใจฟัง หรือว่านั่งดูตัวเอง ดูว่าเราเวลานี้คือใคร อายุเท่าไหร่ อยู่ในฐานะอะไร ตำแหน่งอะไร เราทำตนเหมาะสมหรือเปล่า เราเป็นพุทธบริษัทที่ถูกต้องไหม มีความบกพร่องอะไรบ้าง เราเชื่อมั่นในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ไหม หรือว่ากวัดแกว่งไปเพื่อไหว้ผีไหว้เทวดา ไปไหว้ต้นไม้ไหว้เสาไหว้หินไหว้อะไรต่างๆ ก็แสดงว่าความเป็นพุทธบริษัทยังไม่มั่นคง ยังง่อนแง่นคลอนแคลน ยังหลายใจ ยังใช้ไม่ได้ ต้องทำใจให้เป็นใจเดียว นึกถึงพระพุทธเจ้า เอาพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้ามาแก้ปัญหาชีวิต จึงจะเป็นการถูกต้อง
วันนี้จึงขอให้เราสงบจิตสงบใจ แล้วก็มองดูตัวเอง พิจารณาตัวเอง เตือนตัวเอง แก้ไขตัวเองให้เป็นการเรียบร้อย เหมือนกับเกิดใหม่ในวิสาขบูชา แล้วก็รักษาสภาพจิตใจอย่างนั้นไว้ให้อยู่กับเราตลอดไปสิ้นกาลนาน ดังแสดงมาก็สมควรเวลาพอดี ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ ต่อนี้ไปก็ขอเชิญญาติโยมนั่งฝึกจิตกำหนดลมหายใจเข้าออกเป็นเวลา ๕ นาที เชิญได้