แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
(00.07 เสียงไม่ชัดเจน) พอดีโยมมา โยมมาทำบุญนี้ ลูกสาวโทรศัพท์มาบอกล่วงหน้า แล้วก็ว่าถ้ามาถึงแล้วทำบุญแล้วให้โทรบอกด้วย เขาก็เป็นห่วงลูกสาว แล้วก็เขียนใบเสร็จแล้วโทรบอกมาถึงแล้ว เรียบร้อยแล้ว เลยช้าไปหน่อย อ้าวันนี้ดูครึมๆ หน่อยนะโยมนะ ภายในศาลาดูครึ้มไปเพราะว่าปิดกระจกเสีย ไม่ค่อยมีแสงสว่างอยู่ในสภาพสลัวๆ
วันนี้เป็นวันพิเศษอีกวันหนึ่งที่ทางมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒน์ที่โน้น หาดใหญ่ สงขลา มีความประสงค์จะนำปริญญามามอบให้ ตอนบ่ายเวลา ๑๔ นาฬิกา พวกจึงได้จัดการต้อนรับด้วยการติดผ้าอะไรต่ออะไรเรียบร้อยแล้วก็มีพระมานั่งชยันโต อนุโมทนา 10 รูป ตามธรรมเนียมที่เขาทำกันก็เป็นเรื่องทางโลก เขาจัดเขาทำ เราก็ต้องต้อนรับตามสมควรแก่ฐานะ ก็เป็นความดีงามอันหนึ่งที่ทางมหาวิทยาลัยคิดถึง แล้วก็นำมามอบให้เพื่อเป็นการแสดงน้ำใจว่า มหาวิทยาลัยรู้จักท่านปัญญานันทะ ว่ามีชีวิตอยู่เพื่อได้ทำอะไรที่เป็นประโยชน์แก่ชาติ แก่พระศาสนา ในบ้านเมืองบ้าง เขาจึงได้แสดงความยินดีด้วยการมอบปริญญาให้ ก็ได้มาหลายอันแล้ว เก็บๆไว้ ใส่ตู้ไว้เป็นอนุสรณ์ให้คนชั้นหลังได้ดูได้ชมกันว่าอะไรมันเกิดขึ้น
คนที่ทำงานนั้น ย่อมได้รับผลของงาน ทำดีก็ได้ความดีเป็นธรรมดา ทำไม่ดีก็ได้ความไม่ดีเป็นธรรมดา อันนี้ผู้ที่ทำดีก็มีคนยกย่อง คนทำไม่ดีก็มีคนติเตียนว่ากล่าว อันนี้เป็นเรื่องธรรมดาเป็น “โลกธรรม” ธรรมสำหรับโลกที่มีอยู่ทั่วไปคือได้ลาภ เสื่อมลาภ ได้ยศ เสื่อมยศ ได้นินทา สรรเสริญ สุข ทุกข์ ย่อมถูกบุคคลทั่วไป
พระพุทธเจ้าสอนไม่ให้ยินดียินร้ายในสิ่งที่เกิดขึ้น ได้ลาภก็อย่ายินดีในลาภ เสื่อมลาภก็อย่ายินร้ายในความเสื่อมลาภ ได้ความสุขก็อย่าหลง อย่าเพลิดเพลิน เวลาได้ความทุกข์ก็อย่าหดหู่เหี่ยวแห้งใจ ได้ความสรรเสริญก็อย่าไปยินดี เวลาเขานินทาก็อย่าไปยินร้าย ทำใจให้เป็นกลาง ให้คิดว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา มันไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืนถาวร ย่อมมีความเสื่อมสิ้นไปเป็นธรรมดา เวลามันเสื่อมก็ได้รู้แล้วก็ปลงได้ว่า อ้อ ธรรมดา มันเป็นอย่างนี้อยู่ในโลกมันก็อย่างนั้น มีอะไรเกิดขึ้นบ้างเราก็ต้องทำใจให้รู้ทัน รู้เท่าต่อสิ่งนั้นตามสภาพที่มันเป็นอยู่ จะไม่ต้องเป็นทุกข์ในเรื่องอะไรต่างๆ
คนเราสมัยปัจจุบันนี้มีความทุกข์มาก เวลามีความทุกข์ก็มักจะโทรศัพท์มาปรึกษาในเรื่องเกี่ยวกับความทุกข์ ความเดือดร้อนใจในรูปแบบต่างๆกัน เมื่อเช้านี้ก็มีโทรมาสายหนึ่ง บอกว่าหนูมีความทุกข์ มีความกลุ้มใจ บอกว่า อ้าว คิดว่าอะไร กลุ้มใจเรื่องอะไรไหนลองว่ามาหน่อย บอกว่าหนูนี่เป็นปากเสียงกับสามีบ่อยๆ ที่เป็นปากเสียงกันแล้วหนูทำยังไง หนูทำบุญตักบาตรสะเดาะเคราะห์อยู่บ่อยๆ แต่ว่ามันก็ยังไม่หาย ยังเถียงกัน บอกว่านะมันแก้ไม่ถูก เรามีปัญหาเรื่องในครอบครัว แล้วไปแก้ด้วยการทำบุญใส่บาตร มันแก้ไม่ถูกที่ พระพุทธเจ้าสอนให้เรารู้จักเหตุ แล้วก็ต้องแก้ที่เหตุ อันนี้เหตุที่ให้เกิดปัญหากับสามี หนูรู้ปัญหาไหมว่าเรื่องอะไร ถ้ารู้ก็จะได้แก้ที่ตรงนั้น บอกหลวงพ่อได้ไหมว่าเรื่องอะไร
เขาก็บอกว่าหนูนี้เป็นคนที่เรียกว่าประเภทที่เรียกว่าใจอ่อนขี้สงสารคน แล้วเพื่อนฝูงอะไรก็มาอ้อนออด ขอยืมตังค์ก็ให้ไป ให้ไปแล้วไม่เคยส่งคืน ไม่เคยเอามาให้คืน บอกว่านี่แหล่ะเป็นบทเรียนอันนี้จะไปทำบุญใส่บาตรมันก็ไม่หายหรอก แต่หนูจะต้องเลิกคบคนประเภทนั้นต่อไป ไอ้เพื่อนคนที่ยืมสตางค์แล้วไม่คืนนี้เลิกคบกัน ไม่ต้องพูดจากันต่อไป ถือว่าที่ให้ไปแล้วก็แล้วไป เสียสละไปเลยไม่เอาคืนแต่ว่าจะให้อีกก็ไม่ได้ แล้วเพื่อนคนใดมาขอยืมเงินก็อย่าให้ พูดตรงๆ ว่าฉันไม่มีเงินให้เธอยืม แต่ว่าหากว่าเธอเดือนร้อนเอาไปสักร้อย เอาไป เรียกว่าให้มันไปให้มันลงจากบ้านซะให้ไวๆ ไม่ต้องรำคาญพูดกันบ่อยๆ ให้ไปสักร้อยให้เป็นค่ารถเดินทางกลับบ้าน แล้วก็ไม่มีปัญหา
อันนี้เถ้าเราให้แล้วเราหวังเอาคืน มันก็มีความทุกข์ ให้ไปพันหนึ่ง นึกว่าเขาจะให้คืนมา แต่เขาไม่ให้คืนก็เป็นทุกข์ มีความเดือนร้อนใจ เพราะนั้นอย่าให้ยืม อย่าทำตนเป็นนายธนาคารชอบให้กู้ให้ยืมแล้วไม่ได้ดอกเบี้ยอะไรจากคนที่ยืม ดอกเบี้ยที่ได้รับอยู่ก็คือความทุกข์นั่นเอง กลุ้มอกกลุ้มใจว่าเมื่อไรมันจะมาคืนสักที เมื่อไม่ได้คืนมาก็สามีรู้ก็ต่อว่าต่อขานแล้วก็เป็นปากเป็นเสียงกัน เพื่อไม่ให้เกิดปากเสียงกันต่อไปหนูต้องเลิกคบคนประเภทที่ชอบยืมเงิน อย่าให้เงินแก่ใครๆ ใครมาขอยืมก็อย่าให้ บอกว่าฉันไม่มีเงินให้ใครยืม ฉันก็มีเงินอยู่พอใช้เท่านั้น ไม่มีพอจะให้ใครยืมได้ ตัดปัญหาข้อนั่นไป แล้วกับสามีก็ค่อยพูดจาทำความเข้าใจกัน ทำหน้าที่ของแม่บ้านให้ถูกต้อง อย่าหาเรื่องเดือดร้อนให้สามีต้องเป็นทุกข์ สิ่งไรที่คนอื่นเป็นทุกข์เราก็ไม่ทำ อยู่กัน ๒ คนมันต้องรู้น้ำใจกัน คนไหนชอบอะไร ถ้าเรื่องใดที่อีกคนหนึ่งไม่ชอบเราก็อย่าทำ ทำแต่เรื่องที่เขาพอใจ สนใจ ปัญหาก็ไม่ต้องโต้เถียงกัน ไม่ต้องทะเลาะกัน ชีวิตในครอบครัวก็จะเรียบร้อยเป็นไปด้วยดี นี่เป็นปัญหาหนึ่งที่ว่ามีคนโทรมาถาม
แต่ว่าบางรายก็ไม่ได้โทรมา ถามเฉพาะหน้า เช่น มีรายหนึ่งถามว่าหนูนี่มีความทุกข์ ทุกข์อะไร หลวงพ่อถามว่าทุกข์อะไร มันทุกข์เรื่องของคนอื่น อ้าวเรื่องของคนอื่นแล้วเอามาทุกข์ทำไม มันไม่ใช่เรื่องของเราแล้วเรามานั่งกลุ้มใจทำไม มันเป็นคนเกี่ยวข้องกันจึงมีความทุกข์ เกี่ยวข้องกันอย่างไร พูดกันความจริงกันได้ไหม บอกว่าได้ คือเป็นสามีของหนูเอง เพราะสามีนั้นทำเรื่องให้หนูเป็นทุกข์ใจอย่างไร ทำเรื่องให้หนูเป็นทุกข์ก็คือเขาไปมีคนใหม่ อ๋อ เมื่อเขาไปมีคนใหม่หนูก็เกิดเป็นทุกข์นะ เป็นทุกข์ แต่ทำไมจึงเป็นทุกข์ หนูรู้ไหม ไม่รู้ เป็นทุกข์เพราะว่าไปยึดถือว่าของฉันนะซิ ผัวของฉัน ถ้าไปยึดถือว่าผัวฉันแล้วมันเป็นทุกข์ แต่ถ้านึกว่าไม่ใช่ผัวฉันมันก็ไม่ทุกข์อะไร
พูดอย่านั้นมันได้ แต่ว่ามันทำไม่ได้เพราะว่ายังคิดถึงเขาอยู่ อ๋อ คิดถึงทำไมไอ้ผู้ชายจัญไรคนนั้น จะไปคิดถึงมันทำไมอีกก็มันไม่ดี ไม่ดี มันไม่รักหนู ถ้ารักหนูมันก็ไม่ไปหาคนอื่น นี่ไปหาคนอื่นมากี่ปีแล้ว หลายปีแล้ว อ้าว แล้วทำไมเพิ่งรู้ ก็เขาไม่บอก เดี๋ยวนี้เขามาบอก เขามาบอกก็เพราะว่าคนใหม่เขาบอกว่าให้ไปบอกเสีย เขาจะได้รู้และจะไม่มาเกี่ยวข้องกันต่อไป เลยมาบอก พอบอกก็เรียกว่าลมเพชรหึงมันพัดแรงขึ้นมาทันที อ้าวลมเพชรหึงนี่มันแรง พอถูกใครแล้ว แหมโอนเอียงไปมา โยกหน้าโยกหลังนะ มันจะพังทีเดียวแหล่ะ เกิดอารมณ์ขึ้นมา บอกว่าหนูต้องคิดใหม่
แล้วก็ถามว่าหนูแต่งงานกับคนนี้จดทะเบียนหรือเปล่า ไม่ได้จด อ้า หนูบกพร่องมาก ไม่ได้จดทะเบียนนี่มันไม่ถูกต้อง เราจะแต่งงานมันต้องจดทะเบียน ถ้าไม่จดทะเบียนนี่มันไม่ถูกต้อง เขาว่าจดทะเบียน จดที่ไหน จดที่โบสถ์ สามีเป็นคนอะไร นับถือศาสนาคริสต์ แล้วหนูล่ะ ดิฉันถือพุทธ อ้าวนี่ทำผิดอีกนะ หนูเป็นชาวพุทธไปแต่งงานกับชาวคริสต์มันไม่ได้ แต่ว่าพระพุทธเจ้าไม่ห้ามเรื่องนี้ ไม่ได้ห้าม ไม่ได้ว่าไว้ เพราะพระพุทธเจ้าไม่ถือเขาถือเรา ไม่ถือชาติวรรณะ ไม่ถืออะไรทั้งนั้น ไม่สอนให้ยึดถือ แต่ว่าเขายึดถือ คนคริสเตียนเขาก็ต่างงานกับชาวพุทธ เขาก็เป็นคริสเตียน อิสลามแต่งงานกับชาวพุทธเขาก็ยังเป็นอิสลาม เขาไม่ยอมเปลี่ยนแปลงศาสนา คนที่ถือศาสนาอื่นเขาไปแต่งต้องเปลี่ยนตามเขา ถ้าไม่เปลี่ยนตามเขา เขาก็ไม่ยอมให้
อย่างนี้อยู่ในสภาพเสียเปรียบอยู่แต่ว่าเผลอเข้าไปแล้ว แล้วไปจดทะเบียนกันที่โบสถ์ ไม่มีความหมายอะไร เพราะไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ไปพูดกันที่ศาลนี้เขาไม่ฟัง ก็ศาลเขาถือกฎหมายไม่ได้ถือกฎของโบสถ์ อย่างนี้มันไม่ถูกต้อง แล้วก็มีคนมาเดินบอกว่าถึงจดตรงนั้นไม่ได้เรื่องอะไร อ้าวมันได้เรื่องซิ ถ้าจดไว้ ไอ้คนที่ได้ใหม่จะไปจดซ้อนไม่ได้ นี่คนใหม่เขาจดหรือเปล่า หลวงพ่อถามต่อ เขาจอ อ้าว นี่เสียเปรียบแล้วไหมล่ะ เขาจดทะเบียน เขามีสิทธิ์ที่จะจดได้เพราะเราไม่ได้จดทะเบียนไว้ แต่ถ้าหนูจดทะเบียนไว้ คนนั้นจะมาจดอีกไม่ได้ จดทะเบียนซ้อนไม่ได้ แล้วหนูมีสิทธิ์จะฟ้องร้องอะไรได้ เรียกค่าเสียหายได้ แต่นี่เรียกอะไรไม่ได้ แล้วหนูเป็นทุกข์ทำไม เป็นทุกข์เพราะยังคิดถึงเขา
อ้าว หนูได้ปลานาตัวหนึ่งมากำไว้ในมือ กำไว้จนปลามันเน่า เน่าแล้วเหม็น เหม็นแล้วหนูจะกำปลาตัวเหม็นไว้ทำไม ขว้างไปซะเลย ไอ้ปลาตัวเหม็นตัวนั้นขว้างไปซะเลย อย่าไปกำไว้ ขว้างเสร็จแล้วไปล้างมือ ถูสบู่ เอาน้ำหอมมาทาเสียหน่อยให้มันมีกลิ่นดีขึ้น อย่าให้เหม็นปลาเน่าตัวนั้น ได้สามีหนูเหมือนกับปลาเน่าเวลานี้ หนูไปคิดถึงคนเน่าแล้วทำไม คิดแล้วเป็นทุกข์ไป คิดทำไม เลิกคิดซะ อย่าคิดว่าเป็นของฉันอีกต่อไป อย่าคิดว่าผัวหนูต่อไป เป็นผัวคนอื่นไปแล้ว ไอ้ผู้ชายอย่างนี้มันเป็นคนจัญไร พูดคำหยาบไปหน่อย บอกเป็นคนจัญไร ใช้ไม่ได้ หนูอย่าไปคิดถึง ตัดสวาทขาดไปเลยอย่าไปคิด
ถามหนูอยู่ตัวคนเดียว พอเลี้ยงตัวได้ไหม เลี้ยงตัวได้ค่ะ หนูทำงานอะไร เปิดร้านขายของก็อยู่ได้เพราะมีร้านขายของ แล้วสามีทำอะไร เขาทำงานบริษัทรับจ้างเหมือนกันแหล่ะ อยู่กันนี้ถ้าสมมติว่าไม่มีผู้ชายคนนั้น เวลานี้เขาส่งเสียอะไรให้หนูบ้าง ให้เงินให้ทองให้อะไรไหม ไม่มีค่ะ ให้อย่างเดียวที่หนูได้รับอยู่เวลานี้คือความทุกข์เท่านั้นเอง แล้วคนที่ให้ความทุกข์แก่หนูนี่เขารักหนูหรือเปล่า เอ ก็คงไม่รักแล้วเวลานี้ ไม่รักแล้วหนูไปคิดถึงทำไม เราไปคิดถึงคนที่ไม่รักเราทำไม ไปเที่ยววิ่งกอดคนข้างหลังนี้มันได้เรื่องอะไร มันใช้ไม่ได้ พูดไปพูดมา แนะนำไปว่าเลิกคิดถึง เลิกคิดถึง ทำมาหากิน บอกว่าหนูได้อ่านหนังสือธรรมะค่อยสบายใจ เอาหนังสือธรรมะไปอ่านแล้วบอกว่ามาวัดเสียบ้าง วันนี้มาหรือเปล่าก็ไม่รู้ ถ้ามาก็ดีแล้วจะได้ฟังซ้ำอีกทีหนึ่งนี่คือปัญหาชีวิตที่คนเรามาปรับทุกข์กันบ่อยๆ มีบ่อย
ปัญหาในครอบครัวนี่มีบ่อย มีปัญหาก็มาโทรศัพท์มา ถามอย่างนั้นถามอย่างนี้ ก็แนะนำไป แต่ส่วนมากทำไม่ค่อยได้ คือวางไม่ลง ของมันหนักแต่ไปจับไว้ บอกวางเสีย อ้าว วางไม่ลง ของเน่าเอามาถือไว้มันเหม็นบอกขว้างไปเสีย ขว้างไม่ได้ มันไปยึดไปติด ไปมัวอยู่ในสิ่งนั้น มันจึงไปไม่ได้ ภาษาพระเรียกว่า “อุปปาทาน” คือ การเข้าไปยึดติดกับสิ่งนั้นๆ การยึดติดไม่ว่าสิ่งใดเป็นทุกข์ทั้งนั้น เข็มเล่มหนึ่งถ้าเรายึดถือว่าเป็นของเราก็เป็นทุกข์กับเข็มเล่มน้อย เรามีทองเท่าปีกลิ้น ถ้าเราเป็นทุกข์กับทองชิ้นนั้นก็ทองนั้นมันทำให้เราเป็นทุกข์ อะไรเป็นบุคคลก็ตามเป็นสิ่งของก็ตามที่เราไปยึดถือไว้เป็นความทุกข์ทั้งนั้น
รู้ว่าเป็นความทุกข์ก็ต้องปล่อย ต้องคิดด้วยปัญญา ต้องใช้ปัญญาพิจารณา ไต่ถามตนเอง สอบทานตัวเองบ่อยๆ ว่ากลุ้มใจเรื่องอะไร ว่าเป็นทุกข์เรื่องอะไร ถ้าเราเป็นทุกข์เพราะบุคคล เราก็ต้องคิดว่าบุคคลนั้นคือใคร เขามีอะไรดีที่เราควรคิดถึงบ้าง เวลานี้เขาไม่มีอะไรดีแล้วเหมือนกับปลาเน่าไปแล้ว เราจะไปคิดถึงทำไม กินก็ไม่ได้ ปลาเน่าเอามาต้มแกงมันก็ไม่ได้แล้ว เอามาไว้ในบ้านก็ไม่ได้ ถ้าเอาไปฝังดินเป็นประโยชน์ต่อต้นไม้นิดหน่อย เพราะมันเป็นปุ๋ยได้ แต่ก็เท่านั้นแหล่ะ (16.12 เสียงไม่ชัดเจน) คงต้องปล่อยออกไปจากใจ อย่าไปยึดถือ อย่าไปคิดถึง ต่อไปคิดก็คิดแต่ในแง่ร้าย แล้วก็ปล่อยๆ วางๆ ทำใจให้ดี
พอถามต่อไป ดูซิอยู่บ้านใคร อยู่บ้านของพ่อแม่สามีคนที่ทิ้งหนู อ้าวไปอยู่ทำไมในบ้านนั้น มันไม่เป็นมงคลแก่หนูแล้ว ไปอยู่บ้านอื่นได้ไหม บ้านพ่อแม่ของหนูมีไหม พ่อแม่ยังอยู่ ยังอยู่ อ้าว ก็ย้ายมาอยู่กับคุณพ่อคุณแม่ซิ อย่าไปยุ่งกับไอ้เจ้าคนนั้นต่อไป แล้วก็เลิกกันไปซะเลย ไม่ได้จดทะเบียนมันก็ลำบากอย่างนี้แหละ ถ้าจดทะเบียนก็ไปบอกถอนทะเบียนได้ ทีนี้จะไปถอนกับใคร เพราะหนูไม่ได้จดทะเบียนไว้ แต่ก็ถอนทะเบียนโดยปริยาย คือเลิกคบกัน เลิกคบไม่ยุ่งไม่อะไรต่อไป
ประกาศหนังสือพิมพ์ก็ได้ ว่านายคนนี้ไปทำหนี้สินอะไรที่ไหน ดิฉันไม่รับรองต่อไป ตัดขาดกัน ไม่มีพันธะทางหนี้ทางสิน ประกาศหนังสือพิมพ์ไปเลยให้คนได้รู้ว่าไอ้ผู้ชายคนนี้มันเลวทรามขนาดไหน คนก็จะได้รู้ คนใหม่จะได้รู้กูไปเอาของเน่ามาแล้ว ไม่ได้เรื่องแล้ว แล้ววันหนึ่งมันจะทิ้งเราต่อไป อ่านเรื่องกากีซะบ้าง เรื่องกากีเป็นไง เรื่องของกากีอ่านดูก็ได้ นางโมราก็ได้ เรื่องพระจันทโครพ ไปอ่านดูซะบ้างว่ามีสภาพอย่างไร เมื่อแย่งของคนอื่นมาคนอื่นก็จะแย่งกับเราไป ไอ้ผู้ชายคนนั้นมันเป็นชิ้นเนื้อชิ้นหนึ่งที่โยนไปแล้วหมาหลายตัวมันแย่งกันกัดกินก็เท่านั่นเอง
เรานึกอย่างนั้น แล้วเราก็จะได้เบื่อหน่าย ไม่ต้องคิดถึงให้เป็นทุกข์ต่อไป แนะนำไปอย่างนั้นให้เราไปทำ ทำได้หรือเปล่าก็มารู้และบอกว่าวันหลังค่อยสนทนากันใหม่นะเวลามันจำกัด มีโอกาสค่อยสนทนากันใหม่ เอามาพูดให้ญาติโยมฟังไว้ก็ได้ไปเล่าให้ลูกหลานฟังบ้าง คือ เรามีลูกมีหลานมันจะแต่งงานกับใคร อย่าเป็นคนสมัยใหม่มากเกินไป มันต้องคิดให้ดีให้รอบคอบดูคนอย่าดูแต่ภายนอกอย่าดูความรู้อย่าดูทรัพย์ สมบัติของเขาแต่ดูว่าคุณธรรมเขาเป็นอย่างไร เขามีความประพฤติดีประพฤติชอบอย่างไร ดูความหนักแน่นในธรรมะอย่างไร ต้องดูกันนานๆอย่าด่วนตัดสินใจอะไรง่ายๆ เพราะเรื่องชีวิตมันเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ถ้าผิดหวังแล้วมันก็ลำบาก
คนโบราณเขาว่ามีผัวผิดคิดจนผัวตาย เอ๊ะ เขาไม่ว่าอย่างนั่น มีเมียผิดคิดจนเมียตาย ทำไมไม่ว่ามีผัวผิดคิดจนผัวตายเพราะมันทิ้งได้ มีเมียผิดคิดจนเมียตายเพราะมันทิ้งไม่ได้ ลำบากก็ให้เชื่อว่าให้ระวังที่จะมีที่จะเป็น กับใครนั้นคิดตรองให้รอบคอบเพราะว่าเป็นเพื่อนแท้ของเรา เป็นเพื่อนตายของเรา ต้องพิจารณา เหมือนเราจะไปซื้อพันธุ์ทุเรียนที่เขาขายในตลาดนี่ เราต้องการทุเรียนก้านทอง ทุเรียนชั้นดี ชะลวงอะไรอย่างนั่นแต่คนขายบอกทุเรียนพันธุ์นั้นพันธุ์นี่เราก็ไม่แน่ใจ เราก็ซื้อมาเท่านั้นเอง ซื้อมาปลูก รดน้ำพรวนดิน ใส่ปุ๋ย ลงทุนไปเยอะแยะ พอออกผลก็กลายเป็นทุเรียนพันธุ์ไม่ดีไป อย่างนั้นก็เสียใจพอสมควร โค่นทิ้งซะก็ได้ถ้าพันธุ์ไม่ดี ไอ้ความผิดพลาดตอนไปซื้อพันธุ์ไม่ได้ซื้อพันธุ์ดีมา
คนนี่ก็เหมือนกันเราจะเอาคนมาทำพันธุ์นี่เราเป็นมารดาบิดาฝ่ายลูกสาวจะ เอาผู้ชายมาผสมพันธุ์มันต้องหาพันธุ์ดีดีหน่อย ถ้าพันธุ์ไม่ดีก็ไม่ได้ คราวนี้พันธุ์ดีไม่ดีก็ดูพ่อมันด้วยว่าพ่อมันเป็นคนอย่างไร ปู่มันเป็นอย่างไร ดูไปหลายชั่วคนก็ได้ไอ้ตระกูลนั้นเป็นมาอย่างไร เหล่ากอเขาเป็นคนดีไหมหรือเป็นคนประพฤติอย่างไร มีโรคประจำตัวอะไรบ้าง คนบางสกุลมีโรคประจำตัวเช่น เป็นโรคประสาท เป็นโรคบ้า มันติดต่อกันนะ ปู่มันบ้า พ่อมันบ้า ลูกมันก็บ้า หลานมันก็บ้า บ้าเป็นบ้าสืบพันธุ์ ถ้าสกุลไหนครอบครัวไหนมีพันธุ์อย่างนี่ อย่าๆ อย่าเอามาเป็นลูกเขย
ผู้หญิงก็เหมือนกันเราจะไปขอให้ลูกชายเราเวลานี่ ไม่ต้องไปขอให้ลูกชายมันหาเอาเอง แต่ก็ต้องให้มันพิจารณาว่ามันสมควรเป็นลูกสะใภ้เราหรือไม่ โดยมากเด็กสมัยนี่มันดื้อนะ ไม่ค่อยเชื่อฟังผู้ใหญ่มาบอกว่าฉันชอบ หนูชอบ มันเป็นอย่างนั้น แล้วทีหลังมันเกิดเรื่องไม่รู้จะโทษใคร บอกว่าเป็นบาปกรรมของหนูเอง หนูทำบาปไว้ไม่รู้ว่าชาติไหน มันไม่ใช่ชาติไหน ชาตินี้ ไอ้ที่เราเป็นอยู่ บาปชาตินี้ไม่ใช้ชาติก่อน เพราะดูคนไม่เป็น ใจร้อน ด่วนตัดสินใจมากเร็วเกินไป แล้วมันก็เกิดความเสียหายขึ้น มันต้องพิจารณาอย่างรอบคอบดูกันไปนานๆ หลายๆ ปี แล้วก็ดูให้ละเอียดลึกซึ้ง
คนโบราณเขาว่าซื้อวัวให้ดูหางนะ ซื้อนางให้ดูแม่ ถ้าดูให้แท้ต้องดูให้ถึงคุณยายด้วยนะ คุณยายเป็นคนอย่างไร เขาดูกันหลายชั้น คนโบราณเขาละเอียดลออมากกว่าพวกเราสมัยนี้ แล้วก็ชายหนุ่มหญิงสาวสมัยก่อนเขาไม่ค่อยถืออะไร สุดแล้วแต่ผู้ใหญ่จะแต่ให้ ไว้ใจผู้ใหญ่ คือ พ่อแม่เพราะพ่อแม่ผ่านโลกมานาน ท่านชอบไปขอใครมาให้ ขอผู้หญิงบ้านไหนมาก็พอใจ แล้วส่วนมากเรียกว่า ๙๙% อยู่กันเรียบร้อยไม่ค่อยมีเรื่องหย่าร้าง ไม่ค่อยมีปัญหาอะไร ที่ไม่เป็นปัญหาเพราะสิ่งแวดล้อมมันไม่เลวเหมือนกับสมัยนี้
สมัยนี้สิ่งแวดล้อมแย่มาก แย่เต็มที ทำให้เกิดปัญหาได้มาก มีแหล่งท่องเที่ยวยามราตรีความสนุกสนานมันมีเยอะแยะ จนไปเที่ยวไปเตร่บังคับตัวเองไม่ได้ ทำให้เกิดปัญหาขึ้นในครอบครัวนี้มีมาก สมัยก่อนมันไม่มี เป็นชาวบ้านเกษตรกร ทำไร่ทำสวนทำอะไรไปตามเรื่อง อยู่กันมีลูกมีเต้ากันเรียบร้อย ไม่ค่อยมีปัญหา แต่งงานกันแล้วก็อยู่กัน ไม่เห็นหน้ากันด้วยซ้ำไป บางทีอยู่ไกลกันโน้นคนละอำเภอ ไปขอมาแต่งงานกัน เวลายกขันหมากไปต้องมีกองคาราวานป้องกันนะ มีปืนนะ พอออกจากบ้านต้องยิงปืนก่อน ยิงปืน ปัง ปัง สอง สาม นัดบอกให้เขารู้ว่าขบวนขันหมากนี่มีปืนนะอย่ามาแหยมนะ ยิงไปเดินทางไปในป่า อาตมาเคยไปกับเขา เมื่อเด็กๆ เขาให้ถือขันหมากเจ้าบ่าว ไปกันด้วย ไปสักพักหนึ่ง ยิงปืนอีก ยิงปืนเพื่อให้รู้ว่ามีปืนนะ อย่ามายุ่งนะ แล้วพอจะถึงบ้านเจ้าสาว ก็ยิงใหญ่เลย ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง ยิงกันหลายนัด ฝ่ายพวกบ้านเจ้าสาว มีปืนก็ยิงต้อนรับเหมือนกัน แล้วก็พาเจ้าบ่าวไปขึ้นบ้านเจ้าสาว แต่งงานแล้วเขาก็อยู่กันเรียบร้อย ลูกเต้าเจริญ ได้มีการศึกษาก้าวหน้าในชีวิตในการงาน ปรากฏอยู่จนกระทั่งทุกวันนี้ก็มีที่เราเห็นนะเป็นอย่างนั้น
ไม่เหมือนคนสมัยนี้ เด็กหนุ่มเด็กสาวสมัยนี้ชอบเที่ยวเตร่ แล้วมันก็ไปรักกันที่ร้านกาแฟบ้าง ไปรักกันที่โรงหนังบ้าง ไปรักกันที่บาร์ไนต์คลับบ้าง หรือไปเผลอรักกันที่ชายหาดแล้วเผลอรักกันขึ้นมา แล้วต่อมาก็แต่งงาน แต่งงานกันใหญ่โตมโหฬาร แต่งงานในโรงแรม ออกข่าวในหนังสือพิมพ์ หนังสือพิมพ์ก็ซุบซิบว่าเจ้าบ่าวคนนั้นแต่งงานกับนางสาวนั้นมีแขกมากมาย ดัง ดัง ถ้าดังให้เขาชอบ ให้มันดังหน่อย แต่ว่าอยู่ต่อมาไม่ถึงไม่กี่เดือน แหม เจ้าบ่าวเจ้าสาวคู่นั้นแต่งกันใหญ่โต ก้นหม้อยังไม่ทันดำเลย เดี๋ยวนี้แตกกันแล้ว เบื่อกันแล้ว เกิดไม่ถูกกันขึ้นมาเพราะอะไรก็ไม่รู้ แล้วก็แตกแยกกันกับทั้งสองฝ่าย
ฝ่ายหญิงก็ตรมตรอมใจ ไอ้ผู้ชายมันไม่ตรมตรอมใจเท่าไรหรอกผู้ชายนะ เพราะมันไปหาใหม่ได้ แต่ผู้หญิงนี่ธรรมเนียมเขา ค่านิยมเขามีไว้ว่ามีสามีคนเดียว ถ้าสามีทิ้งแสดงว่าเป็นคนบกพร่อง ไม่ดีไม่งาม เสียหน้าเสียตา มีความทุกข์ความเดือดร้อนใจ ตรมตรอมใจ บางทีต้องกินยาพิษฆ่าตัวตายไปก็มี ไอ้นั้นแย่มาก บางคนก็ เอ้า ชีวิตมันไม่สมหวัง ไปบวชชีซะดีกว่า ไปบวชชีซะเลย ไอ้อย่างนั้นก็ดี หันเข้าวัดเข้าวา ศึกษาธรรมะธัมโมไปซะ ไปทำให้ชีวิตก้าวหน้าต่อไปแบบนี้ ใช้ได้ แต่ถ้าไปกินยาพิษฆ่าตัวนี้มันใช้ไม่ได้ กระโดดสะพานตายก็ไม่ได้ หรือว่าทำอะไรบางทีไม่ถูกต้องมันไม่ได้ ทั้งนั้นเป็นเรื่องเสียหาย
คนมีความคิดดีก็เข้าวัดเข้าวาไป ไม่ทุกข์ต่อไป ถือศีลกินเจจนกระทั่งชีวิตดับไปในรูปของผู้ประพฤติพรหมจรรย์ ชีวิตอย่างนี้เป็นชีวิตที่ก้าวหน้าเป็นไปด้วยดี แต่ว่าหาได้น้อยอย่างนั้น เพราะว่าส่วนมากมักไม่ค่อยเข้าวัด ไม่ค่อยจะได้อ่านหนังสือธรรมะ ไม่ได้สนใจพบพระที่จะสั่งสอนอบรม ให้เกิดปัญญาในเรื่องชีวิต ถ้าจะพบพระบ้างก็ไปพบพระหมอดู พระพวกปลุกพวกเสกอะไรอย่างนั้น มันมีอยู่มากมายไปในรูปอย่างนั้น ที่วัดนี้ก็มาบ่อยๆ มาไม่ใช่มาในรูปธรรมะ
มาถึงก็ขอให้รดน้ำมนต์ สะเดาะเคราะห์หน่อย ให้ทำเคราะห์มันดีขึ้นหน่อยอย่างนี้ แต่ว่ามันก็ได้สอนอบรมบ่มนิสัยเขาให้เกิดความรู้ความเข้าใจเพราะไม่มีนโยบายอย่างนั้น ไม่ได้ทำในเรื่องอย่างนั้นก็เลยสอน แนะนำว่าหนูควรคิดอย่างไร ทำในใจอย่างไร ชี้ให้เห็นว่าอะไรๆ มันเกิดขึ้นในชีวิตของเรานั้นไม่ได้เกิดมาจากภายนอก ไม่ได้เกิดจากดวงดาวในท้องฟ้า หรือไม่ได้เกิดเพราะคนนั้นทำให้ คนนี้ทำให้ ต้องโทษตัวเองแล้วพิจารณาตัวเองให้รู้ว่าเกิดจากอะไร ให้เขาเล่าปัญหาให้ฟังแล้วก็ชี้แจงเป็นเรื่องๆ ไปว่ามันผิดอยู่ตรงไหน พูดให้เขาเข้าใจ เอาชีวิตของเขานั่นแหละเป็นแบบสาธิต สอนให้เขาเข้าใจ เขาก็เข้าใจเพราะเป็นผู้มีการศึกษาพอสมควร ฟังรู้เรื่องเข้าใจความหมายแล้วก็ได้ความรู้ธรรมะเอาไปใช้ในชีวิตต่อไป
บางคนก็มาอีกมาศึกษาต่อแล้วเอาเทปไปฟัง เอาธรรมะไปอ่าน อันนี้ใช้ได้ เรียกว่าเรียนรู้เพื่อแก้ปัญหาชีวิตด้วยธรรมะ ชีวิตก็ดีขึ้นแต่ถ้าไปแก้ด้วยวิธีอื่นก็ไม่มีความก้าวหน้าอะไร ชีวิตไม่ดีขึ้น ปัญหาที่เกิดขึ้นในครอบครัวหลวงพ่อพิจารณาดูแล้วก็เกิดจากการบกพร่องทั้ง ๒ ฝ่าย คือบกพร่องตรงที่ไม่ประพฤติธรรม ไม่ได้เอาหลักธรรมะของพระพุทธเจ้าไปเป็นดวงประทีปส่องทางชีวิต ไม่เอาธรรมะไปใช้ ในเมื่อไม่ได้ใช้ธรรมะมันก็เกิดเป็นปัญหาและเมื่อเกิดปัญหาก็ไม่รู้จักตัวปัญหา ไม่รู้เหตุของปัญหา ไม่รู้วิธีที่จะแก้ไขปัญหาเหล่านั้น เลยแก้ไม่ได้ ชีวิตจะต้องตกต่ำลงไปเรื่อยๆ อันนี้เป็นตัวอย่างที่น่าเห็นใจ
เมื่อวานนี้วันศุกร์นี่ มหาสุพัชเขาไปจังหวัดลพบุรี ไปดูสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งพระท่านจัดขึ้น จัดขึ้นเป็นป่าช้าพวกโรคเอดส์นั่นเอง คนเป็นโรคเอดส์ที่ว่าหนักแล้วเขาก็ส่งไปที่นั่น ส่งไปที่นั่นก็ไปตาย ไม่ใช่รักษาให้หายอะไร ต้องไปรอความตายแบบว่าพบพระบ้างตามสมควร อ้อมีจำนวนมากมายไปดูไปศึกษาแล้ว ไม่ใช่คนชั้นธรรมดาวุฒิปริญญา เป็นหมอก็มี เป็นหมอก็มี แล้วก็เป็นคนมีความรู้ดีในสังคมหลายคน ก็สืบสาวราวเรื่องว่ามันเป็นมาอย่างไร ทำไมถึงได้เป็นโรคชนิดนี้ขึ้น เพื่อศึกษาปัญหาชีวิตค้นหาข้อมูลเพราะว่าพระมหาสุพัชเขาเรียนปริญญาโทอยู่ เขาให้ไปหาข้อมูลเรื่องอย่างนี้ ก็ได้ความรู้ได้อะไรขึ้นมา มาเล่าให้ฟัง ก็รู้คนเรานี่มันขาดหลักรักษาจิตใจ
มีความรู้เรื่องอื่นเยอะ แต่ไม่มีความรู้เรื่องที่จะควบคุมตัวเอง ที่จะบังคับตัวเอง ที่จะคุ้มครองตัวเองให้เกิดความคิดถูกต้อง เกิดการกระทำที่ถูกต้อง และเพื่อนฝูงมิตรสหายที่อยู่แวดล้อม รอบๆ คนนั้นก็เป็นเพื่อนประเภท เรียกว่าแบบเดียวกัน สนุกสนาน เฮฮาใช้เงินเปลือง ชอบเที่ยวชอบเล่นไปในทางสนุกสนาน ไม่ได้ค่อยคิดถึงปัญหาชีวิตว่าเกิดมาทำไม มีชีวิตอยู่เพื่ออะไร สิ่งที่ดีที่สุดที่เราควรทำเพื่อชีวิตของเราคืออะไร และได้ทำสิ่งนั่นอยู่หรือเปล่า
เขาคิดไม่ค่อยได้เพราะไม่มีคนแนะแนวให้คิดอย่างนั้น คิดแต่วางแผนว่าวันนี้จะไปเที่ยวไหน จะไปดื่มที่ไหน จะไปปิกนิกที่ไหน เอ้า วันไหนเงินเดือนออกจะไปสนุกกันให้สุดเหวี่ยงที่ไหน คิดแต่เรื่องอย่างนั้น วางแผนแต่เรื่องเหลวไหล เรื่องความตกต่ำของจิตใจเท่านั้น แล้วไม่มีใครที่จะห้ามที่จะบอกว่าอย่าไปเลย เพราะเพื่อนทุกคนมีความคิดแบบเดียวกัน มีเพื่อนประเภทไหน ประเภทเฮไหน เฮนั่น ไปไหนก็ไปด้วยกันทำด้วยกัน ไม่มีความคิดยับยังชั่งใจนี่ฐานแห่งความเสียหายเป็นประการแรก คือคบเพื่อนไม่ดี คบเพื่อนไม่ดี เพื่อนที่ไม่ดีนี่แหละทำให้เราเสียหาย แต่ว่าถ้าได้เพื่อดีก็ทำให้เราดีขึ้นเหมือนกัน
พระพุทธเจ้าท่านเห็นเหตุผลในเรื่องอย่างนี้จึงได้ตรัสมงคล มงคลคือว่าสิ่งที่จะเป็นเหตุทำให้เกิดความสุขความเจริญว่าเป็นมงคล มงคลสูตร มีมงคลอยู่ ๓๘ อย่างแล้ว มงคล ๓๘ ข้อนั้น ข้อแรกก็เริ่มว่า “อเสวนา จ พลานํ บณฺฑิตานํ จ เสวนา” แปลว่า “อย่าคบคนพาลให้คบหาสมาคมด้วยบัณฑิต” ชีวิตเราอยู่ไม่ได้คนเดียวต้องมีเพื่อน คราวนี้เพื่อนมันมี ๒ คน เพื่อนแท้กับเพื่อนเทียม เพื่อนที่เป็นบัณฑิตกับเพื่อนที่เป็นอันธพาล อันธพาลก็คือคนปัญญาอ่อน อันนี้เรียกว่าพวกอันธพาล อันนี้ถ้าเราได้ไปคบพวกอันธพาลเข้าชีวิตก็เป็นอย่างนั้น
พระพุทธเจ้าตรัสว่า “คบคนเช่นใด จะเป็นคนเช่นนั้น ยํ เวเสวติ ตา ติโส” แปลว่า “คบคนเช่นใด จะเป็นคนเช่นนั้น” เช่น คนที่มีชีวิตเรียบร้อยไม่ดื่มเหล้าเลยไปคบพวกขี้เมาเข้าไม่เท่าไรก็ดื่มเป็น
ชีวิตเรียบร้อยไม่เล่นการพนันเลย ไปคบนักการพนันเข้าไม่ทันไรก็เข้าบ่อน สนุกสนานไปเล่นการพนันก็จะเสียหาย เป็นคนเรียบร้อยไม่เที่ยวกลางคืน แต่ไปคบเพื่อนที่เที่ยวกลางคืนเข้าเขาก็ชวนไป คนเราขี้ใจอ่อน แล้วขี้เกรงในคนในเรื่องที่ไม่เข้าเรื่อง พอเพื่อนชวน เกรงใจว่ะคบกันมาแล้วก็ต้องไปกันหน่อย ไปกันหน่อยก็ไปกันหน่อย มันหลายหน่อย พอหลายหน่อย มันก็เกิดเรื่อง ติดการไปเที่ยวอย่างนี้ เป็นเช่นคนนั้น
คนที่ไม่สุรุ่ยสุร่ายประหยัดอดออม ไปเที่ยวกับคนสุรุ่ยสุร่าย โอ๊ยไม่ได้ปล่อยให้มันจ่ายคนเดียวไม่ได้เราต้องจ่ายบ้าง ก็เลยกลายเป็นคนชอบจ่าย สุรุ่ยสุร่าย ซื้อข้าวซื้อของไปนั่นไปนี่ ไปคบคนขี้เกียจก็จะกลายเป็นคนขี้เกียจไป คือความจริง คบคนเช่นใดจะเป็นเช่นคนนั้นนี่คือความจริงที่สุด
ให้เราดูลูกๆ หลานๆ ของเราซะ บางคนก็เรียบร้อยเหมือนผ้าพับ แต่ไปคบเพื่อนไม่ดีเข้าละ เหมือนกับผ้ายุ่งนะ ผ้าไม่ได้รีด ซักแล้วไม่ได้รีดมันยูยี่ยุ่งอย่างไร เราก็เห็นกันอยู่ มันเป็นไปอย่างนั้นเพราะเพื่อนดึงไป ท่านเพียงห้ามไว้ว่าอย่าคบคนพาลให้คบด้วยบัณฑิต บัณฑิตนั่นมีปกติอย่างไร คนที่เป็นบัณฑิตนั่นชอบแนะนำตักเตือน ถ้าคบกับใครแล้วชอบเตือน ชอบสอน แต่เพื่อนไปค่อยชอบ บ่นว่ากูไม่อยากเข้าใกล้ เข้าไปทีไรมันเทศน์กูทุกทีเป็นอย่างนั้น
เราไม่ทนต่อคำสอนของเพื่อน แต่ถ้าเราเป็นคนอดทนที่จะฟังคำสอนของเพื่อนจะดีขึ้น เพื่อนจะช่วยแก้ช่วยขัดช่วยขุดชีวิตของคนนั้นให้ดีขึ้น แล้วจะเจริญก้าวหน้าเพราะเพื่อน แล้วเมื่อเจริญก้าวหน้าแล้วก็จะระลึกถึงบุญคุณของเพื่อนคนนั้น ว่าเราได้ดิบได้ดีก็เพราะเพื่อนคนนั่น แต่ว่าความคิดในเรื่องคบเพื่อนมักจะไม่ได้ใช้ ไม่ได้พิจารณาออกไปเพราะว่าชอบคบเพื่อน เด็กๆ ในกรุงเทพนี่เสียคนเพราะเพื่อนไม่ใช่น้อย ไม่ใช่น้อย พอรุ่นเป็นวัยรุ่นขึ้นมัธยม พอมัธยม ๓ เริ่มเอาแล้ว เริ่มมีเพื่อนแล้วก็ไม่รู้จักเลือกเฟ้น รู้จักคบ ก็ไปคบเพื่อนประเภทไม่ดีแล้วก็เหลวไหล เสียผู้เสียคน ไม่ก้าวหน้าในชีวิต
ไม่เรียนหนังสือ คุณแม่ก็เป็นทุกข์เอามาเอามาให้สอน สอนได้อย่างไง พอออกจากวัดแล้วมันก็ไปพบเพื่อน เพื่อนมันรออยู่หน้าวัดแล้ว พอไปถึงหน้าวัดเพื่อนก็พานั่งรถปลิ่ว คุณแม่ก็ยืนมอง ก็ได้ความเศร้าใจว่า ลูกเอ่ยไม่รักแม่เลย มันรักเพื่อนมันมากกว่าแม่ เพราะรักแม่ไม่สนุก แม่ไม่ได้พาไปเที่ยว ไปกินไปเล่น เพื่อนมันพาไปหัวหกก้นขวิดที่ไหนก็ไม่รู้ มันก็เพลิดเพลินไปกับเพื่อนเหล่านั้น จนดึงกลับไม่ได้ ผลที่สุดก็เสียคนไปอย่างนี่ก็มี แต่บางคนอาจจะรู้สึกตัวขึ้นได้ ถ้ารู้สึกตัวได้มันก็ดีหน่อย
มีรายหนึ่งเที่ยวเตลิดเปิดเปิงนะ พอมีรถพาเพื่อนไปเชียงใหม่ แวะลำปาง ไปเรื่อย ลงมากรุงเทพพาเพื่อนไปหนองคาย ไปหนองคายทิ้งรถไว้หนองคาย ข้ามฝั่งไปเวียงจันทร์ ไปเที่ยว พาเพื่อนไป มาที่หลังไปอุบลฯ พอไปอุบลฯ สัญชาติญาณดั้งเดิม ความคิดดีมันมาเกิดขึ้นในใจ หันเข้าวัด พอเข้าวัดไปพบพระฝรั่งเข้า พระฝรั่งท่านเห็นเด็กหนุ่มมาท่านก็พูดแนะนำตักเตือนตามหน้าที่ของท่าน เป็นผู้ที่มีการศึกษาพอสมควรเป็นนักเรียนมหาวิทยาลัยแต่เที่ยวจนกระทั่งขาดเรียนมากๆ ผลที่สุดไปพบพระ เลยเข้าวัดไป เลยอยู่กับพระไม่ได้บวชล่ะ แต่อยู่กับพระแล้วก็ส่งหนังสือมาถึงคุณแม่ขอโทษขอโพยว่าที่ลูกได้กระทำให้คุณแม่เป็นทุกข์มีความร้อนอกร้อนใจ เวลานี้ลูกไม่ได้ไปเที่ยวไหนแล้วอยู่วัดเวลานี้ อยู่วัดป่านานาชาติอยู่กับพระฝรั่ง คุณแม่ก็เลยตามไปไปเยี่ยมลูกชายที่อยู่กับพระ แล้วที่หลังกลับจิตกลับใจเรียบร้อย
แม่เห็นว่าอยู่เมืองไทยไม่ได้เพื่อนมันมากนัก เอ๊า เนรเทศดีกว่า ส่งไปต่างประเทศไปก็ดีนะ เขารู้สึกตัวแล้วว่าเกิดมาทำไม มีชีวิตอยู่เพื่ออะไร สิ่งที่ดีควรทำคืออะไรเขาเข้าใจ ก็เลยได้ไปเล่าไปเรียนตอนนี้ก็เกือบจะสำเร็จวิชากลับบ้านแล้ว เรียกว่ากลับเข้าไปวัดได้ มันเที่ยวเตลิดเปิดเปิงไปวกเข้าไปนี่ได้ เรียกว่ามีอะไรเหมือนกับมาดลจิตดลใจ วกเข้าไปวัดได้ถือว่าปลอดภัยแล้วก็เป็นคนดีขึ้นได้แบบนี้ถือว่าใช้ได้ แต่ถ้าวกไม่เข้าวัดวกไปอื่นไปกันใหญ่
คุณแม่ตรอมใจผายผอม บางทีตรอมใจเจียนตายเพราะลูกทำไม่ถูกต้อง มีอยู่อย่างนี้มีอยู่ เพราะสิ่งแวดล้อมในปัจจุบันนี้มีแต่ยั่วยุให้คนเป็นทาสของสิ่งเหล่นั้นไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจจึงได้เกิดปัญหา เราต้องคุมให้ดี มีลูกหญิงก็ตาม มีลูกชายก็ตามต้องคุมให้ดีต้องคอยตรวจตราดูแลเอาใจใส่เรียกมาสนทนาด้วยคุยกันบ้างเป็นครั้งเป็นคราว ทานอาหารเสร็จแล้วคุยด้วยกัน มานั่งใกล้ๆ แสดงความเอ็นดูเขา ชวนพูดชวนคุยอะไรต่างๆ ถ้าเขามีปัญหาอะไรเขากล้าพูดกับคุณแม่ กับคุณแม่เขากล้ากับคุณพ่อบางทีไม่กล้า เขากลัวคุณพ่อ แต่กับคุณแม่ยังมี คือคุณแม่ยังหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสอยู่ คุณพ่อหน้าตาชักจะตึงๆ หน่อย ลูกไม่อยากเข้าใกล้เท่าใดนักเพราะว่าพ่อไม่ค่อยจะคิดอะไรในทางที่ถูกเหมือนกัน แต่คุณแม่นั้นเขาสนิทสนมเขาไว้วางใจ ว่ามีปัญหาอะไรเขาจะมาระบายปรึกษา
ถ้าลูกมาปรึกษาอะไรแล้วเราก็รู้ว่าเขาทำอะไรผิด พลาดไป อย่าดุเขา อย่าด่าเขา อย่าติเตียนเขา แต่ก็ควรจะแสดงความเอ็นดู โอบกอดรัดเขา หอมเขา แล้วบอกว่า โอ้ ไม่เป็นไรลูก เรื่องทีผ่านมาแล้วไม่เป็นไร มันผ่านมาแล้วอย่าไปคิดถึงมันเลย เรามาจับต้นใหม่ ร่างกายเปื้อนเราก็อาบน้ำได้ เสื้อผ้าเปื้อนก็ซักฟอกได้ จิตใจมันเปื้อนก็ล้างได้สอนหันหน้าเข้าหาคุณงามความดี พามาวัดบ้างก็ได้ ว่างๆ ก็พามาวัดให้พระช่วยสอน แต่ว่าก่อนจะพามาก็โทรศัพท์มาบอกหน่อย เล่าอาการให้ฟังแล้วจะได้พูดให้มันเข้ากับเรื่อง
พระก็จะได้พูดจาแนะนำให้เขาคิดถึงพ่อแม่ให้คิดถึงความปรารถนาดีของพ่อแม่ เพราะว่าเด็กบางคนเห็นพ่อแม่เป็นศัตรูไป เป็นผู้ใหญ่ไม่หวังดีไป คอยขัดคอเขา จะไปเที่ยวก็ไม่ได้ ไปทำไอ้โน่นก็ไม่ได้ ทำนี่ก็ไม่ได้ ความจริงพ่อแม่ไม่ได้หวังร้ายอะไร หวังดี ๑๐๐% แต่มันไปขัดกับความรูสึกของเขา เพราะเขาเป็นคนหนุ่มกำลังคะนอง อยากเที่ยว อยากสนุก อยากจะทำอะไรต่ออะไรไปตามเรื่อง แล้วพ่อแม่ห้ามก็ โฮ คุณพ่อคุณแม่นี่หัวเก่า ไม่ให้เสรีภาพแก่ลูกบางเลย ลองปล่อยให้มันมีเสรีภาพซิมันก็ยุ่งเท่านั้นเอง ก็จะไปกันใหญ่ เกิดปัญหาขึ้นในภายหลังได้
เราจึงต้องพยายามที่จะห้ามล้อเขาอย่างรุนแรง อย่าไปห้ามแบบแรงๆ ไม่ได้ห้ามแรงเดี๋ยวรถพลิกคว่ำเลย เบรกแรงนี่รถพลิกคว่ำเลย ต้องค่อยๆ แตะเปลี่ยนเกียร์หน่อย ค่อยๆ แตะเบาๆ ให้รถมันชะลอไปแล้วก็ค่อยวกเข้าหาทางดีทางถูกกันต่อไป อย่างเรานี้เราทำได้เพราะพ่อแม่ทำได้ พ่อทำบ้าง แม่ทำบ้าง แล้วสองคนมาช่วยกันทำ ช่วยกัน ชุบ ย้อม ต้ม ตี คนโบราณเขาว่า ชุบ ย้อม ต้ม ตี ชุบให้มันชุ่มด้วยน้ำที่สะอาด ย้อมด้วยสีที่ดี เอาไปต้มเพื่อให้ซึมเข้าไปในเนื้อผ้า แล้วเอามาตี คือมารีดให้เรียบร้อย สมัยก่อนไม่มีเตารีดเขาตีเอาไม้ตีเรียกว่า ชุบ ย้อม ต้ม ตี ให้ผ้ามันอยู่ในสภาพเรียบร้อย
ลูกของเราหลานของเราก็เหมือนกันต้องช่วยกันชุบ ช่วยกันย้อม ช่วยกันต้ม ช่วยกันตี ด้วยถ้อยคำที่สุภาพ ไม่แสดงอาการโกรธ อาการเกรี้ยวกับเด็กเหล่านั้น แต่เราพูดกับเขาดีๆ เหมือนกับไม่มีเรื่องอะไร ทำให้เขาเกิดความคิด สำนึกในเรื่องอะไรต่างๆ ถ้าเรามีหนังสือประเภทที่จะเป็นข้อคิด เป็นเครื่องเตือนใจเขาได้ เราให้เขาอ่านให้แม่ฟัง เอ๋อ เดี๋ยวนี้ตาแม่ไม่คอยจะดีอ่านหนังสือก็ไม่ค่อยได้ แสบตานะหนูลองอ่านเรื่องนี่ให้แม่ฟังหน่อยซิ ให้เขาอ่าน พออ่านเขาก็รู้เองที่เขาอ่าน เขาได้ฟังได้ยิน อ่านแล้วก็เอ๊าสนทนาพาทีกัน ซักซ้อมความเข้าใจในบทความที่อ่านแล้ว ทำอย่างนั้นก็เป็นการช่วยแก้ไขปัญหาชีวิตของเด็กให้ฟืนตัวกลับจากสิ่งที่มืดมากลายเป็นขาว จากสิ่งสกปรกมากลายเป็นความสะอาด สิ่งที่ไม่ถูกกลายเป็นความถูกต้อง เพราะเราทำด้วยอุบายอันแยบคาย อย่าโกรธ อย่าเคือง อย่าทุบ อย่าตี
ไอ้สมัยก่อนบางคนตีลูก ลูกไปเลย อย่างนี้เขาไม่ดี แต่ตีด้วยคำพูดก็พอไม่ได้ ต้องใช้คำพูดแบบปลอบโยน อ่อนหวาน สมานใจ ให้เขาสบายใจ เพราะอารมณ์เขาไม่ดีอยู่แล้ว ถ้าเราเอาน้ำร้อนมาลวกเข้าอีกมันก็ไปกันใหญ่ มีแผลอยู่แล้วเอาน้ำร้อนไปลวกไม่ได้ ต้องเอายาเย็นๆไปทาเขา ให้เขาเย็นกายเย็นใจ ใช้คำพูดที่เหมาะสมไม่แสดงอาการรุนแรง แล้วก็พาเขาไปเที่ยวบางก็ได้ ไปด้วยกัน เอาพาไปเที่ยวด้วยกันไปเที่ยวที่เราควร พาไปโน่นไปนี่ไปวัดวาอาราม ไปชมสถานที่เก่าๆ แก่ๆ ให้ไปดูวัฒนธรรมประเพณีโบราณที่เขาเขียนไว้ตามฝาผนังโบสถ์วิหารอันเป็นภาพที่น่าดูน่าชม เราพาไปดูอธิบายทำความเข้าใจกับเขา เด็กมันก็ซึมซาบในสิ่งดีสิ่งงามขึ้นมา ความคิดที่จะไปเที่ยวเถลไถลก็เบาบางไป หันหน้าเขาหาสิ่งถูกต้องได้อันนี่เป็นเรื่องที่จะต้องแก้ไข
การแก้ไขปัญหาของเด็กในครอบครัวเรานั้นสำคัญอยู่ที่ผู้ใหญ่ คือ พ่อแม่ พ่อแม่นี่จะต้องสำนึกอยู่อย่างหนึ่งว่าเรามีลูกแล้ว คนที่แต่งงานแล้ว ก็มีลูก พอแต่งงานก็ต้องเปลี่ยนความคิดเปลี่ยนเรื่องการตามใจตัวเอง เรื่องความสนุกสนานเฮฮามันต้องเปลี่ยนแล้ว เพราะพ่อบ้านแม่เรือนท่านสอนให้มีธรรมะเป็นหลักครองใจ ๔ ประการ คือ
สี่ข้อนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก เป็นเรื่องสำคัญมาก เขาเรียกว่าเป็นธรรมะสำหรับชาวบ้าน พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าให้ไปถามสมณะ ชีพราหมณ์ ผู้ประพฤติดีประพฤติชอบในโลกทั้งหลายดูเถอะ ว่าถ้าคนมันไม่มีธรรมะ ๔ ประการนี้ จะเป็นผู้เป็นคนได้อย่างไร ไม่มีความซื่อสัตย์ ไม่มีการบังคับตัวเอง ไม่มีความอดทน อดกลั้น ไม่มีความเสียสละ จะเป็นผู้เป็นคนได้อย่างไร ให้ทำให้ไปเที่ยวสืบถามผู้รู้ทั้งหลายที่มีอยู่ในสมัยนั้นว่ามันจะเป็นผู้เป็นคนได้อย่างไร อันนี้เป็นเรื่องแสดงให้เห็นว่า ความเป็นคนต้องมีคุณธรรมเป็นหลักครองใจ ๔ ประการ คือ มีความซื่อสัตย์ มีการบังคับตัวเองควบคุมตัวเองได้ มีความอดได้ทนได้ มีความเสียสละ ๔ อย่าง
มีความซื่อสัตย์ต่อกัน ให้รู้จักบังคับตัวเอง ควบคุมตัวเอง มีความอดทน อดกลั้น มีความเสียสละ
อันนี้คนที่เป็นพ่อแม่หรือคู่แต่งงาน พอแต่งงานแล้วมันต้องเอาธรรมะ ๔ ประการนี้มาไว้ในใจ หลวงพ่อต้องการให้คู่แต่งงานมาแต่งที่วัดไม่เรื่องอะไร เรื่องที่จะให้ได้ฟังเทศน์ ฟังอบรบจากพระ ไม่ใช่ว่าจะสวดมนต์ให้ฟังแล้วมันใช้ได้ แต่ต้องสอนเขาอบรมเขาให้เข้าใจเรื่องชีวิตที่ถูกต้อง แล้วให้เอาเทปอัดไว้ด้วย เอาไปฟังบ่อยๆ ที่บ้าน สอนเขาให้เข้าใจได้รู้ว่าเป็นผู้ครองเรือนต้องมีอะไร มีธรรมอะไร ให้เป็นธรรมสมรส อย่าเอากิเลสมาผสมกัน มันจะเกิดปัญหาว่าไม่พอใจขึ้นมา ก็แตกแยกแตกร้าว แต่ถ้าเอาธรรมะมาสมรสกัน คือทั้งสองฝ่ายมีธรรมะ มีความเป็นอยู่เหมือนกัน เช่น มีความซื่อสัตย์ตรงกัน มีการบังคับตัวเองเหมือนกัน มีความอดทนอดกลั้นเหมือนกัน มีความเสียสละเหมือนกัน อยู่กันได้ด้วยความเรียบร้อย
คราวนี้ความซื่อสัตย์ที่ควรมีนั้นหมายความว่า ซื่อตรงต่ออะไร ซื่อตรงต่อสิ่งที่เราเคารพสูงสุด สิ่งที่เคารพสูงสุดก็คือพระศาสนา เรานับถืออะไร เรานับถือพระพุทธศาสนา นับถือพระพุทธศาสนาก็คือนับถือพระพุทธเจ้า นับถือพระธรรมคำสอน นับถือพระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า เราจึงกราบ ๓ ครั้ง กราบพระพุทธ กราบพระธรรม กราบพระสงฆ์ เวลากราบก็นึกถึงพระคุณของท่าน นึกถึงความงามความดีของพระพุทธเจ้า นึกถึงความงามความดีของพระธรรม นึกถึงความดีความงามของพระอริยสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วเรากราบเราไหว้
ในชีวิตประจำวันก็เป็นของคนมีความซื่อสัตย์ต่อพระรัตนตรัย ถ้ามีความซื่อสัตย์ต่อพระรัตนตรัยแล้วความซื่อสัตย์ต่ออย่างอื่นจะเกิดตามมา ซื่อตรงต่อคู่ครอง ซื่อตรงต่อเวลา ซื่อตรงต่อหน้าที่ ซื่อตรงต่อประเทศชาติ มันมาหมดเพราะเรามีความซื่อสัตย์ต่อพระรัตนตรัย แต่ถ้าเราไม่มีความซื่อสัตย์ต่อพระรัตนตรัย ไม่ซื่อตรงต่อพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ จิตใจเราวอกแวกออกไปนอกลู่นอกทาง ไอ้เรื่องอื่นมันจะเหลวหมด ความซื่อตรงอย่างอื่นจะเกิดไม่ได้ เพราะไม่มีความซื่อตรงต่อพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เพราะฉะนั้นเรื่องนี้สำคัญมาก ในฐานะเป็นพุทธบริษัทต้องมีความซื่อสัตย์ต่อสิ่ง ๓ ประการ คือ พุทธะ ธรรมะ สังฆะ หรือพูดอีกอย่างหนึ่งว่า มีความจงรักภักดีต่อพระรัตนตรัย
เรารักพระพุทธเจ้าเสมอด้วยชีวิตจิตใจ รักพระธรรม รักพระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า ๓ อย่างนี้ถ้ารวมพูดเอาแต่เนื้อ เอาแต่เนื้อก็หมายความว่า รักพระพุทธ(เจ้า) พระธรรม เพราะธรรมะเป็นสิ่งที่เหลืออยู่ องค์พุทธะที่เป็นเนื้อเป็นหนังนิพพานเผาไปแล้ว แต่ว่าก่อนนิพพานพระพุทธองค์บอกว่า “ธรรมะ เป็นสิ่งแทนเราจะอยู่ในโลกต่อไป” ธรรมะเป็นสิ่งที่เหลืออยู่ เราต้องซื่อตรงต่อพระธรรม ซื่อตรงต่อคุณธรรมความดีความงามทั้งหลายที่พระองค์ได้สอนไว้
จะคิดอะไร จะพูดอะไร จะทำอะไร จะเกี่ยวข้องกับใครเราก็ต้องคิดถึงธรรมะ ไว้ด้วยเสมอ คือนึกว่า เอ๊ะ ธรรมะว่าอย่างไร เรื่อนี้ธรรมะว่าดี เอ้า ทำได้ ถ้าธรรมะว่าไม่ดีทำไม่ได้ ธรรมะว่าทำแล้วเป็นทุกข์เราไม่ทำ ธรรมะว่าทำแล้วเป็นสุขเราทำได้ ทำแล้วเสื่อมเราไม่เอา ธรรมะบอกว่าทำแล้วจะเจริญทำได้ ธรรมะคอยบอกอยู่ถ้าเราคิดถึงก็แล้วบอกเราทันที ความรู้สึกนึกคิดที่ถูกต้องนั้นล่ะเป็นเรื่องของธรรมที่เกิดขึ้นในใจ แต่ว่าคนเราบางทีดื้อ ดื้อ คือไม่เชื่อความคิดที่ถูกต้องที่เกิดห้ามขึ้นมา อยากจะไปท่าเดียว อยากจะทำท่าเดียวเลยดังทุรังไป ดื้อ ไม่เรียบร้อย ไม่ดื้ออย่างเดียวทุกอย่างเรียบร้อย
ท่านเจ้าคุณพุทธทาส ท่านบอกเด็กๆ ทุกคนที่ไปเข้า (53.15 เสียงไม่ชัดเจน) ว่า ไม่ดื้ออย่างเดียวทุกอย่างเรียบร้อย ให้จำไว้แม้ผู้ใหญ่ก็เหมือนกันแหละ ถ้าไม่ดื้อทุกอย่างเรียบร้อย แต่ถ้าดื้อต่อความคิดที่ถูกต้องที่เกิดในใจ เช่น เราจะไปไหน ความคิดแย้งเกิดขึ้นมาว่าอย่าไปเลยไม่ดี ไม่ได้ต้องไป นั้นไงตัวดื้อแล้ว ต้องไปต้องทำ ต้องอย่างนั้นต้องอย่างนี้ความดื้อมันเกิดขึ้นแล้วเราก็เป็นทาสของสิ่งนั้น คือ อยู่ในอำนาจของความดื้อความดัน แล้วปล่อยไปก็เกิดเรื่องได้รับความทุกข์ความเดือดร้อน
เวลาเกิดเรื่องได้รับความทุกข์ความเดือดร้อนแล้วก็ไม่รู้ว่าเราทำเอง เพราะฐานความเชื่อมันไม่ถูกต้อง มีความเชื่อผิดว่าอะไรๆ เกิดขึ้นจากสิ่งนั้น สิ่งนี้ดลบันดาลให้เป็นไป ไอ้อย่างนี้ความผิดไม่ต้องแจง เราอย่าไปคิดเขวต้องรู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตของเราเป็นเรื่องของเราเอง เราสร้างมันขึ้นเองไม่มีใครอื่นมาช่วยสร้าง เราสร้างขึ้นเอง เราดีก็เพราะว่าเราทำให้ดี เราชั่วก็เพราะว่าเราทำให้ชั่ว เราเป็นทุกก็เพราะว่าเราทำเรื่องให้เป็นทุกข์ เป็นสุขก็เพราะมันทำเรื่องให้เป็นสุข มันอยู่ที่เรา ให้เข้าใจอย่างนี้ แล้วก็คอยฟังเสียงกระซิบที่เกิดขึ้นในใจของเรา ว่าเสียงกระซิบนั้นเป็นความคิดถูกต้อง คอยบอกคอยเตือน คอยสังเกตให้ดีเถอะ เช่น เราจะไปไหนบางทีมีเสียงกระซิบขึ้นมา ไม่ใช่ผีสางนางไม้ที่ไหน
มันเป็นความคิดอันหนึ่งที่แฝงอยู่ในสมองของเราในส่วนลึกของจิตใจของเรา คอยบอก บอกอย่าไปนะ อย่าทำนะ อย่าพูดนะ อย่าอย่างนั้นอย่าอย่างนี้ เรามักดื้อ เราไม่ฟังความคิดนั้น ไม่เชื่อความคิดนั้นที่เกิดขึ้น ถ้าเราได้มีความรู้สึกขึ้นอย่างนั้นหยุดคิดก่อนดีไม่ดี ถูกไม่ถูก ไปแล้วจะเสียหาย คิดต่อไปนะ ตามแนวทางนั้น รับรองว่าจะไม่เสียหาย ไม่เกิดปัญหาเพราะเราเชื่อเสียงกระซิบในจิตใจของเรา เสียงกระซิบนั้นเป็นเสียงที่ถูกต้อง เป็นเสียงพระ แต่ความคิดของเราบางทีมันมีความคิดแบบมาร พระมาเตือนมาบอกเรากลับไม่เชื่อ เพราะเราเห็นผิดเป็นชอบเห็นชั่วเป็นดีเห็นทุกข์เป็นสุข เห็นความเสื่อมเป็นความเจริญ มันคิดผิด พอคิดผิดก็เลยไปกันใหญ่เสียหาย
เพราะฉะนั้นจึงต้องมีความเชื่อที่ถูกต้องด้วย ความเชื่อที่ถูกต้องเกิดจากความซื่อสัตย์ต่อพระรัตนตรัย แล้วก็เกิดเห็นว่าไม่ควร บังคับตัวเองอย่าไป อย่าทำ อย่าพูด อย่าคบกับคนนั้น อย่าคบกับคนนี้มันจะเสียหาย เรียกว่าบังคับตัวเอง ควบคุมตัวเอง แต่ใจมันอยากจะไปก็ต้องอดทนหน่อย อดทนไม่ยอมไป ไม่ยอมทำ ไม่ยอมฝ่าฝืนสิ่งที่ถูกต้อง เอาความอดทนมาใช้ แล้วก็ต้องเสียสละคือไม่เอา อะไรไม่ถูกไม่เอา อะไรไม่มีไม่เอา เป็นของที่ทำให้เกิดปัญหาชีวิตเราไม่เอา เราไม่ทำในสิ่งนั้นๆ ถ้าเคยทำมาบ้างก็ต้องเลิกเด็ดขาด ไม่ทำสิ่งนั้นต่อไป
อย่างนี้เป็นความคิดที่ถูกต้องจึงขอให้ญาติโยมช่วยกันคิดพิจารณาเอาไปใช้ในชีวิตสอนลูกสอนหลาน เพราะลูกหลานของเราในสมัยปัจจุบันนี้ปล่อยไม่ได้ ต้องผูกเชือกคอยดึงไว้เหมือนเลี้ยงลิง เอาลิงไปไหนให้มันผูกเชือกไว้ด้วยนะ คอยดึงไว้ไม่ปล่อยนะ ถ้าปล่อยแล้วเกิดเรื่องแล้ว เขาว่ายุ่งเหมือนเชือกขาด ลิงขาด ลิงไม่มีเชือก ลิงมันหลุดเชือกไป เขายุ่งจริงๆ วิ่งกันให้วุ่นไปหมด เขาจะพูดว่ายุ่งเหมือนลิงขาด ก็ลิงขาดจากเชือกมันยุ่ง ใจเราถ้าขาดจากเชือกก็ยุ่ง ลูกหลานไม่มีเชือกคอยดึงมันก็ยุ่งจึงเป็นหน้าที่ของพ่อแม่ ปู่ ตา ย่า ยาย ที่จะคอยดึงคอยรั้ง คอยพูดปลอบโยนจิตใจให้เขาได้เกิดคิดที่ถูกต้อง แล้วสิ่งทั้งหลายก็จะเรียบร้อยเป็นไปด้วยดี แสดงมาก็สมควรแก่เวลาขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้