แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ณ บัดนี้ ถึงเวลาของการฟังปาฐกถาธรรมะ อันเป็นหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนาแล้ว ขอให้ทุกท่านอยู่ในอาการสงบ ตั้งอกตั้งใจฟังด้วยดี เพื่อให้ได้ประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการมาวัดตามสมควรแก่เวลา
เมื่อวันที่ ๑๓ ธันวาคมที่แล้วมานี้ ท่านเจ้าคุณเมธีได้ชวนหลวงพ่อให้ไปดูสำนักแห่งหนึ่งที่จังหวัดกาญจนบุรี ก็เลยตกลงไปโดยรถยนต์ ไปแต่เช้าประมาณเจ็ดโมงครึ่งก็ออกขับรถกันไปถึงเมืองกาญจน์ แล้วก็พ้นไปทางที่จะไปไทรโยค อำเภอไทรโยค ไปถึงก็แวะ ณ ถนนซึ่งตัดไปสู่เขาเรียกว่าช่องแคบ มีทางบอกว่า “เกาะมหามงคล” ไปถึงผ่านทางรถไฟที่ไปโทรโยคแล้วก็ไปถึงแม่น้ำ ลงรถที่นั่น มาลงรถแล้วก็มีคนมาคอยต้อนรับ เอาเสลี่ยงมาด้วยจะหามหลวงพ่อไป หลวงพ่อบอกว่ามันยังแข็งแรงอยู่ยังเดินได้ไม่ต้องหามก็ได้ พวกที่มาหามน่ะ ๘ คน บอกว่า ขอให้พวกผมได้รับส่วนบารมีบ้างได้รับส่วนบุญบ้างจากหลวงพ่อ นิมนต์ขึ้นสนามเถอะ เลยขึ้น ลงบันไดแล้วก็ข้ามสะพาน สะพานแบบเขาเรียกว่าสะพานคล้ายกับแพ เป็นถ้าน้ำขึ้นก็ขึ้นได้ น้ำลงก็ลดลงไป ข้ามไปสู่ฝั่งที่เป็นสำนักเกาะมหามงคล พอไปขึ้นก็เขาหยุดหามให้ลงจากเสลี่ยง มีแม่ชีคนนุ่งขาวห่มขาวนี่ มันไม่ได้ ไม่ได้โกนผม ไว้ผม นั่งเป็นแถวยาวเหยียด พอลงจากคานหามเขาก็สวดมนต์ อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา แล้วก็แปล ว่าช้าๆ กราบช้าๆ สวากขาโต สุปะฏิปันโน กราบช้าๆ อาตมาก็ต้องยืนรออยู่ให้เขากราบกันให้เรียบร้อย เสร็จแล้วก็เขานิมนต์ไปขึ้นศาลา
ศาลาอยู่ริมน้ำ หลังใหญ่ มีถังน้ำมีขันน้ำ เขาจะล้างเท้า อาตมาบอกว่าเท้าไม่ได้เปื้อนอะไรไม่ต้องล้างก็ได้ แต่ก็บอกว่าล้างหน่อยเย็นดี แต่ก็ล้างเท้าให้ ล้างเท้าแล้วขึ้นไปนั่งบนศาลา เขาเตรียมที่ไว้เรียบร้อย ศาลาหลังใหญ่ไม้กระดานแผ่นตูๆ (04.13) กว้างตั้งฟุตกว่า เลยถามว่านี่ไปตัดไม้มาจากป่าไหน ที่มันใหญ่ๆ อย่างนี้น่ะไม้มะค่า บอกว่า ไปตัดมาจากโรงเลื่อยเมืองปทุมฯ คะ คือซื้อมาไม่ได้ไปตัดในป่าเอามาปูศาลา กว้าง สะอาด ศาลาสะอาดเรียบร้อย ดูไปตรงไหนก็ไม่ขัดหูขัดตา มีความสะอาดมาก แลบอกว่าอยากจะไปห้องน้ำก่อนเลยลงไปเพื่อไปห้องน้ำ ห้องน้ำเรียงเป็นแถวหักมุม ก็เดินเข้าห้องน้ำห้องนี้เขาก็บอกว่าไม่ใช่ๆ ไม่ใช่ห้องนี้ เขามีห้องสำหรับหลวงพ่อ เขาเขียนไว้ เข้าไปแล้วสะอาดเรียบร้อย มีพานใส่ผ้าขนหนู ใส่ขัน สบู่ ผ้าเช็ดตัว อะไรเรียบร้อย เข้าไปดู อู้ สะอาด สะอาดทุกห้อง มีตั้งเกือบยี่สิบห้องเขาทำไว้ มีความสะอาดดีมาก เสร็จแล้วก็ขึ้นมานั่ง เขาบอกว่าถึงเวลาอาหารพอดีนิมนต์หลวงพ่อฉันเพล ก็เลยฉันเพลอาหารเจ แต่ว่าเจแบบอร่อยไม่จืดชืด แกงแบบไทยแต่ว่าเป็นเจ พระไปด้วย ๔ รูป ๕ ๖ รูปทั้งหมดก็ฉันกันที่นั่น ฉันเรียบร้อย
พอฉันเรียบร้อยแล้วเขาก็บอกว่านินมต์หลวงพ่อพักก่อน บอกว่าไม่ต้องพักเพราะไม่ได้มาพัก ต้องการจะมาดูสถานที่อะไรต่างๆ ถึงแล้ว และก็เดินไปบริเวณเขาปลูกต้นไทรเป็นแถวร่มรื่นเรียบร้อยดี มีสนามหญ้าเขียวสะอาด เพราะมันอยู่ใกล้แม่น้ำ เขาสูบน้ำขึ้นไปรดน้ำต้นไม้อะไรต่ออะไร มีรดแบบสปริงเกลอร์ หญ้าเขียวก็เดินไปดูไป ก็ไปถึงตรงนั้นมีลงไปหน่อย มีแพอยู่ในแม่น้ำ บอกว่าเป็นที่พักสำหรับผู้ปฏิบัติธรรมลงไปนั่งสงบจิตสงบใจว่ายน้ำเย็นสบายดี ก็เดินชมบริเวณไปอีกศาลาหลังหนึ่งใหญ่เหมือนกัน พื้นปูหินอ่อนเป็นห้องสมุดแต่ว่าไม่มีหนังสือ มีพระไตรปิฎกของสำนักงานสม ธรรมภักดี ๒ ตู้ นอกนั้นไม่มี มีรูปสมเด็จพระสังฆราชวางไว้บนเตียงรากไม้ บอกว่าสมเด็จพระสังฆราชเคยมาแล้วก็ประทับนั่งที่นี่ แต่บอกว่าตรงนี้เป็นที่นั่งพระสังฆราช ฉันไม่นั่ง ฉันไปนั่งตรงนู้น
นั่งก็คุยกันเป็นเรื่องอะไรต่ออะไรถามเรื่องราว บอกว่าแม่ เขาเรียกแม่นะ หัวหน้านี่เขาเรียกว่าพระแม่ คนทุกคนเรียกว่าพระแม่ ไม่แก่ ยัง อายุก็ยังไม่แก่เท่าไหร่คือเรียกว่ายังสาว คือยังไม่แก่เท่าไหร่ อายุก็เห็นจะราวสัก ผู้หญิงนี่ดูยากไม่รู้ว่าอายุเท่าไหร่ คือว่าเขาไม่ค่อยแก่และก็ไม่ได้ถามเรื่องอายุอานาม แต่ถามว่าหนูมาอยู่นี่ได้อย่างไร บอกว่าแม่ หนูนี่ดิ้นรนที่จะออกจากครอบครัวเนี่ย ตั้ง ๒ ปีถึงออกมาได้ แกเป็นคนมีครอบครัวแล้ว ทำงานอะไรเป็นอยู่ในบ้าน ทำงานดัดผมแต่งหน้าอะไรงั้น ของๆ ผู้หญิง อยู่นู้นอรัญประเทศ แล้วก็ดิ้นรนที่จะหนีจากครอบครัวเพราะเบื่อหน่ายการครองเรือนแล้วผลสุดก็ออกมาได้ แล้วทำไมถึงได้มาพบที่นี่ บอกว่าที่นี่เป็นที่ของพระชื่อหลวงพ่อเอี่ยม อยู่วัดอรุณราชวราราม ท่านรู้ว่าแม่หนูคนนั้นต้องการที่สำหรับพักผ่อนภาวนาก็เลยบอกว่าไปเอาที่โน่น ฉันเป็นที่ของฉัน ฉันยกให้ แลก็ได้ที่นั้น
แต่ว่าที่ไปถึงนี่มันรกด้วยกอไผ่ กอไผ่ที่ตายแล้วเป็นกอๆๆๆ เต็มไปหมดทั้งบริเวณ ต้องขุดก่อไผ่ตกแต่ง (09.59) ทำงานกันอย่างเต็มที่กว่าจะเรียบร้อยอย่างนี้ใช้เวลา ถามว่าอยู่มากี่ปีแล้ว อยู่มา ๘ ปีแล้ว ดูสิ่งก่อสร้าง ศาลาใหญ่หนึ่งหลังสองหลังสามหลังใหญ่ๆ หลังที่เป็นหอสมุดนั่นก็ใหญ่ โรงครัวใหญ่โต เพราะว่ามีคนอยู่กันตั้ง ๓๐๐ คน เลี้ยงคนวันละ ๓๐๐ ทุกวัน อยู่ประจำ ผู้หญิงบ้าง ผู้หญิงมาก ผู้ชายมีน้อยไม่มากเท่าใด แต่ผู้หญิงจำนวนมาก ถามว่าอาหารการบริโภคนี่ได้มาอย่างไรไปเที่ยวบิณฑบาตรเหรอ ก็ไม่ได้ไป ก็ไม่รู้จะไปที่ไหนด้วยบริเวณนั้นคนมันไม่มากเท่าไหร่ แต่ว่ามีคนเอามาให้ คนเขาเอามาให้ เขามาทำบุญ ได้ถามคนผู้ชายที่หามบอกว่านี่พวกเรานี่อาหารการกินสมบูรณ์ดีรึ บอกโอ้ย ไปดูในครัวสิหลวงพ่อ ข้าวสาร ผักผลไม้กอง แล้วได้มายังไง คนเขาเอามาให้ แม่บอกว่าไม่ต้องกลัวอดกลัวอยาก ขอให้เราทำดีก็แล้วกัน แล้วอธิษฐานใจไว้คนเขาจะเอามาให้ แล้วก็คนจากเมืองกาญจน์ จากสมุทรสาคร จากนครปฐมเขาไปไง เอาของไปช่วยไปทำบุญแล้วเผื่อ ทำให้เกิดความคิดว่า อ๋อ คนถ้าทำดีนี่ไม่ว่าจะอยู่ในรูปใด คนเลื่อมใสทั้งนั้น ผู้หญิงเป็นหัวหน้า ทำดี ชาวบ้านก็เลื่อมใสไปช่วยสนับสนุน สร้างสถานที่ใหญ่โตเนื้อที่ตั้งสองสามร้อยไร่ เป็นบริเวณ
แล้วก็ไปอีกด้านหนึ่ง ไปขุดหินเล็กๆๆๆ จะสร้างสักร้อยหลัง เดี๋ยวนี้สร้างได้ ๑๐ กว่าหลัง พระอยู่ พระที่ไปพัก มีพระไปอยู่สัก ๑๐ องค์ ไปอยู่เดือน (12.38) เขาให้ไปอยู่กุฏิไกลจากหมู่ที่เขาอยู่กัน เป็นป่าช้าเก่าแต่ว่าริมแม่น้ำเหมือนกัน คือแม่น้ำมันโค้งไป บริเวณนี้เป็นที่อยู่นับว่าสะดวก แล้วก็อยู่กันสะดวกสบาย เดินดูบริเวณเสร็จแล้วก็บอกไปที่ศาลาอบรมจิต ศาลานั้นชื่อ “ศาลาอบรมจิต” เป็นศาลาโถงกว้างใหญ่ พระพุทธรูปนี่แบบพระพุทธชินราชเท่าองค์จริงที่พิษณุโลกเลย ไปถึงนั่งแล้ว อ๋อ นี่ไปยกมาเมื่อไหร่ คือเมื่อไหร่นี่ เขาหล่อเหมือนกับองค์จริงที่พิษณุโลก หล่อใหญ่เท่าที่เดียว ว่าคราวที่จอมพลป. เอ้ย ไม่ใช่ จอมพลถนอม ท่านจะหล่อพระพุทธชินราชไปให้วัดพุทธคยาที่อินเดีย จะหล่อเท่าองค์จริง สมเด็จองค์หนึ่งท่านบอกว่าไม่ได้ อย่าไปทำอะไรเทียมเท่าพระมหากษัตริย์ เพราะว่าพระพุทธชินราชองค์จริงนั้นพระมหากษัตริย์หล่อ เราเนี่ยมันไม่ใช่มหากษัตริย์ ถ้าจะทำอะไรให้เท่ากับพระมหากษัตริย์นี่คนโบราณเขาถือว่าไม่ดีเป็นอัปมงคล เลยลดลงมากี่นิ้วก็ไม่รู้ ไม่เท่า แต่ว่าองค์ที่ไปอยู่ที่วัดนั้นสำนักนั้นเท่าองค์จริงเลย ไปนั่งแล้วก็ดูสัดส่วน เขาหล่อได้สวยงามมากติดทองอร่ามตา
ไปกราบไปไหว้เสร็จแล้วก็มานั่ง แม่ชีก็คนที่ถือศีลก็มานั่งเป็นแถวเป็นระเบียบเรียบร้อยแล้วเขาก็ไหว้พระ แม่ชี แม่บงกช ที่เป็นหัวหน้าชื่อบงกช แกก็นำไหว้พระ นำช้าๆ อะระหัง ว่าเหมือนกันว่า พร้อม กราบช้าๆ แล้วก็ว่า หรือว่าเขาฝึกไว้ กราบช้าๆ ไม่ ไม่รวดเดียว กราบ ฟุ๊บหยุด (15.27) แล้วก็ไหว้ต่อ กราบ ทำช้าๆ แล้วก็หลวงพ่อก็แสดงธรรมกรรณหนึ่งก็ชั่วโมงกว่า เขาก็นั่งฟังกันเรียบร้อย แสดงธรรมเสร็จแล้วก็ถวายดอกไม้ ธูป เทียน อะไรตามเรื่อง ถวายกรรณเทศเสร็จแล้วก็บอกว่านิมนต์หลวงพ่อขึ้นภูเขา จะไหวรึมันปวดหัวเข่านะ เดี๋ยวรีบไปขึ้นภูเขา ความจริงไม่กลัวแต่ว่ามันปวดหัวเข่า ไม่ได้เอาไม้เท้ามาด้วย แล้วบอกว่าไม่ ไม่ต้องเดินขึ้นรถยนต์ไปเลย ยอดเขาสูง เขาสร้างเจดีย์ไว้บนยอดเขา ก็ขึ้นรถคดเคี้ยวไปเป็นเวลา ๔๐ นาที ระยะเดินขึ้นเขา รถมันดี รถดี รถขับสี่ล้อเลย รถปิกอัพแต่บอกว่าขับสี่ล้อ หลวงพ่อไม่ต้องตกใจนั่งให้สบาย คนขับก็ขึ้นๆ ช้าๆ ไปถึงบนยอดภูเขา
พอถึงยอดเขาแล้วไปเห็นเจดีย์ที่สร้างทำเป็นตึกสี่ชั้น กว้าง สี่เหลี่ยม ขึ้นไปสี่ชั้น บอกว่านิมนต์หลวงพ่อขึ้นไปชั้น ๑ เอาชั้นเดียวพอ อะไรขึ้นไปชั้นเดียว มีพระพุทธรูปทำด้วยหินหยกสีขาวสวยวางไว้ แล้วก็ขึ้นต่อไปยอดที่จะทำเหมือนกับเจดีย์พุทธคยากำลังทำอยู่ พอดีนึกในใจว่า เอ๋ เอาวัสดุก่อสร้างขึ้นมาอย่างไร อิฐ หิน ทราย ปูน น้ำ เอามาสร้างเจดีย์นี่เอามาอย่างไร เขาบอกว่าใช้รถบรรทุกขึ้นมาบ้างคนขนขึ้นมาบ้าง เขามีทางขึ้นแต่ทางขึ้นนี่มันก็ชันหน่อย ไม่ได้ขึ้น ถ้าอยู่พักนั้นถึงจะได้ขึ้นแต่นี่มันรีบกลับ เย็น กลับห้าโมงก็หารถไปขึ้น ก็ไปขึ้นเจดีย์ดูทิวทัศน์รอบๆ ยอดด้านนู้นมีศาลาหลังหนึ่งยอดนี้ก็มีศาลาน้อยๆ หลังหนึ่ง สองยอด สามยอด สี่ ถามว่ามีไว้ทำไม ไว้นั่ง ภาวนายอดโน้น แม่คุณ แม่แกไปอยู่ยอดนั้นแต่เดี๋ยวนี้ไม่อยู่แล้วมาอยู่อีกยอดหนึ่ง
เทศน์เสร็จแล้วคุยกันอีกคุยธรรมะ เทศน์กัณฑ์อีก ฟังกัณฑ์เทศน์ เขามีศาลาหลังยาวกว่าห้องประชุมนี้ ทำไว้สะอาดและมีห้องส้วมห้องน้ำเรียบร้อย คนไปไม่ลำบากเพราะว่ามีที่ถ่ายสะดวกน้ำท่าดี น้ำชักขึ้นไปจากแม่น้ำขึ้นไปถึงยอดเขา สูบมันขึ้นไป แล้วก็เทศน์เสร็จแล้วก็บอกว่า นิมนต์หลวงพ่อไปดูที่พักของคุณแม่ ไกลมั้ย ไม่ไกลคะ ก็พวกเขาหามนี่จะไกลก็จะกลัวอะไร เขาก็หามและพวกแม่ อุบาสิกาก็เดินตามหลัง เดินไม่เดินเฉยนะเดินสวดมนต์ไปอีก สวดมนต์เพราะ ฟังเพราะ (19.08) สวดมนต์ไปเรื่อยๆ จนไปถึงเชิงบันได บันไดก็เพิ่งทำเสร็จบอกว่ารีบทำ เสร็จเมื่อคืนนี้เองเพื่อต้อนรับหลวงพ่อ บอกว่า แหม ดูแล้วมันไม่ไหวนะบันไดเนี่ย บางซี่มันคดขึ้นบางซี่มันคดลง ขั้นบันไดไม่ใช่เรียบร้อย …… (19.35 เสียงไม่ชัดเจน) ต้องนิมนต์หลวงพ่อขึ้นให้ถึงให้ได้ เอ้า ขึ้นๆๆ พยุงกันขึ้นไป ก็ขึ้นไปหยุดไปตามเรื่อง บอกว่า แหม ขึ้นสวรรค์นี่มันลำบากเว้ย เพราะว่าทางมันแย่ แต่ก็พยายามขึ้น ขึ้นไปจนถึง
เขาบอกว่านี่แหละที่อยู่ของคุณแม่ ดูเขาเปิดประตูให้ดูในห้อง เอ๊ะ คุณแม่อยู่นี่รึ นอนนี่รึ ในห้องนอนไม่มีอะไร ไม่มีเสื่อปูราด ไม่มีที่นอน ไม่มีหมอน แต่ว่ามีมุมนั้นมีพระพุทธรูปแก้วมรกตอยู่ และมีโลงใบหนึ่งวางอยู่ข้างฝา บอกอะไรน่ะ โลง เอ้า ทำไมละ นอนในโลงรึ ไม่ได้นอนในโลงนอนข้างโลง แล้วเอาโลงมาไว้ทำไม เตือนใจ ว่าไม่กี่วันก็จะได้นอนโลงแล้ว แล้วจะนอนอย่างนี้รึ เขาดูแล้วเป็นคนมักน้อยสันโดษนอนกับพื้นกระดาน แล้วแกตื่นเวลาไหนรึ ตีสาม ตีสามตื่นลงไป ลงบันไดนี่ต้องมีสติทุกย่างก้าวเลย ถ้าเผลอละหล่นตุ๊บเลย อาตมาลงนี่ก็ลงลำบากต้องเอาหลังลง ลงต้องค่อยๆ ลงไปจนถึง แล้วไปยืนคุยกันอีกหน่อยข้างบันได
แกลงไปตีสามนี่แกตื่นลงไป …… (21.29 เสียงไม่ชัดเจน) ก้องภูเขาเลย เรียกลูกน้องให้มาพบกันที่ตรงหัวบันไดเป็นลานทรายกว้างแล้วก็เงียบ มันเป็นภูเขาเงียบดี แกก็พูดจาชักนำปลุกปลอบจิตใจลูกน้องให้เข้มแข็งอดทนหนักแน่น ให้รักพระธรรมยิ่งกว่าสิ่งอื่น แล้วก็เดินจงกรม เดินไปเดินแล้วก็ออกไปข้างทาง ไป ไป ไปไม่ให้คนอื่นเห็นแสงเทียนที่ตนถือ ไม่ให้เห็นแสงเทียนแห่งกันและกัน ไปนั่งอยู่ในที่มืดๆ นั่งอยู่จนสว่างตั้งแต่ตีสาม ตีสี่ นี่ก็ไปนั่งแล้วก็ออกมาพบกันเดินลงภูเขามาข้างล่าง มาเรื่องเกี่ยวกับอาหารการกินมาอยู่ข้างล่าง ทำอย่างนี้ทุกคืนทำอยู่อย่างนั้น ตัวแม่เองนั้นก็ร่างกายแกผอมๆ คือไม่อ้วน ขึ้นเขาลงเขาบ่อยๆ มันจะไปอ้วนได้อย่างไร แล้วก็รับทานอาหารวันละมื้อเท่านั้นเอง แต่ว่าดูหน้าตาแกสดชื่น สดชื่นผ่องใสจิตใจดีเพราะเป็นผู้ที่ถือธรรมะประพฤติธรรม ตั้งใจทำงาน
แลบอกว่าเงินทองนี่ใครเป็นผู้ดูแล เขาบอกว่าแม่นี่ไม่ยุ่งเลยเรื่องเงินทอง ไม่จับไม่ต้อง ใครเอามาทำบุญก็มีเจ้าหน้าที่ดูแล แม่ไม่ถามไม่จับไม่ต้อง ไม่รู้ว่าเงินมีเท่าไหร่ ไม่รู้ แต่ว่าจะทำอะไรแล้วก็ทำเท่านั้นเอง คนก็เอาเงินมาช่วยมาทำบุญสุนทาน มาช่วยสร้างนั่นสร้างนี่ แม่ไม่ขัดข้องเงินทอง ดูแลมันเก่งกว่าหลวงพ่อปัญญา เพราะว่าหลวงพ่อนี่มันต้องประกาศวิทยุ นี่แกไม่ได้ประกาศ ไม่ได้พูดวิทยุไม่ได้โฆษณาอะไรเลย แต่คนรู้แล้วก็ไปกันทำบุญสุนทาน
แต่นี่กิจกรรมที่ทำอยู่นั้นทำอะไร แกช่วยคนที่เป็นทุกข์ ผู้หญิงเรานี่มีความทุกข์มาก ทุกข์ในครอบครัว ปัญหาครอบครัวมีเยอะ บางคนคิดถึงกับว่าจะฆ่าตัวตาย แต่ว่ามีคนแนะนำว่าให้ไปที่นั่น พอไปแล้วสบายใจ อยู่สบาย ไม่คิดค่าตรวจ …… (24.29 เสียงไม่ชัดเจน) ได้เข้าใจธรรมะรู้จักชีวิตดีขึ้น แล้วก็สามีก็ตามมา บางคนตามมา ตามมาเที่ยวหา ไปกันหลายๆ คนนะ ไปตามมา พอเห็น โอ้ เห็นแล้วๆ อยู่นั่นๆ เข้าไป พวกนั้นนั่งนิ่ง สงบ ไอ้คนที่เอะอะเข้าไปถึง ต้องนั่ง นั่งเงียบๆ เขาเงียบกันอยู่ทั้งนั้นนี่ จะไปเอะอะอยู่คนเดียวก็มันก็บ้าเต็มที่ เลยนั่งเงียบ นั่งสักพักแล้วก็แม่นั้นแกก็เข้ามา มีอะไรจ๊ะ มาธุระอะไร มาตามหาใคร คุยกัน แกพูดสุภาพ เบาๆ ไอ้คนโน้นมันก็เย็นนะ คนที่มันมืดมันก็ค่อยสว่าง แล้วก็สอนว่าทำไมจึงต้องเกิดปัญหาในครอบครัว มันเกิดเพราะอะไร เราประพฤติถูกต้องหรือเปล่า เราเป็นคนชอบเที่ยวไหมชอบดื่มชอบอะไรเหลวไหลไหม ถาม ใครไปเห็นคนที่นั่งเรียบร้อย สิ่งแวดล้อมมันกระตุ้นใจเกิดความสำนึกรู้สึกตัว ก็บอกว่าต่อไปนี้จะเป็นคนเรียบร้อยขอให้แม่กลับบ้าน ภรรยาเขาน่ะให้กลับไปบ้าน แกก็บอกว่าวันนี้ยังไม่ให้กลับก่อน ให้อยู่ต่อไปอีกสัก ๑๕ วันจึงจะให้กลับ กลับไปก่อน ไอ้เจ้าประคุณสามีก็เดินลงเขาคอตกไป เพราะว่าไม่ให้กลับให้อยู่ต่อไปหน่อย อบรมบ่มนิสัยต่อไปแล้วก็กลับไปอยู่บ้าน ไปอยู่บ้านมันก็ดีขึ้นมันมีความสุขความสบาย แล้วคนที่ได้รับประโยชน์จากธรรมะที่นั่นแหละ กลับไปแล้วก็ไปบอกชาวบ้านคนเพื่อนฝูงมิตรสหายมาช่วยทำบุญ อะไรต่ออะไรมันก็ไหลมาเทมา ทำอยู่อย่างนั้น
แม่ไม่ค่อยไปไหน แม่นี่ไม่ไปไหน ปกติอยู่บนภูเขา ลงมาก็สอนลูกศิษย์เท่านั้นเอง แล้วก็เดินขึ้นเขาไป อยู่บนโน้น แต่ว่าไม่ได้ไปอยู่เพียงคนเดียว รอบๆ มีคนอยู่ อยู่เป็นกระต๊อบ กางเตนท์นอนอยู่ตามกอไผ่ ร่มไม้ แกขึ้นไปอยู่บนโน้น ลงมาเพื่อรับทานอาหาร แต่ว่าบนนั้นก็มีครัวเหมือนกัน บนภูเขาก็มีครัว มีครัวอีกหลังนึง จะไม่ลงมาก็ได้ก็ไปรับทานที่โรงครัว เขามีอาหารให้รับทาน อันนี้คือสภาพที่เขาเป็นเขาอยู่
แล้วก็บอกว่า ถามว่าหนูอยู่นี่นะมีความเดือดร้อนอะไรบ้าง มีใครมาเบียดเบียนบ้าง บอกว่าก็มีบ้างเหมือนกัน คือว่ามีพระ เขาอยากได้ที่นี่คืน ไม่ใช่พระองค์ที่ให้ พระที่เป็นสมภารวัดช่องแคบ ไปเห็นที่มันสวยเรียบร้อย อยากได้คืน แล้วก็มีผู้ใหญ่บ้านอีกคนหนึ่งเป็นไวยาวัจกรของวัด ทำหนังสือถึงเจ้าหน้าที่บอกว่าแม่บงกชเนี่ยรุกที่ป่าสงวน ไปทำลายป่า หาเรื่องน่ะ เจ้าหน้าที่ก็มากัน ผู้ว่าการฯ นายอำเภอ ป่าไม้มา มาก็ แกก็นั่งเรียบร้อย เอาลูกศิษย์มานั่งเรียบร้อย สงบๆ เขาถามอะไรแกก็บอก เล่าให้ฟัง บอกว่าดูสภาพป่าสิที่พวกเรามาอยู่นี่ ต้นไม้สักต้นถูกทำลายไหม อะไรๆ ถูกทำลายไหม เราไปสร้างที่พักอยู่บนยอดภูเขามันเป็นหิน ต้นไม้ขึ้นไม่ได้ตรงนั้น แล้วก็ไปสร้างอยู่บนชะง่อนหินเหล่านั้น ไม่ได้ทำลาย แต่ว่าตั้งแต่มาอยู่นี่คนไม่ได้เข้ามาลักต้นไม้เลย ไม่ได้ลักตัดไม้ตัดไม้ไผ่ ปกติคนไปตัดไม้ไผ่เอามาขาย แต่ว่าในบริเวณนั้นประมาณสัก ๑๐๐๐ ไร่ คนก็ไม่ได้มาตัดไม้ไผ่ พวกเขาเกรงใจคนที่อยู่ อย่างนี้เรียกว่าทำลายป่าได้อย่างไร พวกเรามาอยู่นั้นก็มาช่วยคุ้มครองป่ารักษาป่า ต้นไม้ใหญ่ๆ ไม้แดงต้นเท่าๆ นี้ยังอยู่เรียบร้อย นี่ถ้าว่าพวกเราไม่อยู่ ไม้แดงต้นนี้คนต้องมาตัดแล้ว ก็ได้กระดาษเยอะแยะเอาไปขายได้เงิน คนก็จะมาตัดได้อย่างไรเพราะคนนั่งอยู่รอบๆ จะแบกขวานเข้ามาตัดอย่างไร เอาเลื่อยเข้ามาตัดอย่างไร
อธิบายให้เจ้าหน้าที่ฟัง เจ้าหน้าที่ก็กลับ ไม่ว่าอะไร เฉยๆ เพราะว่าเขาไปอยู่ดีกว่าคนไม่ไปอยู่ที่นั่น ไม่ได้ทำลายอะไร แล้วในบริเวณข้างล่างนี่เมื่อก่อนมันกอไผ่ตายแล้วทั้งนั้น เต็มไปหมด พวกเรามารื้อกอไผ่ออกแล้วก็ปลูกต้นไม้ทุกประเภท ร่มรื่นสวยงามมีระเบียบ อย่างนี้จะเสียหายแก่กรมป่าไม้หรือไม่ อยู่อย่างทำลายหรืออยู่เพื่อสร้างสรรค์ แกพูดเบาๆ สุภาพๆ พวกข้าราชการฟังแล้วก็กลับเรียบร้อย ไม่ได้ว่าอะไร ไม่มีอะไร ก็เขาไม่ได้ทำลาย แต่ว่าเห็นทำดีแล้วเขาก็อยากได้ โดยอ้างว่าหลวงพ่อเอี่ยมน่ะได้ให้แก่สมภารวัดช่องแคบ สมภารองค์นั้นตายไปแล้ว และให้นั้นก็ให้ด้วยวาจา ก็บอกว่า เอาล่ะ ท่านช่วยดูแลด้วยนะที่ดินผมตรงนี้น่ะ ให้อย่างนั้น แล้วท่านก็มรณะภาพไปแล้ว สมภารองค์ใหม่มาอยู่นี่เขาไม่รุนแรงหรอกแต่ว่าผู้ใหญ่บ้านรุนแรง อยากได้ ที่บริเวณมันกว้าง เลยไปยุสมภาร หลวงพ่อเลยกระซิบว่าสมภารนี่โง่จริงๆ เขาทำดีควรจะมาสนับสนุน (32.03 หลวงพ่ออาจพูดผิดจึงแก้เป็น “เขาทำดีควรจะมาสนับสนุน”) จะมารบกวนเขาทำไม ควรจะส่งเสริมเขา อันนี้มาทำรบกวนแล้ววุ่นวายใจกันทำไม มันไม่ถูกต้อง
แต่ก็ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่มีอะไร ไม่มีเรื่อง ก็อยู่กันสบายๆ แต่ก็มีบ้าง แต่ว่าทำถนนขึ้นบนภูเขาคนมันก็มาเดินตามนั้น แอบไปตัดที่อื่น แอบผ่านทางนั้น สมัยก่อนพาพวกอุบาสิกาที่อยู่นั้นเดินขึ้นภูเขา ทีหลังห้ามไม่ให้เดินเพราะเปลี่ยว เดินไปคนเดียวนี่จะอันตรายบอกอย่าไปเดิน ทางที่รถยนตร์ขึ้นอย่าไปเดิน แต่ให้เดินทางลัดภายในสถานที่ขึ้นตรงขึ้นไป ไม่มีใครมารังแก ก็อยู่ได้สบายไม่เดือนร้อน มาเที่ยวเดินชมบริเวณสนทนาอะไรกันจนห้าโมงเย็นจึงได้ลากลับ แต่ลากลับเขาก็ให้ขึ้นเสลี่ยงหามมาฝั่งนี้
อาตมาขึ้นรถแล้วก็ออกรถกลับมาวัดเรียบร้อย ก็รู้สึกว่าประทับใจ คือ ประทับใจในแง่ว่าเป็นผู้หญิงแล้วก็เสียสละออกมาอยู่อย่างโดดเดี่ยว อยู่แล้วก็มีเพื่อนมาอยู่ด้วย แล้วคนที่มาอยู่ด้วยก็อยู่อย่างเรียบร้อย ดูแต่ละคนนี่เคารพหัวหน้ามาก ถ้าหัวหน้าชี้นกเป็นนกชี้ไม้เป็นไม้ พูดอะไรก็ แล้วถ้าเราถามอะไรบอก โอ้โห ต้องถามคุณแม่ ไม่มีใครที่จะตอบเองหรือพูดเอง บอกว่าหลวงพ่อถามคุณแม่ เขาให้เกียรติหัวหน้า เขาฝึกไว้ดี เรียบร้อย ดีกว่าวัดหลายวัดนะที่อยู่กัน เขาฝึกคนเรียบร้อย แล้วก็นึกในใจว่า โอ้ ที่อย่างนี้มันต้องมีไว้บ้าง มีไว้สำหรับคนที่เป็นโรคทางใจ เพราะว่าสังคมในยุคปัจจุบันนี้ล่อแหลมต่อการที่จะเป็นโรคจิตโรคประสาทกันอยู่มาก ปัญหาในชีวิตการงาน ปัญหาครอบครัว ปัญหาร้อยแปดทำให้คนยุ่งใจ อันนี้ไม่รู้จะไปไหน ก็ถ้ามีที่อย่างนั้นไว้บ้างโดยเฉพาะพวกเราที่เป็นสุภาพสตรี ถ้ามีที่อย่างนั้นก็ได้ไปหลบ หลบภัย เป็นเสมือนที่หลบภัยของพวกสตรีทั้งหลายที่มีปัญหา เมื่อเข้าไปสู่สถานที่นั้นแล้วมันเย็นมันสงบมันไม่มีปัญหา ไม่มีใครมารบกวนอยู่ได้สบาย
แล้วเมื่อเข้าไปในที่นั้นต้องเปลี่ยนเครื่องแบบหมด นุ่งผ้าสีเสื้อสีอะไรไปนี่เขาให้ถอดหมดเก็บเอาไว้ เขาให้ผ้าขาวให้นุ่งขาวใส่เสื้อขาวผ้าเฉลี่ยงบ่าขาวเหมือนกันหมดทุกคน ผู้ชายก็นุ่งขาวหมดนุ่งกางเกงขาวเสื้อขาวสไบเฉียงขาวเหมือนกัน แต่ผู้ชายบางคนก็โกนหัวเลย แต่ผู้หญิงเขาโกนบ้างไม่โกนบ้างไม่เป็นไรแต่นุ่งขาวหมด เดินไปไหนก็ขาวพรืดไป นั่งห่มขาวเรียบร้อยดี
แต่เมื่อไปอยู่ในหมู่ของคนอย่างนั้นจิตมันสงบไปในตัวเพราะไม่มีใครพูดเรื่องอะไร คือเขาไม่พูดนะ ถ้าว่าอยู่ในที่ประชุมนี่คนเดียวที่จะพูดคือคุณแม่เท่านั้นเอง คนอื่นไม่พูด นั่งเฉย เงียบ ตัดปัญหา ปัญหาการพูดมาก คนเราพอพบกันแล้ว ช๊อกแช๊กช๊อกแช๊ก มันวุ่นวายนะ ไอ้พวกพูดมากนี่สร้างปัญหานะ เขาเห็นว่า อ๋อ ผู้หญิงนี่สร้างปัญหาพูดมาก เพราะงั้นใส่ในระเบียบว่านั่งเงียบ มีคนที่จะพูดคือแม่เท่านั้นเอง แม่ก็พูดแต่เรื่องธรรมะ พูดให้มีความสงบใจ ให้เป็นอย่างนั้นให้เป็นอย่างนี้ สอน ใช้เครื่องขยายเสียงแต่ว่าเครื่องขยายเสียงนี้ไม่ได้อยู่ประจำอย่างนี้หรอก ยกได้ พูดเบาๆ เพราะที่มันเงียบ พูดไม่ต้องใช้เครื่องก็จะได้ยินกันอยู่แล้วเพราะไม่มีเสียงอะไร นานๆ จะมีเสียงรถไฟที่จากกรุงเทพไปไทรโยคผ่านไปสักครั้ง วันๆ หนึ่งก็ผ่านสองครั้งอยู่คนละฝั่งแม่น้ำ มีๆ เท่านั้น เสียงรถยนตร์ไม่มี เสียงเรือบินก็ไม่มี เงียบ พอขึ้นไปบนศาลาฝึกจิต ก็ เอ๊ะ ไม่มีเครื่อง แต่นึกว่าได้ยิน ก็ป่ารอบๆ ไม่มีเสียงอะไร แต่ก็มีเครื่องให้ เครื่องเบาๆ ไม่ดังเกินไป ยกเครื่องไปศาลาโน้นศาลานี้ได้ เขาก็พูดกัน
แม่แกลงมาแกก็พูดสอนพูดเตือน เวลาทานอาหารก็ทานเงียบๆ ไม่มีเสียงพูด นั่งทานช้าๆ ทานด้วยสติด้วยปัญญา ทำใจให้สงบไม่ติดในรสอาหาร พวกในครัวก็ทำกับข้าวไป มีอาหารให้กินอย่างอุดมสมบูรณ์ไม่เดือดร้อน เลยถามว่ารับทานอะไร บอกว่าถ้าเป็นคนอายุมากหรือว่าเจ็บไข้ได้ป่วย ตื่นเช้า ๖โมงนี่ให้กินข้าวตุ๋น (38.31) มีข้าวต้มให้รับทานทุกคน ข้าวต้ม เต้าหู้ยี้ กระเทียมดอง ถั่ว อะไรนั่นล่ะ (38.39) ข้าวต้มสำหรับคนแก่ ส่วนคนที่แข็งแรงนั้นจะทานอาหารก็ต่อเมื่อ ๙ โมง พร้อมกันทานพร้อมกัน ทั้งแม่ทั้งลูกเสร็จกิจพร้อมกัน อาหารสำเร็จ มื้อเดียว มื้อเย็นไม่มีอะไรให้ทาน นอกจากน้ำ …… (39.05 เสียงไม่ชัดเจน) อะไรบ้าง
หลวงพ่อไปก็เขาให้ฉันน้ำส้มหลายแก้ว อยู่ข้างล่างฉัน ขึ้นบนดอยก็ฉัน ให้ฉันเรื่อยกลัวจะเพลีย น้ำส้มนะ เรื่องอื่นไม่มี เขาก็อยู่กันอย่างนั้น แล้วก็คนแก่นี่ไม่กี่คนอยู่ในวัยที่พอปฏิบัติธรรมก้าวหน้าได้ แก่หงอมนี่ไม่ค่อยมี คือ หงอมนี่คงอยู่ไม่ไหวแต่เขาก็ไม่ว่า จะไปอยู่เขาก็เอาใจใส่ดูแลช่วยเหลือ ช่วยกันทำความสะอาดช่วยทำ ถึงเวลาทำงานทำทุกคน เรียบร้อย ดูดี อาตมาไปแล้วก็แล้ว โอ้ แหม เสียดาย คือไม่ได้อยู่พักสักวันสองวันเพื่อได้ดูให้มันละเอียดกว่านั้น แต่ว่าเท่าที่เห็นก็เป็นที่ประทับใจแล้วว่าใช้ได้ เป็นสำนักที่ใช้ได้ ควรที่จะไปดูไปชมเหมือนกัน ก็นึกอยู่ในใจว่าอยากจะพาโยมไปเที่ยวบ้างจะได้ไปปีนเขากันบ้าง เดินขึ้นเขาไปแล้วก็ขึ้นช้าๆ ขึ้นเดินไปสักวันนึง
ถามว่าถ้ามามากๆ รับได้มั้บ โอ้ มาเท่าไหร่ สัก ๑๐๐ โอ้ นิดเดียว คนมามากกว่านั้นเขามากันเป็นหมู่ มีอาหารให้กินมีอะไรต่ออะไรสมบูรณ์ไม่อั้น มาได้ จะมาพักคืน สองคืนได้มั้ย กี่คืนก็ได้ มาพักมา ใจกว้าง ก็นึกอยู่ว่าโอกาสหน้าว่างๆ ค่อยนัดพาโยมไปเที่ยวไปกันสัก๒-๓ คันรถนะ ไปชมบริเวณ ตากอากาศ แม่น้ำแควใหญ่ แควไรนะ อ้อ แควน้อย เขาเรียกแควน้อย
แควน้อยนี่ไหลมาจากชายแดนพม่ามาจากโน่นผ่านทองผาภูมิ มาจากวัดท่านหลวงพ่ออุตตมะ เพราะว่าหลวงพ่ออุตมะแกอยู่ริมแม่น้ำ เขาไปสร้างเขื่อน น้ำมันท่วมเลยต้องย้ายวัดขึ้นไปอยู่บนดอย ทางกรมปกฯ เขาไปปาดดอยให้สร้างวัดบนนั้น วัดของท่านอุตตมะนี่มีแต่คนมอญทั้งนั้น หนีพม่ามาอยู่กันเต็มไปหมดเลย บริเวณนั้นคนมอญหนีเข้าเมืองโดยไม่มีหนังสือเดินทาง หลวงพ่ออุตตมะเป็นหัวหน้าใหญ่อยู่ที่นั่น อันยุคโบราณพระเถรคันฉ่องท่านพาครอบครัวมอญหนีเข้ามาพึ่งบรมโพธิ์สมภาร แล้วคนมอญเหล่านั้นน่ะเป็นไส้ศึกให้พระนเรศวร มอญจะยกทัพมาพวกนั้นก็มาบอกพระเถรคันฉ่อง พระนเรศวรไปก็แวะไปนมัสการ พระเถรคันฉ่องบอกว่าพม่าเตรียมตัวจะยกทัพมาตี มาตีอีกแล้ว ทางนี้ก็ได้จัดการต้อนรับเตรียมพลไว้ต่อสู้กับพวกพม่าข้าศึกต่อไป เป็นการช่วย หลวงพ่ออุตตมะก็อยู่แบบนั้น วันนั้นท่านนิมนต์ไปงานทำบุญอายุแต่ขับรถตั้งแต่เช้า ๖ โมงออก ไปไม่ทันสวดมนต์ เขาสวดแล้ว ไปฉัน ไปถึงฉัน เพราะว่ามันไม่รู้แห่งทาง พอถึงแยกก็หยุด ลังเล เอ๊ะ ไปไหน ต้องไปถามเขา ถามเขาเรื่อยไปๆ จนถึง
แล้วขากลับก็แวะเยี่ยมสำนักท่านยันตระซะหน่อย ไม่พบ เที่ยวจาริก พบแต่สามเณรกับพระองค์หนึ่ง แม่ชี ก็ได้ไปเดินดูเดินขึ้นไปบนภูเขา ท่านไปสร้างกุฎิอยู่บนภูเขา แต่ว่าภูเขาหินมันปุ่มป่ำ มาเดินโซซัดโซเซกลัวจะล้ม แล้วก็บอก เอ้า พอแล้วๆ เลยกลับมา ไม่ได้ขึ้นไป ทีหลังพบกันก็ โอ้ ได้ข่าวว่าท่านอาจารย์ไปเยี่ยมผม ผมไม่อยู่ บอกไม่เป็นไรเยี่ยมสำนักแล้ว เท่านั้น เกริงกระเวีย เขาเรียกเกริงกระเวีย ต้นน้ำ ต้นน้ำแควน้อยที่ไหลมากาญจนบุรี เขาทำเขื่อนที่ทองผาภูมิ เขื่อนใหญ่ที่นั่น ทองผาภูมินี่ไม่ได้ดูเขื่อน ไม่ได้เข้า เพราะว่าเวลาไม่พอ
นี่เอามาเล่าให้ญาติโยมฟังว่ามีคนที่เอาจริงเอาจังในพระศาสนา เสียสละเพื่อพระศาสนา ตั้งตนเป็นหัวหน้าทำงาน อยู่ได้ แล้วแกนำคนไปประเทศอินเดีย ชั้นแรกไปตั้ง ๓๐๐ เดินนี่ ไม่ใช่เดินจากบางไทร เดินจากบางไทรไม่ได้ มหาสมุทรกว้าง แต่นั่งเรือบินไปลงกัลกัตตาแล้วก็ไป เดินไป เดินไปพาราณสี ไปที่ไหน พาคนเดินนุ่งขาวห่มขาวเดินเป็นแถว แขกเห็นตกใจมาดูกันใหญ่ เอ้อ ใครเดินกันมากมายอย่างนี้ โอ้ ทีหลังไปอีกทีนึง ๖๐๐ คน เหมาเรือบินเลย เหมาเรือบินไปลง ไปเดินไป อ้อ เก่งกล้าพอใช้ ไปเดินในประเทศอินเดียซึ่งมันลำบากพอใช้แต่ก็เดินไปได้ ไม่เป็นไร ดี
พระที่อยู่วัดป่าหนองป่า …… (45.28 เสียงไม่ชัดเจน) วัดป่านานาชาติ อุบลฯ ชยสาโรกับท่านปสันโนก็ไปเดินเหมือนกัน เดินไปลงเรือบินที่กัลกัตตา แล้วไปถึงเรือบินมันสไตรค์ หยุดนานค่ะ ไปไม่ได้ ก็ต้องนอน ไปถามแขกว่าจะทำยังไง ตั๋วเรือบินสไตรค์จะทำยังไง เขาบอกถ้าเข้าไปในเมืองไปติดต่อเปลี่ยนตั๋ว บอกว่าไปยังไงในเมือง ไปรถม้าก็ได้รถยนตร์ก็ได้เดินไปก็ได้ ท่านบอกว่าพวกเราไม่มีสตางค์ แขกบอกช่วยไม่ได้ แขกมันสั่นหัวบอกช่วยไม่ได้ แล้วก็ท่านก็ไปนั่ง นั่งเฉย นั่งเงียบ แขกมันมอง เอ๊ะ สององค์นี้พอใช้ได้ เลยเข้าไปบอกว่าเอาอย่างงี้ก็แล้วกันเปลี่ยนตั๋วให้ที่นี่ก็ได้ แต่ว่าพรุ่งนี้ แล้วก็คืนนี้จะนอนไหนล่ะ เขาบอกเลยไปหน่อยมีวัดฮินดูไปนอนที่นั่นได้ พระก็เดินไปสัก ๒๐๐ เมตร เดินไป วัดฮินดูเขาก็ต้อนรับขับสู้ให้เราไปนอนเรียบร้อย แล้วก็มาติดต่อตั๋วไปลงปัฏนาเมืองเก่าของพระเจ้าอโศก แล้วจากปัฏนาก็เดินไป ยุงมันกัด ตัวแดงฝรั่งผิวมันขาวยุงกัดเพราะไม่ ไม่แบกกรดนอนกลางแจ้ง ที่ใกล้เมืองยุงชุมห่างเมืองไม่มี
นอนตื่นก็ลุกขึ้นยืนพิจารณาว่า เอ จะไปบิณฑบาตรที่ไหนดีหนอ อ่ะ ไปบ้านนี้ ก็ไปกันสององค์ไปบิณฑบาตร คนใส่บาตรให้เหมือนกัน เขาให้ทุกแห่งเพราะว่ามีป้ายเขียนหนังสือถาษาฮินดีถือไปด้วยไปให้เขาอ่าน เขารู้ว่าเป็นใคร พูดอังกฤษไม่ได้คนบ้านนอกเขาไม่เรียน แต่เขา เขาเรียกว่าหยุดอยู่ก่อนเดี๋ยวทำอาหารให้เขาใส่บาตรให้ วันหนึ่งเดินเช้าแล้วก็ …… (47.58 เสียงไม่ชัดเจน) ไปบ้านนี้ บ้านนั้นเป็นบ้านอิสลามแต่ว่าได้เหมือนกัน เพราะว่าก่อนถึงบ้านมันมีโรงเรียน โรงเรียนมัธยม อาจารย์ใหญ่เป็นดอกเตอร์ไปถึงก็พบกัน ดอกเตอร์ก็ถามว่า ถามเรื่องราว บอกให้ทราบก็ดีแล้วๆ ไปเลคเชอร์กับเด็กหน่อย แล้วนิมนต์สององค์เข้าโรงเรียนเลคเชอร์ให้เด็กฟัง แล้วก็ขอถวายอาหาร เรียบร้อยได้ไปมื้อหนึ่ง ท่านก็ไปต่อไปไปจนถึงราชคฤห์ นาลันทา แล้วก็ลงมาคยา แล้วเดินจากคยาไปพาราณสี ไปทุกแห่งเดินไป เดินได้
แต่มีพระฝรั่งองค์หนึ่งชื่อสุจิตโต องค์นี้ก็เดินไปกับฝรั่งอุบาสก ๒ คน เดินผ่านป่า ชาวบ้านบอกว่าพระอย่าไปทางนั้น ไม่ได้ โจร โจรอยู่ เข้าไปมันจับเรียกค่าไถ่ พระบอกว่าเราเป็นนักบวชตังค์ไม่มี ไม่มีพ่อไม่มีแม่ไม่มีญาติพี่น้องมันจะเอาอะไร ก็เดินดื้อเข้าไป ถูกจับจริงๆ ถูกจับมันเอาจีวรวุ๊บเลย เหลือผ้านุ่งมาผืนเดียว บอกอุบาสก วิ่ง หนีไป หลบไปได้ ไม่เป็นไร มันจะฆ่านะแต่พระแกก็พูดกับเขา ไอ้หัวหน้าโจรพูดฝรั่งได้ พระแกก็เทศน์ๆๆ ช่างมัน (49.48) มันเอาผ้าหมด เหลือให้นุ่งผืนเดียวตัวล่อนจ้อนออกมา ดีนะที่ไม่ถูกฆ่า แปลว่าโจรก็ยังมีคุณธรรมอยู่บ้าง อยากรู้ว่าเป็นนักบวชชาวอินเดียยังเคารพนับถือ แต่ไม่เป็นไร เขาเดินหลายองค์พระฝรั่งแต่ไปองค์เดียวๆ
ส่วนคุณแม่บงกชนี่แกเดิน หก เอ้อ สามร้อย หกร้อย ไปกันมากมายขนาดนั้น กล้า ไปได้ คือคนเราถ้าว่ากล้านี่มันไปได้ แล้วมีศรัทธามีความเชื่อมั่นว่าทำได้ เชื่อบุญเชื่อคุณพระรัตนไตร เชื่อคุณของพระธรรมมั่นคงนี่ ไม่เป็นไร มีคนช่วยเหลือ เขาก็เชื่ออย่างนั้น ฝ่ายพระอธิษฐานใจแล้วก็คนก็มาช่วย บางคราวมันไม่มีอะไร มีของบางอย่างขาดแกบอกว่าเราภาวนาอธิษฐานใจ ของนั้นจะมา นั่งภาวนาคืนหนึ่งรุ่งเช้ามาเลย มีคนเอาของมาให้ แลพวกศิษย์ก็เชื่อ เชื่อว่าอานิสงส์แห่งการเจริญภาวนาช่วยได้ ก็อยู่อย่างนั้น เป็นประโยชน์พอสมควร
ก็คิดว่าจะเอาหนังสือชุดธรรมโฆษณ์ของท่านพุทธทาสไปให้สักชุด เพราะว่าไม่ค่อยมีหนังสืออ่าน วันนั้นก็เอาไปนิดหน่อยไปวางไว้ให้อ่าน แต่ไปดูที่ห้องสมุดก็ไม่มีหนังสือ ก็เขาไม่ค่อยขวยขวายหาเอาแต่ภาวนา ก็จะเอาหนังสือไปไว้ให้เขาได้อ่านได้ศึกษา แล้วก็เมื่อวานนี้มา ๒-๓ คน มาดูเครื่องขยายเทปที่กุฏิมหาเพียร ว่าใช้เครื่องอะไร เครื่องอะไรจะดีจะทน ก็ให้ไปขึ้นไปดู ก็บอกให้ไปดูในตลาด พวกญาติเค้าเอารถยนตร์มาแล้วพาไปดู สองสามคน สี่คน ผู้ชายคน จะซื้อเครื่องขยายเทปเอาไปไว้อัดเทป วันนั้นเวลากลับก็ให้เทปมาห่อหนึ่ง ยังไม่ได้ฟัง ยังยุ่งอยู่ ยังไม่ได้ฟังว่าพูดอย่างไรสอนอย่างไร ก็ตั้งใจจะเปิดฟังดู สอนอย่างไร
ได้ไปดูสำนักอย่างนี้แล้วก็พลอยอนุโมทนา ดีใจว่ามีคนที่เสียสละทำจริงช่วยพระศาสนา เราควรจะอนุโมทนาสาธุการกับคนเหล่านี้ แล้วเวลาฟังธรรมฟังอะไรจบแล้วนี่สาธุยาว สาธุ อนุโมทาที ๓ ครั้ง ว่ายาวเลย สาธุ ๓ ครั้งนะ ของเราสาธุห้วนๆ รีบร้อน เขาสาธุแล้วกราบ ๓ ครั้ง คือทำอะไรช้าๆ มีจังหวะจะโคน หรือเขาหัดกันฝึกกันเพราะคนพวกนั้นไม่ต้องไปไหนไม่ต้องทำอะไรฝึกกันตลอดวันจึงเรียบร้อย ดี เป็นตัวอย่างได้เหมือนกัน เห็นแล้วก็อดที่จะเอามาเล่าให้ญาติโยมฟังไม่ได้ เพื่อจะได้รู้ได้เข้าใจว่าเขามีอะไรดีๆ อยู่บ้าง หลวงพ่อเห็นแล้วก็อนุโมทนาในกิจกรรมส่วนนี้
แล้วก็ถามว่าพระอะไรมาเยี่ยมบ้าง สมเด็จพระสังฆราชไปแล้ว สมเด็จวัดสระเกศไปแล้ว แล้วก็เจ้าคณะจังหวัดเคยไป แล้วหลวงพ่อก็ไป วันนั้นล่ะ ถ้ามีโอกาสก็ว่างๆ ก็ยังจะไปอยู่ คือไปพักบ้าง หลบคนไปพัก ๒-๓ วัน จะได้ไปดู จะได้มีโอกาสแนะธรรมะให้เขาบ้างตามสมควรเวลา แล้วก็จะพาโยมไปบ้างวันหน้า พาโยมไปดูแล้วโยมกลับไป อาตมาอยู่ต่อไป ๒-๓ วัน ๕ วัน ๗ วันก็ได้ เพราะว่าสบายดี ขึ้นไปบนภูเขาสบาย จะนั่งจะยืนจะเดินก็มันเป็นป่า เงียบ ไม่มีอะไร ไม่มีสัตว์ร้าย ไม่มีเสือไม่มีอะไรที่นั่น งูก็ไม่มี มีแต่ต้นไผ่ ต้นตะแบก ต้นไม้แดงชะลูดๆ ดูแล้วมันก็สงบดี วันนี้พูดมาได้เรื่องนี้พอสมควรแก่เวลา ขอจบไว้แต่เพียงเท่านี้
- ปาฐกถาธรรมประจำวันอาทิตย์ที่ ๑๘ ธันวาคม ปี พ.ศ. ๒๕๓๗