แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
พุทธบริษัททั้งหลาย ณ บัดนี้ถึงเวลาของการฟังปาฐกถาธรรมะอันเป็นหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนาแล้ว ขอให้ทุกท่านอยู่ในอาการสงบ ตั้งอกตั้งใจฟังด้วยดีเพื่อให้ได้ประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการมาวัด ตามสมควรแก่เวลา
เดือนที่ผ่านมานี้ ...... น้ำท่วม ญาติโยมหายหน้าหายตาไปเยอะ เพราะว่าออกจากบ้านไม่ได้ เดี๋ยวนี้น้ำลดลงไปแล้ว การไปมาก็ค่อยสะดวกขึ้น แต่ว่าคงมีภาระหลังน้ำลดมาหลายเรื่องหลายประการ จึงไม่มีโอกาสจะมาวัด พอสะดวกสบายก็คงมากันอีกตามปกติ
ในฤดูน้ำท่วมนี่เราจะเห็นว่าพระเจ้าอยู่หัวของเรานี่ทรงเหน็ดเหนื่อยพอสมควร เหน็ดเหนื่อยเกี่ยวกับเรื่องน้ำท่วม ต้องทำงานตลอดเวลา เหนื่อยกว่าข้าราชการ เหนื่อยกว่าคณะรัฐมนตรีเพราะทรงทำงานตลอดหลายชั่วโมง เวลาเสด็จไปไหนก็หนีบแฟ้มไปด้วย แต่ว่าตอนนี้เปลี่ยนจากแฟ้มมาเป็นกระเป๋า ไม่ทราบว่าใครซื้อให้ .....หิ้วกระเป๋า เวลาเสด็จไปบำเพ็ญพระกุศลถวายสมเด็จพระราชชนนีฯ ก็เอาแฟ้มไปใส่ถุงกระดาษ (2.14) ไปวางไว้ พอเสร็จการบำเพ็ญบุญก็มายืนกวดวิชาพวกข้าราชการทั้งหลายที่มาในงานทุกวัน เอาแผนที่มาชี้ให้ดู ทำอะไร..ทุกอย่าง ดูแล้วก็สงสาร สงสารในหลวงว่าต้องเหน็ดเหนื่อยในการช่วยเหลือประชาชน
โทรทัศน์ตอนนี้เขาออกเรื่องพระองค์ ในหลวงไปที่นั่นที่นี่บางทีก็เห็นพระพักตร์ชุ่มไปด้วยเหงื่อ …... เหงื่อออก (3.00) เต็มพระพักตร์ ก็ต้องเอามือเช็ด....เช็ดเหงื่อ เห็นภาพแล้วก็น่าเห็นใจ ที่ทรงเอาใจใส่ช่วยเหลือประชาชนในที่ต่างๆ ไม่เห็นแก่เหน็ดแก่เหนื่อย ไปทุกหนทุกแห่ง ประชาชนก็มาเฝ้าชมพระบารมี มากมายก่ายกอง
ทำให้คิดว่าเมืองไทยเรานี้ ทิ้งพระมหากษัตริย์ไม่ได้ เพราะว่าเรามีพระมหากษัตริย์ตั้งแต่โบราญแล้ว พระมหากษัตริย์ของไทยเรานั้นทรงอยู่ในธรรมะ ปกครองประชาชนเหมือนพ่อปกครองลูก เอาพระทัยใส่ในสุขทุกข์ของประชาชนอยู่ตลอดเวลา เสด็จออกไปเยี่ยมเยียนไต่ถามสุขทุกข์ คนเขมรเขาพูดกับคนไทย เขาบอกว่าพระเจ้าแผ่นดินไทยนี่เสด็จไปไหนคนไหว้กันทั่ว แต่พระเจ้าแผ่นดินเขมรนี่ต้องไหว้คน นโรดม สีหนุไปไหนก็ยกมือไหว้ ไหว้ไปแต่ไกล แต่ในหลวงเรานั้น คนกราบ คนไหว้ บางคนก็กราบถึงพระบาทในหลวง จับมือจับไม้เอามาลูบหัว....ปลื้มใจ มันผิดกัน
พระเจ้าแผ่นดินของไทยเรานี้ ไม่เหมือนพระเจ้าแผ่นดินในโลก พระเจ้าแผ่นดินอื่นไม่ค่อยจะได้คลุกคลีกับประชาชน อยู่แต่ในวัง หรือว่าไปก็ไปเรื่องของพระองค์ เช่นประเทศอังกฤษก็มีพระเจ้าแผ่นดิน แต่ท่านไม่ได้ไปยุ่งกับประชาชน มีเวลาท่านก็ไปดูม้าของท่าน ว่าจะแข่งวันไหน เวลาเขามีการประมูลซื้อม้ากันที่ NEWMARKET อยู่ไกล้CAMBRIDGE พระราชินีฯก็เสด็จไปในงานนั้นด้วยเหมือนกัน ผิดกันกับในหลวงของเรา ถ้าเสด็จไปก็ไปเพื่อประโยชน์เพื่อความสุขแก่มหาชน เป็นการปฏิบัติตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าของเรานั้นเสด็จออกบวช ออกไปบวช เพื่อประโยชน์เพื่อความสุขแก่ชาวโลก เพระเห็นความทุกข์ของชาวโลก ว่ามีความทุกข์นานาประการ ทรงคิดอยู่ตลอดเวลาว่าจะทำอย่างไร ให้ชาวโลกนี่ได้มีความเบาใจ...โปร่งใจ...รู้จักปล่อย...รู้จักวาง ในปัญหาต่างๆ คิดไปคิดมาก็เลยออกบวชเพื่อจะได้ค้นคว้าธรรมะ เข้าไปศึกษาค้นคว้าเป็นเวลานานถึง ๖ ปี จึงได้พบสัจจธรรม ทำให้พระองค์เองหลุดพ้นจากความทุกข์ความเดือดร้อนด้วยประการทั้งปวง เรียกว่าเป็น“พุทธะ” หมายความว่าเป็นผู้รู้ เป็นผู้ตื่น เป็นผู้มีความเบิกบานแจ่มใส และเมื่อรู้แล้ว ตื่นแล้ว เบิกบานแล้ว ก็ได้อธิษฐานพระทัยว่า “เราจะมีชีวิตอยู่เพื่อประโยชน์เพื่อความสุขแก่มหาชน จะประกาศธรรมะให้คนทั้งหลายได้เกิดความรู้ความเข้าใจ ถ้าธรรมะที่เราได้ค้นพบนี้ ยังไม่ตั้งมั่นในโลก เราจะไม่ปรินิพพาน” อันนี้เป็นความอธิษฐานใจ ตั้งพระทัยมั่นในการที่จะอยู่เพื่อประโยชน์เพื่อความสุขแก่เพื่อนมนุษย์ ภายหลังเมื่อได้พระสาวกร่วมงาน ทรงส่งสาวกให้ไปทำหน้าที่
ก็ใช้ถ้อยคำว่า "เธอทั้งหลาย พ้นแล้วจากบ่วงอันเป็นทิพย์ พ้นแล้วจากบ่วงอันเป็นมนุษย์ จงเที่ยวไปเพื่อประโยชน์เพื่อความสุขแก่มหาชน จงประกาศธรรมะ อันไพเราะเบื้องต้น ท่ามกลาง ที่สุดแก่เขา คนที่มีไฝฝ้าบังดวงตาน้อยๆมีอยู่ เพราะไม่ได้ยินได้ฟัง เธอจงไปพูดให้เขาฟัง ไปทำให้เขาดู ในที่นั้นๆ เราก็จะไปเหมือนกัน" อันนี้เป็นคำสั่งที่ประทับใจมาก ทำให้เห็นน้ำพระทัยที่รักชาวโลก สงสารชาวโลก อยากจะช่วยชาวโลกให้พ้นจากปัญหาคือความทุกข์ความเดือดร้อน แล้วก็ทรงทำหน้าที่อย่างดีตลอดเวลา ๔๕ ปี ทำให้พระธรรมได้ตั้งมั่นเหลือมาจนถึงพวกเราสมัยนี้
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรานั้น ท่านดำเนินชีวิตตามรอยพระบาทของพระพุทธเจ้าทรงตั้งอธิษฐานพระทัยว่า"เราจะครองเมือง เพื่อให้ชาวสยามมีความสุข แล้วก็ทรงทำตามแนวนั้นตลอดมา ไม่เหนื่อยไม่เบื่อในการที่จะทำอะไร อันจะเป็นประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์ทั้งหลาย อยู่ในวังท่านก็ทำงานตลอดเวลา ในห้องทรงงานนั้น มีแผนที่ใหญ่ๆ ติดไว้ข้างฝาดูได้อย่างละเอียด รู้ว่าที่นั้นมีห้วย มีหนอง มีป่า มีภูเขาอย่างไร เวลาเสด็จไปก็ไปถามชาวบ้าน ห้วยนั้นอยู่ตรงไหน? ชาวบ้านบอกไม่มี ท่านบอกว่ามี ชาวบ้านบอกว่ามันตื้นไปหมดแล้ว คือเป็นห้วยตายไปเสียแล้ว ไม่มีห้วยน้ำตื้น เปลี่ยนแปลงไป แต่มันปรากฏอยู่ในแผนที่ พระองค์ทรงทราบ ก็ไปเที่ยวดูด้วยพระองค์เองในที่นั้นๆ ไปเพื่อแก้ไขความลำบากเดือดร้อนของประชาชน ในที่ทุกหนทุกแห่ง ไปเหนือ ไปใต้ ไปภาคตะวันออก ตะวันตก ไปหมด ทรงไปทั่วประเทศไทย ไม่ไปเองก็ให้ผู้อื่นไปแทน เช่นในตอนนี้พระองค์ไม่ได้เสด็จไปไหน เพราะว่าทรงห่วงงานพระบรมศพพระราชชนนีฯ ก็ให้เจ้าฟ้าเทพฯไปบ้าง สมเด็จพระราชินีฯไปบ้าง เจ้าฟ้าชายไปบ้าง ส่งคนไปดูสิ่งนั้นๆ ว่าเขาทำกันไปถึงไหนแล้ว ทรงมีโครงการอะไร อะไร ต่างๆ เยอะแยะ ที่จะให้ทำที่นั่น ให้ทำที่นี่ น้ำท่วมกรุงเทพฯนี่ก็เหมือนกับท่วมน้ำพระทัยของพระองค์
พระองค์ต้องต่อสู้กับน้ำตลอดเวลา
เวลาวันนั้นที่ไปเทศน์พระที่นั่งดุสิตท่านมาช้าไปหน่อย พอมาถึงก็เข้ามาขอโทษ ขออภัยที่มาช้า หลวงพ่อฟังแล้วปลื้มใจ ขนลุกขนพอง ว่าในหลวงยังมาขออภัยกับเราเลย ขออภัยที่มาช้า เลยบอกว่าพวกอาตมานั่งอยู่ตรงนี้ ไม่ได้คอย ไม่ได้มีความทุกข์เรื่องเวลา มีแต่ความปลื้มใจ สบายใจ ที่เห็นคนจำนวนมากเข้ามากราบพระศพ ระลึกถึงพระคุณของสมเด็จพระราชชนนีฯ จึงนั่งมองอยู่ด้วยความปีติ เบิกบานใจ ไม่ได้คอยให้เป็นทุกข์ ไม่มีอภัยอะไร พอถวายของเสร็จแล้วยังบ่นอีกว่า เขาไม่ค่อยทำงานกัน ต้องคอยจี้ให้ทำงาน คือว่าเจ้าหน้าที่นั่น ไม่ค่อยทำงาน เฉื่อยชา ชักช้า ตามนิสัยของคนไทยเรา แต่พระองค์นั้นตื่นตัวว่องไว ก้าวหน้าอยู่ตลอดเวลา จึงต้องคอยจี้ คอยชี้ คอยบอก ให้ทำอย่างนั้น ให้ทำอย่างนี้ ให้แก้ไขปัญหานั้นปัญหานี้ พระเจ้าอยู่หัวเราเรียกว่าเป็นโลกะวิทู โลกะวิทู แปลว่ารู้โลก รู้แจ้งบ้านเมืองไปทุกหนทุกแห่ง มีอะไรขัดข้องที่ไหนเป็นอย่างไรทรงรู้หมด แล้วก็สั่งให้ทำ บางทีสั่งแล้วเขายังไม่ได้ทำ ท่านก็ทรงบ่นว่า นี่สั่งแล้วทำไมไม่ทำ
ถ้าเป็นสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ แบบนี้ก็ต้องถูกลงโทษกันเท่านั้นเอง ถูกไล่ออกจากงานไป แต่ว่าเวลานี้พระองค์ไม่มีอำนาจที่จะทำเช่นนั้น ไปสั่งอะไรเขาจะทำก็ได้ ไม่ทำก็ได้ แต่ที่เขาทำนั้นด้วยความเคารพในพระบารมีของพระองค์ แล้วก็ช่วยกันจัดช่วยกันทำ บางทีช้าไปหน่อยเพราะขัดข้องบางอย่าง พระองค์บอกว่าสั่งแล้วทำไมไม่ทำ เป็นการบ่นให้คนได้รู้ว่า ทรงติดตามงานสั่งให้ทำอะไรแล้วก็ทรงติดตามอยู่ตลอดเวลา ไม่ได้ละเลย ไม่ได้เพิกเฉย ไม่เหมือนกับที่ใครคิดว่า ไม่เป็นไร หลายๆ วันก็คงจะลืมไปเองแหละ แต่ว่าในหลวงท่านไม่ลืม ท่านสั่งอะไรท่านจำได้ คอยติดตามคอยสังเกตว่า ไปถึงไหนแล้ว เรื่องนั้น เรื่องนี้ เรียกว่าติดตามงาน ไม่ทรงวางเฉยในเรื่องนั้นๆ คนที่ทำงานจึงต้องตั้งใจทำด้วยความเคารพบูชาในพระองค์ เป็นเรื่องที่เกิดประโยชน์อย่างแท้จริงแก่บ้านแก่เมือง ดูภาพต่างๆที่ออกโทรทัศน์ทีไร รู้สึกปลื้มอกปลื้มใจ นึกในใจว่าประเทศไทยเรานี้เป็นประเทศที่มีบุญ มีบุญตรงที่ได้ประมุขของบ้านเมืองเป็นผู้มีศีลมีธรรมประจำใจ มีความเมตตาปราณีต่อประชาราษฎร ใครทุกข์ใครเดือดร้อนที่ไหนทรงทราบทรงช่วยเหลือ ส่งของไปแจกไปให้
น้ำท่วมใหญ่คราวนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้คะแนนมาก ความจริงไม่ต้องเอาคะแนนอะไรนัก แต่ว่ามันเกิดเอง คนเกิดความนิยมในองค์พระมหากษัตริย์ มีความปลื้มใจในความเป็นอยู่ของพระองค์ อันนี้เป็นเรื่องที่น่าดีอกดีใจอย่างหนึ่ง
คนไทยเรากับพระเจ้าแผ่นดินนี่อยู่กันมานานตั้งแต่เริ่มสร้างบ้านสร้างเมือง ในหนังสือทางพุทธศาสนามีพระสูตรสูตรหนึ่งเล่าเรื่องความเป็นอยู่ของมนุษย์ตั้งแต่สมัยโบราณ คือ เล่ามาตั้งแต่เริ่มมีคนขึ้นในโลกแล้วก็อยู่กันอย่างไร แรกเริ่มเดิมทีนั้นคนอยู่กันตามลำพัง ไม่มีหัวหน้า ไม่มีผู้ดูแล หากินตามธรรมชาติ คือไปหายอดไม้ ผลไม้ เอามากินกัน ไปจับสัตว์เอามากินกัน กินดิบกันทั้งนั้น ไม่รู้จักใช้ไฟ ไม่มีภาชนะสำหรับหุงต้ม กินแต่ของดิบ ฟันคนสมัยนั้นแข็งแรงมาก กัดเนื้อดิบเคี้ยวกินได้ เลือดเปื้อนปาก อยู่กันอย่างนั้น แต่ว่าต่อมาก็มนุษย์มีสมอง มีปัญญา มีการพัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆ ไม่เหมือนกับสัตว์เดรัจฉาน สัตว์เดรัจฉานนี่มีสมองแต่ไม่มีปัญญา ไม่รู้จักพัฒนา อยู่กันอย่างไรในสมัยโบราณ ในยุคนี้ก็อยู่กันอย่างนั้น แต่ว่าคนเราพัฒนามามาก จนเป็นอยู่ดังที่เราเห็นกันอยู่ แล้วก็ยังไม่หยุด ยังจะพัฒนาต่อไปอีกหลายแง่หลายมุม นี่เพราะคนมีสมอง คนในสมัยดึกดำบรรพ์นั้นเขาก็มีความคิดทำอะไรบ้างเหมือนกัน ไปเก็บผลไม้ในป่ามากินนี่ บางทีผลไม้ที่มันดีๆน่ะมันมีน้อย คนมากก็แย่งกัน
แย่งกันก็เกิดอารมณ์ เกิดโทสะทุบตีกันหัวร้างข้างแตก ก็ต้องไปนอนพัก รักษาความเจ็บป่วย เวลาที่เป็นทุกข์นี่คนมันเกิดความคิด เพราะว่าเป็นทุกข์แล้วก็คิดถึงเรื่องทุกข์ว่าเราจะทำอย่างไร จึงจะไม่มีปัญหาอย่างนี้ต่อไป คิดแล้วมันเกิดความเห็นตรงกัน คือเห็นว่าเรานี่อยู่กันโดยไม่มีหัวหน้า ไม่มีใครปกครอง ไม่มีใครดูแล จึงทำอะไรกันตามใจตัวตามใจปากเกิดปัญหา ควรจะคัดเลือกหัวหน้า เขาก็มีการประชุมกันเพื่อคัดเลือกหัวหน้า เป็นการคัดเลือกที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่มีการหาเสียง ไม่มีการซื้อเสียง ไม่มีการเลี้ยงเหล้า ไม่มีอะไรทั้งนั้น เขาเลือกกันด้วยความบริสุทธิ์ใจ ได้คนคนหนึ่งเป็นหัวหน้าแล้วบุคคลที่เป็นหัวหน้านั้นก็จัดการ คล้ายๆกับว่าจัดสรรที่ทำมาหากิน คือแบ่งเป็นเขต เขตนี้สำหรับกลุ่มนี้ เขตนี้สำหรับกลุ่มนี้ เขตนี้สำหรับกลุ่มนี้ ให้คนในกลุ่มนี้ไปหากินในเขตนี้ มันก็ไม่มีเรื่องเพราะว่ามีที่ทำมาหากิน ความจริงก็ไม่ได้ทำอะไร ไปหากินผลหมากรากไม้มากิน หน่อไม้ ใบไม้ แต่ก็อยู่ในขอบเขต ไม่ล่วงล้ำกล้ำเกินเขา ไม่ล่วงล้ำกล้ำเกิน อยู่ในเขตของตัว แต่ว่ามีคนบางคนมีโรคทางจิตใจโรคที่เกิดขึ้นในจิตใจคนแล้วสร้างความเสียหายนี้ ในคัมภีร์ก็บอกไว้ว่าโรคขี้เกียจนั่นเองไอ้โรคขี้เกียจนี่เป็นโรคที่ทำลาย เกิดขึ้นในจิตใจคนแล้วก็ทำลายคนไม่ให้ก้าวหน้า คนคนนั้นเกิดขี้เกียจไม่อยากจะไปเก็บผลไม้ แต่ว่าท้องมันหิวเมื่อท้องหิวก็ไปเที่ยวมองตามที่อยู่ของคนอื่น คนบางคนไปได้ผลไม้มาก็เก็บไว้ นึกว่าเอากินเวลาอื่น แต่คนนั้นแอบเอาไปกินเสีย ไปขโมยเอาไปกินเสีย พวกกลับมาก็ว่า เอ๊ะ! หายไปไหน มันไม่เคยหาย ไม่เคยมีสภาพเช่นนี้ขึ้นในหมู่คนเหล่านั้นมาก่อน ก็คอยแอบดู ออกไปแล้วแต่ว่ากลับมาแอบดูอ้าวมันหายไปอย่างไร ก็จับได้ว่ามีคนคนหนึ่งไม่ไปหากิน แต่ว่าลักของเพื่อนไปกิน เลยจับได้ จับได้ก็เอามาฟ้องหัวหน้า หัวหน้าก็สั่งให้ลงโทษ นิดๆหน่อยๆไม่ได้รุนแรงอะไร แล้วก็ตั้งเป็นบทบัญญัติขึ้นว่า ให้ทุกคนงดเว้นจากการขโมย จากการลักของของคนอื่นมากินเป็นอาหาร
นี่ข้อแรก ในศีลห้าข้อนี่ ข้อที่สองเกิดก่อนข้อที่หนึ่ง ข้อที่สองเกิดก่อน ข้อหนึ่งทำไมไม่มีในสมัยนั้น เพราะว่าคนเลี้ยงชีพด้วยการจับสัตว์มากินเป็นอาหาร ถ้าไปบัญญัติศีลว่าไม่ให้ฆ่ามันก็ไม่รู้จะอยู่กันอย่างไร เพราะคนมันเลี้ยงชีพอย่างนั้น ยังไม่พัฒนาในเรื่องอาชีพ ก็ต้องปล่อยไปก่อน แต่บัญญัติศีลข้อที่สองเป็นข้อหนึ่งในสมัยนั้นว่า ไม่ให้ลักขโมยของใครมาเป็นของตัว คนเหล่านั้นก็ปฏิบัติ คือคนในสมัยก่อนนี้แม้จะไม่เจริญทางวัตถุ แต่ว่ามีความเชื่อฟัง ไม่ดื้อ ไม่ถือดี เป็นคนซื่อๆ เมื่อหัวหน้าสั่งว่าไม่ให้ขโมย ก็หยุดหมดไม่มีใครขโมย เขาก็อยู่กันด้วยความสุขความสบาย สังคมในสมัยนั้นเจริญขึ้นเพราะมีหัวหน้า
ประชาชนทั้งหลายก็ดีใจ เลยเรียกคนที่เป็นหัวหน้าว่า ราชา ราชา คำว่าราชานี่แปลว่าสบาย ผู้กระทำกิจให้คนอื่นสบายใจ ได้รับนามจากประชาชนว่าราชา เพราะฉะนั้นคำว่าราชานี้จึงเป็นคำเรียกบุคคล
ที่เป็นประมุขของชาติ ของประเทศ ของหมู่ ของคณะ ว่าราชา หน้าที่ของพระราชาก็คือการทำกิจให้คนอื่นสบายใจ พระราชาคนเดียวทำงานทั้งหมดไม่ได้ ก็ต้องมีผู้ช่วยเหลือเรียกว่าข้าราชการ ข้าราชการก็คือบุคคลผู้ทำงานแทนองค์พระราชา เพราะฉะนั้นข้าราชการก็คือบุคคลที่ทำงานให้ผู้อื่นชื่นใจ สบายใจ ใครเป็นข้าราชการก็ต้องสำนึกว่าเราเป็นผู้แทนองค์พระราชา ต้องทำหน้าที่ให้คนอื่นชื่นใจ สบายใจ เคยพูดไว้ในวันข้าราชการเดือนนี้ เขาไปทำเป็นสติ๊กเกอร์แผ่นเล็กๆ ติดไว้ตามหน้าสำนักงานทั่วไปว่า “ข้าราชการคือผู้ที่ทำงานให้ผู้อื่นชื่นใจ” เพื่อเป็นการตักเตือนอย่างนั้น แต่ว่าบางทีอาจจะไม่ทำให้คนชื่นใจก็ได้เช่นใครมาติดต่อแล้ว ก็ไม่ให้ความสะดวกทำชักช้าให้เสียเวลา ต้องหยอดน้ำมันกัน หยอดใบแดงก็ไม่ค่อยชื่นใจต้องใบสีม่วง ถ้าหยอดใบสีม่วงแล้วก็ค่อยคล่องหน่อยอย่างนี้เสียนิสัย
ไอ้เรื่องสินบนนี่มันเกิดขึ้นในสมัยสงคราม ก่อนนั้นมันมีเหมือนกันแหละแต่ไม่มาก มันมีมาตั้งแต่สมัยโบราญประเทศจีนนี่ก็มีมาเก่าแก่ ดูหนังจีนก็เห็นว่าชอบให้สินบน ถ้าต้องการอะไรก็ ฮะ ฮะ เอ้า ไปได้ไปเลย นี่มีการให้...จิ้มก้อง เขาเรียกว่าจิ้มก้องกันอยู่ เมืองไทยเราก็ค่อยมีขึ้นเรื่อยๆ แต่ว่าสมัยสงครามนี่หนัก เลยติดนิสัย แม้เสร็จสงครามแล้วก็เลยเอามาใช้เพราะเป็นทางได้ ทำให้เกิดเสียนิสัยกันทั่วไป ไม่เป็นข้าราชการตามความหมาย ไม่ได้ทำงานให้ผู้อื่นชื่นใจ แต่เป็นลูกจ้างเขาไปหมดรับจ้างทำงาน ถ้านายจ้างคือประชาชนที่ไปติดต่อหยอดน้ำมันดีดีก็เครื่องเดินฉิวไปเลย ถ้าไม่หยอดก็เครื่อง (26.15 เสียงไม่ชัดเจน) เมื่อสมัยสงครามนี่หลวงพ่อไปยืนที่สถานีหาดใหญ่ ยืนอยู่ใกล้เสมียนสินค้า ชั่งของเรื่อย ชั่ง ชั่ง ชั่ง ชั่ง ยืนดูอยู่ ชั่ง ชั่งไป นั่ง....นั่งเฉย ชั่งมาตั้งแต่เช้าไม่เห็นได้อะไร เลยนั่งเฉยๆ ไม่ทำงาน นั่งเฉยๆ ของกอง ที่ยังไม่ได้ชั่ง เจ้าของก็เห็นว่าคนนี้ นั่ง ไม่ทำงาน ก็เอาบุหรี่ไปให้ ในซองนั้นมันไม่ใช่บุหรี่ มีในหลวงบรรจุไปด้วย ยื่นซองบุหรี่ให้ ใส่กระเป่าลุกขึ้น ทำงานกระฉับกระเฉง เป็นภาพที่เห็นมาด้วยตัวหลวงพ่อเอง แล้วก็นึกในใจว่า โอ การนั่งหยุด นั้นก็เพื่อจะเรียกร้องสิ่งตอบแทน พอเขาให้ ใส่กระเป๋าพรึบๆ ขึ้นทำงานต่อ อันนี้คนทั้งหลายก็เห็นว่าต้องทำอย่างนั้น ทุกคนก็จ้องทำอย่างนั้น ทำให้คนเสียหายไปเลย
คนบางคนไม่ยอมทำเพราะไม่อยากให้คนเสียนิสัย เคยมีที่สงขลาพ่อค้าคนหนึ่ง ถูกจับฐานนำไม้ขีดไฟ..ไฟแช็ก ที่จุดสูบบุหรี่ นำหนีภาษีเข้ามา ความจริงพ่อค้าคนนั้นไม่ได้ทำมีคนใส่ความ แต่ว่าทำพลาดนิดเดียว จับเสียก่อนที่จะไปถึงบ้านใจร้อนจับ (28.06 เสียงไม่ชัดเจน) เสียก่อนไปถึงบ้าน แล้วเอาของนั้นไปให้บ้านนั้น เจ้าของบ้านที่แท้จริงน่ะ ไม่ได้ทำ แต่ว่าคนอื่นใส่ร้าย แต่ทำไม่แยบคาย จับเมื่อของยังไม่ถึงบ้าน สู้ความกัน
ในสมัยนั้นผู้พิพากษา ส่งคนไปบอกว่า ขอรถยนต์สักคัน รถยนต์ฟอร์ดคันหนึ่งในสมัยนั้นราคามันก็ (28.39 เสียงไม่ชัดเจน) ไม่ถึงพันเงินสมัยนั้น เจ็ดแปดร้อย แกไม่ให้แกบอกกับคนที่มาติดต่อว่า ผมไม่ทำลายข้าราชการ ผมไม่ให้สินบน ผมจะถูกตัดสินลงโทษอย่างไรก็ยอมทั้งนั้น ไม่ให้ เมื่อไม่ได้รถยนต์ก็มาขอเงินสดๆหมื่นหนึ่ง เงินสมัยนั้น แกก็บอกว่า ผมไม่ให้เพราะผมไม่อยากทำลายคนของหลวงให้เสียหาย ไม่ได้ ตัดสินลงโทษเลย ถูกปรับสองหมื่นบาท เงินสองหมื่นสมัยนั้นมันแพงนะ แพงมาก กาแฟถ้วยละสามสตางค์ จำเลยร้องให้กลางศาล ร้องให้เสียใจว่าถูกลงโทษโดยไม่เป็นธรรม แล้วก็เพื่อนชวนไปวัดเวลานั้นหลวงพ่ออยู่วัด (29.44 เสียงไม่ชัดเจน) ชายเมือง ไปคุยธรรมะกันทุกวันๆ แกก็เลยไปวัดเป็นนิสัย ช่วยวัดช่วยวา...ดีขึ้น แล้วก็หาทนายดีไปจากกรุงเทพฯ เอาไปแก้คดี หลุดชั้นศาลอุธรณ์ ฎีกา ...... หลุด ไม่เป็นไร เพราะความจริงเป็นเช่นนั้น แต่ว่าผู้พิพากษาในสมัยนั้นขอสินบน..ไม่ให้ เลยถูกลงโทษ เป็นเสียอย่างนั้น แล้วก็ลุกลามมาเรื่อยๆ เดี๋ยวนี้ก็มีสภาพอย่างนั้น แต่ว่ามันไม่มีใบเสร็จ จะไปลงโทษกันก็ไม่ได้เพราะไม่มีใบเสร็จ นักการเมืองบอกว่าเอ้าทุจริตก็เอาใบเสร็จมาสิ ใครมันจะให้ใบเสร็จ เขาไม่เอาใบเสร็จ เขาไม่เอาเช็ค เขาเอาเงินสดกันทั้งนั้นแหละ เช็คก็ไม่ได้ มันมีหลักฐานจ่ายเงินสดไปแล้วดีดทิ้ง (30.49) เพราะความเปลี่ยนแปลงทางสังคมโดยสังคมเปลี่ยนแปลงไปในทางวัตถุนิยม จึงเป็นอย่างนั้น
พระราชาในสมัยก่อนก็เป็นผู้ทรงศีลทรงธรรม ปกครองประชาชนเหมือนพ่อปกครองลูกเหมือนกัน จึงอยู่มาได้เรียบร้อย เมืองไทยเรานี้มีพระมหากษัตริย์มาตั้งแต่ยุคโบราญ เรียกว่าพ่อเมือง พ่อขุน ตอนแรกนี่เรียกว่าพ่อขุน ขุนนี่เป็นหัวหน้า เล่นหมากรุกมันมีขุนอยู่ตัวหนึ่ง เป็นตัวสำคัญ อันนี้หัวหน้าคนก็เรียกว่าพ่อขุน สมัยสุโขทัยก็พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ ต้นวงศ์ พ่อขุนรามคำแหง พ่อขุนเม็งรายแห่งนครเชียงใหม่ พ่อขุนเมืองนั้นเมืองนี้ เ รียกว่าเป็นผู้ปกครองดูแลคนเรียกว่าพ่อขุน ทำให้ประชาชนอยู่เย็นเป็นสุข แต่ในสมัย (ต่อ) (32.00) มาเราก็รวมกันเข้า เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ไม่มีเจ้าเมืองเล็กเจ้าเมืองน้อย รวมกันเป็นอันเดียวกัน ขึ้นกรุงศรีอยุธยา ขึ้นกรุงเทพฯ โดยเฉพาะราชวงศ์จักรี ตั้งแต่รัชกาลที่ ๑ มาจนถึงรัชกาลปัจจุบัน ได้ทรงกระทำสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ชาติแก่บ้านเมืองมามากหลาย ทุกพระองค์พัฒนาบ้านเมืองให้เจริญก้าวหน้าตามยุคตามสมัยมาโดยลำดับเหมาะแก่เหตุการณ์ คิดดูแล้วพระเจ้าแผ่นดินของเรานี่เกิดมาเหมาะแก่เหตุการณ์ แล้วก็ได้ช่วยกู้ชาติกู้บ้านเมือง เช่น พระเจ้าตากสินนี่ ก็เหมาะแก่เหตุการณ์ เป็นพระยาวชิระปราการครองเมืองกำแพงเพชร มาอยู่ในนครหลวงคือกรุงศรีอยุธยา เมื่อเกิดพม่ามารุกรานท่านเห็นว่าไปไม่ไหวแล้ว พาคนจำนวนหนึ่งขี่ม้าบุกหนีออกไป หนีออกไปไปตั้งตัวใหม่ สู้กันใหม่ ไปรวมพล
อยู่ที่จังหวัดระยอง ต่อเรือรวมพลอยู่ที่นั่น หนีไปได้ เจ้าพระยาสุรสีห์ชื่อบุญมาน้องของรัชกาลที่ ๑ ก็หนีเหมือนกัน หนีทางเรือเรือเล็กๆ แล้วก็ได้ฆ้อง ฆ้องวงใบหนึ่ง เวลาไปก็ตีฆ้อง โหม่ง โหม่ง โหม่ง ฆ้องนั้นมันเหมือนกับฆ้องพม่า ตีไปทหารพม่าก็นึกว่าพวกเดียวกัน (34.03 เสียงไม่ชัดเจน) หนีมาทางเรือมาถึงสีกุก สีกุกมันแคบแม่น้ำมันแคบพม่าตั้งค่ายสองฝั่ง มาถึงนั้นจะทำอย่างไร ล้มเรือเลย คว่ำ แล้วก็เวลาคว่ำเรือนี่ตรงกลางมันมีอากาศ โพลง เป็นโพลง หายใจได้ก็อยู่ (34.25 เสียงไม่ชัดเจน) ลอย ลอยมา เรือลอยมา พม่านึกว่าท่อนไม้ไม่สนใจ ลอยมาจนพ้นเขตค่ายพม่า พลิกเรือขึ้น แล้วก็นั่งเรือต่อมา จนถึงท่าพระจันทร์ ก็ขึ้นเข้าไปอาศัยวัดมหาธาตุฯ ไ ปอยู่กับพระพระก็ต้อนรับขับสู้ให้กินให้อยู่ตามสบาย พอหายเหนื่อยแล้วก็ลาพระเดินทางไปราชบุรีไปหาพี่ชายเป็นหลวงยกกระบัตรราชบุรี เป็นเจ้าเมืองราชบุรี รัชกาลที่ ๑ ไปหาพี่ชายก็ไปบ่น เอ้าไอ้พม่านี่มันทำเราเจ็บทำให้พลัดบ้าน พลัดน้อง พลัดพ่อ พลัดแม่ ไม่รู้ว่าใครไปอยู่ไหน แล้วก็ถามว่าพระยาตากไปอยู่ที่ไหนล่ะ รู้ไหม ได้ข่าวว่าไปอยู่แถวตะวันออก ไประยอง น้องไป ไปหาพระยาตาก แต่อย่าลืมพาคุณแม่ไปด้วย เพราะพระเจ้าตากนี่รักแม่มาก บูชาคุณแม่ กตัญญูต่อแม่ ให้ไป สืบดูว่าแม่อยู่ไหน พาไปด้วย ต่อมาสืบพบคุณแม่ แม่นกเอี้ยง ก็พาไปถึงค่ายที่ระยอง ให้พักอยู่หน้าค่าย เข้าไปคนเดียวก่อน พอเข้าไปถึงพระยาตากก็บ่นว่า ไอ้พม่ามันทำเราเจ็บแสบ ลูกพลัดแม่ นี่ไม่รู้ว่าแม่ไปอยู่ที่ไหน เป็นทุกข์อยู่ทุกวัน กินไม่ได้ นอนไม่หลับ เพราะคิดถึงแม่เหลือเกิน คุณทองมาก็ได้โอกาสบอกว่า อ๋อ พามาแล้ว เอ้าไว้ที่ไหนล่ะ อยู่หน้าค่าย ไปด้วย พระยาตากลุกขึ้น เดินอย่างเร็ว ไปหาคุณแม่ ไปพบคุณแม่ก็ก้มลงกราบ เชิญคุณแม่เข้าค่ายให้อยู่สบาย แล้วก็ คุณบุญมาก็กลายเป็นทหารเสือของพระเจ้าตาก แล้วไปพาพี่ชายมาด้วย มาร่วมมือกันกู้ชาติกู้บ้านเมือง จนได้คืนไล่พม่าไปหมด พระเจ้าตากก็ตั้งตนเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ทรงทำนุบำรุงกิจการบ้านเมือง การพระศาสนาให้เจริญก้าวหน้า แต่ว่าท่านชอบภาวนา ที่เราพูดสมัยนี้ว่าเจริญวิปัสสนานั้น ท่านชอบ ว่างๆก็นั่งภาวนา นั่งภาวนาไปก็เกิดความเข้าใจเขวว่า ท่านบรรลุโสดาบัน เป็นพระอริยะบุคคล พระเข้ามาในวังท่านถามว่าคฤหัสถ์เป็นอริยะบุคคลนี่ พระไหว้ได้ไหม พระเกรงใจนี่ท่านเป็นพระเจ้าแผ่นดินนี่ ถ้าเป็นในสมัยก่อนนี่ไม่ได้ บอกว่าไหว้ได้ แต่มีองค์หนึ่งบอกไหว้ไม่ได้เพราะว่าคฤหัสถ์เป็นเพศต่ำพระเป็นอุดมเพศ ไหว้ไม่ได้ องค์นั้นพอกลับวัดก็ไปเลย ไม่อยู่วัดในกรุงแล้ว ไปบ้านนอก หนีไปอยู่บ้านนอก กลัวอาชญา ทีนี้องค์ที่บอกว่าไหว้ได้ก็ได้รับการยกย่องให้มีเกียรติเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ในวงการสงฆ์ สมัยนั้นมีอยู่ครั้งหนึ่งท่านบอกกับขุนนางว่า ข้าจะไปสวรรค์แล้ว แต่ว่าไปทั้งมีชีวิต ใครจะติดตามบ้าง พวกช้าราชการก็กลัวก็ต้องบอกว่า จะไปด้วย จะไปด้วย แต่มีคนหนึ่ง พระยาพัทลุง...ขุม ชื่อขุม บอกว่าข้าพระองค์ก็อยากจะไปเหมือนกัน แต่ว่าบารมีมันไม่พอ รอให้ตายก่อนแล้วค่อยไปรับใช้พระองค์ในสวงสวรรค์ เอาตัวรอด เลยได้ชื่อว่าพระยาคางเหล็ก พระยาพัทลุงคางเหล็ก เพราะว่าปากแข็ง กล้าเพ็ดทูลพระเจ้าแผ่นดินก็เลยเรียกว่าพระยาคางเหล็ก พอไปพระยาพัทลุงขุมแล้วก็หลาน พระยาพัทลุงขุมนี่คือเจ้าจอมเรียม อยู่ที่วัดเฉลิมพระเกียรติ บ้านท่านอยู่ที่นั่น ได้ไปเป็นพระสนมรัชกาลที่ ๒ แล้วก็มีลูกคือรัชกาลที่ ๓ รัชกาลที่ ๓ ได้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน เจ้าจอมเรียมก็ได้ยกฐานะดีขึ้น นี่ก็เป็นเชื้อสายหลานพระยาพัทลุงขุมนั่นเอง เป็นมาอย่างนั้น
พระเจ้าแผ่นดินรัชกาลที่ ๑ ขึ้นเสวยราชสมบัติครองกรุงเทพฯ เพราะพระเจ้าตากฟั่นเฟือนแล้วก็มีการปฏิวัติคนที่ทำการปฏิวัติ พระยาสรรค์กับพวกทำการปฏิวัติจับพระเจ้าตาก รัชกาลที่ ๑ กำลังอยู่เมืองเขมร รีบเดินทางกลับมาถึงวัดสะแกหรือวัดสระเกศเช้ามืด ล้างหน้าล้างตาแล้วแต่งตัวที่นั่น เลยเปลี่ยนชื่อวัดนั้นว่า “วัดสระเกศ” เพราะได้มาล้างหน้าสระหัวที่นั่น แล้วก็เข้าไปในวัง เขาก็จะเอาพระเจ้าตากที่ถูกจับนั้นมา ท่านบอกไม่ต้อง พวกก็เอาไปทำการประหารไปตามเรื่อง ท่านก็เป็นพระเจ้าแผ่นดินที่ รัชกาล ๑ สร้างกรุงเทพมหานครฯ บ้านเมืองก็ก้าวหน้าไปด้วยความสงบเรียบร้อย แต่ว่าพม่าก็ยังมาแหย่ ตั้งใจว่าจะตีประเทศไทยให้แหลกไปเลย จึงส่งทัพเก้าทัพตีตั้งแต่เชียงใหม่จนถึงเมืองถลาง เหมือนญี่ปุ่นขึ้นประเทศไทยขึ้นตั้งแต่บางปูจนถึงนราธิวาส สู้ไม่ไหว แต่ทหารไทยก็สู้ตายไปหลายรายได้สร้างอนุสาวรีย์กันไป
ผลที่สุดจอมพล ป. บอกให้หยุดรบ...เป็นมิตรกัน ทหารญี่ปุ่นก็ลุยไป (41.25 เสียงไม่ชัดเจน) สมัยนั้นพม่าก็ตีอย่างนั้น เจ้าพระยาสุรสีห์น้องชายของรัชกาลที่ ๑ ท่านก็จัดทัพไปสู้พม่า (41.39 เสียงไม่ชัดเจน) สู้ทุกแห่งแตกกระจายมัน รบกันใหญ่ สำคัญที่สุดก็ที่ทุ่งลาดหญ้า จังหวัดกาญจนบุรี ลาดหญ้า ท่าดินแดง ถนนพรานนก นี่มันชื่อสมัยนั้น เอามาจากเมืองกาญจน์ทั้งนั้นแหละ ถ้าไปถามคนแถวนั้น ทำไมถึงชื่อลาดหญ้า เขาบอกว่าหญ้ามันคงจะมากสมัยนี้ ทำไมชื่อพรานนก เขาคงจะมาดักนกกันแถวนี้ ไม่รู้เรื่องเป็นชื่อประวัติศาสตร์ พระปกเกล้าฯท่านพัฒนากรุงธนฯก็เลยเอาชื่อมาตั้ง ถนนลาดหญ้า
ถนนท่าดินแดง ถนนพรานนก ชื่อในพงศวดาร รบใหญ่ที่ทุ่งลาดหญ้า ตีพม่าแตก แตกไปเป็นเรื่อยๆ ทางใต้ก็ ท้าวเทพสตรี ท่านหญิงมุก ท่านหญิงจัน สู้ กู้เมืองถลางไว้ได้ พม่าตีไม่แตก พม่าไปตั้งค่ายใกล้เมืองท่าทุ่ง เขาเรียกว่าทุ่งค่ายท่าเสม็ด แต่พระมหาช่วยเป็นอาจารย์อยู่พัทลุง ก็เห็นว่าบ้านเรือนจะเดือดร้อน ส้องสุมปลุกใจเด็กหนุ่ม เลยยกทัพ ท่านนั่งบนคานหามพวกลูกศิษย์เอา ไปบุกค่ายพม่า พม่าแตกกระเจิง ท่านก็บอก กูนี่ไม่ไหวแล้วเป็นพระไปรบทัพแล้ว ก็ได้เป็นพระยาช่วยทุกขราษฎร์ ได้เป็นเจ้าเมืองพัทลุงเหมือนกัน นี่เป็นอย่างนั้น นครจึงยังไม่ถูกทำลายสิ่งทั้งหลายยังอยู่เรียบร้อย
รัชกาลที่ ๑ ขึ้นครองราชย์ต่อ คิดว่าจะทำสังคายนาพระไตรปิฎก เพราะหนังสือถูกเผาไฟหมด พระไตรปิฎกก็ขาดๆวิ่นๆ เพื่อให้หาต้นฉบับที่เรียบร้อย ก็ไปได้ที่เมืองนครฯ ก็ไม่ถูกเผา ไม่ถูกทำลาย เอามาเป็นต้นฉบับคัดลอก เรียกว่าพระไตรปิฎกลานทอง ประดิษฐานไว้ที่วัดพระแก้วอยู่ที่วิหารหอธรรม เขาเรียกหอธรรม ครั้งแรกสร้างด้วยไม้ เกิดไฟไหม้ แต่ว่าขนหนังสือออกมาได้ไม่เสียหาย ทีหลังสร้างเป็นวิหาร เดี๋ยวนี้ไปเทศน์ที่นั่น...แสดงธรรม ไม่ได้เทศน์ในโบสถ์พระแก้ว ไปเทศน์ที่หอธรรม หอพระไตรปิฎกสมัยรัชกาลที่ ๑ พระไตรปิฎกลานทอง ยังเป็นต้นฉบับสำหรับศึกษาค้นคว้าต่อไป แล้วก็ปรับปรุงคณะสงฆ์ และที่ขัดคอพระเจ้าตากหนีออกไปนั่น นิมนต์กลับมาให้เป็นสังฆราช เป็นสังฆราชองค์แรกของกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๑ ครองบ้านครองเมืองเจริญก้าวหน้า สวรรคต ก็รัชกาลที่ ๒ ขึ้นครองราชย์
รัชกาลที่ ๒ เป็นกษัตริย์ผู้ เรียกว่าเป็นกวี เขียนหนังสือเรื่องสังข์ทอง เรื่องอิเหนา เรื่องรามเกียรติ์ เขียนไว้ให้คนได้อ่านได้ศึกษากัน..เขียนไว้ เป็นผู้ที่ทำงานการก้าวหน้าเป็นไปด้วยดี มีโอรสหลายองค์ แล้วก็สวรรคต เมื่อสวรรคตก็ตั้งโอรสชื่อว่าพระองค์เจ้าทับ รัชกาลที่ ๒ นี่ชื่อ ฉิม แล้วก็ลูกชื่อทับ..พระองค์เจ้าทับ พระองค์เจ้าทับคือต่อมาเป็นรัชกาลที่ ๓ ท่านมองเห็นว่าเมืองไทยนี่ขาดเศรษฐกิจ เพราะมัวแต่รบกับพม่า เงินทองขาดแคลน ท่านจึงจัดเรือสำเภา บรรทุกของไปขายประเทศจีน ขากลับก็ซื้อของเมืองจีนมาขายเมืองไทย แล้วก็ขนตุ๊กตาหินที่มายืนอยู่ที่วัดแจ้ง ยืนอยู่ที่วัดราชโอรส ยืนอยู่ในวังนั่น รัชกาลที่ ๓ ขนมาทั้งนั้น เพราะไปค้าขายได้เงิน ได้เงินแล้วก็ เวลาเป็นพระเจ้าแผ่นดินท่านก็ค้าต่อได้เงินมาใส่ถุงเรียกว่าถุงแดง เงินถุงแดงนี่เป็นเงินที่ท่านสร้างเวลาสวรรคตนะ บอกว่าเงินนี้อย่าใช้ ให้เก็บไว้เมื่อชาติต้องการ แล้วก็ได้ใช้เมื่อคราวที่ชาติจำเป็น เงินนี่ นี่แหละเป็นต้นเหตุของพระคลังข้างที่ รัชกาลที่ ๓ ทำไว้
รัชกาลที่ ๓ ชอบสร้างวัด พระปรางค์วัดแจ้งนั้นท่านสร้าง โลหะปราสาทที่วัดราชนัดดา เดี๋ยวนี้เขารื้อโรงหนังเฉลิมไทย แล้วพัฒนาตรงนั้น เป็นสถานที่สวยงาม สร้างหล่อพระรูปของรัชกาลที่ ๓ เอาวางไว้ สร้างศาลาเป็นที่รับแขกเมือง เห็นโลหะปราสาทสวยงาม ท่านสร้างไว้ แล้วจะสร้างพระปรางค์ให้ใหญ่ที่สุดที่วัดสระเกศ ภูเขาทองนั่นแหละ เดิมจะสร้างเป็นพระปรางค์ใหญ่กว่าพระปรางค์วัดแก้ว แต่สร้างไม่เสร็จ สวรรคตเสียก่อน รัชกาลที่ ๔ ขึ้นเสวยราชย์ ก็เลยแปลงเป็นภูเขาทอง ให้เราได้ตื่นเต้นกันอยู่จนบัดนี้ นี่ฝีมือของรัชกาลที่ ๓ แล้วรัชกาลที่ ๓ นี่มีน้ำพระทัยกว้างขวาง เวลาป่วยใกล้สวรรคต ประชวรหนัก เป็นมะเร็ง แล้วก็ท่านบอกว่า ความป่วยของฉันหนักมาก เหลือวิสัยที่แพทย์จะเยียวยา คงจะตายในไม่ช้า เรื่องเกี่ยวกับราชสมบัตินั้นให้ท่านทั้งหลายปรึกษาหารือกันเอง ว่าควรให้แก่ใคร ที่มีความรู้มีความสามารถจะพาชาติพาประเทศไปได้ จงยกให้ผู้นั้นเถิด ความจริงท่านมีลูกชายหลายคน แต่ไม่ให้ลูกชาย และมองเห็นว่าจะเกิดปัญหา ท่านมองไปถึงรัชกาลที่ ๔ ที่กำลังบวชอยู่ ว่าเป็นคนมีความรู้มีความสามารถ ทันสมัย เพราะได้ศึกษาเมื่อบวช แต่ท่านไม่พูดตรงๆ บอกว่าสุดแล้วแต่ท่านทั้งหลายจะพิจารณา อันนี้เมื่อรัชกาลที่ ๓ สวรรคตมีการประชุมพระก็ไปด้วย พระคือกรมพระปรมานุชิตฯ วัดโพธิ์ฯ เป็นลูกรัชกาลที่ ๑ ก็เป็นพี่รัชกาลที่ ๒ จัดเป็นพระผู้ใหญ่เข้าประชุมด้วย ปรึกษาหารือกันว่าราชสมบัตินี้ควรให้แก่เจ้าฟ้ามงกุฎที่บวช ไปขอร้องให้สึกมาครองเมือง ก็เลยให้รัชกาลที่ ๔ สึกมาครองเมือง รัชกาลที่ ๔ อายุน้อยกว่ารัชกาลที่ ๓ ๑๔ ปี รัชกาลที่ ๓ แก่กว่า แต่ความจริงแล้วรัชกาลที่ ๔ เป็นลูกพระราชินี รัชกาลที่ ๓ เป็นลูกพระสนม แต่ว่าเคยไปทัพจับศึกกับพ่อมีความรู้ มีความสามารถก็ต้องให้เป็น แต่ว่าต่อมารัชกาลที่ ๔ เป็น รัชกาลที่ ๔ มาเป็นพระเจ้าแผ่นดินเหมาะแก่เหตุการณ์ที่สุด เหมาะแก่เหตุการณ์ รัชกาลที่ ๓ ตรัสไว้คำหนึ่งว่า ข้าศึกใกล้ไม่มีแล้ว มีแต่ข้าศึกไกลๆ อย่าประมาท ให้เสียทีเขาเป็นอันขาด ข้าศึกไกลก็คือฝรั่ง ฝรั่งกำลังมาหาเมืองขึ้นแถวเอเชีย ตีอินเดียได้ ตีอะไรได้ มาเป็นแถว มลายู เอาหมดแล้ว ไทยเราต้องไม่ประมาทอย่าให้เสียทีเขาเป็นอันขาด อันนี้เมื่อตั้งรัชกาลที่ ๔ เป็นพระเจ้าแผ่นดิน รัชกาลที่ ๔ ท่านอยู่วัดท่านไม่ได้อยู่เฉยๆ ท่านเรียนภาษาบาลีจนเก่ง ไ อ้คำที่เราสวดทุกเช้าทุกเย็นนี่ท่านเขียนเอง รัชกาลที่ ๔ เขียนเป็นคำบาลี พุทโธ สุสุทโธ กรุณามะหัณณะโว โยจจันจะสุทธัพพะระญาณะโลจะโน นี่ท่านเขียน เขียนเป็นคำกาพย์นะ ไม่ได้เขียนง่ายๆแต่งเป็นคำกาพย์ให้ พระสวดกันในสมัยนั้น แล้วท่านพุทธทาสเอามาแปลให้เราสวดเข้าใจกันได้ เป็นฝีมือของรัชกาลที่ ๔ เพราะท่านมีความรู้ภาษาบาลี ภาษาละติน ภาษาอังกฤษ สามารถจะเขียนจดหมายไปถึงพระราชินีวิกทอเรียของอังกฤษได้ในสมัยนั้น ฝรั่งมาติดต่อไม่ต้องใช้ล่าม ...... คุยกันได้ ทำให้เกิดความสะดวกในการติดต่อ ฝรั่งมาจะยึดประเทศไทย แต่มาถึงประเทศไทยได้สนทนา
พาทีกับพระเจ้าอยู่หัวต้อนรับขับสู้ดีก็เลยกลายเป็นมิตร บ้านเมืองอยู่รอดปลอดภัยพระเจ้าแผ่นดินเหมาะแก่เวลา ท่านมาเกิดเหมาะแก่เวลาทำให้ชาติบ้านเมืองได้คนดีเข้ามา แต่ว่าท่านออกมาครองเมืองนั้น...แก่แล้ว อายุ ๔๗ แล้วถึงได้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน บวชอยู่ ๒๗ ปีแล้วก็ออกมาครองเมือง สร้างพระโอรสไว้จำนวน ๗๐ กว่าองค์ โอรสของท่านเก่งทั้งนั้น กรมพระยาดำรงฯ กรมพระยาเทววงศ์ ทุกคนที่เป็นลูกรัชกาลที่ ๔ แต่ก็อาศัยรัชกาลที่ ๕ เพราะรัชกาลที่ ๕ เป็นลูกพระราชินี เป็นลูกหัวปี เมื่อรัชกาลที่ ๔ สวรรคต พระชนมายุเพียง ๑๖ พรรษา แต่เจ้าพระยามหาประยูรวงศ์เป็นผู้รักษาแผ่นดิน ผู้สำเร็จราชการ เจ้าพระยาฯพระองค์นี้ก็ซื่อตรงจงรักภักดีต่อราชวงศ์จักรี รักษาบ้านเมืองไว้เรียบร้อย ในหลวงท่านก็เป็นพระเจ้าแผ่นดิน ในนามจนถึงอายุ ๒๐...บวช บวชเป็นพระ บวชเป็นสามเณรครั้งหนึ่งแล้วอยู่ในวัง ส่วนพระเจ้าแผ่นดินดูแลเองสอนเอง สอนเณรเอง แต่ว่าทีหลังพระบิดาสวรรคตแล้วก็บวชเป็นพระ บวชเป็นพระอยู่วัดบวรฯ แล้วต่อมาก็บอกผู้สำเร็จราชการว่าฟ้ามีอายุบรรลุนิติภาวะแล้วนะ ควรจะได้เป็นพระเจ้าแผ่นดินเองแล้ว เขาก็ให้ ทำพิธีราชาภิเษกเป็นพระเจ้าแผ่นดิน
รัชกาลที่ ๕ นี่ท่านรักน้องๆ เพราะเมื่อรัชกาลที่ ๔ สวรรคตนี่ ลูกเล็กๆ อายุ ๑๐ ขวบ ๑๒ ขวบเยอะแยะ รัชกาลที่ ๕ ดูแลหมดเรียบร้อยให้ศึกษาเล่าเรียน ให้บ้าน สร้างวังให้อยู่ หางาน ให้ทำ ไม่ให้ลำบากเดือดร้อน เป็นพระเจ้าแผ่นดินที่มีคุณธรรม ต่อจากนั้นจึงได้เป็นที่รักเป็นที่พอใจของประชาชน ในนามว่าพระปิยะมหาราช ท่านดูแลน้องทุกองค์เจริญก้าวหน้า เป็นผู้ที่ช่วยงานพระองค์ได้มาก บางองค์มีชื่อเสียงอย่างเช่นกรมพระยาดำรงฯนี่ ช่วยเหลือมาก ทำงานเป็นมือขวาของในหลวง กรมพระยาเทววงศ์นี่ก็เป็นเหมือนมือซ้าย ฝ่ายต่างประเทศ ทำงานมาตลอด เพราะท่านรักน้อง ช่วยเหลือน้อง ให้ความสบาย ให้งานทำ ให้การศึกษา ให้ไปเรียนเมืองนอกเมืองนา จ้างฝรั่งมาสอนหนังสือ ให้มีความรู้ความฉลาด จะได้ช่วยกันทำงาน นับว่าเป็นเรื่องที่น่านับถืออย่างหนึ่ง รัชกาลที่ ๕ ครองราชย์นานเพราะครองตั้งแต่อายุ ๑๖ แล้วก็สิ้นพระชนม์เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๔ ...ปีนั้น หลวงพ่อเกิดปีนั้น แต่สวรรคตก่อนเลยเกิดในสมัยรัชกาลที่ ๖ รัชกาลที่ ๖ ซึ่งเป็นพระโอรสรัชกาลที่ ๕ ท่านส่งไปเรียนนอก ลูกของรัชกาลที่ ๕ ไปเรียนนอกทั้งนั้น ไปแล้วก็ไปฝากไว้กับพระเจ้าแผ่นดินเมืองนั้นๆ ให้เป็นลูกเลย เช่นพระกรมหลวงพิษณุโลก ไปอยู่รัสเซียนี่ ก็เป็นลูกของพระเจ้าซาร์ ให้เล่าให้เรียนให้เป็นอยู่ ไปอยู่เยอรมันก็เป็นลูกของพระเจ้าไกเซอร์ แล้วก็กรมพระนครสวรรค์ไปอยู่อังกฤษ รัชกาลที่ ๖ กรมหลวงชุมพร กรมหลวงราชบุรี กรมหลวงปราจีน กรมหลวงนครชัยศรี ไปเรียนมาเหมือนกัน มีความรู้กลับมาช่วยพ่อทั้งนั้น บางองค์เรียนเก่ง กรมหลวงราชบุรี อายุ ๑๘ ปี จบชั้นมัธยมบริบูรณ์เข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้ อายุยังไม่ ๒๐ เขาไม่ให้เข้า ประเทศอังกฤษ ท่านไปหาอธิการบดี ไปพูดกับอธิการบอกว่าคนเมืองร้อนมันตายเร็ว บอกอย่างนั้นอนุญาตให้ข้าพเจ้าเรียนเถอะ จบแล้วจะได้ไปช่วยพ่อทำงานต่อไป ได้เรียน เรียนกฎหมาย เรียนเก่ง สอบได้ที่หนึ่งของนักเรียนทั้งหมดใ นมหาวิทยาลัยอ็อกฟอร์ด เขาจึงมีวันไว้ว่า “วันระพี” ในมหาวิทยาลัย เรียนเก่ง พอเรียนเสร็จแล้วกลับบ้าน มาตั้งโรงเรียนสอนกฎหมายวางรูปวางแบบ เป็นเสนาบดีกระทรวงยุติธรรมอะไรต่ออะไร ต่อมาไปเกิดเจ็บไข้ได้ป่วยก็ไปรักษาตัวที่กรุงปารีสเลยสิ้นพระชนม์ที่นั่น อายุน้อย ลูกรัชกาลที่ ๕ อายุน้อย ลูกรัชกาลที่ ๔ อายุยืนบางท่าน ...... พระพันวัสสาอยู่ถึง ๙๙ ปี ๗๐ ปี ๘๐ ปี ...... แก่ รัชกาลที่ ๔ ลูกอายุยืน ทำไมจึงอายุยืน คือพ่ออายุมากแล้วมามีครอบครัว คนที่แต่งงานตั้งแต่วัยอ่อนๆอยู่ ลูกอายุไม่ยืน สำคัญนะอย่ารีบแต่งงานเกินไป อยู่มันเกินสัก ๒๐-๒๔-๒๕ ลูกจะได้อายุยืนหน่อย แต่งงานไวๆลูกตายไว อายุสั้น เป็นอย่างนั้น เสียดาย คือคนดีๆตายนี่ เสียดายกรมหลวงราชบุรีตาย กรมหลวงพิษณุโลกตาย กรมหลวงนครราชสีมาตาย ตายหมด เหลือพระปกเกล้าฯ ลูกสุดท้องของลูกทั้งหมดในรัชกาลที่ ๕ พระปกเกล้าฯ เป็นลูกสุดท้อง ได้เป็นพระเจ้าแผ่นดินแล้วก็มีการเปลี่ยนการปกครอง ท่านก็ไม่ขัดข้อง บอกว่าได้ ฉันก็อยากให้เป็นอยู่แล้ว ก็เลยยอมเขา แต่ยอมแล้วกลับไม่สบายพระทัยว่า เอ เปลี่ยนให้แล้วมันเอาไปกำไว้ ให้แล้วไปกำไว้ ไม่ยอมปล่อย มันผิดหลักการเลยท่านลาออกไปรักษาตาที่เมืองอังกฤษเลยลาออกไปเสียเลย ก็ได้มาถึงรัชกาลที่ ๘ ที่ ๙ นับว่าเป็นพระเจ้าแผ่นดินอีกเพราะคุณแม่ดี สมเด็จย่านี่เป็นแม่ชั้นดีของแม่ทั้งหลาย เป็นแม่ดีที่อบรมลูกดี ได้เป็นพระเจ้าแผ่นดินที่เหมาะแก่สมัยแก่เหตุการณ์ แต่ว่ารัชกาลที่ ๘
ก็สวรรคตโดยอุบัติเหตุ รัชกาลที่ ๙ คือในหลวงองค์ปัจจุบันก็ขึ้นครองราชย์ มีน้ำพระทัยกว้างขวาง มีความเมตตาปราณีต่อประชาชนดังที่เราเห็นกันอยู่ในปัจจุบันนี้
เดือนนี้เป็นเดือนของในหลวง วันนี้วันที่ ๓ พรุ่งนี้ ๔ มะรืนนี้ก็ ๕ แล้ว เป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เราทั้งหลายที่เป็นข้าฝ่าละอองธุลีพระบาท ได้รับความสุขความสบาย ก็ควรจะทำอะไร เพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณของในหลวงบ้าง ไม่ได้ทำอะไรที่นั่นก็ดูตัวเราว่าเราควรจะแก้ไขอะไรบ้าง ควรจะประพฤติตนอย่างไร มีอะไรบกพร่องในชีวิต ก็ควรจะได้คิดแก้ไขปรับปรุงให้ดีขึ้น เพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณของพระราชา ผู้เป็นประมุขอันเลิศของเราทั้งหลาย ก็จะเป็นการถูกต้อง
วันที่ ๕ วันที่ ๖ ตอนนี้เขามีการประชุมกันอยู่ที่พุทธมณฑลเรียกว่าประชุมส่งเสริมการปฏิบัติธรรม มีพระพันสองร้อยห้าสิบกว่า หกสิบกว่า มาอยู่ที่นั่น ปักกลดทำบุญกัน ญาติโยม เขาก็ไปทำบุญกัน หลวงพ่อก็เป็นกรรมการเหมือนกัน แต่เขาไม่บอกให้ทำอะไร ใส่ชื่อไว้เฉยๆ ไม่เห็นให้ไปพูดไปจาอะไร มีแต่พระอื่นพูด ก็เลยไม่ได้ไปก็เพราะ ไม่รู้ไปทำอะไร มีธุระที่วัดเยอะแยะ แต่ก็ในน้ำใจก็ขออนุโมทนา ที่มีความคิดส่งเสริมธรรมะเป็นการดีอันนี้เราก็ควรช่วยกันประพฤติดีประพฤติชอบ อธิษฐานใจว่าเราจะเดินตามรอยเท้าของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อสร้างสิ่งดีสิ่งงามให้เกิดขึ้นในชาติในบ้านเมืองของเรา ก็เป็นการถูกต้องแล้ว
พูดมาวันนี้ก็สมควรแก่เวลาขอยุติไว้แต่เพียง (เท่านี้)