แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ญาติโยมและพุทธบริษัททั้งหลาย ณ บัดนี้ ถึงเวลาของการฟังปาฐกถาธรรมะอันเป็นหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนาแล้ว ขอให้ทุกท่านอยู่ในอาการสงบ ตั้งอกตั้งใจฟังด้วยดีเพื่อให้ได้ประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการฟัง ตามสมควรแก่เวลา
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ ๒๐ ของเดือนตุลาคม ...... เดือนสิงหาคม เดือนหนึ่งเดือนหนึ่งนี้มันไม่นานเท่าไหร่ ขึ้นวันที่ ๑ สักประเดี๋ยวเดียวมา ๒๐ วันเข้าไปแล้ว อีก ๑๑ วันก็หมดเดือนอีกแล้ว ปีหนึ่งก็ไม่นาน เวลานี้มันล่วงไปอย่างรวดเร็วเหลือเกิน พระพุทธเจ้าท่านจึงสอนให้เราคิดบ่อยๆ คือให้คิดว่า เวลาล่วงไป ล่วงไป บัดนี้ เราทำอะไรอยู่ การที่จะให้คิดอย่างนั้นก็เพื่อจะให้เกิดความสำนึกในชีวิต ในการงานอันเป็นหน้าที่แห่งตน แห่งตน จะได้เป็นคนตื่นตัว ว่องไว ก้าวหน้า ทำหน้าที่ของตนให้ถูกต้องเรียบร้อย ไม่ปล่อยเวลาให้ผ่านไปโดยไม่ได้ทำอะไร เพราะเวลาที่ผ่านไปนั้นไม่ได้ผ่านไปแต่เวลาอย่างเดียว แต่มันฉุดคร่าเอาเราทั้งหลายติดเวลาไปด้วย เหมือนกับน้ำที่ไหลมาจากที่สูงลงมาสู่ที่ลุ่ม ก็ไม่ได้มาแต่น้ำแต่พัดเอาอะไรต่างๆ ติดกับน้ำมาด้วย เช่น เอาดินติดน้ำมาบ้าง ใบไม้บ้าง ต้นไม้บ้าง ซากสัตว์บ้าง ไหลมาตามกระแสน้ำออกไปสู่ปากน้ำ ออกสู่ทะเลฉันใด
เวลาที่ผ่าน ผ่านไปก็นำเราไปด้วย เราได้อะไรจากเวลาที่ผ่านไป ก็ได้อายุ อายุ ได้อายุเพิ่มขึ้นทุกวินาทีที่ผ่านไปเราได้อายุเพิ่มขึ้น ตัวเราเองมีอายุเท่าใดในขณะนี้ นั่นเป็นเครื่องหมายว่าเวลาผ่านไปเท่านั้นปี เท่านี้เดือน เท่านี้วันแล้ว
เพราะฉะนั้น เมื่อเรานึกถึงเวลาก็ควรจะใช้ชีวิตให้เป็นประโยชน์ด้วยการทำหน้าที่ให้ถูกต้อง ถ้าเราเป็นเด็กอยู่ในวัยของการศึกษาเล่าเรียน ก็ต้องใช้เวลาเพื่อการศึกษาในวิชาที่เราจะต้องเรียน ให้มีความรู้ ให้มีความเข้าใจในวิชานั้นถูกต้อง เวลาทดสอบตอนสอบไล่เราก็จะสอบได้ดังใจปรารถนา เพราะว่าเราตั้งใจเรียน เรารักการเรียน เราขยัน เราเอาใจใส่ เราคิด เราค้นในเรื่องที่จะเรียนอยู่ตลอดเวลา เพราะเรานึกว่าเวลามันไม่คอยใคร มันผ่านไปทุกวินาที ทำให้เราแก่ขึ้น แก่ขึ้น แล้วก็แก่ลง ขั้นแรกนี้เรียกว่า แก่ขึ้น แต่ต่อไปนี้ก็เรียกว่า แก่ลง แก่ขึ้นนั้นคือร่างกายเติบโตเจริญขึ้น ตั้งแต่ออกมาจากท้องคุณแม่แล้วก็แก่ขึ้นเรื่อยไป เรื่อยไป จนกระทั่งเป็นผู้ใหญ่เต็มที่ อายุ ๒๐ ปี เรียกว่า บรรลุนิติภาวะ บรรลุนิติภาวะ หมายความว่า เป็นผู้ใหญ่ตามกฎหมาย กฎหมายถือว่าคนอายุ ๒๐ ปีนั้นเป็นผู้ใหญ่ ทำนิติกรรมอะไรก็ได้ ไปทำอะไรเกี่ยวข้องกับกฎหมายได้ เรียกว่า นิติภาวะ เมื่อเป็นผู้ใหญ่อย่างนั้นแล้ว ต่อไปก็แก่ลงนะทีนี้
แก่ลงก็เริ่มเสื่อมลงไปเรื่อยๆ ร่างกายของเรานี้ก็เริ่มเสื่อมไปทีละน้อย ทีละน้อย ผมเริ่มขาว ฟันเริ่มโยกคลอน นัยน์ตาก็เริ่มมัวเป็นฝ้า หูก็ชักจะตึงๆ ร่างกายก็ไม่ค่อยแข็งแรง จะเดิน จะลุก จะนั่งก็ไม่ค่อยจะคล่องแคล่วว่องไว นั่นเป็นความเสื่อมของร่างกาย เป็นกฎธรรมชาติมันเป็นอย่างนั้น และเมื่อไปถึงขั้นนั้นแล้ว ไม่เท่าใดก็จะต้องถึงแก่ความตายอันเป็นเรื่องของธรรมชาติ ชีวิตคนเรานี้เกิดมาแล้วก็ตกอยู่ในกระแสของธรรมชาติ คือ มีความเปลี่ยนแปลง ขั้นแรกก็เปลี่ยนแปลงไปในทางเจริญขึ้น แล้วต่อไปก็เปลี่ยนแปลงไปในทางเสื่อมไปโดยลำดับ จนกระทั่งแตกสลายซึ่งเราเรียกว่าความตาย จึงมีคำพูดเป็นเรื่องตายตัวว่า เกิด แก่ เจ็บ ตาย เกิดแล้วก็แก่ แก่แล้วก็เจ็บ แล้วก็ตาย อันนี้เป็นเรื่องธรรมดา
เรื่องนี้มันขึ้นอยู่กับเวลา เพราะฉะนั้น เราต้องคอยนึกถึงเวลาไว้เสมอๆ ที่เขาจัดเวลาไว้ว่าเป็นปี เป็นเดือน เป็นสัปดาห์ก็เพื่อจะเป็นเครื่องนัดหมายสำหรับที่จะพูดจากันได้ ถ้าไม่ทำอย่างนั้นมันก็มีแต่กลางวัน กับ กลางคืนเท่านั้นเอง คือ มืด กับ สว่าง มืดก็เป็นกลางคืน สว่างก็เป็นกลางวัน เราจะพูดกันอย่างไร? จะจดกันอย่างไร? จะบันทึกเรื่องราวทั้งหลายกันอย่างไร? ถ้ามันมีแต่มืดกับสว่าง? มืดที่เท่าใด? สว่างที่เท่าใด? ก็รู้ไม่ได้ มันเป็นปัญหาเยอะแยะ
คนในสมัยโบราณจึงได้กำหนดวันไว้ สำหรับให้เราได้พูดจา บันทึกอะไรต่างๆ เช่น ตั้งไว้ว่าวันอาทิตย์ วันจันทร์ อังคาร พุธ พฤหัส ศุกร์ เสาร์ แล้วก็มาอาทิตย์ เป็นสัปดาห์หนึ่ง สัปดาห์ก็คือ ๗ วันนั่นเอง เรียกว่าสัปดาห์ คือ ๗ วัน ตั้งไว้อย่างนั้น สำหรับเป็นเครื่องนัดหมายเท่านั้นเอง ไม่ได้มีความหมายว่าวันนั้นดี วันนี้ชั่ว วันนั้นเป็นอย่างนั้นแต่วันนี้เป็นอย่างนี้ ไม่ได้หมายอย่างนั้น เอาไว้เป็นเครื่องหมายสำหรับพูดจาทำความเข้าใจกัน นัดหมายกัน เช่น นัดว่าวันอาทิตย์ให้ไปพบกันที่นั่น วันอังคารไปทำอะไรกันที่โน่น เป็นเครื่องนัดหมายวัน-เวลา มีวันแล้วก็มีเดือน สัปดาห์หนึ่ง ๗ วัน เดือนหนึ่ง ๓๐ วันบ้าง ๓๑ วันบ้าง ก็พอเป็นเครื่องนัดหมาย แล้วก็มีวันที่ วันที่นี้นับตามแบบสุริยคติ คือ ถือเอาดวงอาทิตย์เป็นเกณฑ์ หรือนับขึ้น นับแรม คือ ถือเอาดวงจันทร์เป็นเกณฑ์ สมัยก่อนนี้เขาเอาดวงจันทร์เป็นเกณฑ์ เพราะดวงจันทร์มีขึ้น มีแรม มีเต็มดวง มีเว้า มีแหว่งเป็นเครื่องนัดหมายง่าย แล้วก็นัดว่า ขึ้น ๑ ค่ำ ๒ ค่ำ ๓ ค่ำ ๔ ค่ำ ๕ ค่ำ ๖ ค่ำ ๗ ค่ำ ๘ ค่ำข้างขึ้น แล้วก็ ๙ ค่ำ ถึง ๑๕ ค่ำพระจันทร์เต็มดวง พอเต็มดวงแล้วก็ค่อยแหว่งเข้าไป แหว่งเข้าไปจนกระทั่งถึงวันดับ พอถึงวันดับนี้มันหมดดวงไม่เห็นดวงจันทร์แล้วมันดับไปหมด เรียกว่า วันดับ
แล้วก็ขึ้นใหม่ต่อไป มันเนื่องจากการเดินของดวงจันทร์กับดวงอาทิตย์และโลกของเรา มันเดินกันอยู่ตลอดเวลา เคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา หยุดเคลื่อนไหวไม่ได้ ถ้าเกิดหยุดขึ้นมาน่าจะยุ่ง น่าจะมีอะไรที่เรียกว่าวิกฤติการณ์เกิดขึ้น ก็โลกหยุดหมุน ดวงจันทร์หยุดเดิน ดวงอาทิตย์หยุดเดิน มันก็คงจะเกิดปัญหาอะไรขึ้นในโลก แต่เวลานี้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามจักรราศี คำว่า จักรราศี หมายความว่า เดินไปรอบๆ ตามกำหนดที่มันเป็นไปตามกฎของธรรมชาติ สิ่งเหล่านี้ก็เป็นเครื่องนัดหมาย แต่ไม่ได้หมายความว่าวันนั้นดี เวลานี้ดี วันนั้นไม่ดี เวลานั้นไม่ดี-ไม่ได้มีอย่างนั้น ที่มีอย่างนั้นมันเป็นเรื่องของพวกโหราศาสตร์ วิชาโหราศาสตร์ โหราศาสตร์กับดาราศาสตร์นั้นมันคนละเรื่อง
ดาราศาสตร์นั้นเขากำหนดการโคจรของดวงดาว วันที่ ๑๘ นี้เป็นวันวิทยาศาสตร์ของประเทศไทย เป็นวันที่ระลึกถึงพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เพราะว่าสมเด็จพระจอมเกล้าท่านเป็นนักดาราศาสตร์ ท่านศึกษาเรื่องดาว เรื่องการโคจรของดวงดาว แล้วก็กำหนดได้ว่า วันนั้น เวลานั้นจะมีสุริยุปราคาที่ตำบลหว้ากอ อำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ แล้วก็ป่าวร้องชาวต่างประเทศให้มาดูสุริยุปราคามิดดวง คือว่ามิดดวงเลย มืดเหมือนกับตอนหัวค่ำ ไก่ขันลงจากร้านนึกว่าใกล้สว่าง มันเปลี่ยนแปลงไปอย่างนั้น ท่านเข้าใจวิชาคำนวณดวงดาวเรียบร้อย เราจึงเรียกพระองค์ว่า กษัตริย์วิทยาศาสตร์ แล้วก็มีวันเป็นที่ระลึกถวายพระองค์ท่านไว้ส่งเสริมทางด้านวิทยาศาสตร์ มีการแสดงนิทรรศการ คือว่าแสดงให้ดูเรื่องของดวงดาว ดวงจันทร์ หรืออะไรต่างๆ เป็นการศึกษาระบบจักรวาล เรื่องของธรรมชาติให้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร นั่นก็เรียกว่า ดาราศาสตร์ เป็นวิชาหนึ่งที่เขามีการศึกษากันอยู่
แต่โหราศาสตร์นั้น เป็นวิชาทำนายทายทักว่าคนนั้นจะเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ เอาแน่นอนไม่ได้ ไม่ได้ชื่อว่าเป็นวิทยาศาสตร์เพราะไม่ได้เป็นความจริงเสมอไป แต่ว่าบางทีมันก็ตรง บางทีมันก็ไม่ตรง เพราะว่าชีวิตคนเราไม่ได้ขึ้นกับอย่างนั้น แต่ขึ้นอยู่กับการกระทำของเราเอง อะไร อะไรที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรามันขึ้นอยู่กับความคิด การพูด การกระทำ การคบหาสมาคม การไปการมาของเราเอง ไม่ได้ขึ้นอยู่กับอำนาจของภายนอก ไม่มีอำนาจอะไรภายนอกที่จะมาทำเราให้เป็นอะไร ให้ดีก็ไม่ได้ ให้ชั่วก็ไม่ได้ ความดี-ความชั่ว ความสุข-ความทุกข์ ความเสื่อม-ความเจริญที่เกิดขึ้นกับชีวิตของเรานั้นเกิดจากตัวเราเอง คือ เราทำให้มันเกิดขึ้น เราคิด เราพูด เราทำ เราคบหาสมาคม เราไปมาในที่ต่างๆ แล้วมันก็เกิดอะไรขึ้นในชีวิตของเรา ไม่ได้เกิดเพระอำนาจอะไรภายนอก แม้ว่าจะมีเรื่องภายนอกเข้ามาเกี่ยวข้องแต่ไม่ใช่ตัวการใหญ่ ไม่ใช่ Factor ใหญ่ ตัวการใหญ่ ไม่ใช่ Factor ใหญ่มันอยู่ที่ตัวเราเอง
แต่ว่าคนเรานั้นมันมีความผิดประจำตัวอยู่ประการหนึ่ง คือ ไม่ยอมรับว่าตัวผิด ไม่ยอมรับว่าตัวผิด คนที่จะกระทำอะไรไม่ถูกต้องและก็ไม่ยอมรับว่าตัวผิดมีมากในบ้านเมืองของเรา มีอยู่ทั่วๆ ไปคือไม่ยอมรับว่าตัวผิด การไม่ยอมรับว่าตัวผิดนั่นแหละ มันคือปัญหาของชีวิต เช่น เรื่องสุข เรื่องทุกข์ เรื่องเสื่อม เรื่องเจริญ เรื่องดี เรื่องชั่ว อะไรต่างๆ ที่มันเกิดขึ้น เราไม่ยอมรับว่าเป็นเรื่องของเรา เราก็แก้ไม่ได้เพราะเราไปแก้ที่ภายนอก ไปแก้ที่ด้วงดาวมันไปแก้ไม่ได้ ไปแก้ที่วัน เดือน ปีเกิดมันก็แก้ไม่ได้ เพราะว่าเราเกิดมาแล้ว เราจะถอยเข้าไปในท้องคุณแม่ แล้วก็เกิดใหม่มันก็ไม่ได้ นอกจากไปทำพิธีบ้าๆ บวมๆ เช่นว่า ช้างที่มาเที่ยวเดินอยู่ในกรุงเทพนี้ เขาให้คนที่มีความเชื่อ ปัญญาอ่อนนั้นไปลอดใต้ท้องช้าง ลอดใต้ท้องช้าง ๓ รอบ ๓ ครั้งๆ ละ ๒๐ บาท นั่น เสียเงินไหม? ไม่ใช่ลอดเฉยๆ เสียเงินให้ควาญช้างเอาไปซื้อหญ้าให้ช้างกินทีละ ๒๐ บาท ลอดไป-ลอดมาถือว่าเกิดใหม่ มีชีวิตใหม่ อันนั้นมันไม่ได้ตั้งต้นชีวิตใหม่อะไร ยังโง่อยู่เท่าเดิมนั่นเอง
แล้วก็มีคนๆ หนึ่ง แกนึกว่าแกนี่เคราะห์ร้าย โชคร้าย เลยไปคิดว่าจะไปลอดใต้ท้องช้าง แล้วเวลาไปนั่นหมาที่คุ้นเคยมันไปด้วย หมาเมื่อไปถึงมันเห็นเท้าช้างเป็นของประหลาด เพราะมันใหญ่กว่าอะไรทั้งหมดมันก็เลยไปกัดเท้าช้าง ไอ้คนนั้นกำลังลอด ช้างมันก็จั๊กกระจี้เพราะหมาไปกัดเท้ามัน มันไม่เจ็บหรอกแต่มันจั๊กกระจี้ พอจั๊กกระจี้มันก็กระดิกปุ๊บ เตะนะ เตะหมาแต่หมามันหลบทันตัวมันเล็ก ไอ้คนที่กำลังคลานหลบไม่ทัน เลยเตะเข้ากลางตัวซี่โครงหักเลย ตาย ตาย ไม่ต้องเกิดใหม่ คือ ไปตาย ตายเพราะหาเรื่องจะไปเกิดใหม่นั่นเอง ไอ้เกิดใหม่แบบนี้มันไม่ถูกต้อง มันไม่เป็นธรรม ไม่เข้าเหตุผล
เราจะเกิดใหม่ก็ได้ ทุกคนเกิดใหม่ได้
เกิดใหม่ หมายความว่า เรารู้ว่าเราผิดอะไร เราไม่ดีในเรื่องอะไร แล้วเราตั้งใจว่าจะไม่ทำเช่นนั้นอีกต่อไป เช่น สมมติว่าเราเป็นคนชอบดื่มสุราเมรัย สิ่งเสพติด ชีวิต ร่างกายเปลี่ยนแปลงไปในทางเสื่อม ทรัพย์สมบัติก็เสื่อม การงานก็เสื่อม ทำอะไรก็เสื่อม เสียหาย แล้วไปได้ฟังพระท่านบอกว่า การดื่มของมึนเมามันให้โทษหลายอย่างแก่ชีวิตร่างกาย ก็เกิดรู้สึกตัวขึ้น พอรู้สึกตัวก็ตั้งจิตอธิษฐานว่า ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป กูจะเลิกไม่ดื่มสุราเมรัยอันเป็นยาเสพติดอีกต่อไป นี่เกิดใหม่แล้ว ตั้งแต่วินาทีที่ตั้งใจว่าจะไม่ดื่มของมึนเมา ไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ไม่สูบกัญชา ยาฝิ่น ยาม้า ยาแมวอะไรก็ตาม เราไม่แตะต้องมันอีกต่อไปเลิกเด็ดขาด นี่ เกิดใหม่แล้ว คนนั้นได้ชื่อว่าเกิดใหม่ แล้วก็ได้ชื่อว่าสะเดาะเคราะห์ออกไปได้ สะเดาะความชั่วนั่นแหละเรียกว่าสะเดาะเคราะห์ ไม่ใช่มาวัดแล้วทำพิธีสะเดาะเคราะห์แล้วกลับไปก็เหมือนเดิม เมาอย่างไรก็เมาอยู่อย่างเดิม เคยประพฤติชั่วอย่างไรก็ประพฤติอยู่อย่างเดิม อย่างนี้ไม่ได้สะเดาะอะไร ไม่ได้เอาความชั่วออกจากตัว
การสะเดาะเคราะห์ตามหลักพุทธศาสนานั้น เราจะต้องรู้จักว่าเรามีอะไรเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ เกิดเคราะห์ร้ายขึ้นในชีวิต เราค้นหาเหตุนั้นให้พบ เมื่อพบเหตุนั้นแล้วกำจัดเหตุนั้น คือ เลิก ไม่ประพฤติไม่ปฏิบัติในรูปนั้นอีกต่อไป อย่างนี้เรียกว่า สะเดาะเคราะห์เด็ดขาด เคราะห์ร้ายจะไม่เกิดขึ้นแก่เราต่อไป ถ้าเรารู้ว่าเรานี้มันลำบากเพราะชอบเล่นการพนัน ชอบเล่นแชร์ เล่นเบอร์ เล่นอะไรที่เป็นการพนัน เล่นบ่อยๆ ทรัพย์สมบัติก็ค่อยหมดไป สิ้นไป เพราะนักการพนันนั้นเมื่อชนะก็ฮึกเหิมใหญ่ แหม ดวงดีวันนี้ชนะ พรุ่งนี้ต้องไปเอาอีก แล้วก็เกิดแพ้ พอแพ้ขึ้นมาก็เสียใจเสียดายทรัพย์ที่เสียไป ต้องแก้ตัว ไม่ได้ มันต้องแก้ตัว แก้ตัวก็ต้องไปเล่นอีก ไม่มีเงินก็ไปยืมเขามาเพื่อเอาไปแก้ตัว แก้ตัวก็แก้ไม่ออกมันถูกมัดหนักเข้าไปคือแพ้หนักเข้าไปอีก เกิดปัญหา เกิดความทุกข์ เกิดความเดือดร้อนอย่างนี้ ทรัพย์สมบัติก็หมดไป สิ้นไป และก็ไม่มีใครเชื่อเครดิต คนที่เป็นนักการพนันนี้หมดเครดิต เพราะสัญญากับใครไว้ก็ไม่ได้ตามสัญญาเช่น สัญญาว่าจะให้ทรัพย์ในวันนั้นแต่มันไม่ได้ให้ เพราะไปแพ้การพนันหมดไม่รู้จะเอาอะไรไปให้ เครดิตที่เคยมีก็หมดไปสิ้นไป พูดอะไรเพื่อนก็ไม่เชื่อไม่ฟัง ผลที่สุดก็ตั้งตัวไม่ได้
การพนันนี้จึงเรียกว่าเป็นผีร้ายที่ทำลายชาติ ทำลายบ้านเมืองให้เสียหาย ประเทศใด ชาติใดก็ตามถ้ารัฐส่งเสริมให้มีการพนันไม่ว่าประเภทใด ก็เรียกว่าเปิดประตูแห่งความเสื่อม ความเสียให้เกิดขึ้นแก่คนในชาตินั้น คนในชาตินั้นจะล่มจมกันไปตามจำนวนที่ได้ไปเล่นนั่นเอง เช่นว่า เปิดสนามม้า คนก็ถูกม้าเตะซี่โครงหักไปตามๆ กัน เปิดบ่อนการพนันไม่ว่าประเภทใด คนก็ไปหลงใหลมัวเมาอยู่ในบ่อนนั้น ทำให้เกิดความเสียหาย เป็นเรื่องที่ไม่ควรส่งเสริมแต่ควรจะลดให้มันน้อยลงไป น้อยลงไป จนกระทั่งว่า เลิกเด็ดขาดไม่มีอีกต่อไป เลิกสนามม้าเด็ดขาดไม่มีม้าแข่งต่อไป เลิกบ่อนเด็ดขาดไม่มีบ่อนต่อไป บ่อนมีอยู่ตรงไหน บริเวณไหนตำรวจต้องกวดจับเต็มที่ ความจริงตำรวจรู้ทั้งนั้นว่าบ่อนอยู่ถนนไหน เป็นของใคร รู้ทั้งนั้น แต่ว่าไม่จับ ไม่กุม ที่ไม่จับกุมนั้นก็เพราะว่าเจ้าของบ่อนเขาช่วยเหลืออยู่ ได้เอาเงินไปให้ทุกเดือนสม่ำเสมอ นี่ ให้ทุกเดือนเอาซองไปแจกทุกเดือน ตำรวจเราก็ดีเป็นคนมีความกตัญญูกตเวทีต่อเจ้าของบ่อน ต่อเจ้าของซ่อง เลยไม่ไปจับไปกุมเพราะว่ามันมีบุญคุณต่อกัน เลยไม่จับ แต่ว่าจับทีไรก็อยู่ใกล้โรงพักทุกที
วันก่อนก็ไปจับที่บ้านโป่ง มันก็อยู่ใกล้โรงพักนั่นเอง ไม่ใช่อยู่ไกล ไม่ได้อยู่ในป่าลึก ไม่ได้อยู่ที่เข้าไปมาลำบาก มันก็อยู่นั่นแหละ เข้าไปจับก็จับได้เยอะแยะ ผู้หญิงที่เขาหลอกมาถูกจับได้เอาไปให้พ่อ ให้แม่ มีจำนวนมากมาย ตำรวจไม่รู้หรือว่ามันมีอยู่ตรงนั้น? ลองไปถามสถานีตำรวจบ้านโป่งดูเถิด รู้อยู่เต็มอกทั้งนั้นแหละ แต่ว่าเขาเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เป็นคนหนักแน่นในความกตัญญูกตเวทีต่อเจ้าของบ่อน เลยไม่ทำอันตราย แต่มันมีคนไปแจ้งความ ว่าลูกสาวของตนหายแล้วมาอยู่ในบ่อนนี้ ในซ่องนี้ก็ต้องไปจับเพราะว่ามีคนมาแจ้งความ ไม่ไปจับคนแจ้งความมันโวยวายขึ้น เดี๋ยวก็ยุ่งกันใหญ่ก็เลยไปจับ จับแต่ไม่ได้ลูกสาวเพราะว่าเขาส่งไปไว้ที่ซ่องอื่นเสียแล้ว ก็ต้องไปกวาดซ่องอื่นต่อไป รู้กันทั้งนั้นไม่ว่าเมืองไหน บ้านไหน รู้กันทั้งนั้น ในกรุงเทพนี่ก็รู้กันทั้งนั้นว่า ของใครอยู่ที่บางไหน ที่ถนนไหนเขารู้กันทั้งนั้น มีทะเบียนเรียบร้อยจดไว้ในกระเป๋า พอถึงเดือนเขาก็เอาส่วยมาส่งให้เรียบร้อย ไม่บิดไม่พริ้วด้วยนะเรียกว่า ซื่อตรงต่อกันดี ก็เป็นผู้ประพฤติธรรมอยู่เหมือนกัน แต่มันเป็นไปเพื่อความเสื่อม ไม่ได้เป็นไปเพื่อความเจริญ กตัญญูเพื่อความเสื่อมมันก็ใช้ไม่ได้ เรามันต้องกตัญญูต่อสิ่งถูกต้อง แต่ถ้าสิ่งไม่ถูกต้องจะไปอ้างว่ามีบุญมีคุณต่อกันมันก็ไม่ถูก คนทำผิดกฎหมายก็ต้องจัดการไปตามเรื่อง ไม่ลำเอียงไม่ถือว่าเป็นญาติเป็นมิตรเป็นอะไรกัน ถือธรรมะ คือ กฎหมายเป็นหลัก ใครทำผิดกฎหมายก็ต้องลงโทษ เอาไปขึ้นโรงขึ้นศาลก็ไปตามเรื่องจึงจะเป็นการใช้ได้ นี่ มันเป็นอย่างนั้น
สิ่งทั้งหลายมันขึ้นอยู่กับการกระทำของคน ไม่ใช่ขึ้นอยู่กับอะไร
ไม่ใช่ขึ้นอยู่กับดวงดาวที่พวกเราที่เป็นนักศึกษาที่มาฟังกันวันนี้ มามากหน่อยมานั่งกันเต็ม นักศึกษานี้จะต้องเข้าใจหลักนี้ไว้ ให้รู้หลักอันถูกต้องของพุทธศาสนาไว้ อย่าไปเชื่อไสยศาสตร์ อย่าไปเชื่อสิ่งเหลวไหล ว่าสิ่งนั้นจะช่วยเราได้ มันช่วยไม่ได้ เวลาใกล้สอบไล่เราจะไปไหว้เสาหลักเมือง ไปไหว้พระภูมิเจ้าที่ที่เขาตั้งไว้ในมหาวิทยาลัย ไม่มีหวังสอบได้ ถ้าเราขี้เกียจไม่ดูหนังสือ ไม่อ่านหนังสือก็สอบไม่ได้ คนที่จะสอบได้ต้องประพฤติธรรม ประพฤติธรรม ๔ ประการคือ
๑. ฉันทะ รักการเรียน
๒. วิริยะ เพียรในเรื่องการเรียน
๓. จิตตะ ต้องเอาใจใส่ศึกษา ค้นคว้า ขอให้นึกอยู่เสมอว่าฉันเป็นนักศึกษา หน้าที่ของฉันคือศีกษาเล่าเรียน ฉันไม่มีหน้าที่ไปเที่ยว ไปสนุก ไปเพลิดเพลิน ถ้าจะไปก็ไปได้แต่ต้องจำกัดตัวเองได้ บังคับตัวเองได้ ว่าไปเท่านั้นชั่วโมงต้องกลับ หรือวันหยุดเราจะไปเที่ยวบ้างก็ได้ แต่ว่าไม่เที่ยวจนเหลิงไป จนเพลินไปมันก็เสียหาย
๔. วิมังสา แล้วก็จะเอามาคิดมาค้นเพื่อทำความเข้าใจ
ถ้าเราทำอย่างนี้เราก็จะสอบไล่ได้ ได้คะแนนดี คนสอบได้คะแนนดีไปทำงานมันก็ดีขึ้น เพราะคนเขาต้องการคนมีความรู้ มีความสามารถ มีความประพฤติดี เรามีคุณสมบัติ คือ มีความรู้ มีความสามารถ แล้วก็มีความประพฤติดี นายจ้างต้องการเราก็เข้าไปทำงานได้ อันนี้การทำงานจะก้าวหน้าหรือไม่ก้าวหน้าก็ขึ้นอยู่กับเราอีก ถ้าเราทำงานด้วยใจรัก ทำงานด้วยความขยัน ทำงานด้วยความเอาใจใส่ ทำงานด้วยการใช้สติปัญญา นายจ้างเขาเห็นว่า คนนี้เป็นคนรักงาน ขยัน เอาใจใส่ คิดค้นทำงานให้ดีให้เจริญ เขาก็อยากเอาไว้ในสำนักงานต่อไป แต่ถ้าคนไหนไม่รักงาน ไม่ขยัน ไม่เอาใจใส่ ขี้เกียจประพฤติเหลวไหล เขาก็อยากให้ออกไปจากสำนักงานวันหนึ่งหลายครั้งหลายหน แต่ยังหาช่องเขี่ยไม่ได้เท่านั้นเอง พอได้ช่องเขาจะบอก คุณไปได้ แล้วก็ไม่มีงานทำ แล้วเราไปโทษว่า แหม! เรามันดวงไม่ดี ไปทำงานได้นิดหน่อยเขาไล่ออกแล้ว
มันไม่ใช่ดวงไม่ดีหนูทั้งหลายจำไว้ มันเพราะเราทำไม่ดี เราทำไม่ดีมันถึงเสียหาย แต่ถ้าเราทำดีมันก็ไม่เสียหาย คนเขาก็ต้องการเรา ช่วยเราให้ได้ทำงานต่อไป
อะไรๆ มันขึ้นอยู่กับตัวเราเอง อันนี้สำคัญ พระพุทธศาสนาสอนให้เรารู้จักช่วยตัวเอง รู้จักพึ่งตัวเอง การช่วยตัวเอง การพึ่งตัวเองนั้นต้องเอาพระธรรมคำสอนมาเป็นหลัก เป็นหลักในการช่วยตัวเองในการพึ่งตัวเอง พระธรรมนั้นเป็นสิ่งถูกต้อง เป็นสิ่งอำนวยประโยชน์ความสุขให้แก่เรา ถ้าเราเอาธรรมะมาใช้ แต่ถ้าเราไม่เอาธรรมะมาใช้ธรรมะก็ไม่ได้ช่วยเรา ไม่ได้รักษาเรา เราเป็นเสมือนหนึ่งถูกตัดหางปล่อย
ที่คนโบราณเขาพูดว่า ตัดหางปล่อยวัด สัตว์ตัวใดที่เขาไม่เลี้ยง เขาก็เอามาปล่อยวัด เพราะฉะนั้น ในวัดนี้หมาจึงเยอะแยะ เป็นหมาขี้เรื้อนทั้งนั้นนะ เพราะว่าเจ้าของเขาไม่เลี้ยงแล้วเลยเอามาปล่อยวัด ไก่ที่ไม่ดีก็ปล่อยวัด หมูไม่ดีก็ปล่อยวัด ลูกไม่ดีก็เอามาปล่อยวัดเหมือนกัน เอามาทิ้งไว้ที่วัดให้พระช่วยเข็น ช่วยอบรมบ่มนิสัย ถ้าหากว่าเขาเกิดความสำนึกรู้สึกว่าชีวิตมีค่า แล้วก็รู้ว่าเราเกิดมาทำไม? เรามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร? สิ่งที่ดีที่สุดที่เราควรทำนั้นคืออะไร? แล้วเราก็ตั้งใจทำดี เอ้า! กลับบ้านได้ เป็นคนดีแล้วใช้ได้ คนเอาเด็กไม่ดีมาปล่อยวัดบ่อยเหมือนกัน เราอบรมบ่มนิสัยกัน เขาก็กลับจิตกลับใจเป็นคนดี กลับบ้านไปตั้งใจศึกษาเล่าเรียนหาวิชาความรู้ ก็เป็นคนเจริญในวงงาน
มีเด็กคนหนึ่งเป็นคนติดผงขาว เขาได้ ม ๘ แต่ไปติดผงขาว พี่ก็เอามาฝากวัด เอามาฝากวัดหลวงพ่อก็ให้โกนหัว แล้วก็ให้นุ่งกางเกงสีคล้ายจีวร เป็นสีกัดคล้ายๆ จีวร ใส่เสื้อคอกลมเป็นเครื่องหมาย แล้วก็ไม่ให้มีสตางค์ใช้ ไม่ต้องมีสตางค์ มีข้าวให้กิน มีที่อยู่ให้อยู่ ให้หลับให้นอน ให้อยู่วัด อยู่ปีหนึ่ง อยู่ปีหนึ่งแล้วก็ให้บวช บวชแล้วบวชปีหนึ่งแล้วก็มาลาสึก ถามว่า-เธอจะสึกไปทำอะไร? ผมจะไปเรียนมหาวิทยาลัยรามคำแหง เรียนกฎหมาย จะไปเรียนกฎหมายมหาวิทยาลัย แต่เธอต้องอยู่วัด เป็นนักศึกษารามคำแหงแต่ต้องอยู่วัด เขาก็ไปเรียน ไม่เหลวไหลตั้งใจเรียน แล้วก็น้าก็มารับเอาไปอยู่บ้าน เขาเรียน ๓ ปีครึ่ง สำเร็จวิชานิติศาสตร์ แล้วก็ไปเรียนต่อเนติบัณฑิตได้เนติบัณฑิต เดี๋ยวนี้ เป็นนิติกรอยู่ธนาคารไทยพาณิชย์ ไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ไม่เหลวไหล เป็นคนดีคนหนึ่งในสังคมที่เหลวไหลของกรุงเทพ นี่ ก็เรียกว่า เขาเกิดใหม่ เด็กคนนี้มาเกิดใหม่ มาเกิดใหม่ มีชีวิตใหม่ ได้พบธรรมะ ได้อยู่กับพระตลอดไป เดี๋ยวนี้เขาก็สบายเพราะไม่มีสิ่งชั่วร้ายอยู่ในใจของเขาต่อไป
เราที่เป็นเด็กหนุ่มเด็กสาวนี้ระวังหน่อย หนูนะ ระวัง เพราะอะไร? เพราะว่าเมืองกรุงเทพนี้มันอันตราย เขาจึงร้องเพลงว่า อย่าไปเลยบางกอก เพราะว่ามาบางกอกแล้วมันเสียผู้เสียคนนะ เพลงอย่าไปเลยบางกอกนั่นแหละ เขาแต่งเพลงไว้เตือนใจ เพราะว่าที่บางกอกมันมีความสนุกมาก สิ่งสนุกยั่วยวนใจนี้ดึงเราไปเป็นทาส มันดึงเราไปเป็นทาสนะไม่ได้ให้เป็นไท ไท นี้หมายความว่า มีใจเป็นอิสระอยู่เหนือความชั่ว ความชั่วไม่สามารถจะดึงใจเราให้ลงไปเป็นทาสอะไรได้ เราเอาตัวรอดเพราะเราเป็นไท แต่ถ้าเราพ่ายแพ้ต่อสิ่งยั่วยุ พ่ายแพ้ต่อรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสที่น่าเพลิดเพลินเจริญใจ เราก็ไหลไปกับสิ่งนั้นไม่ได้เล่าไม่ได้เรียน สนุกเพลิดเพลินไป ขอสตางค์พ่อ-แม่ ถ้าว่าอยู่ต่างจังหวัดพ่อ-แม่ก็ส่งมานึกว่าลูกมาเรียนหนังสือ ส่งมาด้วยประการต่างๆ เอาเงินมาให้ ลูกเรียนไม่สำเร็จเพราะไปเที่ยวเสียมากกว่า แล้วเวลากลับบ้านไม่กลับคนเดียว กลับ ๓ คน คือมี ๒ คนนะแต่ว่าอีกคนหนึ่งอยู่ในท้อง เอาไปด้วยเอาไปให้พ่อเลี้ยงต่อไป
นั่นนะ หลวงพ่อรู้จักกับครอบครัวนี้เลยถามว่า-น้า ลูกชายที่ไปเรียนกรุงเทพนั้น มันกลับแล้วหรือ? กลับมาแล้ว / จบอะไรเล่า? / ไม่จบอะไรหรอกแต่มันมาเพิ่มเป็น ๓ คน มันไป ๑ กลับมา ๓ นะ เรียกว่าได้กำไร มันก็จริงเหมือนกันนะ หากำไรไปให้คุณพ่อ กำไรที่ทำให้คุณพ่อต้องปวดหัวอยู่ตลอดเวลา แล้วก็เป็นคนที่ไม่เอาไหน คอยแต่จะขายทรัพย์สมบัติของพ่อ พ่อนี้เป็นคนดี มาวัด ถือศีล ฟังธรรม อยู่ได้จนถึงอายุ ๙๙ ปีเวลาตายนี้อายุ ๙๙ แล้ววันที่ตายก็เป็นวันพระด้วย แกก็ไปทำหน้าที่ที่วัด ตอนเช้าก็ไปวัดนำญาติโยมไหว้พระสวดมนต์ แล้วก็นั่งฟังธรรมจนจบ แล้วก็รับประทานอาหาร พอรับประทานอาหารเสร็จแล้วก็บอกว่า มันชักจะง่วงๆนะ ขอกลับก่อน อุบาสก อุบาสิกาก็บอกว่า วันนี้ผมชักจะง่วงๆ อยากจะกลับบ้านแล้ว เลยกลับไปบ้านไปนอน นอนเลยไปเลยไม่ลำบาก ตายง่ายดี แล้วก็ตายวันพระด้วย
ทรัพย์สมบัติแกก็พอกินพอใช้ แต่ลูกคอยขายเรื่อย ขายเรื่อย มีนาอยู่แปลงหนึ่งที่สวย หลวงพ่อขออนุญาตว่าถ้าฉันไม่อนุญาตแล้วขายไม่ได้นะ ก็อยู่มา ๒-๓ ปียังไม่ได้ขาย แต่ต่อมาลูกมันทำหนี้ทำสินรุงรังไปหมด เลยเขียนจดหมายมาบอกว่า ไอ้นาแปลงที่ท่านเจ้าคุณขอไว้นั้นทนไม่ได้แล้ว เพราะลูกมันเดือดร้อน มันไปทำความเดือดร้อนไว้ให้ ถ้าไม่ขายให้มันแล้วมันจะไปกันใหญ่ มันจะติดคุกติดตารางแล้ว สงสารมัน / เฮ้อ! สงสารไม่เข้าเรื่อง! ก็เลยอนุญาตว่าขายได้ ก็เลยขาย พอขายนาผืนสุดท้ายไม่เท่าไรก็ตายเท่านั้นเอง
ตายเมื่ออายุ ๙๙ ปีกว่าเกือบครบร้อยนะ แล้วแข็งแรงเดินมาวัดทุกวันพระ ที่วัดจะทำอะไรก็จะไปในตลาดไปเที่ยวบอกเขาตามร้านขายของในจังหวัดพัทลุงนะ เที่ยวบอกทุกร้าน เขาก็ให้ทุกร้านเพราะคนในตลาดคุ้นเคยกับแก ใครตาย ใครแต่งงาน ใครขึ้นบ้านใหม่ต้องใช้แกทั้งนั้น ให้ไปช่วยนิมนต์พระ ไปยืมข้าวยืมของ จึงเป็นคนที่ในตลาดรู้จักมักจี่ ต้องการอะไรไปบอกเขาก็ให้ เป็นคนดีคนหนึ่งแต่ว่าไม่สมบูรณ์เพราะว่าลูกไม่ไหว ไม่ได้ทำหน้าที่สอนลูก ลูกก็เสียตนไป-ไม่ได้เรื่อง ขายทรัพย์สมบัติพ่อหมดเลยไม่มีเหลือ นี่ มันเป็นอย่างนั้นเพราะไม่ได้รู้จักคุณค่าของความเป็นคน ไม่ได้เข้าใกล้พระเหมือนพ่อ พ่อนี่ใกล้พระมากแต่ลูกมันไม่เข้าใกล้ มันห่างพระ
นี่ พวกเราที่มาอยู่กรุงเทพนี้ ถ้าเป็นคนกรุงเทพ เกิดกรุงเทพ เติบโตกรุงเทพ เอาดีไม่ได้มันก็แย่เต็มที เพราะว่าเราอยู่ในที่เจริญ อยู่กับที่เหมือนกับว่าหนูมันอยู่ใกล้ถังข้าวสาร แต่มันไม่กินข้าวสาร มันผอมจนตายนะไอ้หนูตัวนั้น ไอ้หนูตัวนั้นมันหนูจัญไรแล้ว มันใช้ไม่ได้แล้วเพราะมันอยู่ใกล้ข้าวสารแต่มันไม่กิน มันผอมตาย-นี่มันใช้ไม่ได้ คนโบราณเขาถึงว่า-หนูตกถังข้าวสาร หมายความว่า มันตกลงไปในถังข้าวสารมันจะกินเสียเท่าไหร่ก็ได้ สบาย หมายความว่า คนไปมีบุญนะนั่น ไปอยู่กับครอบครัวที่เขาร่ำรวย เช่นว่า ผู้ชายไปแต่งงานกับลูกสาวคนรวย เขาก็ว่า ไอ้นั่น มันตกถังข้าวสารไปแล้ว หรือผู้หญิงไปได้ผัวร่ำรวย ก็เรียกว่ามันตกถังข้าวสาร ถ้ามันรู้จักทำข้าวสารให้มีประโยชน์-มันก็เจริญนะ แต่ถ้ามันเอาข้าวสารไปขายทุกวัน ทุกวัน มันก็ฉิบหายอีกเหมือนกัน เอาตัวไม่รอด-นี่มันเป็นอย่างนั้น ชีวิตมันเป็นอย่างนั้น
ทีนี้ เราต้องคิดบ่อยๆ ถามตัวเองว่า ตื่นขึ้นแต่เช้าก่อนจะอะไร นั่งสงบจิตสงบใจ ไหว้พระสวดมนต์เสียหน่อย นึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ นึกถึงคุณพ่อ-คุณแม่ที่เกิดเรามา เลี้ยงเรามา ลำบากเหลือเกินนะคุณพ่อ-คุณแม่นี่ ลำบากเหลือเกินที่จะให้ลูกเจริญก้าวหน้า ทำงานอาบเหงื่อต่างน้ำนะ ถ้าเป็นคนในชนบท เป็นคนชาวนานะทำงานอาบเหงื่อต่างน้ำเพื่อส่งลูกให้มาเรียนหนังสือกรุงเทพ มีอะไรก็ขาย มีวัวขายวัว มีควายขายควายเพื่อให้ลูกได้มาเรียนหนังสือ ช่วยเหลือลูกด้วยประการต่างๆ แต่ลูกมันไม่คิดนะ คิดไม่ได้ เมื่อคิดไม่ได้มันก็เที่ยวเตร่ พอมาถึงกรุงเทพรู้ว่ากรุงเทพสนุก มันก็เที่ยวเตร่เพลิดเพลินสนุกสนานไปกับความเจริญแผนใหม่ของกรุงเทพ เสียคนไปเลย ไม่ได้เรียน ไม่ได้เล่าเรียน ไม่ได้ ไม่ได้ อย่างนี้เสียหาย
อันนี้เราเกิดอยู่กรุงเทพ ถ้าไม่มีความก้าวหน้าในการศึกษาเล่าเรียนก็ไม่ได้เรื่อง ใกล้เกลือ กินด่าง เขาพูดว่าใกล้เกลือ กินด่าง มีเกลือแต่ไม่กินเกลือแต่ไปกินด่าง กินด่างนี้มันตายนะ ด่างนี่มันเป็นของเป็นพิษนะ ใครกินเข้าไปมันก็ลำไส้ บาดลำไส้ตายทั้งนั้น ใกล้เกลือ กินด่าง มันไม่ได้ มันต้องกินเกลือถึงจะเป็นประโยชน์ เราอยู่ในที่เจริญก็ต้องทำตนให้เจริญ ต้องดูคนอื่นเขาบ้าง ดูคนอื่นเขาว่าเขาทำอะไร? เขาดำเนินชีวิตอย่างไร? ทำไมเขาจึงเจริญก้าวหน้า? แล้วเราควรจะทำอย่างไร? เอาอย่างเขา ตื่นเช้านั่งคิดพิจารณา ถามตัวเองนะ ไปถามที่กระจกเงาดูจะได้เห็นหน้าของตัวด้วย ไปยืนที่หน้ากระจกแต่งผม แต่งหน้า แต่งไปก็ไม่ว่าอะไร แต่งให้พอไปได้ แล้วเราถามตัวเองว่า นี่ แต่งไปแต่งมานี่แกรู้ไหมว่าแกเกิดมาทำไม? รู้ไหมว่าเกิดมาทำไม? แกมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร ไอ้สิ่งดีที่สุดที่แกควรทำในโลกนี้ได้ทำสิ่งนั้นแล้วหรือยัง? ได้ทำสิ่งที่ดีที่สุดแล้วหรือยัง? ถาม-หาคำตอบให้ถูกต้อง
ถ้าเราถามตัวเองแล้ว-ตอบถูกต้อง-สอบไล่ได้ สอบไล่ได้ สอบไล่ได้ หมายความว่า ชีวิตเจริญก้าวหน้า-สอบไล่ได้ แต่ถ้าเราตอบไม่ถูก-ตกเลย พลิกแพลงเลย ตกเลย เพราะอะไร? เพราะว่าเราเกิดมาเพื่อกินนี่ เกิดมาเพื่อเล่นนี่ เกิดมาเพื่อสนุกไปวันหนึ่ง วันหนึ่ง แล้วเกิดมาเพื่อขอสตางค์คุณแม่ไปเที่ยวไปเล่นไปสนุกนี่ ถ้าตอบอย่างนั้นแล้วก็ตก-ผิดความหมาย เขาเรียกว่ามีความคิดผิด มีความคิดผิด-ชีวิตตกต่ำ ไปไม่รอด เสียผู้เสียคน ให้เกิดในครอบครัวที่มีสตางค์ก็เอาตัวไม่รอด เพราะคิดผิด คิดว่าเกิดมาเพื่อกิน เพื่อเล่น เพื่อความสนุกสนานเฮฮาไปวันหนึ่ง วันหนึ่ง แล้วก็ไม่ได้มีเป้าหมายที่ถูกต้อง ไม่ได้ตั้งใจหาวิชาความรู้ใส่ตัว เหลวไหล ชีวิตก็ไร้ค่า ไร้ความหมาย อย่างนี้สอบตก ไม่ได้เรื่องอะไร เสียหาย
เราอย่าเป็นคนสอบตก แต่ต้องเป็นคนที่ต้องสอบไล่ได้ คะแนนดีด้วย คะแนนดีก็ต้องบอกตัวเองว่า ฉันเกิดมาเพื่อทำหน้าที่ เกิดมาเพื่อทำหน้าที่ การทำหน้าที่นั่นแหละเขาเรียกว่า ประพฤติธรรม ที่พระท่านสอนว่า ประพฤติธรรม ประพฤติธรรมนั้นก็หมายความว่ารู้จักหน้าที่และทำหน้าที่ของตัวให้ถูกต้อง เราต้องทำหน้าที่ลูกที่ดีของพ่อ-แม่ ลูกที่ดีของพ่อ-แม่คือลูกที่เชื่อฟังพ่อ-แม่ ไม่ทำอะไรให้พ่อ-แม่เดือดเนื้อร้อนใจ ถ้าหากว่าเราทำอะไรให้พ่อ-แม่เดือดเนื้อร้อนใจนี้ เราเป็นลูกอกตัญญู ไม่รู้คุณพ่อ-แม่ ทำให้พ่อ-แม่เป็นทุกข์มันก็ไม่ถูกต้อง เราควรจะทำอะไรให้พ่อ-แม่สบายใจ
ในฐานะที่เราเป็นเด็กอยู่ในวัยของการศึกษาเล่าเรียน พ่อ-แม่สบายใจว่าลูกเรียนหนังสือก้าวหน้า ลูกมีความประพฤติดี ประพฤติชอบ ไม่เหลวไหล ไม่คบเพื่อนชั่ว ไม่สูบบุหรี่ ไม่ไปเที่ยวอยู่ตามซุปเปอร์มาร์เก็ต ซุปเปอร์มาร์เก็ตนี่นักศึกษาเดินเยอะนะ หลวงพ่อไปบางคราวเห็นนักเรียนมาซื้ออะไรกันมากมาย จริงๆ ไม่ได้ซื้ออะไรหรอก เดินเฮไปเฮมา เฮไปเฮมาก็ต้องหิวนะ พอต้องหิวก็เข้าร้านขายเครื่องดื่ม สั่งมาดื่มกัน กินกันไป-ไม่เรียนหนังสือ พอถึงเวลาโรงเรียนเลิกก็กลับบ้าน คุณแม่ก็นึกว่าไอ้หนู อีหนูของแม่มันไปโรงเรียน แต่ความจริงมันไปเรียนที่ซุปเปอร์มาร์เก็ต
นี่มันเริ่มเสียคนแล้วนะถ้าไปอย่างนั้น เรียกว่า ไม่รู้จักหน้าที่แล้ว ไม่ทำหน้าที่ของตนให้ถูกต้อง โตขึ้นจะกินอะไร? โตขึ้นจะทำงานอะไร? จะอยู่อย่างไร? เราถามตัวเอง มาแต่เดินๆอยู่นี่มันจะแก่เปล่านะ มันจะตายเปล่านะ ชีวิตมันจะไม่มีค่าไม่มีราคานะ ถ้ากูเดินอยู่อย่างนี้ นึกได้ นึกได้ก็อย่าไปเดิน ไปโรงเรียนดีกว่า ขยันเรียน เอาใจใส่เรียนให้ทันเพื่อน ให้มีความรู้สมชั้น ถึงเวลาสอบก็ต้องสอบได้ด้วยลำแข้งของตัวเอง ไม่ใช่ไปให้เพื่อนช่วยคัด ช่วยลอกให้ หรือว่าใช้วิธีการสมัยใหม่ เดี๋ยวนี้เขาเก่ง เจริญ เวลาสอบเข้ามหาวิทยาลัยนะ มีคนคอยบอกมา มีเครื่องรับเรียบร้อย คำถามมาก็ตอบให้เขียนอย่างไร เดี๋ยวนี้เขาจับได้นะ จับได้ก็หมดสิทธิ์ที่จะได้ศึกษาเล่าเรียนต่อไป-ทันสมัน นี่แหละ อันนี้เรียกว่า โกงทันสมัย ไอ้พวกนี้ถ้าหากไปเป็นผู้หลักผู้ใหญ่มันก็โกงอีกแหละ ตอนมันเป็นเด็กนักเรียนมันก็โกงอยู่แล้ว เข้ามหาวิทยาลัยก็โกงแล้ว มันไปทำงานก็โกงต่อไป นิสัยเสีย ไม่ได้เรื่อง ไม่เป็นคนเจริญก้าวหน้าในชีวิตในการงาน เสียหาย ทางการเขาก็พยายามจับจนได้นั่นแหละ พอจับได้ก็ถูกลงโทษ แต่ก็มีทุกปีแหละ พวกนักศึกษานี่ เรียนอ่อนแล้วก็ไปขอให้คนอื่นช่วย
มีนักเรียนบางคนไปเที่ยวฝาก ไอ้คนที่ชอบฝากเด็กเข้าเรียนนี้ก็เป็นคนทำลายประเทศชาติเหมือนกัน โดยเฉพาะนักการเมืองนี้ชอบฝากลูกหัวคะแนน ไอ้ลูกหัวคะแนนนี้มันก็ไม่เอาถ่าน ไม่สนใจการเรียนนึกว่าพ่อมันเก่งเลยให้พ่อฝาก ไม่ได้เรื่อง ไอ้เด็กฝากนี่ไม่ได้เรื่องนะ มันไม่ได้เรียนดีอะไรหรอก เรียนๆ ไปมันก็ตก ก็หล่นไป มันเน่าของมัน มันไปไม่รอดเพราะมันไม่รู้จักช่วยตัวเอง ไม่รู้จักพึ่งตัวเอง แต่ว่าผู้แทนราษฎรนั้น หรือเป็นรัฐมนตรีที่ชอบส่งบัตรไปฝากคนนั้น คนนี้นะ ส่งเสริมความเหลวไหลของประเทศชาติทั้งนั้น ส่งเสริมให้เด็กเสียผู้ เสียคน เป็นคนใช้ไม่ได้ มาพบนักการเมืองเคยถามเขาว่า คุณฝากเด็กปีละเท่าไหร่? แล้วเด็กที่คุณฝากนั้นมันได้กี่คนนะ? การกระทำอย่างนั้นมันช่วยชาติไหม? ช่วยประเทศไหม? ไม่ได้ช่วยชาติช่วยประเทศแต่ช่วยตัว ช่วยตัวเอง เพราะไอ้พ่อเด็กคนนั้นมันเป็นหัวคะแนน มันช่วยหาคะแนนให้ ช่วยเอาเงินไปแจกกันซื้อเสียง ซื้อสิทธิ์กันได้มา ไม่ได้เรื่องนะไอ้คนพวกนี้ ไม่ได้เรื่อง ทำให้ประเทศชาติเสื่อมลง เสียหาย ไม่สมควรกระทำเช่นนั้น ไม่ควรฝาก
เด็กมาจากปักษ์ใต้มาพักที่วัดนี้ แล้วก็มาให้หลวงพ่อช่วยฝาก ก็มาสอบอย่างนี้ เข้ากรมชล โรงเรียนชลประทานนี้แหละ มาบอกให้หลวงพ่อช่วยฝาก ฝากอย่างไร? ฝากให้เขาได้บอกว่าช่วยผมด้วย-บอกว่าไม่ได้ ฉันทำอย่างนั้นไม่ได้ เหมือนกับทำลายเธอ เธอต้องช่วยตัวเอง พึ่งตัวเอง เธอต้องเรียน-ไปสอบ ถ้าสอบได้เธอได้เข้า-มันภูมิใจ แต่ถ้าว่าได้เข้าเพราะว่าฉันฝาก เธอก็ไม่ได้ภูมิใจแก่ตัวเองเท่าไหร่ ฉันไม่ฝาก ฉันสงสารเธอ ฉันไม่ฝาก เพราะถ้าฉันฝากฉันจะทำให้เธอเสียหาย เธอต้องเรียน มาเรียน เรียนกวดวิชา อ่านหนังสือที่เขาจะสอบ สอบให้ได้ บางคนมันก็สอบได้นะ เก่งนะ แต่บางคนสอบไม่ได้แล้วมันมาบอกว่า ผมสอบไม่ได้ อ้าว สอบไม่ได้ก็กลับบ้านสิ ไปทำงานอะไรที่บ้านต่อไป อย่ามาเที่ยวทะเหลทะไหลอยู่กรุงเทพ ไป กลับบ้าน ช่วยมันอย่างนั้น เราไม่ช่วยให้มันอ่อนแอ การช่วยคนนี้จะต้องช่วยให้เขายืนด้วยตัวของเขาได้ ถ้าช่วยแล้วเราต้องพยุงอยู่ตลอดเวลาจนไม่ต้องทำอะไร มัวแต่พยุงไอ้คนปัญญาอ่อนคนนั้นอยู่ แล้วมันจะก้าวหน้าได้อย่างไร? นี่ มันเป็นอย่างนี้ พ่อ-แม่ก็เหมือนกันนะต้องช่วยลูกให้รู้จักช่วยตัวเอง สอนลูกให้รู้จักช่วยตัวเอง อย่าสอนให้อ่อนแอ ให้ไม่รู้จักพึ่งตัวเอง ต้องบอกเขาให้เข้าใจว่าลูกต้องขยันเรียน ต้องเอาใจใส่ ต้องช่วยตัวเอง
พ่อมันอยู่วัดกินข้าวก้นบาตร เรียนหนังสือเก่ง พอได้มาทำงานทำการได้เป็นผู้ว่าราชการจังหวัด-ลูกไม่เก่ง เพราะมันเป็นลูกชายผู้ว่าฯ เป็นลูกชายปลัด เป็นลูกชายนายอำเภอมันเรียนหนังสือไม่เก่ง บอกว่าเธอนี่มันใช้ไม่ได้-บอกกับพ่อ เธอไม่เอาระบบเธอมาใช้ เธอคิดผิด คิดว่าเรานี้ลำบาก มาชั้นลูกอย่าให้มันลำบากเลย ให้มันสบายหน่อย นั่นแหละ ตัวเสียหายแล้ว ไอ้พ่อที่คิดว่าจะให้ไม่ลูกลำบากนั่นคือตัวเสียหาย เพราะความลำบากมันสร้างคนนะ พวกหนูจำไว้ว่าความลำบากมันสร้างคนนะ ไอ้ความสบายนี้มันทำลายคนทั้งนั้น ให้เราอ่านชีวิตรัฐบุรุษนั้น คนเก่งๆ ของโลกนะล้วนแต่เป็นคนลำบากทั้งนั้น ที่เก่งนั้นลำบากทั้งนั้น ถ้าไม่ลำบาก-ไม่เก่ง คนเกิดมาสบายไม่เก่งเท่านี้ ไม่มีชื่อเสียง แต่คนที่เกิดมาลำบากเขาต่อสู้กับชีวิต เขาสู้จนพ้นความลำบากตั้งเนื้อตั้งตัวได้เป็นคนสำคัญของโลก ประธานาธิบดีลินคอล์นของอเมริกาเป็นประธานาธิบดีคนเดียวที่ยากจน ไม่ได้เข้ามหาวิทยาลัย เรียนหนังสือเอาเอง เรียนกฎหมาย เพราะว่าไปเห็นหนังสือกฎหมายที่คนขายของเก่าเขาซื้อมา
เหมือนบ้านเราเจ๊กขายขวดนั่นแหละ เที่ยวหาบตะกร้า ๒ ใบ มีขวดมาขาย ราวกับว่าตัวแกเอาขวดมาขาย แต่ตามจริงคนอื่นเอาขวดมาขายแก แต่แกพูดภาษาไทยเป็นอย่างนี้ มีขวดมาขาย อย่างนั้นแหละ แล้วก็เที่ยวร้องขวดมาขายนะ กลายเป็นบริษัทเบียร์ต้องไปซื้อขวดกับแก บริษัทแป๊บซี่ บริษัทโคล่า ต้องไปซื้อขวดกับคนที่มีขวดมาขายนี่ แกเป็นเถ้าแก่ใหญ่นะ เวลาเย็นๆออกมาเปิดเสื้อยืดเอาพัดลมเป่าพุงอยู่นั่นเถ้าแก่ ลูกเถ้าแก่นั่งอยู่ในห้องแอร์ไม่ได้ทำงาน ทำไมเถ้าแก่มานั่งอยู่ที่โต๊ะตัวเก่าๆ ลูกนั่งที่สบาย? นั่นมันลูกเถ้าแก่ ไอ้ฉันมันลูกคนจน แกก็พูดเป็นปริศนาว่า ฉันนั้นมันลูกคนจนแต่ว่าไอ้นั่นมันลูกเถ้าแก่ มันสบาย นี่ มันเป็นอย่างนั้น
ลูกคนจนนี่มักเก่ง เกิดมาจนนี่ไม่ต้องกลัว พวกหนูนี่ถ้าสมมติว่าลำบากก็อย่ากลัว ทำดีแล้วก็จะมีคนช่วย แต่ถ้าเราท้อแท้อ่อนแอไม่รู้จักช่วยตัวเอง ใครจะมาช่วยเรา เราต้องช่วยตัวเอง-ต้องพึ่งตัวเอง ลินคอล์นแกจน แกเห็นหนังสือที่ซื้อมาของเก่า- กฎหมายของอเมริกา แกเลยซื้อ เล่มละเหรียญหนึ่งก็ไม่ได้มากอะไรของเก่านี่ เอามานั่งนอนอ่าน อ่าน อ่าน แล้วก็ไปสอบได้นะ สอบกฎหมายได้ไปว่าความ ไปว่าความอยู่ที่เมืองสปริงฟิลล์ เมืองหลวงของรัฐอิลลินอยส์ ต่อมาก็สมัครเป็น Governor เป็นเจ้าเมืองนะ แข่งกับลูกเศรษฐีนะ ไอ้ลูกเศรษฐีตัวเตี้ย ลินคอล์นตัวสูง ลินคอล์นพูดเก่ง-คนเลือกลินคอล์น ต่อมาก็สมัครเป็นประธานาธิบดีของพรรค ได้เป็นประธานาธิบดี เป็นประธานาธิบดีที่ทำงานอย่างเก่ง เลิกทาสเลย เลิกทาสในอเมริกา ออกกฎหมายเลิกทาส มีเกียรติ ตายแล้วเขาสร้างรูปใหญ่นั่งอยู่กรุงวอชิงตัน เรียกว่า Lincoln Temple เมือง สปริงฟิลล์ มี ...... (49.20) สูง ...... ประชาธิปไตยที่หน้าถนน หน้าโรงพยาบาลผู้หญิงสมัยก่อนนั้น คนไปดูทุกวัน คนพาลูกไปก็อุ้มลูกให้ลูบจมูกลินคอล์น จมูกลินคอล์นเป็นแววเพราะได้ลูบทุกวัน ทุกวัน นั่งสูงหน่อยก็อุ้มลูกไปลูบ เรียกว่าลูบทุกวัน จนจมูกแววเลย-นั่นคนเก่ง
เก่งมาจากความลำบากนะ พระพุทธเจ้าของเราถ้าอยู่ในวัง พระพุทธเจ้าก็กลายเป็นเจ้าแผ่นดินไม่มีชื่อ พอตายแล้วก็หมดชื่อนะไม่มีชื่อมาจนบัดนี้หรอก แต่ว่าที่มีชื่อเพราะอะไร เพราะท่านทิ้งวังออกไปอยู่ในป่า นอนกลางดินกินกลางทราย นุ่งผ้าเก่าๆขาดๆ กินอาหารจากการบิณฑบาตจากคนยากคนจน แต่ว่ามุมานะ ศึกษา ค้นคว้าธรรมะจนสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า ทำอยู่ตั้ง ๖ ปีนะไม่ใช่เล็กน้อยนะ ศาสดานี้อื่นไม่ได้ขวนขวายมากขนาดนั้น สอนง่ายๆ สอนธรรมดาไม่ยากเย็นอะไร แต่พระพุทธเจ้าท่านคิดค้นมาก เพราะคนอินเดียเจริญด้วยความคิดในสมัยนั้น เจริญกว่ายุโรปนะ พวกยุโรปยังเที่ยวลากหอกแทงสัตว์กินกันอยู่เลย แต่อินเดียเจริญแล้วมีคุณธรรมสูงแล้ว ...... (50.50) ได้เป็นพระพุทธเจ้า ได้เป็นพระพุทธเจ้าเพราะความลำบาก ไม่ใช่เพราะความสบาย ถ้านั่งอยู่ในปราสาทในวังก็ไม่มีชื่ออะไร ตายแล้วก็หมดชื่อไม่ปรากฎอยู่ในประวัติศาสตร์โลก นี่เพราะออกไปจึงมีชื่อจนกระทั่งบัดนี้มา- ความลำบาก
คนเก่งๆ นั้นมาจากความลำบาก สู้มาทั้งนั้น ไม่ใช่เป็นคนสบาย ไอ้ความลำบากมันสอนคนนะพวกเธอทุกคนจำไว้ ถ้าเราลำบาก พ่อ-แม่ลำบาก เราต้องสู้เพื่อเอาตัวให้รอด ต้องขยันเรียน ต้องเอาใจใส่ อย่าไปเที่ยวเล่นกลางค่ำกลางคืน อย่าไปเดินเที่ยวเหม่อ เที่ยวมองป้าย เดินไปหน้าร้าน หน้าบาร์ ไนท์คลับ ไปเที่ยวมองว่าเมื่อไหร่กูจะได้เข้าไปฉิบหายกับพวกนี้เสียทีหนอ? มันไม่ได้เรื่องอะไร ไปเที่ยวเดินอย่างนั้นมันจะได้เรื่องอะไร ไม่ใช่หน้าที่ หน้าที่มันต้องอยู่กับหนังสือตำหรับตำรา ค้นคว้า
เพื่อน นี่ สำคัญนะพวกเธอจำไว้ เพื่อนนี่สำคัญ-อย่าคบเพื่อนเหลวไหล เพื่อนที่จะจูงเราไปเสพสิ่งเสพติด มึนเมา ชวนเราไปบ่อนการพนัน ชวนเราไปหาโรคเอดส์ ชวนเราให้ใช้สตางค์เปลือง ชวนเราให้เกียจคร้านแล้วพวกนี้-อย่าเข้าใกล้ อย่าเข้าใกล้เป็นอันขาดเพื่อนประเภทนั้น รังเกียจเหมือนรังเกียจกิ้งกือ ไส้เดือน เพราะมันจะทำให้เราเสียคน เราต้องคบคนที่เก่งกว่าเรา พระพุทธเจ้าบอกว่า ถ้าไม่ได้เพื่อนที่ดีกว่าเรา-อยู่คนเดียว ไปคนเดียว แต่ถ้าได้เพื่อนที่ดีก็คบกันไว้นานๆ เพื่อนดีมีปกติสอนเรา เตือนเราให้รู้จักผิด-ชอบ-ชั่ว-ดี แต่เพื่อนล้ม เพื่อนสนุก เพื่อนประจบมันก็ชวนเราไปเที่ยว เอ้า! วันนี้ไปเที่ยวไหน? ก็เที่ยวโน่น เที่ยวนี่สนุกไป ไปเดอะ มอลล์ไหม? ไปโรบินสันไหม? ไปฟิวเจอร์ พาร์คไหม? เพื่อนอย่างนั้นมันไม่ได้เรื่อง ชวนเราให้เหลวไหล ให้ไปเดินจนแก่เปล่า ตายเปล่าไม่ได้เรื่องอะไร
ฟังๆ แล้วก็จำๆ ไว้บ้าง ลูกเอ๋ย อนาคตของชาติมันอยู่ในมือของพวกเธอนะ เวลานี้เด็กอายุ ๑๘ เขาให้เลือกผู้แทนได้แล้ว เลือกได้แล้ว ฉันก็ยังไม่ไว้ใจเด็ก ๑๘ ยังไม่ได้เรื่อง แต่ถ้าให้เลือกได้ก็ดีแล้ว เรามันต้องเคารพตัวเอง ต้องเคารพตัวเอง ต้องไม่ทำตัวเองให้ตกต่ำจึงจะใช้ได้นะ อันนี้เป็นข้อเตือนใจของหลวงพ่อ ไปเอาเทป ตลับเทปไว้เอาไปฟังอีก เอาไปแจกเพื่อนบ้างก็ได้ เป็นของขวัญวันเกิด มันเกิดทุกวัน เอาไปให้มันได้ยินได้ฟังเสียบ้างจะได้รู้สึกตัว จะได้เกิดใหม่กันเสียบ้าง
นี่ เอาละ วันนี้พูดมาก็สมควรแก่เวลา ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ ต่อนี้ไปก็นั่งสงบใจ นั่งสงบใจในพวกเราที่เป็นนักศึกษา จะมานั่ง นั่งตัวตรง หลับตาไม่ให้มันฟุ้งซ่าน แล้วก็กำหนดลมหายใจเข้า-หายใจเข้ากำหนดรู้ รู้ตามลมไป หายใจออกกำหนดรู้-รู้ตามลมเวลาออก ให้สติมาอยู่ที่ลมเข้า-ลมออก อย่าให้ไปไหน แต่มันต้องเผลอ-มันเคย แต่พอรู้เข้าแล้วก็บอก เอ้า กลับมาอยู่ตรงนี้ คงไว้ให้อยู่กับลมเข้า-ลมออก แบบนี้ทำได้ทุกเวลา ทำในห้องเรียนก็ได้ หรือทำในรถโดยสารก็ได้ นั่งรถโดยสารเราก็นั่งกำหนดลมหายใจไป ถ้าไม่อย่างนั้นก็เอาหนังสือมานั่งอ่านไป ไม่ให้มันเสียเวลา อ่านหนังสือหนังหาไปตามเรื่อง อย่างไหนไม่สบายใจก็กำหนดลมหายใจ หายใจเข้ายาวๆ ออกยาวๆคอยกำหนดแล้วจิตใจจะดีขึ้น วิธีง่ายๆทำให้เกิดประโยชน์ได้
ต่อนี้ไปก็ขอเชิญญาติโยมนั่งสงบใจเป็นเวลา ๕ นาที