แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ญาติโยม พุทธบริษัททั้งหลาย ณ บัดนี้ ถึงเวลาของการฟังปาถกฐาธรรมะ อันเป็นหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนาแล้ว ขอให้ทุกคนอยู่ในอาการสงบ ตั้งอกตั้งใจฟังด้วยดี เพื่อให้ได้ประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการฟังตามสมควรแก่เวลา ขณะนี้ประเทศไทยเรามีความเศร้าโศกเสียใจ ในการที่บุคคลสำคัญคนหนึ่งของชาติได้ถึงแก่กรรม คือสมเด็จย่าได้สวรรคตไป ความจริงการสวรรคตของสมเด็จย่าก็เป็นเรื่องธรรมชาติธรรมดา เพราะว่าคนที่มีอายุมากแล้ว เมื่อเกิดโรคภัยไข้เจ็บก็รักษาลำบาก และผลที่สุดก็ต้องถึงแก่ความแตกดับเป็นเรื่องธรรมดา แต่ว่าการสวรรคตของสมเด็จย่าไม่ใช่เรื่องธรรมดา เป็นเรื่องที่กระทบกระเทือนจิตใจของคนไทยทุกถ้วนหน้า โดยเฉพาะคนไทยที่รู้จักความดี รักความดี บูชาความดี และเสียดายความดีกันอยู่นั้น ย่อมมีความกระทบกระเทือนทางจิตใจ เพราะว่าสมเด็จย่านั้น ท่านเป็นบุคคลที่เกิดมาเพื่อประโยชน์เพื่อความสุขแก่ผู้อื่นตลอดเวลา ฐานะการเกิดของท่านดั้งเดิมก็ธรรมดา คือเป็นลูกคนธรรมดา ทำมาหากินแบบชาวบ้าน อยู่จังหวัดนนทบุรี แต่ต่อมาได้ย้ายไปอยู่ที่ซอยข้างวัดอนงคาราม แล้วก็ได้เรียนหนังสือที่วัด แต่ว่าต่อมาก็ได้เข้าไปอยู่ในวัง ไปอยู่กับเจ้านายที่ในวัง กรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินธร ซึ่งเป็นพระพี่นางของสมเด็จพระราชบิดา ไปอยู่ที่นั่นชีวิตก็ผันผวนไปในทางที่เจริญก้าวหน้า แล้วก็ได้เข้าโรงเรียนนางพยาบาล ความจริงอายุยังไม่ถึงที่จะเข้าโรงเรียนได้ แต่ว่าเพราะได้ไปอยู่กับท่านผู้ใหญ่กรมขุนชัยนาทฯ ในสมัยนั้นได้เข้าโรงเรียนแพทย์ เพราะกิจการแพทย์ของเมืองไทยเราในเวลานั้น ผู้ที่ขวนขวายเพื่อให้กิจการแพทย์เจริญก็มีอยู่ ๓ ท่านด้วยกัน คือสมเด็จพระราชบิดา, กรมขุนชัยนาทนเรนทร แล้วก็หม่อมเจ้าฯ เจ้าของโรงเรียนที่เชิงสะพานนนท์ นึกชื่อไม่ออก (03.29) ท่าน ๓ ท่านนี้เป็นผู้ที่ขวนขวายมาก เพื่อให้จุดการแพทย์ (03.40) นางพยาบาลเจริญก้าวหน้า กรมพระชัยนาทฝากเข้าไปก็เลยได้เรียนได้ เรียนดี มีความก้าวหน้าในการศึกษาเล่าเรียน แล้วต่อมาสมเด็จกรมพระชัยนาทนั่นแหละ ท่านถามว่า “ เธอจะไปเรียนเมืองนอกดีไหม? ” ก็เลยได้ไปเมืองนอกได้ไปเรียนเมืองนอกโดยทุนสมเด็จพระราชบิดา ไปกันหลายคนในเวลานั้น สิบกว่าคน เป็นหมอบ้าง อะไรบ้าง ต่อมามีชื่อ ฟังไม่ออกค่ะ (04.15) เป็นต้น ได้ไปเรียนชุดเดียวกัน ไปเรียนที่เมืองบอสตัน เดินทางโดยทางเรือ ฟังไม่ออกค่ะ (04.26) เพราะสมัยนั้นเกิดสงครามโลกครั้งที่ ๑ ต้องไปทางตะวันออก จากกรุงเทพฯก็ไปสิงคโปร์ จากสิงคโปร์ก็ไปฮ่องกง จากฮ่องกงก็ไปญี่ปุ่น และลงเรือใหญ่ญี่ปุ่นเดินทางไปถึงเมืองซานฟรานซิสโก แล้วก็ขึ้นรถไฟข้ามทวีปอเมริกาไปที่เมืองบอสตัน ก็ได้ไปอยู่ที่เมืองบอสตัน ก็ได้พบกับสมเด็จพระราชบิดา และต่อมาก็ได้ทรงหมั้นนางสาวสังวาลนี่แหละเป็นคู่ครอง สมเด็จพระราชบิดาบอกว่า การแต่งงานของฉันนั้นไม่ได้เลือกบุคคล แต่เลือกคนที่มีคุณงามความดี ไม่ได้เลือกว่าคนเกิดที่นั่นเกิดที่นี่ เกิดสกุลนั้นสกุลนี้ แต่คนใดดีแล้วก็เหมาะที่จะเป็นคู่ครองได้ก็ใช้ได้ ท่านไม่ถือพระองค์ และได้ทรงอภิเษกสมรสกันที่กรุงเทพฯ ต่อมาก็ไปเรียนต่อ แล้วก็มีพระโอรส ๒ พระองค์ มีราชธิดาองค์หนึ่ง คือเจ้าฟ้า ยกฐานะเป็นกรมหลวงนราธิวาสราชภักดี (น่าจะเป็น กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์) (05.46) และพระองค์เจ้าอานันท์ (ในหลวงอานันท์) และในหลวงองค์ปัจจุบัน ชีวิตก็เปลี่ยนแปลงไป เมื่อสมเด็จพระราชบิดาสวรรคตก็ทำให้เกิดปัญหาพอสมควร เพราะว่าต้องเลี้ยงลูกให้ดี ท่านเป็นแม่ที่ดีของลูก ตั้งใจจะเลี้ยงลูกให้เป็นลูกที่ดี ไม่ได้คิดว่าลูกจะได้เป็นพระเจ้าแผ่นดินอะไร แต่คิดว่าต้องเลี้ยงให้ลูกมีความรู้ มีความสามารถ มีความประพฤติดี มีชีวิตเป็นประโยชน์แก่สังคมและประเทศชาติต่อไป ก็คิดว่าจะเรียนกันที่ไหนดี กรมพระชัยนาทนเรนทรก็แนะนำว่าให้ไปเรียนที่ประเทศสวิสเซอร์แลนด์เพราะอากาศดี ประเทศอังกฤษก็ดีเหมือนกันแต่มันชื้นไม่เหมาะกับเด็กตัวน้อย ตัวเล็กๆ ควรจะไปอยู่สวิสเซอร์แลนด์ เพราะอากาศที่นั่นเหมาะมาก ก็เลยไปอยู่สวิสเซอร์แลนด์ ก็ไปเช่าแฟลตอยู่ แฟลตนั้นก็ยังอยู่ อยู่จนบัดนี้ แต่ต่อมาเมื่อในหลวงอานันท์ได้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน ทางราชการก็ย้ายเพื่อให้สมเกียรติของพระเจ้าแผ่นดิน ได้ไปเช่าบ้านหลังหนึ่ง อยู่ริมทะเลสาปเจนนีวา เรียกว่าวัฒนาวิลล่า (07.18) ก็เป็นบ้านเฉพาะ แต่ว่าแฟลตนั้นก็ยังไม่ได้ให้ใคร ยังถือว่าเป็นกรรมสิทธิ์ใช้ เวลาในหลวงมาอยู่กรุงเทพฯท่านอยู่ที่โน่นก็ไปอยู่ที่แฟลตของท่าน
เมื่อสมัยที่ในหลวงอานันท์สิ้นพระชนม์ ปีนั้นหลวงพ่อเดินทางไปประเทศสวิสเซอร์แลนด์ แล้วก็ได้มีโอกาสไปเยี่ยมท่านที่ตำหนักที่แฟลตนั้นเอง อยู่ง่ายๆ (07.48) ห้องแคบๆ อยู่กับฝรั่งซึ่งเป็นคนใช้คนหนึ่งเท่านั้นเอง ในห้องรับแขกก็ไม่กว้างขวางอะไร ฟังไม่ออกค่ะ (07.58) แล้วท่านก็ออกมาสนทนาด้วย ท่านกำลังเรียนภาษาบาลี ก็อยากจะศึกษาค้นคว้าธรรมะในคัมภีร์พุทธศาสนา ที่มหาวิทยาลัยที่นั่น มหาวิทยาลัยโลซาน เค้าสอนภาษาบาลี ภาษาตะวันออก คือภาษาบาลี ภาษาสันสกฤต ท่านก็ไปเป็นนักเรียนกับเขาด้วย ได้เรียนภาษาบาลี แล้วก็ศึกษาต่อมามีความรู้พอสมควร ต่อมาเมื่อในหลวงอานันท์สวรรคตแล้ว ในหลวงรัชกาลปัจจุบันขึ้นครองราชย์ ท่านก็ประทับอยู่ที่นั่น ครั้นเมื่อในหลวงกลับไปศึกษาต่อ ท่านก็ดูแลให้เล่าเรียน คือการทำหน้าที่ของแม่ ท่านทำดีที่สุด ทำสมบูรณ์เรียบร้อย ห้ามลูกไม่ให้กระทำสิ่งชั่ว แนะนำลูกให้กระทำความดี ดูแลเรื่องการศึกษา เรื่องอาหารการบริโภคให้ถูกต้องตามหลักโภชนาการ เอาใจใส่ทุกประการเพื่อให้ลูกของท่านเป็นคนมีชีวิตเป็นประโยชน์แก่สังคมในกาลต่อไปข้างหน้า เมื่อได้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน ท่านบอกว่าเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ต้องเป็นพระเจ้าแผ่นดินที่ฉลาด มีความสามารถในการปกครองบ้านเมือง แล้วรู้จักใช้ชีวิต อำนาจให้เป็นประโยชน์เพื่อความสุขของประชาชนในเขตที่ทรงปกครอง เพราะฉะนั้นทรงอบรมมาในแนวนั้น จะเห็นได้ว่าพระเจ้าอยู่หัวของเรานั้นทรงปฏิบัติพระองค์อย่างไร การปฏิบัติของพระเจ้าอยู่หัวนั้นเป็นผลเนื่องมาจากการให้การอบรมของพระมารดา คือสมเด็จย่านั่นเอง ท่านให้การอบรมบ่มนิสัยให้เป็นคนที่มีคุณธรรมประจำจิตใจ เช่น มีความขยันในการปฏิบัติหน้าที่ มีความอดทน มีความตั้งใจจริง มีความเสียสละ มีความเมตตาปราณีต่อความทุกข์ยากของเพื่อนร่วมประเทศร่วมชาติ จึงได้ทรงปฏิบัติพระองค์ให้เป็นประโยชน์แก่สังคมอยู่ตลอดเวลา อันนี้เป็นผลงานของสมเด็จย่า ที่ได้ทำการอบรมบ่มนิสัยให้ในหลวงมีสภาพเช่นนั้น ความดีงามอันใดที่เราเห็นจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ความดีงามอันนั้นเป็นสิ่งที่สมเด็จย่าท่านเพาะลงไปในพระนิสัยของพระโอรสของท่าน เพื่อให้เป็นพระเจ้าแผ่นดินที่ดี มีคุณธรรมสูงในทางจิตใจ และได้ทำประโยชน์แก่ประเทศชาติสมศักดิ์ศรีของความเป็นเจ้าเป็นนายทุกประการ อันนี้เป็นผลงานที่เราทั้งหลายคิดแล้วก็ภูมิใจ ภูมิใจในผลงานที่พระองค์ได้กระทำไว้ ผลงานที่พระองค์ทรงกระทำนั้น ไม่ใช่เป็นประโยชน์เฉพาะลูกหญิงลูกชาย แต่ว่าเป็นประโยชน์แก่ชาติแก่ประเทศ เพราะว่าองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้น เป็นประมุขของชาติ เป็นประมุขที่มีความรักประชาชน ทรงเห็นความทุกข์ยากของประชาชนทุกหนทุกแห่ง ที่ใดมีความลำบาก มีความเดือดร้อนก็เสด็จไป อันนี้เป็นผลงานของพระมารดา คือสมเด็จย่าที่ได้ทรงกระทำด้วยความตั้งใจ ผลผลิตที่เกิดขึ้นในน้ำใจของพระเจ้าอยู่หัวนั้น เป็นผลผลิตที่งดงาม เป็นผลผลิตที่เราชาวไทยภูมิใจ แม้ชาวโลกทั้งหลายก็มีความภูมิใจ ด้วยพระจริยวัตรอันดีอันงามของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อเราเห็นว่าพระเจ้าอยู่หัวทรงดีงามเท่าใด ก็ต้องนึกไปถึงว่าผลดีนี้มาจากใคร ก็มาจากพระราชมารดา คือสมเด็จย่านั้นเอง สมเด็จย่าได้ทรงทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่าง เสียสละทุกอย่างเพื่ออบรมลูกชายที่จะให้เป็นพระเจ้าแผ่นดินที่ดีของชาติไทย ในเมื่อเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ และได้ผลดังที่เราได้เห็นปรากฏอยู่ในปัจจุบันนี้ พระชนมายุของสมเด็จย่าก็เจริญมาโดยลำดับ พระองค์เป็นผู้ที่อยู่ในสภาพที่เรียกว่าขยันขันแข็งต่อการปฏิบัติหน้าที่ตลอดเวลา ไม่ได้ทรงเบื่อหน่าย ไม่ได้ทรงเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าในการที่จะทำอะไรๆอันจะเป็นประโยชน์ เป็นความสุขแก่ผู้อื่น แม้เวลาที่ว่างจากหน้าที่การงาน พระองค์ก็ไม่ว่าง ทรงทำอะไรเล่นๆ เช่น เขียนภาพลงในกระเบื้องถ้วยชาม เป็นรูปดวงดาวและท้องฟ้า เพราะทรงสนพระทัยในเรื่องดาราศาสตร์ แล้วก็เขียนภาพต่างๆในถ้วยชามที่ยังไม่ได้เผา แล้วก็ติดต่อกับเจ้าของโรงงานเผากระเบื้องเพื่อเคลือบ ส่งไปให้เค้าเผาไว้ เอาไว้แจกคนที่มาหาท่าน เป็นของขวัญเป็นของพระราชทาน ทรงทำอยู่ตลอดเวลา บางทีก็ทรงนั่งถักไหมพรม ทำเรื่องนั้น ทำเรื่องนี้ ผลงานที่ทรงทำไว้นั้นก็ส่งออกมา เอาไปขายเพื่อเอาเงินมาเข้าโครงการกุศลที่ทรงตั้งไว้หลายสิ่งหลายอย่าง เป็นงานที่ทำในเวลาว่าง พระองค์ไม่ชอบอยู่นิ่งอยู่เฉยเพราะทรงคำนึงว่าเวลาล่วงไป ชีวิตผ่านไป ถ้าเราไม่ใช้ชีวิตให้เป็นประโยชน์ ชีวิตจะมีค่าได้อย่างไร อันนี้เป็นคติประจำใจของพระองค์ เพราะฉะนั้นจึงใช้เวลาทุกวินาทีของชีวิตให้เป็นประโยชน์ด้วยการทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ บางเวลาก็ทรงอ่านหนังสือ ค้นคว้าตำรับตำราทางธรรมะของพระศาสนาบ้าง ค้นคว้าเรื่องอื่นๆบ้าง ในที่พักของพระองค์จะมีห้องสมุด ห้องทรงงาน เป็นที่ศึกษาค้นคว้าเรื่องอะไรๆต่างๆ และชอบออกกำลัง เดินไปตามไหล่เขา เพราะว่าในประเทศสวิสเซอร์แลนด์มีดอกไม้เยอะแยะ พระองค์ก็เดินไปดูดอกไม้ เก็บดอกไม้เอามาใส่แจกัน แล้วก็ทรงตากให้แห้งเก็บไว้เพื่อเป็นเครื่องศึกษาค้นคว้าต่อไป แต่ว่าต่อมาพระชนมายุมากขึ้น ในหลวงทรงเห็นว่าการเสด็จไปพักที่ประเทศสวิสเซอร์แลนด์นั้นห่างไกล ลำบาก เลยทรงสร้างพระตำหนักที่ภูพิงค์ใกล้กับที่ในหลวงประทับ สร้างให้พระราชชนนีประทับ แต่ว่าไม่ได้ประทับที่นั่น เพราะไปเห็นภูมิประเทศดอยตุง อันเป็นดอยที่อยู่ในอำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย เห็นว่าเป็นที่ๆควรจะมีการพัฒนาทำให้ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ป่าที่ถูกทำลายเป็นจำนวนมาก ควรจะได้ไปปลูกป่า พัฒนาสถานที่นั้นให้เป็นป่าอย่างเดิมไม่ให้เป็นภูเขาหัวโล้น ทรงไปประทับที่นั่น ไปสร้างตำหนักอยู่ที่นั่น ทำสถานที่นั้นให้เป็นเมืองขึ้นมา เป็นที่น่าอยู่น่าอาศัย
หลวงพ่อมีโอกาสไปเชียงราย ไปพักกับป่าไม้เขต ป่าไม้เขตก็เอารถพาขึ้นไปจนถึงสถานที่ๆพระองค์ทรงประทับ ได้มีโอกาสขึ้นไปบนพระตำหนัก แต่ว่าไม่ได้รบกวนพระองค์ เพราะพระองค์ประทับอยู่ในห้อง เลยบอกเจ้าหน้าที่ว่าไม่ต้องๆ ไม่รบกวนท่าน ให้ท่านพักผ่อนตามสบาย อยากจะมาดูสถานที่เท่านั้น พอขึ้นไปเดินชมบริเวณรอบๆ คนงานที่เป็นชาวเขา มาทำงานกันอยู่มากมายหลายคน คือไปสงเคราะห์ชาวเขา ไม่ใช่เอาเงินไปแจกเขาเฉยๆ แต่ให้เขาทำงาน ทำงานแล้วก็ให้ค่าจ้างแก่คนเหล่านั้น ทำงานรดน้ำต้นไม้ ตัดแต่งหญ้า ทำความสะอาดบริเวณเหล่านั้นให้สวยงาม ให้เรียบร้อย มีคนออกแบบการปรับปรุงบริเวณสถานที่ ทำให้น่าดูน่าชม มีดอกไม้แปลกๆต้นไม้สวยๆงามๆ ทำถนนเล็กๆเดินไปตามไหล่เขา มีน้ำตกลงมากลายเป็นน้ำพุน้ำจืดในบริเวณนั้น คนไปเที่ยวกันสบายอกสบายใจ ท่านก็ไปประทับอยู่ที่นั่น บางคราวท่านก็เสด็จออกมาไปเดินดูดอกไม้ ต้นไม้ คุยกับคนทำงาน ให้คนทุกคนได้ชื่นอกชื่นใจ ไปดูตรงนั้นตรงนี้ บริเวณนั้นมากมายได้พัฒนาร่วมกันไป มีน้ำใช้ มีน้ำประปา เขาเอาน้ำขึ้นไปไว้บนเขาสูงที่หนึ่ง แล้วก็ปล่อยใส่ท่อมาในบริเวณนั้น ได้รดต้นไม้ทำให้ต้นไม้เขียวชะอุ่ม กรมทางเขาต้องการขยายทางจากเมืองเชียงรายไปแม่จัน ไปถึงอำเภอแม่สาย แล้วก็ทำทางขึ้นไปบนดอยตุงด้วย ในการขยายทางต้องขุดต้นไม้ออก ต้นไม้ที่โตแล้ว ท่านไม่ให้ตัด ไม่ให้ขุดทิ้ง แต่ขุดแล้วเอาไปปลูกบนดอย ตอนนั้นพวกเจ้าหน้าที่ก็ต้องชะลอต้นไม้ต้นใหญ่ๆเอาไปปลูกดอยช้างหมอบ (18.43) ไปปลูกไว้ ขึ้นไปดูโอ้นี่ต้นใหญ่เอามาปลูกไว้ให้มันเติบโตเป็นป่าต่อไป บริเวณนั้นถูกพัฒนาทั้งหมด นับว่าเป็นบุญของชาวเขาชาวดอย ที่ได้สมเด็จย่าไปอยู่ในบริเวณนั้น ก็ไปเป็นเหมือนร่มโพธิ์ร่มไทรให้นกทั้งหลายได้อาศัยกินดอกกินผล ได้อาศัยร่มอาศัยเงา ได้มีความสุขมีความสบายตามสมควรแก่ฐานะ และชาวเขาก็ไม่ต้องทำลายป่า ไม่ต้องปลูกฝิ่นเอามาขายเพื่อไปผลิตเป็นเฮโรอีนไปมอมเมาประชาชนทั่วโลกด้วยสิ่งที่เป็นพิษเป็นภัย พวกนั้นก็หยุดการปลูกฝิ่นมาทำงานรับจ้างที่พระองค์ให้ทำ แล้วก็มีเจ้าหน้าที่ ที่เป็นข้าราชการบำนาญ พวกกรมชลฯก็มี พวกมหาวิทยาลัยเกษตรก็มี ไปพบเข้าอ้าวนี่พวกเรามาอยู่กันที่นี่ทั้งนั้นไปช่วยสมเด็จฯ ก็มีความรู้มีความสามารถออกจากราชการแล้วก็ไปอยู่ที่นั่น การไปอยู่ที่นั่นก็เหมือนกับไปอยู่บนสวรรค์วิมาน เพราะที่มันสูง อากาศสะอาดบริสุทธิ์ นั่งอยู่บนนั้นแล้วมองเห็นทิวทัศน์ไกลไปถึงประเทศพม่า เห็นไปได้ไกลน่าดูน่าชม น่าจะคล้ายๆกับประเทศสวิสเซอร์แลนด์เหมือนกัน ถ้าไปอยู่บนภูเขาสูงที่สวิสเซอร์แลนด์ก็มองเห็นภูมิประเทศแบบเดียวกัน สมเด็จฯท่านจึงไปประทับที่นั่น แล้วก็เห็นสภาพเหล่านั้นดี พัฒนาให้ดีขึ้น ทำให้เป็นประโยชน์ต่อไป อันนี้เป็นเรื่องสำคัญที่ได้ทรงกระทำ ช่วยกันรักษาป่าไม่ให้ป่าถูกทำลาย พระองค์ไปประทับแล้วก็รักษาป่าให้ดีขึ้น เป็นประโยชน์ ชาวเขาทั้งหลายจึงได้เรียกว่า “แม่ฟ้าหลวง”
ที่เรียกว่า “แม่ฟ้าหลวง” เพราะว่าท่านเสด็จมาทางเฮลิคอปเตอร์ แล้วก็เหมือนมาจากฟากฟ้า แล้วก็ลงมาเยี่ยมเยียนคนเหล่านั้น ไปพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ สังคมให้ดีขึ้น เขาทั้งหลายก็สบายอกสบายใจ เด็กๆน้อยๆผู้เฒ่าผู้แก่ที่ได้รับโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน เจ็บไข้ได้ป่วย สมัยก่อนก็รักษากันไปตามเรื่องตามราว ไม่มีหยูกมียาจะรักษา ไม่มีหมอ แต่ว่าเมื่อพระองค์ไปประทับที่นั่นก็พาหมอไปด้วย หมอที่ออกจากข้าราชการบำนาญแล้ว แต่ว่าร่างกายยังแข็งแรง ยังทำงานได้ ก็ไปอาสาอยู่กับพระองค์ท่านเป็นแพทย์อาสา ช่วยรักษาคนเหล่านั้น มีการเปิดคลินิกย่อยๆ แล้วก็คลินิกเคลื่อนที่ไปช่วยรักษาชาวป่าชาวเขาให้มีความสะดวกสบายขึ้น แต่ถ้าคนไหนป่วยมากก็ต้องส่งมาโรงพยาบาลในเมือง บางทีก็ต้องส่งมาถึงกรุงเทพฯเพื่อทำการรักษา เช่นพบเด็กปากแหว่ง ปากแหว่งนี่มันต้องทำการผ่าตัด ก็ต้องส่งมาทำการผ่าตัด คนไหนร่างกายพิกลพิการพอจะปรับปรุงเปลี่ยนแปลงได้ก็ส่งมารักษาช่วยให้คนเหล่านั้นดีขึ้นสบายขึ้น โรคบางอย่างหมอไม่สามารถจะรักษาได้ก็ทรงส่งคนไข้เหล่านั้นมากรุงเทพฯ โรงพยาบาลในกรุงเทพฯ โรงพยาบาลใหญ่ๆเช่น จุฬาลงกรณ์, ศิริราช,วชิระ ,โรงพยาบาลกลาง ก็เตรียมห้องไว้สำหรับคนไข้ในพระบรมราชูปถัมภ์ของในหลวงบ้าง ของสมเด็จย่าบ้าง ของพระบรมราชินีบ้าง ส่งมาให้รักษา พวกหมอก็ต้องช่วยกันรักษาดูแลเอาใจใส่อย่างดีเพราะความเคารพในในหลวง ในสมเด็จย่า คนเหล่านั้นก็ได้รับความสุขความสบาย เพราะได้รับการรักษาเยียวยา นี่ก็เป็นเหมือนกับว่าพระมาโปรด ทำให้คนเหล่านั้นสะดวกสบายขึ้น แล้วก็ทำคนเหล่านั้นให้มีความจงรักภักดีต่อชาติไทยเมืองไทย ต่อองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สิ่งอะไรต่างๆก็จะดีขึ้น สบายขึ้น คนที่นั่งข้างนอกถ้าเห็นคนเดินมาขยับเข้าไปหน่อย มีเพื่อนให้เพื่อนนั่งบ้างอย่าไปนั่งขวางเพื่อน ข้างในมันว่าง ขยับเข้าไปนั่งข้างในที่มันว่าง คนอื่นมาถึงจะได้นั่ง การให้ที่นั่งแก่คนอื่นก็เป็นบุญอย่างหนึ่งเหมือนกัน เหมือนเราขึ้นรถโดยสารเนี่ย ถ้าเรานั่งขวางเพื่อนไม่ให้เพื่อนนั่งก็เรียกว่าเห็นแก่ตัว นั่งที่ไหนถ้ามีที่พอจะหลบเข้าไปได้ เราหลบเข้าไป อย่าเอากระเป๋าไปวางบนเก้าอี้ เพราะกระเป๋าไม่ต้องไว้นั่นก็ได้ เอามาวางไว้ข้างๆก็ได้ แล้วก็ให้มีที่นั่ง อันนี้เป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ คิดกันไม่ค่อยได้ คิดไม่ค่อยได้ ในทั่วๆไปคิดกันไม่ได้ เพราะฉะนั้นจึงไม่มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ก็เรียกว่าขาดน้ำใจ ขาดน้ำใจกัน ถ้าคนมีน้ำใจเรามานั่งก่อน ขยับเข้าไปข้างใน ทิ้งที่ว่างไว้ข้างนอก คนมาทีหลังจะได้นั่ง คนข้างหลังก็ขึ้นมานั่งให้เต็มข้างหน้า เหลือช่องว่างไว้ข้างหลัง เพื่อให้คนที่มาทีหลังได้นั่งสะดวกสบาย ทำอะไรนี่มันต้องคิดถึงคนอื่นด้วยเสมอ ไม่ใช่ว่า ฉันได้แล้วก็สบายใจแล้ว ฉันได้กินแล้วก็สบายใจแล้ว ฉันได้นั่งแล้วก็สบายใจแล้ว ถ้าอย่างนี้มันไม่พอ เราต้องคิดว่าคนอื่นที่ไม่ได้กินมีไหม? คนอื่นที่ไม่ได้นั่งมีไหม? คนอื่นที่ไม่ได้รับความสะดวกมีไหม? เราพอจะเฉลี่ยส่วนที่เราได้รับแล้ว ให้คนอื่นได้รับความสุขบ้างไหม นี่ต้องคิด คิดไว้ในใจ ถ้าคิดอย่างนั้นแล้วเกิดความรักผู้อื่น เอื้อเฟื้อต่อผู้อื่น ความเมตตาปราณีมันก็เกิดขึ้นในใจ นี่ก็เป็นเรื่องที่เล็กๆน้อยๆแต่ว่าเราคิดไม่ได้ สมเด็จย่าท่านทำอย่างนั้น ท่าน ... (25.17) เต็มที่แล้ว ท่านมีเงินสะดวกสบาย อยู่ที่วังสระปทุมแสนสะดวกสบายไม่ต้องไปไหนแล้ว มีเงินใช้ มีคนใช้ มีอาหารการบริโภค มีหมอคอยดูแลรักษา แต่ว่าพระองค์ไม่ได้อยู่ที่วังสระปทุม เสด็จไปนั่นไปนี่ไปเรื่อย ไปเพื่ออะไร? เพราะน้ำพระทัยเต็มเปี่ยมไปด้วยความเมตตาปราณี จารึกความทุกข์ยากของคนอื่น เห็นคนอื่นที่มีความทุกข์ยากเดือดร้อนเหมือนกับความทุกข์ของพระองค์เอง จึงไม่ได้อยู่สบายที่วังสระปทุมหรือกรุงเทพฯ แต่ว่าไปที่นั่นที่นี่ ไปทุกหนทุกแห่ง ที่ไหนที่ในหลวงเสด็จไปไม่ถึง สมเด็จย่าไปถึง
เช่นว่าริมฝั่งทะเล เป็นเกาะเป็นแก่งเป็นอ่าวเข้าไปลึกๆ ในหลวงไปไม่ถึง เพราะไม่มีถนนจะไป แต่สมเด็จย่าท่านไป ท่านไปกับทหารเรือ ไปกับเรือรบ และที่พักในเรือรบ มันก็ห้องแคบๆนิดเดียว ไม่ได้สะดวกสบายอะไรเท่าไหร่ แต่ว่าพระองค์พอพระทัยที่จะไปพักในที่เช่นนั้น ไปพักในห้องเล็กๆแล้วก็มีโต๊ะทำงานนิดหน่อย แล้วเรือก็เดินไป ไปถึงไหนก็หยุดลง ก็ลงเรือเล็ก แล้วก็เข้าไปที่แผ่นดิน เอาเสื้อเอาผ้าเอาหยูกเอายาไปแจกจ่ายแก่คนเหล่านั้น นี่คือตัวอย่างชีวิตในการปฏิบัติธรรมะที่พระองค์แสดงออกให้ ... (27.23) เราได้รู้ได้เห็นกันอยู่ตลอดเวลา ไปเที่ยวแจกของตามที่ต่างๆ ที่ลำบากทุรกันดาร พระองค์ก็ไปไม่กลัวความลำบาก แล้วก็ไม่ทรงเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า ทรงเดินไปบางแห่งต้องเดินขึ้นเขา ลงไปลำบาก ภาพถ่ายต่างๆที่เขามีไว้ เอามาถ่ายออกทางโทรทัศน์ทุกคืน ให้เห็นว่าทรงไปอย่างไร บางทีต้องขึ้นบันไดสูง แล้วก็ลงไป ลำบาก ถ้าเป็นคนธรรมดาก็ไม่มีใครไปละ อยู่บ้านสบายกว่า ไม่ไปไหน ไม่ทำอะไร แต่ว่าพระองค์ต้องเสด็จไป ทำอย่างนั้นเพื่ออะไร? ก็เพราะน้ำใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก ความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์น่ะสิ พระองค์ทำตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ทำตามเยี่ยงอย่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะว่าพระพุทธเจ้าของชาวเราทั้งหลายนั้น ท่านเป็นเจ้าฟ้าชาย เป็นมกุฏราชกุมาร อยู่ในวังนั้นแสนสบาย ปราสาท ๓ หลังเหมาะแก่ฤดูกาลทั้งสาม มีสาวใช้คอย ... (28.37) เอ่ยปากขึ้นมาจะเอาอะไร ของนั้นก็มา ได้ทุกอย่าง จะเอาอะไรก็ได้ ไม่มีความขัดข้อง คำว่าไม่มี หรือไม่ได้นี่ไม่ค่อยได้ยิน เพราะว่าเอ่ยปากอะไรมันก็ได้สิ่งนั้นสมความตั้งใจตลอดเวลา นับว่ามีความสุขความสบายอย่างล้นเหลือ แต่ว่าพระองค์หาได้หลงใหลมัวเมาในความสุขสบายเหล่านั้นไม่ ทรงคิดถึงความทุกข์ยากของเพื่อนมนุษย์ เพราะได้เห็นเวลาเสด็จประพาสเมือง ได้เห็นคนแก่ ได้เห็นคนเจ็บ ได้เห็นคนตายที่มีญาติร้องไห้เดินไปข้างหลัง แล้วก็ได้เห็นนักบวช ได้เห็นสามอย่างข้างแรกก็สลดพระทัย ว่าคนเรานี้เกิดมาแล้วก็แก่ เกิดมาก็มีการเจ็บไข้ เกิดมาแล้วก็ต้องตายจากกันไป เป็นอย่างนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีกไม่รู้จักจบไม่รู้จักสิ้น ตัวเราเองก็จะเป็นอย่างนั้น พระนางพิมพาก็จะเป็นอย่างนั้น พระเจ้าสุทโธทนะก็จะต้องเป็นอย่างนั้น พระแม่โคตมีก็จะต้องเป็นอย่างนั้น เราคิดไปไกลกว้าง แล้วเราคิดว่าถ้าเกิดมาแล้วก็ตายไป ชีวิตมันจะมีความหมายอะไร จะมีค่าที่ตรงไหน เราควรจะใช้ชีวิตให้เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ คิดอย่างนั้น พอคิดอย่างนั้นก็วางแผนว่าจะทำอย่างไรชีวิตจึงจะเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น ก็ได้เห็นนักบวช พอเห็นนักบวชก็คิดว่าการบวชนี้ดีแน่ เพราะว่าเป็นผู้ไม่มีภาระ ไม่มีความกังวล ไม่มีเรื่องส่วนตัวที่จะคิดมากแล้ว มีเวลาว่างที่จะช่วยเหลือคนอื่น จึงตัดสินใจออกบวช ในวันที่พระนางพิมพาประสูติพระราหุลลูกน้อยมา พระองค์ก็ออกบวชคืนนั้น บวชแล้วก็ตั้งใจศึกษาค้นคว้า เพื่อให้มีความรู้ ทำตนให้พ้นจากความทุกข์ก่อน แล้วก็จะช่วยเหลือผู้อื่นให้พ้นจากความทุกข์ต่อไป ดังที่เราได้ศึกษาจากประวัติชีวิตของพระพุทธเจ้า คนที่เสียสละเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขแก่ผู้อื่น ชาวโลกถือว่าเป็นบุคคลชั้นยอด เป็นบุคคลชั้นประเสริฐ เพราะคนเราส่วนมากมักเห็นแก่ตัว เห็นแก่ความสุขส่วนตัว ทำอะไรๆก็เพื่อตัวทั้งนั้น แต่ถ้าคนใดมีใจเสียสละ คิดถึงเพื่อนมนุษย์ แล้วก็ทำอะไรให้เป็นประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์แล้ว ก็เรียกว่าเป็นผู้ประเสริฐ เป็นมหาบุรุษ เป็นคนสำคัญคนหนึ่งของโลก พระองค์พระพุทธเจ้า เสียงหายค่ะ (31.40) ได้ธรรมะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้วก็ไม่ได้อยู่นิ่งอยู่เฉย ถ้าจะนั่งอยู่ใต้ต้นโพธิ์สบายๆก็ไม่มีใครเดินขบวนประท้วงหรอก ไม่มีใครไปคัดค้านอะไรพระองค์นั่งได้ แต่ว่านั่งไม่ได้เพราะเห็นความทุกข์ยากของคนอื่น เห็นความลำบากทางกายทางใจของคนที่เวียนว่ายอยู่ในกระแสของความทุกข์ความเดือดร้อน ต้องออกไปช่วย เลยลุกขึ้นจากต้นโพธิ์ เดินไป เพื่อไปสอนคนที่นั่นที่นี่ การกระทำของพระองค์พระพุทธเจ้านั้น เป็นตัวอย่างของบุคคลที่มีความเมตตาปราณีต่อเพื่อนมนุษย์ เป็นตัวอย่างของบุคคลที่เสียสละประโยชน์และความสุขส่วนตัวเพื่อประโยชน์ผู้อื่น พระองค์ไม่ได้ต้องการอะไร เมื่อเป็นพระพุทธเจ้าแล้วก็หมดความต้องการ ไม่มีอะไรที่จะเรียกว่าทำเพื่อพระองค์เอง ประโยชน์ตนไม่มีแล้ว มีแต่ประโยชน์ผู้อื่น พระองค์จึงตั้งอธิษฐานใจว่าต่อนี้ไปเราจะมีชีวิตอยู่เพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ให้พ้นจากความทุกข์ความเดือดร้อนในชีวิตประจำวัน เราจะไปชี้แจงแนวทางชีวิตให้คนเหล่านั้นได้เกิดความรู้ความเข้าใจ แล้วก็ทรงปฏิบัติตามอุดมการณ์ตลอดเวลา 45 ปี แม้ในขณะที่ทรงประชวรหนักใกล้จะนิพพานอยู่แล้ว มีคนเข้าไปรบกวนถามปัญหา ก็ไม่ได้ทรงเบื่อหน่าย ไม่ได้ทรงเหน็ดเหนื่อย พระอานนท์เสียอีกห้าม ขออย่ารบกวนพระพุทธเจ้าเลยเพราะพระองค์ทรงประชวรมากอยู่แล้ว ใกล้จะหมดลมหายใจแล้วอย่าเข้าไปเลย พระองค์ได้ยิน บอกอานนท์อย่าไปห้ามเขา เขาไม่ได้มารบกวนตถาคต เขาต้องการความรู้ความเข้าใจ ปล่อยให้เขาเข้ามาเถิด คนนั้นก็ได้มีโอกาสเข้าเฝ้าฯ ได้ทูลถามปัญหามากมาย แต่พระองค์บอกว่าเวลามันสั้นเต็มทีแล้ว อย่าถามให้มันมากเรื่องเลย ตั้งใจฟังเถิด เราจะพูดให้ฟัง แล้วก็พูดอธิบายให้คนนั้นฟังจนได้บรรลุอรหัตถผลในวันนั้น ได้บวชเป็นภิกษุองค์สุดท้ายในชีวิตของพระพุทธเจ้า
อันนี้คือชีวิตของบุคคลที่เป็นตัวอย่างแก่โลก เป็นมหาบุรุษในทางธรรมะ เป็นผู้เสียสละประโยชน์ความสุขส่วนพระองค์เอง เพื่อประโยชน์เพื่อความสุขของชาวโลกทั้งหลายคนอย่างนี้ถ้าเกิดมาในโลก ก็เกิดมาเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขแก่ชาวโลกทั้งหลาย พระองค์ตรัสว่า สัตบุรุษนั้น นานๆจะเกิดมาในโลกสักครั้งหนึ่ง เกิดมาก็เพื่อประโยชน์เพื่อความสุขแก่ผู้อื่น ไม่ได้เกิดมาเพื่อตัวเอง ไม่ได้คิด ไม่ได้พูด ไม่ได้ทำอะไรเพื่อตัวเอง แต่คิด พูด ทำ ไปไหน เพื่อประโยชน์เพื่อความสุขแก่ผู้อื่นทั้งนั้น คนอย่างนี้ถ้ามีในโลกมาก โลกมันก็สงบเจริญก้าวหน้าด้วยคุณธรรม (34.57) เพราะมีบุคคลผู้เป็นตัวอย่างช่วยชี้ช่วยแนะ ช่วยบอกทางที่ถูกที่ชอบให้ประชาชนได้เกิดความรู้ความเข้าใจ สมเด็จย่าท่านเป็นผู้ที่ศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้า เข้าวัดมาตั้งแต่เล็กๆ แต่เล็กแต่น้อยก็อยู่ข้างวัดอนงค์ ก็เข้าวัดสมเด็จพระพุฒาจารย์นวม ชื่อนวม ท่านเป็นอาจารย์สอนหนังสือให้ เวลาท่านเติบโตแล้ว เวลากลับมาท่านก็ไปกราบไปไหว้ เอาของไปถวาย เพราะนึกถึงพระคุณของสมเด็จฯองค์นั้น เวลาสมเด็จฯป่วย ท่านก็รับสั่งให้ไปอยู่โรงพยาบาล ให้หมอเอาใจใส่ดูแลรักษาด้วยความเรียบร้อยทุกประการ แสดงว่าเป็นผู้มีความสำนึกในบุญคุณของผู้ที่ได้ทำคุณไว้แก่ตน ไม่ลืมไม่เลือน ยังเอาใจใส่ดูแลรักษา สมาคมวัดอนงค์ก็ไปขออะไรบ่อยๆ เพื่อเอามาบำรุงสมาคมให้เจริญก้าวหน้า ท่านก็ช่วยอนุเคราะห์ สงเคราะห์ตามมีตามเกิด ท่านบอกว่าการทำบุญอย่าทำให้เดือดร้อน ทำตามที่เรามีเราได้ไม่ทำให้เราเดือดร้อน แต่พระองค์ก็ไม่เดือดร้อน ทำอะไรออกไป เพราะว่าทรัพย์สมบัติที่ได้รับตกทอดมาจากสมเด็จพระพันวัสสาฯ มันไม่ใช่เล็กน้อย ที่ดิน บ้านช่อง อะไรมากมายก่ายกอง แต่พระองค์ก็ได้รับเอามาใช้เป็นประโยชน์ ไม่ได้ใช้เพื่อพระองค์ พระองค์เสวยพระกระยาหารน้อยๆ ไม่ได้มากมายอะไร เคยฟังคุณสัญญา ธรรมศักดิ์ เล่าให้ฟัง ในคราวที่มีเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม สมเด็จฯท่านก็มาอยู่ในวังสวนจิตรลดาอยู่ใกล้ในหลวง องคมนตรีทั้งหลายท่านก็ไปพักกันอยู่ที่นั่น คอยรับใช้ในหลวง คอยตอบปัญหาที่ในหลวงทรงไต่ถาม แล้วก็ถึงเวลารับประทานอาหาร ท่านก็ตักข้าวต้มมาใส่ในจาน เอาถั่วลิสงคั่วใส่ลงไป หัวผักกาดใส่ลง แล้วท่านก็นั่งเสวย เสวยธรรมดาเหมือนกับคนที่เป็นกรรมกร กินอาหารก็กินข้าวต้ม ซึ่งชาวบ้านเค้าเรียกว่า “ ข้าวต้มกุ๊ย ” เรียกแล้วมันไม่ค่อยเพราะเลยข้าวต้มกุ๊ยเนี่ย ไม่ควรจะเรียกอย่างนั้น เรียกว่าข้าวต้มขาวดีกว่า แล้วก็ข้าวต้มเครื่อง แต่เขาเรียก ... (37.36) ท่านก็เสวยธรรมดาๆ ไม่ได้บ่นว่าอะไร กินง่ายอยู่ง่าย ก็ท่านนึกว่า เท่านี้ก็พอแล้ว เมื่อก่อนลำบากกว่านี้ แต่เดี๋ยวนี้ก็สบายแล้ว อาหารก็ไม่ได้กินมากอะไร เรื่องของส่วนพระองค์นั้นนิดเดียว แต่เรื่องที่จะเป็นประโยชน์เป็นความสุขแก่ผู้อื่นนั้นโตเท่าภูเขา กว้างเหมือนมหาสมุทร เรื่องที่จะทำประโยชน์นี่มันโตเท่าภูเขา กว้างเหมือนมหาสมุทร ทรงทำอย่างนั้น เพื่อประโยชน์เพื่อความสุขแก่ผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา อันนี้เป็นชีวิตตัวอย่างที่เราทั้งหลายควรจะได้เอามาเป็นแบบฉบับ แล้วก็ตั้งแต่พระองค์สิ้นพระชนม์ไปแล้วก็มีการทำบุญกัน ที่เห็นกันทั่วไปก็ทำบุญตักบาตร อาตมาเคยพูดกับนักเรียน นักศึกษา เขามานิมนต์พระ ๙๔ องค์ให้ไปบินฑบาตที่วิทยาลัยแห่งหนึ่ง บอกว่า แหมพวกเรานี่ทำแต่เรื่องจะใส่บาตร พระมีบิณฑบาตฉันอยู่แล้วไม่ได้เดือดร้อนอะไร เช้าๆออกไปบิณฑบาต ญาติโยมเขาก็ใส่อยู่ทุกวัน อาหารกับฉันไม่ค่อยเดือดร้อน ถ้านิมนต์ไปบิณฑบาตอีกมันเหลือเฟือ เอามาแล้วกินไม่ไหว ไม่รู้จะเอาไปไหนบางทีมันมากเกินไป ทำไมไม่ใช้หัวคิดทำอะไรให้เป็นประโยชน์มากไปกว่านี้บ้าง เพราะเรื่องที่เป็นประโยชน์มันก็มี เราทำได้เยอะแยะ ทำไมไม่คิดอย่างนั้น ที่ไหนก็จะนิมนต์พระไปบิณฑบาต ใส่บาตร คิดเรื่องเดียวแต่จะใส่บาตรพระเท่านั้นเอง เรื่องอื่นก็ทำได้ นามันมีหลายแปลง ไม่ใช่มีแปลงเดียว เราจะหว่านแปลงหนึ่ง แปลงสอง แปลงสาม แปลงสี่มันก็ได้ทั้งนั้นแหละ
แต่ว่าญาติโยมนี่คิดไม่ค่อยออก คิดแล้วทำบุญ ก็จะทำบุญถวายพระอย่างเดียว นิมนต์พระมามากๆแล้วอาหารก็เหลือเฟือ เลยถามนักเรียนว่า พวกเธอคนหนึ่งๆ ในการใส่บาตรพระนี่ใช้เงินเท่าไหร่ ราคาสักเท่าไหร่ เอาคนละ ๒๐ บาท แล้วนักศึกษามีเท่าไหร่ นักศึกษาตั้งพันสองพัน เอายี่สิบคูณไปสองพันเป็นเงินเท่าไหร่ มันไม่ใช่เงินเล็กน้อย ถ้าหากว่าเราเสียสละคนละ ๒๐ บาทได้เงินก้อนใหญ่แล้วไปทำอะไรที่เป็นประโยชน์กว่านั้นก็ได้ เอาไปช่วยมูลนิธิที่พระองค์ตั้งไว้หลายมูลนิธิ เพราะเขายังต้องการเงินอยู่ เราเอาเงินนั้นไปช่วยดีกว่าทำบุญใส่บาตร ทำบุญใส่บาตรมันก็ดี บำรุงพระศาสนา แต่ว่าบำรุงมากพระก็ท้องแตก มันมากเกินไป เราเอาไปทำอย่างอื่นที่เป็นประโยชน์ไม่ได้หรือ? (40.27) ลองไปคิดกันดูสิ แนะนำเขาให้ไปคิดกันดู เมื่อคืนนี้โทรทัศน์เขาออกรายการ หาเงินเพื่อช่วยมูลนิธิหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พอ.สว. หน่วยแพทย์เคลื่อนที่ ที่พระองค์เห็นความลำบากของคนเจ็บไข้ได้ป่วยในท้องถิ่นต่างๆ แล้วก็ส่งแพทย์อาสาสมัครออกไปช่วยดูแลรักษา คนไข้ก็ได้รับความสะดวกสบาย เขาต้องการเงิน เพราะว่าเมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์แล้วผู้ที่จะทำต่อ ถ้าไม่มีก็จะเสียหาย แล้วที่ว่าต้องหาเงินไว้ ต้องการรถสำหรับบรรทุกแพทย์ไปช่วย ต้องการเงินซื้อหยูกซื้อยาหลายเรื่องหลายประการ เขาก็หาเงิน เมื่อคืนนี้นอนเสียก่อน แต่เมื่อจะนอนแล้วมันได้ 15 ล้านแล้ว ... (41.21) เที่ยงคืนนี่คงจะได้มากกว่า โยมคนไหนดูอยู่ก็รู้ว่าได้เงินเท่าไหร่ คนช่วยบริจาคตั้งมากมาย คนละนิดคนละหน่อย ที่สนามหลวงคนก็ไปยื่นให้ รับกันที่นั่นก็ได้มากมาย แสดงว่าน้ำใจคนไทยเรานี้ ถ้าว่าเรื่องอะไรที่เป็นคุณเป็นประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์แล้วขอให้บอกเถอะ ขอให้รู้เถอะ พอรู้แล้วเขาก็จะช่วยกัน ช่วยกันคนละเล็กคนละน้อย คนมีมากช่วยมาก คนมีน้อยก็ช่วยน้อยอันนี้คือน้ำใจ เพราะคนไทยเรานั้นได้รับการอบรมบ่มนิสัยจากพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าให้เป็นผู้ที่เสียสละประโยชน์สุขของตนเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขแก่ผู้อื่น อันนี้ก็น่าจะคิดทำอย่างนั้น คือว่าสมเด็จย่าท่านสิ้นพระชนม์ไปแล้ว เราควรคิดในแง่หนึ่ง ในแง่ที่ว่าไม่สิ้นพระชนม์ เหมือนกับท่านพุทธทาสฯ ท่านบอกไว้ว่า พุทธทาสฯไม่ตาย แล้วก็เขียนเป็นกลอนไว้ เป็นเพลงให้เด็กร้องว่าพุทธทาสฯไม่ตาย จำไม่ได้แล้ว แต่ดี สอนไว้ให้รู้ว่า (42.39) ท่านไม่ได้ตาย ท่านยังอยู่ ถ้าหากว่านั่งสนทนาธรรมกัน ก็เหมือนกับท่านมานั่งใกล้ๆ ช่วยชี้แจงแนะแนวให้เกิดความคิดความอ่าน เรียกว่าท่านไม่ตาย ความหมายที่ว่าท่านพุทธทาสฯไม่ตายนั้นหมายความว่า ให้ทุกคนช่วยกันเป็นพุทธทาส ทั้งพระ ทั้งชาวบ้านช่วยกันเป็นพุทธทาส คือช่วยกันทำงานอย่างที่ท่านทำ ช่วยกันศึกษา ช่วยกันปฏิบัติ ช่วยกันร่วมใจกันเผยแผ่ธรรมะของพระพุทธเจ้าให้แก่คนที่ไม่รู้ไม่เข้าใจได้เกิดความรู้ความเข้าใจ ก็เรียกว่าท่านไม่ตาย แม้ว่าร่างกายจะสลายไปถูกเผาเป็นขี้เถ้าเอาไปโปรยทิ้งตามที่ต่างๆเรียบร้อยแล้ว แต่ว่าส่วนหนึ่งยังอยู่ ส่วนนั้นคือผลงานที่ท่านได้กระทำไว้ แล้วก็ช่วยสืบต่อเจตนารมณ์ที่เป็นกุศลนั้นต่อไป ช่วยกันสืบต่อ ช่วยกันทำความดีเหมือนที่ท่านทำ ก็ชื่อว่าท่านไม่ตาย สมเด็จย่าของเรานี้ก็เหมือนกัน ไม่ควรให้ท่านสวรรคตไปหมด สวรรคตแต่ร่างกาย แล้วก็จะทำการถวายพระเพลิงกันที่ท้องสนามหลวง อีกสามสี่เดือนข้างหน้าเป็นธรรมเนียม แต่ว่าเราทั้งหลายนี้ช่วยกันถ่ายทอดความดีความงามของพระองค์ท่านมาไว้ในใจของเรา พูดตามภาษาพวกทรงเจ้าเข้าผี ก็บอกว่าเชิญวิญญาณสมเด็จย่ามาไว้ในดวงใจของเรา วิญญาณในที่นี้หมายถึงว่าคุณธรรม ความงาม ความดีที่พระองค์ได้ทรงกระทำเป็นตัวอย่างให้เราได้เห็นมาตั้งแต่เริ่มต้นจนกระทั่งบัดนี้มีมากมายก่ายกอง อันนั้นแหละเรียกว่าวิญญาณแท้ของท่าน เราช่วยกันเป็นอย่างนั้นตามโอกาสความสามารถที่เราทำได้ เรามีความรู้เท่าใด มีความสามารถเท่าใด มีเงินทองที่จะช่วยเหลือกิจการ (44.49) สังคมได้เท่าใด ทำเท่าที่ทำได้ อย่าทำให้ต้องเดือดร้อน อย่าทำให้เป็นปัญหา เป็นความทุกข์
แต่ว่าทำด้วยความสามารถเท่าที่จะทำได้ ทำเท่าที่ทำได้นี้ก็เป็นการถูกต้อง เป็นการเดินตามรอยพระยุคลบาทของพระองค์ เดินตามรอยเท้าไป อยากจะให้มีคนมีความคิดอย่างพระองค์ท่านมากๆ ถ้าหากว่าคนเราในประเทศไทย จะเป็นหญิงก็ตามชายก็ตาม ฐานะมั่งคั่งก็ตาม ปานกลางก็ตาม ช่วยกันคิดเหมือนที่พระองค์คิด ช่วยกันทำเหมือนที่พระองค์ได้กระทำแล้ว ก็ได้ชื่อว่าสังคมไทยจะดีขึ้นเพราะเต็มไปด้วยคนที่มีน้ำใจเสียสละ ไม่เห็นแก่ตัวไม่เห็นแก่ได้ ไม่เห็นว่าอะไรๆทั้งหลายทั้งปวงนี้เป็นของเรา เป็นแต่เพียงสิ่งอาศัยชั่วครั้งชั่วคราว แล้วเราก็จะต้องจากสิ่งนั้นไป เราเข้าไปอาศัยอยู่ ณ ที่ใด สถานที่ใด ก็ควรคิดว่าเราจะทำอะไรให้เป็นประโยชน์แก่สถานที่นี้ได้บ้าง เราควรจะทำอะไรให้เป็นประโยชน์แก่สังคมในหมู่นี้ในคณะนี้ได้บ้าง ถ้าเห็นอันใดพอทำได้อย่าเมินเฉยอย่าชักช้าอย่าเสียเวลา รีบทำสิ่งนั้นเพื่อให้เกิดประโยชน์เกิดความสุขแก่เพื่อนมนุษย์ ให้คิดด้วยกันทุกคนอย่างนั้น คนทุกคนก็จะรักกัน เห็นอกเห็นใจกัน ช่วยเหลือเกื้อกูลกันแล้วโลกเราก็จะเต็มไปด้วยสันติสุข เต็มไปด้วยความสงบ ไม่มีการรบราฆ่าฟันกัน เพราะทุกคนคิดว่าเราควรจะช่วยเหลือแก่กันและกัน มีน้ำใจเอมอิ่มอยู่ด้วยความเมตตาปราณีอยู่ในใจตลอดเวลา คิดอะไรก็คิดเพื่อให้คนอื่นเป็นสุข พูดอะไรก็พูดเพื่อให้คนอื่นเป็นสุข ทำอะไรก็ทำเพื่อให้คนอื่นมีความสุขความเจริญ จะไปไหนก็ไปเพื่อให้เกิดความสุขความเจริญแก่คนในที่ๆเราไป ถ้าเราช่วยกันคิดช่วยกันทำอย่างนี้ ก็เรียกว่าวิญญาณสมเด็จย่ามาอยู่ในใจของเราแล้ว เราก็เป็นสมเด็จย่าคนหนึ่งเหมือนกัน สืบต่อเจตนารมณ์ที่เป็นบุญเป็นกุศลไว้ เหมือนกับว่าสมเด็จย่าไม่ได้จากพวกเราไป แต่มาอยู่ในใจของพวกเราทั้งหลาย จึงขอให้ญาติโยมทั้งหลาย ช่วยกันคิดช่วยกันทำอย่างนี้ ใครมีโอกาสจะไปไหว้พระศพก็ไป แต่ว่าตอนนี้อย่าไปคนมากเต็มที แน่นนะ เข้าไปต้องรอคิวยืนเข้าแถวแดดร้อนฝนตกก็ลำบาก ห่างๆหน่อยแล้วค่อยไป เราไม่ถึง เราไม่ไปก็ได้ แต่เรารู้ว่าท่านคือใคร ท่านทำอะไร คุณงามความดีของพระองค์ท่านเป็นอย่างไร เอาสิ่งนั้นแหละมาไว้ในใจของเรา ทำใจเราให้มีพระคุณเหล่านั้นเกิดขึ้นก็เหมือนกับเราไปนั่งอยู่ใกล้ตัวพระองค์ท่าน ใกล้พระศพของท่าน เพราะเรามองเห็นความดีของท่านแล้วเอาความดีนั้นมาใส่ไว้ในใจของเรา หลวงพ่อก็อยากจะไปเหมือนกันแต่ว่าไปไม่ไหวตอนนี้คนมันมาก ว่างๆก็นึกว่าไปดูหน่อย ไปยืนสงบจิตแผ่ส่วนบุญให้พระองค์ท่านหน่อย แต่ถึงอยู่วัดก็ทำอยู่ตลอดเวลา ในเรื่องนี้คิดถึงคุณงามความดีแล้วก็ตั้งใจว่าจะเดินตามรอยเท้าของสมเด็จย่า ไม่ใช่เดินคนเดียว ชักชวนญาติโยมทั้งหลายให้ช่วยเดินกันด้วยตามรอยเท้านั้น เพื่อสร้างสันติสุขให้เกิดขึ้นในชาติในบ้านเมืองของเรา ดังที่แสดงมาก็พอสมควรแก่เวลา ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้