แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
พุทธบริษัททั้งหลาย ณ บัดนี้ถึงเวลาของการฟังปาฐกถาธรรมะ อันเป็นหลัก คำสอนในทางพระพุทธศาสนาแล้ว ขอให้ทุกท่านอยู่ในอาการสงบ ตั้งอกตั้งใจฟังด้วยดี เพื่อให้ได้ประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการมาวัดตามสมควรแก่เวลา
วันนี้เป็นวันพระกลางเดือนและก็ตรงกับวันอาทิตย์ เราทั้งหลายที่เคยถือศีลอุโบสถก็ได้มาทำบุญพร้อมกันกับคณะที่มาฟังธรรมวันอาทิตย์ เป็นการทำบุญร่วมกัน ทำให้เกิดความสบายใจทุกฝ่าย เพราะการมาวัดนั้นเรามาหาความสบายใจ มาศึกษาเรื่องธรรมะ เพื่อนำธรรมะไปใช้ในชีวิตประจำวันของเราต่อไป การมาวัดในวันอาทิตย์เดือนหนึ่งก็มี ๔ ครั้งบ้าง ๕ ครั้งบ้าง เป็นการกระทำที่ถูกต้อง เพราะว่าผู้ที่นับถือศาสนา ไม่ว่าศาสนาใดย่อมมีวันสำหรับให้คนไปสู่ศาสนสถานเพื่อทำกิจในทางศาสนา เรียกว่า ๗ วันก็ไปกันครั้งหนึ่ง ๗ วันไปครั้งหนึ่งก็เท่ากับว่าไปตรวจสอบตัวเอง พิจารณาตัวเองว่าใน ๗ วันที่ผ่านมานั้น เรามีความบกพร่องอะไรบ้าง มีสิ่งไม่ดีไม่งามเกิดขึ้นในชีวิตของเราเป็นประการใดบ้าง จะได้รู้จักตัวเอง จะได้มีการ แก้ไขปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้น นี่คือจุดหมายสำคัญ การมาสู่วัดวาอารามก็เพื่อมาทำกิจอย่างนั้น เรียกว่า มาชำระสะสางร่างกาย จิตใจ ของเราให้สะอาด ปราศจากสิ่งเศร้าหมองใจ เพื่อให้มีความสุขความสบายยิ่งขึ้น คนที่มาวัดบ่อย ๆ ก็ได้ความรู้ ได้ความเข้าใจในเรื่องชีวิตถูกต้องมากขึ้น เวลาใดมีปัญหา มีข้อข้องใจ หรือมี ความทุกข์อะไรเกิดขึ้นในวิถีชีวิตของเรา เราก็พอจะสู้กับมันได้ เพราะเรามีปัญญาเพียงพอที่ได้ศึกษาไปจากความรู้ทางธรรมะเพื่อเอาไปใช้แก้ไขปัญหาชีวิตของเรา ทำให้ชีวิตของเราเป็นอยู่โดยไม่มีปัญหา นั่นเป็นจุดหมายอันสำคัญในชีวิตของเราทุกคน เราจึงได้มากันอยู่เป็นปกติ โดยเฉพาะที่วัดนี้บางคนก็มาตั้งแต่เริ่มเปิดวัดมาจนกระทั่งบัดนี้ยังมาอยู่ทุกวันอาทิตย์ ไม่ค่อยขาด มีขาดบ้างก็เพราะว่าไปธุระที่นั่นที่นี่ มันตรงกันเข้าก็เลยไม่ได้มา แต่ถ้าไม่มีภาระ ธุระอะไร ก็มาเป็นประจำ มาเพราะพอใจในธรรมะนั่นเอง สบายใจในธรรมะ แล้วก็ได้นำธรรมะไปใช้เป็นหลักคุ้มครองจิตใจ ทำให้สภาพชีวิตดีขึ้น คนใดที่ยังไม่เคยมา ถ้ามาบ้างก็จะได้เห็นแสงสว่างลาง ๆ มา บ่อย ๆ ก็ค่อยสว่างมากขึ้น มีความเข้าใจอะไรมากขึ้น ชีวิตก็ค่อยสดใสมากขึ้นตามอำนาจของการปฏิบัติ เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องที่เราควรจะได้ทำกันให้มาก ๆ อย่ามาวัดคนเดียว แต่ว่าชวนเพื่อนฝูง มิตรสหายให้มาด้วย ถ้าเรารักเพื่อน เราควรจะชวนเพื่อนมาหาความดี มาหาความดีก็มาวัด เพื่อนก็จะได้เข้าใจธรรมะ รู้จักชีวิตถูกต้องขึ้น เป็นการสงเคราะห์เพื่อนให้พ้นจากความทุกข์ ความเดือดร้อนใจ เป็นเรื่องดี เป็นเรื่องที่ควรกระทำ แต่ถ้าเรามีเพื่อน แต่ชวนเพื่อนไปเที่ยว ไปเล่น ไปสนุกตามที่ต่าง ๆ ก็ไม่ได้อะไร นอกจากได้ความสนุก สนุกนักมันก็ทุกข์เหมือนกัน คนโบราณจึงว่า "สนุกนักมักทุกข์" สนุกมากก็จะทุกข์มาก มีอะไรอย่างนั้น ข้อนี้เป็นความจริง แต่ถ้าเราชวนเขามาวัด มาศึกษาธรรมะ มาเข้าใจเรื่องชีวิต เขาก็จะดีขึ้น คนรักเพื่อน รักมิตร รักญาติ รักพี่น้อง ก็ควรจะหัดชวนให้เขามาพบของ ดี ๆ งาม ๆ ที่วัด เป็นการช่วยเพื่อนอย่างแท้จริง อันนี้ขอฝากไว้ให้ได้กระทำกันอีกประการหนึ่ง
เมื่อวานนี้เป็นวันเด็กของเมืองไทย คือ วันเสาร์แรกของเดือนมกราคม เขาก็ถือว่าเป็นวันเด็ก วันเด็กนี้เขาจัดไว้ทำอะไร จัดไว้เพื่อให้เด็กสนุกอย่างนั้นหรือ เพื่อให้เด็กได้ไปเที่ยว ไปเล่น และให้เด็กได้รบกวนขอสตางค์จากพ่อแม่เพิ่มขึ้นเพราะว่าเป็นวันเด็ก ถ้าเราจัดวันเด็กเพียงเพื่อเท่านั้นก็ไม่ได้ประโยชน์คุ้มค่า ประโยชน์ที่จะเกิดมันไม่คุ้ม เราจึงควรคิดว่าการจัดวันเด็กนี้จัดขึ้นเพื่ออะไร เพื่อเตือนใจเด็กให้นึกถึง ชีวิตที่ถูกต้อง แล้วก็เตือนใจพ่อแม่ ผู้ปกครอง ครูบาอาจารย์ ให้ช่วยกันทำหน้าที่สั่งสอนเด็กให้ดี อบรมเด็กให้มีศีล มีธรรมประจำจิตใจ ให้ได้เป็นคนดีของชาติของบ้านเมืองต่อไป จุดหมายควรจะเป็นเช่นนั้น แต่ที่เราจัดกันอยู่ก็เพื่อให้เด็กไปสนุก ไปเที่ยวที่นู่นที่นี่ อะไรต่าง ๆ วันยังค่ำ เป็นเวลาสำหรับเที่ยว ผู้ใหญ่ก็ต้องควักสตางค์ให้เด็กไปเที่ยว ไปเที่ยวบางทีก็เกิดอุบัติเหตุรถคว่ำ ทั้งผู้นำทั้งผู้ตามก็ได้รับความเสียหายกัน มีกันเกือบทุกปีเพราะไปกันด้วยความประมาท ไม่ระมัดระวัง ก็เกิดความเสียหาย การมีวันเด็กก็เพื่อให้เด็กได้รู้จักตัวเอง แล้วให้พ่อแม่ ครูอาจารย์ รวมทั้งพระสงฆ์องคเจ้าที่อยู่ในวัดจะได้คิดถึงเรื่องเด็กไว้บ้าง คิดว่าเราควรจะทำอะไรกับเด็ก เราควรจะช่วยเด็กอย่างไรเพื่อให้เด็กได้มีความสำนึก มีความเป็นผู้ใหญ่ขึ้นในจิตใจ แล้วก็ใช้เวลา ให้เป็นประโยชน์ในการศึกษาเล่าเรียน หาวิชาความรู้ใส่สมอง อันนี้เป็นจุดหมายสำคัญ ที่ควรจะจัดให้มีขึ้น สำหรับพ่อแม่ผู้มีลูกทั้งหลาย พอถึงวันเด็กเราก็ควรคิดถึงเด็กของเรา ลูกของเรา เพราะว่าลูกของเรานี้เป็นคนสำคัญในครอบครัวเป็นคนสำคัญในอนาคตของครอบครัว อนาคตของครอบครัว ของประเทศชาติ ขึ้นอยู่กับเด็ก
พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า "ปุตฺตา วตฺถุ มนุสฺสานํ" ปุตตา วัตถุ มะนุสสานัง แปลว่า บุตรเป็นอาณา เป็นที่ตั้งของมนุษย์ทั้งหลาย คำว่า เป็นที่ตั้ง นั้นหมายความว่า เป็นความหวังของมนุษย์ เป็นความหวังของพ่อแม่ เป็นความหวังของครูอาจารย์ เป็นความหวังของคนทุกคนในชาติ ในบ้านเมือง ว่าเด็กนี้จะเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ จะทำหน้าที่รักษาแผ่นดิน มรดกของชาติ ของบ้านเมืองต่อไป อันนี้เป็นความหวังของทุกคนที่เป็นผู้ใหญ่ ควรจะคิดอย่างนั้น เด็กของเรานั้นที่ว่าจะรับมรดกของพ่อแม่ มรดกในที่นี้หมายถึง มรดกอันเป็นส่วนรวม มรดกอันเป็นส่วนรวมนั้นคือ แผ่นดินไทย ความเป็นอิสระของชาติ แล้วก็พระพุทธศาสนาซึ่งเป็นมรดกทางใจ เราจะต้อง …… (09.17 เสียงสะดุด) เราให้เข้าใจว่า เราเกิดมาบนแผ่นดินนี้ เราจะต้องทำตนให้เป็นผู้สมควรที่จะรับมรดกทั้ง ๓ ประการ คือ เป็นผู้ทำตนให้สมควรที่จะรับมรดก คือ แผ่นดินไทย เป็นผู้อยู่ในแผ่นดินนี้ต่อไป แล้วก็อยู่อย่างดี มีประโยชน์ ไม่ใช่อยู่ให้มันหนักแผ่นดิน รกแผ่นดิน แต่ว่าเราจะต้องอยู่ด้วยความมีคุณค่าแก่แผ่นดิน ทำตนให้เป็นประโยชน์แก่แผ่นดินให้มากที่สุดที่จะมากได้ เราจะต้องสอนให้เขาเข้าใจ ให้ซาบซึ้ง พูดเวลาเขานั่งอยู่บนแผ่นดิน ยืนอยู่บนแผ่นดิน เขากินอาหาร เขาดื่มน้ำ เขาได้อะไร ๆ ไปใช้ก็ต้องคอยย้ำคอยเตือนว่าสิ่งเหล่านี้เราได้มาจากแผ่นดิน เช่น เราได้น้ำมาจากแผ่นดิน จากแม่น้ำ จากลำห้วย หรือเจาะเอาน้ำใต้ดินขึ้นมาใช้ก็ได้จากแผ่นดิน อาหาร ที่เรารับประทานเข้าไปทุกมื้อ เราก็ได้มาจากแผ่นดิน เพราะเราต้องปลูกข้าวบนแผ่นดิน ปลูกพืชผักจากแผ่นดิน แผ่นดินให้ข้าว ให้อาหาร ให้อะไรทุกอย่างแก่เรา แม้เสื้อผ้าที่เรานุ่งห่ม เราก็ได้มาจากแผ่นดิน คือ ได้มาจากต้นฝ้าย เปลือกไม้ หรือว่าจากวัตถุลอยได้จากพวกน้ำมัน จากแก๊ส แก๊สที่ขุดขึ้นได้จากอ่าวไทยก็เอาไปในโรงงาน เขาเรียกว่า โรงงานปิโตรเคมี เป็นโรงงานที่ปรับเปลี่ยนรูปของสิ่งที่เป็นผลพลอยได้จากแก๊สให้กลายเป็นวัตถุหลายอย่าง เป็นพลาสติก เป็นเครื่องใช้ เป็นอะไรต่ออะไรมากมายก่ายกอง แล้วก็ได้เป็นเสื้อเป็นผ้าที่เรามาใช้กันอยู่นี้ นี่ก็ มาจากวัตถุลอยได้ จากน้ำมันในอ่าวไทยไม่ใช่น้อย เขาจึงตั้งโรงงานปิโตรเคมีขึ้นสำหรับผลิตอะไรต่าง ๆ ประเทศญี่ปุ่นในเอเชียเรา ญี่ปุ่นตั้งมาก่อนเพื่อน ญี่ปุ่นจึงเจริญก้าวหน้า มีวัตถุที่เป็นผลพลอยได้เอามาขายต่างประเทศ ได้เงินเข้าประเทศเป็นเศรษฐีไป มั่งมีทรัพย์สมบัติ ของเรานี้เพิ่งตื่นทีหลังเขา ก็เป็นธรรมดา เราตื่นหลัง เราก็ทำอะไรก้าวหน้าได้เหมือนกัน เราก็มีโรงงานประเภทนี้ สิ่งเหล่านี้ได้มาจากแผ่นดิน เราควรจะพูดให้เด็กเข้าใจ เมื่อเด็กเข้าใจจึงถามเด็กว่า ได้ข้าวมาจากไหน ได้น้ำมาจากไหน ได้เสื้อผ้ามาจากไหน ได้ถ้วยจานใส่อาหารมาจากไหน แล้วก็ได้บ้านเรือนมาจากไหน ได้ยามาจากไหน ถามให้เขาตอบ ให้เด็กตอบ เด็กอาจจะตอบ ยังไม่ถูกต้อง เช่นว่า อาจตอบว่าคุณพ่อคุณแม่ให้ คุณพ่อคุณแม่ซื้อมา อะไรอย่างนั้น มันยังไม่ถูกต้อง ต้องถามต่อไป ถามให้จนเด็กเข้าใจว่าสิ่งที่เขาได้กิน ได้ใช้ ได้นุ่ง ได้ห่ม เครื่องประกอบชีวิตรอบ ๆ ตัวเขานั้นเป็นสิ่งที่ผลิตออกมาจากแผ่นดิน แผ่นดินจึงเป็นขุมทรัพย์อันใหญ่ให้ประโยชน์แก่เรา ถ้าไม่มีแผ่นดิน เราก็อยู่ไม่ได้ เพราะไม่มีอะไรใช้หลายอย่าง แต่ที่เราได้มีกินมีใช้อย่างสมบูรณ์นี้ก็เพราะวัตถุดิบในพื้นแผ่นดินนี้มีพอให้เราได้กินได้ใช้ พูดให้เขาฟังบ่อย ๆ เด็กก็จะได้สำนึกว่า อ้อ! ชีวิตของเราขึ้นอยู่กับแผ่นดิน แผ่นดินทุกกระเบียดนิ้วเป็นประโยชน์แก่เรา เขาเดินไปบนแผ่นดินก็นึกได้ว่าเราเดินอยู่บนสิ่งที่ให้ประโยชน์มากมายแก่ชีวิตของเรา เรานั่งอยู่บนสิ่งที่ให้ประโยชน์มากมายแก่ชีวิตของเรา เรานอนอยู่บนแผ่นดินซึ่งมีประโยชน์มากมายแก่ชีวิตของเรา เราก็ต้องรักแผ่นดิน ต้องคิดตอบแทนแผ่นดิน การตอบแทนแผ่นดินก็คืออย่าทำอะไรให้เป็นเครื่องเสียหายแก่แผ่นดิน ควรจะช่วยบำรุงดิน เช่น ช่วยปลูกต้นไม้ ช่วยรักษาอะไร ๆ ต่าง ๆ ให้อยู่ในสภาพที่เรียบร้อย ไม่เป็นคนทรยศ คิดกบฏต่อแผ่นดินที่ตนอยู่อาศัย เราสอนเขาให้เข้าใจ พูดบ่อย ๆ หมั่นพูด หมั่นสอน ใส่เข้าไป ในหัวของเด็ก เด็กได้ยินได้ฟังบ่อย ๆ ก็จำใส่ใจ แล้วเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ เขานึกได้ สิ่งใดที่ได้รับสอนมาตั้งแต่เด็กนี้มันให้ผลเมื่อเป็นผู้ใหญ่
หลวงพ่อคิดถึงตัวเองว่า เมื่อเด็ก ๆ นี้เราได้รับคำสอนอะไรบ้าง แต่เวลานั้นก็ เฉย ๆ ไม่ค่อยได้คิดอะไร ไม่รู้คุณค่าของสิ่งที่คุณยายคุณย่าเคยสอนเคยเตือน แต่พอ โตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ เรานำสิ่งนั้นมาใช้เป็นประโยชน์ในชีวิตและนำสิ่งนั้นมาเป็นเครื่องเตือนจิตสะกิดใจให้เกิดความคิดที่ถูกต้อง มีหลายอย่าง หลายประการ ก็เกิดความสำนึกในคุณงามความดีของท่านเหล่านั้นว่าเป็นผู้มีบุญคุณต่อเรา เป็นผู้ให้อะไรแก่เรา เราได้เอาตัวรอดปลอดภัยมาได้ก็เพราะคำแนะนำพร่ำเตือนของท่านเหล่านั้น เรานึกได้ เพราะฉะนั้นพ่อแม่ต้องหมั่นพูดกับลูกบ่อย ๆ เตือนใจลูกบ่อย ๆ ในเรื่องอะไร ๆ ต่าง ๆ อย่าปล่อยให้มันโตตามเรื่องตามราว อย่าให้โตแต่เพียงร่างกาย ให้กินอาหารดี ถูกหลักอนามัย ร่างกายเด็กก็เติบโต แต่ถ้าเด็กเติบโตทางกายแต่ไม่เติบโตทางจิตใจ เด็กนั้นก็ จะโตเหมือนควาย ไม่ได้เรื่องอะไร เพราะไม่มีความคิดที่ถูกต้อง การพูด การกระทำที่ถูกต้องอยู่ในสมอง เขาก็จะใช้กำลังทำการประทุษร้ายคนอื่น สิ่งอื่น ให้เกิดความเสียหาย เพราะไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร อันนี้เราต้องพูดสอน พูดเตือน มีเวลาก็สอน พ่อแม่บางคนก็มักจะบ่นว่าไม่มีเวลาอยู่กับลูกเพราะต้องไปทำงาน ไปทำงานแล้วไม่กลับบ้านนี่ ลองคิดดูว่าเรากลับบ้านหรือเปล่า ก็ต้องกลับบ้านทั้งนั้น แต่ว่ากลับบ้านน่ะมาตรงเวลาหรือเปล่า หรือเที่ยวเถลไถลไปบ้าง พอเลิกงานแล้วเพื่อน ดึงไปโน่นดึงไปนี่ ไม่เป็นไทแก่ตัว ตกอยู่ในอำนาจอิทธิพลของเพื่อนที่จูงไป แล้วเพื่อนที่จูงเราไปนั้นเป็นเพื่อนประเภทชอบสนุก สรวลเสเฮฮา อยากได้เพื่อนมาก ๆ แล้วมันถึงดึงเราไป จับแขนเราลากไปขึ้นรถ พาไป พาไปเที่ยว ไปเล่น ไปกิน ไปสนุก กลับบ้านดึกดื่นเที่ยงคืน ไม่ได้พูดกับลูก ตื่นเช้ามาต้องไปทำงาน ไม่มีโอกาสได้พูดกับลูกเลย ทุกวันเป็นเช่นนั้น อันนี้พ่อแม่อย่างนั้นทำไม่ถูกต้อง พ่อทำอย่างนั้นมันไม่ถูกต้อง เรียกว่าไม่สำนึกในหน้าที่อันสำคัญของความเป็นพ่อ เราเป็นพ่อนี่ต้องนึกถึงหน้าที่ของความเป็นพ่อให้มาก แต่หน้าที่อื่นนั้นเป็นหน้าที่พิเศษออกไป แต่หน้าที่ของความเป็นพ่อ เราต้องนึก หน้าที่ของความเป็นแม่นี่ก็ต้องนึกเหมือนกัน ไปทำงาน ทำการเพื่อหาเงินมาเลี้ยงครอบครัว เพื่อให้ลูกได้อยู่เป็นสุขเพราะเงินทองเหล่านั้น เลิกงานแล้วก็ต้องรีบกลับบ้าน อย่าไปเที่ยวสนุกสนาน เฮฮาตามบาร์ ตามไนต์คลับ ตามสถานที่ต่าง ๆ ที่เขาสร้างไว้ ไอ้สถานที่ท่องเที่ยวยามค่ำคืนนี่เขาสร้างไว้ดักคนโง่ทั้งนั้นแหละ โยมเข้าใจไว้แล้วพูดให้เพื่อนฝูงเข้าใจด้วยว่า ไอ้ที่เหล่านั้นเขาสร้างไว้ ดักคนโง่ ๆ เหมือนแร้วที่เขาไปดักสัตว์ในป่าน่ะ เขาดักสัตว์ตัวโง่ ตัวประมาท เดินไม่ระมัดระวัง พอตีนไปเหยียบแร้วเข้า แล้วแร้วมันก็มัดตีนดิ้นแด่ว ๆ อยู่ตรงนั้น ไปไหนไม่ได้ ถ้าสัตว์ตัวฉลาดมันไม่เดินไปให้ติดแร้วหรอก มันต้องเดินอ้อมไปไม่ให้ติดแร้ว ปลาก็เหมือนกัน ปลาตัวฉลาดมันไม่ติดเบ็ด แต่มันจะกินเหยื่อ กินเหยื่อจนหมด เจ้าของยกเบ็ดขึ้นมา อ้าว! หมดแล้ว เหยื่อมันกินแล้ว แต่มันไม่ติดเบ็ด คือมันฉลาด มันก็ไม่ติดเบ็ด เพราะมันเลือกกินเอา ตุบเอา...ตุบเอา และไม่ให้กินเบ็ดเข้าไป ไม่เหมือนปลาโง่ ๆ ปลาโง่ ๆ พอเห็นเหยื่อ ฮุบเลย ฮุบเลยก็ติดเบ็ดเข้าด้วย กลืนเบ็ด เข้าไปในคอ เบ็ดมันก็เกี่ยวเอาเนื้อ เขาก็ยกเบ็ดขึ้น ปลาก็ติดมาด้วย นั่นแหละปลาโง่ๆ ไอ้คนเรานี่ก็เหมือนกันนะ ไอ้คนไหนโง่พอเลิกงานก็ไปร้านเหล้า ไปเล่นบิลเลียด ไปเที่ยวบาร์ เที่ยวไนต์คลับ ไปสนุกสนาน ลืมบ้านลืมช่อง ไอ้นั่นคนโง่ ๆ แต่คนฉลาดเขาไม่ไป เขามักเห็นว่าไปอย่างนั้นมันเสียสตางค์ เสียเวลา ไม่ได้ประโยชน์อะไร แล้วคนที่สร้างสิ่งเหล่านี้ขึ้นในบ้านเมืองก็คิดมุ่งเอาสตางค์จากคนโง่นั่นแหละ ไม่ใช่จากใคร เอาสตางค์ เขาไม่ได้คำนึงถึงชาติ ถึงประเทศ ถึงวัฒนธรรม ถึงศีลธรรมของบ้านเมืองอะไร คิดจะเอาสตางค์ท่าเดียว จึงสร้างสิ่งยั่วยุด้วยประการต่าง ๆ ให้คนหลงใหล คนมัวเมา คนประมาท หานักร้องไอ้ที่ร้องเพราะ ๆ แต่งตัวโป๊ ๆ ไปยืนร้องเพลงให้คนไปนั่งฟังเพลงอ้าปาก ตาค้างกันอยู่ในสถานที่เหล่านั้น อย่างนั้นมันเป็นการกระทำที่หลงใหลมัวเมา เกิดความเพลิดเพลิน แต่จิตใจตกต่ำ
เคยมีนักร้อง นักรำ เขาเรียกว่าศิลปินน่ะ คนหนึ่งไปเฝ้าพระพุทธเจ้าแล้วก็ทูลถามปัญหา ถามบอกว่า “ข้าพเจ้าเป็นนักร้อง นักรำ ทำเพลงให้คนอื่นสบายใจ ข้าพเจ้าตายแล้วจะไปเกิดที่ไหน” ก็ถามอย่างนั้น (21.04)
พระพุทธเจ้าบอกว่า “อย่าถาม อย่าถาม”
เขาก็ถามถึงครั้งที่ ๒ ก็ห้ามว่า “อย่าถาม”
ถามครั้งที่ ๓ ก็ห้าม “อย่าถาม”
ไอ้คนนั้นมันดื้อ มันจะถาม แล้วก็ถามเป็นครั้งที่ ๔ เขาบอกว่า “เราห้ามเธอ ๓ ครั้งแล้วนะ ไม่ให้ถามปัญหาข้อนี้ แต่เธอก็ดื้อถามอีกจนเป็นครั้งที่ ๔ ฟังให้ดี เราจะตอบ” แล้วพระองค์ตอบว่ายังไง ตอบว่า
“เธอนี่ตายแล้วจะตกนรก …… (21.40 เสียงไม่ชัดเจน) ตายแล้วจะตกนรก นรกนั้นชื่อว่า หาสะนรก (21.45) นรกแห่งความหัวเราะร่าเริง” ไปตกอยู่ในนรกแล้วก็ตื่นขึ้นนั่งหัวเราะ หัวเราะ ๆ ๆ อยู่นั่น มันสนุกไหมล่ะ ถ้าเรานั่งหัวเราะวันยังค่ำนี่สนุกไหม โยมลองคิดดูสิ หัวเราะไม่หยุดนี่ ใครมาเห็นเข้าว่าไอ้คนนี้มันหัวเราะไม่หยุด เขาหาว่าบ้าแล้วคนอย่างนั้นนะ อันนี้ตกนรกก็นั่งหัวเราะ นอนหัวเราะ ถ้าลืมตาขึ้นรู้สึกก็หัวเราะตลอดวัน มันก็เป็นทุกข์” บอกว่าอย่างนั้น พอตอบอย่างนั้นก็ “อ้าว ก็ข้าพระองค์ทำคนให้ร่าเริง ให้สนุกสนาน ให้ลืมความทุกข์ นี่ทำไมจะต้องตกนรกอย่างนั้น”
พระองค์บอกว่า “เธอไม่ได้ทำคนให้พ้นจากปัญหา ไม่ได้ทำคนให้พ้นจาก ความทุกข์ ความเดือดร้อน แต่เธอทำคนให้มีปัญหา ให้ติด ให้หลง ให้มัวเมาในเสียง ในเพลง ในดนตรีที่เธอบรรเลงด้วยวิธีการแปลก ๆ ทำให้คนเหล่านั้นหลงใหลมัวเมาอยู่ในสิ่งนั้น การทำให้คนหลงใหลมัวเมานั่นแหละเป็นบาป เป็นโทษ ตายแล้วจึงต้องไปลงนรกอย่างนั้น”
แต่บุรุษนั้นพอฟังพระพุทธเจ้าเทศน์จบแล้ว ... เลิกเลย ไม่หากินการร้องรำ ทำเพลงอีกต่อไป เพราะเห็นว่ามันเป็นการสร้างปัญหาให้คนเกิดความทุกข์ ความเดือดร้อน โทรทัศน์เขาให้ถ้วย ให้รางวัลแก่พวกร้องเพลง พวกศิลปินทั้งหลาย แล้วก็ มีการยกย่องว่าเป็นศิลปินแห่งชาติ แต่ว่าพวกร้อง ๆ ทั้งหลายมันก็ได้เงินนะ แต่ว่าคนมันเสีย คิดดูให้ดี คนมันเสียเพราะไปหลงเสียงเพลง พอถึงเวลาต้องปล่อยให้เรื้อรัง (23.39) ไป ที่สถานีโทรทัศน์ช่อง ๕ นี่เขามีลานกว้างอยู่บริเวณนั้น จุคนได้สัก ๑,๐๐๐ สัก ๒,๐๐๐ เห็นจะได้ หลวงพ่อไปเทศน์ ไปแต่เช้า ยังไม่ถึงเวลาก็เดินเตร่ไปดู...เอ๊ะ! มากันมากมายอย่างนี้ ก็เลยถามว่า “นี่พวกเรามากันทำไมอย่างนี้”
ก็บอก “มาฟังเพลงค่ะ” ผู้หญิงนะ “ฟังเพลงค่ะ”
“นี่หนูออกจากบ้านเวลาเท่าไร”
“ตี 5 ค่ะ ออกที่บ้านตี 5 แล้วมานั่งรอฟังเพลง”
“เพลงเขาบรรเลงเมื่อไร”
“เที่ยงครึ่งค่ะ”
อ๋อ! ดูสิดู ลูกสาวใครนี่มานั่งรอฟังเพลงอยู่ตั้ง ๖ ชม. นะ มาแต่ตี ๕ ถึงที่นั้น ราว ๖ โมง แล้วนั่งรอ รอ สมมุติว่ามากัน ๔–๕ คนนี่ จะกิน …… (24.38 เสียงไม่ชัดเจน) โคล่า เป็ปซี่ โอเลี้ยง อะไรนะ ไปคนเดียว ไปซื้อหอบมา ไอ้ ๔ คนนั้นต้องนั่งเฝ้าที่ไว้ ถ้าไปหมด กลับมา อ้าว! ไม่มีที่ เพื่อนริบเอาที่ไปเสียแล้ว ดูแล้วก็แสนทุเรศนะตรงนี้ ถ้ามันเอาเวลาไปใช้เรื่องอื่น ไปอ่านหนังสือ หาความรู้เพิ่มให้แก่ตน ชีวิตมันก็ดีขึ้น แต่นี่ไปฟังเพลง หลงเพลง ตามที่ …… (25.06 เสียงไม่ชัดเจน)
ที่วัดวาอารามนี่ก็ช่วยคนให้หลงมากเหมือนกัน หน้านี้นะไปดูป่ายาว (25.13) ๓ วา ๗ วา มีงานฝังลูกนิมิต มีงานปิดทองพระ ในงานนี้มีดนตรีคณะนั้นคณะนี้ มหรสพ ชมฟรีตลอดทั้ง ๗ วัน คนก็ไปกัน ไปดูกัน แล้วก็คนที่ไปดูนะเสียเศรษฐกิจเท่าไร ไปเสีย ไม่ได้ได้อะไร ไปดูกลางคืน กลางวันนอน ไม่ได้ทำงานทำการเพราะง่วง แล้วก็เสียหายทางเศรษฐกิจเท่าไร วัดก็ไม่ได้อะไร ได้นิดหน่อย หลวงพ่อไปศึกษา ไปวัดแล้วมีงาน ๕ วัน ๕ คืน ๗ วัน ๗ คืน ได้เงินเท่าไร ได้เงินเท่านั้น หักจ่ายแล้วเหลือเท่าไร หักจ่ายไปจ่ายมาเหลือ ๕๐,๐๐๐ ทำงาน ๗ วัน ได้เงิน ๕๐,๐๐๐ มันเหนื่อยเปล่า ๆ ไม่ได้ แล้วก็วัดนี่ขยะเต็มเลย เน่าเหม็นทั้งวัด ขยะมูลฝอย ไอ้ร้านต่าง ๆ มา ขายของก็ทิ้งอาหาร เศษอาหาร ทิ้งน้ำสกปรกไว้ในวัดนะ วัดเน่าเป็นหนอนไปเลย ในบริเวณนั้น ทำงาน ๗ วันนี่ เดินเข้าไปแล้ว โอ๊ย! ตายแล้ว มันไม่คุ้มนะที่เราทำน่ะ แต่ว่าไม่รู้จะทำอะไร ไม่รู้จะหาเงินอย่างไร ก็ต้องทำกันอย่างนั้น เป็นการสร้างนิสัยแห่งความฟุ้งเฟ้อให้เกิดขึ้นแก่ประชาชน ทำคนให้เสียหายนะ ไม่ได้ทำคนให้ดีขึ้นนะ ไม่ได้เป็นบุญเป็นกุศลอะไร แต่ก็ทำอยู่อย่างนั้นเพราะไม่มีใครคิดแก้ไข ไม่คิดปรับปรุงให้มันดีขึ้น ผู้หลักผู้ใหญ่ก็อยู่เฉย ๆ ไม่ได้สนใจอะไร เขาทำกันอยู่อย่างนั้น มาเห็นแล้ว เอ ไม่ได้เรื่อง ได้สาระอะไร เราไม่ควรจะทำอย่างนั้น แล้วติดลำโพงสูง เปิดเพลง เพลงอะไร เพลง “…… (27.06 เสียงไม่ชัดเจน) ฉันรักเธอ ขอ …… (27.09 เสียงไม่ชัดเจน) ” ไอ้เพลงบ้า ๆ บอ ๆ นี่นะ มันไม่ควรจะดังออกมาจากวัดนะ เพลงอย่างนั้นนะฟังแล้ว เอ๊ะ! เพลงอะไร เอามา เปิดกัน มันไม่ได้เรื่อง ร้องเหมือนเพลงไม่ได้เรื่อง ที่ร้อง ๆ นะ ไม่ได้สร้างสรรค์จิตใจคน ไม่ได้สร้างชาติ สร้างประเทศอะไรสักหน่อย แต่ก็ทำกันอยู่ คนก็หลงไปดู เก็บสตางค์นะ ถ้าไม่เก็บสตางค์แต่ว่าเอาเงินไหนให้ล่ะ มหรสพ ดนตรี คืนหนึ่ง ๔๐,๐๐๐–๕๐,๐๐๐ ก็เอาเงินที่คนทำบุญน่ะเอาไปให้ โยมอย่าไปทำบุญนะ วัดไหนมีงานประเภทอย่างนั้น เพราะมันไม่ถึงศาสนา มันไม่ถึงวัดนะ มันไปกับไอ้พวกดนตรีหมดเลย ดนตรี หนัง ละคร ลิเก เอาไปหมด วัดได้ไม่เท่าไร แต่ที่ได้มาก ก็ขยะมูลฝอยที่เหลืออยู่ เท่านั้นเอง แต่แล้วมันเป็นอย่างนั้น แต่ว่าเราพูดก็เขาไม่ฟัง เสียงเล็ก ๆ...อย่างท่านปัญญานี่เขาไม่ค่อยฟัง เขาว่าอย่าไปเชื่อท่านปัญญา ลำบาก เป็นอย่างนั้นโยม นี่เราไม่ได้คิดถึงความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการทำงานอย่างนั้น อะไรต่ออะไร สถานท่องเที่ยวยามราตรีนี่เพิ่มเรื่อย มันควรจะลด ถ้าลดต้องให้มากๆ ให้มันมีน้อยๆ ไม่ให้มาก แล้วก็ควรจะจำกัดเวลาคนไปเที่ยว ๒๒.๐๐ น. นี่ปิดหมด คนจะได้กลับบ้าน ถ้า ๒๒.๐๐ น. คนกลับบ้าน แม่บ้านสบายใจ พ่อเจ้าประคุณ กลับบ้านไวหน่อย ลูกก็สบายใจ หมาในบ้านมันก็สบายใจเพราะมันนั่งคอยนายอยู่ ตรงประตู นายยังไม่มา พอนายเปิดประตู เห็นแล้วมันก็ …… (29.00 เสียงไม่ชัดเจน) ถ้ามันจะพูดได้ บอก "นายหายไปไหนมา แหม หนูคอยนานเหลือเกิน นายไม่มาสักที" หมามันจะพูดอย่างนั้นนะโยม อย่างเพลงนี้มันไม่ได้เรื่องอะไร แต่ว่าส่งเสริมกัน อย่างนั้น โทรทัศน์ก็พูดให้ไปที่นั่น ให้ไปที่นี่ ไปสนุกอยู่นี่ สนุกที่นั่น สนุกที่นี่ โฆษณาฟัง ๆ ดู เอ ไม่ได้เรื่อง...ไม่ได้เรื่องอะไร มันได้เรื่องอยู่บ้างตรงให้พระไปเทศน์นั่นแหละ แต่ว่านิดหน่อย สัปดาห์หนึ่งให้เทศน์ ๒๕ นาทีเท่านั้นเอง ก็เทศน์ไปเถอะ …… (29.36 เสียงไม่ชัดเจน) อีก ๓ นาที อีก ๒ นาที หมดเวลา แหม มันรุก (29.42) เราเหลือเกิน ทำให้สมาธิเสียหาย เป็นอย่างนั้น รีบเอาเวลาไปหาสตางค์ เพราะว่าไปทำอย่างอื่นมันได้สตางค์นี่ เข้าไปเทศน์ไม่ได้อะไร อย่างเสียค่าถวายพระก็ไม่มากอะไร ถวายพระ ๑๐๐ บาทเท่านั้นเอง ไม่ขึ้นสักที กี่ปี ๆ ก็ได้ เท่านั้นเอง ไปที่วิทยุก็ ๑๐๐ หนึ่ง ไปที่โทรทัศน์ก็ ๑๐๐ หนึ่ง ค่าจ้างแท็กซี่ไปไม่พอ ค่ารถไม่พอ แต่นี่ไม่ต้องจ้าง เขามารับไปเอง ก็พอไปได้ แต่ถ้าไปอัดเสียงที่ …… (30.20 เสียงไม่ชัดเจน) วิทยุนี่ต้องเอารถไป ธนาคารเขาเอื้อเฟื้อให้รถ ก็ไม่ต้องเสีย แล้วก็อัดเสียงเสร็จแล้วถวาย ๑๐๐ หนึ่ง …… (30.29 เสียงไม่ชัดเจน) ไม่เห็นขึ้นราคามั่งเลย เดี๋ยวนี้เขาขึ้นกันหมดแล้วนี่ อะไรๆ ก็ขึ้น ของก็ขึ้น เงินเดือนก็ขึ้น เงินถวายพระไม่เห็นขึ้นสักที เขาบอกว่าทำเรื่องไปแล้วยังไม่ตกมา เป็นอย่างนั้นนะโยม นี่เรื่องมันเป็นอย่างนี้ เป็นปัญหานะ
ทีนี้เด็กของเราก็ได้เห็นแต่เรื่องความสนุกสนานเฮฮา เรามีโทรทัศน์อยู่ในบ้านให้เด็กดู ต้องจำกัดเวลา ให้ดูบางเรื่อง เรื่องบางเรื่องไม่ควรให้เด็กดู แล้วไม่ควรจะดูนาน ดึกดื่นเที่ยงคืนมากเกินไป ดูข่าว ฟังข่าว ฟังเรื่องที่เป็นสาระ ดูหนังก็หนังดี ๆ เช่น หนังเปาบุ้นจิ้น ให้เด็กดูได้ นี่มันเป็นประโยชน์ แล้วก็พ่อแม่นั่งดูด้วย คอยอธิบาย ไอ้นี่ดี ไอ้นี่ไม่ดี เอาเรื่องหนังมาเป็นบทเรียน เป็นเครื่องสอนใจเด็กไปด้วยในตัว เด็กมันก็ฉลาดขึ้น ไม่ได้ดูเฉย ๆ ที่สำคัญคือพ่อแม่นี่ต้องทำหน้าที่กับลูกอย่างดี ให้ดีที่สุด ลูกจะไม่เสียคน มีคนเอาลูกมาให้บ่อย ๆ เอามาบอกว่า "มันไม่เรียนหนังสือ ลูกไม่เรียนหนังสือ" เลยถามว่า "หนูไม่เรียนหนังสือนี่โตขึ้นจะทำอะไร จะหากินกับอะไร ก็สมัยนี้เขาต้องการคนมีวิชา มีความรู้ ไปสมัครงานที่ไหนก็ถามว่าเรียนจบอะไร แล้วเธอไม่ได้จบอะไร แล้วใครเขาจะรับเธอทำงานทำการ ถ้ามีงานก็หนัก เป็นงานแบกหาม เป็นกรรมกร ไม่ได้เบาแรงเลยแม้แต่น้อย ลำบาก ยังมีโอกาสเรียนได้ ทำไมไม่เรียน" มันขี้เกียจ อันนี้เรื่องขี้เกียจมันก็มีความบกพร่องในครอบครัว พ่อแม่โดยมากไม่มีพ่อบ้าง พ่อมันมีหรือไม่มี มันจะเกิดมาอย่างไร แต่ว่าเกิดแล้วมันไม่รับผิดชอบ สาเหตุหนึ่งไม่รับผิดชอบ โทรทัศน์ออกภาพมา เด็ก ๓ คนไล่เลี่ยไปโรงเรียน แต่ว่ามีน้องอีกคนอยู่บ้าน พ่อไม่มี พ่อกลับบ้านแล้วเมา เมาแล้วมาหาเรื่องตีลูกคนนั้น ตีลูก คนนี้ มันไม่เอาไหน ไอ้เด็กก็แสนลำบาก มีข้าวแต่ไม่มีกับจะกิน คนบ้านใกล้เรือนเคียงเอากับข้าวมาให้ เด็ก ๓ คน ๔ คนก็ได้กินอยู่บ้างตามสมควร เอามาออกเพื่อชีวิต นี่ เอามาออกอย่างนั้น เห็นแล้วก็เป็นภาพที่น่าสงสาร น่าช่วยเหลือเด็กเหล่านั้น แต่ว่าเขาออกภาพ ดูแล้วฟังไม่ชัดว่ามันอยู่ตรงไหน แต่ไม่ใช่ในเมืองกรุงเทพฯ นะ ไกลออกไป ถ้ามีทางจะช่วยได้ต้องไปช่วยเขาบ้าง เด็กเหล่านั้น เพราะมันอยากเรียนหนังสือ แต่ถ้าไอ้เด็กขี้เกียจ ช่วยมันก็ไม่ไหว มันไม่เรียน ขี้เกียจ เอามาอยู่วัดมันก็ไม่เรียน ให้เรียนอะไรมันก็ไม่เรียน ทดสอบดู ไม่เอาถ่าน ก็เอากลับบ้านไป ส่งกลับบ้านไป แต่บางคนก็เอามาฝากเพื่อให้เล่า ให้เรียน ให้บวช เอามาอยู่ ๆ มันหายไปเลย หายไป หายแล้วมันไม่มาอีกต่อไป ไอ้อย่างนี้ไม่ไหว เข็นไม่ได้ มันอยู่ลึกเกินไป ดึงไม่ขึ้น ไอ้อย่างนั้นมันก็มี แต่ว่าคนบางคนอาจจะมีความก้าวหน้าได้ มีแววแห่งปัญญาได้ ก็ถ้าเราได้ช่วยก็ดีเหมือนกัน ช่วยเด็กให้เป็นผู้เป็นคน คนบางคนไม่มีลูกมีเต้านี่นั่งอยู่ในกลุ่ม …… (34.20 เสียงไม่ชัดเจน) ลูกไม่มี แต่เลี้ยงลูกเยอะ ตั้ง ๒๐ กว่าคนนะ (34.25 หลวงพ่อถามโยมที่นั่งอยู่แถวนั้น) เกิด (34.30) ไม่ได้ แต่ว่าเลือกเกิด (34.32) เลี้ยง ๑๔ คน เอามาเลี้ยง ไม่ได้เลี้ยง …… (34.35 เสียงไม่ชัดเจน) นะ เลี้ยงให้เป็นนายทหาร เป็นนายตำรวจ เป็นหมอก็มี เป็นข้าราชการให้ดี ช่วยเหลือ อบรมสั่งสอนให้มันเป็น คนดีทั้งนั้นแหละ เอามาเลี้ยง แค่นี้มันก็เป็นประโยชน์ ไม่มีลูกตัว แต่เลี้ยงลูกคนมันก็ ดีเหมือนกัน ช่วยเพื่อนมนุษย์ให้มีความเจริญก้าวหน้า ที่เชียงใหม่ ก็มีอยู่คน โยม เรือนแก้วนี่แกเลี้ยงเด็ก ๓๐ คน ทยอยกันมา …… (35.05 เสียงไม่ชัดเจน) ตัวมีลูกด้วย แกไม่มีลูก เขาว่า "ดิฉันไม่มีลูก แต่ว่ามีลูกที่เอามาเลี้ยง ๓๐ คน" ไอ้ ๓๐ คนยังอยู่ทั้งนั้นนะ แต่งงานเป็นหลักเป็นฐานนะ ผู้หญิงก็แต่งงาน เป็นหลักเป็นฐาน ไปมีครอบครัว ผู้ชายก็ได้ทำงานทำการไป เป็นเรื่องเป็นราว …… (35.29 เสียงไม่ชัดเจน) เลี้ยงคน แต่ว่าคุณโยมนี่แกดุนะ เด็ดขาด จะทำอะไร สั่งเด็ดขาด เป็นคนเอางานเอาการ เจ้าระเบียบ ควบคุมดี เด็กทนได้ล่ะมันดี แต่ถ้าเด็กคนไหนทนไม่ได้มันก็ไป เอาดีไม่รอด …… (35.45 เสียงไม่ชัดเจน) ก็เลี้ยงให้ดี พ่อแม่บางคนเลี้ยงลูกตั้ง ๑๐ ๑๒ คน ๑๕ คนก็มี แหม อึดจริง ๆ เลี้ยง ๑๕ คน สมัยก่อนนี้ถ้าเกิดอย่างนั้นก็ได้รางวัล เรียกว่า แม่ลูกดก จอมพล ป. ให้รางวัลนะ เดี๋ยวนี้เขาไม่ให้แล้ว เกิดมากเขาไม่ให้ เดี๋ยวนี้เขาจำกัดไม่ให้คนเกิดมาก ตามจริงแล้วเขาเกิดกัน อย่าไปยุ่งเขาเลย มันไม่เป็นไรหรอก เมืองไทยที่ดินยังกว้าง ยังพอทำมาหากินได้ เลี้ยงได้ มากก็ไม่เป็นไร แต่ว่าลูกทุกคนที่ท่านผู้นั้นเกิดมา เขาเลี้ยงดี เลี้ยงให้มีการศึกษาเล่าเรียน มีความเป็นอยู่ดีทั้งนั้น นี่ใช้ได้ ถ้าเลี้ยงลูกของท่าน เกิดเป็นแม่พ่อตัวอย่าง คนอย่างนี้ เพราะเลี้ยงลูกดี อย่างนี้ก็มี เขาเอาใจใส่ คอยดูแล แนะนำพร่ำสอน กวดขันนะ การกิน การอยู่ การนุ่ง การห่ม สตางค์ใช้สอย ตรวจ (36:44) ไม่ปล่อยตามเรื่องตามราว เด็กมันก็ดี คือ เด็กถ้าเราอยู่ในระเบียบวินัยมันก็ดี แต่ถ้าปล่อยตามเรื่องตามราวมันก็ไม่ดี เพราะเดี๋ยวนี้สิ่งยั่วยุมันมาก โทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ หนังสือประเภทอะไร...หยิบแต่ชื่อมาอ่านได้นะ มันไม่เป็นเครื่องส่งเสริมจิตใจ ไม่ส่งเสริมศีลธรรม มีเยอะแยะ ถ้าเราปล่อยตามเรื่อง ไอ้สิ่งแวดล้อม นั่นแหละจะทำให้เด็กเสียผู้เสียคน อันนี้ต้องระวัง ถ้าเรามีลูกมีหลานต้องระวัง อย่าให้มันตกอยู่ในอำนาจของสิ่งแวดล้อม แล้วเราจะเสียใจภายหลัง เสียใจว่าลูกเราไม่ดี หลานเราไม่ดี โทษใครไม่ได้ ต้องโทษพ่อแม่นั่นแหละ เพราะพ่อแม่ไม่เอาใจใส่ ไม่คอยพร่ำเตือนสั่งสอน ไม่แสดงความเอ็นดูต่อลูก ขาดคุณธรรม ความจริงพ่อแม่ นี่ต้องเป็นพระพรหม เขาเรียกว่า เป็นพรหมของบุตร–ธิดา พรหมน่ะอยู่ในบ้าน ไม่ใช่พรหมหน้าโรงแรมเอราวัณ พรหมนั้นมันพรหมคนปัญญาอ่อน ไปไหว้กันควันโขมง …… (38.00 เสียงไม่ชัดเจน) ไม่ได้เรื่อง พระพรหมที่แท้อยู่ในบ้านของเรา …… (38.05 เสียงไม่ชัดเจน) พ่อ แม่ ปู่ ตา ย่า ยายน่ะเป็นพระพรหมของเรา เป็นพรหมที่เราควรกราบไหว้ ควรบูชาสักการะ ถ้าเรา ไม่รู้จักพรหมที่อยู่ใกล้ จะไปไหว้พรหมที่อยู่ไกลอย่างไร ไหว้ไม่ได้ ไหว้เขาไม่ถูก เพราะฉะนั้นต้องไหว้พรหมที่อยู่ใกล้คือพ่อแม่ พ่อแม่ที่เป็นพระพรหมนั้นคือมีคุณธรรมเป็นหลัก ๔ ประการ
เมตตา ปรารถนาความสุข ความเจริญแก่ลูก
กรุณา อดทนไม่ได้เมื่อเห็นลูกจะตกต่ำ เสียหาย ก็ต้องเข้าไปช่วยเหลือ แนะนำ พร่ำเตือน
มุทิตา คือ ความเบิกบานใจในเมื่อลูกได้ดิบได้ดี เจริญก้าวหน้าในชีวิต ใน การงาน มีความเบิกบานใจ
อุเบกขา หมายความว่า ไม่มีอะไรจะต้องช่วย แต่ก็ดู ก็ต้องตาดู หูฟัง เอาใจใส่ เรียกว่าอยู่ในฐานะอุเบกขาเพราะยังไม่มีอะไรขัดข้อง
แต่พอมีอะไรเกิดขึ้น เมตตาทันที กรุณา มุทิตา เข้าไปช่วย นี่คือคุณธรรมของ พ่อแม่ พ่อแม่ถ้ามีคุณธรรมอย่างนี้ เช่น มีเมตตา ปรารถนาที่จะให้ลูกเจริญก้าวหน้าก็มีการกระทำถูกขึ้นมา ทำอย่างไร ห้ามลูกไม่ให้กระทำความชั่ว แนะนำลูกให้กระทำความดี เอาใจใส่ในการศึกษาเล่าเรียนของลูก เมื่อจบการศึกษาแล้วก็หางานให้ทำ ไม่ให้อาศัยคุณพ่อคุณแม่กินโดยไม่ทำงานอะไร ให้เขารู้จักสร้างตัว ช่วยตัว ทำงาน ทำการ เขามีงานการเป็นหลักเป็นฐานแล้วหาคู่ครองที่สมควรให้ แต่สมัยนี้ไม่ต้องหา ลูกมันหาเอาเอง ชอบของมัน ไปเที่ยวหาเอาเอง พ่อแม่คอยจ่ายเงินวันแต่งงานเท่านั้นเอง แต่ว่าบางทีมันไม่ค่อยเหมาะเพราะมันหาตามอารมณ์ ไม่ค่อยจะเรียบร้อย ก็มีเหมือนกัน แล้วก็มอบทรัพย์ให้เขาบ้างเพื่อไปตั้งเนื้อตั้งตัว อันนี้เป็นเรื่องที่เรียกว่า แผ่เมตตาไปถึงลูก ลูกได้รับความเมตตาปรานีจากพ่อแม่ก็มีความสำนึกในบุญคุณ รักพ่อ รักแม่ เพราะแม่พ่อแสดงความรักกับลูก ลูกก็แสดงความรักต่อพ่อแม่ เป็นคนดีของพ่อแม่ อันเด็กที่ดีของพ่อแม่นั้นไว้ใจได้ เมื่อไปโรงเรียนเขาก็เป็นคนดีของครูบาอาจารย์ เติบโตขึ้นก็เป็นคนดีของสังคม เป็นคนดีของประเทศชาติต่อไป มันตั้งต้นในครอบครัว ความดีนี่ตั้งต้นในครอบครัวคืออยู่ที่คุณพ่อคุณแม่ ถ้าคุณพ่อ คุณแม่ทำหน้าที่ถูกต้อง สิ่งทั้งหลายเรียบร้อย แต่ถ้าคุณพ่อคุณแม่ทำหน้าที่ไม่ถูกต้อง เกิดปัญหา เกิดเด็กเกเร เด็กท่องเที่ยวหน้าโรงหนัง อะไรต่าง ๆ เพราะพ่อแม่ละเลย เพิกเฉย ไม่เอาใจใส่ ไม่มีความรักลูก ไม่ช่วยลูกให้เจริญในทางด้านจิตใจ ปัญหาก็เกิดดังที่เราเห็นกันอยู่กันทั่ว ๆไป นี่เป็นเรื่องที่น่าคิด
ความจริงพ่อแม่ทั้งหลายนั้นต้องการอยากจะมีบุตร มีบุตรไว้เพื่ออะไร พระพุทธเจ้าท่านวางหลักไว้ให้เราเข้าใจ พ่อแม่ปรารถนาบุตรก็เพื่อจะให้บุตรช่วยตนเมื่อยามแก่ชรา เวลาพ่อแม่แก่นี้จะได้พึ่งลูก ลูกจะได้ช่วยเหลือ เลี้ยงดูปูเสื่อต่อไปจะได้ทำงานทำการให้แก่พ่อแม่ เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยก็จะได้ช่วยดูแลรักษา แล้วก็ทรัพย์มรดกทั้งหลายที่พ่อแม่พยายามหาสะสมไว้ก็เพื่อจะให้ลูกรับมรดกนั้นต่อไป รักษาทรัพย์สมบัตินั้นต่อไป เวลาตายไปแล้วก็จะได้ทำบุญอุทิศไปให้แก่พ่อแม่ และอีกประการหนึ่งก็คือว่าได้สืบสายวงศ์สกุลต่อไป สืบวงศ์สกุลของพ่อแม่ต่อไป นี่พ่อแม่ต้องการอันนี้ มีลูกต้องการสิ่งนี้ แต่งงานแล้วไม่มีลูกก็ไม่สบายใจ มีปัญหาเหมือนกัน ไม่มีลูกนี่มักจะไปเที่ยวหาหมอ หาอะไรต่ออะไร ว่าทำไมถึงไม่มีลูก ให้ตรวจสุขภาพร่างกาย ดูอะไรต่ออะไร ต้มยากินบ้าง อะไรบ้าง เพื่อให้มีลูกสมความปรารถนา พอมีลูกก็สบายใจ ไม่ตกนรก คนอินเดียนี่เขามี ถ้าไม่มีลูกชายนี่ตกนรกนะคนอินเดีย มีลูกหญิงก็ยังไม่เป็นที่พอใจเพราะว่าไม่มีลูกชาย แล้วลูกหญิงของอินเดียนี่แพงนะ เวลาจะแต่งงานนี่พ่อแม่เจ้าสาวต้องเสีย …… (43.07 เสียงไม่ชัดเจน) เจ้าบ่าวมันไม่เสียตังค์เลย มันไม่มีสินสอดนะอินเดียนี่ สินสอดฝ่ายหญิง เพราะผู้หญิงนี่พ่อแม่หญิงต้องไปง้อลูกเขย ต้องไปขอลูกเขย อินเดียนะ ไม่ใช่ผู้ชาย ไปขอผู้หญิงนะ ผู้หญิงต้องไปขอผู้ชาย แล้วมันเล่นตัวนะผู้ชาย ได้ปริญญาตรีราคาเท่านี้ ถ้าด็อกเตอร์ แหม แพงมาก ใครจะไปแต่งงานกับด็อกเตอร์นี่ต้องขายบ้าน ขายช่องนะ จะได้เอามันมาเป็นเขย แต่นั่นแหละพอเป็นเขยแล้วมันใช้บุตรนะ มาเป็นลูกเขยเขาก็มาใช้คุ้มค่านะ ใช้งานใช้การคุ้มค่า แต่ว่ากว่าจะได้มานี่แพง เพราะฉะนั้นครอบครัวใดที่ไม่มีลูกชาย เขาเป็นทุกข์ เป็นทุกข์ในเรื่องจะต้องจ่ายเงินมาก ๆ นายภัททาจารย์ (44.02) คนที่เหมาสร้างโบสถ์วัดไทย สร้างวัดไทยทั้งหมด …… (44.07 เสียงไม่ชัดเจน) แกมีลูกสาว ๗ คน ไม่มีลูกชาย แหม …… (44.15 เสียงไม่ชัดเจน) ต้องหาเงินไว้ให้ลูกคนละ ๕๐,๐๐๐ รูปีนะ ฝากธนาคารไว้ เอาไว้จ่ายวันแต่งงาน แต่แกใช้วิธีใหม่ ด้วยเห็นว่าลูกครอบครัวใดเป็นคนที่พอสมควรจะเป็นลูกเขยได้ แกช่วยเลย ให้เงินเล่าเรียนจนกระทั่งได้ปริญญา เรียนหมอบ้าง เรียนทหารบ้าง เรียนอะไรมา แกอุดหนุนหมด วันแต่งงานไม่ต้องจ่ายเพราะจ่าย มาเสร็จแล้ว แกก็สบาย ลูกสาวแกก็ได้สามีดี ๆ ไม่มีลูกชาย อันนี้พอทำโบสถ์ ทำวัดเสร็จแล้ว แกมาเมืองไทย มาบวช บวชอยู่ ๒–๓ เดือน มาบวช ที่นี่ก็เคยมาหลายปี พอกลับไปถึง อยู่ไปมีลูกเป็นชาย น่าดีใจ …… (45.04 เสียงไม่ชัดเจน) ลูกชายคนนี้เกิดมาเพื่อ …… (45.06 เสียงไม่ชัดเจน) ต้องให้มันเรียนศาสนา พอได้คนหนึ่ง ได้มาอีกคนหนึ่ง ได้ลูกชาย ๒ คน ลูกสาว ๗ ลูกชาย ๒ รวม ๙ คน แต่แกดีใจตรงได้ลูกชาย เพราะลูกชายนั้นจะได้จุดไฟเผาพ่อนะ วันเผาศพน่ะเขาไม่ได้เชิญผู้มีเกียรติคนใดมาเผาหรอก ให้ลูกบุตรชาย หัวปีเผา บัณฑิตเบรู (45.32) เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นรัฐบุรุษ มีชื่อมีเสียงนะ วันเผาศพไม่มีลูกชาย มีลูกผู้หญิง แต่ลูกสาวมีลูกชาย ๒ คน สัญชัย สัญเชษฐ์ (45.44) ให้ลูกชายคนหัวปีของลูกสาวนั้นมาจุดไฟ เป็นคนมีเกียรติที่จะจุดไฟเผาศพเบรู (45.51) คนอื่นไม่ได้ ไม่ได้จุด จุดทีหลัง เขาให้อย่างนั้น เพราะอย่างนั้นเขาอยากได้ลูกชาย แต่เบรู (46.00) แกก็ไม่มีลูกชาย มีลูกสาวคนเดียว แต่ลูกสาวก็เก่ง ได้เป็นนายกรัฐมนตรี แล้วก็ลูกชายก็ได้เป็นอีกแต่เพื่อนฆ่า ทั้งแม่ทั้งลูกตายหมดเพราะการเมืองมันยุ่ง มันเป็นอย่างนั้น นี่เป็นเรื่องสำคัญ
คนไทยเราก็อยากได้มีลูกชาย พ่อแม่คนไทยนี่อยากได้ลูกชาย จะได้บวช ลูกหญิงบวชไม่ได้ แต่ลูกชายจะได้บวช วันบวชลูกนี่พ่อแม่ปลื้มอกปลื้มใจว่าลูกชาย ได้บวชในพระศาสนา นี่คือความหวังของพ่อแม่ มีลูกเพื่อให้เลี้ยงตนเมื่อแก่ เพื่อให้ทำงานให้ตน เมื่อเจ็บไข้ได้ป่วย ลูกจะรักษา ตายไปแล้วก็จะทำบุญอุทิศไปให้ แล้วก็ จะได้สืบต่อวงศ์สกุลของพ่อแม่ต่อไป นี่คือความหวังของพ่อแม่ ทีนี้เมื่อเกิดลูกมา แล้วไม่รักษาเลี้ยงดูให้ดี มันก็ไม่สมหวังและก็เป็นทุกข์สำหรับพ่อแม่ที่มีความคิด อย่างนั้น แต่พ่อแม่ประเภทไม่เอาไหน ถ้าพ่อไม่เอาไหน เขาเรียกว่า พ่อแมว อาตมาเรียกพ่ออย่างนั้นว่า พ่อแมว แมวตัวผู้น่ะมันไปเที่ยวกลางคืน …… (47.20 เสียงไม่ชัดเจน) นี่ดูเหมือนสัตว์นะ ไปทำให้ตัวเมียมีท้อง แล้วไอ้แมวนั้นมันไม่เคยไปเยี่ยมเลย มันไม่เคยไปถามว่ามึงจะเกิดวันไหน กูจะเอาหนูมาฝาก แล้ว เกิดแล้วมันก็ไม่ไปดูว่าสีเหมือนกูหรือเปล่า เพราะฉะนั้นพ่อแบบแมวมันเป็นอย่างนั้นโยม หลวงพ่อเคยเลี้ยงแมวตัวเมียไว้ แล้วมันก็มีท้อง ไม่รู้ว่าตัวผู้มันไปไหนต่อไหน มาทำให้มันท้องแล้วมันคลอดออกมาเป็น (47.47) ตัวผู้ พ่อแมวไม่เคยมาเลย ไม่เคยมาเยี่ยมเลย เพราะฉะนั้นพ่อคนใดที่ไม่เอาใจใส่ลูก หลวงพ่อเลยเรียกว่า ไอ้พ่อแมว …… (47.57 เสียงไม่ชัดเจน) มันไม่เอาไหนนะ มันผิดปกติเหมือนแมว ไม่เอาใจใส่ มันใช้ไม่ได้ นี่เราก็ต้องอบรมลูกหลานอย่าเป็นพ่อแมว ถ้ามันจะแต่งงานก็ต้องพูดกันให้เข้าใจว่าแต่งงานแล้วควรทำอะไร ทำอย่างไร มีลูกมีเต้า ควรเอาใจใส่อย่างไร แต่นี่มันก็ขึ้นอยู่กับตัวอย่าง คือ ถ้าพ่อแม่ทำตนให้เป็นตัวอย่าง ลูกก็เอาอย่าง ตัวอย่างดี มันก็เอาอย่างดีไป แต่ถ้าตัวอย่างไม่ดี มันก็เอาตัวอย่างไม่ดีไป นะ มันเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นเราจะต้องช่วยอย่างเวลานี้ ช่วยกันเลี้ยงเด็กให้เป็นไท ให้เป็นมนุษย์ ให้เป็นพุทธบริษัทที่ถูกต้อง …… (48:43 เสียงไม่ชัดเจน) ลูก มีการอบรมบ่มนิสัย
พรุ่งนี้วันครู …… (48.48 เสียงไม่ชัดเจน) จะไปเทศน์กับครูจำนวนตั้งหมื่นกว่าพรุ่งนี้ที่นู่นแน่ะ ... กีฬาญี่ปุ่น–ดินแดงน่ะ เขานิมนต์ไว้แล้ว พรุ่งนี้จะไปเทศน์ ไปตอนเช้า เทศน์กัณฑ์หนึ่ง ฉันเพลที่โน่นแล้วถึงจะกลับวัด ก็จะไปพูด กับครูหน่อยพรุ่งนี้ บอกว่า ครูช่วยกันเป็นครูสักหน่อย อย่าเป็นลูกจ้างสอนหนังสือ เพราะเดี๋ยวนี้ครูเป็นลูกจ้างสอนหนังสือมาก ไม่ค่อยทำหน้าที่ครูให้ถูกต้อง คิดแต่เรื่องเงินเดือน เรื่องค่าจ้างรางวัล มันผิดกับครูสมัยก่อน ครูสมัยก่อนเขาไม่คิดเรื่องเงินดาวเงินเดือน เขาไม่สนใจ เขามีแต่ให้เด็ก สอนเด็กให้เป็นคนดี สิ่งที่ครูต้องการก็คือให้เด็กเป็นคนดี แล้วครูก็จะได้เป็นปูชนียบุคคลของศิษย์ ศิษย์จะได้เคารพครูบาอาจารย์ เป็นคนดีต่อไป เขามุ่งอย่างนั้น แต่เดี๋ยวนี้มุ่งเงิน คิดเรื่องเงินเป็นเรื่องใหญ่ ใคร ๆ ก็คิดเรื่องเงินกันทั้งนั้นเวลานี้ เอาเงิน ทำอะไรก็ต้องการเงิน ไอ้เงินมันก็จำเป็นเหมือนกัน แต่ว่าอย่าให้มันเป็นทุกข์กับเงินเลย อย่าให้มันเสียหายกับเรื่องความอยากได้ในเรื่องเงินทอง มันจึงจะเป็นการถูกต้อง อันนี้เป็นเรื่องที่อยากจะให้แนะแนวไว้ได้คิดว่า วันเด็กนั้นเป็นวันที่ผู้ใหญ่ควรจะนึกถึงเด็กอันเป็นอนาคตของชาติ แล้วช่วยกันสร้างเด็กให้เป็นเด็กดี มีคุณธรรมทางด้านจิตใจ จะได้เป็นคนดีของชาติ ของบ้านเมืองต่อไป เพราะเมืองไทยเรานี้เวลานี้ต้องการมากที่สุด คือ ต้องการคนดีไว้รับใช้ชาติ คนดี มันไม่พอนะโยมนะในเวลานี้ คนมีความรู้มี คนมีความสามารถมี แต่คนมีคุณธรรม เป็นพื้นฐานทางด้านจิตใจจริง ๆ นั้นมันหายาก หายากเหมือนหาเข็มในมหาสมุทร เวลานี้นะมันหาไม่ค่อยได้ อันนี้เราก็ต้องช่วยสร้าง เป็นปู่ เป็นตา เป็นย่า เป็นยาย ก็ช่วยสร้างหลานให้เป็นคนดี พ่อแม่ก็สร้างลูกให้เป็นคนดี ครูก็ช่วยสร้างศิษย์ให้เป็นคนดี พระก็ช่วยสร้างชาวพุทธบริษัทให้เป็นพุทธบริษัทที่ถูกต้อง ต้องทำงานทำการ อย่าอยู่นิ่งอยู่เฉย งานสำคัญก็คือการสอนคนให้เข้าใจธรรมะ ให้เข้าถึงธรรมะของพระพุทธเจ้า จะได้เป็นพุทธบริษัทที่ดี ไม่มีศรัทธางมงาย ไม่มีการเป็นอยู่ที่ไม่ถูกต้อง แต่มีความประพฤติถูกต้องตามหลักคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระศาสนา ก็จะเป็นประโยชน์แก่ชาวเราทั้งหลายเพราะเราเข้าใกล้ เราเอามาใช้ในชีวิตประจำวันกันอยู่ งานนี้ขอฝากไว้กับญาติโยมด้วย แสดงมาก็พอสมควรแก่เวลา ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้