แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ณ บัดนี้ ถึงเวลาของการฟังปาถกฐาธรรมะ อันเป็นหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนาแล้ว ขอให้ทุกท่านอยู่ในอาการสงบ อย่ามัวเดินไปเดินมา นั่งพัก ณ ที่ใดที่หนึ่ง ที่สามารถจะได้ยินเสียงจากเครื่องขยายเสียงชัดเจน และตั้งใจฟังด้วยดี เพื่อให้ได้ประโยชน์จากการมาวัดตามสมควรแก่เวลา วันนี้เป็นวันอาทิตย์แรกของเดือนสิงหาคม ตรงกับวันที่ ๗ สิงหาคม ขึ้น ๑ ค่ำเดือน ๙ เดือน ๘ ผ่านพ้นไปแล้ว พระอยู่จำพรรษามาได้ ๑๕ วันแล้ว แล้วก็ถึงเดือน ๙ ขึ้น ๑ ค่ำเดือน ๙ แล้วก็ถึงเดือน ๑0 แล้วก็เดือน ๑๑ ออกพรรษา
วันเวลานี้ มันผ่านไปอย่างรวดเร็วไม่มีการชักช้า ผ่านไป ๆ ตามปกติของเวลา เวลาที่ผ่านไปนั้นไม่ได้ผ่านไปเฉยๆ แต่ว่าฉุดฆ่าพวกเราทั้งหลายไปด้วย จึงมีคำกล่าวด้วยว่าเวลานี้มันกินตัวเอง แล้วกินสรรพสิ่งทั้งหลายที่มีอยู่ในรูป คนเราก็ถูกเวลากินเอาไปเหมือนกัน วัตถุสิ่งของก็ถูกเวลากินเอาไปเหมือนกัน คำว่ากินนั้นหมายความว่าทำให้สิ่งทั้งหลายเปลี่ยนแปลงไป เช่น ชีวิตของเรานี้ก็เปลี่ยนไปตามเวลา เวลาล่วงไปชีวิตก็เปลี่ยนแปลงไป แก่ขึ้นแก่ขึ้น แล้วก็แก่ลง แก่ลง แล้วผลที่สุดก็แตกดับไปตามธรรมชาติของสิ่งทั้งหลาย ชีวิตเป็นอย่างนี้
เพราะฉะนั้นมนุษย์ถึงเวลาแล้วควรจะได้ใช้ชีวิตให้เป็นประโยชน์ด้วยการคิดดี พูดดี ทำดี คบคนดี ไปสู่สถานที่ดี ๆ ด้วยตนและชวนคนอื่นให้ทำเช่นนั้นด้วย เราจะต้องช่วยกันชักลากสังคมให้เป็นไปในทางที่ไม่เสื่อม แต่เป็นไปเพื่อความเจริญฝ่ายเดียว การที่จะทำให้สังคมไม่เสื่อมนั้น จะต้องชักจูงเพื่อนฝูง มิตรสหาย ให้หันหน้าเข้าหาธรรมะ จูงคนใกล้ ๆ ให้หันหน้าเข้าหาธรรมะ เช่น คนในครอบครัว พ่อจูงแม่ แม่จูงพ่อ พ่อแม่จูงลูก คนใช้ภายในบ้าน ให้ได้ช่วยกันประพฤติธรรม ถ้าทุกคนที่อยู่ในบ้านประพฤติธรรม บ้านนั้นก็กลายเป็นสวรรค์ไป เป็นวิมานไป คนที่อยู่ก็มีแต่ความสุข ความเจริญ ไม่มีความเสื่อม แต่ถ้าว่าไม่ได้ประพฤติธรรมกัน ชีวิตก็ตกต่ำ มีปัญหา มีความทุกข์ มีความเดือดร้อนกัน ด้วยประการต่าง ๆ
บรรดาปัญหาทั้งหลายที่เกิดขึ้นในชีวิต ในการงานในสังคม ตลอดจนถึงชาติและลูก ไม่ได้เกิดขึ้นจากอะไร เกิดจากบุคคลไม่มีธรรมะเป็นหลักครองใจ มีแต่กิเลสครองใจ พระไม่ได้เข้าไปคุ้มครอง แต่มารเข้าไปคุ้มครองก็เกิดปัญหากันด้วยประการต่าง ๆ เช่น บางประเทศ รบกันไม่หยุด รบกันมานานแล้ว รบกันเป็น 10 ปี รบกันทำไม คนเหล่านั้นมันไร้ธรรมะ ไม่มีศาสนา ไม่มีเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ จึงได้รบราฆ่าฟันกันแล้วก็ไม่มีเวลาจะคิดว่ารบกันทำไม รบกันเพื่ออะไร รบกันแล้วมันจะได้อะไรขึ้นมา เขาไม่ได้คิดอย่างนั้น คิดแต่ว่าจะรบท่าเดียว กูต้องชนะ แพ้ไม่ได้
เหมือนกับสมัครผู้แทน ต่างคนต้องต่างพูดว่า แพ้ไม่ได้ ต้องชนะ มันบังคับได้เมื่อไหร่ ไม่ใช่เลือกเอง ต้องให้ชาวบ้านเลือก ถ้าชาวบ้านเขาชอบมันก็ได้ ถ้าไม่ชอบมันก็ไม่ได้ แล้วเหตุที่จะให้ชาวบ้านชอบก็หลายเรื่อง ทำเรื่องเหล่านั้นรึเปล่า เหตุมันสมควรกันรึเปล่าจะไปบังคับกะเกณฑ์เอาไม่ได้ วันนี้เขาก็เลือกผู้แทนกัน โน้น นครพนม ไม่ว่าฝ่ายไหนชนะสักฝ่าย ฝ่ายแพ้ก็ซบเซาเหงาหงอย ฝ่ายชนะก็ร่าเริง เหล้าหมดไปหลายขวดเมื่อคืนนี้ หัวคะแนนมากินกัน ก็อยู่กันอย่างนั้นล่ะไม่ค่อยเอาเรื่องถูกต้องเท่าไหร่ เพราะว่ามันเป็นเรื่องกิเลส เรื่องการบ้านการเมือง นี่ถ้าทำไม่ถูกก็กลายเป็นกิเลสไป แต่ถ้าทำถูกก็กลายเป็นเรื่องที่ดีงามสร้างสรรค์ชีวิตของคนในชาติให้มีความเจริญก้าวหน้าพัฒนาต่อไป เรื่องมันเป็นอย่างนั้น ไม่อยากพูดเรื่องการบ้านการเมือง เดี๋ยวเขาจะว่าพูดเรื่องการเมืองอีก มาพูดเรื่องในครอบครัวเราดีกว่า
นั้นเดินไปไหนล่ะ พวกหนูๆ ที่หิ้วๆ รุงรัง เดินกันไปไหน แวะนั่งพักซะก่อน (6.03 ฟังไม่ทัน) ขึ้นมาแถวนี้ก็ได้ที่นั่งว่าง ๆ เยอะ เข้ามานั่งใกล้ ๆ จะได้เห็นหน้า เห็นตากัน มาเที่ยวเดินไปเดินมา มันก็ไม่ได้เรื่องอะไร มาวัดไม่ใช่มาเดิน มาศึกษา มาหาความรู้ ความเข้าใจ ไปนั่งซะที่ใดที่หนึ่งไม่ต้องรีบร้อน ของถวายพระ พระไม่ไปไหน นั่งคอยอยู่แล้ว
เดือนนี้เป็นเดือนที่สำคัญเดือนหนึ่ง เพระว่าเป็นเดือนที่มีวันเกี่ยวกับวันคล้ายวันประสูติของสมเด็จพระบรมราชินีนาถ เรียกว่าวันเฉลิมพระชมน์พรรษาของสมเด็จพระบรมราชินีนาถ คือวันที่ ๑๒ สิงหาคม วันที่ ๑๒ สิงหาคม เป็นวันที่ชาวบ้านชาวเมืองเขาก็ปลื้มอก ปลื้มใจในการที่ท่านเกิดมาในแผ่นดินนี้ แล้วก็ใช้ชีวิต ความรู้ ความสามารถ ให้เป็นประโยชน์แก่ชาติ แก่บ้านเมือง ทรงปฏิบัติหน้าที่เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขแก่ผู้อื่นทุกประการ ไม่เห็นแก่เหน็ด แก่เหนื่อย ทรงร่วมงานกับสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระราชโอรส พระราชธิดา ทำงานด้วยกัน สร้างสรรค์สิ่งที่เป็นความสุข เป็นความเจริญให้เกิดขึ้นในชาติในบ้านเมือง หลายแง่หลายมุม พวกเราทั้งหลายที่เป็นพสกนิกรอยู่ในประเทศนี้ก็นึกถึงคุณงามความดีของพระองค์ท่าน แล้วก็ได้ทำการอะไรที่เป็นประโยชน์กันหลายเรื่อง หลายอย่าง มีการโฆษณาชักจูง ให้ทำนั่น ทำนี่ ซึ่งล้วนแต่เป็นประโยชน์แก่ส่วนรวมทั้งนั้น และก็มีกิจกรรมอันหนึ่ง เรียกว่า วันแม่ เกิดขึ้น วันแม่นี่สมัยก่อนมันเดือน เมษายน ไม่ใช่เดือน สิงหาคมแต่ว่าเลื่อนมาเป็นเดือนสิงหา เพราะเป็นวันตรงกับวันเฉลิมพระชนม์พรรษาของสมเด็จพระบรมราชินีนาถ
วันแม่นี่ความจริงประเทศเอเชียเราไม่ต้องมีวันพ่อ วันแม่ก็ได้เพราะสิ่งทั้งหลายเป็นไปเรียบร้อย ลูกๆ รู้จักพ่อ รู้จักแม่ รู้จักบุญคุญของพ่อแม่ เลี้ยงดูพ่อแม่ให้มีความสะดวกสบายตามสมควรแก่ฐานะ แต่ว่าประเทศตะวันตกนี้มันไม่เหมือนบ้านเรา ยุโรป อเมริกา หรือประเทศแถวลาตินอเมริกามันไม่เหมือนบ้านเรา คือว่าเขาไม่ได้สอนลูกให้มีความกตัญญูกตเวที หลักธรรมในทางศาสนาก็ไม่ได้สอนเรื่องนี้ มันผิดกับธรรมะของพวกตะวันออกเรา พวกตะวันออกเรานั้น ศาสนาที่เกิดในประเทศอินเดีย หรือที่เกิดขึ้นในประเทศจีน เขาสอนเรื่องเกี่ยวกันความกตัญญูกตเวทีมาก ชาวอินเดียนี้ สอนคนให้มีความกตัญญูกตเวที ถ้าเราอ่านเรื่องชาดกอันเป็นนิยายพื้นบ้านที่พระพุทธเจ้าเอามาเล่าให้ภิษุทั้งหลายฟังในตอนบ่าย ก็จะเห็นว่าแต่ละเรื่องนั้น มีเรื่องเกี่ยวกับความกตัญญูกตเวทีมากมาย ทุกเรื่อง ชาดกมีเรื่องแสดงความกตัญญูกตเวทีทั้งนั้น ไม่มีเรื่องนี้ไม่มี มีด้วยกันทั้งนั้น
แปลว่าเขาเห็นความสำคัญของเรื่องความกตัญญูกตเวที เพราะฉะนั้นคนในประเทศเอเชียเรานี้ไม่ทิ้งพ่อแม่ เคารพพ่อแม่ บูชาพ่อแม่ เลี้ยงดูพ่อแม่ ให้ได้รับความสุข ความสบาย คนแก่ ๆ ที่เป็นพ่อ เป็นแม่ ปู่ ตา ย่า ยาย ไม่ค่อยลำบากเท่าใด ไม่ลำบาก เพราะอยู่กับลูกกับหลาน คุณปู่ คุณตา คุณย่า คุณยาย ก็ได้เลี้ยงหลาน ก็มีความสุข สบายใจ ไม่ลำบาก ไม่เดือนร้อน
แต่ว่าตะวันตกมันไม่อย่างนั้น ลูกเขาพอเริ่มโตแล้ว ไม่ค่อยจะอยู่กับพ่อแม่ เขาจะจากพ่อแม่ไปทำมาหากิน แม้จะอยู่กับพ่อแม่เขาก็ไม่ค่อยฟังเสียงพ่อแม่ พออายุ ๑๘ นี่เขาถือว่าย่างเข้าวัยผู้ใหญ่ หรือว่าจบการศึกษาโรงเรียนไฮสกูล เขาก็ถือว่าเป็นผู้ใหญ่แล้ว มีการฉลองกัน เช่นว่าเด็กสอบได้ไฮสกูล เขาก็มีการฉลอง เชิญเพื่อนมากินเลี้ยง ประดับโคมไฟหน้าบ้าน เป็นการประกาศว่าลูกสำเร็จการศึกษา และเมื่อลูกสำเร็จการศึกษาแล้ว ถ้าเขาไม่เข้ามหาวิทยาลัย เขาก็จะไปเที่ยวหางานทำ ไปช่วยตัวเอง ไปพึ่งตัวเอง อันนี้มันก็ดีเหมือนกัน คือทำให้เด็กทุกคนรู้จักช่วยตัวเอง พึ่งตัวเอง แต่มันเสียอีกมุมหนึ่ง เสียตรงที่ว่าเมื่อจากพ่อแม่ไปแล้วเขาไม่ได้คิดถึงพ่อแม่ ไม่ค่อยจะได้มาเยี่ยมเยียนพ่อแม่ ปีหนึ่งจะมาเยี่ยมสักครั้งหนึ่ง คือโน่น วันคริสต์มาส เขาจะมาเยี่ยมพ่อแม่ มากินข้าวด้วยกัน แล้วก็อยู่บ้านสักคืนหนึ่ง แล้วเขาก็ไปต่อไป เพราะฉะนั้นจึงพบว่าคนแก่ในประเทศตะวันตกนี่เหงาหงอยสร้อยเศร้า ไม่ค่อยจะร่าเริง หน้าตาไม่ยิ้มแย้มแจ่มใส ความจริงทางวัตถุเขามีมาก แต่วัตถุไม่ได้ทำคนให้สดชื่นเสมอไป มันสู้ความสดชื่นในครอบครัวไม่ได้ จึงเห็นว่าเป็นคนเศร้าสร้อย หน้าตาไม่เบิกบาน ผิดกับคนเอเชียเราไปดูตามบ้านนอกบ้านนาทั่วๆไป พวกคนแก่ยังมีแววแห่งความสดชื่น ใบหน้ายังมีแววแห่งความสดชื่น ถ้าเราไปชวนพูดชวนคุยแกก็ยินดีปรีดา ต้อนรับขับสู้ พูดจากัน สบายแต่ชาวตะวันตกนี้เราไปชวนพูดชวนคุย เขาก็เฉย ไม่ค่อยอยากจะพูด อยากจะคุยอะไร ดูหน้าไม่สดชื่นเลย ไม่มีความร่าเริงในภายใน จิตใจไม่ร่าเริง แววหน้าไม่ร่าเริง ในตาก็ไม่ร่าเริง น่าสงสาร ไปดูบ้านคนแก่ที่เขาเก็บคนแก่มาไว้มากๆ เห็นแล้วก็น่าสงสาร แม้บางเมืองมีคนแก่ไปเที่ยว เช่น เมืองไมอามี รัฐฟอลิดา คนแก่ไปนั่ง อยู่หน้าโรงแรมน่ะ นั่งกันเต็ม ก็นั่งหน้าเศร้าทั้งนั้นแหละ เดินเข้าไปทักทายปราศัยแกก็ไม่ค่อยยิ้ม ไม่ค่อยร่าเริง แกมีอารมณ์ค้างอยู่ในใจ คือคิดถึงลูก ถึงหลาน แต่ลูกหลานไม่คิดถึงคนแก่ ก็มีความไม่สบายใจ ฝรั่งที่เป็นผู้ที่มีความคิดเห็นในเรื่องเกี่ยวกับสังคมนี้ เห็นว่าสังคมตะวันตกมันขาด ขาดความอบอุ่นสำหรับ ผู้เฒ่าผู้แก่ก็เลยตั้งวันแม่ขึ้น วันพ่อขึ้น วันอะไรต่ออะไรหลายวันนะ ตามใจนะ (13.37 ฟังไม่ออก)
ทีนี้ประเทศไทยเรานั้นมันอยู่ในสังคมลูก ถ้าฝรั่งเขาทำอะไรเราก็ทำด้วยทำตามเขา แต่ความจริงไม่ค่อยจะจำเป็นอะไร ก็เขาก็อยู่กันอย่างนั้น เห็นกันทุกวัน ปฏิบัติดีต่อกันอยู่ทุกวัน ทั่วๆ ไป แต่ว่าเดี๋ยวนี้มันก็มีการเปลี่ยนแปลงบ้างเหมือนกัน โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ ๆ ลูกชักจะเริ่มเหินห่างจากพ่อแม่ เพราะอาชีพมัดตัว การเป็นอยู่ก็ไม่เหมือนเมื่อก่อน เมื่อก่อนนี้มีบ้าน มีที่ดินมาก แล้วก็อยู่กันหลายๆ ครอบครัว ในที่ใกล้ๆ กันไปมาหาสู่กัน มีอะไรก็แบ่งกันกิน แบ่งกันใช้ ไม่มีรั้วบ้านถี่เหมือนกับในเมืองเจริญในกรุงเทพเรานี้ รั้วบ้านแข็งแรง ทำกำแพงแล้วยังเอาเหล็กขึ้นมาติดไว้ข้างบนอีก ประตูหน้าต่างก็เอาเหล็กกั้นทั้งหมด เกิดไฟไหม้ที ออกก็ออกไม่ได้ตายในกองไฟกันบ่อย ๆ นี่เป็นความเจริญ แต่บ้านนอกเขายังไม่เจริญ บ้านบางบ้านมีหน้าต่าง แต่ไม่มีปิดเปิด ประตูก็เอาเสื่อมากั้นๆ ไว้ ไปไหนก็ ซิบ่หยัง ไม่มีใครขโมย เพราะคนในบริเวณนั้นเขาไม่ขโมยกันเอง เข้าช่วยเหลือกัน คนแก่ ๆ ก็นั่งอยู่ใต้ต้นไม้ บ้านนั้นก็มา บ้านนี้ก็มาล้อมวงคุยกัน ไม่ได้เล่นไพ่กันหรอก ยังไม่เจริญเท่าใด แต่ถ้าเมืองเจริญก็นั่งเฉย ๆ ไม่ได้ ก็เล่นไพ่หาความยุ่งให้เกิดขึ้น แต่คนแก่ก็มานั่งคุยกัน นั่ง ๆ ก็พูดออกไปซักคำหนึ่ง คนนั้นพูดซักคำหนึ่ง แต่นั่งได้ตลอดเวลา ตั้งแต่บ่ายจนค่ำ จนมืดแล้วก็จากกัน ต่างคนต่างกลับบ้าน วันพระก็มาวัดกัน ทุกคนมาวัดกันมา มาถือศีล มาฟังธรรม มานอนวัด ก็มากัน มากมาย
เมื่อคืนนี้ไปที่วัดดอนเมืองก็ได้เห็นคนแก่มานอนวัดกันมามากเหมือนกัน แต่ส่วนมากเป็นอุบาสิกา ผู้ชายมี ๔ คนเท่านั้นล่ะ ๔ คนก็ง่องแง่เต็มทีล่ะ ถามว่าโยมอายุเท่าไหร ๗๙ โอ๊ย ยังไม่เท่าไร ยังไม่ถึง ๘๐ ยังแข็งแรงอยู่ ขนาดโยมที่นั่ง นี่ก็ อย่างนี้ มาถือศีล มานอนวัด นอกนั้นเป็นโยมผู้หญิงนั่งเต็มไปหมด มาปาถกฐาให้ฟัง
ก็เห็นว่าเออ ดี คนแก่ได้มาพักผ่อนได้มาคุยกันตามประสาคนแก่ ก็สบาย อย่างนี้มีอยู่มากตามบ้านนอกโดยเฉพาะภาคเหนือนี่ ฤดูเข้าพรรษานี่ พอถึงวันพระมีคนไปนอนวัด วิหารคตที่เขามีไว้รอบๆ วิหารคนเต็ม นอนกันเต็ม ถือศีล กินเจ กันอยู่ที่นั่นล่ะ ถึงเวลาก็ อ้าว ไหว้พระ เข้าไปไหว้ในวิหาร ไม่เข้าในโบสถ์ โบสถ์ก็เล็ก ๆ วิหารก็กว้าง ๆ เข้าไปไหว้พระ ไปฟังธรรม ไปปฏิบัติภาวนากัน วันหนึ่ง คืนหนึ่งแล้วจึงจะกลับบ้านนุ่งขาวห่มขาว เป็นกันอยู่อย่างนั้น และการไปมาก็รถมันไม่ติดไม่ขัดเท่าไร วัดอยู่ในหมู่บ้าน วัดใครของใครเขาก็ช่วยกันดูแลรักษา พอถึงวันพระ ลูกก็เอาข้าวของมาส่ง หิ้วปิ่นโตตามหลังมา อาหารการบริโภคก็เอามาให้ พอรุ่งขึ้นเช้าก็มารับกลับบ้าน เราจะได้เห็นลูกหลานยังเอาใจใส่ มาช่วยส่ง ช่วยรับ เหมือนกับรับเด็กนักเรียนนะ แต่เป็นนักเรียนผู้ใหญ่มาที่วัด ลูก ๆ ก็มารับ เป็นภาพที่น่าดู ได้เห็นแล้วก็รู้สึกว่าเป็นภาพที่ทำให้เกิดความสบายใจ ไม่ปล่อยให้คนแก่เศร้าสร้อยหงอยเหงาเหมือนกับในต่างประเทศอันนี้ดีอยู่ แต่ว่า เพราะมีความโน้มเอียงไปในทางที่ห่างเหินต่อกัน จึงได้ตั้งวันแม่ขึ้นให้คนรู้จักกราบไหว้พ่อแม่ คุณแม่แต่ความจริงก็คุณพ่อด้วย ก็มีวันอีกวันหนึ่งสำหรับพ่อในเดือนเมษายน (18.00 หลวงพ่อพูดผิด)
ทีนี้วันแม่บางโรงเรียนทำวันแม่ เชิญแม่มาเลย มาโรงเรียนให้นั่งเป็นแถว ให้เด็กเอาดอกมะลิเอาไปให้คุณแม่ กราบคุณแม่ คุณแม่น้ำตาไหล น้ำตาไหล บอกเอ๊ย ตั้งแต่มันเกิดมามันไม่เคยไหว้กูเลย มาไหว้นี่น้ำตาไหลนะ บางคนคุณแม่ไม่ได้มา คุณยายมา คุณยายมาก็นั่งรับกราบลูกน้ำตาไหล ไม่ใช่ไหลด้วยอะไร ดีใจ ดีใจว่า เออหลานมากราบ ลูกมากราบ พ่อแม่ก็สบายใจ ตื้นตันใจทำให้เกิดความประทับใจทั้งสองฝ่าย ทั้งแม่และลูก ทั้งยายและหลาน เกิดความรู้สึกอย่างนั้น ก็เป็นเรื่องดี ที่ทำกันเช่นนั้น ก็เป็นเรื่องดี เป็นเรื่องที่เรียกว่าว่าดึงคนให้มาพบกัน ดึงลูกให้มาพบแม่ ดึงแม่ให้มาพบลูก จะได้ช่วยกันเพราะว่าคนบางครอบครัวก็ ลูกไม่ได้ไหว้ ไหว้แม่ไม่เป็น ไม่ได้สอนให้ไหว้ เวลาพามาวัด ก็มองดูลูก มาไหว้พระลูก มันไหว้ไม่เป็น เด็กมันไหว้ไม่เป็น ก็อยู่บ้านไม่เคยไหว้พระ พระที่อยู่ใกล้สุดก็คือพ่อกับแม่นั่นแหละ พ่อกับแม่น่ะ เป็นพระของลูก ลูกต้องไหว้ ที่นี้พ่อแม่ก็ต้องสอนลูกให้ไหว้ ไหว้พ่อไหว้แม่ เวลาลูกไหว้ก็ให้ศีลให้พร เตือนใจ เช่นสอนให้ลูกรู้จักรักษาเนื้อรักษาตัว ให้เป็นคนดีนะลูกนะ เด็กจะไปโรงเรียนมากราบ มาไหว้ เออตั้งใจเรียนนะลูกนะ อย่าเหลวไหลนะ อย่าขี้เกียจนะ วิชาความรู้เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิต พูดบ่อย ๆ มันเข้าหู เด็กได้ยินบ่อย ๆ มันก็คิดได้ แล้วก็รักการเรียนขยันเอาใจใส่ คิดค้นในเรื่องเรียน เขียนอ่าน เป็นการดี
พ่อกับแม่กับลูกได้พบกันบ้าง ได้ทำอะไรกันบ้างมันก็ดี อันนี้เขาเลยได้ทำวันนี้ขึ้น คือ วันที่ ๑๒ วันศุกร์หน้าเป็นวันแม่ พอถึงวันแม่เราก็ต้องนั่งคิด อ๋อ วันนี้เป็นวันแม่ เราควรจะทำอะไรบ้าง ก็ควรจะได้คิดถึงพระคุณของคุณแม่ว่าเรานี่เกิดมาจากใคร ถามตัวเองว่า เออ แกนี่เกิดมาจากใคร ก็เกิดมาจากท้องคุณแม่ คุณพ่อมีส่วนร่วมด้วย แต่ว่าคุณแม่อุ้มท้องถึง ๑๐ เดือน คนที่อุ้มท้องถึง ๑๐ เดือนนี้ ก็คงลำบากพอสมควร และก็คลอดเราออกมา เวลาคลอดลูกก็คงจะลำบาก คงจะเจ็บปวดรวดร้าว แต่ว่าคุณแม่ก็ทนได้ ขอให้ลูกออกมาเรียบร้อย พอได้ยินเสียงลูกร้องแว้ คุณแม่ก็ดีใจ แล้วก็ถามว่า ลูกหญิงหรือลูกชาย ถ้าอยากได้ลูกชาย ก็ว่าชาย โอ๊ย ดีใจมาก ถ้าอยากได้ลูกหญิง ก็บอกว่าหญิง ดีใจ ดีใจทุกที แต่บางทีพ่อแม่บางคนเขาอยากได้ลูกชาย บางคนอยากได้ลูกหญิง ความปรารถนาไม่เหมือนกัน แต่ถ้าได้เหมือนใจก็สบายใจ หรือไม่เหมือนใจ แต่ลูกออกมาเรียบร้อยไม่เสียหาย แม้คุณแม่จะเจ็บจะปวด ก็ไม่มีความทุกข์ เพราะถือว่าเป็นหน้าที่ ที่จะต้องเป็นเช่นนั้น ก็จะต้องเป็นเช่นนั้น ก็ยินดีพอใจ คลอดออกมาเรียบร้อยแล้ว เราได้อาหารจากใคร ก็ได้อาหารจากนมของคุณแม่ นมที่เราได้มาจากคุณแม่นั้น คือ เลือดในอกของคุณแม่ แต่มันกลายเป็นน้ำนมสำหรับเลี้ยงลูก เราได้ดูดน้ำนมจากถันของคุณแม่ ปกติคุณแม่ก็ไม่อยากให้ใครจับ ใครต้องหรอก ตรงนี้น่ะมันเป็นของสงวน แต่ว่าลูกไม่เป็นไร ดูดนมได้ กัดแม่ได้ เด็กบางคนพอฟันขึ้น มันก็กัดนมแม่ แม่เจ็บ แต่ว่าก็ไม่เป็นไร แม่ตีสะโพกเบา ๆ ว่าทำไมถึงกัดแม่ พูดนิดหน่อย ไม่โกรธไม่เคือง คุณแม่นี่ไม่โกรธลูก ไม่เกลียจ พอใจที่จะเลี้ยงดูให้เจริญเติบโต
เรื่องนมแม่นี้ก็เป็นเรื่องสำคัญเหมือนกัน คนในสมัยปัจจุบันนี้ไม่ค่อยจะได้เลี้ยงลูกด้วยนม เลี้ยงลูกด้วยนมกระป๋อง ด้วยนมผงอะไรต่าง ๆ ความสัมพันธ์ทางจิตใจระหว่างแม่กับลูกนั้นมันน้อยลง ไม่เหมือนดูดนมจากถันของแม่ เพราะถ้าดูดนมจากถันของแม่เด็กได้สัมผัสแนบอกแม่ ได้ดูดนมแม่ เพราะนมแม่เป็นอาหารที่ประเสริญที่สุด มีคุณค่า สารอาหาร สมบูรณ์ครบถ้วนทุกประการ เวลานี้แม้ชาติที่เจริญแล้ว เขาก็พยายามโฆษณาให้แม่เลี้ยงลูกด้วยนม แปลว่าคนในโลกนี้ทำหน้าที่แม่ไม่ค่อยสมบูรณ์ คือไม่เลี้ยงลูกด้วยนม ให้ลูกกินนมกระป๋อง กินนมวัว กินนมแพะ จิตใจของเด็กมันก็เป็นวัว เป็นแพะไปพอสมควร เพราะว่าเลือดแพะ เลือดวัว นี้มันเข้ามาอยู่ในสายเลือด มันไม่ค่อยดีเท่าไร ควรจะให้กินนมแม่ คนสมัยก่อนเลี้ยงลูกด้วยนม เลี้ยงจนกระทั้งเติบโต เรียกว่าอุ้มเท้าห้อยไปเกือบถึงดินแล้ว ก็ยังดูดนมคุณแม่กันอยู่ เพราะว่านมยังมีบ้างนิด ๆ หน่อย ๆ หรือบางทีคุณแม่มีลูกคนที่สองเป็นน้อง ไอ้ลูกคนโตก็แอบเข้าไปดูดนมแม่เหมือนกันเพราะว่ายังติดใจอยู่ แต่ความจริงเราจำไม่ได้ โยมจำได้ไหมว่ารสนมของคุณแม่เป็นอย่างไร ไม่มีใครจำได้ หลวงพ่อเองก็นึกไม่ออก จำไม่ได้ ว่านมแม่รสหวาน รสเป็นอย่างไร ก็ไม่รู้ ไม่รู้เรื่อง จำไม่ได้ เขาไม่ให้จำ จำไม่ได้ ไม่รู้ว่ารสชาติเป็นอย่างไร แต่ว่าถ้าดื่มนมกระป๋องนี่ ก็พอจำได้ ก็รู้ว่ารสชาติเป็นอย่างไร กลิ่นมันเป็นอย่างไร จำได้ นมแม่นั้นจำไม่ได้ แต่ว่าเป็นสิ่งที่นอกจากเป็นอาหารของลูกน้อย
แม่เลี้ยงลูกด้วยนม แม้ว่าจะทำงานทำการ ทางการเขาก็ให้เวลา เช่น ให้ถึง เถียงกันในสภาเหมือนกัน เพราะว่าบางพวกจะให้ ๙0 วัน ให้แม่เลี้ยงลูก ๙0 วัน ลางาน ๙0 วันแต่บางว่ามันนานไปเสียหน้าที่การงาน เอาแค่ ๖๐ วันก็พอ บ้างว่า ย่อเข้าไปเหลือเข้าไป ๓๐ ไอ้วัน ๓๐ นี่มันไม่พอหรอก มันน้อยเกินไป กว่าจะไปทำงาน กว่าจะกลับบ้าน รถมันติด เดี๋ยวนี้ เช่นว่า ตอนเที่ยงเอ๊ย มาให้ลูกกินนมหน่อย มันก็มาไม่ถึง รถมันติดกลางทางมันก็ลำบาก จะเอาลูกไปที่สำนักงานก็ไม่ได้ ไม่มีใครดูแล เออ ความจริงราชการก็น่าจะมีนะ เรียกว่าเปิดแผนกเลี้ยงลูกข้าราชการ เอาลูกมาด้วย แล้วก็มีนางพยาบาล มีคนคอยดูแล พอคุณแม่ทำ ทำงานก็รู้สึกว่าคัด คัด ก็เออ ให้ลูกมาดูดเสียหน่อย แล้วก็มาทำงานต่อไป เรียกว่าสงเคราะห์แม่และเด็ก ให้เกิดตามความสะดวกกันทั้งสองฝ่าย อย่างนี้ยังไม่มี ยังไม่มี ราชการไหนทำขึ้น หรือยังไม่มีโรงงานอุตสาหกรรมไหน สงเคราะห์ถึงขนานนั้น มันก็น่าจะมีนะ ไม่ได้เขียนจดหมายไปถึงผู้แทน เปิดผนึกว่าให้ช่วยจัดการเรื่องนั้น ๆ ด้วย เงินทองเยอะแยะเดี๋ยวนี้ มีตั้งมากมายแล้ว มาช่วยสงเคราะห์บ้าง แต่ว่าก็ทำอย่างอื่นก่อน เดี๋ยวนี้ได้เจียดเงินงบประมาณ เลี้ยงเด็กอ่อน คือ เด็กเข้าโรงเรียนอนุบาลทางราชการก็ให้เบี้ยงเลี้ยง ให้เลี้ยงเด็กอนุบาลอยู่อนุบาล ๒ ๓ ๔ ชั้นประถมก็จะตามเลี้ยงต่อไป เลี้ยงต่อไปอีก ๒-๓ ปี เด็กมันกำลังเติบโต ได้นมดี ได้อาหารดี ร่างกายก็จะแข็งแรง มีสุขภาพอนามัยดี มีความฉลาด มาเรียนหนังสือได้เก่ง ๆ
ให้สังเกตอย่างหนึ่ง นักเรียนแพทย์ นักเรียนวิศวะ ลูกคนบ้านนอกธรรมดา ชาวนา ชาวไร่ ไม่ค่อยมี ไม่ค่อยมี แต่ลูกพ่อค้าในตลาดทั้งนั้น พวกหมอนี่ลูกพ่อค้าทั้งนั้น พวกชาวไร่ ชาวนา ไม่ได้เรียนหรอก สมองมันไม่ทันกัน เพระว่าอาหารมันไม่ดีพอ สิ่งแวดล้อมมันก็ไม่ดีพอ เรียนไม่ทันเขา ไม่มีโอกาสจะได้เป็นหมอ เป็นแพทย์ ไม่มีโอกาสจะได้เป็นวิศวกร ซึ่งทำงานก้าวหน้า ไม่ลำบาก เพราะพื้นฐานการเป็นอยู่ผิดกัน ทำให้เกิดความแตกต่างกัน อันนี้เสียหาย เพราะฉะนั้นต้องช่วยให้คนเหล่านั้นได้โอกาสเรียนบ้าง ให้ก้าวหน้าบ้าง เด็กที่เป็นลูกชาวนา ชาวไร่นี้ เรียนอะไรบ้าง เรียนรามคำแหง มากที่สุดเลย เข้ารามคำแหง ที่เด็กที่มาอยู่วัดใส่เสื้อเขียว อยู่วันอาทิตย์ มาช่วยงาน รามคำแหงทั้งนั้น เรียนอะไร นิติศาสตร์ (28.10 ฟังไม่ทัน) เรียนมันก้าวไม่ไกล หลวงพ่อก็อยากจะช่วยเหลือ ให้เด็กบ้านนอกถ้ามันเรียนเก่งอยากให้เรียนหมอบ้าง อยากให้มันเรียนหมอ ให้ทุน มีทุนจะให้แต่ก็ยังไม่ค่อยมี ต่อไปนี้ก็นึกว่าจะประกาศไป จังหวัดพัทลุงนี่ ลูกชาวไร่ ชาวนา แต่เด็กในตลาดไม่เอา พ่อแม่มันรวยแล้ว ไม่ต้องช่วยมันหรอก ถ้าลูกชาวนา ชาวไร่ คนไหนเรียนหนังสือเก่งให้มาสอบเข้าแพทย์ ถ้าสอบได้แล้วก็จะให้ทุนเลี้ยง ให้เงินเดือน อุดหนุนไปเรียนแพทย์ เรียนแพทย์ เรียนจบแล้วต้องมาอยู่ โรงพยาบาลชลประทานสัก ๒-๓ ปี (28.54 ฟังไม่ทัน) ใช้หนี้ เพราะเป็นเจ้าหนี้ ทำอย่างนั้นจะได้สงเคราะห์เด็กบ้านนอกบ้าง มันแพ้กันอยู่ในตัว สมองมันแพ้
ได้พบคุณหลวงคนหนึ่งชื่ออรรถ ลงท้ายอะไรนี้ แกเลี้ยงแพะ รีดนมให้ลูกกิน ถ้านั่งกับคุณหลวงอรรถในรถไฟนะ แกคุยแต่เรื่องแพะ ไม่คุยเรื่องอื่น พบกันในรถไฟตั้งแต่อุตรดิทถ์ไปถึงเชียงใหม่ แกไม่คุยเรื่องอะไร แกคุยเรื่องแพะท่าเดียว แล้วแกบอกว่าลูกผมนะ กินนมแพะทุกคน ทุกคน เช้ากินนมแพะหนึ่งแก้ว เย็นกินนมแพะ เรียนเก่ง สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ทั้งนั้น ได้เรียนสูงๆ เรียนดีๆ ด้วย ก็นมแพะมันช่วยให้สมองดี นมวัวก็เหมือนกัน หรือว่ามันมีอาหารดีนี่ ทำให้ก้าวหน้าในการศึกษาเล่าเรียน มีคนกินแต่ยอดผัก ยอดไม้ อยู่ปักใต้ก็กินแต่แกงไตปลา กินแต่แกงเหลือง มันไม่ช่วยให้สมองดีขึ้นได้เลย มันก็ไปไม่รอด เรียนไม่เก่ง อันนี้เราต้องช่วยให้เขาได้ก้าวหน้าในเรื่องนี้ ช่วยเหลือเขา ให้ก้าวหน้า ต้องให้มีทุน คิดอยู่ อาตมาคิดอยู่ในใจ เพราว่ามีมูลนิธิ พอจะจ่ายได้
กลับไปพัทลุงจะกลับไปประกาศโรงเรียนมัธยม บอกว่าต่อไปนี้นะลูกศิษย์โรงเรียนประจำจังหวัด ใครมีเรียนดี ๆ ครูช่วยบอก ส่งไปสอบเข้าแพทย์ เมื่อได้เรียนแพทย์ เป็นหมอชาวบ้าน ไม่ใช่หมอในตลาด พวกหมอในตลาดนี่ ขออภัย มันคิดแต่จะหาเงินท่าเดียว ทำงานให้หลวง พอหมดเวลาแล้วมันก็คิดจะหาเงินล่ะ คิดหาเงินท่าเดียว ไม่คิดช่วยประชาชนเท่าใด แต่คิดเงินเป็นใหญ่ เพราะหัวมันเป็นพ่อค้า ไม่ได้เป็นหัวคนธรรมดา ทีนี้เราเอาชาวไร่ ชาวนา มันจะได้นึกถึงความยากความจนของพ่อแม่ ของเพื่อนบ้านว่าลำบาก ฐานะไม่ดี เราควรจะไปช่วยเขา อันนี้ต้องสร้าง สร้างจิตใจให้เขา แล้วก็เด็กที่มาเรียนนี่ต้องมาวัดทุกวันอาทิตย์ด้วย วันไหนว่าง ๆ ต้องมาวัด มาพบพระบ่อย ๆ ส่งเสริมให้ ศึกษาเรื่องศาสนา
มีคนหนึ่งเขาเป็นมหา ก็สึกออกไปทำงาน ทำงานสรรพสามิตร แกไม่เมาส่วนมากพวกทำงานสรรพสามิตรจะอดดื่มไม่ค่อยได้ แต่มหานี่แกไม่เมา ลูกเรียนแพทย์ บอกว่าลูกชายผมเรียนแพทย์ มันอ่านแต่หนังสือท่านพุทธทาสอยู่นั้น หนังสือท่านพุทธทาสอยู่ในห้องนอนมันหลายเล่มเลย มันอ่าน มันคุยแต่เรื่องธรรมะของท่านพุทธทาส เออดี ไม่เสียทีเป็นลูกมหาโว้ย มันค่อยก้าวหน้าหน่อย เดี๋ยวนี้มันเรียนจบแล้ว ออกไปเป็นแพทย์แล้ว เป็นแพทย์อยู่โรงพยาบาล สนใจในธรรมะ เลือดพ่อมันเคยอยู่วัด ลูกมันเลยเป็นนักวัดไปด้วย แบบนี้ใช้ได้ ถ้าลูกพ่อเล่นการพนันแล้ว ลูกมันก็หัวการพนัน มันก็เดินตามพ่อ พ่อเป็นเช่นไหน ลูกเป็นเช่นนั้น แม่ก็เป็นเช่นไรก็ ลูกเป็นเช่นนั้น เพราะฉะนั้นพ่อแม่นี่ต้องหลีกเลี่ยงด้วยนะ
ถ้าเราเป็นพ่อเป็นแม่แล้ว ต้องหลีกเลี่ยงสิ่งชั่วร้าย อย่าให้มีสิ่งชั่วร้ายในครอบครัว อย่าให้มีสิ่งเสพติด อย่าให้มีการพนัน อย่าให้มีคนไม่ดีมาเป็นเพื่อน อย่าให้มีการสุรุ่ยสุร่าย อย่าให้มีการเที่ยวกลางค่ำ กลางคืน อย่าเกลียจคร้านการงาน ให้อยู่ในศีล ในธรรม ไหว้พระสวดมนต์ อ่านหนังสือธรรมะ อบรมลูกให้เข้าใกล้พระ เข้าใกล้ศาสนา เขาเรียกว่าทำหน้าที่คุณแม่ถูกต้อง ลูกก็จะได้นึกถึง ความงาม ความดี ของแม่ แล้วก็จะสบายใจ
คนเรานี้อยู่ว่าง ๆ ก็มาเอารูปคุณแม่มาวางข้างหน้า นั่งมาเพ่งดู ดูให้ภาพนั้นมันเคลื่อนไหว้ได้ ดูให้ภาพไหวได้ ให้เคลื่อนไหวได้ ยืนได้ เดินได้ นั่งได้ พูดจาได้ เราได้ยินว่าคุณแม่พูดกับเราอย่างไร สอนเราอย่างไร เราเคยได้ยิน แล้วเราก็มาคิดถึงภาพเป็นวิดีโอในใจของเรา นึกถึงท่าน แล้วก็นึกว่าท่านสอนเราอย่างไร อบรมเราอย่างไร ท่านห้ามเราไม่ให้ทำอะไร นึกถึงสิ่งเหล่านั้น ถ้านึกไปนึกไปนะ น้ำตาจะไหล น้ำตาจะไหล จะตื้นตันใจขึ้นมา มันไหลเพราะอะไร เพราะว่าคิดถึงความดีของท่าน แม้ท่านจะจากไปแล้ว ความดีก็ยังปรากฏในใจของเรา ให้สมองของเรา เรายังนึกได้ แล้วถ้านึกแบบนี้บ่อย ๆ ไอ้สิ่งนั้นจะช่วยห้ามล้อเราไม่ให้ พูดชั่ว คิดชั่ว ทำชั่ว ไม่ให้ประพฤติเหลวไหล เพราะนึกถึงคุณพ่อ คุณแม่
พระพุทธเจ้าท่านเตือนว่า ว่าเมื่อระลึกถึงคนที่ตายจากเราไปแล้ว จงทำบุญ ทำบุญ ทำบุญนั้น หมายความว่าให้ทำดี ให้คิดเรื่องดี ให้ทำเรื่องดีให้พูดเรื่องดี ให้คบคนดี ให้ไปสู่สถานที่ดีๆ ทุกครั้งที่คิดถึงแล้วให้ทำดี คือมันต้องคิดถึงบ่อย ๆ จะได้เป็นเครื่องกระตุ้นใจ เราให้ทำดี แต่ถ้าเราไม่คิดเลย ลืมไปแล้ว ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ลืมพ่อ ลืมแม่ ลืมหมดแล้ว อย่างนั้นมันก็ไม่ได้ ชีวิตจะตกต่ำ หล่นไปง่าย เพราะไม่มีห้าม ล้อไม่มีอะไรเป็นเครื่องกันไว้ไม่ใช้เราตกต่ำ แต่ถ้าเรานึกถึงพระคุณของคุณแม่บ่อย ๆ คุณพ่อบ่อย ๆ นึกถึงอย่างนั้นก็จะช่วย ส่งเสริมกำลังใจ ให้กำลังใจแก่เรา ในการที่จะ คิดเรื่องดี พูดเรื่องดี ทำเรื่องดี ต่อไป มันช่วยได้ เรื่องนี้ช่วยได้ หลวงพ่อเองมีประสบการณ์ในเรื่องนี้พอสมควร
สมัยยังไม่ได้บวชก็นึกถึงคุณแม่บ่อย ๆ แล้วไม่ทำชั่ว ไม่สูบบุหรี่ไม่ดื่มเหล้า ไม่เที่ยวกลางคืน ไม่คบเพื่อนเหลวไหล ไปไหนก็ไปวัด ไปนอนกับพระ หาวัดพัก ไม่ว่าไปเมืองไหน เราไปเป็นกรรมกร ทำงานทำการก็ไปหาวัดพัก ได้คุ้นเคยกับพระไปรับใช้ท่าน ให้ได้รับความสบาย นอนกับพระนี้ สบาย ปลอดภัย ไม่มีอะไร พระท่านช่วยพูด ช่วยสอนเรา เราก็ได้เห็นพระ ได้อ่านหนังสือธรรมะ แล้วก็ได้สำนึกในพระคุณของคุณของคุณพ่อ คุณแม่ แต่นึกถึงแม่มาก พ่อนี้ไม่เท่าไร คือว่าความสัมพันธ์ทางจิตใจ มันก็แปลก สัมพันธ์กับคุณแม่มากกว่าคุณพ่อ ทำไมจึงเป็นอย่างนั้น ค้นหาอยู่เหมือนกัน คือว่าคุณพ่อห่าง คุณแม่อยู่ใกล้ เพราะคุณพ่อนั้น ไปโน้น ไปนี่ ไปธุรกิจ การงานเยอะแยะ ไปโน้น ไปนี่ ไม่ค่อยได้พบหน้าบ่อย ๆ แต่คุณแม่เช้าเห็น เที่ยงเห็น เย็นเห็น เห็นอยู่ตลอดเวลา คุ้นเคย ความโน้มเอียงทางจิตใจก็คล้อยตาม คุณแม่มา คุณพ่อนั้นยังคิดถึงแต่ไม่ซาบซึ้ง เหมือนกับคุณแม่ มันเป็นอย่างนั้น เพราะเราอยู่ใกล้แม่นั่นเอง แล้วคุณแม่ก็คอยเตือน คอยสอน คอยชี้ คอยบอก ในเรื่องอะไรต่าง ๆ คุณยายก็คอยบอก คอยเตือนในเรื่องอะไรต่าง ๆ อยู่ตลอดเวลา สองแรงแข็งขัน ที่ช่วยห้าม ช่วยกันไม่ให้คิดเรื่องเสียหาย ชีวิตมันจะก้าวหน้า ที่ดีอยู่ได้ในปัจจุบันนี้ ก็เพราะพระคุณของคุณแม่นี่ พระคุณที่ได้เคยสอน เคยเตือน เคยชี้ เคยแนะ มันคิดอยู่ในใจ เลยหักห้ามใจ ไม่ให้ทำอะไรที่ เป็นของชั่ว
จึงอยากให้เราที่เป็นผู้ใหญ่ได้ช่วยเด็ก ให้มีความสัมพันธ์ทางจิตใจกับเด็กให้มากแม่ให้มันมีความสัมพันธ์กับลูกให้มาก พ่อก็เหมือนกัน ให้มีความสัมพันธ์กับลูกให้มาก ลูกก็จะได้มีความรู้สึก สำนึกได้ ในบุญคุณที่มีต่อเรา เวลาเราเจ็บไข้ได้ป่วย เป็นเด็กๆ นะ ไปอยู่ที่อื่น ไม่ค่อยสบาย เป็นไข้ แต่เพื่อนบอกว่า คุณป้ามา จะหายแล้ว ลุกขึ้นได้ล่ะ อารมณ์ดีแล้ว ยิ้มแย้ม แจ่มใส เข้าไปหาคุณแม่ ไปก็ได้กินขนม ได้อะไร อะไรต่อะไร จิตใจสบาย เพียงแต่เห็นหน้าก็ใจสบายแล้ว เป็นหน้าที่ที่ทำให้เรามีความสุขกายสบายใจ เห็นภาพเห็นการกระทำ ได้ยินคำพูดก็สบายใจ เป็นเรื่องสำคัญในชีวิตของคนเราทั่วไป แล้วถ้าเราศึกษาชีวิตของคนที่มีเกียรติ มีชื่อเสียงในโลก จะพบว่ามีคุณธรรมข้อหนึ่งคือ รักแม่ เคารพแม่ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นนักรบ เช่น นโปเลียน แกก็รักเคารพคุณแม่ของท่านมาก ไม่ทิ้งแม่ คิดถึงแม่อยู่ตลอดเวลา
พระเจ้าตากสินมหาราช กู้ชาติกู้บ้านเมือง ท่านคิดถึงคุณแม่ เพราะเวลากรุงแตก จากกันเร็ว ท่านก็คิดหนีไปเอาตัวรอดก่อน ไม่รู้ว่าคุณแม่อยู่ไหน เวลากรมพระราชวังบวรไปหาท่าน กรมพระราชวังบวรหนีออกจากกรุงเก่า ลอยเรือมาตามแม่น้ำมาเข้าถึงศรีกรุง ก็คว่ำเรือเอาหัวซ่อนในเรือ เพราะพม่ามันตั้งค่ายสองฝั่งถ้าไปนั่งเรือ มันเห็นตีหัวตาย แล้วก็ลอย พม่านึกว่าท่อนไม้ลอยไป ไม่สนใจ พอพ้นศรีกรุง ก็พลิกเรือขึ้น นั่งเรือพายต่อไปจนมาถึงวัดมหาธาตุ ท่าพระจันทร์ ขึ้นวัดนั่นแหละ พระต้อนรับขับสู้ให้กิน ให้อยู่ อยู่สบาย ท่านจึงนึกถึงบุญคุณของวัดที่มา ก็สร้างวัดมหาธาตุให้เรียบร้อย แล้วก็เดินทางไปราชบุรีไปหาพี่ชาย ก็พบพี่ชาย พี่ชายก็บอกว่าน้องต้องไปหาพระเจ้าตาก พระยาตาก ตอนนั้นยังไม่เป็นพระเจ้าตาก ต้องไปพระยาตาก แต่ว่าก่อนจะไปหาพระยาตากน้องต้องไปสืบให้พบว่าคุณแม่นกเอี้ยงนี่อยู่ที่ไหน เอาไปด้วย ให้เอาแม่ไปด้วย ก็ (40.04 ฟังไม่ทัน) ก็พาไป ไปหาพระเจ้าตาก พาไปด้วย แต่ว่าพอไปถึงค่ายที่พัก ให้คุณแม่นั่งพักนี่ก่อนลูกจะเข้าไปก่อน พอเข้าไปถึงพระยาตากก็บ่น ไอ้พม่านี่มันทำเราเจ็บแสบนัก ทำให้แม่พลัดจากลูก ลูกพลัดจากแม่ นี่ยังไม่รู้เลยว่าคุณแม่อยู่ที่ไหน เจ็บใจนัก ท่านพูดออกมาอย่างนั้น นายทองมา หรือกรมพระราชวังบวรก็บอกว่า ผมพาคุณแม่มาแล้ว เออ อยู่ไหนล่ะ พักอยู่หน้าค่าย ท่านลุกขึ้นมาทันที มากราบคุณแม่ แล้วก็พาคุณแม่เข้าไปพักในค่ายให้อยู่อย่างสะดวกสบาย นี่คนใหญ่คนโตที่มีความเสียสละเพื่อชาติ เพื่อประเทศ เขารักแม่ หวงแม่ เลี้ยงดูแม่อย่างดี ไม่ให้เดือดเนื้อร้อนใจ เป็นอย่างนั้นทั่วไป คนสำคัญของโลกมันจะเป็นอย่างนั้น อ่านประวัติแล้วจะพบว่าเป็นคนรักแม่ ทำอะไรทุกอย่างเพื่อคุณแม่ ตลอดเวลา อันนี้เป็นเรื่องสำคัญประการหนึ่ง
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของชาวเราทั้งหลาย ก็ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ก็ยังคิดถึงพระมารดาซึ่งอยู่ในสวรรค์ชั้นดุสิต จึงเสด็จขึ้นไปสวรรค์ ไปเทศน์โปรดพระมารดา อันนี้ก็เป็นเครื่องแสดงน้ำใจ เวลาพระเจ้าสุทโธทนะ ทรงประชวร ทรงทราบก็เสด็จไปดูแลรักษา นวดเท้าให้ เช็ดตัวให้ เอาน้ำมาให้อาบ ป้อนยาให้ ทำทุกอย่าง เหมือนกับลูกที่ดีที่ทำต่อคุณพ่อของท่าน ก็เหลือพ่อ ทำทุกอย่างแล้วก็บอกกับภิกษุทั้งหลายว่า ภิกษุใดปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้าต้องปรนนิบัติพ่อแม่ ต้องเลี้ยงดูพ่อแม่ให้ได้รับความสะดวกสบาย พระเจ้าสุทโธทนะ สวรรคต พระองค์ สรงน้ำพระศพด้วยพระองค์เอง แต่งศพด้วยพระองค์เอง ทำทุกสิ่งทุกอย่างด้วยพระองค์เองทั้งนั้น เพื่อให้เห็นเป็นตัวอย่างว่า มีความรัก ผู้บังเกิดเกล้าอย่างหนึ่ง
พระสารีบุตรเวลาท่านใกล้จะปรินิพาน พระอรหันต์ท่านรู้ว่าจะนิพพานเมื่อไร ท่านก็กราบทูนลาพระพุทธเจ้า เพื่อไปโปรดมารดา เพราะคุณแม่ยังไม่ได้เป็นพุทธบริษัท ยังถือศาสนาพราหมณ์อยู่ ต้องไปโปรดตอนจะตาย ให้คุณแม่เห็นใจเลยไป พระสารีบุตรไปนิพพานในห้องที่ท่านเกิด เพราะต้องการไปสอนคุณแม่ พอไปถึงก็เทศนาสนทนาธรรมกับคุณแม่นะ โน้มน้าวจิตใจให้คุณแม่มาเป็นพุทธบริษัทแล้วท่านก็นิพพานในห้องนั้น อันนี้เป็นเครื่องแสดงว่าแม้ท่านจะเป็นพระอรหันต์ แต่ท่านก็ยังเคารพคุณแม่ของท่าน ยังอุตส่าห์ไปโปรดเพื่อให้คุณแม่ได้มักผลนิพพาน เป็นการตอบแทนพระคุณด้วยธรรมะ ก็เป็นตัวอย่างให้ชีวิตได้ประการหนึ่ง เป็นอย่างนี้ ตลอดเวลา
องคุลีมาลโจร เที่ยวฆ่าคนพระพุทธเจ้าต้องรีบไปเพราะวันนั้นแม่ขององคุลีมาลจะไปหาลูกชาย เมื่อไปหาลูกชาย ลูกชายมันเลือดเข้าตาแล้ว พอเห็นคนก็จะฆ่า จึงไปหาก่อนไปสอนก่อน ให้เข้าถึงธรรมะ แล้วก็ไปปราบโจรองคุลีมาลด้วยธรรมะ ไม่ต้องยกกองทัพไปปราบหรอก ปราบไม่ได้ แต่ไปปราบด้วยธรรมะ องคุลีมาลทิ้งดาบแล้วก็มาบวชในพระพุทธศาสนา ไม่ต้องฆ่าคุณแม่ที่เข้าไปหาลูกชาย เรื่องก็เรียบร้อย มีมากมายอย่างนี้ สอนไว้ให้คนคิดเป็น พระคุณของมารดาบังเกิดเกล้า
เรื่องเกี่ยวกับมารดานี่สอนไว้มาก ไม่ค่อยได้พูดถึงพ่อเท่าไหร่ แต่ว่าสัมพันธ์กัน ถึงแม่ก็ถึงพ่อล่ะเหมือนคุณมหาคนหนึ่งอยู่ยะลา ลูกมาเรียนหนังสือกรุงเทพ ลูกเขียนจดหมายถึงแม่ทุกเดือน แล้วแกก็ชอบเอาจดหมายนั้นไปอ่านและเล่า ลูกชายท่านมหานี่ ไม่คิดถึงท่านมหาเลยเขียนจดหมายถึงแต่คุณแม่อย่างเดียว มันอยู่ในตัวแล้วมันเขียนถึงแม่ก็เขียนถึงผมนั้นแหละ เพราะแม่ก็ให้ผมอ่าน ผมก็คอยปลื้มใจกับจดหมายของลูกอยู่เหมือนกัน แต่มันไม่ส่งเฉพาะผมเท่านั้นแหละ ส่งให้แม่ แกก็ได้คอยอ่าน แกก็บอกว่าลูกมันคิดถึงผมด้วย แต่มันเขียนถึงแม่มันก็ถึงผมเป็นอย่างนั้น และลูกก็ทำอย่างนั้นต่อแม่ ก็ถึงพ่อด้วยเหมือนกัน
อันนี้เป็นเรื่องที่เราทั้งหลายควรจะได้คิดในวัน ตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงวันแม่ ก็คิดทุก ๆ วันแหละ ก็ให้คิดถึงทุกเช้า ทุกค่ำเช้า เข้านอน ตื่นเช้านั่งนึกถึงบุญคุณของพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย ครูบาอาจารย์ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสถาบันที่เราเคารพบูชา ก่อนจะนอนก็นั่งไหว้พระสวดมนต์ระลึกถึงคุณของแม่ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ดูไว้ให้ชื่นใจ ทุกคืนเราทำอย่างนั้นจิตใจเราก็จะไม่ห่างจากพระคุณของแม่ คนที่ไม่ห่างจากแม่นี้ รับรองว่าเป็นคนเรียบร้อย เป็นคนละอายบาปกลัวบาป เป็นคนที่จะไม่คิดชั่ว ทำชั่ว พูดชั่ว เพราะจิตใจคิดถึงพระของตัวอยู่ตลอดเวลา เอาพ่อแม่เป็นพระในบ้าน คุณปู่ คุณย่า คุณตา คุณยาย ก็เป็นพระของเรา ครูก็เป็นพระของเรา เราก็ต้องนึกถึงสิ่งเหล่านี้เพื่อตอบแทนตามสมควรแก่ฐานะ แสดงมาก็พอสมควรแก่เวลา ขอยุติไว้แต่เพียงนี้