แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
พุทธบริษัททั้งหลาย ณ บัดนี้ ถึงเวลาของการฟังปาฐกถาธรรมะ อันเป็นหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนาแล้ว ขอให้ทุกท่านหาที่นั่ง นั่งตรงใดตรงหนึ่งแล้วตั้งใจฟังด้วยดี เพื่อให้ได้ประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการฟังตามสมควรแก่เวลา
เมื่อวานนี้อากาศเต็มไปด้วยเมฆครึ้มตลอดเวลา แล้วเมื่อคืนนี้ก็เทลงมาตลอดคืน หลวงพ่อนึกในใจว่า เทให้หมดตอนกลางคืน เช้าวันอาทิตย์อย่า อย่าตก เพราะวันอาทิตย์เป็นเวลาที่คนเขามาทำบุญ ได้มีที่พักที่อาศัย ถ้าฝนตกล่ะ มันยุ่งกันใหญ่เลย ก็ดีเหมือนกัน วันนี้ไม่ตก มีแสงแดด ญาติโยมจะได้นั่งพัก ร่มรื่นสบายสบาย เพราะฝนไม่ตกแล้ว แต่ตอนบ่ายไม่แน่ ไม่ได้ขอกันไว้ ขอเฉพาะตอนเช้า เพราะว่าตอนเช้าโยมมาทำบุญ ก็เลยไป ไม่ตก ก็ดีแล้ว
เรื่องดินฟ้าอากาศนี้มันก็เป็นเรื่องของธรรมชาติ ไม่อยู่ในอำนาจของใคร เขาเป็นไปตามเรื่องกฎของธรรมชาติ ธรรมชาติมันหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงไปตามเรื่อง พอดีได้ฟังข่าวว่า เกิดพายุขึ้นที่นั่นที่นี่แล้ว ปีนี้ดูข่าว ฝนตกหนักทั่วหลายประเทศ ประเทศจีนนี่น้ำท่วมมากที่สุดในรอบหลายปี ประเทศอินเดียก็ท่วม ยุโรปก็ท่วม บ้านใกล้เรือนเคียงเราก็มีน้ำท่วมเหมือนกัน สังเกตดูว่าถ้าท่วมที่อื่นมาก เมืองไทยก็ต้องท่วมเหมือนกัน นี่ก็ท่วมแล้ว โดยเฉพาะจังหวัดเชียงรายน้ำท่วมมาก จังหวัดชัยภูมินี้ฝนแล้งตลอดเวลา ไม่ค่อยตก แถวอำเภอพลแถวนั้นฝนไม่ค่อยตก แต่ปีนี้ตกมากล้นเหลือ ตกเอาจนท่วมบ้านท่วมเมืองไป เรียกว่า มากเกินไป มันไม่พอดี เกิดเป็นปัญหา สมัยนี้ถ้าฝนตกน้ำก็มาเร็ว แล้วที่น้ำมาเร็วก็เพราะว่า เรานี้แหละ ชาวโลกแหละเป็นผู้ทำให้เสียหาย คือ ทำลายป่ามากเกินไป เวลาน้ำตกก็ไม่มีป่ารับน้ำ มันไหลเร็ว ชะดิน ทำให้น้ำขุ่นเป็นตม เลย เลยไหลมาท่วม ที่หนองคาย น่ะ น้ำแม่โขงที่ไหลมาจากประเทศจีน ขุ่นขลั่กเลย ถ้าว่าตักน้ำมาขันหนึ่งให้เต็ม เอามาวางไว้ วางไว้สักชั่วโมง ก็จะเห็นว่าตะกอนที่ตกอยู่ในขันนั้นครึ่งขัน ตะกอนนี้มันตกลงไปตั้งครึ่งขัน
ปีที่น้ำท่วมใหญ่นี่ มีวัดริมแม่น้ำรอง แม่โขงที่หนองคาย ชื่อวัดหายสูบ ชื่อดี ชื่อหายสูบ แต่ว่า ปีนั้นมันไม่หายสูบ ท่านสมภารก็มีความโศกเศร้าอย่างยิ่ง เพราะว่า แม่โขงเอาดินมาใส่โบสถ์ให้ เต็มเข้าไปครึ่งโบสถ์ น้ำมันเข้าไปในโบสถ์แล้ว ตะกอนตกอยู่ในโบสถ์ครึ่งโบสถ์ หลวงพ่อไปที่นั่นก็ไปเยี่ยม และบอกว่า เขาส่งคืน เพราะว่าแม่โขงเอาตลิ่งของวัดหายสูบไปมากแล้ว เอาไปตั้งสิบวา แล้วก็ยาวตาม ...... (04.24 เสียงไม่ชัดเจน) วัด เขาเอาไปมาก หลายปีแล้ว เขาก็ส่งคืนให้มา ท่านบอกว่า ''ส่งคืนแบบนี้ มันไม่ไหวนะ '' เพราะว่า ดินเข้าไปอยู่ในโบสถ์เต็มไปหมด ท่านก็เดือดร้อน ก็ไม่เป็นไร ขนไปทิ้งลงแม่น้ำต่อไป เป็นอย่างนั้น
ที่จังหวัดพัทลุง ปีที่ท่วมใหญ่ เขาเรียกว่า ''เขาคราม'' มันมีน้ำตก มีภูเขาสูง และก็น้ำ มันไหลลงมา มาตอน กลางคืน เอ้ย ! ตอนเช้า ถ้ามาตอนกลางคืน คนจะตายมาก แต่นี่มาตอนเช้า ประมาณสัก๙โมง น้ำมาแรง ไหลไปในทางที่มันเคยไหล เป็นแนว (05.15 เสียงไม่ชัดเจน) ตัดใหม่ ขุดใหม่ ว่าอย่างนั้น น้ำขุด ...... (05.20 เสียงไม่ชัดเจน) ใหม่ ยาวสิบกิโล ขุดใหม่เลย กัดเซาะเข้าไป บ้านเรือนหายไปหลายหลัง วัวควายหายไปหลายตัว และก็ ไหลเข้ามาในเรือนที่เขากักเก็บข้าวไว้ เอาทรายมาประสมกับข้าว จนกินไม่ได้ ถ้าเอาไปนวดแล้วมันเต็มไปด้วยทราย เต็มไปหมด เอาไปกินไม่ได้ ทำให้เกิดความเสียหาย ไปเยี่ยมก็เอาของไปแจกญาติโยม โยมที่อยู่ที่ลุ่มที่ต่ำน่ะ เสียหาย แต่ข้างบนไม่เสียหาย ก็สูงขึ้นไป อันนี้ บอกว่า นี่ เราสร้างบ้านกันชอบอยู่ใกล้ลำห้วย เวลาน้ำมาก มันก็เดือดร้อน แต่พวกที่หนีลำห้วยขึ้นไปมันก็สบายไม่เดือดร้อนอะไร ต่อไปก็ย้ายบ้านขึ้นไปอยู่สูงขึ้นไปหน่อย อย่าให้น้ำท่วม ฤทธิ์ของน้ำนี้มันแรง มันพาอะไรไปหมด
เหมือนที่ คีรีวงศ์ วัดคีรีวงศ์ น้ำมันมา แล้วมันไหลอ้อมวัดไป …… (06.29 เสียงไม่ชัดเจน) แต่ปีที่ท่วมใหญ่มันไม่อ้อมวัด มันตัดหมู่บ้านเข้าวัดไปเลย เจ็ดสิบครอบครัว น้ำเอาไปหมดเลย เจ็ดสิบหลังคาเรือน น้ำมันพัดเอาไปหมด เจ้าของบ้านหนีขึ้นไปอยู่บนที่สูง แล้วก็ ยืนดูบ้านที่น้ำมันพัดไป พาไป รถยนต์ก็หลายสิบคัน เพราะ คนแถวนั้นมีฐานะดี มีสวนผลไม้ปลูกไว้บนภูเขา มังคุด รางสาด ทุเรียน ขายได้ราคาดี เขาเอารถปิ๊คอัพมาจอดไว้ใต้ถุนบ้าน หนีไม่ทันจะกลับรถหนีก็หนีไม่ทัน ก็น้ำมันมาเร็วมาก และก็ขุดคลองใหม่ เจาะเอาหมู่บ้านประมาณเจ็ดสิบครัวนี้ หายไปตั้งครึ่ง แล้วหายไปไหนก็ไม่รู้ เที่ยวหาไม่เจอ หาบ้านที่มันน้ำเซาะไป เอาไปฝังไว้ที่ไหนก็ไม่รู้ ไม่เจอ วัดวาอารามก็พังไป วัดกับโบสถ์พังไปท่อนหนึ่ง (07.41 เสียงไม่ชัดเจน) เหลืออยู่ท่อนหนึ่ง เพราะว่าฤทธิ์แรงน้ำ สมภารอยู่บนกุฏิไม่เป็นไร เพราะบริเวณกุฏินั้นมันยังแข็ง เลยไม่เสียหาย แต่ชาวบ้านเสียหายมาก คนหลบหนี บ้านหลังเดียวนี้คนไปอยู่ตั้งห้าสิบคน หลบ หลบหนีน้ำหนีฝน ขึ้นไปอยู่บนบ้านหลังนั้นห้าสิบคน อยู่กันทั้งวันทั้งคืน เพราะฝนมันตกหนัก อันตรายมาก
เกิดพายุใหญ่ที่พัดเสียหายแก่เมืองนครศรีธรรมราช , สุราษฎร์ , จังหวัดชุมพร แถวนั้น ปักษ์ใต้ที่แถวนั้นแหละ ชุมพร , สุราษฎร์ , นครฯ , ปากพนัง เป็นที่รับลม ถ้าลมเกิดแล้วมาตรงนั้นทุกที เพราะมันรับลมดี ชาวบ้านชาวช่องก็เดือดร้อนกันไปตามๆกัน แต่ต่อมาก็สร้างตัวสร้างตนกันใหม่ อยู่สู้กันต่อไป ไม่รู้จะหนีไปไหน เพราะไม่มีที่จะไป ก็อยู่ต่อไป ในชีวิตคนคนหนึ่ง ได้สู้กับน้ำ กับพายุ หลายครั้งหลายหน จนไม่กลัวแล้ว มาก็ เรื่องธรรมดา เพราะพบกันบ่อยๆ นี่ ! เป็นพายุ เป็นภัยธรรมชาติ ที่อาจจะเกิดขึ้นที่ไหนเมื่อไหร่ก็ได้ ไม่เฉพาะแต่ประเทศเรา แม้ประเทศอเมริกาซึ่งเป็นประเทศที่เจริญ มีการทำอะไรอะไรรวดเร็ว แต่ลมพายุเข้าไปในรัฐไหนก็กวาดรัฐนั้นเตียนไปเหมือนกัน เสียหาย บ้านช่องวินาศสันตะโร เป็นปัญหามีอยู่ทั่วไป
ปัญหาเหล่านี้เป็นปัญหาธรรมชาติ น้ำท่วม พายุใหญ่ ไฟไหม้ แต่ไฟไหม้นี้ไม่ใช่ธรรมชาติ คนทำให้มันเกิดขึ้นเพราะความประมาท เช่น สายไฟที่เราใช้อยู่ ใช้มาหลายสิบปีแล้วมันควรจะเปลี่ยนแล้ว แต่ไม่เปลี่ยน ไม่เปลี่ยนก็เลยเกิดเสียหาย ไฟมันช็อต บ้านเรือนพินาศไปตามตามกัน ในประเทศมาเลเซียสมัยสงคราม พออังกฤษเข้ามายึดคืนนี่ เขาประกาศให้เปลี่ยนหมดทุกครอบครัว เปลี่ยนสายไฟหมดเลย ก็ต้องเปลี่ยนตามระเบียบของบ้านเมือง ทุกบ้านทุกช่องต้องเปลี่ยนสายไฟ เลยต้องใช้สายไฟใหม่หมด เพราะฉะนั้น บ้านเมืองของเขา ไม่ค่อยมีไฟไหม้ และเมื่อไฟไหม้ก็ไม่ต้องโทษสายไฟ เพราะเขาหาทางป้องกันไว้เสียก่อน บ้านเราไม่ค่อยป้องกัน ใช้มาเหมือนสายไฟของโบสถ์ วิหารของวัดต่างๆ ใช้กันมาตั้ง๒ชั่วสมภารแล้วก็ยังไม่เปลี่ยน เวลามันช็อตขึ้นก็เผาโบสถ์เลย วินาศสันตะโรไป ได้รับความเสียหาย นี้คือ ความประมาท
พระพุทธเจ้าสอนไม่ให้เราประมาทในสิ่งต่างๆ ให้คอยตรวจสอบดูแลอันตรายทั้งหลายทั้งปวงที่เกิดขึ้น เพราะความประมาทเป็นส่วนมาก ถ้าเราไม่ประมาทมันก็ไม่มีอะไร คอยดูคอยตรวจ เช่น ไฟ สายไฟต้องตรวจบ่อยๆ ไม่ให้มันเสีย ก็ไม่มีอันตราย อันนี้เป็นเรื่องที่แก้ได้ แต่ถ้าเรื่องของธรรมชาติ ดินฟ้าอากาศเราแก้ไม่ได้ เพราะมันเหลือวิสัย แต่ก็ยังพอรู้ กองอุตุเขาก็เตือนให้รู้ว่า ใต้ฝุ่นกำลังตั้งขึ้นในทะเลจีนใต้ และกำลังเคลื่อนตัวเข้ามาสู่ที่นั่นที่นี่ ให้ระมัดระวัง มันจะผ่านทางนั้นทางนี้ ให้คอยระวังไว้ เพราะมันมาเร็ว มาแรง เคยเห็นลมที่มันพัดแรงๆทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ นั่งคุยกันอยู่ดีๆ ฟ้าปุ๊ปปั๊ป ปุ๊ปปั๊ปมาเลย หลังคาเปิงไปตั้งยี่สิบกว่าหลังคาเรือน พัดเอาหลังคาไปหมดเหลือแต่ตัวบ้าน ประเดี๋ยวเดียวมันก็หยุดเท่านั้นเอง ไม่ได้นานอะไร พัดประเดี๋ยว เดี๋ยวก็ตั้งต้นขึ้น ณ ที่ใดที่หนึ่ง แล้วมันหมุน หมุนอย่างรวดเร็ว
ที่พัทลุง คราวหนึ่งมันหมุน มันตั้งขึ้นใน ทะเล (12.23 เสียงไม่ชัดเจน) เขาเรียกว่า ''ลมหมุน'' ปักษ์ใต้เขาเรียกว่า ''ลมหัวด้วน'' มันหมุน ผลล่ะก็ มาชนเข้ากับโรงเรียน,หอสมุด ซึ่งสร้างด้วยเงินที่เขาเสียสละให้ มันยกหลังคาไปเลย ไอ้นี่ ความผิดของการก่อสร้าง คือ หลังคากับตัวเสามันไม่มีอะไรยึด ไม่มีอะไรยึด เอาไปวางไว้เฉยๆ ทีนี้ พอลมพายุเข้า ก็ยกไปทั้งหลังคา ไปทุ่มลง ทุ่มลงระหว่างโรงอาหาร หลังคาโรงอาหารก็ ก็ มันทุ่มลงไปเลย เวลาทุ่มลง ลมมันก็กระเพื่อมขึ้น ยกหลังคาโรงอาหารไปทิ้งเสียเลย แล้วมันก็ไป เข้าไปในวัดคูหาสวรรค์ เปลี่ยนไปทางข้างเตาเผาศพ ยกศาลาที่เขาไปบำเพ็ญกุศลในงานนั้นทิ้งไปเสียอีกหลัง แล้วก็ออกไปนอกทุ่ง พอไปถึงนอกทุ่ง มันก็จบไปเลย แป๊ปเดียว แต่เสียหายไปตั้งเยอะแยะ ไอ้ลมอย่างนี้ เรียกว่า ''ลมหัวด้วน '' มันพัดรุนแรง
คราวนี้ ในมหาสมุทร ลมประเภทนี้มันตั้งขึ้น ค่อยก่อตัว ค่อยหมุนเคลื่อน หมุนเคลื่อน ค่อยโตขึ้นโตขึ้น และ แรงขึ้นแรงขึ้น พัดเอาเมฆเอาฝนมา ปะทะเข้าไป ประเทศไหนก็ตกกันใหญ่ น้ำท่วม พายุใหญ่ สายไฟขาด เสาโทรเลข เสาไฟฟ้าล้ม บ้านเรือนพังพินาศไป เหมือนกับว่ายักษ์ใหญ่มา เอามือกวาดไปหมดเลย ทำให้เกิดความเสียหาย มีบ่อยๆ เป็นภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้น แต่ว่าภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นนี่มันนานนาน นานนานเกิด ไม่รุนแรง
ภัยอีกชนิดหนึ่งมันแรงกว่านั้น เรียกว่า ภัยที่เกิดจากภายในตัวของเราเอง ภัยที่เกิดจากภายในตัวเราแหละ มันแรงกว่าภัยของธรรมชาติ คือ ลมภายใน ภัยภายใน ที่มันเกิดขึ้นในใจของเรานี้ มันรุนแรงกว่านั้น ทำให้เกิดความเสียหายแก่ชีวิต การงาน แก่สังคมได้มาก และอาจจะเกิดเมื่อไหร่ก็ได้ ไม่จำกัดกาลเวลาเหมือนกัน สิ่งนั้นก็คือ ภัยอันเกิดจากกิเลสประเภทต่างๆที่เกิดขึ้นในใจของเรา กิเลสก็เป็นน้ำ เหมือนกับน้ำท่วมเหมือนกัน ในภาษาธรรมะ ท่านเรียกว่า ''โอฆะ''
''โอฆะ'' แปลว่า ห้วงน้ำ เหมือนกับน้ำในมหาสมุทร เขาเรียกว่า ''โอฆะ'' ''โอฆะ'' คือ ห้วงน้ำใหญ่ ...... (15.22 เสียงไม่ชัดเจน) ต่อไปให้แก่คนที่ตกลงไปในห้วงของน้ำนั้น เป็นอันมาก อันนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นในใจของเรามันก็เป็น ''โอฆะ'' ทำให้เกิดปัญหาขึ้นในชีวิต
ประการแรก คือ ''กาโมฆะ'' ''กาโมฆะ'' ก็หมายถึงว่า เรื่องเกี่ยวกับกามารมณ์ เป็น ''โอฆะ'' ชนิดหนึ่ง ที่ทำให้เกิดความเสียหายแก่ชีวิต แก่การงาน แก่ทรัพย์สมบัติ แก่สังคม แก่ประเทศชาติ เรียกว่า ''โอฆะ'' คือ ''กาม''
''กาม'' คือ สิ่งที่น่าใคร่ อยากได้ พอใจ ... ก็มีอยู่เพียง ๕ เรื่องเท่านั้นเอง เขาเรียกว่า ''กามคุณ ๕ '' คือ เรียกว่า รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส มี ๕ อย่าง ๕ อย่างนี้ เป็นเครื่องล่อใจ จูงใจ ทำให้เราหลงใหลมัวเมากันด้วยประการต่างๆ หลักธรรมะในทางศาสนานี้เป็นข้อบัญญัติให้เราทั้งหลายปฏิบัติ เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำมันท่วมใจ แต่ น้ำ คือ กามนี้มันท่วมใจ ตามปกติ คนเรามันก็มีความชอบอยู่ในเรื่องวัตถุ ๕ อย่างอยู่แล้ว เขาเรียกว่าเป็น " สัญชาตญาณ " มันมาตาม ความนึกความคิด (16.52 เสียงไม่ชัดเจน) ที่มันเกิดติดมา ติดมาตั้งแต่เกิด เรียกว่า "สัญชาตญาณ " ของมนุษย์
อันนี้ " สัญชาตญาณ " ทีมันเกิดขึ้นในตัวคน มันต้องได้รับการปราบปราม ขูดเกลา ถ้าเราไม่ปราบไม่ปรามมัน ไม่ขูดเกลามัน มันก็รุนแรง เมื่อรุนแรงขึ้นก็สร้างปัญหาให้แก่ชีวิต เห็นปรากฏเป็นข่าวอยู่บ่อยๆ ว่า พวกที่มีความรุนแรงในเรื่องกามารมณ์นี้ เขาเรียกว่า เกิดตัณหาหน้ามืด แล้วก็ทำอะไรโดยขาดความยั้งคิด ยั้งตรอง สร้างความเสียหายให้แก่ตน และแก่ผู้อื่นมากมาย ปรากฏเป็นข่าวอยู่บ่อยๆ อันนี้เป็นเรื่องสำคัญที่มันเกิดขึ้น เพราะว่า ไม่ได้ใช้ธรรมะเป็นเครื่องปราบปราม ไม่ได้ใช้ปัญญาเป็นหลักพิจารณาในสิ่งนั้น ในทางธรรมะ หรือทางศาสนานี้ ท่านจึงสอนให้พิจารณา เช่น ให้เจริญกรรมฐาน
เจริญกรรมฐานเพื่อให้มองเห็นอะไรตามสภาพที่เป็นจริง คือไม่มองแต่เพียงผิวเผิน ไม่มองแต่สิ่งที่เป็นมายาที่เขาปรุงแต่งไว้ เช่น ร่างกายของคนเรานี้ ส่วนความจริงมันก็มี ส่วนที่เป็นมายามันก็มี ส่วนที่เป็นมายา ก็คือ การปรุง การแต่ง เอาแป้งมาทา เอา ...... (18.30 เสียงไม่ชัดเจน) มาพอกเข้าไปในร่างกาย ให้มีการปรุงแต่งขึ้นด้วยประการต่างๆ เรียกตามว่า เขาเรียกว่า ประทินโฉม ทำให้สวยให้งามขึ้น ตามแบบอย่างสังคมที่เขามีกันอยู่ทั่วๆไป อันนี้ เมื่อมีการปรุงแต่ง คนก็ไปดู เห็น ถ้าดูด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจ ก็ไปหลงใหลมัวเมาในสิ่งนั้น ติดใจอยู่ในสิ่งนั้น ทำให้เกิดความทุกข์ เกิดความเดือดร้อน แก่ผู้ได้พบได้เห็น แต่ถ้าผู้ที่ดูที่แลสิ่งนั้นมีปัญญา รู้ทัน รู้เท่าของสิ่งนั้น ก็เห็นว่าสิ่งนั้นมันเป็นแต่เพียงภาพมายา ไม่ใช่ของจริง ไม่ใช่ของแท้ เป็นสิ่งที่เขาปรุงแต่งขึ้น ความกำหนัดยินดีมันก็ไม่เกิด เพราะรู้ชัดตามสภาพที่เป็นจริง
พระพุทธเจ้าจึงสอนให้เราพิจารณาสิ่งทั้งหลาย ที่เห็นด้วยตา ได้ยินด้วยหู ที่ได้กลิ่นได้รส ได้สัมผัสถูกต้อง ให้รู้ว่าอะไรเป็นของแท้ อะไรเป็นของปลอม หรือเรียกว่า เป็นมายา ให้พิจารณาเห็นตามสภาพที่เป็นจริง เมื่อเรามองเห็นตามสภาพที่เป็นจริง ใจมันก็ไม่คึกคัก ไม่ ไม่หลงผิดในสิ่งเหล่านั้น เกิดความรู้สึกนึกคิดหักห้ามจิตหักห้ามใจได้ ไม่ปล่อยตัวปล่อยใจไปตามความอยากที่เกิดขึ้น เพราะว่า ความอยากนี้มันก็เป็นเรื่องธรรมดาที่จะเกิดขึ้นแก่ใครก็ได้ ไม่ว่า หญิง ชาย เด็ก ผู้ใหญ่ มันอาจจะเกิดความอยากขึ้น ถ้าตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายได้ถูก ต้องสิ่งใดสิ่งหนึ่ง มันก็เกิดความอยาก แต่ถ้าเรารู้ทัน รู้เท่า เราก็ยับยั้งความอยากนั้นเสีย ไม่ให้มันเกิดลุกลามต่อไป เหมือนเราเห็นไฟมันลุกจะไหม้บ้าน เราก็รีบเอาน้ำไปดับเสีย แต่เริ่มต้น แต่ ...... (20.50 เสียงไม่ชัดเจน ) ไฟนั้นก็ไม่ลุกลาม ไม่เกิดความเสียหาย แต่ถ้าเราไม่ดับเสียตั้งแต่ ...... (20.58 เสียงไม่ชัดเจน) ไฟมันก็ลุกลามไหม้บ้านจนหมด ฉันใด กิเลสก็เป็นเหมือนไฟ ที่เกิดขึ้นในใจของเรา มันรู้สึกน้อยๆ ...... (21.09 เสียงไม่ชัดเจน) พอใจ ติดใจ หลงใหล มัวเมาในสิ่งเหล่านั้น แล้วเอามาครุ่นคิด มาฝัน มาคำนึงในเรื่องนั้นอยู่ตลอดเวลา คล้ายกับกองไฟที่มีควันกรุ่นอยู่ตลอดเวลา แล้วถ้ามีอะไรมาโหม เช่น มีลมมาพัด มันก็ลุกเป็นเปลวขึ้นมาทีหนึ่ง
เรื่องในใจเรานี้ก็เหมือนกัน ความครุ่นคิดนึกถึงเรื่องนั้น เหมือนกับกองไฟที่มีควัน มันยังไม่ลุก ไม่กระพือขึ้น แต่มันมีควันกรุ่นๆอยู่ แต่ถ้ามีลมมากระพือ หรือ มีเชื้้อเพลิงมาเพิ่ม ไฟมันก็ลุกพรี๊บพรั๊บขึ้นมา ไหม้สิ่งต่างๆทำให้เกิดความเสียหายได้ ใจเราก็เป็นอย่างนั้น ขั้นแรกมันเกิดน้อยๆ เช่น เกิดความพอใจ ติดใจ อยากได้ แล้วก็ไปนั่งคิดคำนึง คิดถึงเรื่องนั้น เหมือนกับกองไฟที่มีควันกรุ่นๆ แล้วคิดมากไปมากไปมันก็เกิดกระพือโหมขึ้นในร่างกาย ลุกขึ้นจากที่แล้วก็วิ่งไปหาสิ่งเหล่านั้น ไปทำสิ่งนั้นโดยไม่รู้สึกตัว จึงเกิดความเสียหายแก่ชีวิต แก่การงาน แก่เกียรติยศ ชื่อเสียง เพราะ การกระทำที่ขาดความยับยั้งชั่งใจ
ในหลักธรรมะท่านเพียงสอนให้เราบังคับตัวเอง ให้พิจารณาสิ่งนั้นโดยความรอบคอบ เพื่อให้รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร มันเป็นมาอย่างไร เราควรจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับมันโดยวิธีใด เพื่อไม่ให้ตกเป็นทาสของสิ่งนั้น การเข้าไปเกี่ยวข้องกับอะไรจะใช้สอยอะไรต้องเกี่ยวข้องด้วยสติปัญญา ใช้สิ่งเหล่านั้นก็ต้องใช้ด้วยสติปัญญา ไม่ใช้ด้วยความหลับหูหลับตาใช้ ไม่ใช้ด้วยความโง่ ความงมงาย หรือ ความหลงใหล มัวเมา ถ้าเราใช้ด้วยความหลงใหล มันก็เกิดทุกข์เกิดโทษ แต่ถ้าเราใช้มันด้วยสติปัญญา ก็มีปัญญาเป็นเครื่องกำกับ ว่าเราควรจะใช้อะไร โดยวิธีใด อย่างไร ไม่ใช้ให้เกินขอบเขต ไม่ทำอะไรเกินพอดี มันก็พอจะควบคุมตัวเองได้ ยับยั้งไว้ได้ สิ่งนั้นมันก็ค่อยๆไปเรื่อยๆ แล้วผลที่สุดมันก็มอดดับไป ไม่เกิดรบกวนจิตใจเราต่อไป ... เอ้อ ... นี่เป็นวิธีการที่พระท่านสอนให้เราปฏิบัติเพื่อต่อสู้กับอารมณ์นั้นๆ คือ อย่าไปตามความนึกคิดที่เกิดขึ้น แต่หยุดเสียก่อน คิดเสียก่อน ว่าอะไรเกิดขึ้นในใจของเรา สิ่งนั้นคืออะไร มันมาจากอะไร แล้วมันจะให้อะไรแก่เรา เราควรจะเข้าไปเกาะเกี่ยวข้องกับสิ่งนั้นโดยวิธีใด โดยรูปใด มันก็ไม่เกิดเรื่อง ไม่เกิดความเสียหายให้เกิดขึ้นในชีวิต คนเราที่มันเกิดความเสียหายก็เพราะว่า ขาดการบังคับตัวเอง ไม่ได้มีการควบคุมตัวเอง แล้วก็ไม่มีความอดกลั้น อดทน ต่อสิ่งที่ยั่วยุ พออะไรมากระทบก็ลุกขึ้น แสดงอาการนั้นทันที เหมือนน้ำมันเบนซินมาราดลงบนถ่าน พอราดลงมันก็ลุกพรึ่บขึ้นมาทันที ไม่มีเครื่องยับยั้ง
คนเราถ้าหากว่าจิตไม่ได้รับการอบรม ไม่ได้มีการควบคุม ไม่ฝึกความอดทน อดกลั้น ไม่ฝึกการบังคับตัวเอง พออะไรมากระทบ ก็ปึงปัง โผงผาง โกรธทันที พูดจาหยาบทันที แสดงกิริยาอาการที่ไม่ถูกไม่ควรให้คนอื่นได้เห็นทันที อันนี้ แสดงว่า เราเป็นคนอ่อนหัด ไม่มีการฝึกตัวเอง ไม่มีการอบรมตัวเอง เป็นคนที่หยาบกระด้าง แต่ถ้าเราเคยควบคุม เคยบังคับตัวเองได้ ถ้า กระทบกับสิ่งใด เราก็ไม่วู่วาม ไม่แสดงอาการโกรธ อาการเกลียดให้ปรากฏมาที่คำพูด ไม่ให้ปรากฏมาที่กิริยาท่าทาง นั่งสงบนิ่ง การนั่งสงบนิ่ง คือการนั่งด้วยปัญญา นั่งด้วยสติ แล้วก็พิจารณาไตร่ตรองอย่างรอบคอบ ในสิ่งที่มากระทบนั้น จิตใจก็อยู่ในอาการสงบ ไม่แสดงอาการวู่วามขึ้นมา เราก็จะชนะสิ่งเหล่านั้นได้
แต่คนที่ไม่เคยฝึกฝน ไม่เคยอบรมจิตใจ หัดปล่อยตามใจ ตามอารมณ์ ตามความอยากที่เกิดขึ้นตลอดเวลา เขาจะบังคับตัวเองไม่ได้ พอเกิดกระทบอะไร ก็ปึงปังขึ้นมา ลุกเหมือนกับไฟลุกขึ้นมาไหม้ตัวเองทันที ซึ่งเราจะเห็นปรากฏในเรื่องต่างๆ เช่น ดูเรื่องละครที่เขาแสดงน่ะ แสดงที่ไหนก็ด่า เราจะเห็นว่าตัวละครน่ะ แต่ว่าละครมันแสดงไปตามบท เขาเขียนบทให้เป็นคนขี้โกง เขียนบทให้เป็นคนใจเย็น ให้เป็นคนไม่วู่วาม เขียนบทให้เป็นคนพูดจาสุภาพ นิ่มนวล เขียนบทให้เป็นคนหยาบกระด้าง ปึงปัง โผงผาง แสดงอาการในรูปแปลกๆ แล้วเราจะเห็นว่า ตัวละครที่แสดงนี้เขาก็แสดงเก่ง แสดงท่าทางโกรธเกรี้ยวในเรื่องที่เกิดขึ้นมากระทบจิตใจ ตาลุกเป็นไฟ ปากก็เหมือนกับว่าไม่มีเครื่องห้าม พูดจาสิ่งที่ไม่ถูกต้อง มือไม้ก็ยกไปทุบตีผู้ที่อยู่ใกล้ บางทีก็จับแก้วขว้างเปรี้ยงไปเลย มีอะไรก็จะขว้างได้ ขว้างไป ทุบมัน เพราะไม่ได้ทุบคนที่เราโกรธ ไปทุบข้าวทุบของ ทำให้เกิดความเสียหาย อันนี้ มันปรากฏอยู่เป็นบทเรียนเป็นเครื่องสอนใจ เราดูหนังดูละครอย่าดูเฉยๆ ท่านจึงเขียนไว้ว่า ''ดูหนังดูละครแล้วย้อนดูตัว เริงร่า น่าหัว เต้นยั่ว เสมือนฝัน'' กรมพระนราธิปพงศ์ประพันธ์ ท่านเขียนไว้ว่า ''ดูหนังดูละครแล้วย้อนดูตัว เริงร่า น่าหัว เต้นยั่ว เสมือนฝัน'' ดูแล้วมันเป็นอย่างนั้น มัน มันเป็นความรู้สึก มันคล้ายคล้ายกับฝันเกิดขึ้น
อันนี้ ทำไมจึงเกิดอาการ คนดูบางทีก็โกรธเกรี้ยว ร้องไห้ ว่าเรื่องที่แสดงนั้นเขาเศร้าโศก เขาร้องไห้ เราร้องไห้ด้วย หรือว่า เขาโกรธ เราก็พลอยโกรธไปด้วย บางทีก็เอาอะไรขว้างไปที่จอโทรทัศน์ เพื่อให้ถูกตัวละครที่มันกำลังแสดง ขว้างเปรี้ยงไปหาโทรทัศน์แสดง ต้องไปซื้อใหม่ อย่างทีหลังก็ไปซื้อใหม่ลงโทษตัวเองที่ทำอย่างนั้น
ที่เป็นเช่นนั้นเพราะอะไร ก็เพราะว่า เรามีอารมณ์ร่วมกับสิ่งนั้นแรงเกินไป อารมณ์ร่วมกับตัวละครที่แสดงมากเกินไป พอเขาร้อง เราก็ร้องกับเขาด้วย พอเขาโกรธเราก็โกรธกับเขาด้วย เขาทำอะไร กิริยาอะไร เราก็ทำไปกับเขาด้วย อย่างนี้ เขาเรียกว่า มีอารมณ์ร่วมรุนแรง อารมณ์ร่วมที่รุนแรงนั้นมันขาดสติ ขาดปัญญา ขาดความรู้สึกผิดชอบชั่วดีประจำจิตใจ ขาดวิจารณญาณ คือ การใช้ปัญญาเป็นเครื่องพิจารณาสิ่งนั้นอย่างระเอียดรอบคอบ เราไม่มีสิ่งนั้น พอไม่มีสิ่งนั้น มันก็มีอาการที่ไม่ถูกต้องเกิดขึ้นในใจของเรา บางทีเราร้องไห้ บางทีเราก็โกรธ แค้นใจ เหมือนกับคุณยายนั่งดูลิเกนี่ แล้วก็ ไอ้โจรมันรังแกพระเอก มันทุบ มันตีกันบนเวทีลิเก น่ะ คุณยายแกนั่งดู แกโกรธขึ้นมา ขึ้นไปถึง ก็เอาไม้ฟาดเลยโจรเข้าด้วย บอกว่า ''มึงชั่วนัก มารังแกพระเอก '' รังแกอะไรเขา เป็นเรื่องเขาแสดง ไม่ใช่ความจริงอะไร เวลามันเข้าไปหลังฉาก มันก็หัวเราะกันเอง แล้วมันไปกินเหล้าเทกันคนละกรึ๊บ ขวดเดียวกัน กินอาหารอย่างเดียวกัน มันไม่ได้โกรธจริงจัง แต่ว่าแสดงให้เห็นเป็นภาพโกรธ
ภาพที่แสดงนั้นก็เป็นเรื่องสะกิดใจเรา ให้เห็นว่า การมีอาการเช่นนั้นไม่สวย ไม่น่าดู ไม่น่าชม ถ้าเราทำอย่างนั้น เราก็เป็นตัวที่ไม่สวย เป็นภาพที่ไม่มีใครน่าชม น่าชอบใจ มันไม่ดี ถ้าดูอย่างนั้น มันก็ได้ปัญญา ได้คติเป็นเครื่องสอนใจ แต่ว่า น้อยที่จะดูในรูปนั้น เราดูเพื่อความสนุกสนาน เพลิดเพลินไปกับเรื่อง แล้วเอาเรื่องที่เขาแสดงนั้นมาใส่ไว้ในใจของเรา ทำเหมือนกับตัวเราเป็นผู้แสดงกับเขาด้วย จึงเศร้าโศกกับเขาด้วย หัวเราะกับเขาด้วย ...... (31.00 เสียงไม่ชัดเจน) สมน้ำหน้า สมน้ำหน้า ความจริงมันเรื่องละครไม่ใช่เรื่องจริงจังอะไร แต่เราเอาจริงเอาจังกับเรื่องนั้น นี่คือความพลั้งเผลอ ไม่รู้ว่าตัวเราคือใคร เราเป็นผู้ดู ไม่ใช่เราเป็นผู้แสดง แล้วก็นึกไม่ได้ พอนึกไม่ได้ อารมณ์วูบมันแรงเกินไป เลยแสดงอาการอะไรออกมา เป็นเรื่องเสียหายด้วยประการต่างๆ มันไม่ถูกต้อง มันเสียหาย แต่เรานึกไม่ได้ เราติดใจ แล้วก็อยากจะดูต่อ คืนนี้ดูแล้ว เอ๊ะ ไอ้ตัวนั้นมันจะเป็นอย่างไรนะ ต้องดูคืนต่อไป เลยต้องดูทุกคืนในเรื่องนั้นๆ อย่างนี้ เรียกว่า ดูด้วยความหลงใหลมัวเมา ทำให้เกิดเป็นปัญหาขึ้น
ในเรื่องเกี่ยวกับชีวิตของเราก็เหมือนกัน เราได้พบได้เห็นอะไร ในเรื่องที่เข้ามาในชีวิตของเรา ถ้าเราเอาจริงเอาจังมากเกินไปกับเรื่องนั้น มันก็มีความทุกข์ มีปัญหาเกิดขึ้นในใจของเรา เมื่อคืนนี้ได้รับโทรศัพท์ทางไกลจากภูเก็ต เป็นเด็กผู้หญิง เขาบอกว่า หนูนี่มีความทุกข์มาก มีความเดือดร้อนมาก บอกว่า ทุกข์เรื่องอะไร เดือดร้อนอะไร เขาบอกว่า มีคนคนหนึ่งเอาลูกของหนูไป แล้วเอาไปให้หลวงพ่อ หนอย ! ฉันไม่เคยเห็น ลูกใคร ไม่มีใครเอามาให้ ลูกอะไร หากพระองค์หนึ่งเอามา เอามาให้หลวงพ่อ ให้หลวงพ่อช่วยส่งลูกฉันมาให้หนูด้วย ถ้าหลวงพ่อจัดส่งมาให้หนู หนูจะถวายปัจจัยหลวงพ่อ ๑,๐๐๐บาท ก็ เอ๊ะ! ฉันนี้ไม่ใช่บุรุษไปรษณีย์นี่ จะคิดค่าส่งไปรษณีย์มากมายอย่างนั้น เธอนี่มันชักจะเลอะแล้วนะ พูดกับเขาตรงๆ ว่า เธอนี่มันชักจะเลอะแล้ว จะไปกังวลอะไรกับลูกลูกทั้งที่คนเขาเอาไป เขาบอกว่า ไม่ได้ค่ะ เขาเอาลูกของดิฉันไป แล้วก็เอาไปทำไสยศาสตร์ ทำให้ดิฉันเป็นอย่างนั้น ดิฉันเป็นอย่างนี้ ว่า เอ๊ะ ! เธอนี่มันมีความเชื่อเหลวไหลอยู่ในสมองมากเกิน เธอทำงานอะไร ดิฉันเป็นครูค่ะ เป็นครูอยู่ที่โรงเรียนวัดมงคลนิมิตร หลวงพ่อก็เคยไปเทศน์ ดิฉันก็เคยฟังอยู่ แต่ฟังแล้วเธอมันก็ยังโง่อยู่เหมือนเดิม ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร ทำไมจึงคิดอย่างนั้น เขาว่า หลวงพ่อต้องหาลูกส่งมาให้ดิฉัน เพราะลูกดิฉันอยู่ที่หลวงพ่อ เอ๊ะ ! มันไม่มี ฉันไม่เคยเห็น ลูกของเธอรูปหน้าตาเป็นอย่างไร เป็นยักษ์ เป็นมาร ฉันก็ไม่รู้ ไม่เคยเห็น แล้วจะส่งไปให้ได้อย่างไร เขาก็ยังพูดว่า ลูกดิฉันอยู่ที่หลวงพ่อ เอ๊ะ! ฟังไปฟังมา หรือว่า เอ๊ะ! เธอนี่มันวิกลจริตแล้วนะ ไม่ใช่คนปกติแล้ว วิตกกังวลไม่เข้าเรื่องแล้ว ...เอ้อ ....ก็เลยวางหู ไม่อยากจะฟังต่อไป เพราะฟังแล้วมันไม่รู้จะแก้ปัญหาได้อย่างไร ไอ้นี่ มันคือว่า สร้างภาพขึ้นมาในใจของเขา สร้างภาพหลอกตัวเอง ลวงตัวเอง เพราะความเชื่อที่ผิดทางนั้นเอง มีความเชื่อว่ามีวิชาทางไสยศาสตร์ ที่จะทำคนให้เป็นอย่างนั้น ให้คนเป็นอย่างนี้ได้ นี้เป็นความเชื่อที่เหลวไหล แล้วก็คนอื่นไม่ได้ทำเรา แต่เราทำตัวเราเอง
ทำตัวเราเองอย่างไร คือ เราคิดภาพเหล่านั้นไว้ในใจ คิดว่ามันจะเป็นอย่างนั้น มันจะเป็นอย่างนี้ คิดสร้าง สร้างภาพเหล่านั้นขึ้นในตัวเรา แล้วเราก็เป็นตามภาพที่เราคิด เป็นการหลอกตัวเอง เขาเรียกว่า เป็นโรคจิตชนิดหนึ่ง คือเป็นโรคจิตที่เพ้อฝัน นึกว่าตัวเป็นอย่างนั้น ตัวเป็นอย่างนี้ ด้วยประการต่างๆ เวลาเข้าไปในโรงพยาบาลโรคจิตนะ ไปพบคนไข้โรคจิตบางคน พอไปถึง เขาบอก โอ้ ! ท่านมาเยี่ยม พวกเรา พวกผม อ่ะ ท่านต้องการเงินสักกี่ล้านอ่ะ เอาสัก ๕ ล้านพอไหม อ๊ะ ! ไม่พอ เอา ๑๐ ๒๐ ล้านดีกว่า เอาไปเลย เอาไปเลย เอาไป๒๐ล้าน ...มันรวย ...ไอ้คนนั้น...เรียกว่า เป็นคนโรคจิตคิดเรื่องรวยท่าเดียว แจกซะด้วย ใครไปล่ะก็ แจกเงินแล้ว แม่หมอเข้าไป มันก็แจกเงิน แจกเงินลมลมแล้งแล้ง เอ้า ... หมอ ลำบากไหม การเงินการทอง เงินเดือนที่ได้รับพอใช้ไหม ถ้าไม่พอใช้เอาไปสัก ๑๐ล้านนะ เอาไปไว้ใช้ ใช้ตามสบาย หมอก็หัวเราะไปตามเรื่อง มันเป็นอย่างนั้นนะ อาตมาเข้าไปเยี่ยม ก็เป็นอย่างนั้น โอ้ ! ท่านนี่ไม่ได้มาเยี่ยมผมนานแล้วนี่ คงจะไม่มีเงินใช้ ไปมาไม่สะดวกหรือ ผมจะถวายเงินท่านสัก ๕ ล้าน ๕ ล้านพอไหม เอาไป ๑๐ ล้านก็แล้วกัน หนอย! ยุ่งแล้ว...ไอ้นี่ ตัวมันเองไม่มีสักสตางค์หนึ่ง จะให้คนอื่นตั้ง ๕ ล้าน ๑๐ ล้าน มันเป็นภาพที่เขาสร้างขึ้นไว้ในใจ แล้วไปคุยกับหมอ หมอบอกว่า คนไข้ประเภทนี้ เขามีความสุขมาก คือ เขาสร้างภาพความร่ำรวยไว้ในใจ แล้วเขามีความสุขกับความร่ำรวย เพราะฉะนั้น ถ้าเห็นใครมา เขาก็แจก ๒ ล้าน ๕ ล้าน ๑๐ ล้าน ๒๐ ล้าน แจกเรื่อย แจกไม่หมด ไม่สิ้น เพราะมันเป็นภาพที่เขาสร้างขึ้นไว้ในใจ นี่ก็เป็นโรคจิตชนิดหนึ่งเหมือนกัน ที่เกิดขึ้นแก่คนประเภทนั้น
อีหนู แม่หนูคนที่โทรมาเมื่อคืนนี้ มันก็สร้างภาพ สร้างภาพขึ้นว่า คนเอาลูกของเขาไป แล้วจะไปลงยันต์ ลงเลข ไปเสก ไปเป่า ทำให้เขาเสียผู้เสียคน ไม่รู้ได้ความรู้โง่ๆมาจากไหน แล้วมาฝัน อยากบอกว่า ไม่เป็นอย่างนั้น หนูคิดเอาเอง สร้างภาพขึ้นเอง อย่าไปกลัวเลย และลูกนั้นมันก็ไม่มีที่หลวงพ่อ หลวงพ่อจะให้ได้อย่างไร แกก็ยืนยันว่ามันอยู่ที่หลวงพ่อนะ หลวงพ่อต้องส่งมาให้หนูนะ หนูจะให้ค่าส่งสัก ๑,๐๐๐ บาท บอก ไม่ได้ มันไม่มีลูกจะส่ง มันเป็นอย่างนั้น อยู่ดีๆมันโทรมาได้อย่างไร โทรมาจากภูเก็ต มันไม่ใช่ใกล้นะ เสียสตางค์เยอะแยะ แล้วก็มันไม่ได้เรื่องได้ราวอะไร นี่คือ เขาสร้างภาพขึ้นอย่างนั้น มีความวิตก กังวล
คนเราที่จิตมันฟุ้งซ่านนั้น เวลาจิตฟุ้งซ่านก็เที่ยวคิด เที่ยวนึกไปในรูปต่างๆ สร้างวิมานในอากาศ ... สร้างวิมานในอากาศ ... บางทีก็คิดในเรื่องที่น่ากลัว ก็คิดเรื่องน่ากลัวก็จะกระโดดหนีอ่ะ ไอ้ที่มันกระโดดหน้าต่างน่ะ มันไม่ใช่เรื่องอะไร มันคิดภาพที่น่ากลัวว่า จะเข้ามาจับมัน จะลงโทษมัน อะไรอย่างนั้น เลยมันหนี คราวนี้หนีไปกระโดดหน้าต่าง ก็ตายกันเท่านั้นเอง ที่ตายกันอยู่บ่อยๆ ก็เพราะ กระโดดหน้าต่าง เพราะมันสร้างภาพที่น่ากลัวขึ้นหลอกตัวเอง สร้างภาพคนที่น่ากลัวเข้ามาจะจับมัน แล้วมันก็ร้อง ว่า ''อย่าจับหนู '' '' อย่าจับหนู '' ''อย่าฆ่าหนู '' มันถอยเรื่อย พอไปถึงหน้าต่าง ก็โดดหน้าต่างไป คือ สร้างภาพขึ้นมา คนอย่างนี้ไม่เคยเข้า ไม่เคยฝึกจิตของตัวเอง ไม่เคยบังคับตัวเอง ควบคุมตัวเอง เป็นคนประเภทที่อยู่ในโลกแห่งการหลอกลวง
โลกแห่งการหลอกลวง คือ โลกของดารา โลกของละคร โลกของดนตรี คนที่มีชีวิตอยู่กับสิ่งนี้ มันอยู่กับเรื่องหลอกลวงเท่านั้น แล้วก็ไปติดอยู่ในสิ่งเหล่านั้น เพลิดเพลินอยู่กับสิ่งเหล่านั้น โดยไม่ได้คิดนึกด้วยสติปัญญา เวลาไปวัดไปวาก็ไปหาพระให้รดน้ำมนต์บ้าง สะเดาะเคราะห์บ้าง มันไม่ได้ไปเพื่อรับคำสอนที่จะให้เกิดปัญญา ให้เกิดความคิดถูกต้องมีการอะไรถูกต้อง ไม่ได้มีอย่างนั้น เพราะเขาเข้าใจในโลกอย่างนั้น น่าสงสารคนประเภทนี้อ่ะ เป็นคนที่น่าสงสารอยู่ แต่ว่าไม่รู้จะช่วยอย่างไร เพราะว่าไม่มีโอกาสที่จะเข้าใกล้กับคนเหล่านั้น แต่ถ้าหากว่าเขามาใกล้ก็ต้องพยายามพูดจา ชี้แนะ แนวทางชีวิตให้เขาเข้าใจ สร้างภาพที่ถูกต้องให้เกิดขึ้นในใจของเขา ไม่ใช่ภาพมายา ภาพหลอกลวง ดังที่ปรากฏอยู่ในจิตใจของเขา อันนี้เป็นเรื่องที่มีอยู่
ถ้าลูกหลานของเรามีอาการเช่นนั้น ก็ต้องรีบแก้ไข รีบแก้ไข เวลานี้ต้องคอยสังเกตเด็กๆ ลูกหลานของเรา ถ้ามันนั่งซึมๆ นั่งเหม่อ นั่น ไม่ค่อยดีแล้ว ผิดปกติแล้ว นั่งอย่างนั้นน่ะ ไม่ร่าเริง ไม่หัวเราะ แต่ชอบนั่งซึมซึม เซื่องๆ มันอาจจะติดยาเสพติดบางอย่าง เช่น ไปสูบกัญชา หรือว่า กินยาม้า ยาอี หรือ ยาเสพติดประเภทใดประเภทหนึ่ง แล้วมันก็นั่งแบบเพ้อฝัน ตาลอย ไม่ค่อยพูดจากับใคร อย่างนั้น มันผิดปกติ เราอย่าไปดุ อย่าไปว่าเขา แต่ต้องแสดงความรัก ความเมตตา ชวนพูด ชวนคุยอะไรในรูปที่มันพอจะพูดกันได้ ให้เขาเปลี่ยนทัศนคติของเขา ด้วยการพูดจาแนะนำ แล้วถ้าเห็นว่ามันไปไม่รอดก็พามาวัด มาหาพระที่สามารถจะพูดจะจากับเขาได้ ให้ท่านพูดจูงใจ ให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง สร้างภาพใหม่ขึ้นในจิตใจของเขา ก็พอจะช่วยได้อยู่เหมือนกัน
ก็มีบ้างเหมือนกัน คนที่มาวัด เด็กหนุ่มๆ กะ สาวๆ เขาก็มา เขารู้สึกตัวว่าผิดปกติ เขาก็มา ให้มาวัดนี้ดี ถ้าเขามาวัดนี้ใช้ได้ แต่บางทีมัน เขาไม่มาวัด เขาไปหาหมอดู ไปสำนักทรงเจ้าเข้าผี หรือไปที่ต่างๆ ที่มันเป็นเรื่องของความงมงาย ก็ไม่ดีขึ้น และอาจจะไปเจอคนบางคน ยิ่งไปกันใหญ่ เพราะไปชี้ทางที่ไม่ถูก ไม่ชอบให้แก่เขา เพิ่มความหลง เพิ่มความข้าใจผิด ให้ชีวิตของเขามากขึ้น อย่างนี้ เสียหาย เราจึงควรจะหาทางให้เด็กได้เข้าหาแสงสว่างอันถูกต้อง ไม่ใช่แสงสว่างประเภทมืดๆมัวๆ มองแล้วมันพล่าไปหมด จนไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร นี่ ไม่ถูกต้อง ควรจะนำเขามาหาพระ ให้ได้พูดจาแนะแนวให้เขาเข้าใจ แต่ว่าก่อนจะนำมาก็ต้องมาบอกไว้ก่อนล่วงหน้า ว่าเขามีกิริยาอาการอย่างไร มีความเข้าใจอย่างไร ก็จะได้รักษาถูก ไม่ใช่มาถึงก็สุ่มสี่สุ่มห้าพูด มันก็ลำบาก อันนี้ ต้องมาพูดให้เข้าใจ คือ พามาแล้ว ทิ้งไว้ข้างนอก เข้าไปคนหนึ่ง ไปบอกหลวงพ่อในกุฎิ ว่า เด็กที่พามานี้ มีอาการอย่างนั้นอย่างนั้น เราก็พอจะแก้เขาได้ แต่ก็ต้องใช้เวลาเหมือนกัน เพราะบางคนนี่ จิตใจมันฝังลงไปลึกในเรื่องนั้น กว่าจะถอนขึ้นมาได้ มันก็เหงื่อไหลไคลย้อยเหมือนกัน
เหมือนขุดต้นไม้ใหญ่ รากมันลึก แล้วก็ขุดกันเหงื่อท่วมตัว จึงจะถอนต้นไม้นั้นได้ จิตใจคนที่ฝังลึกลงไปในความเขลา ในภาพเป็นมายา ในภาพที่เขาหลงผิดนี่ มันติดนาน เราก็ต้อง ... ติดกันนาน เราก็ต้องอธิบาย ต้องทำความเข้าใจ เพื่อให้เขาเกิดความนึกคิดใหม่ สร้างภาพใหม่ สร้างชีวิตใหม่ให้แก่เขา ก็เป็นเรื่องทีต้องใช้เวลา แต่บางคนถอนไม่ขึ้น มันเป็นเสียนานแล้ว ก็ต้องส่งโรงพยาบาลโรคจิต โรคประสาท ไปอยู่โรงพยาบาล เขาก็ไม่ได้รักษาอะไรเท่าไหร่ ก็ให้พักผ่อนไปตามเรื่อง ดีไปอย่าง ไอ้คนที่อยู่โรงพยาบาลโรคจิตนี้ มันไม่ทะเลาะกัน ไม่ทะเลาะกัน อยู่กันเรียบร้อย ทำไมจึงไม่ทะเลาะกัน คือ ต่างคนต่างว่า '' อย่าไปยุ่งกับไอ้นั้น มันบ้า'' อีกคนหนึ่งว่า '' อย่าไปยุ่งกับไอ้นั้น มันบ้า'' ต่างคนต่างว่า '' มันบ้า '' ด้วยกันเลย มันจึงไม่ยุ่ง ต่างคนต่างนั่งหันหลังให้กัน พึมพำ พึมพำของตัว อาการแปลกๆ ในห้องๆเดียวแหละ คนหนึ่งหันไปทางทิศเหนือ คนหนึ่งหันหน้าไปทางทิศใต้ พึมพำ พึมพำไปตามเรื่อง ไม่ยุ่งกัน ไม่เข้าไปยุ่งกัน เพราะต่างคนต่างบอกว่า '' อย่าไปยุ่งกับมัน มันบ้า ไอ้คนนั้นน่ะ '' และอีกคนหนึ่งว่า '' ไอ้นั่นมันบ้าเหมือนกัน อย่าไปยุ่งกับมัน '' ต่างคนต่างบ้า เลยไม่ยุ่งไง ไม่ค่อยจะมีปัญหา ไม่ได้ถึงทุบตีอะไรกันอ่ะ
ไม่เหมือนลูกที่ยังไม่บ้าถึงขนาดนั้น ให้ตนที่ไม่บ้าถึงขนาดนั้นมันทุบตีกันได้ ทะเลาะกันได้ แต่พวกนั้นอยู่กันเรียบร้อย เขาก็ให้ทานยาบ้าง ถ้าว่ามันรุนแรงขึ้น ก็ให้ทานยาระงับประสาท ฉีดยาระงับประสาท ให้เขาหลับไป และบางทีเอาไปกักในที่กักขังคนเดียวทั้งชั้น ขังเดี่ยว ไม่ต้องยุ่งกับใคร แล้วก็ให้กินยา แล้วก็ให้หลับไปซะ ไม่ให้คิดเรื่องนั้น แต่ว่าพอตื่นขึ้นมา จิตมันเคยคิดอย่างนั้น ก็คิดฝังขึ้นไปอีก สร้างภาพมายาขึ้นหลอกตัวเองต่อไป อันนี้เป็นอาการของคนประเภทอย่างนั้นมีอยู่
คราวนี้ คนเราที่ปกติ ยังไม่ถึงขนาดนั้น บางทีมันก็เป็นเหมือนกัน เหมือนกับชายหนุ่มหญิงสาว ที่ไปรักใคร่ชอบพอกัน แล้วก็อยากจะคบกัน อยากจะคุยกัน คราวนี้ ผู้ใหญ่ห้ามไม่ให้พบกัน ไม่ให้โทรศัพท์ติดต่อกัน ก็เกิดอารมณ์ว้าวุ่น ว้าวุ่น เกิดปัญหา เกิดปัญหาขึ้นมากทีเดียว นี่ มันเป็นอย่างนั้น เพราะเขาปักใจลงไปว่า คนคนนั้นน่ะ คือคู่ชีวิตของฉัน เขาเป็นคนดีที่สุดในโลกที่ฉันเห็น คิดอย่างนั้น มองในแง่ดี แต่มองในแง่เสีย แล้วก็คิดฝันถึงคนนั้นอยู่ตลอดเวลา สภาพจิตใจมันก็หมกมุ่น มัวเมา ทำให้เกิด ใครขวางไม่ได้ ขวางไม่ได้ ขวางแล้วเหมือนเอาเรือไปขวางน้ำเชี่ยว เรือจะล่ม
อันนี้ ถ้าเป็นคนฉลาด ก็ต้องค่อยอนุโลมให้เขาได้คุยกันบ้าง อะไรกันบ้าง ค่อยพูดค่อยจา หาทางแก้ไขอะไรต่างๆ เพราะว่า คนเราที่มันหลงใหลมัวเมา ชายหนุ่มหญิงสาวที่รักกัน มันขาดเหตุผล ไม่มีเหตุ ไม่มีผล ขาดปัญญาที่จะวิจารณ์ว่า อะไรเป็นอะไร เขาคิดไม่ได้ เขาคิดได้อย่างเดียวว่า ฉันจะต้องอยู่กับเขา เขาก็ต้องอยู่กับฉัน นั่น ! มันไปอย่างนั้น พุ่ง พุ่งแรง เพราะเป็นความรู้สึกของคนอยู่ในวัยหนุ่ม วัยฉกรรจ์ เขาเรียกว่า '' ไฟแรง '' อันนี้มันก็ไปกันใหญ่ ทำให้เกิดปัญหาขึ้นด้วยประการต่างๆ พ่อ แม่ มีความทุกข์ด้วยเรื่องอย่างนี้ เพราะว่า ลูกเขาพุ่งไปไกล ถ้าที่ใดเป็นทุกข์ ก็เพราะว่า เราไม่ได้พูดจาทำความเข้าใจกัน เก็บไว้บ้าง ให้เขารู้ว่า ชีวิตคนเรามันมาถึงขั้นนั้น มันมีอะไร ขั้นนั้นมันมีอะไร ให้เขารู้ล่วงหน้า เหมือนกับเราจะเดินทางไกลนี่ เดินไป ก็ต้องพบกับลำห้วยใหญ่ ชัน ต้องลงไป-ขึ้นลำบาก ต้องปีนภูเขา ปีนขึ้นก็ลำบาก ลงก็ลำบาก ต้องให้เขาเตรียมตัว เตรียมใจ เพื่อพบกับสิ่งเหล่านั้น แล้วเมื่อไปพบสิ่งนี้ เขาก็เตรียมตัว เตรียมใจได้
ในชีวิตของเด็กเรานี้ก็เหมือนกัน ก็ควรพูดให้เขาเข้าใจว่า เมื่ออายุอย่างนั้น มันจะเกิดความรู้สึกอย่างนั้น มีอารมณ์อย่างนั้นเกิดขึ้นในใจ มันเกิดขึ้นมาเป็นธรรมชาติของที่ร่างกาย แต่ถ้าเรารู้ทัน รู้เท่า เราไม่ปล่อยให้มันรุนแรง ไม่ให้มันครอบงำจิตใจ มันก็ไม่เสียหาย แต่ถ้าปล่อยให้ครอบงำแรงเกินไปจะเสียอนาคต เพราะว่าจะเรียนหนังสือก็ไม่ได้ จะทำอะไรก็ไม่ได้ จิตใจมันหมกมุ่น มัวเมาอยู่กับสิ่งนั้น โดยไม่ได้คำนึงว่ามันผิดหรือถูก มันดีหรือชั่ว มันจะเป็นเหตุสร้างอะไรขึ้นในชีวิต คิดไม่ได้ เพราะว่า เขาขาดปัญญา เขาลืมไปหมดเลย ก็เสียหาย เราจึงต้องบอกบอกเตือนเตือนไว้ ให้เขาได้รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
ถ้าเป็นลูกหญิงก็ต้องสอนให้รู้ว่า อะไรมันจะเกิดขึ้นในชีวิตของเรา เมื่ออายุเท่านั้นจะมีอะไรเกิดขึ้น ให้เขาได้รู้เตรียมตัวไว้ล่วงหน้า จะได้ไม่ตกอกตกใจรุนแรงมากเกินไป เพราะเขารู้ไว้ว่า มันเป็นเรื่องธรรมชาติที่จะต้องเป็นอย่างนั้น พอจะรู้ได้ สบายดี นี่! เป็นเรื่องผู้ใหญ่ พ่อ แม่ ปู่ ตา ย่า ยาย ที่จะต้องค่อยพูด ค่อยสอน ทีละเล็กทีละน้อย ให้เขาเข้าใจไม่ให้ ไม่ปล่อยให้เขาไปผจญภัยด้วยตัวของเขาเอง ก็ถ้าเขาไปผจญด้วยตัวเขาเอง โดยไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรนั้น มันจะเสียท่า เสียที แล้วจะเกิดปัญหาขึ้นในชีวิต จนแก้ไม่ได้ เสียหาย แล้วก็ไปยึดถือว่า เรามันเสียหายแล้ว เสียคนแล้ว ก็ต้องปล่อยไปตามเรื่อง อันนี้ ก็ไม่ถูก สิ่งทั้งหลายมันเปลี่ยนได้ แก้ได้ ของสกปรกล้างให้สะอาดได้ ล้างสะอาดแล้วเอาไปวางในที่สมควรได้ แต่ถ้ายังสกปรกอยู่ มันก็ล้างไม่ได้
ชีวิตคนเราก็เหมือนกัน ไม่ใช่ว่า พอทำผิดแล้ว มันจะเสียคนไปเลย มีโอกาสกลับจิตกลับใจได้ สอนให้เขากลับใจได้ ให้รู้สึกผิดชอบชั่วดี เปลี่ยนจิตเปลี่ยนใจเข้าหาความดีได้ สำหรับคนบางคนก็พอกลับใจได้ แต่บางคนมันก็กลับไม่ไหว เพราะ มันลึกเกินไป ไปติดอยู่ในบ่วงแห่งความคิดที่เป็นอันตรายมากเกินไป จึงเสียผู้เสียคน อันนี้ ผู้ใหญ่ช่วยชี้แนะ ช่วยบอกเขาให้เขาเข้าใจ เรื่องระบบของชีวิต มันก็จะดีขึ้นเหมือนกันนะ อันนี้ เป็นเรื่องที่น่าคิดประการหนึ่ง จึงขอเอามาพูดจาทำความเข้าใจกับญาติโยมทั้งหลาย เพราะว่าเราอยู่ในสังคมโลกที่เต็มไปด้วยปัญหา เต็มไปด้วยปัญหา เราอย่าเอาชีวิตของเราไปฝากไว้กับปัญหานั้นมากเกินไป อย่าวิตกกังวลอะไรมากเกินไป ต้องฟังอะไรที่เขาพูดบ้าง
เช่นว่า อันนี้อ่ะ คณะรัฐบาลมีวิทยุทหาร ทุกครัวเรือน ...... (51.22 เสียงไม่ชัดเจน) ''สยามมานุสติ'' ไอ้รายการนี้มันเป็นมานานแล้ว เขาพูดเตือนใจ อะไร ปลุกใจ เร้าใจ ... คนที่เขียนนี้ ... เก่ง ... เขียนได้ดีทีเดียว ปลุกใจ เร้าใจ แล้วก็มาเขียนเรื่องของแพง พอพูดเรื่องของแพงเข้า แล้วก็เป็นเสียงออกจากสถานีทหาร ตอนนี้ รัฐบาลนี้เป็นโรคขี้ขลาดอยู่ คือ โรคกลัว โรคกลัวทหาร กลัวการปฏิวัติ กลัวการยึดอำนาจฝังหัว ไอ้เรื่องนี้ พอได้ยินเสียงนั้น โอ้ย ! วิตกกังวล ทำไมเรื่องมันชักไปกันใหญ่โต ความจริงมันไม่มีอะไร เราเป็นผู้บริหารประเทศ มันก็ต้องรับฟังคำวิพากวิจารณ์ของคนอื่นบ้าง ถ้าเราเป็นคนของประชาชน ประชาชนเขาเลือกเรามา เขาจะติเราก็ได้ จะชมเราก็ได้ จะด่าเราก็ได้ เป็นสิทธิที่คนทำได้ เราฟังแล้วก็อย่าไปวิตกกังวล นั่น ! มันรุนแรง นึกแต่ว่า เขาเตือนด้วยความปรารถนาดี เราก็มาคิดแก้ตัวเราดีกว่า อย่างนี้ มันก็สบาย
ในโลกธรรม ๘ อย่าง มีลาภ เสื่อมลาภ มียศ เสื่อมยศ มีสุข มีทุกข์ มีนินทา มีสรรเสริญ มัน มันเรื่องธรรมดา คนชอบมันก็ชม คนชังมันก็ติ อันนี้ ถ้าเราไปหวั่นไหวกับเสียงปี่เสียงชม เสียงด่า เสียงว่าของคนเหล่านั้น ทำอะไรไม่ได้
พระท่านจึงสอนว่า '' อย่าหวั่นไหวกับสิ่งเหล่านั้น '' เขาชมว่าดี...อย่าไปเหลิง เขาชมว่าชั่ว...อย่าไปฝ่อ ให้ฟังเขาไว้ แล้วเอามาพิจารณา แล้วเอาไปแก้ไขปรับปรุงตัวเราให้ดีขึ้น เราไม่ได้ดีเพราะเขาชม ไม่ได้ชั่วเพราะเขาจะติ มันดีชั่วอยู่ที่เราทำเอง คราวนี้ พอได้ยินใครชมก็อย่าไปเมา ได้ยินใครติก็อย่าไปว่าเขา อย่าไปโทษเขา แต่ว่ามองดูตัวเราว่า เราบกพร่องหรือเปล่า เราทำไม่ถูกหรือเปล่า ถ้าเห็นว่าเราทำไม่ถูก ก็คิดเสียให้มันถูกต้อง เอาคำติคำชมนั้นมาเป็นเครื่องชี้แนะในการบริหารสิ่งต่างๆให้ดีขึ้น เรื่องมันก็จะไม่เสียหาย ไม่เกิดความผิดขึ้น อันนี้ก็น่าคิดเหมือนกัน ขอฝากไว้ให้ญาติโยมทั้งหลายด้วย พูดมาก็สมควรแก่เวลา ต่อไปนี้ก็ขอเชิญญาติโยมนั่งสงบใจเป็นเวลา ๕ นาที