แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ณ บัดนี้ ถึงเวลาของการฟังปาถกฐาธรรมะ อันเป็นหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนาแล้ว ขอให้ทุกคนอยู่ในอาการสงบ ตั้งอกตั้งใจฟังด้วยดี เพื่อให้ได้ประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการฟังตามสมควรแก่เวลา
วันนี้วันที่ 16 เดือนเมษายน ถ้าพูดตามแบบสงกรานต์ ก็เรียกว่าเป็นปีใหม่ เป็นปีใหม่แบบเก่าแก่ ที่เราทำกันมาแต่โบราณ ประเพณีสงกรานต์นี้เป็นประเพณีของอินเดียตอนเหนือ เพราะว่าเป็นฤดูร้อน เขาจึงเล่นน้ำ สาดน้ำ ให้เกิดความชุ่มชื่น เย็นอกเย็นใจ เรารับวัฒนธรรมของประเทศอินเดียมาพร้อมๆ กับพระพุทธศาสนา แล้วก็ฝังลึกอยู่ในจิตใจของคนไทย จนเหมือนกับว่าเป็นของเราไปแล้ว เราจึงได้ทำกันมาทุกปี
แต่ว่าเดี๋ยวนี้ การกระทำตามประเพณีสงกรานต์นั้นมันเปลี่ยนไปมาก เปลี่ยนไปจนเลอะไม่ได้เรื่องแล้ว คนสมัยก่อนเขาว่าอย่าเล่นกันอย่างหยาบโลน เล่นอย่างมีระเบียบ มีวัฒนธรรม แต่เดี๋ยวนี้ความสนุกสนาน พัวพันกับเรื่องเศรษฐกิจ เรื่องการหาเงินหาทอง คนจึงไปเที่ยวเชียงใหม่กันเป็นจำนวนมาก ทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น แต่ว่าเงินทองที่ได้จากคนไปมากๆ นั้นแหละ มันทำลาย ทำลายวัฒนธรรม ประเพณีอันดีงามของเชียงใหม่ให้หายไป
คือวัตถุนี้ ถ้ายิ่งเจริญมากมันก็สร้างความเสียหายให้แก่วัฒนธรรมประเพณี แก่ศีลธรรมด้วย เพราะว่าคนหลงไหลมัวเมาในด้านวัตถุ เมื่อมีความหลงไหลในด้านวัตถุ จิตใจก็ตกต่ำไปอยู่กับวัตถุ ติดวัตถุ มอมเมาในวัตถุ เมื่อจิตมอมเมาในวัตถุ ลืมเรื่องความดีความงามหมดไป เพราะว่าความชอบการในวัตถุมีมาก เลยไม่คำนึงถึงอะไร ไม่คำนึงถึงหลักศีลธรรม ไม่คำนึงถึงกฎหมายของบ้านเมือง ไม่คำนึงอะไรทั้งนั้น ฉันจะเอาให้ได้ แล้วก็แสวงหาวัตถุ จึงเป็นเหตุให้เกิดขัดผลประโยชน์กัน แล้วก็ทำลายกัน คดีต่างๆ เกิดมากขึ้นกว่าแต่ก่อน และรุนแรงด้วย เมื่อความเจริญทางวัตถุมันรุนแรง อาวุธที่ประหัตประหารกันนี้ก็รุนแรง ตีกันทั่วไป ใช้ได้ ทำลายกันอยู่ตลอดเวลา
ซึ่งสมัยก่อนไม่ได้เป็นอย่างที่เราเห็น คนสมัยก่อนเขามีความโกรธเหมือนกัน มีความโลภ ความหลงเหมือนกัน แต่ว่าไม่รุนแรง เพราะอาวุธที่ใช้ไม่รุนแรง เช่น โกรธใครขึ้นมาก็เอาไม้ท่อนที่หยิบได้แถวนั้นไปแอบทุบหัวหน้าโรงลิเกมันซักทีหนึ่ง พอเลือดตกยางออก หรือว่าพอบวมๆ โนๆ แต่ไม่ถึงตาย
เดี๋ยวนี้ความโกรธเท่าเดิม แต่เครื่องมือมัน มันเหลือเกิน เปรี้ยงเดียวก็เรียบร้อย เพราะว่าปืนมันแพร่หลาย กระสุนหาง่าย จิตใจคนก็ เมื่อโกรธกันขึ้นมาก็หยิบปืนไปยิงกันเลย อันตรายมาก เวลานี้คนไปไหนก็แอบพกปืนไป ปืนเถื่อนมาก ปืนที่จดทะเบียนมีน้อย แล้วก็ทำร้ายกัน เบียดเบียนกัน ทำให้เกิดปัญหา ต้องขึ้นโรงขึ้นศาลมากมาย สังคมเปลี่ยนไป เพราะอำนาจวัตถุ เรียกกันว่าวัตถุนิยม
วัตถุนิยมก็คือ การหลงไหลมัวเมาในวัตถุ เห็นวัตถุเป็นเรื่องใหญ่ เป็นเรื่องสำคัญ ลืมจิตนิยม คือลืมเรื่องจิต ลืมธรรมนิยม คือเรื่องพระธรรมคำสอนในทางพระศาสนา ไปรบราฆ่าฟันกัน
ดูในประเทศตะวันตก ซึ่งมีความเจริญในทางด้านวัตถุมากกว่าเรา แต่เวลาเบียดเบียนกันก็รุนแรง เดี๋ยวนี้บางประเทศก็รบกันมาตั้งปีสองปีแล้วไม่หยุด ยังฆ่ากัน ยังยิงกัน ทำร้ายเผ่าพันธุ์กัน เผ่านี้อยู่ไม่ได้ ต้องหนี ฆ่ากันทีหนึ่งร้อยสองร้อย ไม่ใช่ฆ่าคนสองคน ฆ่าตั้งร้อยสองร้อย ฆ่าหมู่ ฝังกันไม่ไหว ทิ้งให้อีแร้ง อีกา กินกันไปตามเรื่อง เห็นภาพแล้วสลดใจ สลดใจว่าทำไมจึงทำกันอย่างนี้ ธรรมะหายไปไหน พระผู้เป็นเจ้าที่เขานับถือหายไปไหน
แล้วคนพวกนี้ชอบอ้างศาสนา ทำอะไรก็เอาศาสนามาอ้าง ทั้งๆ ที่ตนไม่ได้มีศาสนาอะไร แต่ชอบใช้ศาสนา เหมือนกับคนฉลาด ที่บอกว่าถือศีล ประท้วง ไอ้นี่มันทำลาย เอาศาสนาไปใช้ เอาศีล ๘ ไปใช้ประท้วง ซึ่งมันผิดหลักการ
คนถือศีลมันต้องอยู่สงบ กล่อมเกลาจิตใจให้สะอาด ปราศจากภูติทั้งหลายทั้งปวง แต่นี่ไปนั่งถือศีลด้วยความเคร่งเครียดเกลียดชังรัฐบาล ต้องการจะล้มรัฐบาล ต้องการอย่างนี้ มันถือศีลอะไร เหมือนเขาเรียกว่า เสือเฒ่าจำศีล เล่าไว้ในเรื่องคัมภีร์ทางพุทธศาสนาว่า
เสือตัวหนึ่ง มันพิการ เดินไม่ได้ เลยไปอยู่ในถ้ำ ประกาศตนว่า ฉันถือศีล สัตว์ทั้งหลายก็ไปเยี่ยมไปเยียน ไว้ใจว่าเสือนี้ถือศีล เวลาสัตว์ไปเยี่ยมแล้วก็เดินออกมา ไอ้ตัวสุดท้ายนี้เสือจะจับไว้เอาไปกินเป็นอาหาร ไอ้พวกนี้ออกไปไม่รู้ มันจับสัตว์อื่นกินทุกวันๆ จนกระดูกกอง ทีหลังจับได้ จับได้ก็รู้ว่า อ๋อ ไอ้เสื้อนี่มันจำศีลหลอกชาวบ้าน เขาจึงพูดเป็นคำเปรียบเปรย ว่าใครถือศีลไม่สุจริต เขาเรียกว่า “เสือเฒ่าจำศีล” ประกาศตนว่าเป็นคนมีศีล แต่ว่าจิตใจยังกระด้าง ยังไม่อ่อนโยน ไม่ได้ใช้ธรรมะ ก็เรียกว่าเป็นแบบอย่างนั้น
แต่นี่ไปนั่งถือศีลอยู่ข้างสภา ปลูกกระต๊อบให้มันรกสถานที่ แล้วก็ไปนั่งถือศีล ไอ้อดข้าวมันเป็นบทที่ทำมานานแล้ว คนเขาเห็นแล้ว รู้แล้ว ก็ออกบทใหม่ นั่งถือศีล คือ ไม่อดข้าว กินเฉพาะตอนเช้า ตอนกลางวัน ตอนเย็นก็ไม่กินข้าวต่อหน้าคน ลับหลังจะกินหรือเปล่าก็ไม่รู้ หรือจะกินมาม่า อะไรก็ได้ ไม่แน่นอน เป็นอย่างนั้น ไอ้นี่เขาเรียกว่า เอาศีลไปใช้ในทางที่ผิด เอาศาสนาไปใช้ในทางที่ผิด เลยมันไม่เป็นธรรม เพราะใช้ไม่ถูก เหมือนแถวที่เคารพกันอยู่หลายประเทศ อ้างศาสนาทั้งนั้น อ้างศาสนาพวกเคร่งศาสนา เคร่งอะไร จับปืนไปฆ่าคนนี่มันเคร่งอะไร ไม่มีคำสอนใด คัมภีร์ใด ที่สอนว่าฆ่าคนแล้วเป็นบุญ หรือให้ฆ่าให้ทำลายกัน คำสอนในศาสนาทั้งหลายทั้งปวง ถือการไม่เบียดเบียนกัน เป็นเรื่องสำคัญ หลักสากลของศาสนา ก็คือ การไม่เบียดเบียนเป็นบรมธรรม มหาตมะ คานที ท่านถือหลักว่า อหิงสา ปรโม ธัมโม
อหิงสา ปรโม ธัมโม การไม่เบียนเป็นบรมธรรม เป็นธรรมสูงสุด พระพุทธเจ้าตรัสใต้ต้นจิกว่า อัพยาปัชฌัง สุขขัง โลเก การไม่เบียดเบียนกัน เป็นสุขในโลก คนอยู่ในโลกนี่ถ้าว่าไม่เบียดเบียนกันแล้วก็เป็นสุข ถ้าเบียดเบียนกันก็มีความทุกข์ ความเดือดร้อน อันนี้เป็นหลัก
พระเยซูก็สอนว่า จงรักพระเจ้า และรักเพื่อนบ้านของท่าน สอนให้รักพระเจ้าและรักเพื่อนบ้าน ถ้าปฏิบัติตามคำสอนของพระเยซู ก็ไปรบกับเพื่อนไม่ได้ เพราะเป็นเพื่อนบ้านกัน รบกันไม่ได้ เป็นการขัดขืนคำสั่งของพระผู้เป็นเจ้า แต่คนมันดื้อสมัยนี้ ดื้อมาก ไม่ค่อยเชื่อฟังคำสั่ง คำสอน
ท่านพุทธทาส ใครเอาลูกไปหาท่าน ท่านก็สอนว่า ไม่ดื้ออย่างเดียว ทุกอย่างเรียบร้อย เขาให้ลูกบวช ท่านก็บอกว่า ไม่ดื้อ ไม่ดื้อ ไม่ดื้ออย่างเดียวทุกอย่างเรียบร้อย ลองคิดดู คนเราถ้าไม่ดื้ออย่างเดียว ทุกอย่างเรียบร้อยหมด ไม่ดื้อนะมันเรียบร้อย เด็กไม่ดื้อจะเป็นเด็กเรียบร้อย ว่านอนสอนง่าย อยู่ในโอวาทพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ แต่ถ้าเด็กดื้อแล้ว ไม่เชื่อพ่อแม่ ไม่เชื่อครูบาอาจารย์ เติบโตขึ้น มันก็ไม่เชื่อกฎหมายของบ้านเมือง แต่คนเกเร เกะกะ ต้องให้เจ้าหน้าที่จับไปขัง ถ้าดื้อ ความดื้อนี่เป็นความชั่วร้ายดั้งเดิมของมนุษย์
ความชั่วร้ายดั้งเดิมของมนุษย์ ก็คือความดื้อนั่นเอง ในคัมภีร์ไบเบิลของยิว เขาเขียนว่า พระผู้เป็นเจ้าสร้างนั่นสร้างนี่ ๗ วัน วันละอย่าง ละอย่าง แล้วก็สร้างคนผู้ชายขึ้นมาคนเดียว พระผู้เป็นเจ้าว่ามันอยู่คนเดียวมันคงจะเหงา เลยเอาซี่โครงมาซี่หนึ่ง สร้างเป็นผู้หญิง ผู้หญิงนั่นคือซี่โครงของผู้ชาย เพราะฉะนั้นผู้หญิงกับผู้ชายมันถึงอยากจะอยู่ด้วยกัน เพราะซี่โครงของผู้ชาย แล้วก็สั่งว่าเธออยู่ในสวนนี้ ผลไม้ทุกอย่างเธอกินได้ เว้นไว้ต้นเดียวอย่ากินเป็นอันขาด ครั้งแรกมันก็เชื่อฟังดี สองคนเชื่อฟัง อดัม กับอีวา เชื่อฟัง ไม่กิน แต่มีงูมาหลอก บอกว่าอย่าไปเชื่อพระเจ้า ไอ้ต้นไม้นี้เป็นต้นไม้ที่รู้จักความดีความชั่ว กินได้ แล้วก็กินเข้าไป พอกินเข้าไป พระผู้เป็นเจ้ามาเลย ปรากฎว่าวิ่งหนีหลบหน้า คนทำชั่วไม่กล้าสู้หน้าได้ เด็กทำผิดไม่กล้าเข้าหน้าพ่อแม่ เด็กทำผิดไม่กล้าเข้าหน้าครูบาอาจารย์ กลัว เพราะตัวทำผิด พระผู้เป็นเจ้าถาม ทำไมเธอหลบหน้าเรา เธอได้ทำบาปอะไรแล้ว ถ้าทำบาปแปลว่าขัดขืนคำสั่ง
เพราะฉะนั้น ตัวดื้อ ตัวขัดขืนคำสั่งถือว่าเป็นบาปตัวแรกของมนุษย์ อดัม กับอีวา ทำบาปครั้งแรก คือ ดื้อนั่นเอง แล้วก็บาปมาจนบัดนี้ บาปมาจนบัดนี้ บาปของคนเรามันคือตัวดื้อนั่นเอง ตัวดื้อแล้วมันก็เกิดไม่ยอมใคร ไม่ฟังใคร เกะกะระราน ชอบทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง นั่นแหละคือตัวบาปดั้งเดิม คัมภีร์ของคริสเตียนเขาสอนไว้อย่างนั้น ความดั้งเดิมของมนุษย์ ก็คือความดื้อนั่นเอง ทีนี้เราต้องฝึกเด็กไม่ให้ดื้อ ให้เชื่อฟังพ่อแม่ สั่งให้ทำอะไร ต้องทำตาม อย่าให้เป็นว่านั่งเฉยๆ ไม่สนใจ ต้องใช้ให้ทำให้ชำนาญ ต้องทำตามที่แม่สั่ง พ่อสั่ง ต้องให้เขาทำ ถ้าไม่ทำก็ต้องพูดจาโน้มน้าวจิตใจให้เขาทำ ไม่ให้ดื้อ แล้วต่อไปก็เรียบร้อย
เราฝึกสัตว์เดรัจฉาน ฝึกสุนัข ฝึกลิง ฝึกช้าง ฝึกวัว ฝึกให้มันเป็นอะไร ให้มันเชื่อฟัง ฝึกลิงให้เชื่อฟัง ให้ทำตามทุกอย่าง จึงเอาไปแสดงละครได้ เอาไปขึ้นมะพร้าวได้ เอาไปทำอะไรก็ได้ เพราะมันเชื่องหมด แต่ถ้าสัตว์เหล่านั้นไม่เชื่อฟัง ไม่ได้ เอาไปใช้อะไรไม่ได้
ช้างตัวโตกว่าคนมาก แต่คนสามารถขึ้นนั่งบนคอมัน ใช้ขอสับให้ทำอะไรก็ได้ ให้เตะฟุตบอล ให้ทำแสดงอะไรก็ทำได้ทุกอย่างตามที่เราสั่ง เพราะว่ามันเชื่อง มันเชื่องแล้ว สัตว์ใดเชื่องแล้วพาไปสู่ชุมนุมชนได้ สัตว์ใดยังไม่เชื่อง พาเข้าไปสู่ชุมชนไม่ได้ คนที่ยังไม่เชื่อง เอาไปเข้าชุมชนไม่ได้ สัตว์ไม่เชื่องก็เอาไปไม่ได้ เพราะมันจะทำให้เสียหาย ก่อความทุกข์ ความเดือนร้อน เราจึงต้องฝึกให้เชื่อง เราฝึกช้าง ฝึกม้า ฝึกวัว ฝึกลิง ฝึกปลาโลมา ให้เชื่อง ที่เมืองจันทบุรี เขาเลี้ยงปลาโลมา โลมาไทย ไม่ใช่โลมาเมืองฝรั่ง ทำได้ทุกอย่าง เก็บสตางค์จากคนดูได้ คนเขาไปดูกันเยอะๆ แต่คนที่คิดเรื่องปลาโลมานี่เพราะความสงสาร ดูคนไปวางอวนน้ำลึก ติดปลาโลมา มา เขาปลดออกจากอวนแล้วเขาจะฆ่าปลาโลมา เขาเอาเชือกผูกหาง หย่อนลงไปในน้ำ ไม่ให้มันผุดขึ้นมาหายใจ ปลาเวลาหายใจมันต้องโผล่หัวขึ้นมา คราวนี้โผล่ไม่ได้ เพราะเขามัดหางไว้ ถ่วงลงไป มันดิ้นไม่ได้ ตาย กว่าจะตายนี่ ทรมานมาก แกไปเห็นก็สงสาร แล้วบอกว่าทีหลังนะ ถ้าได้ปลาโลมา เอามาขายฉัน ฉันยินดีซื้อ ตัวพัน สองพัน สามพัน เขาก็ซื้อ ซื้อแล้วเอาไปขุดสระให้อยู่ มันหลายตัวขึ้น เป็นฝูง ทีนี้ทำไง มากมาย จะเอาอะไรเลี้ยง มันมากมาย เลยเอาครูมาฝึก ครูคนนั้นเป็นครูพละ สอนนักเรียนเรื่องเกี่ยวกับการออกกำลังกาย เลยเอามาฝึกปลาโลมา มันทำอะไรได้ เรียกให้ขึ้นมาก็ได้ ให้จุ๊บปากก็ได้ ให้เล่นฟุตบอล ชิง ร่อนไปในสระก็ได้ ได้ทุกอย่าง เพราะมันเชื่อง เชื่อง เรียบร้อย เลยได้สตางค์
ที่ภูเก็ตมีแห่งหนึ่งเขาเรียกว่า เล่นกับงู งูจงอาง งูเห่า งูเยอะแยะ ตัวใหญ่ๆ ก็มี พวกนั้นเล่นกับงู พองูปล่อย แล้วมันก็ไปทำให้งูฉก ก็หลบได้ ความจริงงูนั้นไม่มีพิษแล้ว คืองูมีพิษนี่เขารีดออกได้ เอาจานแบนๆ เล็กๆ ใส่เข้าไปในเขี้ยวมัน แล้วมันก็สำรอก คือมันกัดนั่นเอง กัดให้งูพิษมันออก เขาเอาไปเก็บไว้ พิษงูออกจากตัวแล้ว งูจะต้องสะสมพิษอีกหลายวันจึงมีพิษขึ้นอีก คนเล่นงูเขารู้ ว่าตอนนี้มันไม่มีพิษ กัดก็ไม่เป็นไร เพราะฉะนั้นเขาเล่นได้ หยอกได้ ให้งูกัดลิ้นก็ได้ คือมันไม่มีพิษ เล่นได้ คนไม่รู้ก็ว่าไอ้นี่มันเก่งแฮะ หัดให้มันเชื่อง หัดงูได้ ได้สตางค์จากการเล่นงู ในอินเดีย หมองูเยอะ ใส่ตะกร้าไป แล้วก็เป่าปี่ งูก็โผล่หัวออกมาก็ฟ้อนรำไปตามเรื่องนะ เขาก็ให้สตางค์ หากินกับงูได้ เพราะว่ามันเชื่อง
คนเราถ้าเชื่องแล้วปลอดภัย เด็กๆ ถ้าเชื่อง เชื่อฟัง ปลอดภัย คนใช้ที่เชื่องก็ปลอดภัย ถ้าไม่เชื่องแล้วเผลอไม่ได้ พอเจ้าของเผลอแล้วเอาของ บางทีก็เปิดประตูให้พรรคพวกเข้ามากลางคืนขนของหมดบ้างแล้วมันก็หายไปด้วย นี่เลี้ยงไม่เชื่อง ไม่ว่าคนว่าสัตว์ถ้้าเลี้ยงไม่เชื่องแล้วอันตราย ถ้าเชื่องแล้วก็ไม่มีอันตราย เพราะฉะนั้นต้องฝึก เรามีลูกมีหลานนี่ต้องฝึกให้มันเชื่องหน่อย อย่าปล่อยตามชอบใจ
เดี่๋ยวนี้สิ่งแวดล้อมในบ้านเรานั้นอันตรายมาก อันตราย โดยเฉพาะเมืองใหญ่ๆ นี่อันตรายมาก เพราะว่าสิ่งยั่วยุมันมาก ความสนุกสนานยามค่ำคืนมีมาก เด็กหนุ่มๆ เด็กวัยรุ่นอยากจะไปเที่ยวไปสนุก ไม่ไปเขาก็ส่งมายั่วทางโทรทัศน์ เอามายั่วทางโทรทัศน์ บอกว่ามีไอ้นั่นที่นั่น มีไอ้นั่นที่นั่น สนุกมากมาย ถ้าไม่ได้ไปดูแล้วก็เสียโอกาส จะพูดว่าเสียชาติเกิดด้วยซ้ำไปถ้าไม่ได้ไปดู เด็กก็อยากไป ขออนุญาตพ่อแม่
พ่อแม่ที่ตามใจลูก เลี้ยงลูกด้วยเงิน ลูกเสียคนได้ง่าย เพราะเราเอาเงินให้มัน ตามชอบใจ เด็กจะไปไหน ก็ให้ไป ตัวแม่นั่นแหละ ตัวสำคัญที่ว่าเอาเงินให้ลูก ลูกได้เงินก็ไปเที่ยว ไปเที่ยวแล้วมันติด เพราะความสนุกสนานทำให้ติด ติดความสนุกสนานเฮฮา ก็เลยไปบ่อยๆ เจอเพื่อนพวกเดียวกัน รสนิยมเหมือนกัน นิสัยใจคอเหมือนกัน ก็ไปกันได้ นัดเวลาวันนั้นไปนั่น วันโน้นไปโน่น ในกรุงเทพเรานี่มีเครื่องยุมากมาย แม้ตลาดเล็กๆ ตามบ้านนอกก็มี คาราโอเกะ (23.38 เสียงไม่ชัดเจน) มีตั้งแต่การร้องเพลง สนุกสนาน เด็กก็ชอบ ที่นี่ถ้าเราไม่ควบคุมปล่อยเด็กไปตามชอบใจมันก็ไปสนุก เพลิดเพลิน ติดส่ิงเหล่านั้น ดึงกลับไม่ได้ เสียคน เดือดร้อน อันนี้สำคัญ เราเลี้ยงลูกต้องให้ลูกอยู่ในโอวาท คอยฝึกคอยอบรมให้เชื่อฟังเราไม่ให้ไปไหนถ้าหาว่าไม่ได้ไปกับพวกแม่ ไม่ให้ไปไหน ไปไม่ได้ ถ้าเราเลี้ยงอย่างนั้นเด็กมันก็ไม่ไป
นี่ว่าเป็นเด็กผู้ชายที่มากราบหลวงพ่อ เจ้าอู๊ด เวลาหลวงพ่อไปไหนถ้ามอู๊ดไปกับหลวงปู่ไหม เขาไม่ไป ถ้าคุณพ่อคุณแม่ไม่ไปเขาไม่ไป ชวนให้ไปก็ไม่ไป ความจริงไปก็ไม่มีอะไร แต่เขาไม่ไปเพราะพ่อแม่ไม่ให้ไปเขาก็ไม่ไป แต่พ่อแม่ก็พาลูกไปเที่ยวบ้างที่โน่นทีนี่เป็นครั้งคราว เขาก็ไม่ค่อยไปไหน ไม่เที่ยวไม่เตร่อยู่กับวัด ไปขลุกอยู่ที่กุฏิ หลับไปบ้าง ตื่นขึ้นบ้าง ดูโทรทัศน์ ดูการ์ตูนอะไรไปตามเรื่อง เรียบร้อย ไม่ค่อยเกเร เกะกะ เพราะฝึกให้เป็นคนอ่อนโยน อ่อนน้อม ให้รู้จักกราบรู้จักไหว้ ก่อนไปโรงเรียนต้องมาไหว้ กลับมาจากโรงเรียนต้องมาไหว้ ทำเป็นกิจวัตรประจำวัน ให้ท่่องทำไว้ พุทธัง ธัมมัง สังฆัง เชื่อฟัง ขยัน ไม่ดื้อ ให้ท่องอะไรอีกหลายอย่าง ต้องท่อง แล้วกราบ ๕ ครั้ง กราบพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ กราบคุณพ่อ คุณแม่ กราบครูอาจารย์ กราบหลวงปู่ กราบทุกวัน จนเป็นนิสัย ทำอยู่อย่างนั้น ถ้าเราสร้างฐานในชีวิตให้เด็กในทางที่ถูกที่ชอบ เด็กก็จะเป็นเด็กดี เป็นลูกดีของเรา ไม่สร้างปัญหา แต่ถ้าเราไม่สร้างฐานชีวิตให้ถูกต้อง เด็กก็จะเป็นไปตามอารมณ์ ตามสิ่งแวดล้อม
สิ่งแวดล้อมในบ้านเมืองของเรานี้ อยากจะกล่าวว่าค่อนข้างจะเต็มที ไม่ค่อยดีนะสิ่งแวดล้อมนี้ อันตราย ถ้าเด็กได้ไปพบไปเห็น ไปสนุกสนานอย่างนั้นอันตราย เขาจะไปกันใหญ่ ที่สถานีโทรทัศน์ช่อง ๕ เขามีลานอยู่แห่งหนึ่ง วันอาทิตย์นี่คนจะมานั่งเต็มก่อนอาตมาไปถึง เต็มแล้ว พออาตมาไปถึง ยังไม่ถึงเวลาก็เดินไปเห็นตกใจเขามาทำอะไรกันมากมาย
เลยเข้าไปถาม พวกหนูมาทำอะไรกัน
มาฟังเพลงค่ะ
อ๋อ แล้วเขาแสดงเมื่อไหร่
เที่ยงครึ่ง
แล้วหนูมาตั้งแต่เมื่อไหร่
ออกจากบ้านตี ๕ แล้วมายึดที่นั่ง ถ้ามากัน ๓ คน ๔ คน ลุกไปคนเดียว ไปซื้อโอเลี้ยง ซื้อเครื่องดื่ม มานั่งดื่ม ไปหมดไม่ได้เดี๋ยวเพื่อนเอาที่ เลยต้องนั่ง นั่งอยู่นั่นอดทนเหลือเกิน อาตมาดูก็ เอ อดทนจริงๆ ถ้าเขาเอาความอดทนนี้ไปใช้ ในการทำงาน ในการเรียนหนังสือ หาความรู้ใส่สมองก็จะเป็นคนดีกับเขาได้ แต่ไม่อดทนในเรื่องที่ก้าวหน้า ส่งเสริมชีวิตไม่อดทน แต่อดทนที่จะไปนั่งคอยคนมาร้องเพลง
แล้วถามว่านี่ใครร้อง
พี่เบิร์ดค่ะ ชอบ
เขาชอบกันอย่างนั้น สนุกกันอย่างนั้น แล้วก็ติดส่ิงเหล่านั้น ลองสังเกตดูเด็กชอบเพลงใดมันก็ร้องได้ สมัยก่อนนี้หลวงวิจิตรแต่งเพลงปลุกใจ รักเมืองไทย ชูชาติไทย ทนุบำรุงให้รุ่งเรือง สมเป็นเมืองของไทย เด็กก็ร้องได้ทั่วประเทศ
ตื่นเถิดชาวไทย อย่าหลับไหลลุ่มหลง ชาติจะเรืองดำรง ก็เพราะเราทั้งหลาย ถ้ามัวหลับมัวหลง ชาติก็คงละลาย ตื่นเถิดพี่น้องทั้งหลาย ตื่นเถิดชาวไทย เด็กร้องกันทั่วไปหมด ไปที่ไหนก็ได้ยินเสียงเพลงนี้ทั้งนั้น
เอ้า เดี๋ยวนี้มันไม่มี เพลงนั้นหายหมดแล้ว มีแต่เพลงอะไรก็ไม่รู้ เด็กมันจำได้มันเอามาร้องกันตามเรื่อง
คนสมัยก่อนเขามีความคิดในทางสร้างสรรค์ อยากแสดงละคร ก็แสดงปลุกใจ เพื่อให้คนตื่นตัว ว่องไว ก้าวหน้า ให้เกิดความคิดความอ่านถูกต้อง
ในหลวงรัชกาลที่ ๖ ท่านเป็นนักประพันธ์ชั้นดีของเมืองไทย ท่านแต่งบทละครไว้เยอะ บทละครที่ท่านทรงแต่งนั้นไปอ่านดู เป็นบทปลุกใจ ให้คติสอนใจคนทั้งนั้น แล้วก็แสดงเป็นละครพูด ละครร้อง อะไรต่างๆ เป็นเรื่องสร้างจิตใจคน ให้เจริญด้วยคุณงามความดี มีอยู่มากมาย เป็นประโยชน์
แต่เดี๋ยวนี้ หนัง ละคร เพื่อสนุกสนาน ให้ยั่วกิเลส ให้คนสนุกสนานเพลิดเพลินติดอกติดใจ แต่ไม่ได้สร้างชีวิตจิตใจในทางดีงาม เอาแต่เรื่องสนุกเพื่อเอาสตางค์เท่านั้นเอง ให้คนดูแล้วก็ชอบใจ ไปดูบ่อยๆ ติดใจ เป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นละครแต่ละเรื่องก็มีแต่เรื่องรบรา ฆ่าฟัน เรื่องยิงกัน ปล้นกัน หักหลังกัน อะไร ทรยศกัน คนดูอะไรมาก มันเป็นอย่างนัั้น คนเราดูอะไรมาก ผ่านอะไรมาก มันเป็นอย่างนั้น
มีคนอินเดียคนหนึ่ง เป็นเด็ก อยู่กับพ่อแม่ ก็อ่านหนังสือออกแล้ว เขาชอบอ่านเรื่องชีวิตของฤาษี ชีวิตของฤาษี เขาก็อ่านทุกวัน ทุกวัน ทุกวัน เขาอยากเป็นฤาษี อยากจะไปอยู่ในป่า อยากจะไปนั่งภาวนา แต่ไปไม่ได้ เพราะยังเรียนหนังสืออยู่
แต่วันหนึ่ง น้องชายไม่ได้ไปเรียน เลยฝากเงินกับพี่ชาย บอกว่าพี่ไปโรงเรียน เอาเงินไปเสียค่าเทอมให้น้องด้วย น้องมันไม่สบายวันนี้ไม่ได้ไป พอรับเงินแล้วไม่ไปโรงเรียน เอาเงินนั้นไปซื้อตั๋วรถไฟหนีออกจากบ้านไป ไปไกลจากบ้าน ไปอยู่ ณ วัดแห่งหนึ่ง ไปนั่งอยู่หน้าวัด นั่งหลับตาอยู่หน้าวัด นั่งหลับตาตั้งแต่ เช้า เที่ยง บ่าย เย็น คนมาวัด มาเห็นไอ้เด็กคนนี้มันนั่งอยู่ตั้งแต่เช้า มันไม่ลุกขึ้นไปกินน้ำไม่ลุกขึ้นไปทำอะไร คนอินเดียเขาก็ชอบคนที่บำเพ็ญตบะ บำเพ็ญความเพียร เขาก็เอาข้าวมาวางไว้ เอาน้ำมาวางไว้ เจ้านั่นนั่งนานๆ ก็ลืมตา เอ๊ะมีข้าวนะก็กินซิกิน กินข้าว ดื่มน้ำ นั่งต่อเลย คนก็เอามาให้
แต่ว่าเด็กมันซุกซน เด็กเมืองแขก กับเด็กเมืองไทยก็เหมือนกัน มันชอบทดลองตบะ ตอนที่นั่งมันมาเล่นเกรียวกราวกันบริเวณนั้น ทำเสียงเอะอะ เจ้าฤาษีน้อยก็ไม่ลืมตาดู นั่งเฉย ไอ้พวกนั้นเห็นก็เอาใหม่ๆ อาดินผงๆ ไปโรยไว้บนหัว เอาดินขี้ผงมาโรยอยู่บนหัว ก็ไม่ลืมตาดู เอ ยังไงแล้ว หาหญ้า เศษเล็กๆ จ่อจมูก จ่อจมูกมันก็จามฟิด จ่อจมูกบ้าง จ่อหูบ้าง ก็ลืมตาดู ก็ไม่ไหวอยู่ตรงนี้มันรำคาญไอ้พวกเหล่านี้ ออกเดินทางต่อไป เดินไปป่า ไปจนถึงภูเขาเล็กๆ ชื่อ อนุรักษ์จนะ (33.27 เสียงไม่ชัดเจน) เลยไปนั่งอยู่ที่นั่น ไม่ลำบากเรื่องอาหาร คนเอามาให้ คนมาเห็นคนเดียวก่อน ได้เห็นว่าเด็กน้อยนี่บำเพ็ญตบะ บำเพ็ญความเพียร เขาชอบ คนอินเดียเขาชอบ ถ้าใครบำเพ็ญความเพียรเขาสนับสนุน เพื่อความพ้นทุกข์ ก็นำอาหารมาวางไว้ให้เขาได้รับประทาน เขาทำไปหลายปี ทำไปจนเก่ง คนเขามาสร้างอาศรมให้ สร้างสำนักให้บนยอดเขา แกมีอำนาจจิตสามารถที่จะบอกว่าวันนี้ใครจะมา มากี่คนแล้วให้เตรียมอะไรไว้ต้อนรับ ฝรั่งไปหาเยอะ กลายเป็นมหาฤาษี แห่งอนุรักษ์จนะ (34.27 เสียงไม่ชัดเจน) ส่ิงสำคัญเพราะว่าเด็กคนนี้อ่านแต่เรื่องฤาษี ในใจมันอยากเป็นฤาษีในนั้น
คนเราอ่านอะไรมากมันชอบมาก ถ้าเด็กอ่านเรื่องไอ้เสือ พอวางแล้วมันจะเป็นไอ้เสือ เพราะว่าไอ้สิ่งเหล่านั้นมันปลุกปลอบใจให้คิดอย่างนั้น
สมเด็จที่อยู่วัดจักรวรรดิ ชื่อสมเด็จธีร์ พระธีราจารย์ ท่านเป็นคนอำเภอปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมา เมื่อไปผูกพัทธสีมาที่ดอนนอน นั่งฉันข้าวด้วยกัน ฉันข้าวเสร็จเลยสัมภาษณ์
พระเดชพระคุณอยู่ปักธงชัย มากรุงเทพได้อย่างไร
ท่านก็เล่าให้ฟัง
บอกว่าผมนี่มันกำพร้าพ่อแม่ อยู่กับยาย ยายใช้ให้เลี้ยงวัว ไปเลี้ยงวัวใกล้วัด เลยได้เข้าไปกินข้าวกับพระในวัด เวลาไปกินข้าวที่พระฉันเหลือ มันอร่อยกว่าข้าวที่บ้าน
อร่อยยังไงครับ
มันมีน้ำแกง กินที่บ้าน กินกับปลาเค็ม ปลาแห้ง ไม่ได้น้ำแกง ฝืด ฝืด แต่พอไปกินที่วัด เอ มันได้กินน้ำแกง ชื่นใจ ชื่นใจก็เลยไปวัดบ่อยๆ จนยายบอกเอ็งชอบไปวัด ก็ไปอยู่วัดซิ มาอยู่วัด เรียนหนังสือ
เรียนหนังสือ มูลบทบรรพกิจ แต่งโดยพระยาศรีสุนทรโวหาร น้อย อาจารยางกูร สมัยก่อนเขาเรียนกัน ท่านอ่านหนังสือนี่แล้วใจอยากจะเป็นพระยาศรีสุนทรโวหาร เพราะว่าท่านเขียนหนังสือให้เด็กอ่าน เลยอยากเป็น อยากเป็น
แล้วต่อมาก็บวชสามเณร อ่านกัณฑ์เทศน์ ของเจ้าคุณ อุบาลี คุณูปมาจารย์ จันทร์ วัดบรมนิวาส อ่านแล้วชอบใจ อยากเป็นเจ้าคุณ อุบาลี พออ่านหนังสือเจ้าคุณอุบาลี อยากเป็นเจ้าคุณอุบาลี
แต่ว่าพูดกับตัวเองว่า เอ็งอยากแล้วจะเป็นได้อย่างไร อยู่ปักธงชัยไม่มีทางจะไปอะไรได้หรอก จะเป็นอะไรมันต้องออกจากปักธงชัยไปกรุงเทพถึงจะเป็นอะไรได้
สมัยเมื่อสมเด็จเด็กๆ นครราชสีมากับกรุงเทพ มันไกลกันคนละฟากฟ้านะ ไม่มีรถไฟ ต้องเดินผ่านดงพญาไฟ ปากช่องสมัยก่อนเรียกดงพญาไฟ เต็มไปด้วย ความไข้ ชุกชุม (37.40 เสียงไม่ชัดเจน) นั่งคิดนั่งฝัน เอ จะไปกรุงเทพได้อย่างไรน้อ คิดไปก่อน พอดีมีพระองค์หนึ่ง บอกว่า
เณร ฉันจะไปกรุงเทพฯ
โอ หลวงพี่ไปกรุงเทพรึ ผมขอไปด้วย อยากไปด้วย
แต่ท่านบอก เฮ้ย เดินไปนะ
หลวงพี่เดินได้ ผมก็เดินได้ ไปด้วยกัน เป็นเพื่อนกันไปในป่า
ออกจากปักธงชัย ก็เดินมาเข้าปากช่องดงพญาไฟ เดินกันจนเข้ามากรุงเทพ มาพักวันตะเคียน มหาพฤฒาราม แล้วก็อยู่ที่นั่นแหละ เรียนหนังสือ เรียนไปจนสอบได้เป็นเปรียญ ๓ ประโยค แล้วก็เรียนจนอายุ ๒๐ คิดจะบวช เอ บวชวัดไหนดี วัดตะเคียนนี่ไม่ค่อยดีเท่าไร เรียนหนังสือไปเท่าเดิมทุกวัน แต่คิดว่า วัดมหาธาตุซิเรียนเก่ง เอ วัดมหาธาตุนี่เรียนดี แต่ว่าอาหารแย่ ออกจากหน้าวัด สนามหลวงไม่มีคนใส่บาตร จะสวด ...ไม่มีข้าว (39.00 เสียงไม่ชัดเจน) ถนนราชดำเนินใส่แต่พระวัดอื่นเอาหมดไม่ไหว อยู่วัดมหาธาตุเห็นจะไม่ไหว เอ คิดไปวัดไหนดี วัดจักรรดิ วัดสามปลื้ม อยู่ใกล้เศรษฐี เศรษฐีสำเพ็งด้วยนะ ไปบวชวัดสามปลื้ม ไปอยู่ใกล้คนรวย ท่านคิดแบบนี้ ก็เลยไปบวชวัดสามปลื้ม อยู่วัดสามปลื้ม จนกระทั่งได้เป็นเปรียญ ๘ ประโยค มีชื่อ มหาธีร์ ป.๘ แค่นั้นแหละ ไม่ได้ ๙ ซักที เรียนไป เรียนภาษาอังกฤษบ้าง เรียนภาษาเขมรบ้าง เรียนเรื่อยไป ความรู้ท่วมหัว
สมเด็จนี่ถ้าท่านพูดเรื่องเมืองไทย หายไปยุโรป เล่าได้ไม่หยุด พูดไม่จบไม่เลิก เรื่องเยอะ ในที่สุดก็อยู่วัดจักรรดิ เวลาท่านสมภารมรณภาพ แต่ว่ามีเจ้าคุณองค์หนึ่งแก่กว่าท่าน สมเด็จวัดมหาธาตุเรียกไปถามว่า
พระที่มาจารวัคกับเธอนี่เป็นอะไรกัน
เป็นพระคู่สวดของเกล้ากระผม
เออ ให้พระจารวัคเป็นสมภารก่อนนะ (40.30 เสียงไม่ชัดเจน) เธอยังหนุ่มไม่เป็นไร แต่เธอต้องช่วยนะ อย่าไปไหน
ท่านจารวัคสิ้นบุญแล้วท่านก็ได้เป็นสมภาร เลื่อนชั้นขึ้นได้เป็นสมเด็จ เพราะว่าใจมันอยากนั่นเอง อยากในทางถูก จนได้มาอยู่กรุงเทพฯ เป็นสมเด็จได้
คนเราที่มันเก่งๆ ดีๆ นี่เพราะอยาก อย่างน้อยอยากจะมากรุงเทพฯ อยากเห็นกรุงเทพฯ มันขนาดไหน กรุงเทพฯ เป็นยังไง แต่พอมาเห็นเข้าจริงๆ ก็ไม่ไหว น้ำท่ามันสกปรกไม่น่าอาบเลย แต่ว่าเมื่อก่อนมันดีกว่านี้ เพราะความต้องการเกิดขึ้น
ที่นี้ความต้องการที่เกิดขึ้นในใจคนนี่ ถ้าเป็นความต้องการที่ดี มันก็ดันส่งไปในทางดี คิดเล่า คิดเรียน คิดก้าวหน้า เจริญงอกงาม
มีคนคนหนึ่งอยู่ตะกั่วป่า เป็นสามเณร รูปร่างดี คนเชื้อจีน รูปร่างดี ขาว บวชเณรแล้วสอนหนังสือเด็ก นั่งสอนหนังสือเด็ก พระยาวิชิตวงศ์วุฒิไกร …… (41.55 เสียงไม่ชัดเจน) ท่านชอบไปวัด เข้าไปในวัดเห็นเณรสอนหนังสือเด็ก ท่านชอบเข้าไปคุยด้วย บอกว่าเณรสอนหนังสือเด็กดี แล้วถามว่า
เณรอยากจะไปกรุงเทพไหม
เณรตอบก็ดี แต่ว่าถ้าไปไกลอย่างนั้นต้องปรึกษาคุณยายก่อน ถ้าคุณยายให้ไปก็ได้ ถ้าคุณยายไม่ให้ไปก็ไม่ได้
เจ้าคุณชอบใจ โอว เณรคนนี้ดี ดียังไง ดีเพราะเคารพผู้ใหญ่ จะไปไหนจะทำอะไรต้องปรึกษาผู้ใหญ่ สารสำคัญคือต้องปรึกษาผู้ใหญ่ ลูกเต้าของเรานี่ จะไปไหนจะทำอะไร มาปรึกษาคุณแม่ คุณพ่อ ใช้ได้นะ ถ้ามันทำเอาตามชอบใจนะไม่ได้ ไม่เคารพผู้ใหญ่ เหมือนพระในวัดจะไปไหนก็ไม่บอกสมภาร ไปเลยใช้ไม่ได้ พระดีต้องมาปรึกษา
ผมจะไปอินเดีย หรือจะไปนั่นไปนี่ มาปรึกษา
ไม่ใช่พอถึงวันไปมาถึงลา ผมจะไปอินเดีย องค์นี้จะไม่ได้สตางค์จากหลวงพ่อซักตังค์ เพราะว่าไม่เคารพ หลวงพ่อไม่ให้ นิสัยไม่ดี แต่ถ้าองค์ไหนมาปรึกษาหารือ
ผมเรียนจบมหาจุฬาแล้ว อยากจะไปเรียนต่ออินเดีย จะไปอย่างไรมาปรึกษา ให้เงิน ให้ทุนไปเรียน เพราะมันเรียบร้อย เลยให้ทุนไปเรียน
ลูกเต้าเราก็เหมือนกัน ถ้าจะไปไหนจะทำอะไรก็ปรึกษาคุณแม่ เช่นว่า จะมีเหย้ามีเรือนมาปรึกษาว่า
หนูจะแต่งงาน
แล้วจะแต่งกับใคร คนนั้น คนนี้ ก็ดูไปก่อน ดูไปก่อน คราวหลังพามาให้แม่ดูหน่อย พาอนาคตลูกเขยมาให้แม่ดู แม่ดู ชวนพูด ชวนคุย หยั่งความรู้ ความสามารถ นิสัยใจคอ คุณแม่เขาอยากได้ คุยกันพอรู้ว่าพอใช้ได้ แม่ก็ว่า ไม่เป็นไรลูกเอ้ย
แต่ถ้ามันแต่งกันตามชอบใจ จดทะเบียนไม่บอกแม่ ไม่ได้เรื่อง วันหลังมีเรื่องคุณแม่จะช่วยก็ไม่ได้
เราอยุ่กับใครมันต้องเคารพผู้นั้น อยู่กับพ่อแม่ต้องเคารพพ่อแม่ อยู่กับครูเคารพครู อยู่กับนายเคารพนาย อย่าทำอะไรตามลำพังต้องปรึกษาผู้ใหญ่ การเข้าไปปรึกษาผู้ใหญ่นั้น ผู้ใหญ่ดีใจ เอ็นดูเรา แล้วจะช่วยเราได้ มันเป็นอย่างนั้น
เณรคนนั้นบอกว่าไปกรุงเทพ หรือไม่ไปก็สุดแล้วแต่คุณยาย ถ้าคุณยายให้ไปก็ไปได้ ถ้าคุณยายไม่ให้ไปก็ไปไม่ได้
เออ ยายอยู่ที่ไหน
อยู่หน้าวัดนี่เอง
เอ้า พาโยมไปหน่อย
ก็พาไปพบคุณยาย คุยกับคุณยาย
แล้วก็บอกว่าอยากจะขอสามเณร หลานยายนี่ไปกรุงเทพฯ
โอ้ว สาธุ เอาไปเถอะเจ้าประคุณ ยายชอบใจ ได้เลย
ก็พามากรุงเทพฯ มาเรียนหนังสือธรรมะก่อน แต่ต่อมาก็ เณรอยากเรียนโรงเรียนนายร้อย สมัยก่อนมันมีนายร้อยชั้นประถม ลูกเจ้าคุณก็เรียน แล้วก็ลาสึกไปเรียนนายร้อย เรียนดี ฐานมันดี ฐานมันดีตรงไหน ตรงที่เคารพผู้ใหญ่เลยเรียนดี จนได้สำเร็จเป็นนายร้อย รับราชการ จนเป็นนายพลโท เจ้ากรมแผนที่ หลวงพ่อไปเทศน์กรมแผนที่ ท่านเอารถมาส่ง เลยคุยกันรู้เรื่อง ก็คนตะกั่วป่า อยู่บ้านตะกั่วป่า ลูกชายมี ๒ คน ทหารอากาศคนหนึ่ง ทหารบกคนหนึ่ง เวลานี้ก็แก่แล้ว เป็นคนดีทั้งคู่ เพราะพ่อแม่ดี มันเป็นอย่างนี้
ฐานชีวิตมันเป็นอย่างนี้คนเรา ถ้าว่าได้พ่อแม่ดี แล้วเด็กเชื่อฟังมันก็ดี คราวนี้เราต้องให้ลูกได้พบสิ่งดี สิ่งงาม มาวัดเอาลูกมาบ้าง พามาให้เป็นนิสัย คนโบราณเขาว่าสร้างนิสัย
สร้างนิสัยคือให้ได้มาคุ้นเคยกับวัดวาอารามกับพระสงฆ์องค์เจ้า สร้างฐานชีวิตให้มันดีขึ้น ไม่ต้องพาไปโรงหนังไปฟังเพลงหรอกมันยุ่ง แต่เรานำเข้าวัดเข้าวา สั่งสอนอบรมบ่มนิสัยในทางที่ดีที่งาม ให้ได้พบปะคนดี สถานที่ดี เขาก็จะรับสิ่งนั้นไปไว้ในสมอง จะได้เป็นคนดีต่อไป ก็จะมีความเจริญก้าวหน้า
อันนี้เป็นเรื่องที่สำคัญเรื่องหนึ่งเหมือนกัน จึงอยากจะนำมาพูดกับญาติโยมทั้งหลาย เพื่อได้นำไปใช้เป็นเครื่องมือแก้ไขลูกเล็กเด็กน้อยต่างๆ ช่วยสร้างฐานดีให้แก่เด็ก ทำลายสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ให้ลูกเราเจริญด้วยคุณธรรม จะได้เป็นประโยชน์แก่ชาติ ศาสนา ต่อไปในกาลข้างหน้า
แสดงมาก็พอสมควรแก่เวลา ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ ขออวยพรให้ญาติโยมทั้งหลาย จงเจริญงอกงามในธรรมะของพระพุทธเจ้าส่งทั่วกันถึงทุกท่านทุกคนเทอญ จากนี้ไปก็เชิญญาติโยมนั่งสงบใจเป็นเวลา ๕ นาที