แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ญาติโยม พุทธบริษัททั้งหลาย ณ บัดนี้ถึงเวลาของการปาฐกถาธรรมะอันเป็นหลักคำสอนในหลักพระพุทธศาสนาแล้ว ขอให้ทุกท่านอยู่ในอาการสงบ ตั้งอกตั้งใจฟังด้วยดี เพื่อให้ได้ประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการมาวัดตามสมควรแก่เวลา
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ ๒๑ สิงหาคม และเป็นวันพระด้วย พี่น้องชาวจีนที่อยู่ในประเทศไทย หรือว่าผู้ที่มีเชื้อสายสืบมาจากชาวจีน ตั้งรกรากอยู่ในประเทศไทย วันนี้เค้าถือว่าเป็นวันสำคัญเรียกว่าวันสารทจีน ทำไมต้องใส่สารทจีนเข้าไปด้วย เพราะว่าสารทมีหลายวัน สารทไทยยังไม่ถึง แต่สารทจีนเค้าเอาก่อน คงจะนับเดือนล่วงหน้าไว้ ของไทยกลางเดือนสิบหรือสิ้นเดือนสิบ มี 2 ครั้ง กลางเดือนสิบก็เป็นวันรับ สิ้นเดือนสิบก็เป็นวันศุกร์ แต่ชาวจีนนั้นทำกันในวันนี้ ทำขนมนมเนย ไว้บรรพบุรุษ และไปซื้อผลไม้ พ่อค้าซึ่งเป็นชาวจีนเหมือนกันก็ถือโอกาสขึ้นราคาสินค้า ผลไม้ ไก่ อะไรๆ ก็ขึ้นราคาทั้งนั้น จนคนที่ไปซื้อของบ่นว่าวันสารทจีนขึ้นราคาทุกที แพงทุกที ก็เป็นโอกาสที่จะได้ตักตวง น่าจะอุทิศให้บรรพบุรุษเสียบ้าง ไม่ต้องขึ้นราคา ให้คนได้ซื้อด้วยความสบายใจ แต่คนที่ไปซื้อก็จำใจจะต้องซื้อผลไม้ ดอกไม้ ไก่ เป็ด เครื่องเซ่นไหว้ ความจริงเครื่องเซ่นไหว้ก็เอาไปทานกันเอง แต่ไหว้ก่อน เอาไปตั้งเซ่นไหว้บรรพบุรุษ จุดธูป เทียนบูชา และจุดลูกปะทัด แล้วสมควรเวลาก็ยกมาเลี้ยงกัน ก็ทำให้ทุกคนสบายใจ เพราะได้กินของสำหรับเซ่นไหว้บรรพบุรุษ ชาวจีนเค้ามีวิธีการหลายอย่างที่จะได้กินเรื่องนั้น เรื่องนี้ เพราะบ้านเมืองอดอยาก คนมันมาก เลยหาเรื่องให้ได้กินกัน วันนั้นบ้าง วันนี้บ้าง จึงมีวันเกี่ยวกับการกระทำขนมไหว้ เรื่องนั้นบ้าง เรื่องนี้บ้างบ่อยๆ เช่น ในฤดูเดือนยี่เค้าเรียกว่าขนมอี๋ ขนมทำด้วยแป้งต้มด้วยน้ำตาล กินกันทั่วไป และวันอื่นก็กินเรื่องอื่นกันต่อไป ในฤดูหนึ่งก็ไหว้พระจันทร์ ขนมไหว้พระจันทร์อันเล็ก อันใหญ่ ทำกันครึกครื้น ชาวบ้านชาวเมืองก็ซื้อไปไหว้พระจันทร์ พระจันทร์ก็ไม่ลงมากินหรอก แต่คนที่ไหว้ก็ยกมากินกันต่อไป ซึ่งเป็นอุบายของคนโบราณที่ฉลาด คือ หาเรื่องให้คนได้กินนั้น กินนี่กันบ่อยๆ
ชาวอินเดียนี่ก็เหมือนกัน คนอินเดียเหมือนไม่ค่อยสมบูรณ์เท่าไร แต่ในทางศาสนาเค้าก็มีเรื่องที่จะให้ได้กินกันปีหนึ่งหลายวันเหมือนกัน ให้กินนั่น กินนี่ ทำอาหารอย่างนั้น ผลไม้อย่างนี้ มีอยู่วันหนึ่งที่ทุกบ้านจะต้องเอาอ้อยไปไหว้เจ้าแม่อะไรก็ไม่รู้ อ้อยขายดีมาก ที่เมืองพาราณสีมีอ้อยกองเป็นพะเนิน คนไปซื้อคนละรำสองรำเอามาบ้าน แบกอ้อยกันมาเป็นแถว เพื่อหอบเอาไปไหว้เทพเจ้าองค์นั่นชอบกินอ้อย ลูกศิษย์ก็เลยกินอ้อยต่อไป ไหว้เสร็จแล้วก็เอามาหั่นเป็นฟั่นแจกลูกแจกหลาน ลูกหลานก็ได้กินอ้อยกัน นับว่าเป็นการส่งเสริมชาวไร่อ้อยให้ได้ปลูกอ้อยกันมากๆ ปลูกอ้อยพอถึงวันนั้นก้อได้ขายกัน เป็นอ้อยที่กินได้ ไม่ใช่อ้อยสำหรับทำน้ำตาลทราย อันนั้นมันแข็งกินไม่ไหว แต่อ้อยประเภทกินได้ก็ปลูกกัน ขายกัน ก็เป็นวันกินอ้อยกัน และก็มีวันกินอะไรอื่นอีกหลายเรื่อง ก็ดีเหมือนกัน
เมืองไทยเรานี้ก็รับวัฒนธรรมทั้งสองฝ่าย รับมาจากอินเดียบ้าง รับมาจากจีนบ้าง รับมาจากฝรั่งบ้าง มีเรื่องให้กินหลายเรื่อง วันนั้นกินนั่น วันนู้นกินนู้น เราก็กินกับเค้าทั้งนั้นไม่ว่าตรุษไทย ตรุษจีน ตรุษฝรั่ง คนไทยก็ไปสนุกกับเค้าทุกตรุษ แล้วก็ได้กินกับเค้าด้วย ก็เป็นเครื่องสมานไมตรีต่อกันและกัน ทำให้เกิดความรักสามัคคีร่วมแรงร่วมใจกัน ได้ประโยชน์อยู่เหมือนกัน แต่สภาสังคมสงเคราะห์มีความคิดว่าในรัฐธรรมนูญของประเทศไทยควรจะเขียนไว้ด้วยว่าพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ ความจริงก็ไม่ได้จำเป็นอะไรที่จะเขียนในรัฐธรรมนูญ เพราะรัฐธรรมนูญไม่ใช่ของถาวร เดี๋ยวก็ล้มกันบ่อยๆ ทำลายกันบ่อยๆ ประเทศไทยเป็นประเทศที่ใช้รัฐธรรมนูญเปลืองที่สุดในโลก เพราะตั้งแต่เปลี่ยนการปกครองมาก็ร่างรัฐธรรมนูญกันหลายฉบับ แล้วก็ทำลายกันมาเรื่อยๆ จึงไม่เห็นว่าจำเป็นอะไรที่จะเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญว่าพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติไทย เรื่องที่ควรทำไม่ใช่การเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญ แต่ควรจะช่วยกันปลุกระดมให้คนไทยที่เรียกตัวเองว่าเป็นชาวพุทธเข้าใจพุทธศาสนาถูกต้อง รู้จักพุทธศาสนาถูกต้อง และให้ปฏิบัติตามหลักพระพุทธศาสนาในชีวิตประจำวัน ในการทำงาน และสังคม ให้เอาหลักพระพุทธศาสนาไปใช้ในชีวิตประจำวันจะดีกว่าไปเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญ ก็เพียงแต่เป็นศาสนาประจำชาติไม่ได้ เพราะคนไม่รู้จักพุทธศาสนา และไม่รู้ว่าจะปฏิบัติตนอย่างไรจึงจะเรียกว่าเป็นชาวพุทธ ในรัฐธรรมนูญเขียนไว้ก็เท่านั้นเอง ไม่มีความจำเป็นอะไร แต่คนบางคนมีความคิดสุดโต่ง เรียกว่าเอียงไปทางไหน ก็เอียงไปทางนั้นเลย จะให้ทำไว้อย่างนั้น อาตมามองเห็นว่าไม่จำเป็นขนาดนั้น เพราะในเมืองไทยเรานั้นไม่ได้นับถือเพียงศาสนาเดียว มีการนับถือหลายศาสนา ในรัฐธรรมนูญก็บอกไว้ว่าคนไทยมีเสรีภาพในการนับถือศาสนา หรือลัทธิอะไรก็ได้ที่ไม่เป็นพิษเป็นภัยแก่สังคม เปิดโอกาสไว้กว้างให้คนเลือกนับถือศาสนาอะไรก็ได้
ประเทศอเมริกาก็เป็นประเทศใหญ่ในระบบประชาธิปไตยก็ไม่ได้เขียนไว้ในรัฐธรรมนูญว่าศาสนาคริสต์เป็นศาสนาประจำชาติ เพราะถ้าเขียนไว้อย่างนั้นคนนับถือศาสนาอื่นก็ทำผิดรัฐธรรมนูญ ทำให้เกิดปัญหาได้ เพราะผิดกฎหมายสูงสุดของชาติ แม้อเมริกาจะเป็นคริสตัง คริสเตียน แต่หลายนิกาย นิกายย่อยๆ มีตั้งสองสามร้อยนิกาย จะไปบ่งเอานิกายใดก็ไม่ได้ แม้ในโรงเรียนรัฐบาลของอเมริกาก็ไม่มีการบัญญัติไม่ให้สอนศาสนา เพราะว่ามีหลายศาสนาเหลือเกิน ไม่รู้จะสอนศาสนาอะไร นิกายใด และคนที่อพยพมาจากประเทศยุโรปนั้น อพยพมาก็เพราะเรื่องศาสนา มีปัญหาเรื่องศาสนา ในยุโรปเกิดเป็นสองนิกาย คาทอริกเป็นนิกายดั้งเดิม แต่โรมันคาทอริก และโปเตสแตน เรียกว่าเป็นฝ่ายค้านเกิดขึ้น เพราะนักบวชชาวเยอรมันชื่อ Martin Ruther ไปเมืองโรม และไปเห็นนักบวชประพฤติตนไม่เรียบร้อย เลยตั้งนิกายใหม่ขึ้น ถ้าคนนิกายไหนปกครองบ้านเมือง คนที่ไม่นับถือนิกายนั้นก็เดือดร้อน เช่น คาทอริกปกครอง โปเตสแตนก็เดือดร้อน โปเตสแตนขึ้นปกครอง พวกคาทอริกก็เดือดร้อน พวก IRA ที่วางระเบิดกันบ่อยๆ ในประเทศอังกฤษก็เพราะเรื่องศาสนา ศาสนาที่นั่นเป็นคาทอริกส่วนน้อย โปเตสแตนส่วนมาก เลยรังเกียจรังแกกันอยู่ตลอดเวลา เพราะไม่เข้าถึงธรรมะของศาสนา จึงเกิดปัญหาขึ้น
ประเทศไทยเราอยู่กันเรียบร้อย ไม่มีปัญหาอะไร ปัญหาศาสนาไม่มีในประเทศไทย อยู่กันสบายมาก เพราะพื้นฐานปกติก็เป็นชาวพุทธ ชาวพุทธมีนิสัยใจคอกว้างขวาง ไม่รังเกียจรังงอนกับศาสนาใด เราไม่รังเกียจศาสนาใดๆ ที่มาเผยแผ่ในเมืองไทย ทางใต้พี่น้องอิสลามกับชาวพุทธอยู่กันปกติ ที่วุ่นวายไม่ใช่เรื่องชาวบ้าน แต่เป็นเรื่องนักกวนเมืองไม่กี่คน ไม่ใช่นักการเมือง เดี๋ยววางระเบิดบ้าง เดี๋ยววางโรงเรียนบ้าง ทำอะไรต่ออะไรต่างๆ มันไม่ใช่เรื่องพุทธศาสนา แต่เป็นเรื่องของคนที่แสวงหาผลประโยชน์ รับจ้างมาจากประเทศตะวันออกกลาง และต้องทำให้ดังไปทั้งโลก ทางนั้นก็ส่งเงินมาให้ เห็นว่าประเทศไทยลำบาก รัฐบาลกีดกั้นมุสลิม เค้าก็ส่งเงินมาให้พวกนั้นก็ได้กินได้ใช้อย่างสบาย ไม่เดือดร้อน โดยปกติคนที่อยู่บ้านติดกันไม่มีเรื่องทะเลาะกัน ไปมาหาสู่กัน ถ้ามุสลิมทำพิธีอะไรเรียกว่าเป็นการบุญทางศาสนา คนไทยก็ไปกินบุญด้วยกัน ไม่ว่าพิธีอะไรไปทั้งนั้น และเอาผัก ผลไม้ ข้าวสารไปช่วย มุสลิมสร้างมัสยิดหลายปีก็ไม่เห็นจะเสร็จ พระสงฆ์องค์เจ้าดูแล้วทนไม่ได้ ก็จัดทอดผ้าป่าเอาเงินไปช่วยสร้างมัสยิด มุสลิมก็ดีอกดีใจว่าพระไปช่วยสร้างมัสยิด เค้าอยู่กันอย่างไม่มีเรื่องอะไร รักกันเหมือนพี่เหมือนน้อง คราวหนึ่งไปเทศน์ที่เกาะสาหร่าย จังหวัดสตูล เป็นเกาะอยู่ในทะเลอันดามัน ที่นั่นคนมุสลิมมากกว่าชาวพุทธ ไปเทศน์ใต้ต้นไทรต้นใหญ่ วันนั้นเป็นวันศุกร์ มุสลิมไปทำพิธีนมัสการพระผู้เป็นเจ้าเสร็จเรียบร้อย หัวหน้ามัสยิดเดินแถวมานั่งเรียบร้อยฟังธรรม หลวงพ่อก็เทศน์ให้ฟัง พอเทศน์จบแล้ว ครูที่เป็นหัวหน้าเข้ามาใกล้ๆ ยกมือไหว้และบอกว่า “ท่านครูนิมนต์ไปดูมัสยิดพวกผมหน่อยว่าเป็นอย่างไร” หัวหน้ามุสลิมพูดกับหลวงพ่อเมื่อไปถึงว่า “นี่ละครับท่านครูหลังคาไม่ไหวแล้ว รั่ว ผุพัง เสียหาย ท่านครูช่วยได้ไหม” และหลวงพ่อบอกว่า “ไม่เป็นไรจะจัดหามาให้” หลวงพ่อก็ไปหาพันเอกปิ่น มุทุกัณฑ์ อธิบดีกรมการศาสนา ว่า “หลังคามัสยิดที่เกาะสาหร่ายชำรุด ทรุดโทรม พวกมุสลิมมาฟังธรรมและเชิญอาตมาไปดูมัสยิด และขอบอกบุญกรมการศาสนา" กรมการศาสนาก็ส่งเงินไปให้ซ่อมมัสยิด วันหลังหลวงพ่อไปเทศน์อีก หัวหน้ามุสลิมก็มาขอบอกขอบใจ เค้าอยู่กันอย่างไม่มีอะไรที่ยุ่งยากเสียหาย มุสลิมบางคนก็ชอบมาคุยธรรมะกับพระบ่อยๆ สนทนากันในแง่ธรรมะ ไม่ใช่ในแง่ลัทธิ เพราะถ้าคุยลัทธิกันแล้วจะเถียงกัน พระพุทธเจ้าท่านสอนว่าอย่าพูดเรื่องอันเป็นเหตุต้องเถียงกัน เพราะถ้าเถียงกันมันจะพูดมาก ถ้าพูดมาก จิตฟุ้งซ่าน ขาดสมาธิ ไม่มีปัญญา เกิดความเสียหาย อย่าพูดกับใจ แต่พูดอะไรที่เข้ากันได้ มองแง่มุมใดที่มันเข้ากันได้ และก็สบายใจ ไม่ยุ่งยากลำบากอะไร หลวงพ่อขึ้นรถไฟจากสุราษฎร์ธานีมากรุงเทพมหานคร และไปนอนในห้องที่มีคนนอนอยู่แล้ว คนนั้นเป็นมุสลิม แต่อยู่หาดใหญ่ มีอาชีพค้าควายและวัวส่งนอก มากรุงเทพมหานครเพื่อมาขออนุญาตส่งวัวและควายปีละเท่านี้ รุ่งเช้าหลวงพ่อตื่นก่อน ส่วนคนมุสลิมนอนข้างล่าง (เตียงนอนสองชั้น) คนมุสลิมก้อถามหลวงพ่อว่า “ฉันอะไรแล้ว ผมมีไก่และน้ำชา” (สำเนียงใต้) จากนั้นก้อถวายให้หลวงพ่อ และมีการสนทนากัน ถามหลวงพ่อว่า “ท่านเคยไปหาดใหญ่ไหม วันหลังถ้าไปอีกขอเชิญท่านไปที่บ้านหน่อย อยู่ใกล้มัสยิด ตรงทางรถไฟ” คนมุสลิมไม่ได้รังเกียจรังงอนว่าหลวงพ่อเป็นพระ พูดคุยกันเข้าใจได้ เมืองไทยเราอยู่กันหลายศาสนา
แม้องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นพุทธมามกะที่เคร่งครัด ทรงปฏิบัติธรรม มีทศพิธราชธรรมในพระหฤทัยตลอดเวลา ศึกษาและปฏิบัติธรรมะ ครั้งหนึ่งพระองค์ไปอำเภอไชยา ท่านพระพุทธทาสภิกขุได้มาต้อนรับในฐานะเป็นเจ้าอาวาสวัดพระธาตุไชยา เมื่อพระองค์ถวายของแล้ว ยังสนทนาธรรมกับเจ้าอาวาสและเจ้าคณะจังหวัดถึงครึ่งชั่วโมง คุยกันนานจนข้าราชการที่ตามเสด็จกระวนกระวาย เกรงว่าโปรแกรมผิดพลาด ท่านพระพุทธทาสภิกขุเล่าให้หลวงพ่อฟังว่า “ไม่นึกเลยว่าในหลวงจะทรงตรัสว่าคนไม่รู้จักธรรมะ ไม่เข้าใจธรรมะ ถ้าข้าราชการไม่รู้ธรรมะและไม่ประพฤติธรรม บ้านเมืองจะวุ่นวายไม่สงบสุขสับสน อยากให้ทุกคนเข้าถึงและปฏิบัติธรรมะ เพื่อให้ชีวิตและการงานดีขึ้น” พระองค์ท่านรู้สึกว่าประเทศไทยขาดคุณธรรม ไม่ค่อยนำธรรมะไปใช้กันในชีวิต การงาน และความเป็นอยู่ และพระองค์ท่านยังหารือวิธีการทำอย่างไรให้ประชาชนเข้าถึงธรรมะของศาสนาที่ตนนับถือ แสดงว่า ในหลวงทรงทราบสถานการณ์ชัดเจน และทรงทราบว่าเหตุอยู่ที่ไหน จะแก้อย่างไร วันนั้นท่านเจ้าคุณพุทธทาสได้เทศน์เรื่องธรรมะ 30 นาที ในหลวงทรงฟังแล้วเข้าพระทัยในความหมายของธรรมะว่าเป็นอย่างไร ความเจริญในทางตกต่ำมากขึ้น แต่ความเจริญทางสูงมันน้อยลง บ้านเมืองจึงทรุดลงไปเรื่อยๆ ดังนั้น จะเขียนว่าพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติไทยในรัฐธรรมนูญจะช่วยไม่ได้ คนที่ต้องการให้เรื่องนี้เกิดขึ้นโดยส่วนตัวเป็นชาวพุทธก็จริง แต่ในความเชื่อไม่เป็นพุทธบริษัท มีความเชื่อไสยศาสตร์ ของขลัง ซึ่งไม่ใช่พุทธศาสนา เพราะผู้ที่เป็นหัวหน้ายังไม่เข้าถึงพุทธศาสนาอย่างถูกต้อง ทำให้เกิดปัญหา คนที่อยู่ศาสนาอื่นจะไม่พอใจ เพราะชาวมุสลิม หรือชาวคริสเตียนจะคิดว่าตนไม่ใช่คนไทยหรืออย่างไร อย่าไปเขียนอะไรที่จะสร้างปัญหาบ้านเมืองดีกว่า เพียงแต่เขียนว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นพุทธมามกะและเป็นศาสนูปถัมภ์ภพก็พอแล้ว หมายถึง พระองค์ท่านเป็นชาวพุทธและอุปถัมภ์ทุกศาสนา ยกตัวอย่างเช่น สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ได้เคยพระราชทานที่ดินแถวสาทรให้ชาวคริสสร้างโบสถ์คริสต์ ซึ่งเป็นความเอื้อเฟื้อทางพระพุทธศาสนา และมิชชั่นนารีที่มาเผยแพร่ศาสนาก็ไม่ถูกรังแกหรือกีดกัน เด็กไทยก็ยอมเสียเงินเข้าโรงเรียนคริสต์ ผู้ปกครองไม่กลัวที่ลูกหลานจะไปเป็นคริสเตียน เราต้องหาวิธีสร้างความเชื่อทางพุทธศาสนาให้แก่ประชาชน ช่วยกันเผยแผ่หลักธรรมะที่ถูกต้องให้แก่ประชาชน ช่วยกันปฏิบัติตามหลักธรรมะของพระพุทธเจ้า เพื่อให้ชีวิต การงาน และความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ความสุขในสังคมก็จะดีขึ้นตาม
นักสมาคมในประเทศไทยที่ตั้งมาหลายปีเป็นสมาคมชาวพุทธแก่ๆ ไม่ค่อยได้พัฒนา ไม่ทันสมัย ทำงานแบบคนแก่เข้าวัด ประชุมทุกปี และคนที่ไปประชุมก็เป็นคนเดิม คนบริหารสมาคมก็เป็นไปตลอดจนแก่ ไปประชุมก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เสนอนั่นนี่ในที่ประชุมแต่ก็ไม่ได้ทำอะไร ประโยชน์ที่ควรทำก็มี กิจกรรมที่ควรทำก็มากมาย เช่น มีจดหมายขอส่งนักเรียนมาเข้าค่ายคุณธรรมแล้วเวลาเด็กกลับบ้านมีพฤติกรรมดีขึ้น พ่อแม่มาขอบใจที่ทำให้ลูกมีความประพฤติเรียบร้อย ใช้เงินแบบประหยัด หลายๆ โรงเรียนที่ส่งมาส่วนใหญ่เป็นนักเรียนพุทธ และส่วนมากเป็นลูกคนมีเงิน เด็กที่มาจะค่อนข้างหยิ่ง เวลาไม่พอใจทุบห้องน้ำ บาทหลวงเดือดร้อนเลยต้องส่งมาเข้าค่ายคุณธรรม ชุดแรกขับรถมาเต็มวัดเลย พอถึงเวลาเข้าห้องประชุมพระพูดก็ไม่ฟัง เวลากินอาหารก็ไม่กิน นั่งเฉย ไม่ถูกใจเอามือทุบโต๊ะ “เอาอะไรมาให้พวกผมกิน กินไม่ได้ ทำไมไม่สั่งซื้อจากตลาดมาให้พวกผม” พระบอกว่า “เงินไม่มี เราต้องการเอาพวกเธอมาฝึกฝนอบรมตนเองให้ประหยัดอดออม มีความอดทน มีความหนักแน่น” ถึงยอมกินกัน เวลากลับบ้านก็มีพฤติกรรมดีขึ้น อาตมาเลยบอกว่าเอาพ่อแม่มาอบรมด้วยสัก 2 ชั่วโมงก็พอ เพราะพ่อแม่คือตัวการสำคัญที่ทำให้ลูกเสียผู้เสียคน ตามใจลูก ลูกอยากกินอะไรก็ให้กิน อยากไปไหนก็ให้ไป อยากมีมอเตอร์ไซด์ก็ซื้อให้ขี่จนคอหัก พอมีเงินจะตามใจลูกอย่างนั้นไม่ได้ ตอบสนองให้ถูกทางตามหลักการที่พระพุทธเจ้าว่า “ชมคนที่ควรชม ข่มคนที่ควรข่ม” เราจะไม่ทำกับพวกเธออย่างทะนุทะนอม แต่เราจะขนาบแล้วขนาบอีก คนใดมีความอดทน คนนั้นก็อยู่ได้ คนใดไม่อดไม่ทนก็ไป เอาไม้ทุบให้ได้รูปได้ทรง ไม่ได้ตีให้แตก
ไม่ค่อยมีสมาคม หรือสภามาช่วย ทำให้วัดไม่ค่อยมีเงิน แต่มีพ่อค้าใจดีมาช่วยบูรณะสถานที่ในวัดให้พร้อมเปิดค่ายคุณธรรม มีแต่คนมาให้สร้างวัตถุ เสกพระ ทำพิธีปลุกเสกเดือนกว่า เอาโครงการศาสนาไปขยั้นขยอให้ฟังก็ได้มานิดหน่อย แต่ไม่พอสำหรับการเผยแพร่ศาสนา ถ้าสร้างวัดปัญญานันทารามเสร็จจะเอาจริงเอาจังในเรื่องการปลุกเสกพระ ต้องให้มาอยู่กัน 3-4 เดือน ถ้าสมัครใจทางพุทธศาสนาให้มาอยู่ที่นี่ ไม่ต้องไปสวดมนต์ อ่านหนังสือสนทนาธรรม ถกเถียงกันในข้อธรรมะที่ลึกลับซับซ้อน อะไรไม่เข้าใจก็ไต่ถาม บันทึกไว้แล้วเอามาคุยกัน เพื่อเอามาสนทนากัน ออกพรรษาออกไปธุดงค์กัน ไปสนทนาธรรมกับชาวบ้าน พักกับชาวบ้างๆ กลับมาเข้าพรรษาก็บันทึกไว้ว่าเจออะไรมาบ้าง ชาวบ้านมีความเชื่ออย่างไร มีความเป็นอยู่อย่างไร แล้วเอามาสัมมนา และหาทางแก้ไขปรับปรุงกันต่อไป ต้องมาอบรมธรรมทายาทอย่างจริงจังและต่อเนื่อง แต่เมื่อกลับบ้านไปก็กลับไปเป็นเหมือนเดิม เพราะสมภารไม่ได้เอาพระพุทธศาสนามาสอนต่อ หลายองค์ไม่ทำงานเป็นประโยชน์ส่วนรวม เราต้องช่วยกันสร้างคน สร้างงาน ช่วยกันปลุกพระและญาติโยมให้ตื่นมาทำงานเผยแพร่ธรรมะของพระพุทธเจ้าให้เข้าถึงประชาชน
ดังนั้น มาช่วยกันคิดว่าที่ใดมีการสนับสนุนพุทธศาสนา ก็ให้การสนับสนุน ให้กำลังใจ ดีกว่ามายุ่งกับเรื่องรัฐธรรมนูญ ทำให้สะเทือนใจกัน เดิมอยู่กันมาก็ดีแล้ว ไม่ต้องเป็นศาสนาประจำชาติ แต่ทุกคนเอามาเป็นหลักประจำใจ ประพฤติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าประจำใจตลอดเวลา เดี๋ยวนี้ไม่มีกิจกรรมช่วยส่งเสริมให้ก้าวหน้าเท่าที่ควร คนไทยส่วนใหญ่เป็นชาวพุทธบริษัท เพราะเมืองไทยเป็นเมืองพุทธมานานแล้ว ที่สำคัญคนไทยควรทำตนเองให้เป็นคนพุทธมากขึ้น ให้มีการปฏิบัติเป็นตัวอย่างมากขึ้น และกระทำในสิ่งที่ดีขึ้น ในด้านการเมือง นักการเมืองได้ใช้ธรรมะเป็นหลักในการดำเนินชีวิตนักการเมืองหรือไม่ ทำให้เสียภาพพจน์ เพราะว่าไม่ใช้ธรรมะเป็นหลักอย่างแท้จริง ทำงานอะไรก็เอาตัวเป็นใหญ่ ถ้าถือธรรมะเป็นใหญ่ก็จะถูกต้อง ความชอบธรรมก็เกิดขึ้น เพราะเราได้ยึดธรรมะเป็นหลัก ประชาธิปไตยต้องตั้งอยู่บนฐานธรรมาธิปไตย ถ้าไม่ตั้งอยู่หลักธรรมาธิปไตยก็จะไปไม่รอด มันก็ล้มลุกคลุกคลานไปตามเรื่อง เพราะไม่ได้ใช้ธรรมะเป็นหลักครองใจ ครองงาน ครองคน แต่คนคิดกันไม่ค่อยได้ อะไรขัดกับหลักพุทธศาสนาชวนกันเลิกเสียบ้าง อย่าส่งเสริมอบายมุก เช่น สนามม้า ม้าไม่ได้อยากแข่ง แต่คนไปหวดมัน มีนายทหารคนหนึ่งอยู่ร้อยเอ็ด เลี้ยงม้าตัวหนึ่ง แทงที่ร้อยเอ็ดชนะทุกที คนขอซื้อก็ไม่ขาย จะเอามาแข่งสนามกรุงเทพมหานคร พอมากรุงเทพเข้าแข่ง สตาร์ทม้าตัวนั้นก็นิ่งเฉย ไม่วิ่ง คนเอาแส้หวดก้อเดินเฉย เจ้าของบอกว่าเอาไปแข่งที่ร้อยเอ็ดก็ดีอยู่แล้ว ม้าคงคิดว่าอยู่ดีๆ เอามาวิ่งทำไม กรุงเทพมหานครมี 2 สนาม ผลัดกันเสาร์อาทิตย์ อย่าไปเล่นการพนันในสนามม้า ควรจะหยุดบ้าง เลิกบ้าง แต่เลิกไม่ได้ เพราะเจ้าของคอกม้าเป็นวุฒิสมาชิกอยู่ที่นั่น ไม่มีใครใจแข็งเลิกได้ แต่นายกรัฐบาลพม่าประพฤติธรรม เป็นคนดี ถือศีลอุโบสถ พอเป็นนายกประกาศเลิกสนามม้า เค้าเลิกได้ แต่บ้านเราเลิกไม่ได้ ปิดเสียบ้างเรื่องสนุกสนานเฮฮา เพราะอ้างว่าเดี๋ยวคนจะไม่มีงานทำ ซึ่งทำงานประเภทอื่นก็ได้ ไปทำงานส่งเสริมสิ่งชั่วร้ายทำไม พระพุทธเจ้าห้ามไม่ให้ค้าขายอะไรบ้าง ไม่มีใครเอามาพูด ห้ามค้าขายยาพิษ น้ำเมา เหล้า บุหรี่ อาวุธ และเครื่องประหัตประหาร คนที่ปฏิบัติตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้าคนแรกก็คือ ลินคอน ไม่ได้เป็นชาวพุทธ ประกาศเลิกทาสในอเมริกา เช่น เกษตรกร ทำไร่ ทำนา เป็นต้น อเมริกาบรรทุกเรือขนคนจากแอฟริกา ผูกข้อเท้า 3 – 4 พันคนมายืนเรียงแถวประมูลกัน เหมือนซื้อวัว ควาย และม้า ทาสหญิงแพงกว่าทาสชาย เพราะเกิดลูกได้ แล้วเอาไปใช้งาน บังคับเคี่ยวเข็ญให้ทำงานต่างๆ ไม่มีโอกาสลืมตาอ้างปากอะไร ลินคอนเห็นแล้วว่านี่ไม่ใช่มนุษย์ ไม่ใช่คนเจริญ ไม่ใช่ผู้ดีมีอารยธรรม เพราะยังเอาคนเป็นทาส ประกาศกฎหมายเลิกทาส ถึงขั้นรบกัน เพราทางใต้มีทาสมาก จึงรบกับทางเหนือ ธรรมะชนะไม่มีทาสแล้ว แต่บาปกรรมของคนอเมริกันที่คนมาเป็นทาส เพราะสร้างปัญหามาก ตรงไหนที่คนผิวดำอยู่ บ้านเมืองสกปรกรกรุงรัง รู้ทันทีว่าคนดำไม่เรียบร้อย ที่ดินก็ราคาตกเพราะคนดำอยู่ คนขาวไม่เข้าไปอยู่ นักร้อง นักมวย นักกีฬาส่วนใหญ่เป็นคนผิวดำ ร่างกายสูงใหญ่แข็งแรง ประธานาธิปดีวอร์ชิงตันได้ให้โอกาสคนผิวดำมาช่วยทำงานทางการเมือง เพราะเป็นบาปที่ทำไว้กับคนผิวดำ อเมริกาจึงรับกรรมอยู่เวลานี้ คนอังกฤษก็รับบาปอยู่เหมือนกัน เพราะไปปกครองเมืองขึ้นไว้ทั่วโลก เดี๋ยวนี้คนที่เป็นเมืองขึ้นก็เฮกันเข้าประเทศอังกฤษเพื่อทำมาหากิน โดยเฉพาะอินเดียบอกว่าต้องไปเอาคืนอังกฤษ ก็ไปอยู่อังกฤษ กฎหมายใดบ้างที่ให้สิทธิคนอังกฤษ คนอินเดียรู้หมด แต่อินเดียไม่รู้เรื่องเสียภาษีเลย รู้แต่สิทธิจะเอา ไม่ทันไรก็ซื้อตึก ซื้อบ้าน เปิดโรงแรมเล็กๆ อังกฤษก็ลำบาก
ทั้งทางการเมืองไทยปรากฏผล เราได้รับอำนาจมาอย่างไร ไปทำรัฐประหารรัฐบาลนี้ อีกรัฐบาลก็มาทำรัฐประหาร เมืองไทยเราหักหลังรัฐประหารกันมาเรื่อยๆ บาปเวรทำกันมาเรื่อยๆ ไม่จบ ก็อยากให้จบเสียที รัฐบาลคุณชวนขอให้อยู่นานๆ อย่ามีใครทำรัฐประหารเลย จะได้หักวงล้อแห่งความหมุนเวียนที่ไม่ถูกต้องเสียที บ้านเมืองจะได้เรียบร้อย ช่วยกันคิดและอธิษฐาน อะไรก็จะดีขึ้น พูดมาก็พอสมควรแก่เวลา
- ปาฐกถาธรรมประจำวันอาทิตย์ที่ ๒๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๓๗