แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
พุทธบริษัททั้งหลาย ณ บัดนี้ถึงเวลาของการฟังปาฐกถาธรรมะ อันเป็นหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนาแล้ว ขอให้ทุกท่านที่มีโอกาสรับฟังจงตั้งอกตั้งใจฟังด้วยดี อย่ามัวเดินไปเดินมา นั่ง ณ ที่ใดที่หนึ่ง ที่สามารถจะได้ยินเสียงชัดเจน หยุดพูดหยุดสนทนากัน แล้วก็ตั้งใจฟังด้วยดี เพื่อให้ได้ประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการมาวัดตามสมควรแก่เวลา
เพราะว่าการมาวัดนั้น จุดหมายสำคัญอยู่ที่การศึกษา เรามาวัดนี่เรามาเพื่อการศึกษาหาความรู้ความเข้าใจในหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า เพื่อจะได้นำไปเป็นหลักปฏิบัติในชีวิตประจำวันต่อไป เพราะในชีวิตประจำวันนั้นมีปัญหา มีความกลุ้มใจ มีความขัดข้องด้วยประการต่างๆ อันเป็นเรื่องธรรมดา ถ้าเราไม่รู้ธรรมะก็ไม่รู้จะแก้ไขอย่างไร ปัญหามันก็เกิดมากขึ้นเหมือนดินพอกหางหมู ทำให้ลำบากเดือดร้อน แต่ถ้าเรารู้ธรรมะ เราก็เอาธรรมะนั้นไปช่วยแก้ปัญหา ปัญหาก็จะผ่อนคลายและอาจจะไม่เกิดอีกต่อไป
ถ้าเรารู้ว่าทุกข์คืออะไร เหตุของความทุกข์คืออะไร ทุกข์เป็นเรื่องแก้ได้ เราจะแก้ได้โดยวิธีใด เราเข้าใจวิธีนั้นถูกต้องก็สามารถจะแก้ไขปัญหา และสามารถที่จะป้องกันไม่ให้ปัญหาเกิดก็ได้ เพราะเรารู้ทางเกิดของความทุกข์ เมื่อเรารู้ต้นทางของมันเราก็ตัดมันเสียไม่ให้มันเกิดต่อไป ชีวิตในโลกก็จะสดชื่น ไม่มีความทุกข์มากเกินไป
ตามปกติเรามีชีวิตประจำวัน ก็มีเรื่องนั้นบ้าง เรื่องนี้บ้างเกิดขึ้น ทำให้เกิดปัญหา เกิดความทุกข์ เกิดความเดือนร้อนใจ ก็เพราะว่าเราไม่รู้นั่นเอง เหมือนเราไม่รู้จักเสือ จะเข้าไปเกาคางเสือนี่ ยังไม่ทันเกา เสือมันจะกัดเสียก่อนฉันใด ในเรื่องเกี่ยวกับชีวิตของเรานี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราไม่เข้าใจปัญหา ไม่รู้เหตุของปัญหา ไม่รู้ความดับของปัญหา ไม่รู้วิธีดับปัญหา ก็เกิดความทุกข์ความเดือดร้อนมากขึ้น ตรมตรอมใจมากขึ้น จนกระทั่งไม่รู้จะทำอย่างไร อาจจะทำลายตัวเองเสียก็ได้ ดังปรากฏเป็นข่าวบ่อยๆ ว่ามีการทำลายตัวเอง คนที่ทำลายตัวเองด้วยวิธีใดก็ตาม เป็นคนที่ไม่รู้จักตัวเอง ไม่รู้จักเรื่องที่เกิดขึ้นในตัว ไม่รู้เหตุของเรื่องนั้น แล้วไม่รู้ว่าจะแก้ไขเรื่องนั้นอย่างไร จนปัญญา เหมือนไปถึงทางตันออกไม่ได้ ก็เลยทำลายตัวเอง อย่างนี้มีอยู่บ่อยๆ น่าเสียดายชีวิตที่เกิดมาแล้วไม่ได้ทำประโยชน์แก่แผ่นดินที่เราอยู่อาศัย รีบตายเสียก่อนด้วยเหตุอันไม่สมควร นี่ก็เพราะว่าบกพร่อง ชีวิตที่บกพร่องคือไม่เข้าวัด ไม่ฟังธรรมะ หรือไม่อ่านหนังสือทางธรรมะ อันเป็นสิ่งที่ควรจะนำมาใช้เป็นเครื่องประเล้าประโลมใจ ปลอบใจตนเองให้คลายจากทุกข์ความเดือดร้อนใจ เราไม่ได้ศึกษาไม่ได้ทำความเข้าใจ จึงอยู่ด้วยความมืดความบอด ที่พระท่านเรียกว่า “อวิชชา”
“อวิชชา” ก็คือ ความไม่รู้ไม่เข้าใจ ไม่รู้ไม่เข้าใจในเรื่องทุกข์ เรื่องเหตุให้เกิดทุกข์ เรื่องความดับทุกข์ และแนวทางอันเป็นข้อปฏิบัติเพื่อให้ถึงความดับทุกข์ นี่เขาไม่เข้าใจ ก็เลยไม่รู้จะแก้ไขปัญหาชีวิตอย่างไร บางคนก็ไม่ถึงกับฆ่าตัวตาย แต่ว่าทำตัวเองให้ตกต่ำด้วยการดื่มเหล้าเมายา เที่ยวเสเพลเฮฮา หาความสนุกไปวันหนึ่งๆ โดยไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม มีชีวิตอยู่เพื่ออะไร ควรจะใช้ชีวิตในทางที่ถูกที่ชอบอย่างไร เขาไม่เข้าใจ ที่ไม่เข้าใจก็เพราะไม่มีโอกาสเข้าใกล้ผู้รู้ ไม่ได้ฟังคำสอนที่ถูกต้อง ไม่ได้มีโอกาสคิดตรองให้เข้าใจ แล้วก็ไม่ได้นำไปเป็นหลักปฏิบัติ มันจึงเป็นอย่างนั้น ใครอยากจะเป็นอยู่ในรูปอย่างนั้นบ้าง ถ้าเรียกมาถามทีละคน เรียกว่าสัมภาษณ์รายบุคคล คงจะไม่มีใครที่ต้องการสภาพเช่นนั้น แต่ก็ต้องการชีวิตที่ราบรื่นเรียบร้อย ไม่ค่อยจะมีปัญหา แต่ว่ามันจะเกิดขึ้นได้อย่างไร เมื่อเราไม่เรียนรู้ในเรื่องเกี่ยวกับชีวิตที่ถูกต้อง มันก็ช่วยไม่ได้ เพราะฉะนั้น เราจึงต้องมาศึกษาธรรมะในวันอาทิตย์หรือในวันพระ บางคนก็มาวันพระ บางคนก็มาในวันอาทิตย์ สุดแล้วแต่ความสะดวก
คนแก่ที่ไม่ได้ทำงานทำการแล้ว วันพระเข้าก็ไปทำวัตรกัน ไปตามวัดต่างๆ มีคนแก่อยู่จำนวนหนึ่งไปวัดพระแก้ว ไปวัดพระแก้วแล้วมันก็ดีไปอย่าง คือไม่ยุ่งกับใคร คือไม่มีพระทำให้ยุ่งเพราะไม่มีพระสงฆ์ มีแต่พระพุทธรูปเป็นสิ่งแทนองค์ความดีของพระพุทธเจ้า เขาก็ไปนั่งฟังธรรม ไปนั่งสงบจิตสงบใจ ไม่ต้องรำคาญด้วยใบฎีกาที่พระทำมาแจก เพราะที่นั่นไม่มีพระ ก็สบายไปเรื่อง อิสระ จะไปนั่งมุมไหนของวัดก็ได้ แต่อาจจะรำคาญเพราะนักท่องเที่ยว เพราะนักท่องเที่ยวมามากในสมัยนี้ เดินกันเป็นขบวนเลยทีเดียวมากมายก่ายกอง ก็เป็นรายได้ของวัดเหมือนกัน เพราะคนต่างประเทศไปชมวัดพระแก้วต้องเสียสตางค์ เขาไม่ให้เข้าไปเฉยๆ แต่เสียรวมหมด ชมมหาราชวังอะไรด้วย คนจึงไปกันมาก แต่ถ้าเป็นวันพระคนก็ไปฟังธรรม นิมนต์พระมาเทศน์ตอนเช้า-เทศน์ตอนบ่าย ๒ กัณฑ์ ก็ได้มีโอกาสฟังธรรม ถ้าเป็นวันอาทิตย์ก็เทศน์เช้า-เทศน์บ่ายเหมือนกัน ญาติโยมที่ไม่ชอบไปวัดก็ไปที่นั่น ไปฟังที่นั่น นั่งสนทนากับพรรคพวกเพื่อนฝูง
เคยไปเทศน์เห็นคนแก่ๆ หลายคนที่ยังไม่ตาย ไปทีไรก็พบทุกทียังอยู่ แก่มากพอสมควรแต่ก็ยังอยู่ แล้วก็ได้พบคนที่ทำมาหาเลี้ยงพระก็เป็นคนแก่ๆ ทั้งนั้น ไม่ค่อยมีคนใหม่ๆ แต่มีลูกหลานของคนแก่มาช่วยบ้าง คนเหล่านั้นเป็นข้ารับใช้ในหลวง อยู่กับในหลวงมาหลายชั่วคน สืบต่อกันมาโดยลำดับ ตั้งแต่ปู่ ย่า ตา ยาย จนถึงหลาน เหลนก็อยู่ในวัง ทำงานอยู่ในวัง เป็นข้ารับใช้ในหลวงมาตั้งแต่เก่าแก่ ก็อยู่กันต่อๆ ไป ทำงานไป ตายไปบ้างแล้ว แต่ว่าที่ยังอยู่ก็ยังอยู่ทำกันต่อไปไม่หยุดไม่ยั้ง เป็นงานส่วนหนึ่งของในหลวงเหมือนกัน เป็นพระราชกุศลประจำ อาหารที่เอามาเลี้ยงพระก็เป็นอาหารจากทรัพย์ของราชการ คือ ของสมเด็จพระพันวัสสา สมเด็จย่าของในหลวงองค์ปัจจุบัน ท่านตั้งต้นไว้ ผู้ดูแลทรัพย์สมบัติก็เก็บดอกเก็บผลมาใช้จ่ายประจำทุกเดือน สำหรับเลี้ยงพระที่มาแสดงธรรม แล้วก็บำรุงพระที่ท่านเคยบำรุงของวัดต่างๆ เช่น วัดเบญจมบพิตรบ้าง วัดราชาธิวาสบ้าง ท่านเคยบำรุงมาอย่างไรก็ทำสืบต่อกันมา ไม่ตัดไม่เลิก ในหลวงก็ทรงทำต่อ ก็เป็นทรัพย์สมบัติของสมเด็จย่าที่ท่านตั้งไว้ ผู้จัดการผลประโยชน์ก็ต้องเอามาใช้จ่ายไปตามเรื่องตามราว กิจการจึงได้ดำเนินตลอดมาโดยลำดับ คนก็ไปฟังกัน ศึกษาธรรมะกัน
แต่ว่าตอนนี้เขาซ่อมโบสถ์พระแก้ว ไม่ได้เข้าไปเทศน์ในโบสถ์ ไปเทศน์ที่หอธรรม หอธรรมก็เป็นวิหารหลังหนึ่ง สมัยก่อนนี้เขาเรียกว่า “หอมณเฑียรธรรม” ทำด้วยไม้ สำหรับเก็บพระไตรปิฎกฉบับลานทองที่สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๑ พระไตรปิฎกฉบับนี้เป็นการทำสังคายนาเมื่อสมัยรัชกาลที่ ๑ เพราะท่านทรงเห็นว่ากรุงแตก หนังสือเสียหาย ของดีๆ ก็ถูกเผาไปเยอะในกรุงศรีอยุธยา พระไตรปิฎกก็กระท่อนกระแท่นไม่ค่อยจะสมบูรณ์ จึงให้คนไปเที่ยวหาตามที่ต่างๆ เพื่อเอาต้นฉบับมาใช้ ผลที่สุดก็ไปได้มาจากเมืองนครศรีธรรมราช เพราะเมืองนครศรีธรรมราชไม่ถูกพม่ารุกราน ไม่ได้เข้าไปรบและไม่ได้เสียหาย พระไตรปิฎกยังอยู่เรียบร้อย ก็ขนมากรุงเทพ เอามาทำการคัดลอกลงในใบลาน แล้วก็ปิดทองสวยงาม เรียกว่า “พระไตรปิฎกลานทอง”
ใบลานนี่อายุยืนเก็บได้นาน ดีกว่ากระดาษ ไม่ค่อยเก่าไม่ค่อยผุ เขาก็เก็บไว้ที่หอมณเฑียรธรรม แต่ต่อมาหอนั้นถูกไฟไหม้ แต่พระไตรปิฎกไม่ทันไหม้ คนช่วยกันขนออกมาได้ ทีหลังก็สร้างเป็นวิหาร คล้ายกับโบสถ์แต่เป็นวิหาร เอาพระไตรปิฎกไว้ที่นั่น ตอนหนึ่งเขาซ่อมโบสถ์พระแก้วก็เลยไปเทศน์กันที่นั่น เวลานี้ซ่อมหอมณเฑียรธรรมอีก ก็เลยมาเทศน์ที่หลังโบสถ์พระแก้วก็กว้างเหมือนกัน คนนั่งกันเต็มบริเวณนั้น ส่งเครื่องขยายเสียงออกไปข้างนอกก็นั่งฟังกันได้ชัดเจน ลมพัดเย็นสบายดี เมื่อวันก่อนไปเทศน์มารู้สึก โอ ดีเหมือนกันตรงนี้ ไม่ต้องเข้าไปในโบสถ์เพราะในโบสถ์กำลังซ่อมที่ประดิษฐานพระแก้ว เป็น(นาทีที่ 13.42 ฟังไม่ชัด)ทำด้วยไม้ อายุมันตั้ง ๒๐๐ ปี ก็เรียกว่าผุไปตามอายุ เลยทำใหม่ เขาจึงไม่ให้คนเข้าไปนมัสการในสถานที่นั้น เป็นอย่างนี้ เป็นที่แห่งหนึ่งที่เผยแผ่ธรรมะ
สมัยก่อนนี้ตามหมู่บ้านที่มีคนมากๆ เขามักจะปลูกศาลาไว้หน้าบ้านหรือศาลากลางบ้าน ถ้าฤดูกาลเข้าพรรษาก็นิมนต์พระมาแสดงธรรม พระองค์หนึ่งก็แสดง ๓ ครั้ง แล้วก็ถวายเครื่องกัณฑ์กลับไป ทำอย่างนั้นสืบต่อกันมา
ต่อมานี่ ไปสืบถามตามบ้านที่เคยทำอย่างนั้นไม่มีแล้ว ศาลาพังแล้ว แล้วก็ไม่มีใครสร้างซ่อม การเทศน์ก็เลยหายไป ไม่ค่อยมีคนสนใจฟัง ตามวัดบางแห่งก็เทศน์ทุกคืนแต่เดี๋ยวนี้ไม่ได้เทศน์ ถามว่าทำไมไม่เทศน์ บอกว่าไม่มีคนฟัง แล้วคนฟังที่เคยฟังหายไปไหน ตายไปเรื่อยๆ ทีละคนสองคนจนตายหมด อ้าว เราไม่สร้างคนฟังขึ้นใหม่ คือไม่ฝึกเด็กหรือเยาวชนให้ไปฟังธรรม พอคนแก่ตายหมดก็เลยหมดคนฟัง อย่างนี้มันเสียหาย จึงต้องสร้างคนฟังสืบต่อไว้ แล้วก็เทศน์สืบๆ ไว้ ไม่ให้สูญหายไปไหน อย่างนี้ก็จะเป็นการดี เป็นการช่วยจุดไฟให้สว่างแก่จิตใจ คนที่ต้องการแสงสว่างก็จะได้มาศึกษาเอาไปใช้ในชีวิตประจำวันต่อไป สำหรับที่วัดชลประทานรังสฤษดิ์นี้ ก็ได้แสดงธรรมวันอาทิตย์และวันพระด้วย แต่วันพระแสดงที่หอศาลาฉัน พอญาติโยมมาแล้วก็นอนกันที่นั่น ถ้าเป็นในพรรษาก็แน่นหน่อยคับแคบ แต่ไม่เป็นไรพอนอนกันได้ วันอาทิตย์ก็เทศน์ที่นี่ ทำกันมาเป็นเวลาหลายสิบปีแล้ว ๓๕-๓๖ ปี
ทีนี้ การเทศน์ทางวิทยุก็ยังเทศน์ไม่เปลี่ยนแปลง แต่โทรทัศน์นี่เกิดการเปลี่ยนแปลงเพราะเรื่องวัตถุนิยม วัตถุนิยม คือ นิยมในปัจจัยลาภผลที่จะได้จากให้เวลา เขาจึงได้เปลี่ยนเวลาอีก เมื่อก่อนนี้เทศน์อยู่ สิ้นเดือนนี้เขาเปลี่ยน วันที่ ๗ พฤษภาคมก็เปลี่ยน คือเปลี่ยนให้อาตมาเทศน์ ๕ นาที ให้พูด ๕ นาที แล้วเวลาที่เหลือนั้นไปเที่ยวถ่ายภาพ ภาพวัดนั้นวัดนี้เอามาให้คนดู แล้วอนุศาสนาจารย์พูดต่อท้ายนิดหน่อย อาตมาบอกว่ามันจะไม่ได้เรื่องนะทำแบบนี้ ก็มาอัดแล้ววันก่อน มาอัดที่หน้ากุฏิ ๕ นาที อัดให้ไปแล้ว แล้วก็บอกว่ามันน้อยไป คนที่ฟังหลวงพ่อนี่ไม่ใช่คนเด็กๆ เป็นผู้ใหญ่ที่เขาฟังกันมานาน เขาฟังจนติด ถ้าไม่ได้ฟังแล้วเขาไม่สบายใจ อันนี้ถ้าเปิดแพล็บหนึ่งหลานเรียกยายให้มาฟัง คุณยายเดินยังไม่ทันถึงหน้าจอโทรทัศน์ก็ปิดเสียแล้ว คุณยายก็จะเสียอกเสียใจ อย่างนี้มันไม่ถูกนา ควรจะปรับปรุงใหม่ ใครวางโปรแกรมใหม่ไม่เข้าเรื่อง แล้วก็มีภาพวัดบ้าง มีเสียงเพลงอะไรต่ออะไรบ้างตามสมัยนิยม ซึ่งมันไม่ค่อยจะถูกต้องเท่าใด ปล่อยให้พระเทศน์ไปตามสบายซักครึ่งชั่วโมง ความจริงก็ไม่ถึง เขาให้ ๒๕ นาที ค่อยลดลงมาเรื่อยๆ ก่อนนี้ให้ ๔๕ ลดลงมาเหลือ ๓๐ เดี๋ยวนี้จะลดลงไปเหลือ ๕ นาที มันลดลงไปเรื่อยๆ ผลที่สุดพระก็เบื่อไม่อยากจะไปเทศน์มันก็หายไปเท่านั้นเอง แต่ว่าตอนนี้ยังไม่เบื่อ (18.40 เสียงไม่ชัดเจน)ไปก่อน ค่อยพูดค่อยจาทำความเข้าใจกับผู้จัดการ เพราะว่าการจัดการนั้นเขายกให้บริษัทไปเลย ให้บริษัทเอาไปเลย สุดแล้วบริษัทจะจัดอย่างไร ไปหาเงินอย่างไร ปีหนึ่งเอาเงินมาให้ทหารบกเท่านั้น สุดแล้วจะทำ อันนี้คนที่จัดก็ต้องจัดถี่ยิบเพื่อหาทุนมาให้ได้กำไร ให้ได้กำไรก็ต้องขายเวลามาก แล้วการขายเวลานั้นก็ไม่กำจัดเรื่อง เอาเรื่องที่ว่าน่าสนใจ คนชอบดูคู่ไปกับการโฆษณาสินค้าก็จะได้เงินมาสำหรับมอบให้กองทัพบกต่อไป
คิดดูแล้วมันกลายเป็นวัตถุนิยมจัดไป ไอ้ที่ทำมาก่อนมันก็ดีแล้วไม่ได้เสียหายอะไรและเป็นที่พอใจของญาติโยม ฟังกันทั่วบ้านทั่วเมือง พอ ๒ โมงเช้า โยมก็เปิดฟังทั่วกัน แต่ต่อมาเปลี่ยนเวลาเป็น ๖ โมง ๕๕ นาที โยมไม่ได้ฟังแล้วหมดแล้ว มาต่อว่าต่อขานโทรศัพท์มาถาม หลวงพ่อไม่เทศน์โทรทัศน์แล้วรึ บอกว่ายังเทศน์อยู่ เอ เปิดแล้วไม่เห็นมี ก็รับกันไม่ตรงเวลา บอกว่าเขาเปลี่ยนเวลา เขาเปลี่ยนมาเป็น ๖ โมง ๕๕ (นาที) (20.11 เพื่อความเข้าใจ ควรพิมพ์คำว่า “นาที”) แล้วบอกว่ามันยังอยู่ในห้องน้ำ ไม่ออกมาดู บางคนยังไม่ตื่นเพราะเป็นวันอาทิตย์คนก็นอนสายหน่อยยังไม่ทันตื่น ถ้า ๒ โมงเช้ามันพอดีๆ พอแล้ว แต่ว่าเขาก็เปลี่ยนเวลาไปหาเงินกันนั่นเองไม่ใช่เรื่องอะไร เอาเวลาไปให้พ่อค้าจะได้เอาเงินเข้าสถานีกันต่อไป เรื่องมันเป็นอย่างนี้ เขาเรียกว่าถูกเบียดด้วยเงินจนธรรมะชิดซ้ายไปเลย ตอนนี้ธรรมะชิดซ้ายไปเลย นานๆ ก็หล่นตกคูไปเลยเพราะว่าถูกเบียดอย่างนั้น เป็นการที่ลำบาก เพราะว่าเราก็เขานิมนต์ให้สิทธิ์ก็ดีแล้ว ไม่มีอำนาจอะไรที่จะไปเจรจากับหัวหน้าสถานี ผู้จัดการ ผู้อำนวยการ ไม่ได้พบกัน รู้จักแต่ชื่อแต่ไม่ได้พบกัน ถ้าได้พบตัวก็อยากจะพูดกันเหมือนกัน อยากจะพูดให้เห็นประโยชน์ของธรรมะ ให้สงสารคนที่เขากระหายธรรมะ เขาอยากจะฟังธรรมะจะได้มีโอกาสฟังบ้างตามโอกาส
เวลามันมีมากมาย สัปดาห์หนึ่งให้ธรรมะเพียง ๓๐ นาทีเท่านั้น สถานีไม่ถึงกับล่มจมเสียหายยังตั้งอยู่ได้ ก็ตั้งมาหลายสิบปีแล้ว แล้วก็พระไปเทศน์อยู่ก็ไม่เห็นล่มจมเสียหาย ทำไมจะต้องพัฒนาจนเวลาธรรมะมันเหลือนิดเดียวก็อยากจะพูดกันเหมือนกัน แต่ยังไม่มีโอกาสพบหน้าค่าตาจึงปล่อยไว้ก่อน แต่ว่าเดือนพฤษภาคมนี้ก็เทศน์ต้นเดือน แล้วก็หายหน้าไปเพราะหลวงพ่อไม่อยู่ จะเดินทางไปต่างประเทศ ไปวันที่ ๑๑ พฤษภาคม เวลากลางคืน แล้วไปกลับเอาวันที่ ๓๐ มิถุนายน แต่รายการวิทยุนี้ไปอัดไว้แล้ว เทศน์เดือนพฤษภาแล้ว อัดแถมเดือนมิถุนาไว้ ญาติโยมที่ฟังวิทยุก็จะได้ฟัง กลับมา ๓๐ ก็ทันวันอาทิตย์แรกของเดือนกรกฎาคม ก็จะได้ไปเทศน์ทางสถานีวิทยุต่อไป
เดี๋ยวนี้การไปต่างประเทศนี่ไม่ชื่อว่าไปเที่ยว ไปทุกปี บางคนนึกว่าหลวงพ่อนี่ไปเที่ยวทุกปี ไม่ได้เที่ยว คือว่าไปไหนนี่ไม่ได้ไปเที่ยว ไม่มีโอกาสไปเที่ยว ไปทำงานทั้งนั้น ไปทำงาน เสร็จงานก็ต้องกลับ เมื่อวานนี้ก็ไปจันทบุรี ออกจากวัดบ่ายโมง ไปถึงโน่น ๕ โมงเย็น ก็นั่งรอเวลา ๑ ทุ่ม ๑๕ นาทีได้เทศน์ ความจริงนัด ๑ ทุ่ม แต่คนเขายังไม่มา ทุ่ม ๑๕ นาทีก็เริ่มเทศน์ เทศน์จบ ๘ โมง ๔๕ (นาที)(นาทีที่ 23.41), ๓ ทุ่มหรือ ๒๑ นาฬิกาก็เดินทางกลับ กลับรถกลางคืนมาเรียบร้อย แต่ว่าติดบ้างตอนรถมันมาก รถมากเป็นรถขนทุเรียนทั้งนั้น สิบล้อ หกล้อ สองแถว ขนทุเรียน ทุเรียนกองเป็นพะเนิน ตามสถานที่ขายทุเรียน ทำให้รู้สึกว่า โอ ทุเรียนมากจริงมาจันทบุรี ขนไปขายกัน ก็มาถึงวัดตี ๑ กว่าเล็กน้อย อาบน้ำอาบท่า แล้วก็ได้จำวัดก็ตี ๒ พอตื่นเช้าก็มาทำงานกับญาติโยมอย่างนี้ต่อไป
แต่ว่าก่อนที่จะเช้าขึ้น อ้าว พระจะลาสิกขา พวกบวชวันที่ ๑ เมษายน ลาวันแรก เอาที่ไว้ให้พวกที่จะบวชวันที่ ๑ พฤษภาคม วันพรุ่งนี้ต่อไป พรุ่งนี้บวชร้อยกว่ารูปก็ต้องมีที่ให้เขา ให้อยู่เดือนหนึ่งเขาก็ลากลับบ้านทำงาน ไปไหนก็ไปทำงานไม่ค่อยมีโอกาสไปเที่ยว จมนั่นจมนี่มันไม่ค่อยมี เว้นไว้แต่ว่าเวลามันเหลือ เขาก็แถม (25.02 เสียงไม่ชัดเจน) ให้บ้าง พาไปดูนั่นดูนี่ ที่ควรดูควรชม
การไปต่างประเทศนี่ ที่สำคัญก็ไปที่วัดอมราวดี วัดอมราวดีนี้เป็นวัดที่คณะท่านสุเมโธ เดี๋ยวนี้เป็นเจ้าคุณแล้วเขาตั้งชื่อให้ว่าพระสุเมธ ... (25.26 เสียงไม่ชัดเจน) เป็นศิษย์หลวงพ่อชาเป็นพระฝรั่ง เมื่อหลวงพ่อชาไปลอนดอนก็เอาพระฝรั่งไปด้วย ๕ รูป ไปถึงโน่นแล้วท่านก็กลับ ท่านก็ทิ้งไว้ที่นั่น ให้ทำงานเผยแผ่ธรรมะที่นั่น เขาทำงานได้ผลมากเพราะว่าฝรั่งเลื่อมใส มาบวชเป็นพระมาบวชเป็นชี แล้วก็มาสวดมนต์ไหว้พระนั่งกรรมฐานเป็นประจำ ถ้าเป็นคืนวันเสาร์-คืนวันอาทิตย์ก็มากหน่อย แต่บางคนก็มาไม่เหมาะกับวันที่เขาหยุดงาน เช่น บางคนมาวันจันทร์ได้ บางคนมาวันอังคาร บางคนมาวันพุธ วันพฤหัส อะไรก็มากัน มาก็ตอนเย็นก็ทำวัตรสวดมนต์ ก่อนนี้ไม่ได้แปล แต่เดี๋ยวนี้เขาแปลเป็นภาษาอังกฤษ เหมือนกับเราสวดแปลไทย แต่เขาแปลเป็นภาษาอังกฤษ สวดมนต์เสร็จแล้วก็นั่งกรรมฐาน ประมาณสัก ๔๕ นาที ฝรั่งเขามานั่ง นั่งกัน ๔๕ นาที เสร็จแล้วก็ฟังธรรม พระที่เป็นหัวหน้าก็ต้องแสดงธรรมให้คนที่มา ทั้งพระด้วยได้ฟังกัน ถ้าหลวงพ่อไปเขาก็เกณฑ์ให้เทศน์ทุกหนทุกทีแต่ต้องใช้ล่าม เทศน์ภาษาอังกฤษมันก็ไม่ค่อยคล่องนึกไม่ทัน ก็ใช้ล่ามแปลให้เขาฟังกัน
เวลาเช้าตี ๔ เขาก็ตีระฆังลุกขึ้น พระ แม่ชี ก็มาประชุมกันทำวัตรเช้า ทำวัตรเช้าแล้วก็นั่งภาวนา จนกระทั่งถึง ๑ โมงเช้า ๑ โมงเช้าก็ฉันเครื่องดื่ม เขาทำมาเครื่องดื่มแจกคนละถ้วย ถ้วยดินคงขนาดนี้ ตักถวายแจกองค์ละถ้วยๆ ฉันก่อนแล้วก็ไปบิณฑบาต ไปบิณ(ฑบาต) (27.51 หลวงพ่อเทศน์แค่ว่าไป “บิณ”) ก็ได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่ให้ไปบิณ(ฑบาต) ไปบิณ(ฑบาต)เพื่อเอาคนไม่ใช่เอาของ เดินให้คนเห็น แล้วคนเขาจะได้ถาม ถามว่าพวกท่านนี้มาจากไหน ทำไมแต่งตัวอย่างนี้ แล้วนี่ถืออะไร เอาไปทำอะไร ได้คุยกัน คุยกันให้รู้เรื่อง คุยกันบางคนก็สนใจมาถึงวัดได้มาคุยกันต่อ ได้มาฟังธรรม ได้มานั่งกรรมฐานก็ได้ประโยชน์ ฝรั่งมาใหม่ๆ ก็นั่งขัดสมาธิไม่ได้ นั่งยืดเท้า ยืดเท้าไปหาพระ ไม่ว่าอะไร นั่งไปเถอะ ให้นั่งไปก่อน แล้วก็ค่อยหดเข้ามาๆ จนกระทั่งนั่งขัดสมาธิได้ เป็นอย่างนั้น
แล้วก็บางฤดูกาล คือว่าหน้าร้อน หน้าร้อนที่โน่นยังหนาวอยู่ ชั้นแรกก็พระออกธุดงค์ออกรูปเดียว คือ ท่านอมโรไปกับอุบาสกคนหนึ่ง สะพายเครื่องหลัง เหมือนเราเห็นฝรั่งนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวเมืองไทยมันมีเครื่องหลังนะ ในนั้นมีครบ มุ้ง หมอนอะไร ที่นอน เต็นท์ อยู่ในนั้นเสร็จ หนัก หลวงพ่อลองสวมดู สวมแล้วเดินเซ มันหนักนะแต่ฝรั่งเขาเดินสบาย ไปก็ไปพักตามที่ไหนก็ได้เพราะว่ามีเต็นท์แล้ว กางเต็นท์นอนในทุ่ง ในนา ริมป่า ริมห้วย คนมันเห็น เห็นว่าพระมา แล้วไม่รู้ใครมาวอบแวบวามๆ อยู่ (29.47 เสียงซ้ำซ้อน) จะตามเทียน เขาก็มาดู มาดูก็พบพระก็เลยชวนพูดชวนคุยกันเข้าใจ รุ่งเช้าเขาเอาอาหารมาถวาย เอาขนมปังเอาผลไม้มาถวาย บางคนก็ไม่สามารถจะทำมาหาได้ ถวายปัจจัย ถวายกับอุบาสกเพื่อไปใช้จ่ายซื้ออะไรถวายพระ ในกาลต่อไป
ท่านเดินทางเท่าไร ๓ เดือน เดินทาง ๓ เดือนตั้งแต่เขาเรียกว่า Christchurch อยู่ใต้ลอนดอน เข้ามาในลอนดอน ไปพักที่ Richmond Park ที่เขาสวนกวาง กวางเยอะที่นั่น พระก็ไปพักที่นั่น คนไทยที่อยู่ใต้บริเวณนั้นก็ไปใส่บาตรให้ฉัน แล้วก็เดินต่อขึ้นเหนือ เดินเรื่อยไปจนกระทั่งถึง Newcastle ซึ่งเป็นเมืองที่มีถ่านหินมาก แล้วก็เลยไปถึงวัด ก็มีวัดอยู่แห่งหนึ่งชื่อ (31.15 เสียงไม่ชัดเจน) ก็ไปพักที่วัดนั้นแล้วจึงจะกลับ ขากลับกลับรถยนต์
เดินทางไป ๓ เดือนนี่ไม่ลำบากเพราะคนฝรั่งเขาให้อาหารแก่พระ เดินได้สบาย ปีต่อมาไม่ไปองค์เดียวแล้ว ไป ๑๐ องค์ เดินเป็นหมู่เลยแต่ไม่ได้เดินบนถนนใหญ่ ถนนใหญ่มันเดินยาก เมืองอังกฤษนี่เขามีเรียกว่า (31.45 เสียงขาดหาย) ทางฝรั่งเขาเรียกว่า public footpath ใครไปใช้ทางนั้นได้ทั้งนั้น ชอบไปในสวนใครก็เดินเข้าไปเลย ผ่านบ้านใครก็เดินเข้าไปเลยเขาไม่ว่าเพราะเป็นทางสาธารณะที่ประชาชนรับรอง ไม่ปิด ทางเหล่านั้นก็ไม่ปิด
เช้าหนึ่งนายเรแกนมาที่กรุงลอนดอนแล้วไปพักที่บ้านท่านนายกรัฐมนตรี มาดามแทตเชอร์ ที่ข้างบ้านนางแทตเชอร์มันมีทางสาธารณะ เขาก็ปรึกษากันว่ามันต้องปิดทางนี้เพื่อความปลอดภัยของประธานาธิบดีอเมริกา ประธานาธิบดีอเมริกันนั้นเป็นคนมีศัตรู มีศัตรูเยอะ โดยเฉพาะพวกอาหรับนี่เป็นศัตรูคอยทำอะไรต่ออะไรเรื่อย เขาไม่ชอบ แต่ว่าคนหลายคนบอกว่าปิดไม่ได้เพราะเป็นทางสาธารณะที่คนใช้มาเป็นเวลาตั้งพันปีแล้วนานแล้ว ปิดไม่ได้ ใครอยากเดินก็เดินไป แต่ว่าตำรวจที่เป็นผู้รักษาการณ์ก็มาเฝ้าอยู่ในบ้าน ก็ไม่มีเรื่องอะไร แสดงให้เห็นว่า ทางสาธารณะนี่ เขาเขียนบอกไว้ว่า public footpath เดินได้ เดินเข้าไปในสวนใครก็ได้ พระก็เดินตามนั้น มันไม่หนวกหูรถยนต์ ไม่กีด เดินไป แล้วก็ไปพักในทุ่งนาในสวน ชาวบ้านเห็นก็มาร่วมสนทนา ทำบุญด้วย
เช้าหนึ่งพระไปกัน ๑๐ รูป เวลาขากลับ ไปพักเป็นแหล่งสุดท้าย แล้ววันนั้นจะกลับวัดอมราวดีแล้ว อาตมาก็ไปมา ไปรับพวกที่จะกลับ ทีนี้กำลังจะนั่งลงฉันอาหาร เมืองอังกฤษนี่อากาศมันเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว อยู่แจ้งๆ ฟ้าแจ้งๆ ประเดี๋ยวครึ้มฝนตกแล้ว มันตกง่าย วันหนึ่งมันตกหลายครั้งหลายหน เราจะไปจับอะไรในสนามหญ้า อากาศโปร่งดี อย่าไว้ใจ เดี๋ยวพอมาต้องหนีกันและ ก็กำลังจะฉันพอดี ฝนก็เทลงมาเลย เทจั๊กๆ ลงมา ที่บ้านใต้บริเวณนั้นมีบ้านใหญ่ เจ้าของบ้านวิ่งมา มาแล้วก็บอกว่าเชิญทั้งหมดไปในบ้าน ทั้งพระทั้งชาวบ้านที่มาทำบุญก็เข้าไปในบ้านนั้น เข้าไปในบ้าน คนอังกฤษนี่ปกติเขาหวงแหนสิทธิของเขามาก ในบริเวณบ้านใครเข้าไม่ได้ ในบ้านเขาก็ไม่ให้ใครเข้าแต่เขามานิมนต์พระกับญาติโยมให้เข้าไป แล้วเขาบริการช่วยเหลือในการขบการฉันน้ำท่าอะไรเรียบร้อยเป็นอย่างดี เสร็จแล้วพระท่านก็คุยธรรมะให้ฟังคล้ายกับอนุโมทนาหลังอาหารดังที่เราทำนี้แหละ ฟังแล้วเขาก็พอใจ ทีหลังเขามาที่วัด ตามมาศึกษาต่อ เรียกว่าไปธุดงค์เพื่อดึงคนเข้าวัด ไปบิณฑบาตก็เพื่อดึงคนมาวัด ให้เขาเห็น เขาสงสัย เขาไต่ถาม เพราะคนชาวตะวันตกนั้นเขาชอบถาม เห็นอะไรแล้วเขาชอบถาม เห็นพระเดินไป เขาก็ว่า เอ ท่านเป็นใคร ทำไมแต่งตัวอย่างนี้ ทำงานอะไร ทีนี้เราก็คุยกันแล้วมันได้เรื่องได้ราวได้ประโยชน์
มีอยู่คราวหนึ่ง ที่วัดป่าจิตตวิเวก อันนี้ซื้อนะ เนื้อที่ ๗๐ เอเคอร์ มีบ้านเก่าแก่ บ้านหลังนี้สร้างก่อนกรุงเทพ เขาเขียนไว้ว่าสร้างเมื่อไหร่ เป็นบ้านทำด้วยหิน ซื้อจากคนแก่ ๒ คนซึ่งเป็นเจ้าของบ้าน ไปขอซื้อแกก็ตกลงให้ แถมว่าตกลงให้แล้ว พวกเอเย่นต์พวกนายหน้าซื้อที่ขายที่มาติดต่อกับคนแก่ ๒ คนนั้น ติดต่อว่าให้ขายพวกผมเถอะจะให้ราคาเพิ่มขึ้น คุณตาที่อยู่ในบ้านนั้นกับคุณยายบอกว่าทำอย่างนั้นไม่ได้เพราะเราบอกขายกับคนโน้นแล้ว แล้วจะเลิกเอามาขายกับคุณไม่ได้ แต่นักขายนักซื้อที่ดินก็บอกไม่เป็นไรเพราะยังไม่ได้ทำนิติกรรมตามกฎหมาย เพียงแต่พูดกันเท่านั้นเอง ไม่เป็นไร แต่คนแก่นั้นแกพูดเชิงดุๆ ว่า คนอังกฤษทำอย่างนั้นไม่ได้ แกบอกคนอังกฤษทำอย่างนั้นไม่ได้ มันผิดจริยธรรมทำไม่ได้ แกไม่ยอมขายให้ แล้วก็ขายให้แก่(นาทีที่ 37.15 ฟังไม่ชัด)ก็เรียกว่า สังฆ... (37.18 เสียงไม่ชัดเจน) เป็นคล้ายกับมูลนิธิ ตั้งขึ้นเพื่อเป็นองค์การให้ถูกต้องตามกฎหมายนี้ไปขอซื้อ ซื้อแล้วบ้านนั้นต้องซ่อมใหญ่เลย หลังคารั่ว พื้นเสียหาย พระที่มาอยู่นั้นต้องมาทำงานโยธา ซ่อมบ้าน ทำอะไรต่ออะไร ทาสีทาสันให้เรียบร้อย มันก็เป็นตึกใหม่อยู่ได้ พระอยู่ในนั้นได้ตั้ง ๒๐ กว่าองค์ หลังเดียว อยู่ชั้นล่าง ชั้น ๒ ชั้น ๓ ชั้นติดกับหลังคา บนเชิงนั้นแหละ บ้านเราเรียกว่าเชิง พระขึ้นไปนอนได้ ที่โน่นมันไม่ร้อน บ้านเรามันนอนไม่ได้มันร้อน ขึ้นไปอยู่บนนั้น มีห้องน้ำห้องท่าเรียบร้อย ที่ประชุมที่ฉันอย่างดี แล้วก็บริเวณก็กว้างสำหรับออกไปเดินเล่น ไปนั่งเล่นใต้ต้นไม้ ต้นโอ๊กต้นใหญ่ขนาดนี้ (นาทีที่ 38.19 ฟังไม่ชัด) ลมพายุใหญ่พัดโค่นไป ก็ได้ไม้โอ๊กนั้นมาทำอาคารต่อก็ได้ประโยชน์เหมือนกัน
ในที่นั้นที่พระไปอยู่ อยู่ครบ ๑๐ ปีนี่ฝรั่งมาบวชถึง ๔๐ คน ฝรั่งที่มาบวชไม่ใช่บวชเหมือนบ้านเรา บ้านเรามาสมัครบวช(นาทีที่ 38.43 ฟังไม่ชัด)บวชได้เลยเพราะบวชแล้วไม่กี่วันก็ลาสิกขา แต่ฝรั่งเขาจะบวชจริงจัง บวชนานๆ อาจจะไม่สึกก่อนนั้นตั้งใจ เขาให้เพื่อทดสอบกำลังใจว่าจะมีศรัทธามั่นคงแค่ไหน ใครอยากจะมาบวชก็มาอยู่วัดนุ่งขาวห่มขาวโกนหัว ๒ ปี ก่อนจะบวชเข้ามาเป็นนาค ๒ ปี ของเรามันคืนเดียว วันนี้จะบวชเย็นนี้มาแล้ว โกนหัวแล้ว แต่ของเขานั้นอยู่กัน ๒ ปี ครบ ๒ ปีก็ให้บวช บวชทยอยกันไปเรื่อยๆ ๑๐ ปีนี้ก็ได้พระเพิ่มขึ้น ๔๐ รูป แม่ชีมี ๒๗ รูป แม่ชีถือศีล ๘ นุ่งผ้าสีกระอย่างนี้มาอยู่กัน แล้วเขาอยู่กันเรียบร้อย อยู่น่าดู ทำเหมือนกันทุกวัน ตื่นเช้า ตื่นเหมือนกัน แล้วเข้าเวลาฉันอาหารก็ไปเอาที่โรงครัว ก็มีครัว ไปบิณฑบาตแต่ไม่ค่อยได้อะไร ได้กล้วยมาสัก ๒ ผล แอปเปิ้ล ๒ ลูก ขนมปังสักชิ้น เขาให้น่ะ ไม่พอฉันแต่ไม่เป็นไรเพราะที่วัดมีครัว ไปบิณ(ฑบาต) (40.13) เพื่อให้รู้จักคน หลวงพ่อไปพักอยู่ที่นั่นก็เลยไปบิณ(ฑบาต)กับเขาด้วยเหมือนกัน เวลาไปบิณฑบาตนี่ต้องแต่งตัวเต็มยศนะ ต้องสวมบูทเดินมันปึ๊บปั๊บเหมือนกับทหาร แล้วก็สวมหมวก นี่มันเย็นอากาศเย็น ใส่เสื้อหนาห่มจีวรสะพายบาตรไป เดินไป ไปจนถึงบ้านที่จะไป พอไปถึงบ้านเขาก็นิมนต์เข้าไปในบ้าน ไปในบ้านแล้วก็เลี้ยงน้ำชาหรือกาแฟ ขนม ผลไม้ นิดๆ หน่อยๆ เรียกว่าของว่าง แล้วคุยกันคุยธรรมะ คุยกันพอได้เวลาเขาก็ใส่บาตร ไม่ได้ใส่อะไรมาก ใส่กล้วย ๒ ผล แอปเปิ้ล ๒ ผล ขนมปัง ๒ ชิ้นก็เท่านั้นเอง เสร็จแล้วกลับวัด เขามาส่ง ตอนกลับนี้เขาเอารถยนต์มาส่ง โยมที่มาส่งพระที่วัดก็เลยอยู่กินข้าวกลางวันกับพระไปด้วยในตัว กินข้าวเสร็จแล้วก็กลับบ้าน เป็นอย่างนั้น เป็นแค่นี้ อยู่กันสบาย ทำอย่างนั้น ตอนบ่ายก็พักนิดหน่อยแล้วก็รอบ่ายโมงก็ตื่น เขาตีระฆัง ตื่นหมดนอนไม่ได้ ทำงาน อ่านหนังสือ ค้นคว้า ทำอะไรต่ออะไร พวกโยธาก็ทำงานนั้นงานนี้ เขาแจกงานให้ทำ ตอนเช้าที่มานั่งฉันเครื่องดื่มพร้อมกันน่ะ หัวหน้าก็มา ท่านสุเมโธท่านก็มาฉัน เวลาฉันไม่พูดเลย เงียบ ไม่มีใครพูดเลย พอฉันเสร็จท่านสุเมโธก็พูด พูดว่าวันนี้มีอะไรจะต้องทำบ้าง ๒ องค์นั้นทำนั้น ๒ องค์นั้นทำนั้น ๒ องค์นั้นทำนั้น แม่ชีทำนั้น แจกหมด แจกงานหมด แล้วก็ทำงาน ดายหญ้า ตัดหญ้า แบกต้นไม้ รอบอาคาร ทำกันทุกคนน่ะทำงาน พวกผู้หญิงก็ทำ ไปทำงานกันตามหน้าที่ เย็น ๕ โมงก็มาประชุม ดื่มเครื่องดื่ม พวกน้ำชา กาแฟ อะไรอย่างนั้น ดื่มของว่าง ดื่มเสร็จแล้วก็กลับไปอาบน้ำอาบท่า ๑ ทุ่มก็มาพร้อมสวดมนต์ตอนเย็น นั่งกรรมฐาน ฟังธรรม ทำอย่างนั้นสม่ำเสมอ หน้าหนาวก็ทำงาน หน้าร้อนก็ทำงาน
น่าสงสารแม่ชี แกอยู่ห่างไปจากที่อยู่ของพระ เดินประมาณสัก ๑๐ นาที หน้าหนาวนี่แกต้องเดินมา หิมะตก ต้องรีบมากๆ มาที่พระอยู่ มาทำวัตรก็มา มาทุกองค์ ไปเห็นแล้ว โอ ขยันดี ไม่มีใครขี้เกียจ คือเขาให้ทำอย่างนั้นแล้วก็ทำเหมือนกันทุกรูป อยู่กันเรียบร้อยเป็นที่ตั้งแห่งความเลื่อมใสของฝรั่งที่มาพบเห็น
แล้วปกติก็เปิดอบรมกรรมฐาน ฝรั่งเขาเรียกว่า retreat เหมือนไชยาเปิด ๑๐ วัน ต้นเดือน พรุ่งนี้วันที่ ๑ ฝรั่งมาแล้ว ป่านนี้เต็มแล้ว ที่จะมาปฏิบัติมาแล้ว วันที่ ๑ ถึงวันที่ ๑๐ มากรรมฐาน เจ้าคุณพุทธทาสท่านอยู่ท่านก็ลุกขึ้นตี ๔ ตี ๔ ครึ่งฝรั่งเดินมาหา นั่งที่ม้าหิน ท่านเทศน์ สนทนาธรรม ถามปัญหา จน ๑ โมงเช้าเลิก ไปอาบน้ำอาบท่าทำอะไรต่อไป ที่วัดอมราวดีก็ทำอย่างนี้ ทุกคนมาประชุมพร้อมหน้า แล้วก็สวดมนต์ทำวัตรอะไรกันตามเรื่องเป็นกิจประจำวันหมุนเวียนกันอยู่อย่างนี้ตลอดปีไม่มีหยุด ไม่มีร้อน ไม่มีหนาว ไม่มีฤดู ทำตลอด แล้วปกติเขาก็รับคนให้มาอยู่วัดทำกรรมฐาน เรียกว่าอยู่กรรมฐาน ๑๐ วันเหมือนกัน ชุดละ ๓๐ คน มาอยู่ ๓๐ คน เนื้อที่มันจำกัดมาอยู่ ๓๐ คน เลี้ยงดูปูเสื่อกัน แต่ว่าคิดค่าบริการนิดๆ หน่อยๆ ฝรั่งเขาไม่มาอยู่เปล่า เขาชอบให้ เขาถามว่าคิดเท่าไหร่ ก็บอกว่าเท่านั้นพอ ๑๐ วัน เลี้ยงอาหารเขา มีพระคุมผลัดเปลี่ยนกัน เดือนนี้องค์นี้ เดือนนี้องค์นี้ เดือนนี้องค์นี้ ทำกัน มาอยู่ไม่พูดไม่คุย คุยกันเป็นเวลาเป็นเรื่องเป็นราว นั่งควบคุมจิตใจ ฝรั่งมากันตลอดปี บัญชีที่ขึ้นไว้ในบัญชีคนมาปฏิบัติมีตลอดปี มาอยู่ก็ทำกันตลอดเรื่อยไป ทำให้เห็นว่า การเผยแผ่ธรรมะกับฝรั่งโดยพระฝรั่งนี้ได้ผลมากเพราะมีคนสนใจทำ
แล้วเวลานี้แบ่งวัดออกเป็น ๔ วัด ก่อนนี้มีวัดป่าจิตตวิเวก แล้วก็เดี๋ยวนี้อมราวดี(นาทีที่ 46.04 ฟังไม่ชัด) มี ๔ สถานที่ แล้วก็แตกไปต่างประเทศ ไปอยู่ที่ประเทศอิตาลีใกล้กรุงโรมวัดหนึ่ง อยู่สวิตเซอร์แลนด์วัดหนึ่ง เป็น ๖ สถานที่ ก็มีเรื่องว่า ฝรั่งนี้มันก็แปลก เมื่อพระอยู่ในเมือง อยู่ในเมืองท่านก็มันมีสวนป่าอยู่บริเวณใกล้ๆ ตอนเย็นท่านก็ไปเดินในสวนป่าออกกำลังกาย เจ้าฝรั่งคนหนึ่งมันวิ่ง วิ่งกระหืดกระหอบ มาเกือบชนพระ เกือบชนก็หยุด ถามว่าท่านเป็นใคร บอกว่าเป็นพระในพระพุทธศาสนา อ้าว ผมเคยอ่านนะพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาเขาอยู่ป่า ทำไมท่านมาอยู่ในเมือง มันถามอย่างนั้น ท่านสุเมโธก็บอกว่ามันไม่มีป่าจะอยู่เลยต้องมาอยู่ป่าคอนกรีต เขาพูดต่อ เออ ผมมีป่านะ มีเนื้อที่ถ้าคิดเป็นไร่ก็ตั้ง ๓๐๐ ไร่ เป็นภูเขา ต้นไม้ต้นใหญ่ๆ อยู่ใกล้ Christ Church ผมจะให้นะ ให้ไปอยู่ที่นั่นนะ พระท่านก็ฟังๆ นึกว่าฝรั่งมันพูดเล่นเพราะมันก็วิ่งเหนื่อยๆ แล้วมันก็พูดไปตามอารมณ์มัน ก็ฟังไว้ ๒ วันมันมาที่วัดมาพบพระ แล้วบอกว่าจะพาพระไปที่สำนักทะเบียนที่ดินจะไปโอนให้ โอ้ เอาจริง ฝรั่งคนนี้เอาจริง มันจะพาไปโอนให้นะ โอนให้เลย เป็นป่า แล้วมันโอนให้ไม่เอาเงินทองค่างวดอะไร มันให้ แต่ว่าในป่านั้นน่ะ คนไปอยู่ได้หน้าร้อน แต่จะไปสร้างอาคารไม่ได้เขาห้าม เขารักษา แต่พระก็ไปอยู่หน้าร้อน ฤดูพรรษานี้ เมืองฝรั่งมันหน้าร้อนนะ ทราบว่าขึ้นไปอยู่บนยอดเขานะ ลงมารับอาหารแล้วขึ้นไปนั่งเฝ้า ๓ เดือนไม่ไปไหน ภาวนาจริงจัง เขาให้ที่ ฝรั่งให้ที่ แต่ทีหลังมาก็ไปซื้ออมราวดี วัดอมราวดีนี้เป็นโรงเรียนคนปัญญาอ่อนมีอาคาร ๑๐ กว่าหลังก็สะดวกดี เนื้อที่ ๗๐ กว่าเอเคอร์ กว้างขวาง เงียบเชียบสบาย ก็เลยไปตั้งที่นั่น
วันที่ ๑๓ พฤษภาคม ตรงกับวันวิสาขบูชา วิสาข(บูชา)(นาทีที่ 49.08)บ้านเรา เขาจะทำพิธี เรียกว่า วางรากฐานโบสถ์ วางรากฐานโบสถ์ เขาส่งบัตรมาให้แล้ว บัตรวางรากฐาน ให้อาตมาเป็นประธาน ท่านฑูตประจำกรุงลอนดอนกับฑูตลังกาเป็นผู้วางศิลารากฐาน เวลาบ่าย ๓ โมง อาตมาเดินทาง ๑๑ ไปถึงโน่น ๑๒ พักคืนนึงก็ ๑๓ ตรงกับวันวิสาข(บูชา)(นาทีที่ 49.43) เขาวางรากฐานกันวันนั้นเพื่อสร้างโบสถ์เพราะวัดนั้นไม่มีโบสถ์ เอาห้องใดห้องหนึ่งสมมติว่าเป็นโบสถ์แล้วก็ไปสวดปาฏิโมกข์กัน แต่บวชนาคไม่ได้เพราะไม่มีสีมา แต่ที่วัดป่าจิตตวิเวกมีสีมา สีมากลางแจ้ง ทำไว้ในสนามอย่างนี้ เอาหินปักไว้ เวลาบวชนาคเดือนกรกฎาคมนี่เหงื่อไหลกันทุกองค์ อุปัชฌาย์ก็เหงื่อไหล นาคก็เหงื่อไหล พระหัตถบาตรก็เหงื่อไหล เราไปบวชกันกลางแจ้ง ไม่มีหลังคา สมมติว่าพระลังกาบวชให้อยู่ที่ข้างอาคารนั้นแต่มันร้อน ทีนี้ก็คิดว่าสร้างโบสถ์เสียที เพราะว่าไปอยู่กันหลายสิบปีแล้ว คนเลื่อมใสมากขึ้น พอจะทำได้ก็เลยจะทำในวันที่ ๑๓ ต้องใช้เงินประมาณเป็นเงินปอนด์ก็ ๓๐ ล้านปอนด์ อาตมาไปคราวนี้ก็จะเอาเงินไปให้เขา ๒ ล้าน ๕ หมื่น เก็บไว้หลายปีแล้วมันออกดอก มีผู้บริจาครายหนึ่งให้ ๒ ล้าน แล้วก็มีคนหนึ่งให้เป็นค่าเดินทาง ๕ หมื่น ก็เอาเข้าบัญชีทั้งนั้นเป็นค่าเดินทางต่อไป
ในการเดินทางไปคราวนี้ไป ๓ รูป หลวงพ่อ เจ้าคุณเมธี เจ้าคุณเมธีนี้ไม่เคยไปยุโรปก็รางวัลหน่อย รางวัลในฐานะที่มาช่วยเปิดโรงเรียนบาลี ปีนี้ก็สอบได้ถึง ๔๐ องค์ ก็ให้รางวัลพาไปเที่ยวหน่อย พาไปดูการศาสนาในยุโรป ไปอังกฤษ ไปเยอรมัน ไปเบลเยี่ยม แถวนั้น แล้วก็ส่งกลับวันที่ ๙ มิถุนา กลับมา อาตมายังไม่กลับ เดินทางต่อไปอเมริกาไปชิคาโกไปเยี่ยมวัดหน่อย เขาให้เป็นเจ้าอาวาสที่นั่น ไปดูว่าเป็นอยู่กันอย่างไร แล้วก็จะกลับมาอีกก็วันที่ ๓๐ มิถุนายน มาถึงนี่วันที่ ๑ ก็เลยมาพบญาติโยมก่อนวันเข้าพรรษาเลยจะทำการบวชนาคด้วย
อันนี้เอาเรื่องมาเล่าให้ญาติโยมฟังเพื่อจะได้เกิดศรัทธาภาษาพระ เลื่อมใส ถ้าใครจะทำบุญบ้างก็ได้แต่ไม่ใช่วันนี้ วันนี้โยมไม่ได้เอาตังค์มาไม่เอา วันอาทิตย์หน้า อาทิตย์หน้าก็ต้องเขียนหน้าซองว่าทำบุญร่วมสร้างโบสถ์ประเทศอังกฤษ วัดไทยเขามีโบสถ์แล้วแต่สร้างโบสถ์แบบไทย หลังคามันใช้กระเบื้องไทยมันหนามาก กระเบื้องไทยมันเป็นราง ฤดูหนาวหิมะมันตกมันตกอยู่บนรางอันนี้แหละ แล้วมันรู้ว่าทำให้เกิดปัญหา กระเบื้องไทยเวลาเอาไปครั้งแรก ให้เขาพิสูจน์ ใช้ได้ แต่พอเอาไปจริงๆ เขา เอ้ย ไม่เหมือนนี่ เอามาครั้งแรกสุกดีแข็งแกร่ง อันนี้ไม่สุกนะใช้ไม่ได้ อ้าว คุณเสวตร เปี่ยมพงศ์สานต์ บอกเอามาแล้วใช้ไม่ได้ก็ต้องใช้ ฝรั่งบอกใช้ได้แต่ไม่เกิน ๓ ปีรั่ว รั่วจริงๆ เหมือนฝรั่งว่า ฝาผนังลบเป็นทางไป เสียหาย ต้องเปลี่ยน เปลี่ยนเอากระเบื้องที่โน่น กระเบื้องที่โน่นเขาคิดเขาผสมสู้กับความหนาวได้ สู้กับหิมะได้ ก็ต้องเปลี่ยนเอาของเขาใช้ แต่ว่าที่จะสร้างที่อมราวดีนี่เราไม่ได้ใช้วัสดุเมืองไทย ใช้ของฝรั่งทำแบบให้มันถาวรคงทน เป็นรูปสี่เหลี่ยม หลังคาเป็นกระโจมขึ้นไป แล้วตรงกระโจมมียอด ยอดนี้จะหล่อด้วยทอง จะหล่อเมืองไทยแล้วก็ส่งไปประดับเมื่อหลังคาเสร็จเรียบร้อย ก็คงจะสร้างได้สำเร็จเพราะว่ามีคนเลื่อมใสมาก
ออสเตรเลียนี่ เมื่ออาตมาไปมาเมื่อวันที่ ๑๐ มีนานี่ ไปถึงดู อู้ (54.27 เสียงไม่ชัดเจน)โบสถ์เขา แต่ว่าโบสถ์เดิมนั้นก็ยังอยู่ แต่สร้างศาลาใหญ่ จุคนได้ ๓๐๐ คน ทำบุญกันที่นั่นทำอะไรกัน ส่วนโบสถ์นั้นก็ทำเป็นโรงฉันอาหาร ตักบาตร เวลาเทศน์ เทศน์ในศาลาแล้วมีที่พักพระอะไรเรียบร้อย ก็ได้เงินจากพุทธบริษัทฝรั่ง เขามาทำบุญร่วมกัน ฝรั่งเขาเลื่อมใสท่านชาคโร ท่านอยู่เรียบร้อย ไปตั้งใจจะพักสัก ๒ อาทิตย์ อ้าว คุณโยมอุปัฏฐากที่เชียงใหม่ถึงแก่กรรมในวันจะไปพอดี เช้าเตรียมตัวจะขึ้นเรือบิน ๑๖ นาฬิกา อ้าว โยมตายเช้านั้น เขาโทรศัพท์มาบอกว่าโยมชื่นถึงแก่กรรม ซื้อตั๋วเสร็จแล้วจะหยุดก็ต้องไป เพราะนัดเขาแล้วก็ต้องไป ไปอยู่ ๓ คืนก็กลับ มาเผาศพโยมเสร็จ เลยไม่ได้อยู่นาน ที่วัดก็เรียบร้อย วัดที่อยู่ในป่าสร้างกุฏิสร้างศาลาเรียบร้อย ฝรั่งเขาช่วย แข็งแรง คือเราไปสอนให้ฝรั่งเลื่อมใสแล้วฝรั่งเขามีสตางค์เขาก็ช่วย แต่ว่าเราก็ไปช่วยบ้างให้ฝรั่งเขาเห็นว่าไปจากเมืองไทย คนไทยไม่ได้ทอดทิ้งยังเอาใจใส่อยู่ จะได้ร่วมแรงร่วมใจตามสมควร อาตมาไป ก็เรียกว่าไปช่วยเขาไปให้เขา ให้เขาสบายใจ จึงบอกให้โยมทราบจะได้ไม่เป็นห่วงว่าหายไปไหน หายไปเพื่อทำประโยชน์แก่พระศาสนาชั่วระยะสั้นแล้วก็กลับมา
พูดมาก็สมควรเวลา ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้