แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
วันนี้เป็นอาทิตย์แรกของปี ๘๖ แห่งอายุของอาตมา ก็เมื่อวานนี้เป็นวันเกิดครบรอบ ๘๕ บริบูรณ์ วันนี้วันที่ ๑๒ เป็นวันอาทิตย์ก็ถือว่าเป็นวันอาทิตย์แรกของปี ๘๖ แก่ขึ้นไปอีกปีหนึ่ง ตามธรรมชาติของสังขารร่างกาย แล้วก็ได้ใช้ให้เป็นประโยชน์ ทำหน้าที่ตามสมควรแก่เหตุการณ์มาโดยลำดับ
เมื่อวานนี้ก็ไปเชียงใหม่ ไปเมื่อวันวันซืนอยู่เชียงใหม่ ๒ วัน แล้วก็เมื่อคืนนี้เขามีการประชุมกันที่พุทธสถาน เพื่อสมโภชอาตมาในการที่มีอายุครบ ๘๕ ปีเต็ม แล้วก็สมโภชโยมเจ้าชื่น สิโรรส ซึ่งได้ถึงแก่กรรมไปแล้ว ถ้ามีชีวิตอยู่ก็ร้อยเอ็ดปี ร้อยกะหนึ่งปี เอารูปมาตั้งเพื่อให้ญาติโยมได้เห็นได้พบว่าคนๆนี้เกิดมาทำประโยชน์แก่ศาสนามากมายอย่างไร คนมาประชุมกันเต็มบริเวณพุทธสถาน แล้วก็ได้เชิญท่านอดีตนายกฯคุณชวน หลีกภัย ให้ไปพูดด้วย แต่ว่ารอจนถึงเวลาจึงได้รับโทรศัพท์บอกว่ามาไม่ได้ ก็เห็นใจไปบอกญาติโยมว่าท่านนายกฯชวนมาไม่ได้ เพราะว่าติดธุระ คือหลังจากการอภิปรายแล้วใหม่ๆ ก็มีการพูดคุยกันในลูกพรรค หัวหน้าก็ต้องอยู่เลยปลีกตัวไปไม่ได้
การอภิปรายของพรรคประชาธิปปัตย์ต่อรัฐบาลนั้น ถ้าพูดกันไปแล้วฝ่ายประชาธิปปัตย์หรือฝ่ายค้านชนะร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่รัฐบาลศูนย์ไปได้คะแนนศูนย์ เพราะว่าทำอะไรผิดพลาดหลายอย่าง แล้วก็ตอนสุดท้ายชิงปิดเข้า ชิงปิดประตูซะเลย นั้นก็เป็นการไม่ถูกต้อง ทำให้ประชาชนที่มีปัญญา เว้นไว้แต่พวกที่รักจนไม่ลืมหูลืมตา โดยเฉพาะผู้แทนที่เป็นฝ่ายรัฐบาล เป็นพวกรักรัฐบาลจนไม่ลืมหูลืมตาก็ต้องลงคะแนนให้วันยังค่ำ นึกไว้ล่วงหน้าแล้ว เห็นอภิปรายไปก็ต้องแพ้โวตวันยังค่ำ เพราะว่าพวกผู้แทนเขาเป็นคนถือระเบียบวินัยของพรรค ถ้าหัวหน้าสั่งว่าแดงต้องแดง สั่งว่าดำต้องดำ ทุกคนเป็นเหมือนกัน มีแตกคอกออกไปบ้างก็พรรคอื่น แต่พรรคไทยพรรคชาติไทย เรียกว่าสมบูรณ์เรียบร้อย ก็เรียกว่าชนะโวต แต่แพ้ประชาชน เพราะประชาชนที่มีปัญญาเขามองเห็นว่า ใครทำอะไร มีความผิดอย่างไรควรที่จะละอายแก่ใจ แล้วก็ลาออกไปเสีย อย่ามาทำเป็นรัฐมนตรีหน้าหนาอยู่ต่อไปจึงจะเป็นการถูกต้อง แต่ว่าคอยดูต่อไปว่าคนเหล่านี้เขาแอบคิดอะไรบ้างตามฐานะของเขา
คนไร้ปัญญาทำอะไรก็ไม่ถูกต้อง แต่ถ้าคนมีปัญญาก็ทำอะไรถูกต้อง ธรรมะของพระพุทธเจ้าของเรานั้น สอนคนให้มีปัญญาให้มีความเข้าใจถูกต้องในเรื่องอะไรต่างๆ พระองค์สอนว่าจงมองทุกสิ่งทุกอย่างตามที่มันเป็นอยู่จริงๆ อย่ามองแต่เพียงผิวเผิน อย่าฟังเพียงผิวเผิน อย่าคิดแต่เพียงผิวเผิน ก็ถ้าเราทำอะไรแบบผิวเผิน มันจะเสียหายในภายหลังได้ ท่านจึงบอกว่าให้ไตร่ตรองให้รอบคอบในเรื่องนั้นๆไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรต้องใช้ปัญญาเป็นเครื่องพิจารณา ไม่ทำอะไรตามอารมณ์ หรือตามเขาสั่งให้ทำ การที่คนอื่นสั่งให้ทำอะไร แล้วเราทำตามคำสั่ง โดยไม่คิดหาเหตุผลก็เรียกว่าเป็นตุ๊กตากลที่กดสวิทช์เมื่อใดก็ได้ พอกดปั๊บมันก็ทำอาการตามที่เราต้องการ แต่เป็นคนมีสมองมีสติปัญญา เราจะทำแบบตุ๊กตากลไม่ได้ เราต้องพิจารณาไตร่ตรองอย่างรอบคอบในเรื่องอะไรต่างๆจึงจะพ้นจากปัญหาไปได้
ชาวพุทธเรานั้นควรจะอยู่ตามแบบชาวพุทธ การอยู่แบบชาวพุทธนั้นจะอยู่อย่างไร คือต้องอยู่อย่างเป็นผู้รู้ เป็นผู้ตื่น เป็นผู้มีความเบิกบานแจ่มใส ในหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า อันนี้เป็นหลักสำคัญพูดบ่อยๆ ว่าชาวพุทธต้องเป็นผู้รู้ ต้องเป็นผู้ตื่น ต้องเป็นผู้มีความเบิกบานแจ่มใส ตามหลักธรรมะของพระพุทธเจ้า คำว่าเป็นผู้รู้น่ะหมายความว่าอย่างไร คือรู้ธรรมะอย่างถูกต้องแล้วเอาธรรมะไปใช้เป็นเครื่องวินิจฉัยอะไรต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิต ความทุกข์ ความสุข ความเสื่อม ความเจริญ อะไรต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรานั้น อย่าทึกทักเอาว่ามันเป็นเรื่องภายนอก แต่ต้องเข้าใจตามความจริงว่ามันเกิดจากภายใน คือเกิดจากตัวเราเอง เราเป็นผู้คิด เป็นผู้พูด เป็นผู้ทำ เป็นผู้คบหาสมาคม เป็นผู้ไปมาในที่ต่างๆ แล้วมันก็เกิดอะไรขึ้นในชีวิตของเรา เราจะต้องใช้หลักธรรมเป็นเครื่องพิจารณา เอามาเป็นกระจก เป็นตะแกรง สำหรับร่อนสิ่งเหล่านั้น ให้เหลือแต่เนื้อแท้ที่มันเป็นอยู่จริงๆ เพราะถ้าเราไม่ทำอย่างนั้นเราก็จะกลายเป็นคนงมงาย เชื่อง่ายเชื่อดายเกินไป แล้วคนอื่นก็จูงเราไปตามความปรารถนาของเขา ให้เราหลงผิดเข้าใจผิดไปด้วยประการละต่างๆ
การเป็นอยู่ของพุทธบริษัทในบ้านเมืองของเราในปัจจุบันนี้ อยากจะพูดกับญาติโยมอย่างตรงไปตรงมาว่า เรายังเป็นอยู่ตามแบบที่ไม่ถูกต้องยังมีความงมงาย ยังมีความเชื่อเหลวไหล ยังทำตนให้เป็นคนที่ต้มง่าย หลอกง่าย อยู่เป็นจำนวนไม่ใช่น้อย คือว่าเป็นคนทำตนให้หลอกง่ายต้มง่าย ก็เพราะมีการต้มการหลอกกันอยู่ตลอดเวลา ด้วยเรื่องที่ไม่ค่อยจะเป็นสาระเป็นแก่นเป็นสาร แล้วคนก็เชื่อกัน เราอย่าไปถือความเชื่อของคนส่วนหนึ่งเป็นเครื่องวัดว่าสิ่งนั้นถูกต้อง เพราะถ้าเราเชื่ออย่างนั้นก็เป็นการเชื่อแบบไม่ไม่ถูกต้อง ไปเอาความเชื่อของคนจำนวนมาก แล้วคนจำนวนมากนั้นเป็นคนไม่มีปัญญา เขาทำอย่างนั้นเพราะเขาไม่รู้อะไร เราจะเอาเป็นมาตรฐานไม่ได้ เราจะต้องเอาธรรมะมาเป็นมาตรเป็นฐาน สำหรับวินิจฉัยว่าอะไรถูกอะไรผิด อะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ
แปลว่าพี่น้องชาวพุทธในบ้านเมืองของเรานั้นยังเป็นคนที่อยู่ในสภาพที่น่าสงสาร น่าสงสารเหลือเกิน น่าสงสารเพราะอะไร เพราะว่าไม่ได้รับคำสอนที่ถูกต้องไม่ได้ฟังไม่ได้อ่านไม่ได้คิดในเรื่องที่ถูกต้อง ตามสภาพที่เป็นจริง อันนี้เป็นความผิดของใคร ก็จะบอกตรงไปตรงมาว่าเป็นความผิดของพระเรานี่เอง เพราะพระเราที่เป็นนักบวชในพระพุทธศาสนา ไม่ค่อยจะสนใจศึกษาธรรมะให้ลึกซึ้ง แล้วก็ไม่มีการเทศน์การสอนประชาชน เพื่อให้เกิดปัญญา ให้เกิดความรู้ความเข้าใจ เป็นสมภารเจ้าวัดแต่ไม่มีหน้าที่ ไปทำหน้าที่อื่น ทำหน้าที่สร้างวัตถุกันเสียเป็นส่วนมาก ไม่ได้สนใจศึกษาธรรมะ ไม่ได้สนใจที่สอนคนให้เกิดปัญญา เกิดความรู้ความเข้าใจ วัดไหนเคยทำอะไรอย่างไร สมภารองค์นั้นตายไป องค์ใหม่เกิดขึ้นก็ทำแบบนั้นต่อไป วัดไหนสมภารเป็นหมอดู สมภารองค์ใหม่ก็เป็นหมอดูต่อไปหาชื่อหาเสียงทางการเป็นหมอดูต่อไป วัดไหนทำอะไรที่เป็นเรื่องไสยาศาสตร์ เช่นว่าสร้างพระเครื่อง ปลุกเสกหลวงพ่อขาย องค์ต่อมาก็ปลุกเสกขายกันต่อไป แล้วคนมันจะลืมหูลืมตากันได้อย่างไร เพราะผู้นำยังไม่ลืมหูลืมตา ยังไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรที่แท้จริง คำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นอย่างไร ไม่สนใจศึกษา ไม่อ่านหนังสือที่ควรอ่าน ไม่คิดในสิ่งที่ควรคิด ไม่สอนในสิ่งที่ควรสอนยืนอยู่อย่างไรก็อยู่อย่างนั้น เคยโง่อย่างไรก็โง่อยู่อย่างนั้น เคยงมงายอย่างไรก็งมงายกันอยู่อย่างนั้น แล้วก็ทำกันอยู่อย่างนั้นตลอดเวลา พุทธศาสนิกชนจะดีขึ้นได้อย่างไรไม่มีทางที่จะดีขึ้น แล้วไม่มีนโยบายในการที่จะสอนคน อบรมคนทั้งผู้ใหญ่ทั้งผู้น้อย ผู้ใหญ่ก็ส่งเสริมความงมงายเหมือนกัน ส่งเสริมแต่เรื่องไสยาศาสตร์ เรื่องเหลวไหลต่างๆนาๆ ทำพิธีรีตองปลุกๆเสกๆในเรื่องอะไรต่างๆขายกันเกร่อไปหมดราคาก็แพงไม่เสียภาษีด้วย อย่างนี้จะทำให้ธรรมะของพระพุทธเจ้าเข้าถึงคนได้อย่างไร คนจะเข้าถึงธรรมะได้อย่างไร ว่าทำกันหมดทั้งบ้านทั้งเมือง ผู้ที่จะเผยแผ่ธรรมะก็มีบ้างแต่มันน้อยสู้ไม่ไหว ถ้าพระเพียงสององค์โจรตั้งห้าร้อย พระก็แพ้โจรวันยังค่ำ ก็เหมือนกับในสภานั่นล่ะ เรียกว่าคนดีมีจำนวนนึง แต่คนไม่ดีมันมากมันก็แพ้โวตวันยังค่ำเหมือนกัน ประชาธิปไตยมันก็ยังไม่ถูกต้องเพราะว่าถือพวกมากลากไปไม่ใช่ลากไปเฉยๆยังมีรางวัลให้ด้วย มีรางวัลให้ทุกครั้งที่มีการทำอย่างนั้น มันก็ติดเหยื่อติดอามิสหลงไหลในเหยื่อในอามิสทำให้สิ่งที่ถูกต้องไม่มี เพราะเกิดอคติ เกิดความรัก ความชัง ความกลัว ความหลงอยู่ในใจ ทำอะไรจึงไม่ถูกต้อง อันนี้เป็นเรื่องที่เราเห็นอยู่ในสังคม ว่าสังคมไทยเรานั้นมีสภาพหลับหูหลับตาเดินกัน ไม่ลืมหูลืมตาเดิน เพราะผู้นำก็ไม่ลืมตาแล้วผู้ตามจะลืมตาได้อย่างไร ผู้นำไม่นำให้คนฉลาดแล้วผู้ตามจะเป็นคนฉลาดขึ้นได้อย่างไร ถ้าใครทำคนให้ฉลาด บางทีเขาอาจจะว่าว้าอย่าไปเชื่อองค์นั้นแกพูดแผลงๆอย่างนั้นล่ะ ใครพูดถูกหาว่าพูดแผลงไอ้ทำไม่ถูกหาว่าทำถูกไปยกย่องชมเชยกัน อย่างนี้แล้วจะก้าวหน้าได้อย่างไร นี่เป็นเรื่องที่น่าคิด
ญาติโยมที่มาวัดชลประทานมานานๆแล้วก็คงจะฉลาดขึ้นบ้าง มีความเข้าใจถูกต้องบ้าง เราพูดบ่อยๆเตือนบ่อยๆในเรื่องความหลงผิด ความเข้าใจผิด ความงมงาย ความเชื่อที่ไม่เข้าเรื่องมีอยู่ แต่คนที่ไม่ได้มาวัดชลประทานมีมากเหมือนกัน ไม่ได้ฟังเทศน์ทางวิทยุก็มี ไม่ได้ฟังเทศน์ทางโทรทัศน์ก็มีอยู่ไม่น้อย แต่ถ้าได้ฟังอยู่บ่อยๆ เขาก็ลืมหูลืมตาขึ้น มีความเชื่อถูกตรงตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าไม่เป็นคนงมงายในหมู่นั้นต่อไป แต่คนในหมู่นั้นก็ไม่ค่อยชมชอบเท่าใด หาว่าคนนี้มันอุตริไม่เข้าเรื่องทำอะไรไม่เหมือนเพื่อนมันเป็นอย่างนั้น กลายเป็นแกะดำในฝูงแกะดำไป เอ้ย แกะขาวไปเป็นอย่างนั้น คนดีกลายเป็นแกะดำแต่คนชั่วกลายเป็นแกะขาว เพราะว่ามันมาก มันทำเหมือนกัน จึงเกิดอย่างนั้น จึงต้องหาวิธีการที่จับทุกคนให้ตื่นจากความหลับไหลความเมากันด้วยประการละต่างๆ เพื่อให้คนได้เกิดปัญญาเกิดความรู้ความเข้าใจถูกต้อง
ในฐานะที่เราเป็นพุทธบริษัทจึงต้องเป็นผู้รู้ คือต้องรู้ธรรมะของพระพุทธเจ้า รู้ว่าพระพุทธเจ้าสอนเรื่องอะไร ที่เราควรจะศึกษาควรทำความเข้าใจ เรื่องสำคัญที่พระพุทธเจ้าสอนเรานั้น คือสอนเราให้รู้จักตัวเองถูกต้อง อันนี้เป็นเรื่องใหญ่เป็นเรื่องสำคัญประการแรกคือให้ทุกคนรู้จักตัวเอง รู้ว่าตัวเราคือใคร ตัวเรามีหน้าที่อะไร เราควรทำอะไรควรจะประพฤติอย่างไร นี่เป็นเรื่องสำคัญ คนเราถ้าไม่รู้จักตัวเองก็ทำอะไรไม่ถูกต้อง เพราะไม่รู้ตัวเองก็ไม่รู้หน้าที่ของตัวว่าตัวมีหน้าที่อะไร ควรทำอะไรไม่รู้ไม่เข้าใจชีวิตก็จะเหลวแหลก อยู่อย่างเป็นทุกข์ตลอดเวลา แต่ถ้าเราเริ่มต้นเรียนรู้จักตัวเราเองถูกต้อง ว่าตัวเราเองนี้คือใคร ตัวเรามีหน้าที่อะไร กิจที่ควรทำคืออะไรแล้วเราก็ทำหน้าที่นั้นได้ถูกต้องให้เรียบร้อยชีวิตก็จะดีขึ้น อันนี้เป็นความรู้เบื้องต้นชั้นธรรมดาสามัญ แต่ควรจะต้องรู้ต้องเข้าใจ เพราะมีคนจำนวนมากที่ไม่รู้จักตัวเอง แล้วก็ไม่รู้ว่ามีหน้าที่อะไร ควรทำอย่างไร พ่อไม่รู้หน้าที่ของพ่อ แม่ไม่รู้จักหน้าที่ของแม่ ครูไม่รู้จักหน้าที่ของครู ลูกไม่รู้จักหน้าที่ของลูก ศิษย์ไม่รู้จักหน้าที่ของศิษย์ พลเมืองในชาติไม่รู้จักหน้าที่ว่าตนมีหน้าที่อะไรที่จะต้องจับต้องทำ เลยทำตนไม่ถูกต้องสร้างปัญหาขึ้นในสังคมด้วยประการละต่างๆ อันนี้ก็เพราะว่าขาดการศึกษา การอบรมบ่มนิสัย ให้เกิดความรู้ความเข้าใจถูกต้องในเรื่องชีวิตของตนเอง
เพื่อให้รู้จักตัวเองการรู้จักตัวเองจึงเป็นเรื่องสำคัญชั้นต้น เช่นเราเป็นคนไทย เราก็ต้องรู้จักว่าเราเป็นใคร ความเป็นไทยนั่นมันอยู่ที่อะไร อยู่ที่จิตใจที่เป็นไทย ไม่ใช่อยู่ที่ร่างกาย ไม่ใช่อยู่ที่รูป (17:07) ไม่ใช่อยู่ที่วัฒนธรรมประเพณีภายนอก สิ่งนั้นเป็นแต่เครื่องประกอบเท่านั้น แต่รากแท้ของความเป็นไทยนั้นอยู่ที่จิตใจ จิตใจของคนที่เป็นไทยนั้นคือจิตใจที่มีความเป็นอิสระอยู่ตลอดเวลา เพราะคำว่าไทยนั้นหมายถึงอิสรภาพ เสรีภาพที่ถูกต้อง ใจเป็นอิสระคือไม่ตกอยู่ในอำนาจของอะไรๆที่เป็นธรรมชาติฝ่ายต่ำ
ถ้าพูดในทางวัตถุเราก็ไม่เป็นทาสของวัตถุ เช่นไม่เป็นทาสเครื่องเสพติดไม่เป็นทาสสุราเมรัย และสิ่งเสพติดประเภทต่างๆ ไม่เป็นทาสของการพนัน ไม่เป็นทาสความสนุกสนานในทางสิ้นเปลืองหมดเงินหมดทอง ไม่เป็นทาสเพื่อนชั่วที่มาคบหาสมาคมกันแล้วก็ชวนเราไปทำชั่ว เข้าแบบที่ว่าคบคนเช่นไรก็จะเป็นเช่นคนนั้น เราไม่ตกอยู่ในอำนาจของเพื่อนอย่างนั้น แล้วก็มีการทำงานเพื่อถูกต้อง คือทำงานด้วยใจรัก ทำงานด้วยความขยัน ทำงานด้วยความเอาใจใส่ ทำงานด้วยการใช้สติปัญญา เมื่อทำงานถูกต้องผลก็ถูกต้อง คือได้เงินได้ทรัพย์สมบัติมากินมาใช้ เงินทองทรัพย์สมบัติที่เราได้มานั้น เราก็ต้องใช้เป็น เก็บเป็นใช้เป็น ทำให้เจริญงอกงามต่อไปเป็น เข้าแบบที่เรียกว่ารู้จักเก็บ รู้จักใช้ รู้จักทำให้มันเจริญงอกงามต่อไป เราบางทีไม่รู้จักหาเงิน หามาได้แล้วใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย ชอบกินของแพง ชอบซื้อของแพง ซื้อของที่ไม่จำเป็นมาใช้ มีมากมายในบ้านในเรือนที่ไม่จำเป็น เอามาตั้งมาวางไว้ให้มันรกบ้านรกเรือน แต่ไม่ค่อยจะได้ใช้เท่าไรแล้วก็ชอบซื้อของแพง เสื้อผ้าแพงๆ เครื่องประดับกายแหวนพลอยเพชรอะไรต่างๆราคาแพงๆ เอาไปแต่งอวดกัน อวดกันเพื่อให้ขโมยมันเห็นแล้วมันจะได้น้ำลายไหลแล้วมันจะได้ตามมาทุบหัวเรา เพื่อเอาแหวนบ้าง เอาสายสร้อยบ้าง เอาเครื่องประดับที่เราประดับร่างกาย นี่มันไม่ได้สาระอะไร
แต่เพราะไม่รู้ไม่เข้าใจ ว่าไอ้สิ่งนั้นมันจำเป็นแก่ชีวิตหรือไม่ ความจริงไม่ได้จำเป็นอะไร อาหารจำเป็น เสื้อผ้าจำเป็น ที่อยู่อาศัยจำเป็น ยาแก้ไข้เป็นสิ่งจำเป็น แต่เครื่องประดับประดาราคาแพงมันก็ไม่จำเป็นอะไรที่จะเอามาตกมาแต่งให้มันหรูหราฟู่ฝ้า เวลาเข้าสังคมก็เอาไปอวดกัน คุณนายรัฐมนตรีนั้น คุณนายรัฐมนตรีนี้ เครื่องเพชรแพรพลอยประจำตัวมากมาย ได้มาทางอะไรก็ไม่รู้ มีใครเอามาให้สินบนแล้วไปแต่งก็ไม่รู้ แต่งไปอวดกัน อวดความมั่งมี ทีนี้คนไม่มีก็อยากจะมีไว้อวด มีไว้อวดหาทางถูกไม่ได้ก็ต้องหาทางผิด เป็นเหตุให้เกิดการคอรัปชั่นกินบ้านกินเมือง เกิดความเสียหาย เพราะความสุรุ่ยสุร่ายในการใช้จ่ายเงินทอง ไม่รู้จักเก็บหอมรอมริบไม่รู้จักประหยัดอดออมก็เกิดปัญหาขึ้นในสังคม เป็นเหตุให้วุ่นวายกันอยู่ในปัจจุบันนี้ นี่ก็คือความเสียหาย เราไม่ได้ใช้ปัญญาไม่ได้คิดว่าเราต้องมีสิ่งนี้หรือเปล่า ไม่มีสิ่งนี้อยู่ได้ไหม กินข้าวได้ไหม นอนหลับได้ไหม ทำงานการได้ไหม เราไม่ได้คิด คิดเห่อตามเขาเอาอย่างเขา เห็นช้างขี้ก็จะขี้แข่งกับช้าง มันก็ลำบากตัวมันไม่เท่ากันจึงเกิดความทุกข์ เกิดความเดือดร้อนกันด้วยประการละต่างๆ นี่คือตัวปัญหา เพราะไม่รู้จักว่าเงินทองที่ควรใช้จะใช้อะไร เรามีไว้ทำไมมันก็เกิดความทุกข์เกิดความเดือดร้อนใจ เป็นปัญหาแก่ชีวิตด้วยประการล่ะต่างๆ ท่านจึงสอนให้มีปัญญา ให้รู้จักความจำเป็นของการตกแต่งร่างกาย ไม่สุรุ่ยสุร่าย
ไปต่างประเทศ เช่นว่าไปอิสราเอล ก็เห็นพวก็น็Hชาวอิสราเอลมันไม่ค่อยจะแต่งตัวอะไร ไม่มีสายสร้อยไม่มีอะไร ประดับประดาร่างกาย แม้เครื่องสำอางค์เขาก็ไม่ค่อยได้ใช้ เขาก็อยู่กันได้อยู่กันอย่างเรียบร้อย ประเทศจีนก็ไปเห็นปักกิ่งมันก็เหมือนกัน พวกผู้หญิงที่พบบ้างที่ตามที่ทำงานต่างๆ เขาก็แต่งตัวเรียบๆไม่โผงผางอะไรนักหนา ไม่มีเครื่องประดากาย ไม่มีทอง ไม่มีเพชรสำหรับประดับประดาร่างกาย เขาอยู่อย่างคนที่ค่อนข้างจะยากจนในสายตาของเรา แต่เขาก็อยู่สบายไม่เดือดร้อน เพราะมันเหมือนกันหมด ไม่มีการแข่งขันกันในการใช้ ผู้หญิงที่ทำงานตามร้านอาหารก็แต่งตัวเรียบๆง่ายๆไม่หรูหราอะไรนุ่งกางเกงยาวถึงข้อเท้าใส่เสื้อสีแดงยาวถึงข้อมือ หน้าตาก็เรียบๆไม่แต้มสีให้มันฉูดฉาดบาดตากันจนจำหน้ากันไม่ได้ เขาก็อยู่ได้เขาทำงานในร้านอาหารเขาก็ไม่มีสิ่งฟูมเฟือย เขาไม่มีดนตรีไว้ล่อคน ไม่มีระบำจ้ำบ่ะไว้ล่อคนไปกินอาหาร ให้คนไปกินอาหารอย่างเดียว ไม่ต้องกินทางตา ไม่ต้องกินทางหู ไม่ต้องกินทางสัมผัสจับต้องไอ้พวกเดินอาหาร เขาก็อยู่กันได้ คนไปกินเขารีบกิน กินเสร็จแล้วก็ไปกลับไปบ้านไปหลับไปนอน ไม่ต้องเสียสตางค์มากไม่ฟูมเฟือยสุรุ่ยสุร่าย ผิดกับบ้านเรา ร้านอาหารแล้วคนเดินอาหารก็แต่งตัวนุ่งน้อยห่มน้อย เปิดนั่นเปิดนี่ให้มันลับๆล่อๆไอ้คนกินอาหารก็จะได้ชำเลืองดู กินอาหารเสร็จแล้วก็จะได้หิ้วไปเข้าโรงแรมม่านรูด แล้วก็เกิดการลูกไม่มีพ่อต้องเอาเด็กออกมากมาย เสียหายเยอะแยะปีหนึ่งฆ่าคนเสียตั้งเป็นหมื่นน่ะเมืองไทย เพราะว่ามันไม่ตั้งใจจะให้เกิด สิ่งนี้มันเกิดเพราะว่าความฟูมเฟือย ความสุรุ่ยสุร่าย มันผิดแบบของพุทธบริษัท พุทธบริษัทต้องอยู่แบบเรียบๆง่ายๆไม่ฟุ้งเฟ้อกลางคืนก็อยู่บ้าน ไม่ไปเที่ยวไปเตร่มันก็ดี กรุงปักกิ่งกลางคืนก็ไม่มีคนเที่ยว เขากลับบ้านเขาไปหลับไปนอนกัน รุ่งขึ้นทำมาหากินกันต่อไป
ประเทศนิวซีแลนด์ก็เหมือนกัน ไปเมืองฝรั่งกลางคืนสองทุ่มคนไม่มีเดินในตลาดแล้ว เขาปิดทำงานหมดเขาไปนอน กลับบ้านไปหลับไปนอน ที่จะกลับมาเที่ยวให้มันเสียเวลาเขาไม่มา บ้านเมืองก็สงบเรียบร้อย บ้านเมืองสะอาดคนก็ใจสงบใจดีเราจะไปถามอะไรเขาก็อธิบายซะยืดยาวกลัวเราจะไม่เข้าใจไม่พูดส่งเดชแต่อธิบาย อธิบายแล้วเกรงเราไม่เข้าใจ ขับรถนำไปส่งถึงที่เลยน้ำใจเขาอย่างนั้น พลเมืองไม่มากเพียง ๓ ล้านคนเท่านั้น แต่ว่าแกะมีตั้ง ๗๕ ล้าน พลเมืองแกะมากกว่าประชากรมนุษย์ เขาเลี้ยงแกะขายตัดขนไปส่งขาย ส่งเนื้อไปขายประเทศอาหรับ ส่งไปทั้งตัวเลย เอาไปฆ่าไปแกงกันที่โน่น คนเขาอยู่กันเรียบร้อยมีลูกมีหลานจะส่งไปเรียน ส่งไปเถอะถ้าไปเรียนประเทศนิวซีแลนด์แล้วกลับมาก็มาด้วยเป็นผู้เป็นคนไม่เหลวไหล แต่ถ้าส่งไปอเมริกาอันนี้ไม่แน่ เพราะเมืองฟุ้งเฟ้อ อเมริกาเมืองเห่อเหิม มันไม่ค่อยมีระเบียบวินัยเท่าไหร่ คนอเมริกันมันอยู่กันอย่างนั้น และคนจิตทรามมาก มันทำอะไรแปลกๆ บางทีมันขับรถยนต์พุ่งเข้าไปในร้านที่คนกำลังกินอาหารชนแหลกไปเลยคนตายตั้งหลายคน บางคนมาถึงยืนหน้าร้านเอาปืนยิงกราดไปคนตายไปตั้งสามสิบกว่าคน มันพวกจิตทรามมีมากเพราะความฟุ้งเฟ้อ ไม่ใช่เรื่องอะไร ไม่รู้จักบังคับตัวเองควบคุมตัวเองใจมันไม่ ความเป็นอยู่มันไม่เทียมคนอื่น เลยริษยาคนอื่นต้องฆ่ามันซะทีเถอะไอ้พวกนี้เลยไปฆ่าคน มีบ่อยๆโรงพยาบาลโรคจิตมีคนมากไปอยู่กันมากกว่าบ้านเรา บ้านเรานี่อาศัยหลักธรรมของพระพุทธเจ้าทำให้คนรู้จักยับยั้งชั่งใจรู้จักปรับตัวเองให้เข้ากับสถานการณ์เลยไม่ค่อยเสียหาย แต่ก็มีมากขึ้นในปัจจุบันเพราะคนมันขาดการมาวัด ขาดการถือศีลฟังธรรม ไม่มีความคิดถูกต้องก็เป็นเหตุให้จิตใจตกต่ำไปด้วยประการล่ะต่างๆ อันนี้ถือเป็นเรื่องน่ากลัวที่มันเป็นอยู่ในสังคมในยุคปัจจุบันนี้ เราจึงต้องหาวิธีที่จะเอาแสงธรรมส่องเข้าไปในหมู่คนเหล่านั้น ให้จิตใจเขาได้ลืมหูลืมตาตื่นตัวตื่นใจ ในเรื่องเกี่ยวกับสิ่งสำคัญสำหรับชีวิต คือพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า
ในสมัยเมื่อพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ เคยมีพวกผู้หญิงจำนวนมาก คือธรรมเนียมอินเดียเขาไม่ให้ผู้หญิงออกนอกบ้าน ไม่ให้ไปไหนเขาเก็บไว้ในบ้าน เป็นทรัพย์สมบัติของเขาจึงมีคำพูดว่า อิตถีปัญจานมุทานัง (27.55) สตรีเป็นทรัพย์สมบัติชั้นสูง เก็บไว้ที่บ้านไม่ได้ไปไหน แต่เมื่อพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นในโลก ท่านให้เสรีภาพแก่สุขสตรีทั้งหลาย ให้ไปไหนมาได้ ให้ไปบวชในพระพุทธศาสนาได้ มาวัดเพื่อการฟังธรรมได้ อะไรต่างๆ อันนี้คนบางพวกมันยังไม่ได้ไป ก็คิดวางแผนว่าเราจะทำอย่างไรเราจะได้ไปเที่ยวสนุกกันบ้าง ก็มีคนหัวแหลมบอกว่ามันต้องชวนนางวิสาขาไปให้นางวิสาขาเป็นผู้นำเรา พาเราไปสู่องค์เชตวันวิหาร แล้วก็ไปหานางวิสาขา แล้วก็บอกว่าพวกหนูอยากจะไปวัดไปวาแต่ไม่มีใครนำ อยากให้ท่านนำไปหน่อย นางวิสาขาก็นึกดีใจว่าไอ้พวกนี้มันใกล้ธรรมะสนใจศึกษาความดี เอาไปด้วยกัน แต่พวกนั้นมันใจมันไม่ซื่อ เวลาไปมันเอาเหล้าไปด้วย ใส่ขวดน้อยๆเหน็บไว้ที่ชายผ้า แต่งตัวแบบแขกที่เราเห็นพาหุรัดเยอะแยะเหน็บไว้ชายผ้า เดินไปไม่มีรถนิสมัยนั้น เดินไปเดินมาไอ้นั่นเอาขวดเหล้ามาดื่มกันไป ดื่มจนเมาลืมตัว คนเราพอเหล้าเข้าปากแล้วมันหมดเนื้อหมดตัวหมดความเป็นไท หมดความเป็นมนุษย์ หมดความเป็นพุทธบริษัท แล้วก็พอไปถึงวัดพระพุทธเจ้าประทับนั่ง พวกนั้นเข้าไปไหว้ท่าทางแปลกๆเมา แล้วก็ลุกขึ้นเต้นแร้งเต้นกาต่อหน้าพระพุทธเจ้า เรียกว่าไปเต้นรำให้พระพุทธเจ้าดู พระพุทธเจ้าได้แลเห็นพวกนี้มันเลอะเทอะเต็มทีแล้ว ทำอย่างไร ก็ทรงใช้อำนาจจิตทำให้สถานที่นั้นมืดไปเลยๆ พอมืดพวกนั้นก็ตกใจ หวีดว้ายโวยวาย มีอะไรผิดปรกติออกมาหลายคน ตกใจมืดไปหมด มันไม่ทันรู้ตัวมืดทันทีๆ พระองค์ก็ค่อยๆทำเปล่งรัศมีส่องไป เหมือนกับใช้ไฟฉายไปที่คนเหล่านั้น พวกนั้นพอได้เห็นแสงสว่างก็ลืมหูลืมตาขึ้น แล้วพระองค์ก็ตรัสว่า น่าหัวเราะอะไร น่าร่าเริงอะไร เมื่อโลกสันนิวาสนี้ถูกความมืดหุ้มห่ออยู่ ทำไมสูเจ้าทั้งหลายจึงไม่หาดวงประทีปส่องใจ ท่านตรัสว่าอย่างนั้น พวกนั้นก็รู้สึกกลัวหายเมาแล้วก็นั่งเรียบร้อย พระองค์ก็แสดงธรรมให้ฟัง
ธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าน่าหัวเราะอะไร น่าร่าเริงอะไร เมื่อโลกนี้ถูกหุ้มห่อไว้ด้วยความมืดคือกิเลส ทำไมจึงไม่หาแสงสว่างส่องใจ แสงสว่างคือธรรมะเอามาส่องใจ ใจจะได้หายมืดหายบอดเสียบ้างตรัสออกไปอย่างนั้นเป็นเครื่องชี้ให้เห็นว่าสภาพโลกเป็นอย่างนี้ ความริษยาพยาบาทอาฆาตจองเวร ความมัวเมาในวัตถุที่ตนจะมีจะได้ มันหุ้มห่อใจมืดไปหมด ถ้าว่าต้องการอะไรก็ต้องเอาให้ได้ ถ้าไม่ได้ดังใจก็เกิดโกรธแค้นชิงชัง ในสมัยนี้เขาเรียกว่าประโยชน์ขัดกัน พอประโยชน์ขัดกันแล้วก็อยู่ร่วมโลกกันไม่ได้แล้ว มันต้องตายไปข้างหนึ่ง ถ้ามึงอยู่กูตาย มึงต้องตายกูจึงจะอยู่ อะไรอย่างนั้น นี่คือความมืดในจิตใจ คนไม่มีแสงธรรมส่องใจ ก็เลยวางอุบายฆ่าแกงกัน ตามที่เราได้ยินข่าวกันอยู่บ่อยๆแม้ในสังคมของคนที่เจริญภายนอก แต่ภายในไม่เจริญ คือเจริญภายนอกแต่งตัวดี มีบ้านดีมีรถยนต์ดีใช้ แต่จิตใจยังตกต่ำ ยังถูกความมืดคือ ความโลภ ความโกรธ ความหลง หุ้มใจอยู่ ไม่เอาแสงสว่างส่องใจ ถ้าชวนให้มาวัดไม่มา แม้พระมาเทศน์ใกล้ๆก็ไม่มาไม่มีใครสนใจที่จะมา เมื่อคืนไปเทศน์ที่พุทธสถาน ใกล้บ้านผู้ว่าการจังหวัดผู้ว่าก็ไม่มาไม่มีใครมา ข้าราชการไม่มา มีแต่ชาวบ้าน ข้าราชการไม่กล้ามา เพราะรู้ว่าคุณชวนจะไปพูด เวลามาเดี๋ยวใครมาจดชื่อว่าไอ้นี่มาฟังคุณชวน มันๆไม่ดีไม่มีธรรมะไม่เป็นประชาธิปไตย ไม่เปิดโอกาสให้ใครทำความดี ต้องคอยกีดกันกันไว้
คราวหนึ่งสมัยโน้นนานมาแล้ว หลวงพ่อจะไปฉายหนังกลางแปลงที่อยุธยา ทางนี้ก็ไปขออนุญาติผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้ว่าราชการจังหวัดก็แก่แล้วจะออกอีกสองเดือนก็จะออกแล้ว แกบอกเอไม่ได้โว้ย ท่านปัญญานี่มันพวกไหน พวกก๊กไหน หมายความว่าพวกจอมพลหรือว่าพวกท่านปรีดี สมัยนั้นมันสองพวกไง ท่านปรีดีพวกหนึ่ง จอมพลพวกหนึ่ง เอท่านปัญญานี่เป็นพวกไหน ไม่ๆรู้ว่าพวกไหน ความจริงท่านปัญญาเป็นพวกพระพุทธเจ้า ไม่ใช่พวกจอมพลป.หรือท่านปรีดีอะไรล่ะ แต่ก็ชมเชยคนที่ยิ้ม ถ้าใจดีเราก็ชมเชย ถ้าใจบ้าเราก็ติไปตามเรื่อง แกเลยไม่อนุญาตเพราะไม่รู้ว่าเป็นพวกไหน เลยต้องฉายในบ้าน มันแคบคนนั่งไม่ได้มากเท่าไหร่ นี่เป็นเครื่องแสดงว่าไม่กล้าไม่เป็นตัวเอง ไม่เป็นไทแก่ตัว ไม่เป็นผู้รับใช้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แต่ไปก้มหัวให้แก่นักการเมือง ทีนี้ก็อยู่ใต้อำนาจของนักการเมืองสุดแล้วแต่นักการเมืองจะสั่งให้ทำอะไร ถ้าทำไม่ถูกกลัวกะผิด ทำดีก็เสมอตัว เลยไม่กล้าตัดสินใจทำอะไร แม้ในเรื่องที่ถูกต้องนะมันเป็นอย่างนั้น
เพราะฉะนั้นเมื่อคืนนี้ไม่มีพวกข้าราชการ ไม่มาพบกลัวจะถูกจดชื่อว่าเป็นพวกฝ่ายค้าน อย่างนี้มันก็ไม่ถูกต้อง กลัวไม่เข้าเรื่อง กลัวด้วยความโง่ไม่ได้ใช้ปัญญาเป็นเครื่องพิจารณา เรามาวัดมันจะเสียหายอะไร ใครจะมาพูดมาจาเราก็ฟังไปตามประสา ท่านนายกชวนท่านก็พูดดี ไม่เคยพูดร้าย พูดอะไรท่านพูดดีๆนิ่มๆทั้งนั้น ไม่ได้แช่งใครให้มันเป็นแผลทันทีนะ แต่ไปนอนเจ็บอยู่ที่บ้าน ท่านพูดแล้วไปนอน เอ มันด่ากูนิหว่าไปนอนเจ็บอยู่ที่บ้าน ท่านพูดนิ่มๆ ดูคืนที่ท่านพูดอะไรตอนสุดท้ายพูดดี หลวงพ่อนั่งฟังอยู่ ไม่ได้ฟังด้วยความลำเอียง ฟังว่าออพูดเขาดีเหมือนกัน ท่านนิสัยท่านอย่างนั้น เป็นคนพูดอย่างนั้น แต่คนบางคนก็ไม่กล้าไปกลัวจะเสียหาย อย่างนี้เป็นตัวอย่าง คือไม่ใช้ปัญญา ไม่ได้พิจารณาเหตุผลอะไรถูกอะไรผิดอะไรควรทำอะไรไม่ควรทำ เพราะถูกความโง่คือความกลัวมันหุ้มห่อใจ กลัวจะอย่างนั้นกลัวอย่างนี้ อันนี้คนเราที่กลัวเพราะอะไร คือว่าจิตใจไม่ ไม่เป็นตัวเอง ไม่กล้าตัดสินใจ ไม่กล้าทำอะไร เพราะกลัวว่าตัวจะเสียหายในเรื่องบางเรื่อง เลยไม่กล้า ถ้าเรารู้กฎหมาย รู้เรื่องราวต่างๆ แล้วทำตามหน้าที่ ทำตามกฎหมาย ใครจะว่าอะไรเราได้ คงจะไม่ว่าอะไร
แต่ว่าบ้านเมืองเราไม่ได้ถือธรรมะกันเป็นหลัก ถือกิเลสเป็นหลักกันเป็นอยู่เป็นจำนวนมาก มันจึงเกิดปัญหาดังที่กล่าวแล้ว จึงไม่กล้าจะทำอะไรที่ควรจะทำ ให้เป็นการถูกต้องอย่างนี้ก็มีอยู่ไม่ใช่น้อย จึงเกิดความเสียหาย แต่ถ้าเรามีสติมีปัญญาตามหลักการของพระพุทธเจ้า เราไปในฐานะเป็นพุทธบริษัท ไปหาพระไปฟังธรรมไปร่วมกับประชาชนแล้วจะเสียหายอะไร คนที่ไม่รู้จักศัพท์มนุษย์สัมพันธ์คือไม่เข้าร่วมกับประชาชน ประชาชนเขาทำอย่างนี้ไม่ไป ไม่ไปร่วมก็เกิดอาย เหมือนเรื่องที่จังหวัดพัทลุงความจริงก็ไม่มีอะไร คือว่าคนพัทลุงที่บางคนมุ่งทางวัตถุไปนิมนต์หลวงพ่อคูณ เอามาวางศิลาฤกษ์จากศาลาป่าช้า เพื่อจะได้เงินแล้วคนจะได้มาหาหลวงพ่อคูณให้ท่านเขกกบาลกันแล้วก็จะได้เงิน อันนี้หลวงพ่อคูณก็มา มาถึงก็ทำพิธีวางศิลาฤกษ์ ศิลาฤกษ์วางเสร็จแล้ว ลื้อมาทำไม่ถูกต้อง ลื้อพาหลวงพ่อคูณไปบ้านเลย ไปที่จวน ไปที่จวนนัดข้าราชการมารออยู่ที่นั่นเรียกว่าประดับบารมีผู้ว่าหน่อย การที่นั่นก็ไปพวกปัญญาอ่อนก็ไป แต่พวกปัญญากล้ามันก็ไม่มาเหมือนกัน มาก็เข้าไปให้หลวงพ่อเขกกบาลกันเป็นแถว พวกโน่นมันก็ขาดทุน ขาดทุน พอขาดทุนก็ชาวบ้านคนมันไม่ใช่น้อยน่ะที่มานะ มารออยู่เป็นคนตั้งหมื่น หมื่นกว่านะวัดต้องเลี้ยงอาหาร จังหวัดพัทลุงเวลามีงานต้องเลี้ยงคนด้วยน่ะหุงข้าวเป็นกระทะ สิบกระทะต่อวัน หุงแกงให้คนกินกันเป็นงานใหญ่ ก็ต้องมารอหลวงพ่อคูณ รออยู่ด้วยความโมโห ไม่ใช่เรื่องอะไร ก็เขาเอาหลวงพ่อคูณ คนมันก็กรูเข้าไป แล้วก็มีพวกสจ มาร่วมงานอยู่ด้วยก็ชวนกันไปปิดถนนเสียเลย ไม่ให้รถผ่านไปผ่านมาเรียกว่าเป็นม๊อบปิดถนน ไล่ผู้ว่าด้วย ว่าไม่เอาแล้วผู้ว่าคนนี้ มันไปกันใหญ่ ก็แกเอาหลวงพ่อคูณมาที่บ้านเสร็จแล้ว แกส่งด้วยเฮลิคอปเตอร์ไปหาดใหญ่ เพราะถนนมันปิดไปไม่ได้ ชาวบ้านสะตึกจึงเรียกร้อง เรียกค่าเสียหายจากผู้ว่า ขอย้ายแล้วขอให้หาเงินมาให้วัดแปดแสน ปลัดกระทรวงก็ไปนะ เวลานั้นหลวงพ่อไม่อยู่ไปเมืองจีนนะ ถ้าอยู่ก็จะบินไปเหมือนกันนะ เนี่ยมันก็ไปกันใหญ่ เวลานี้ท่านผู้ว่าต้องไปนอนพักผ่อน เรียกว่าลาพักร้อน ไม่ใช่พักร้อนไปนอนร้อนอยู่ที่บ้าน ร้อนใจกูจะแย่แล้วตอนนี้ แล้วอย่าส่งไปอีกนะ ถ้าขืนกระทรวงมหาดไทยส่งไปม๊อบจะมากกว่านี้มันจะลุกฮือ มันนัดกันไว้แล้ว นัดกันไว้แล้วจะมาศาลากลางเลย มาล้อมศาลากลาง มันจะไปกันใหญ่ถ้าเสียหาย ความจริงคนพัทลุงไม่ใช่เกะกะระรานอะไร ถ้าใครมาอยู่ดีๆเขาก็ส่งเสริมสนับสนุนนะ เขาชอบคนดีเหมือนกัน ชอบคนดี ชอบคนกล้า ชอบคนซื่อสัตย์ ไม่กินไม่โกง แต่ถ้าทำผิดหลักการแล้วชาวบ้านมันไม่ชอบ มันค่อยก่อขึ้นๆๆๆ เหมือนไฟไหม้แกลบนะ พอมีลมพายุโหมก็ลุกขึ้นซะทีนะ อันนี้พายุหลวงพ่อคูณโหมเข้า เลยเกิดกระพือไฟลุกเลยจะไหม้ผู้ว่านะ แบบว่าต้องหนีล่ะ คราวนี้ยังร้อนๆแต่ว่าถ้าส่งไปอีกก็ถูกไล่อีก เขาไม่เอาแล้วอย่าไปดีกว่า อย่าไปดีกว่าเรื่องมันเป็นอย่างนั้นนี่คือความไม่รู้ไม่เข้าใจขาดมนุษย์สัมพันธ์ ชาวบ้านเขาทำอะไรเราไปทำกับเขาด้วย ให้รู้ความประสงค์แล้วก็ไปส่งเสริมไม่ทำให้เกิดการเสียหาย มันก็สบาย ไม่ใช่คนพัทลุงไม่ใช่คนใจร้ายนิ คนใจดีใจงาม เดี่ยวนี้ไม่ค่อยเกะกะ สมัยก่อนเกะกะสมัยอาตมันเด็กๆเคยเห็นคนเกะกะชอบชกชอบต่อย มีงานวัดต้องตีกัน แข่งหนังต้องตีกันเวลาแข่งต้องตีกัน ชักพระเดือนสิบเอ็ดวันแรมค่ำหนึ่งชักพระ เวลาตอนเช้าไม่ตีกัน แต่พอตอนชักพระกลับบ้าน กลับวัดตีกัน เคยเห็นอย่างนี้เต็มไปหมด พวกเราเป็นเด็กก็เที่ยววิ่งหนีกลัวมันถูกทุบทุบด้วยเป็นอย่างนั้น เดี๋ยวนี้ไม่มีเรียบร้อยคนเขาดีขึ้น เจริญขึ้น มีการศึกษามากขึ้น เด็กพัทลุงมาเรียนกรุงเทพฯเยอะเวลานี้ มาเล่ามาเรียนแล้วก็เรียนเก่ง สอบเข้าโรงเรียนนายร้อยบ้าง มหาวิทยาลัยบ้าง ก็เรียน เด็กที่วัดนี้มันเด็กปักษ์ใต้ส่วนมากนะตั้งสี่สิบกว่าคนมาช่วยงานช่วยการเขาก็ไม่ได้ยุ่งอะไร เพราะว่าถ้าเราทำถูกเขาไม่ยุ่ง แต่ทำผิดแล้วมันก็เกิดปัญหายุ่งยากเหตุการณ์มันเป็นเช่นนั้นเพราะไม่มีปัญญานั่นเอง
อันนี้เรามาพูดเรื่องภายในตัวเรา เฉพาะตัวเรามันต้องอยู่ด้วยปัญญา คือต้องรู้หลักการว่าตัวเรานี่มันมีอะไรบ้าง มีกายมีใจ กายกับใจนี้เป็นสิ่งที่อยู่ร่วมกัน เราเรียกว่ากายใจ พูดภาษาบาลีก็นามรูป นามรูป นามก็คือใจ รูปคือร่างกายทั้งหมด มีส่วนสัมพันธ์กันอยู่ ความสุขความทุกข์ ความเสื่อมความเจริญ ความดีความชั่วที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรานั้นเกิดจากอะไร เกิดจากใจของเรา ใจเราคิดปากเราพูดแล้วก็ทำไปมาคบหาสมาคมด้วยประการล่ะต่างๆ มันเกิดขึ้นจากใจ ใจคิดก่อน คิดดีก็ได้คิดชั่วก็ได้ สุดแล้วแต่การอบรมและสิ่งแวดล้อม นายคนหนึ่งเกิดมาในสิ่งแวดล้อมดี คือพ่อแม่ดีมีศีลมีธรรมมีจิตใจสงบลูกก็เรียบร้อย เพราะเห็นตัวอย่างพ่อแม่ แต่เด็กคนนึงเกิดในครอบครัวที่ไม่ค่อยเรียบร้อย พ่อไม่เรียบร้อยกินเหล้าเมายาเสเพลเฮฮา แม่ก็ไม่เรียบร้อย เขาเห็นแต่สิ่งไม่ถูกต้อง เขาก็รับสิ่งนั้นเข้าไปไว้ในใจ สภาพจิตใจก็เป็นไปเหมือนสิ่งแวดล้อมคล้ายจิ้งจกอยู่ในสีขาวมันก็ขาวอยู่ในที่เขียวมันก็เขียว มันเปลี่ยนไปได้ตามที่เพื่อเอาตัวรอด ทีนี้จิตใจคนนี่อะไรมาเคลือบมาทา ถ้าว่าอยู่กับความชั่ว ความชั่วมันก็เคลือบทาเด็กคนนั้น เช่นว่าลูกของเจ้าของบ่อนการพนัน เด็กคนนั้นต้องมีนิสัยทางการพนัน โตขึ้นก็เป็นเจ้าของบ่อน รับมรดกพ่อแม่ต่อไป ได้อยู่ในสภาพอย่างนั้นก็เป็นอย่างนั้น อันนี้คือสิ่งแวดล้อม
หรือธรรมชาติจิตใจคนเราแท้ๆมันสะอาดอยู่โดยธรรมชาติ ไม่ได้สกปรกไม่ได้เร่าร้อน ไม่ได้มืดมัวอะไร มันอยู่สะอาดตามธรรมชาติ เราจึงควรรู้ว่าตัวเราแท้ๆนั้นเป็นสิ่งสะอาด ไม่ใช่สิ่งสกปรก ไม่มีบาปไม่มีอกุศล ที่เขาสอนว่ามีบาปมาตั้งแต่เกิดนั้น มันเรื่องศาสนาอื่นไม่ใช่พุทธศาสนา พุทธศาสนาสอนให้เราเข้าใจว่าธรรมชาติจิตผ่องใสอยู่ตลอดเวลา แต่เศร้าหมองเพราะสิ่งที่มากระทบ สิ่งที่มากระทบก็คือรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ๕ อย่างเขาเรียกว่ากามคุณ กามคุณคือสิ่งที่น่าพอใจอยากได้หลงไหลกัน มันมากระทบ รูปกระทบตา เสียงกระทบหู กลิ่นกระทบจมูก รสกระทบลิ้น สัมผัสกระทบกาย ถ้าสิ่งนั้นมากระทบจิตของผู้นั้นอยู่ในฐานะอะไร ถ้าอยู่ด้วยปัญญาไม่เป็นเรื่องไม่เป็นไร แต่ถ้าอยู่ด้วยความโง่เกิดเรื่อง เพราะว่าจะถูกสิ่งนั้นปรุงแต่ง ปรุงแต่งให้เกิดความรัก ความชัง ยินดี ยินร้าย พูดย่อๆว่าเกิดยินดียินร้ายในสิ่งนั้น ถ้าสิ่งนั้นเป็นที่พอใจก็เกิดความยินดีอยากได้อยากเป็น แต่ถ้ามันไม่พอใจเกิดความยินร้าย ไม่อยากเห็นไม่อยากได้ไม่อยากพบ ยินดีก็เป็นทุกข์เหมือนกัน ยินร้ายก็เป็นทุกข์เหมือนกัน ให้โยมสังเกตตัวเราเอง พอเวลาเรายินดีอึบเลยมันจะเกิดทุกข์ไหม เกิดทุกข์เพราะเราอยากได้อยากเป็นในสิ่งนั้น และเมื่อไม่ได้สมใจไม่สมอยากก็เกิดปัญหาเกิดความทุกข์เกิดความเดือดร้อนใจ นี่มันเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ได้เหมือนกัน อันนี้ยินร้ายทุกข์ทันที ยินร้ายเหมือนถูกไฟไหม้ มันไหม้ทันทีผิวหนังพองไป พองขึ้นทันที มันไหม้ทันที แต่ยินดีนั้นมันไหม้ช้าๆ หลายคนมาเจอหลงในเรื่องความยินดีแล้วก็เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ได้เหมือนกัน ส่วนยินร้ายนะทันทีเลย เหมือนกับถูกสิ่งเป็นพิษเข้าผิวหนัง คันขึ้นมาแสบขึ้นมาทันทีสภาพมันเป็นอย่างนั้น เหตุที่มันเป็นอย่างนั้นก็เพราะว่าใจเราไม่ได้รับการอบรมให้เกิดปัญญา ให้เกิดความเข้าใจถูกต้องในเรื่องธรรมชาติของสิ่งทั้งหลาย เพราะเราไม่เข้าใจ เราจึงได้หลงไหลมัวเมาในสิ่งนั้น
แต่ถ้าหากว่าเราเข้าใจถูกต้องเข้าใจตามบทสวดมนต์ที่เราสวด เราสวดอยู่ทุกวันตอนเช้า รูปังอนิจจัง เวทนาอนิจา รูปไม่เที่ยง เวทนาไม่เที่ยง สัญญาไม่เที่ยง สังขารไม่เที่ยง วิญญาณไม่เที่ยง แล้วก็รูปไม่ใช่ตัวตน เวทนาไม่ใช่ตัวตน สัญญาไม่ใช่ตัวตน สังขารไม่ใช่ตัวตน วิญญาณไม่ใช่ตัวตน นั่นสอนความจริงให้เราเข้าใจ ว่าสิ่งทั้งหลายไม่เที่ยงมันเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา จิตเราก็เปลี่ยนไปตามอารมณ์ ตามสิ่งแวดล้อม ยินดีประเดี๋ยวเอ้ายินร้ายแล้ว นั่งดีๆเดี๋ยวโกรธขึ้นมาแล้ว เดี๋ยวเป็นอย่างนั้น เดี๋ยวเป็นอย่างนี้ เพราะเราไม่ได้เรียนอบรมตัวเอง ไม่ได้ควบคุมตัวเอง ปล่อยให้มันตามอารมณ์ เป็นไปตามสิ่งแวดล้อมก็เป็นอย่างนั้น แต่ถ้าเราได้อบรมจิตของเราไว้ให้มีสติปัญญากำกับ อบรมจิตก็หมายความว่า เพิ่มกำลังคือสติและปัญญาขึ้นในใจของเรา เรามีสติคือรู้ทันในสิ่งนั้น ว่าอะไรมากระทบ แล้วก็รู้เท่าต่อไปว่ามันจะเกิดอะไรต่อไป เราก็ให้ ไม่ให้มันเกิด ถ้าอะไรมากระทบจะทำให้เราโกรธ เราก็ระวังไม่ให้โกรธ ถ้าทำให้เราเกลียดเราระวังไม่ให้มันเกลียด ถ้าทำให้เรารักใคร่หลงไหลเราก็ไม่ปล่อยให้มันหลงไหลมัวเมา แต่มีปัญญาเกิดกำกับความรู้สึกว่าอย่าไปหลงมันเลย อย่าไปโกรธมันเลย อย่าไปเกลียดมันเลย เพราะสิ่งนั้นมันไม่มีอะไรที่เป็นเนื้อแท้ มันเป็นแต่เครื่องปรุงแต่งเกิดขึ้นตามธรรมชาติ แล้วมันก็ไหลไปตามอำนาจของมันไม่มีอะไรปรุงมันก็ดับของมันไปเอง เราอย่าไปยึดไปถือไว้
ความยึดถือนั่นล่ะคือตัวเหตุให้เกิดทุกข์ที่เรียกว่าอุปาทาน คำพระท่านเรียกว่าอุปาทาน ภาษาไทยพูดง่ายๆว่าความยึดถือความเก็บไว้ในสิ่งนั้น พอได้เห็นอะไรก็เก็บไว้ พอได้ยินอะไรก็เก็บไว้ มาเก็บเอามาครุ่นคิดกลับไปแล้วก็ไปนอนคิดนอนนึกอยู่ในเรื่องนั้นล่ะ นอนเผาตัวเองอยู่ตลอดเวลาทำให้เกิดปัญหาขึ้นในชีวิต แต่ถ้าเรามีปัญญามันเกิดที่นั่นก็ปล่อยไว้ที่นั่นเราไม่เอามา ไม่เอามามันก็ไม่ทุกข์ ทีนี้คนมันชอบเก็บ เก็บเล็กเก็บน้อยเก็บเรื่อยๆ เก็บอารมณ์เอามาคิดมานึกให้มันวุ่นวายใจ เป็นการเพิ่มภาระให้แก่ตัวเอง เป็นการไม่ถูกต้อง เราไม่ควรจะอยู่ด้วยการเพิ่มภาระ ให้ต้องแบกหนักๆ แต่ทิ้งลงไปเสียบ้าง วางลงไปเสียบ้าง ทิ้งมันเสียบ้าง พูดง่ายๆว่าทิ้งมันเสียบ้าง อะไรมันเกิดขึ้นที่ไหนก็ทิ้งไว้ที่นั่นอย่าเอามา อย่าเอามา ทีนี้เราชอบเอามาไอ้เอามานั้น เอามาด้วยความโง่ความเขลา ไม่รู้จักสิ่งนั้นตามเรื่องที่เป็นจริงเลยไปเก็บเอามา บางคนเก็บเรื่องไว้ตั้งสิบปีโกรธใครสักคนโกรธสิบปีมันได้เรื่องอะไรโกรธสิบปีนะ ลงโทษตัวเองตั้งสิบปี เกลียดสิบปี พยาบาทสิบปี อาฆาตสิบปี ไม่ได้เรื่อง หาเรื่องให้เป็นทุกข์ทั้งนั้น ใครเอ่ยชื่อคนนั้นก็พลุบเข้ามาในใจ เกลียดมันไอ้ตัวนี้กูไม่ชอบ เพราะเอามาไว้ในใจ เหมือนเก็บอสรพิษมาไว้ในใจของเรา มันคอยกัดเราคอยข่วนเราอยู่ตลอดเวลา เอาไว้ทำไม ของไม่ดีอย่าเอาไว้ แม้ของดีก็ท่านสอนไม่ให้เอา ทิ้งหมดปล่อยหมดไม่เอาไว้จัดการกับมันให้เรียบร้อยแล้วก็ไม่งก ทำอะไรก็ทำให้เสร็จเรียบร้อย ไม่ต้องกังวลไม่ต้องวิตกอะไร
แต่ถ้าจะคิดต้องคิดด้วยปัญญาไม่ได้คิดด้วยความโลภความโกรธ ไม่ได้คิดด้วยความยึดความติด แต่ต้องใช้ปัญญาเป็นเครื่องพิจารณาคิดว่าสิ่งนั้นคืออะไร คนนั้นคืออะไร เหตุการณ์นั้นคืออะไร มันเกิดขึ้นได้อย่างไร มันอยู่ได้อย่างไร มันเป็นประโยชน์เป็นทุกข์แก่เราอย่างไร เราต้องพิจารณาศึกษาทำความเข้าใจ จนเห็นชัดในเรื่องนั้น เรียกว่าถึงบางอ้อ ปล่อยฉันเรื่องเท่านี้เองกูมาโง่เสียนาน มานั่งรำคาญตัวเองไม่เข้าเรื่อง แค่นี้ก็เรียกว่าสบาย ปลอดโปร่งแจ่มใสใจเบิกบาน เพราะไม่มีอะไรมากวนใจ มาทำให้เกิดปัญหายุ่งยากในทางจิตใจ เพราะเราเข้าใจเรื่องถูกต้องตามสภาพที่เป็นจริง อันนี้เรียกว่าอยู่ด้วยปัญญา
ชาวโลกในสมัยนี้มีอาการโรคชนิดหนึ่งเกิดอยู่ คือโรคเครียด เครียด อึดอัดขัดใจเครียด เป็นกันมากบ่อยๆ เครียดเพราะอะไร เพราะไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร แล้วไม่ได้ใช้สติปัญญาเป็นเครื่องพิจารณา เพียงแต่เอามาคิด ครุ่นๆคิดแต่ไม่ได้อะไร คิดให้เป็นทุกข์เสมือนกับว่าเรากอดถ่านไฟไว้ กอดไว้มันก็ร้อนมันก็ไหม้ตัวเราเองได้เรื่องอะไร พอรู้สึกตัวโอไอ้นี่ เอาทิ้งไปเลย แล้วไปหาหมอรักษาแผลเราก็สบายขึ้น ชีวิตมันมันควรจะเป็นอย่างนั้น ไม่ควรจะเครียดในหน้าที่ในการงานในสังคมในความเป็นอยู่ เช่นอากาศร้อน ก็จะไปทุกข์ทำไมกับอากาศร้อน เพราะเราทุกข์มันก็ไม่หายร้อนแล้วทุกข์ทำไม ก็นึกเสียว่าธรรมชาติมันเป็นอย่างนี้ เรานี่มันผ่านหนาวผ่านร้อนมากี่ปีแล้ว โยมอายุเจ็ดสิบก็ผ่านมาตั้งเจ็ดสิบปีแล้ว มันก็หนาวบ้างร้อนบ้างฝนบ้างเป็นมาอย่างนั้นล่ะ สุขบ้างทุกข์บ้างปะปนกันไปเราก็ยังอยู่กันได้ไม่เห็นจะมีอะไร แต่ว่าต่อไปนี้เราจะอยู่ด้วยปัญญา เราจะใช้ปัญญาเป็นเครื่องพิจารณาสิ่งเหล่านั้น ไม่ให้มันเกาะจับอยู่ในใจของเรานานๆ ให้มันเกิดนิดหนึ่งแล้วหายไปเกิดแล้วหายไป
เพราะธรรมชาติของสรรพสิ่งทั้งหลายมันก็เป็นอย่างนั้น คือมันเกิดดับอยู่ตลอดเวลา แม้ร่างกายของเราก็เกิดดับๆอยู่ตลอดเวลามันไม่ได้ถาวรอะไร ท่านจึงเรียกว่าไม่ใช่ตัวตนที่แท้ เพราะมันเป็นประกอบเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปตลอดเวลา เราไปหลงผิดเอง ไปจับเอาตอนใดตอนหนึ่งว่าเป็นตัวฉัน เป็นของฉันขึ้นมาเอง แล้วเราก็คิดเองน่ะ นั่งกลุ้มใจนั่งหน้าม่อยกลุ้มใจ ถามว่ากลุ้มเรื่องอะไร เฮ้อไม่รู้เรื่องอะไร อ้าวกลุ้มแล้วก็ยังไม่รู้ว่ากลุ้มเรื่องอะไร แล้วจะแก้กลุ้มได้อย่างไร เพราะยังไม่รู้จักมันเลยเราต้องรู้ว่ากลุ้มเรื่องอะไร เรื่องไม่มีสตางค์ใช้ เรื่องคนไม่กลับบ้าน เรื่องลูกประพฤติเหลวไหล ลูกสอบเอ็นทรานไม่ได้ไปกลุ้มทำไมมันสอบไม่ได้ สอบไม่ได้ก็เรียนใหม่ ไม่เข้ามหาวิทยาลัยไปเรียนที่อื่นก็ได้ เรียนสุโขทัยก็ได้ เรียนรามคำแหงก็ได้ ไม่ต้องสอบนิ ไม่ได้จำเป็นว่าจะต้องเข้ามหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์ธรรมศาสตร์เสมอไป ไอ้สถานที่มันจำกัด อะไรจำกัด เราก็ไปที่อื่นต่อไป แล้วก็สอนลูกอย่าไปยึดถือมาก ทำหน้าที่ให้ดี เรียนให้ดีก็แล้วกัน เรียนตั้งใจเรียนแล้วไปสอบตามหน้าที่ สอบไม่ได้ก็ไม่เป็นไรแม่ไม่ว่าอะไร อย่าไปดุลูกว่าแกเรียนยังไงทำไมถึงสอบไม่ได้ ลูกมันอารมณ์เสียอยู่แล้ว เราไปดุอย่างนั้นเดี๋ยวมันก็เตลิดเปิดเปิงไปเที่ยวเล่นเสียเท่านั้นเอง แก้กลุ้มเสียผู้เสียคน ปลอบใจเขาไม่เป็นไรลูก คนเรามันก็มีได้มีตก ไม่ใช่ว่าสอบได้ทุกคน ไม่ใช่ว่าตกทุกคน แต่หมู่ที่ไปสอบจำนวนเท่าไหร่เขาได้เท่าไหร่ ตกเท่าไหร่ เราอยู่ในหมู่คนตกก็ไม่เสียหาย เราเรียนใหม่ต่อไป เรียนสิ่งอื่น ไม่ได้เรียนที่นั่นเรียนที่อื่นก็ได้ มีที่ให้เลือกเยอะแยะ พูดจาปลอบโยนเขา อย่าไปทับถมเขา อย่าไปพูดกระแนะกระแหนให้เขารำคาญใจ ใครมาก็ว่าเนี่ยมันไม่เอาไหน สอบก็ไม่ได้ มันเรื่องอะไรประจานลูกตัวเองทำไม อย่าไปพูดเด็กมันช้ำใจ คุณพ่อคุณแม่พูดอย่างนั้นลูกก็ช้ำใจไปพูดอวดคนเสียด้วย ลูกก็ไม่สบายใจ อย่าไปพูดอย่างนั้น พูดเรื่องอื่นพูดให้เขาสบายใจ เราแนะนำให้เขามีกำลังใจอย่าให้เป็นทุกข์ อย่าให้ไปกระโดดตึกตายมันไม่ได้เรื่องอะไร เกิดมาเลี้ยงกว่าจะโตมันก็ลงทุนไม่ใช่น้อยแล้วมันไปกระโดดตึกตาย ไปกินยาพิษตาย มันก็ไม่ได้เรื่อง อย่าไปพูดให้เขาเข้าใจผิดให้เขาได้รู้ พาวัดมาวัดบ้างให้ได้เล่าเรียนธรรมะพอสมควร หน้าร้อนโรงเรียนปิดภาค เอามาบวชซะบ้าง หรือพามาวัดให้มาคุยกับพระ เขาจะได้เกิดปัญญาตามหลักพุทธศาสนาขึ้นบ้างอะไรๆก็จะดีขึ้น
เนี่ยแสดงมาก็พอสมควรแก่เวลา ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ ต่อนี้ไปก็ขอเชิญญาติโยมนั่งฝึกจิตกำหนดลมหายใจเข้าออกเป็นเวลา ๕ นาที เชิญได้