แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
พุทธบริษัททั้งหลาย ณ บัดนี้ถึงเวลาของการฟังปาฐกถาธรรมะแล้ว ขอให้ทุกท่านทั้งหลายอยู่ในอาการสงบ ตั้งอกตั้งใจฟังด้วยดี เพื่อให้ได้ประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการมาวัด ตามสมควรแก่เวลา เช้าวันนี้ ตื่นขึ้นแล้วก็ดูบริเวณวัดมีน้ำเจิ่งไปหลายแห่ง ก็ฝนตกเมื่อกลางคืนฝนยังไม่หมด ยังตกต่อไป แต่ว่าเราชาวบ้านชาวเมืองสำลักน้ำแล้วเวลานี้ โดยเฉพาะทางภาคเหนือสำลักน้ำ เพราะว่าน้ำมันมาก มากเต็มที เมื่อวานนี้ไปที่จังหวัดสุโขทัยลงเรือไปพิษณุโลก เข้าไปเข้าห้องน้ำที่สนามบินพิษณุโลก น้ำท่วมเมืองพิษณุโลกแต่ในห้องน้ำไม่มีน้ำ น้ำชักโครกก็ไม่มี น้ำที่อ่างล่างหน้าก็ไม่มี เลยไปต่อว่าเจ้าหน้าที่ว่า เอ น้ำมันเยอะแยะ ทำไมในห้องน้ำจึงไม่มีน้ำ เจ้าหน้าที่บอกว่ามันเสียค่ะ อ่อ เสีย มากี่วันแล้ว หลายวันแล้ว โอ้ ไม่ไหว หัวหน้าไปไหนล่ะ หัวหน้าจะเกษียณตอนสิ้นเดือนแล้ว หัวหน้าจะเกษียณเลยไม่ตบไม่แต่ง ปล่อยมันไปตามเรื่อง เป็นซะอย่างนั้น
มันก็อยากจะอวดโฉมมันเหมือนกัน มาเที่ยวเดินอยู่ในนี้ มันไม่เจียมตัว ไม่เจียมตัวว่าสุขภาพกูแย่ ไม่น่าจะไปเดินในหมู่คนเลย มันไม่คิด มันคิดว่ามันยังเป็นที่พอใจของคนนั้นเอง แต่เราเลี้ยงมันมันก็เลียแข้งเลียขา ตัวมันก็สกปรกเต็มทน เลยบอกว่า แหม ตัวแกนี่มันแย่แล้วน่ะ มันก็ไม่รู้เรื่อง มันก็ยังคลอเคลีย จะเอาขี้เรื้อนมาให้เราให้ได้ ธรรมชาติ มันก็ยังนึกว่าเรารักมัน มันไร้เดียงสา เข้ามา ปล่อยให้มันจัดหาที่อยู่หาที่สบาย สัตว์ทั้งหลายต้องการความสุขทั้งนั้น ไม่มีสัตว์ต้องการความทุกข์เลย เราเองทุกคนก็ต้องการความสุข อย่าไปสร้างความทุกข์ให้แก่ใคร ๆ แล้วเราก็อยู่สบาย แต่ว่าชาวโลกเราไม่ค่อยได้คิดเปรียบเทียบ ระหว่างตัวเรากับผู้อื่น เมื่อใดมีความเห็นแก่ตัวเกิดขึ้น มีความโลภเกิดขึ้น ก็ทำอะไรที่มันไม่เหมาะไม่ควร สร้างความเสียหายเกิดขึ้นด้วยประการต่าง ๆ ชีวิตคนเราก็อย่างนั้น
สัตว์เดรัจฉานกับคนก็เหมือนกัน ๔ อย่าง คือ การกินอาหาร การสืบพืชพันธุ์ การหลับนอน การกลัวภัย อันนี้เหมือนกัน ไม่ว่าจะคน จะเดรัจฉาน มี ๔ อย่างนี้เหมือนกัน แต่ว่าคนเรามันแตกต่างจากสัตว์เดรัจฉาน ก็ตรงที่มีหลักคุ้มธรรมเป็นหลักครองใจ ถ้าไม่มีหลักธรรมะ เป็นหลักครองใจก็ไม่ดีไปกว่าสัตว์เดรัจฉาน อันนี้เป็นข้อคิดที่คนโบราณเขาพูดกันไว้ทั้งพุทธกาลนู้น พูดกันก่อนยุคพระพุทธเจ้า ว่าเหมือนกัน ๔ อย่างแตกต่างตรงที่มีมโนธรรม คือมีธรรมะครองใจ เมื่อใดเราขาดธรรมะ ชีวิตก็ตกต่ำ ตกต่ำไปสู่ความชั่ว ความร้าย อาจจะไปเป็นอะไรก็ได้ เป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสูรกาย เป็นผี เป็นได้ทั้งนั้น ความเป็นทั้งหลายก็อยู่ที่ใจนั่นแหละ ไม่ได้อยู่ที่ไหน ใจเราเป็นไป เราคิดไป เราสร้างสิ่งนั้นขึ้นในใจของเรา สร้างภาวะ คือ ความเป็นให้เกิดขึ้น เช่นว่า คิดแบบสัตว์เดรัจฉาน แบบโง่ ๆ ก็เป็นสัตว์เดรัจฉาน คิดแบบร้อนอกร้อนใจ ก็เป็นสัตว์นรก ไม่รู้จักอิ่ม ไม่รู้จักพอในวัตถุต่าง ๆ ก็เป็นเปรต เป็นคนขี้ขลาดในการกระทำความดีก็เป็นอสูรกาย คิดจะไปหลอกไปต้มคนอื่นก็กลายเป็นผีขึ้นในใจ อะไร ๆ ก็เป็นอยู่ในใจเราทั้งนั้น ผีเมื่ออยู่ในใจของเรา แต่เราไม่รุ้ว่าผีมันเกิดที่ตัวเรา เราเป็นคนกลัวผี ไม่กล้าไปไหนในเวลาค่ำคืน ในที่มืดก็ไม่กล้าเข้าไป กลัวผี แต่ความจริงผีก็อยู่ในตัวของเรา ในใจของเรา ถ้าเรากลัวให้ถูกต้องมันก็ดี เช่นว่าเรากลัวผีก็คือกลัวความคิดที่จะไปหลอก ไปต้มคนอื่น ไปฉ้อ ไปโกงเขา ไปเอาทรัพย์เขามาเป็นของตัว อย่างนี้มันก็เป็นผีแล้ว ถ้าเราคิดโลภไม่รู้จักพอเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ ก็เป็นเปรตไปแล้ว ไม่อยากจะไปวัด ไม่อยากจะอ่านหนังสือธรรมะ ไม่อยากเข้าใกล้บัณฑิต ก็เป็นอสูรกายไปแล้ว มานั่งกลุ้มใจ ร้อนใจ เพราะความโง่ ความเขลา ก็เป็นสัตว์นรก คิดอะไรแบบโง่ ๆ มันก็เป็นสัตว์เดรัจฉาน มันอยู่ในใจของเรา พระพุทธเจ้าจึงสอนเราชัดเจนว่า อะไร ๆ อยุ่ในใจของเราทั้งนั้นไม่ได้อยู่ที่ไหน การควบคุม ก็ต้องควบคุมที่ใจ ดูแล เอาสติมาควบคุม เอาปัญญามาควบคุม คอยรักษาจิตของเราให้มีสภาพปกติ คำว่าจิตปกติก็หมายความว่า ไม่ขึ้น ไม่ลง ไม่ไหลไปตามอารมณ์ที่มากระทบ หรือพูดอีกอย่างนึงว่า ไม่ยินดี ไม่ยินร้าย ไม่ยินดี ไม่ยินร้ายในสิ่งที่มากระทบ เรียกว่าจิตสงบตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวในอารมณ์ที่มากระทบ เราก็เป็นตัวเอง ความเป็นตัวเองนั้นอยู่ที่จิตสงบไม่วุ่นวาย ถ้าจิตวุ่นวายเร่าร้อนเพราะอำนาจความอยาก ทีนี้ความอยากเกิดเพราะมีสิ่งมากระทบ รูปเข้าตา เสียงเข้าหู จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายได้ถูกต้องอะไร เกิดพอใจ เกิดไม่พอใจ เกิดยินดี เกิดไม่ยินดี มันก็ทำให้เกิดความวุ่นวาย จิตของเราเปลี่ยนแปลงไป เช่น ยินดีมันก็ไม่ถูก ยินร้ายมันก็ไม่ถูก ที่ถูกนั้นต้องไม่ยินดี ไม่ยินร้าย มีความสงบอยู่ภายใน เพราะรู้เท่ารู้ทันของสิ่งนั้นตามสภาพมันที่เป็นอยู่จริงๆ จิตก็ไม่หวั่นไหวโยกโคลงเพราะสิ่งเหล่านั้น อันนี้แหละคือจุดที่เราต้องการ ความสุขที่แท้จริงนั้นอยู่ที่ความสงบใจ ไม่ใช่อยู่ที่การได้สิ่งนั้นสิ่งนี้ เพราะความสุขที่เกิดจากการได้ มันเป็นสุขที่เกิดจากเครื่องประกอบ ภาษาธรรมะเรียกว่า อามิสสุข อามิสสุข คือ สุขที่ต้องเจือด้วยอามิส คือ สุขด้วย รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ซึ่งเราปราถนาพึงใจ เราอยากจะไปไหนก็ไปตามอยาก อยากจะกินอะไรก็กินตามอยาก อยากจะมีอะไรก็มีตามอยาก แล้วเราก็สบายใจพอใจในสิ่งนั้น
อันความพอใจในสิ่งนั้น มันจะเกิดโทษในภายหลัง เกิดโทษเพราะอะไร เพราะมันไม่ได้ดังใจเสมอไป คนเราไม่ใช่ว่าจะได้อยู่ตลอดเวลา ไม่ได้อยู่ตลอดเวลา มันมีเวลาไม่ได้ เวลาใดได้มันมีความสุข เพราะอามิสเปลือกนอก เวลาไม่ได้ก็มีความทุกข์ เดือดร้อน ไม่สบายใจ บางทีก็ทุกข์มาก ถึงกับกินไม่ได้ นอนไม่หลับเลยทีเดียว อันนี้อยู่ในสภาพตกต่ำทางจิตใจ เพราะเราปล่อยใจให้เพลิดเพลินไปกับวัตถุนั้น ๆ เพลิดเพลินเพราะได้ แต่พอไม่ได้ก็หดหู่ เหี่ยวแห้งใจ ใจไม่สบาย มีความกระวนกระวาย บ่นกับตัวเองว่าทำไมจึงเป็นอย่างนี้ ทำไมชั้นจึงเป็นทุกข์อย่างนี้ พูดอย่างนั้น การที่พูดออกไปอย่างนั้น ก็เพราะเราไม่รู้ว่าตนเองเป็นผู้สร้างปัญหาให้แก่ตัวเอง สร้างความทุกข์ให้แก่ตัวเองแล้วก็บ่นว่าทำไมจึงเป็นอย่างนี้ ความจริงมันเกิดที่ตัวเรา เหมือนสนิมเกิดที่เหล็ก ไม่ได้เกิดจากที่ไหนแต่เกิดจากในตัวของเหล็ก เราไม่ขัด ไม่ถูมันออกมันก็เจริญขึ้น สนิมก็เจริญขึ้น จนมีดเล่มนั้นใช้ไม่ได้เพราะเต็มไปด้วยสนิม จิตใจเราก็เหมือนกัน มันเกิดขึ้นทีละน้อยๆ เราพอใจ เรายินดีในสิ่งนั้น เพลิดเพลินในสิ่งนั้นโดยไม่ได้เฉลียวใจว่ามันจะกัดเอาในภายหลัง มันจะกัดเราให้เจ็บ เราไม่ได้คิดอย่างนั้น นี่เรียกว่าหลงนั้นเอง หลงเพลิดเพลิน เพลินนักในอารมณ์นั้น ๆ แล้วก็ถูกกัดเจ็บในภายหลัง ญาติโยมถูกมันกัดเอาบ่อย ๆ เป็นทุกข์ เดือดร้อนใจ แต่ว่าคนเรานี่ไม่ค่อยเข็ด ไม่ค่อยหลาบ มันกัดแล้วก็ปล่อยมันไป ไม่นำมาคิดเป็นอารมณ์ พิจารณาให้เกิดปัญญา แล้วไม่ทันไรก็ถูกมันกัดอีก สุนัขตัวเดียวกันเนี่ยแหละ มันมากัดเราบ่อย ๆ แล้วก็มาเป็นทุกข์กันบ่อย ๆ ไม่ได้คิดว่ามันมาอย่างไร มันเกิดขึ้นมาอย่างไร และมันให้อะไรกับเรา เราไม่ได้พิจารณา ไม่ได้คิดด้วยปัญญา กลับหลงไปว่า มันมาจากอะไรน้อ เลยเที่ยวไขว้เขวไปว่าสิ่งนั้นทำให้เป็น สิ่งนี้ทำให้เป็น ด้วยประการต่าง ๆ
เรื่องดลบันดาล ซึ่งความจริงไม่มีอะไรดลบันดาลให้เรา เราสร้างขึ้นเอง เราทำเอาเองทั้งนั้น ไม่ว่าเรื่องดี เรื่องชั่ว เรื่องสุข เรื่องทุกข์ เรื่องความเสื่อม เรื่องความเจริญในชีวิตประจำวัน เราเป็นผู้สร้างมันขึ้น แต่ผู้สร้างไม่ยอมรับว่าตัวเป็นผู้สร้าง มันจึงยุ่ง ถ้าเรายอมรับว่านี่เกิดจากตัวฉันเอง และเราจะได้ทำการค้นคว้าหาต้นตอของมัน ว่ามันเกิดจากอะไร เราจะได้ศึกษาค้นคว้า แล้วจะพบความจริง เมื่อพบความจริงก็ดับทุกข์ได้ พระพุทธเจ้าเทียวค้นหาเรื่องนี้อยู่ตั้ง ๖ ปี จึงได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ชั้นแรกก็ไหลไปตามความเชื่อแบบเก่า ๆ ที่เขาประพฤติกันอย่างนั้น เป็นการทดสอบว่ามันจะได้ผลอย่างไร เคยปฏิบัติทรมานร่างกายให้ลำบาก ตามแบบที่เขาทำกันในสมัยนั้น ก็ทรงกระทำ ทำอย่างชนิดที่เรียกว่า เอาชนะคนอื่นที่ทำมาแล้วทั้งนั้น ทำจนใคร ๆก็พูดว่าน่ากลัว ๆ โอตมะ สิทธัตถะนี่ปฎิบัติน่ากลัว เขากลัวกัน แต่ในที่สุดพระองค์ก็ทราบว่าไม่ได้เรื่องอะไร เจ็บตัวป่าว ๆ เสียเวลาป่าว ๆ เปลี่ยนค้นคว้าใหม่ต่อไป จนได้พบสัจธรรมคือความจริงว่าสิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นจากใจของเราเอง เกิดจากความคิดของเราเอง เราต้องมาควบคุมความคิดของเรา ควบคุมการกระทำของเรา ไม่ให้ออกนอกลู่นอกทาง แล้วไปปฏิบัติด้วยพระองค์เองในแนวทางที่เป็น ฐานอย่างนั้น ผลที่สุดก็ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า รู้ความทุกข์ รู้เหตุที่เกิดทุกข์ รู้ว่าความดับทุกข์มี แล้วก็รู้ว่าทางปฏิบัติไปถึงทางดับทุกข์นั้นคืออะไร ทรงเข้าใจชัดเจน แจ่มแจ้ง แล้วก็ไม่ต้องเป็นทุกข์ต่อไป เพราะได้พบต้นตอของความทุกข์แล้ว แล้วก็นำสิ่งนั้นมาประกาศให้ชาวโลกได้รู้ ได้เข้าใจ ได้ปฏิบัติตาม
ในครั้งพุทธกาลนั้นมีคนไปฟังคำสอนของพระองค์แล้วก็นำไปปฏิบัติแล้วก็พ้นทุกข์จำนวนมากแต่ว่าเมื่อพระองค์เสด็จปรินิพพานไปแล้ว ความเชื่อความศรัทธาของคนก็น้อยลงไป ถอยหลังไปสู่ความเป็นคนไม่เดียงสา ไปทำพิธีรีตองต่าง ๆให้เกิดขึ้นในวงการพุทธศาสนามากมาย ทิ้งของเดิม ทิ้งทางที่พระพุทธเจ้าชี้ให้เดิน แล้วไปเดินในทางที่ไม่ถูกต้อง เป็นทางที่เจริญด้วยลาภ ด้วยผล อันเกิดจากวัตถุ แล้วก็ไปติดวัตถุด้วยประการต่าง ๆ แนวทางที่ถูกต้องก็เลยจางหายไป ผู้ปฏิบัติก็เลยไม่ประสบผล พ้นจากความทุกข์อย่างแท้จริง เพราะเดินไม่ถูกทาง อันนี้เป็นเรื่องเกิดขึ้นในตอนหลัง เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อพระพุทธเจ้าเรานิพพานไปแล้วหลายร้อยปี แล้วก็รับสืบ ๆต่อกันมาจนกระทั่งทุกวันนี้ แม้ในปัจจุบันนี้ ก็ยังไม่ค่อยมีใครคิดในเรื่องอย่างนี้ว่ามันไม่ถูกต้อง ยังไม่มีใครคิดกัน ท่านเจ้าคุณพุทธทาส เกิดเป็นพระชั้นนำที่มีความคิดถอยหลังเข้าไปสู่ทางที่ถูกต้องของพระพุทธเจ้า พยายามศึกษาค้นคว้าเปิดเผยกับประชาชนเป็นเวลาหลายปี ทำให้คนได้ลืมหู ลืมตา ได้เข้าใจธรรมะที่ถูกต้องของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นผู้ที่ทำงานอย่างบริสุทธิ์ ไม่เป็นไปเพื่ออะไร แต่ต้องการให้คนได้รู้ ได้เข้าใจหลักคำสอนอย่างลึกซึ้ง ซึ่งอยู่ในป่า แต่คนก็ได้ไปหา ไปศึกษา ไปค้นคว้า และนำมาใช้ในชีวิตประจำวันกันอยู่ เขาก็สบายใจ รู้ทางปฏิบัติที่ถูกต้อง เวลานี้แม้ท่านจะลาโลกไปแล้ว แต่ว่าหลักคำสอนยังอยู่ แนวปฏิบัติยังอยู่ เหมือนพระพุทธเจ้าของชาวเราทั้งหลาย แม้พระองค์จะเสด็จนิพพานไปแล้ว งานที่พระองค์ทำไว้ยังอยู่ ธรรมะที่พระองค์ได้ค้นพบนำมาเปิดเผย แจกแจงกับชาวโลกไว้นั้นยังมีอยู่ ยังเป็นประโยชน์อยู่ แต่ชาวโลกเราไม่ค่อยมองในสิ่งนั้น ไม่ได้สนใจศึกษาปฏิบัติอย่างแท้จริง เพราะหลงใหลได้ปลื้มกับสิ่งที่เป็นสัทธรรมปลอม (19.46) เขาเรียกว่าสัทธรรมปฏิรูป คือธรรมะปลอม ๆ เราไปติดอยู่ในสิ่งนั้น มีการโฆษณาชักจูงให้คนเชื่อด้วยประการต่าง ๆ ใช้เครื่องมือสื่อสารทุกประเภทเพื่อพูดจาจูงใจให้คนเชื่อในสิ่งเหล่านั้น เขาได้ปัจจัย ได้เงินมาก ๆ แต่ไม่ได้ช่วยคนให้ฉลาดขึ้นเลย ไม่ได้ช่วยให้มีปัญญาเพื่อพ้นทุกข์ แต่ทำคนให้หลง ให้มัวเมาอยู่ในสิ่งนั้น ๆ อันเป็นสิ่งที่เรียกว่าอันตรายอยู่เหมือนกัน เป็นอันตรายต่อสัจธรรม เป็นอันตรายต่อคำสอนที่ถูกต้อง เพราะคนทั้งหลายไปหยุดอยู่ที่ตรงนั้น ไปอออยู่ที่ตรงนั้น ประตูมีอยู่ไม่เปิดเข้าไป ไม่เดินเข้าไป แต่ไปยืนอออยู่ที่ประตูนั้น แล้วยื่นมือสลอนไป ต้องการอะไรบางอย่าง ต้องการวัตถุ ซึ่งเรียกว่าวัตถุมงคล
อันนี้คือความหลงใหลเข้าใจผิดกันด้วยประการต่าง ๆ คนก็เลยไปติดสิ่งนั้น ไปพึ่งสิ่งนั้น ไม่พึ่งพระพุทธเจ้าแท้จริง ไม่พึ่งคำสอนที่แท้จริง ไม่พึ่งพระอริยสงค์สาวกของพระพุทธเจ้าที่ถูกต้อง แต่ไปพึ่งสิ่งที่เรียกว่าศักดิ์สิทธิ์วิเศษ สามารถจะช่วยตนได้ด้วยประการต่าง ๆ อันนี้เรียกว่าความหลงผิด เข้าใจผิด ซึ่งมีอยู่ในหมู่พุทธบริษัททั่ว ๆ ยังไม่มีใครกล้าพูดกล้าแสดง ให้คนเหล่านั้นเกิดความรู้ ความเข้าใจ แม้ผู้หลักผู้ใหญ่ในวงการสงฆ์ก็พลอยส่งเสริมสิ่งเหล่านั้นไปด้วย สนับสนุนสิ่งเหล่านั้นไปโดยปริยาย คนจึงได้หลงเชื่อเข้าใจผิดด้วยประการต่าง ๆ ไม่ถูกต้องทำให้คนหลับหูหลับตา แสวงหาสิ่งที่ไม่ถูกต้องกันอยู่ อันนี้เป็นเรื่องน่าคิด ต้องพยายามชี้แจง แสดงเหตุผลให้คนได้เข้าใจ แล้วให้สลัดสิ่งเหล่านั้น เพื่อไปหาพระพุทธเจ้าที่แท้ หาพระธรรม พระสงฆ์ที่แท้ตามหลักการในทางพุทธศาสนา เวลาพระพุทธเจ้าจะดับขรรค์ปรินิพพาน พระองค์ตรัสกับพระอานนท์ว่า อานนท์เอ๋ย ธรรมะวินัยอันใดที่เราได้บอกแล้วสอนแล้ว แก่เธอทั้งหลาย ธรรมวินัยนั่นแหละจะเป็นศาสดาแก่เธอต่อไป องค์ศาสดาที่แท้คือธรรมะที่พระองค์สอนไว้ เราต้องเข้าถึงสิ่งนั้น เข้าถึงธรรมะที่พระพุทธองค์สอนไว้ อย่าไปเข้าถึงสิ่งอื่น อย่าไปบูชาสิ่งอื่น แต่ให้บูชาพระธรรม คนที่เข้าใจหลักการนี้แล้วบูชาธรรมะ ใจจะดีขึ้น ใจจะกว้างขึ้น ไม่มีความเป็นผู้คับแคบ เพราะธรรมะนั้นไม่มีอะไร ไม่มีชื่อ ไม่มีนิกาย ไม่มีฝ่าย ไม่มีพวก มีแต่ธรรมะอันเป็นข้อปฏิบัติ ไม่มีรูปมีร่าง ไม่มีอะไรที่ให้คนเข้าไปหลงใหลมัวเมา เป็นสิ่งที่เรานำมาปฏิบัติได้ แล้วเมื่อนำมาปฏิบัติแล้ว หูตาสว่างขึ้น จิตสว่างขึ้น เราก็สลัดความยึดถือบางอย่างออกไป ความเห็นแก่ตัวก็จะลดน้อยลงไป เพราะเราเห็นธรรมะ จิตใจจะเป็นคนใจกว้าง เลิกถือเขา ถือเรา ถือพรรค ถือพวก ถือนั่น ถือนี่ให้วุ่นวาย ถือแต่ความถูกต้องเป็นแนวทางปฏิบัติ และการถือนั้นไม่ใช่การยึดการติด ภาษาพระท่านเรียกว่าสมาทาน ไม่ใช่อุปาทาน ไม่ใช่การยึดการถือ แต่รับเอามาปฏิบัติ รับเอามาใช้ เหมือนเรารับอาหารก็เอามารับทาน รับยา เอามาบำบัดโลกภัยไข้เจ็บ รับน้ำมาดื่ม รับธรรมะก็รับเอามาปฏิบัติ ไม่ใช่เอามาบูชากราบไหว้ ขอร้องวิงวอน เพื่อให้ได้สิ่งที่เราต้องการ ดังที่เราทำกันอยู่ทั่ว ๆ ไป เช่น ไปไหว้พระที่นั่นที่นี่ ไปไหว้ในแบบคนที่อยู่ในสภาวะที่ปัญญาอ่อน ยังไม่ตื่นตัวอะไร ยังไม่ก้าวหน้าอะไร คือไปไหว้เพื่อขอ เพื่อเอานั่น เอานี่ เลยทำให้คนที่ไปไหว้พระก็ถูกมิจฉาชีพหลอกต้มเอาด้วยประการต่าง ๆ โยมไปดู ที่ไหนที่มีพระ ที่คนถือว่าศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่เคารพบูชา คนจะไปกันมากแล้วก็มีคนที่คอยหลอกคอยต้ม ตั้งแต่ลงจากรถยนต์ จนเข้าไปในโบสถ์ เข้าไปในโบสถ์แล้วยังมีตั้งกองรอบโบสถ์อีก ออกมาจากโบสถ์พวกนั้นก็ต้อนไปอีก ต้อนให้ซื้อนั่นซื้อนี่ วิเศษทั้งนั้น คนเหล่านั้นก็ซื้อเอาไป ซื้อรูป ซื้อวัตถุ ซื้ออะไรต่อไร ไม่มีธรรมะเลย แม้แต่คนเดียว ไม่มีการแจกธรรมะให้คนมีหูตาสว่างเลยแม้แต่น้อย ไปเห็นแล้วก็สลดใจ ซื้อไป ๆ ที่มีคนไปไหว้มาก ๆ เช่น วัดพระธาตุดอยสุเทพ ที่อยู่บนเขาสูง คนไปเชียงใหม่ต้องไปไหว้พระธาตุ แล้วฝรั่งมังค่าก็ขึ้นเพราะมันเป็นจุดสูงสุด ขึ้นไปแล้วดูวิวได้รอบด้าน พวกไปเที่ยวก็ขึ้นไปทำไมไม่ถือโอกาสเอาการที่คนมามาก ๆ นั้น แจกธรรมะ ไม่มีใครคิดเรื่องอย่างนี้ ธรรมะที่เป็นภาษาต่างประเทศก็แปลไว้ พิมพ์เป็นเล่มน้อย ๆ แจกไปเปล่า ๆ ให้พวกเราไปอ่าน ขณะนั่งรถ ทำไม่ได้ แจกแต่พระเครื่อง เครื่องรางของขลัง
แล้วก็บอกว่าจะสร้างไอ้นั่น ไอ้นี่ ในบริเวณนี้ ยังขาดเงินเท่านั้นเท่านี้ โยมมีศรัทธา มีความเลื่อมใสก็บริจาค แปลว่าใครขึ้นดอยสุเทพก็ถูกปล้นอย่างล่อนจ้อน กลับลงมาตัวเบา เพราะได้ถ่ายทรัพย์เยอะแยะ ยิ่งไปดูที่วัดโสธรพอลงจากรถก็เจอแล้ว ปล่อยนก ปล่อยปลา ปล่อยเต่า มามะรุมมะตุ้มน่ารำคาญ เมื่อเช้านี้อ่านหนังสือพิมพ์ เขาเขียนว่า ภัยร้ายที่วัดโสธรวราราม ชั้นบอกคนไปไหว้พระไม่ได้ความสงบเลย เพราะมีคนคอยมะรุมมะตุ้ม ขายนั่น ขายนี่ อะไรต่าง ๆ ไม่ได้สงบใจ ขายลอตเตอรี่ ขายนก ขายปลา ขายเต่า ขายเครื่องรางของขลังเที่ยวรบกวน มันน่ารำคาญ เราจะเข้าไปไหว้พระ ก็มีคนเรียก คุณ คุณป้า คุณยาย เอานี่นั่น รำคาญ พอเราไปต่างประเทศ พอออกจากจากเครื่องบิน ลงจากสถานีรถไฟ ก็เจอมะรุมมะตุ้ม ขายนั่น ขายนี่ รำคาญ รำคาญเต็มที่ พวกร้านก็มาเที่ยวตามขึ้นมาบนรถล่ะก็อยู่ขายข้างรถ ก็ตื้อให้เอา จิปาถะ รบกวนคนที่ไปเที่ยวให้รำคาญ ตามวัดวาอารามก็เหมือนกัน คนประเภทนั้นเยอะ คืออาศัยบารมีหลวงพ่อ แล้วก็หากิน มากมายก่ายกอง จอดรถก็ลำบาก จอดตรงนั้น ตรงนี้ จอดในเขตใกล้ร้านก็พูด ต้องการสิ่งนั้น ต้องการสิ่งนี้ วุ่นวาย ทุกแห่งเหมือนกันหมด ไม่มีใครคิดแก้ไขให้ไปนั่งสงบจิต สงบใจภายในวิหาร พอคนเข้าไปแล้วพูดให้เข้าฟังสัก ๕ นาทีก็พอ พูดให้เข้าใจเรื่องที่ควรจะนำไปประพฤติปฏิบัติในชีวิตประจำวัน แล้วก็ทำหนังสือเล่มน้อย ๆ ให้ไปอ่าน ชื่อว่าหลวงพ่ออยู่ที่ไหน เราจะเข้าถึงหลวงพ่อได้อย่างไร ก็แจกไป ให้คนไปอ่าน อ่านแล้วก็จะฉลาดขึ้น มีปัญญาขึ้น แต่เขาก็กลัวเหมือนกัน กลัวว่าสอนคนให้ฉลาดขึ้นแล้วเดี๋ยวคนจะไม่ไปวัด ปล่อยให้อยู่แบบโง่ ๆ แบบนั้นแหละ จะได้รีดไถได้ต่อไป แล้วพระพุทธศาสนาจะเข้าถึงคนได้อย่างไร คนเขาฉลาดแล้วเขาก็ยังมาอยู่นั่นแหละ เขามาหาความสงบใจ มานั่งพักผ่อน จัดบริเวณให้สะอาด มีระเบียบ ให้นั่งพักผ่อนได้สบาย อย่าให้ใครมารบกวน ขายนั่นขายนี่ให้มันวุ่นวาย อยู่ที่บ้านก็รำคาญเต็มทีแล้ว มาวัดก็ให้มันสงบซะหน่อย สภาพเช่นนั้นไม่ค่อยมี อันนี้คือปัญหาที่เกิดในที่ทั่วไป
แม้แต่วัดพระแก้ว เมื่อโยมไปวัดพระแก้ว เข้าประตูไป พวกขายนกก็มาล่ะ ปล่อยนก ปล่อยปลา ใครอยากอายุยืนปล่อยเต่า ปล่อยเต่าให้โง่ต่อไป ซื้อเต่าปล่อย แต่ไม่ปล่อยความโง่สักที กว่าจะเดินพ้นพวกรบกวนเหล่านั้นไปได้ก็ลำบาก กว่าจะถึงหลวงพ่อได้ มีอยู่ทั่วไป นี่คือการเปลี่ยนแปลงของการนับถือศาสนาไปในรูปวัตถุหมด ไม่เข้าถึงตัวธรรมะ แต่นับถือวัตถุหมด ไปต่างประเทศก็ไปอินเดีย พุทธคยาที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ก็เหมือนกัน ก็มีคนมาถอดรองเท้า ก็มีคนแย่งไปวางเพื่อจะเอาสตางค์ ขายใบโพธิ์ที่มีแต่โครง ขายลูกประคำ ขายอะไรอีกเยอะแยะ แขกนี่รบกวนบ่อยมากกว่าใคร ๆ ไปเรื่อย ปล่อยจนสุดเขตของวัด พอเข้าเขตของวัดพวกนี้ก็มาล่ะ ทุกแห่งเหมือนกัน มันผิดจากครั้งโบราณ คือสถานที่ที่พระพุทธเจ้าและพุทธสาวกประทับอยู่นั่นมันเป็นป่า เงียบ ไม่มีอะไรที่จะให้คนซื้อ ไม่มีวัตถุอะไรให้คนเอาไปสำหรับใช้เป็นเครื่องป้องกันตัว มีแต่ธรรมะอย่างเดียว คนเข้าไปหาพระพุทธเจ้าก็สบาย ได้ฟังธรรมแล้วก็สบาย ได้เกิดปัญญา เกิดความรู้ความเข้าใจแล้วออกมาอย่างใจสบาย เอาธรรมะไปใช้ให้เกิดความสบายยิ่งขึ้น ยิ่งขึ้น ก็มีแต่เรื่องเท่านั้น ไม่มีเรื่องการแสวงหาปัจจัย อามิชไม่เข้าไปเกี่ยวข้อง แต่ว่าต่อมา ถือโอกาสที่คนมาไหว้พระก็เรี่ยไร เอานั่นเอานี่กันด้วยประการต่าง ๆ ทำให้เกิดเป็นปัญหา สวนโมกข์ท่านเจ้าคุณท่านมีหลักการ คือ ไม่ให้เรี่ยไรเด็ดขาด ใครเข้ามาสวนโมกข์ไม่ให้เรี่ยไรเด็ดขาด ไม่ให้พูดเรื่องเงินเรื่องทองเด็ดขาด เขาอยากทำเขาก็ทำเอง เราอย่าไปรบกวนเขา เราอย่าไปยุ่ง คนอายุ ๘๐ นี่ หลวงพ่อก็เป็นประธาน เขาก็เข้าไปขออนุญาติ ไม่ได้ทำอะไรมาก บอกแต่เพียงว่าใครจะไปทำบุญให้ไปทำบุญตรงนั้นนั่นแหละ ท่านบอกว่าไม่ได้ ผิดหลักการ ทำไม่ได้ แล้วคนจะทำบุญจะทำไง เขาหาเอาเอง เรื่องของเขา เราไม่ต้องบอกไม่ต้องพูด เลยไม่ได้พูด ไม่กล้า ท่านห้ามไว้แล้ว เราจะไปพูดก็ไม่ได้ ไปขัดขาน ขัดคำสั่งท่าน เลยไม่กล้า แต่คนก็อุตสาห์ไปเที่ยวสืบเสาะว่าไปทำบุญตรงไหน เขาก็ไปทำบุญกัน ได้เงินมา ๔ แสน ที่นั่นไม่มีการชักจูงให้ทำอะไร ก็เข้าไปเดินสบาย ๆ เข้าไปท่านก็แจกหนังสือ ทำบุญมากท่านก็แจกหนังสือมาก กองตั้งฟุต หิ้วกันไป แจกของอย่างนั้นเป็นประโยชน์ ไม่แจกของอื่นที่ทำให้คนติด หนังสือธรรมะไม่ทำให้คนติดอย่างหลับหูหลับตา แต่ว่ามีความสนใจที่จะศึกษาที่จะปฏิบัติต่อไป
สมัยนี้มีความจำเป็นที่จะสอนคนให้เข้าถึงธรรมะตามหลักการในทางพุทธศาสนา คนจะได้ฉลาดขึ้น ประเทศไทยเราถ้าคนจะนับถือพระพุทธศาสนาถูกต้องจะดีขึ้นทุกอย่าง การเมืองจะดีขึ้น ประชาธิปไตยจะสมบูรณ์ขึ้น เพราะประชาชนมีปัญญารู้จักใช้ปัญญาเป็นเครื่องวินิจฉัยว่าอะไรถูก อะไรผิด อะไรเป็นอะไร จะเลือกคนสักคนหนึ่งมาเป็นผู้แทนนั่งในสภา คนมีปัญญาก็เลือกเป็น แต่คนที่ขาดปัญญาก็เลือกคนที่ให้เหล้า ให้อามิสสินจ้าง ซึ่งเป็นวิธีการหลอกลวงด้วยประการต่าง ๆ แล้วสมาชิกสภาจะดีได้อย่างไร ไม่ดีขึ้น เพราะพื้นฐานของคนยังไม่ดี เราต้องให้คนได้รู้ได้เข้าใจหลักธรรมของพระพุทธศาสนา มีคนขวนขวายว่าจะเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญว่า พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติไทย หลวงพ่อเห็นว่าไม่จำเป็นอะไร สิ่งจำเป็นที่เราต้องทำ คือ ช่วยกันประกาศหลักคำสอนที่ถูกต้องให้คนได้เข้าใจ ช่วยกันเลิกสิ่งเหลวไหลที่คนทำกันอยู่ในหมู่พระและหมู่พุทธบริษัท ในหมู่พระนั้นสำคัญเพราะพระนั้นเป็นผู้นำชาวบ้าน ถ้าพระหลงชาวบ้านก็หลง พระเดินหลับตาก็จูงชาวบ้านลงเหวไปตาม ๆ ต้องแก้เรื่องนี้ก่อน แก้เรื่องความหลงผิด ความงมงายของพุทธบริษัท ไม่ส่งเสริมให้กระทำความผิดในสิ่งเหล่านั้นจึงจะเป็นการถูกต้อง แต่ยังไม่มี ยังจะหลงกันไปอีกกี่สิบปีก็ยังไม่รู้ ก็ยังไม่มีการตื่นจากการหลับในเรื่องนี้ ยังหลับกันอยู่ ยังไม่ลืมหู ลืมตา ยังไม่ลืมตา ยังไม่ลุกขึ้น อย่าว่าแต่เดินไปเลย ยังไม่ได้ลุกขึ้นจากที่นอนอยู่อย่างนี้ แล้วอะไรจะเกิดขึ้นกับพุทธบริษัท นอกจากความโง่ ความงมงายที่เป็นอยู่แล้วและจะเพิ่มขึ้นไปอีก เพราะมีคนแสวงหาลาภจากความโง่ มีการโฆษณาชวนเชื่อให้หลงผิดเข้าใจผิดด้วยประการต่าง ๆ อันนี้เป็นเรื่องน่าคิด ก็เอามาปรารภไว้บ้าง เผื่อคนจะได้อ่าน ได้คิด จะได้ด่าบ้าง คือด่าผู้พูด คือด่าท่านปัญญาเนี่ยพูดแต่ติเตียนผู้อื่น ความจริง ๆ ไม่ได้ติเตียนใคร แต่ติเตียน ความผิด ความหลง ความงมงาย เพื่อไม่ให้คนทำต่อไป ให้รู้สึกละอายกันเสียบ้าง ในการที่จะทำในสิ่งนั้นบ้าง แล้วก็ช่วยกันลุกขึ้นประกาศธรรมะของพระพุทธเจ้า แต่การจะลุกขึ้นมาประกาศธรรมะของพระพุทธเจ้านั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ถ้าเราไม่รัก ไม่ตั้งใจจะกระทำ ทำไม่ได้ เพราะไม่มีพื้นฐาน ไม่มีการเตรียมตัวเพื่อจะทำสิ่งนี้ จึงต้องปลุกพระให้รู้จักหลักการ ให้ตื่นตัว เตรียมตัวก้าวไปข้างหน้า ตามแนวทางที่ถูกต้อง พยายามอยู่ เช่น เอาพระมาอบรมธรรมทายาท แต่ก็ยังไม่ชื่นใจอะไร ทำมาหลายปีแล้ว แต่ยังไม่เป็นที่ชื่นอกชื่นใจ เพราะอะไร เพราะพระธรรมทายาทเมื่อกลับไปแล้วถูกกลืน ถูกสิ่งแวดล้อมในที่นั้นกลืนไปซะ เพราะสิ่งแวดล้อมในทางโง่เขลาเบาปัญญานั้นมากกว่า จึงถูกกลืนไป ถูกบดบังไป เหมือนหมู่เมฆที่บดบังแสงอาทิตย์ ไม่มีแสงให้ดูต่อ เพราะไม่กล้าพอ ทีนี้จะเอาใหม่ ให้อยู่รวมกัน อบรมแล้วให้อยู่รวมกันที่วัดที่สร้างใหม่ อยู่ที่นั่น แล้วอบรมเพิ่มขึ้น อ่านหนังสือ คิดค้น วิจัย วิจารณ์ เอาคำสอนไปเปิดเผยแก่ประชาชน เวลาออก ออกไปเป็นชุดเลยชุดนึง ๓ องค์ ชุดล่ะ ๓ ๓ ๓ ตามอุดมการณ์ เผยแผ่สิ่งถูกต้องแก่ประชาชนในที่ทั่ว ๆ ไป ไม่ต้องไปเป็นหมู่มาก ๆ ลำบากแก่คนต้อนรับ ไปแค่พระ ๓ องค์ เพราะไม่ได้ไปเอาอะไร ไปให้ ไปสอน ไปบอกเขาให้เข้าใจ สอนตั้งแต่เด็ก หนุ่มสาว ผู้เฒ่า ผู้แก่ ไปที่ไหนก็พักหลาย ๆ วันหน่อย ไปเที่ยวสอน คนไม่มาก็ไปหาคน ไปหาคนที่จะสอน
เมื่อวานซืนนี้ไปที่หาดใหญ่ เลยพูดกับพระ พระถามว่า การที่เป็นธรรมฑูตเนี่ยทางราชการไม่ค่อยให้ความร่วมมือ ไม่ป่าวร้องให้ประชาชนฟังธรรม ไปเทศน์แล้วไม่มีคน บอกว่านี่ไม่ใช่ปัญหาที่ควรถาม ควรสงสัย เราไม่ต้องการไปพูดกับคนมาก พูดกับคนไม่กี่คน แล้วก็เลื่อนไป พูดกับคนหมู่นั้นหมู่นี้ ไปเรื่อย ๆ ไม่ต้องมีเครื่องขยายเสียงเพราะคนมันไม่มากอะไร ไปพูดตามบ้าน ข้างบ้าน คนสนใจก็มาฟังเอง ไปตามบ้านเขาก็ได้ ไปเยี่ยมเขา แต่อย่ามาเที่ยวแจกไปฎีกา ใครแจกฎีกา พอคนเห็นพระก็วิ่งหนี ไปให้ไม่เอาอะไรถืออุดมการณ์อย่างนั้น เดินตามบ้านไปลุยเรื่อย จนถึงวันเข้าพรรษาจึงกลับวัด แยกไปทั่วประเทศ แบ่งไปที่ละ ๓ รูป ๆ แล้วบันทึกมาว่าไปที่ไหนเมื่อไหร่ มีคนฟังเท่าไร มีปัญหาอะไร เอาข้อมูลมาปรึกษากัน แล้วก็ไปแก้ไขกันต่อไป ทำอย่างนั้น เพื่อปลุกคนให้ตื่นจากความหลับไหลมัวเมา อันนี้จะลองทำในการออกไป เพราะว่า มีนโยบายอยู่ และทำตามนโยบายต่อไป เพื่อให้พุทธบริษัทเป็นพุทธที่แท้จริง เป็นผู้รู้ เป็นผู้ตื่น เป็นผู้ที่เบิกบาน แจ่มใส อย่างถูกต้อง เป็นงานที่จะต้องทำ เรานึกถึงอดีต คือยุคพระพุทธเจ้า คือ ท่านตรัสรู้แล้ว ท่านก็เดินไปหาคน เดินไปเพื่อที่จะสอนคน ๕ คนเท่านั้น ไม่ใช่การเดินทางใกล้ ๆ น่ะ จากพุทธคยานถึงพาราณสี นั่งรถไฟมาครึ่งวัน แต่พระพุทธเจ้าท่านเดินลัดในป่า สมัยนั้นป่ามันเยอะ ร่มรื่นเดินไปถึงพาราณสี สนทนาพาทีกับท่านเหล่านั้นให้ฟัง ตอนแรกท่านเหล่านั้นไม่ยอมฟัง ไม่ยอมเชื่อ พระองค์ก็พูด ก็ถามไถ่อะไรไปต่าง ๆ จนตกลงฟัง ท่านก็เทศน์แค่ ๔-๕ คนเท่านั้น เทศน์จบแล้วก็ได้ผลคนเดียว คือ ท่านโกณฑัญญะ ฟังรู้เรื่องเข้าใจความหมาย เขาเรียกว่า ได้ดวงตาเห็นธรรม ถือว่าถึงกระแสธรรมะ ถึงกระแสแล้วไม่ต้องตกใจ ไม่ต้องไหลไปในมหาสมุทร ไปสู่ความหลุดพ้น เหมือนกับท่อนไม้ ถ้าตกลงไปในลำห้วยแล้วก็พาไปจนจะออกจากกรุงเทพ ไม่ต้องลำบากพระองค์ก็ไปสอน อีก ๔ คนยังไม่เข้าใจ สอนต่อไปอีก ๔ วัน เข้าใจ พอเข้าใจแล้วเทศน์เรื่องสำคัญให้ฟัง ท่านเหล่านั้นฟังแล้วเข้าใจบรรลุมรรคผลเป็นพระอรหันต์ แล้วก็ในระหว่างนั้นก็มีข่าวลือกัน คนก็เข้ามาหา มาศึกษา ก็ได้คน ๖๐ คน หรือ ๖๐ รูป พอออกพรรษาพื้นดินแห้ง อากาศเหมาะที่จะเดินแล้ว จึงสั่ง ๖๐ รูปนั่นว่า เธอทั้งหลายจงเที่ยวไปเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขแก่มหาชน จงประกาศวิถีชีวิตที่ถูกต้องอันไพเราะ เบื้องต้นท่ามกลางที่สุดแก่เขา คนที่มีไฝ มีฝ้า บังดวงตาน้อย ๆ มีอยู่เพราะไม่ได้ยินได้ฟังจึงไม่เข้าใจธรรมะ เธอจงไป ทางเดียว รูปเดียว ไม่ให้ไป ๒ รูป ๓ รูป ไปองค์เดียว เพราะคนน้อย เราก็จะไปเหมือนกัน แล้วพระองค์ก็ไปเหมือนกัน ไปทำหน้าที่ พวกสาวกที่ไปก็ได้เหมือนกัน ได้สาวกเพิ่มเอามาศึกษากันต่อไป พระองค์ก็ไปสู่พระราชพฤกษ์ทำมาตลอดเวลา พระพุทธเจ้าท่านไปหาคน สาวกก็ไปหาคน ไม่ใช่ให้คนมาหา บางคนก็มาหา มาสนทนาธรรมกับพระองค์ แต่หน้าที่ของพระองค์ต้องไปหา ไปสอนเขา เอาของดีไปแจกเขาเดี๋ยวนี้เราไม่ค่อยได้ทำอย่างนั้น เราไม่ได้ไปแจก เพราะว่าสมัยใหม่เครื่องมือสื่อสารสะดวก เทศน์โทรทัศน์แห่งเดียวก็ไปทั่วประเทศ เทศน์วิทยุอย่างเดียวก็ฟังกันทั่วประเทศ แต่มันยังไม่ดี เราต้องไป เดินไปนี่ ฝึกพระไปด้วย ฝึกความอดทน ฝึกความเสียสละ ฝึกบำเพ็ญตนเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น ตามหลักการของพระพุทธเจ้า อันเกิดอะไรขึ้นในใจได้ ดีกว่านั่งรอสอนอยู่ที่วัด ส่งไปอย่างนั้นแล้วค่อยตามไปดูบ้างว่าถึงไหนแล้ว ไปพบกับใคร ไปเยี่ยมบ้าง อันนี้ท่าจะดี ประกาศแต่ธรรมะบริสุทธิ์ ไม่มีเรื่องเหลวไหล ใครจะมาขอ แหม ท่านมาถึงบ้านช่วยรดน้ำมนต์ที ไม่เอา รดน้ำธรรม เทศน์ให้เขาเข้าใจ ว่าไม่ต้องรดน้ำมนต์ถ้าเราประพฤติธรรมแล้วเราจะได้หมด สอนให้เข้าใจธรรมะ สอนตั้งแต่เด็ก ๆ ให้เข้าใจธรรมะ พูดจา หาวิธีพูดวิธีสอน อยู่ในวัด ๓-๔ เดือนช่วงพรรษา คิดค้นวิธีสอนว่าจะสอนอย่างไร เรื่องนี้จะพูดอย่างไร จะสอนอย่างไร ช่วยกันคิด ช่วยกันวางแผน แล้วก็ไปสอนตามแนวนั้น มีข้อขัดข้องแล้วค่อยแก้กันต่อไป
ทำอย่างนี้เรียกว่ากลับไปสู่สมัยพุทธกาล แต่ไม่เหมือนทีเดียวหรอก เพราะเดี๋ยวนี้สะดวกกว่า เราเดินคนเห็น ขึ้นรถได้ แต่ต้องไปสู่บ้านที่เราตั้งใจไว้ ไปในหมู่บ้านนั้นหมู่บ้านนี้ แล้วก็ไปนอนค้างบริเวณนั้น ปักกลดนอน เออคนมาหาแล้ว คนจะมาขอของดี ไม่ใช่เรื่องอะไร จะมาขอพระเครื่อง มาหาตะกรุด จะมาให้รดน้ำมนต์ ก็บอกไม่เป็นไรโยมพรุ่งนี้ค่อยมา มาพร้อมกัน แจกพร้อม ๆ กัน เอาล่ะ ได้เรื่องละทีนี้ พอมาแล้วก็เทศน์ สอนซะ ได้เรื่อง แจกทีละคนก็ไม่ได้ ไม่พร้อมกัน เมื่อมาถึงพร้อมกันก็เทศน์แก้ปัญหาเลยให้เข้าใจ พูดให้เข้าใจ ๓ องค์ ผลัดกันพูด พูดเรื่องเดียวกันแสดงทั้ง ๓ องค์ ให้คนได้ยินได้ฟังอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง แล้วมีโอกาสให้ถามด้วย เอาโยมมีข้อสงสัยถามได้คนก็จะได้ซักซ้อมทำความเข้าใจ ไม่ใช่เทศน์เอวังก็มี ยกก็ขึ้นกุฏิ โยมไม่ได้ถาม ไม่ได้คุย อันนี้ต้องคุยกัน ดึกดื่นเที่ยงคุยก็ยังคุยกันได้ สอนกันได้ ทำอย่างนั้น เคลื่อนที่ไปเรื่อย ๆ ตามแผนการณ์ที่ได้ตั้งไว้ อันนี้จะช่วยให้คนเข้าถึงธรรมะได้มากขึ้น เราไปให้อย่างบริสุทธิ์ใจ ไม่หวังอะไร ไม่ทำอะไรแบบฝัน ๆ ไม่วุ่นวาย สิ่งใดที่ไม่ใช่หลักคำสอน แม้คนจะมาขอก็ไม่ให้ แต่อธิบายให้เข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร พระพุทธเจ้าสอนอย่างไร ให้ทำอย่างไร ให้ปฏิบัติอย่างไร ไปอย่างนั้น ท่าจะดี โอกาสมีก็ทำ ปีต่อไปก็ทำ พรรษาหน้าก็เริ่มแล้ว ทำเรื่องนี้เอง เดือนพฤศจิกายนนี้ก็รับธรรมทายาทมาอบรมที่นี่ก่อน ตามแบบที่เคยทำแต่ว่าคัดเอาพระเหล่านั้นมาอยู่ที่วัดปัญญานันทาราม อยู่แบบบำเพ็ญเพียรเพื่อละกิเลศ แล้วบำเพ็ญประโยชน์แก่สังคมต่อไป อันนี้เป็นความคิดที่คิดอยู่ตลอดเวลา เลยมาเล่าให้โยมฟังไปด้วย ตอนนี้ก็พอสมควรแก่เวลา ก็ขอเชิญญาติโยมนั่งสงบใจเจริญภาวนา นั่งสงบใจเป็นเวลา ๕ นาที