แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
พุทธบริษัททั้งหลาย ณ บัดนี้ ถึงเวลาของการฟังปาฐกถาธรรมะ อันเป็นหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนาแล้ว ขอให้ทุกท่านอยู่ในอาการสงบ ตั้งอกตั้งใจฟังด้วยดี เพื่อให้ได้ประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการมาวัด ตามสมควรแก่เวลา
อาตมาหายหน้าไปเกือบเดือน คือเดินทางไปต่างประเทศ แล้วก็กลับมาถึงเมื่อวันที่ ๑ กรกฎาคม ตอนเช้า แล้วก็มาปฏิบัติหน้าที่ตามเรื่องที่ควรทำต่อไป ในการเดินทางไปต่างประเทศนั้นไม่ได้ไปเที่ยว แต่ไปเพื่อเผยแผ่ธรรมะแก่ประชาชน โดยเฉพาะชาวไทย ที่ไปตั้งหน้าทำมาหากินอยู่ในต่างประเทศ คนไทยที่ไปอยู่ต่างประเทศนี่อยากจะพบพระ อยากจะฟังธรรมะจากพระอยู่มาก เพราะว่าไปอยู่ต่างแดน ไม่ค่อยได้มีพระไป ไม่ค่อยได้ฟังธรรม ก็อยากจะฟัง จึงได้รวมพวกรวมหมู่กัน ในที่ต่างๆ เพื่อมารับฟังธรรมกัน
อาตมาออกเดินทางเมื่อวันที่ ๕ มิถุนายน วันนั้นเป็นวันอาทิตย์ต้นเดือน ออกโทรทัศน์วิทยุเสร็จแล้วก็เดินทางไป ได้ข่าวว่าการเทศน์ทางวิทยุโทรทัศน์ในวันนั้น เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กัน ในหมู่นักหนังสือพิมพ์หลายแห่ง บางคนก็ชอบ บางคนก็ไม่ชอบ มันเรื่องธรรมดา เราทำอะไรนี่จะให้คนชอบร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ไม่ได้ เกลียดร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ไม่ได้ มันต้องมีคนชอบบ้างชังบ้าง ไม่ถือเป็นอารมณ์ ใครชอบก็ช่างเขา ใครชังก็ช่างเขา เราถือว่าเราทำหน้าที่ในฐานะภิกษุในพระพุทธศาสนา เรียบร้อย ถูกต้อง ก็เป็นอันใช้ได้ คนจะชอบคนจะชังนั้น มันเป็นเรื่องของกิเลส ที่มีอยู่ในใจของคนเหล่านั้น อย่าเอามาเป็นอารมณ์ มีคนถามว่า “หลวงพ่ออ่านหนังสือพิมพ์หรือเปล่า เขาวิพากษ์วิจารณ์” บอกไม่ได้อ่านนะ ไปแล้ว เทศน์เสร็จแล้วก็ไป ไม่ได้อ่าน แล้วก็ไม่จำเป็นจะต้องอ่านด้วย ก็เลยให้ผ่านพ้นไป
ทีนี้ในการเดินทางนั้น คือวันนั้นออกเดินทางเวลา ๒๓ นาฬิกา เครื่องบินออกไปเครื่องบินไทย อาตมาไปไหนนี้ชอบไปกับเรือบินไทย เพราะว่าเรือบินไทยเป็นของคนไทย แล้วก็ผู้ปฏิบัติงานก็เป็นคนไทย นับถือพระพุทธศาสนา จะได้รับความสะดวกสบายตามสมควรแก่ฐานะของพระ ถ้าเราไปเรือบินฝรั่งมันก็ไปได้ แต่ไม่สะดวกเท่าใด คือเขาจัดที่นั่งตามที่เราไปซื้อตั๋ว ให้นั่งตรงไหนก็ได้ เราจะไปเอาตามชอบใจก็ไม่ได้ แต่ว่าเรือบินไทยนั้น แม้ซื้อตั๋วชั้นเศรษฐกิจ (03.53 หลวงพ่อพูดติด จึงน่าจะรวบข้อความเพื่อให้อ่านเข้าใจได้) แต่เมื่อเข้าไปในเรือบินเขาก็เลื่อนให้ไปอยู่ชั้นหนึ่ง นั่งสบายหน่อย ที่กว้างกว่า บางทีก็เป็นที่นอนได้ด้วย ตอนขากลับนี่ได้นอนมาตลอด เพราะว่าที่มันว่างเยอะ มี ๑๘ ที่นั่ง มีคนนั่งเพียง ๓ คน นอกนั้นว่าง เขาก็ให้เลื่อนชั้นขึ้นมา เข้าไปถึงก็ได้นั่งสะดวกสบาย และบริการเรียบร้อย เจ้าหน้าที่ก็ดีอกดีใจที่ได้พบพระ มาสนทนาด้วยบ้าง บางทีก็ได้พบคนที่เคยบวชที่วัดนี้ด้วยซ้ำไป เมื่อตอนกลับนี้ได้พบคนที่บวชที่วัดนี้ ยังถามถึงท่านมหาเวียงว่ายังอยู่หรือเปล่า เพราะบวชแล้วอยู่กุฏิมหาเวียง บอกว่า “ยังอยู่เรียบร้อย ไปอยู่เชียงใหม่ ทำหน้าที่สั่งสอนเด็กอยู่ที่วัดอุโมงค์” เขาบอกว่า “คิดถึงอยากจะไปเยี่ยม แต่ไม่ค่อยมีเวลา” เจอคนอย่างนี้เข้ามันก็สบาย ได้รับความสะดวกทุกประการ ขาไปก็เหมือนกัน เขาก็เลื่อนชั้นให้ ไปนั่งที่สบายหน่อย
ในการไปคราวนี้ มีโยมติดตามไปด้วย ๒ คน เป็นสามีภรรยากัน สามีนั้นเป็นดอกเตอร์ ไม่ใช่หมอ เป็นดอกเตอร์ทางวิศวะ อยู่ที่เมืองเอก แต่ว่าก่อนนี้อยู่อเมริกา ทำงานอยู่ที่โน่นจนเกษียณอายุ แล้วก็กลับมาอยู่เมืองไทย เมื่อรู้ว่า หลวงพ่อจะไป ก็บอกว่าผมขอเป็นลูกศิษย์ไปด้วย เขาเสียสตางค์เขาเอง ไม่ได้เดือดร้อนอะไร ก็เลยพาไปตลอดเส้นทาง จนกลับมา เรียบร้อย ทีนี้ในการเดินทางไปคราวนี้ ก็เนื่องจากคนไทยที่อยู่ประเทศเยอรมัน โดยเฉพาะที่อยู่ใน เบอร์ลิน ซึ่งเคยเป็นเมืองหลวงของประเทศเยอรมันในสมัยก่อนสงครามโลกครั้งที่ ๒ แต่เมื่อสงครามโลกครั้งที่ ๒ จบลง พันธมิตรยึดกรุงเบอร์ลิน แบ่งออกเป็น ๒ ข้าง ด้านตะวันออกกลายเป็นของรัสเซีย ด้านตะวันตกเป็นของพันธมิตร มีอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส เป็นผู้ดูแล เยอรมันก็แตกออกเป็น ๒ เสี่ยง สร้างปัญหาความทุกข์ความเดือนร้อนไม่ใช่น้อย เพราะรัสเซียเมื่อเขาเข้ายึดและเขาก่อกำแพงล้อมเบอร์ลินเสียเลย เบอร์ลินที่เป็นตะวันตกนั้น ถูกกำแพงล้อมหมด เข้าออกลำบาก เจ้าหน้าที่ตรวจค้นถี่ยิบ รถติดกันเป็นแถวเลย ถึงจะเข้าไปได้เพราะกั้นเขตไว้ คนอยู่เขตตะวันออกก็แสนทรมาน มีการหนีมาด้านตะวันตกกันบ่อยๆ ถ้าตำรวจไม่เห็นก็หนีพ้น แต่ตำรวจเห็นก็ยิงตาย คาอยู่ข้างกำแพงนั่นเอง ถึงกระนั้นคนก็ยังพยายามหนี บางทีขุดอุโมงค์จากบ้านที่ตัวอยู่ ลอดกำแพง แล้วก็ไปออกแม่น้ำ ขึ้นในแม่น้ำไปฝั่งตะวันตกได้ ก็เวลานี้เขารื้อกำแพงหมดแล้ว ก็เยอรมันรวมตัวกันใหม่เป็นเยอรมันเดียว ไม่มีตะวันตกตะวันออก แต่ว่าก็สร้างปัญหาพอสมควร เพราะด้านตะวันออกนั้นไม่เจริญ ไม่ก้าวหน้า รัสเซียเข้าไปยึดครองทำให้เศรษฐกิจตกต่ำ ทำให้คนไร้งานลำบาก พอรวมตัวเข้า ก็คนที่ลำบากด้านตะวันออก ก็ต้องมารวมกับตะวันตก ทางตะวันตกก็ต้องอุ้มคนจำนวนมากที่อ่อนเพลีย เหมือนกับอุ้มคนพิการ แต่ว่าคนเยอรมันเขาเป็นคนเข้มแข็ง เอางานเอาการ ทำอะไรทำจริง เศรษฐกิจจึงมั่นคง เงินของคนเยอรมันเขาเรียกว่าเงินมาก เป็นเงินที่แข็ง ราคาไม่ค่อยตก เพราะว่าเศรษฐกิจเขาดี เขาผลิตวัตถุออกขาย ล้วนแต่ของดีทั้งนั้น เช่นรถนี่รถเบนซ์นี่เป็นรถชั้นหนึ่งของโลก แล้วก็มีรถอื่นๆ มีหลายยี่ห้อ ไม่ว่าของอะไรที่เขาผลิตขึ้นขาย เขาต้องทำให้ดีเป็นพิเศษ แล้วก็ส่งไปขายต่างประเทศ เศรษฐกิจก็ดีขึ้นโดยลำดับ ไม่ตกต่ำ
เวลานี้เยอรมันก็รวมตัวกันเข้าได้แล้ว แล้วก็คิดจะย้ายเหมืองหลวงกลับมาจากเมืองบอนน์ มาอยู่เบอร์ลินตามเดิมต่อไป เมืองเบอร์ลินเป็นเมืองใหญ่ ตึกรามบ้านช่องที่สร้างไว้แข็งแรง (09.05) ถูกระเบิดไปบ้าง นิดๆหน่อยๆ แต่เขาก็ซ่อมใหม่ทำใหม่ขึ้นอย่างเรียบร้อย มีระเบียบ มีความสวยงาม ทำอะไรเขาทำอย่างมีแบบมีแผน ไม่ได้ทำอย่างลวกๆ สร้างอย่างแข็งแรง
อาตมาเคยเดินทางไปเบอร์ลินเป็นครั้งที่ ๓ คราวนี้ก็ไปขึ้นเรือบินไทยไปลงที่เมืองแฟรงก์เฟิร์ต เมืองแฟรงก์เฟิร์ตเป็นเมืองใหญ่ มีสนามบินเป็นสนามบินระหว่างชาติ สนามบินเขาใหญ่โตมาก เดินในบริเวณสนามบินนี่ก็เหนื่อย กว่าจะถึงที่เราต้องการ จะไปขึ้นเรือบินก็เดินกันเหนื่อย เหงื่อไหล กว่าจะได้ไปถึงที่ที่ต้องการได้ เพราะว่าเขาตั้งใจทำให้ใหญ่โต เพราะจะไปทำที่เบอร์ลินมันก็ไม่ได้ ถูกยึดครอง เลยสร้างแฟรงก์เฟิร์ตให้ใหญ่ เรือบินนานาชาติมาลงกัน เรือบินไทยไปถึงก็เวลา ๖โมงเช้า ใช้เวลาบิน ๑๕ ชั่วโมงนั่งไปในเรือบิน เมื่อไปถึงก็ลงจากเรือบินแล้วก็ ข้าวของนี้ไม่ต้องไปลำบาก เพราะ Check เรียกว่าไปตลอดทาง ให้เขาไปขึ้นต่อเรือบินอื่นต่อไป เราไม่ต้องไปขน เรียกภาษาว่า Check through เบอร์ลิน เขาก็ส่งไปเข้าเรือบินที่เราจะไปเบอร์ลินต่อไป แต่ว่าก่อนที่จะขึ้นเรือบินไปเบอร์ลิน ก็เที่ยวเดินหาที่ที่จะไปเอาตั๋ว เพื่อขึ้นเรือบิน เดินกันเหงื่อไหลพอสมควร แล้วจึงไปพบแล้วก็จัดการเรื่องตั๋วได้เรียบร้อย
นั่งต่อไปถึงเบอร์ลินเวลา ๑๐ โมงครึ่ง ก็ทันเพลพอดี มีคนที่มารับชื่อคุณศศิธร นครศรี ชื่อศศิธรนี่บอกใครเขานึกว่าผู้หญิงทุกที ความจริงไม่ใช่ เป็นผู้ชาย แต่ว่าชื่อเป็นผู้หญิง ชื่อมาอย่างนั้น เป็นคนที่อยู่นี้ คนเมืองไทย เป็นน้องชายคุณสมพงศ์นครศรี ที่บริษัทบางกอกเคเบิ้ล แล้วก็ไปอยู่ที่นั่น ไปเรียนหนังสือก่อน เรียนหนังสือจบแล้ว เลยไม่กลับประเทศ ทำมาหากินอยู่ที่นั่น เปิดร้านค้าขายเครื่องวิทยุโทรทัศน์ของญี่ปุ่น ร้านใหญ่พอสมควร อยู่ที่เบอร์ลิน การค้าการขายก็เป็นไปสะดวกสบายดี มีฐานะพอใช้ได้ ก็เลยเป็นหัวหน้าติดต่อมายังพี่ชาย ให้จัดการนิมนต์หลวงพ่อไปอีกครั้งหนึ่ง คุณสมพงศ์ก็ได้ช่วยจัดการเรื่องตั๋วให้เป็นการเรียบร้อยทั้งไปทั้งกลับ
เมื่อไปถึงเบอร์ลินก็พาไปพักที่บ้าน เพราะที่นั่นก็มีวัดเพิ่งตั้ง แต่ว่าไม่สะดวกเท่าไหร่ เพราะวัดไปเช่าอยู่ข้างล่าง แล้วก็มีห้องข้างล่างเขาเรียกว่าห้องใต้ถุน แต่ที่โน่นเขาเรียกว่า Basement เป็นโรงครัว เป็นที่ทำอะไรต่ออะไร คับแคบ จะไปพักก็ไม่สะดวก เลยพักที่บ้าน กว้างขวางกว่า สบายกว่า แล้วก็ทำหน้าที่ไปพบกับคนที่วัด เทศน์ให้เขาฟังสองสามครั้ง ชาวบ้านก็มาประชุมกันฟัง จำนวนมากพอสมควร คือเต็มสถานที่ เพราะที่มันก็ไม่กว้างเท่าใด จุคนประมาณ ๖๐ คนเท่านั้นเอง แต่ก็มากันเต็ม ฟังกันด้วยความตั้งอกตั้งใจ สองสามครั้ง แล้วก็มีอยู่วันหนึ่ง เขานิมนต์ไปที่พุทธสมาคมของชาวเยอรมัน คนเยอรมันเขาตั้งเป็นสมาคมขึ้น แล้วก็เขาก็มานั่งฝึกสมาธิกัน วันนั้นไป ก็มีคนประมาณ ๒๐ คน เป็นคนเยอรมันทั้งนั้น อาตมาพูดภาษาเยอรมันไม่ได้ ก็ต้องใช้คนไทยที่เป็นผู้หญิง ๒ คน ช่วยกันแปล เรียกว่า ช่วยกันแปลกัน ๒ คน กว่าจะเสร็จได้ก็เหนื่อยเต็มที คนแปลก็ คือว่าภาษาถ้าพูดธรรมดาเขาก็พูดคล่องนะ แต่ถ้าพอให้พูดเป็นธรรมะธัมโมมันชักจะไม่คล่องเท่าไหร่ แต่ก็พูดกันได้ แล้วก็ให้เขาถามปัญหา ก็ตอบกันไปตามเรื่อง ก็เป็นที่พอใจของผู้ฟังพอสมควร
แล้วก็เดินทางไปเมืองหนึ่งชื่อเมืองฮัมบูร์ก เมืองฮัมบูร์กนี้เป็นเมืองท่าเรือ ท่าเรือใหญ่ของเยอรมันอยู่ที่นั่น ถ้าไปที่ท่าเรือจะเห็นรถเบนซ์จอดเต็มไปหมด รอการลงเรือเพื่อส่งไปขายต่างประเทศ เป็นเมืองที่มีความมั่งคั่ง แล้วก็มีสมาคมไทยเยอรมันอยู่ที่นั่น ส่งเสริมวัฒนธรรมไทยกับเยอรมัน ก็ไปที่สมาคมนั้น ไปนอนที่นั่น แล้วก็ชาวบ้านเขาก็มากันในตอนกลางคืน มาฟังธรรมกัน ก็เทศน์ให้ฟัง คนมาฟังประมาณ ๓๐ คน เรียกว่าเท่าที่มาได้ แล้วก็รุ่งเช้าขึ้น ก็มาอีกทีหนึ่งตอน ๑๐โมง เขามีการถวายสังฆทาน สังฆทานเป็นวัตถุสิ่งของ ถวายแล้วจะออกไปไหนก็ลำบาก ก็เลยทิ้งไว้ที่นั่น เอาแต่ปัจจัยที่เขาถวาย เอามาก็ไม่ได้เอามาถึงนี้ ไปพบวัดที่ถวายได้ก็ถวายไป เวลาไปเทศน์ที่วัดก็คนเขาติดหน้ากัณฑ์ใส่ซอง อาตมาบอกว่า “ไม่เอา ถวายวัดไว้ที่นี่แหละ”
ที่วัดนั่นมีพระ ๒ องค์ เป็น พระหนุ่มๆ องค์หนึ่งเป็นเปรียญ ๙ ประโยค สอบพุทธศาสตรบัณฑิต มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (15.14 เพื่อความเข้าใจควรใส่ชื่อเต็ม) วัดมหาธาตุฯได้ แต่ว่ายังหนุ่มเกินไป อีกองค์หนึ่งก็สอบไม่ถึง เปรียญไม่สูง แต่ว่าก็สอบได้พุทธศาสตร์ ก็ยังหนุ่มทั้งคู่ ชาวบ้านที่อยู่นั้นก็บ่นปอดๆ แปดๆ คือไม่ค่อยจะพอใจเท่าไหร่ เพราะว่าคนหนุ่มมักจะทำอะไรตามใจตัว ตามอารมณ์ ไม่ค่อยคิดเหตุคิดผลเท่าใด ชาวบ้านก็บ่นไม่ค่อยพอใจเท่าใดนัก แต่ก็พออยู่กันไปได้ อยากจะเปลี่ยนอยู่เหมือนกัน แบบกบเลือกนาย ก็ลำบาก บอกว่า “เอาไปก่อน เท่าที่ได้ จะหาดีๆ มันก็ยังไม่ได้” แล้วบอกว่า “ส่งมาจากวัดชลประทานฯบ้างไม่ได้หรือ” บอกว่า “ยังส่งไม่ได้ ตอนนี้พระยังไม่พอ งานที่วัดก็ยังเยอะกันอยู่ ต้องทำงานกันทุกองค์ ถ้ามีเวลา ต่อไปข้างหน้า อาจจะส่งมาให้บ้าง” เขาก็พลอยดีใจล่วงหน้าไว้ เหมือนเด็กดีใจว่าจะได้กินขนม เขาก็คิดกันอย่างนั้น แล้วก็ไปฮัมบูร์ก ก็เหมือนกัน ชาวบ้านเขาก็มาฟังกัน สนทนาพาทีกันในเรื่องชีวิต ปัญหาชีวิตอะไรต่างๆ ก็สะดวกสบาย คนส่วนมากที่ไปอยู่นี้เป็นพวกผู้หญิง คือไปได้สามีเป็นฝรั่ง แล้วเวลามาฟังธรรมก็เข็นเอาฝรั่งมาด้วย ฝรั่งก็มานั่ง ไหน ฟังไม่รู้เรื่อง ไม่รู้ว่าพระพูดว่าอะไร แต่ว่าพอเข้ามาพบพระ ก็บอกว่า “เอ้า ไหว้ กราบพระเสีย เอ้า ทำอย่างนี้ ทำอย่างนี้” ไอ้ฝรั่งมันก็ดี สุดแล้วแต่เมียสอน เมียให้ทำอะไรก็ทำได้ทั้งนั้นแหละ แล้วภรรยาก็หาพระเครื่องเอาไว้ให้ฝรั่งห้อยคอ เป็นเครื่องหมายว่าผัวกูนะคนนี้เพราะมีเพราะห้อยคอไว้ ก็ดีไปเหมือนกัน ฝรั่งก็พอใจ ห้อยเหมือนกัน ตุ้งติ้งไปตามเรื่อง เขาไม่รู้ความหมาย เพราะว่า พูดไทยไม่ได้ แต่ก็เลยบอกกับพวกแม่บ้านว่า “พวกคุณนี่แหละจะช่วยเผยแผ่ธรรมะได้ ไม่ต้องอะไรมาก อยู่กันเรียบร้อยก็แล้วกัน อย่าไปเล่นไพ่กันให้มันบ่อยเกินไป” เพราะว่าผู้หญิงไทยเรามันอย่างนั้นแหละ พอว่างแล้วก็ไปสวนสาธารณะ ไปล้อมวงเล่นไพ่กัน ไอ้พวกหนึ่งก็ไปขายส้มตำมะละกอกัน ก็ขายแตงโม ขายน้ำแข็ง ให้พวกเล่นไพ่สะดวกสบายหน่อย แล้วบอกว่า “อย่าไปทำอย่างนั้น ถ้าทำอย่างนั้นไม่ได้ช่วยเผยแผ่ศาสนาอะไร ฝรั่งเขาจะเบื่อ เบื่อว่าเมียไทยนี่มันไม่ไหว ชอบไปร่วมวงกันเล่นไพ่ ทำให้เขาเบื่อหน่าย” แต่ฝั่งผัวก็ดีเหมือนกัน ขับรถไปส่งเมียให้ไปนั่งเล่นไพ่กัน พอได้เวลาก็ขับรถรับกลับบ้านนะ เขาก็ใช้ได้นะ ผัวนี่ก็ใช้ได้ แต่เมียมันชักจะไม่ได้เรื่องอยู่เหมือนกัน ก็เลยเทศน์ให้ฟัง ฟังแล้วก็หัวเราะกันคิกๆคักๆ นึกเป็นของขำไปว่า พระนี่สอนอะไรก็ไม่รู้ สอนไม่ให้เล่นไพ่ ไม่ให้ดื่มเหล้า ไม่ให้เกเร มีเงินหาได้ สะสมไว้บ้าง เผื่อกลับบ้านก็จะได้เอามาใช้ แล้วก็ส่งไปให้คุณพ่อคุณแม่บ้างตามสมควร เราสอนเขาอย่างนั้น สอนในเรื่องที่เขาบกพร่อง ให้เขาได้เกิดความรู้ความเข้าใจ
แต่มีคนหนึ่ง ผู้หญิงคนนั้นได้สามีเป็นหัวหน้าผู้อำนวยการ ตำแหน่งผู้อำนวยการสวนสัตว์ เหมือนกับเขาดินนี่ คล้ายๆ กับผู้อำนวยการเขาดิน เขาก็บอกว่า “นิมนต์หลวงพ่อไปชมสวนสัตว์ในบริเวณสวนสัตว์หน่อย” บอกว่า “วันนี้ถ้าวันปรกติเขาไม่เปิด แต่ว่าหนูจะบอกสามีให้เปิด” เลยไป สามีก็มานำไปดูตลอดเวลา ดูสิงโต ดูหมี ดูนก ดูอะไรต่างๆ เข้าได้ทุกหนทุกแห่ง สามีเขาช่วยแนะนำ ภรรยาก็เป็นคนเรียบร้อย แล้วก็ได้ช่วยแปลด้วยเวลาเทศน์นี่ ๒ คนช่วยกัน ช่วยกันคิด ช่วยกันแปลกัน ให้ฝรั่งได้ฟังกัน ก็พอจะได้ประโยชน์บ้างตามสมควร พักอยู่ตรงเบอร์ลินก็ ๔ วัน แล้วก็ออกเดินทางต่อไปประเทศเบลเยียม ประเทศเบลเยียมนี่เป็นประเทศที่สำคัญเวลานี้ ประเทศเล็ก ไม่ใช่ประเทศใหญ่ แต่เขาถือว่าเป็นศูนย์กลางของตลาดยุโรป เขาเรียกว่า อีซี ภาษาฝรั่งเขาเรียกว่า EC หรือ Common Market หมายความว่า ตลาดกลางยุโรป สำนักงานใหญ่อยู่ที่นั่น ข้าราชการไทยเราก็ไปอยู่ที่นั่นด้วย ไปคอยดูแลการค้าการขาย จะขายอะไรกับพวกเหล่านั้นก็ไปติดต่อที่นั่น เขามีสำนักงานใหญ่โตมาก ก็เลยโปรแกรมว่าจะต้องไปที่นั่นด้วย เพราะมีคนไทยไปทำงานอยู่มากมายพอสมควร ก็เลยไป ก็ไปที่เมืองเขาเรียกว่า แอนท์เวิร์ป เมืองแอนท์เวิร์ป นี้มันอยู่เป็นเมืองที่ ๒ ของกรุง บรัสเซลส์ เบลเยียมมีกรุงบรัสเซลส์ เป็นนครหลวง แล้วเมืองแอนท์เวิร์ป นี้เป็นเมืองที่ ๒ เป็นท่าเรือเหมือนกัน เรือจอดอยู่หลายลำ
ไปพักที่บ้านโยมผู้หญิงคนหนึ่ง สืบไปสืบมาก็เป็นชาวเมืองนนท์นี่เอง เป็นคนบ้านสวนใหญ่เมืองนนท์นี่ แกไปอยู่หลายปีแล้ว แล้วก็ทำมาค้าขาย สั่งพวกผลหมากรากไม้จากเมืองไทยไปขายที่นั่น ส่งทางเรือบินไปลงที่เมืองบรัสเซลส์แล้วไปรับเอามาส่งขายในตลาด อาชีพพอใช้ได้ พอเป็นพออยู่ แล้วก็ไปสร้างบ้านอยู่ในบริเวณที่เรียกว่า ย่านอยู่อาศัย อยู่สงบๆเงียบๆ มีบ้านสบาย เอาไปพักที่บ้านแกเลย แล้วก็คนก็มานอน เขากางเต็นท์นอนข้างบ้าน หลายคนมาอยู่ร่วมกัน แล้วก็นัดคนมาฟังเทศน์กันในวันอาทิตย์ ก็พักอยู่ ๓ คืน ก็ไปถึงวันศุกร์ พักวันเสาร์ วันเสาร์นี่เข้าไปในเมือง ไปที่สำนักงานเขาเรียกว่า ศุลกากรของไทย เจ้าหน้าที่ศุลกากรไปตั้งอยู่ที่นั่น ไปติดต่อเรื่องเกี่ยวกับสินค้าที่จะส่งมาเมืองไทย แนะนำเขาว่าสินค้าประเภทนี้ ส่งไปเมืองไทยควรจะเสียภาษีเท่าไหร่ ไปเป็นที่ปรึกษาแก่พวกพ่อค้าทั้งหลายในเมืองเบลเยียม ไปให้ความสะดวก มีเจ้าหน้าที่ไปอยู่สี่ห้าคน ซื้อบ้านหลังหนึ่งเป็นสำนักงาน เป็นบ้านแบบคนไทยอยู่ ขับรถไปกว่าจะถึงนี่ก็ลำบากพอสมควร เพราะอยู่นอกเมืองไปหน่อย แต่ว่าก็สบายเงียบดี บ้านเมืองเขาสวยงาม มีการจัดระเบียบเรียบร้อย ไปที่บ้านนั้นก็ไปฉันอาหาร หลังอาหารก็แสดงธรรมให้เขาฟัง แสดงธรรมทุกบ้าน ไปที่ไหนก็แสดงธรรมกัน เสร็จแล้วก็พาไปชมบ้านชมเมือง ไปดูสถานที่ต่างๆ ที่เป็นของน่าดู
ไปดูที่แห่งหนึ่งเขาเรียกว่า วอเตอร์ลู วอเตอร์ลูนี่เป็นชื่อบ้านแห่งหนึ่ง สมัยก่อนนี่เป็นสนามรบใหญ่ คือนโปเลียนรบกับอังกฤษที่นั่น อังกฤษชื่อ ดยุค ออฟ เวลลิงตัน ชื่อนี้เขาเอาไปตั้งเป็นชื่อเมืองหลวงของประเทศนิวซีแลนด์ เรียกว่าเวลลิงตัน เวลลิงตันนี้เป็นแม่ทัพบก รบกับนโปเลียนที่นั่น นโปเลียนแพ้ แพ้ถูกจับได้ จับได้เขาเลยเอาไปไว้ที่เกาะ ไม่ได้ขึ้นเกาะกลับมาอีก นโปเลียนนี่เป็นนักรบใหญ่ เที่ยวรบใครต่อใครทั่วยุโรป ปราบหมดยกเว้นรัสเซีย รัสเซียนี่รบไม่ไหว พอไปรบได้หน้าร้อน แต่ว่า บุกเข้าไป บุกเข้าไป จนถึงเมือง (23.58 เสียงไม่ชัดเจน) เมืองหลวง แต่พอถึงฤดูหนาว รัสเซียลุกขึ้นตีโต้เลย พอตีโต้ทหารนโปเลียนแย่ เพราะมันหนาว ที่อยู่อาศัยก็ไม่ดีพอ อาหารขาดแคลน แพ้ แพ้รัสเซีย รัสเซียนี่เอาชนะข้าศึกด้วยเจ้าแม่เหมันต์ เขาเรียกว่าฤดูหนาวช่วย ฮิตเลอร์บุกรัสเซียก็เหมือนกัน บุกเวลาหน้าร้อน บุกไป บุกไป เขาไม่ว่าอะไร เขาก็ถอยเรื่อย ถอย แล้วก็เผาหมด เผาบ้านช่องหมด ไม่มีที่อยู่อาศัย พอถึงฤดูหนาว ทัพรัสเซียก็โจมตีฮิตเลอร์ ฮิตเลอร์ก็ต้องถอย ถอยก็ถอยลำบาก ต้องทิ้งสิ่งทั้งหลายทั้งปวง แพ้ ฮิตเลอร์จบชีวิตด้วยการโจมตีรัสเซีย เพราะรัสเซียนั้นเขาเอาฤดูหนาวไว้ช่วย พอฤดูหนาวมาก็ตีโต้ ข้าศึกราบคาบไปทุกที
ประเทศไทยเรานี่ มาสร้างเมืองหลวงที่กรุงเทพนั้นเพื่ออะไร เพื่อเอาน้ำรบกับพม่าไง ไม่ใช่เรื่องอะไร เพราะว่ากรุงเทพพอหน้าน้ำมันท่วมหมดเลย เป็นน้ำไปทั้งเมือง ทั้งทุ่ง นี่เรามาตั้งเมืองอยู่ พม่ามาโจมตี พอถึงหน้าร้อน เขาก็มา เดินมา เดินมาด้วยเท้า กว่าจะมาถึงจะได้รบกันนั้นก็เหนื่อยเต็มที แล้วก็รบกัน เพราะว่าเริ่มฝนตก เดือนพฤษภาคม มิถุนายน นี่ฝนเริ่มตก น้ำเริ่มมาแล้ว พม่าก็ต้องถอย เราก็คอยตีกระหน่ำท้ายพม่า พม่าก็ถูกไล่ตีกลับไปบ้านไปเมือง เมืองไทยอยู่รอดเพราะน้ำนั่นเอง ไม่ใช่เรื่องอะไร นี่เรามันต้องนึกถึงน้ำไว้บ้างว่า น้ำนี่มันช่วยบ้านช่วยเมืองอยู่เหมือนกัน อย่าทำลายน้ำให้เสียหาย อย่าทิ้งสิ่งโสโครกลงไปในแม่น้ำลำห้วยลำคลอง ซึ่งสมัยนี้ลำห้วยลำคลองในกรุงเทพเน่าหมดแล้ว แม่น้ำในเจ้าพระยาก็จะเน่าแล้ว เพราะเราไม่ได้นึกถึงบุญคุณของน้ำ ช่วยกันทำลายสิ่งต่างๆให้เสียหาย ทำลายสิ่งแวดล้อม เกิดปัญหา คนก็ได้รับความทุกข์ความเดือดร้อนต่อไป ความจริงน้ำช่วยเรามาหลายยุคหลายสมัย ให้อยู่รอดปลอดภัย ประเทศรัสเซียก็อาศัยน้ำแข็ง ช่วยตัวรอดมาได้เหมือนกัน จึงชนะข้าศึกได้อย่างง่ายดาย
ทีนี้สงครามที่วอเตอร์ลู เค้าทำคล้ายกับเจดีย์ใหญ่เลย สูงตั้ง ๔๕ เมตร แล้วเอาสิงโตตัวหนึ่งไปยืนอยู่บนยอดนั้นแหละ สิงโตตัวนี้เขาเก็บเหล็ก ปืนใหญ่บ้าง อะไรต่ออะไร พวกเหล็กๆที่มารบกัน ที่เค้าแพ้แล้วทิ้งไว้ เอามาหล่อ หลอมเป็นสิงโต ไปยืนอยู่บนยอดภูเขานั้น พวกเราไปถึงมันเย็นแล้ว เขาปิดเสียแล้ว ไม่ให้ขึ้น ก็เลยยืนดูห่างๆ พอได้รู้ว่า อ้อ! นี่แหละสมรภูมิ ถ้ายืนหลับตานึกได้ยินเสียงปืนบ้าง เสียงดาบบ้าง ตีกันรบกันในทุ่งนั้น ทุ่งมันใหญ่ แต่ว่าเป็นรบครั้งสุดท้ายของนโปเลียน นโปเลียนนี่แกรบ เคยแพ้ครั้งแรกทีหนึ่งแล้ว ไม่ใช่แพ้ตรงนี้ แพ้ที่อื่น แพ้ก็ถูกจับไปปล่อยเกาะเหมือนกัน ไปปล่อยเกาะแล้วแกหนีขึ้นมาได้ หนีจากเกาะนั้นขึ้นมาอีก รัฐบาลกรุงปารีสก็ส่งทหารไปคอยดัก จับ ยิง เวลาไปนโปเลียนแกรู้ว่าทหารดักแกตรงนั้น แกก็เดินอย่างสง่าผ่าเผยมาเลย เดินมา ทหารประทับปืนขึ้น นโปเลียนบอก “เอ้า! ยิงสิ ยิงนายเก่าของท่านสิ ยิงแม่ทัพของท่านสิ” ทหารยิงไม่ได้ ไม่รู้ว่ามีพระหลวงพ่อคูณหรือเปล่า เหมือนยิงไม่ได้ ไม่ใช่เพราะพระหลวงพ่อคูณอะไรนะ มันนึกถึงความเก่า อันนี้ แม่ทัพของเรา เป็นแม่ทัพผู้กล้าหาญที่นำประเทศฝรั่งเศสออกสู่สมรภูมิ เคยชนะมาทั้งนั้น แต่มาเสียท่าถูกจับไปปล่อยเกาะ แต่ถูกปล่อยเกาะ แกไม่ได้เป็นทุกข์อะไร แกก็ปกครองก่อนนั้น จัดการปกครอง พอขึ้นเกาะก็เดินสำรวจทั่วเกาะเลย เป็นคนไม่รู้จักเหน็ดไม่รู้จักเหนื่อย เดินสำรวจทั่วเกาะว่าควรจัดอะไรบ้าง แล้วก็จัดการปกครองเกาะให้เรียบร้อย แล้วแกก็หาช่องทาง ชิ่งลงเรือเล็กหนีขึ้นฝั่งได้ มาเป็นพระเจ้าแผ่นดินต่อไป แต่ว่ารบกันอีกไง
ขณะ นโปเลียนขึ้นฝั่งนี่ ที่กรุงเวียนนากำลังร่าเริง สนุกสนาน ฉลองชัยกันอยู่ กำลังฉลองเต้นรำ เลี้ยงเหล้า เลี้ยงอะไรกัน สนุก มีคนไปรายงานบอกว่า “นโปเลียนขึ้นแผ่นดินแล้ว” พวกนั้นหยุดทันที หยุดกินเหล้า หยุดเต้น หยุดรำ หยุดหมดเลย เพราะว่าข้าศึกใหญ่มาอีกแล้ว ก็ต้องหยุดคิดกันว่าจะสู้รบกันอย่างไร ก็เลยรบกันต่อไป ก็มาจอดที่วอเตอร์ลูนี่ แม่ทัพอังกฤษเป็นคนสำคัญ เอาชนะนโปเลียนได้ จับได้ส่งเกาะ แล้วไม่ได้ขึ้นต่อไป ตายในเกาะนั้น แต่ตายแล้วเขาก็เอาศพแกมาฝังไว้ใจกลางกรุงปารีส สร้างโดมใหญ่เหมือนพระที่นั่งอนันต์ บริเวณกว้างขวาง เป็นที่ฝังศพนโปเลียน ซึ่งเป็นจักรพรรดิของเขา เขายกย่องกันอย่างนั้น คนอังกฤษที่รบกับนโปเลียนเก่งนี้มี ๒ คน ดยุค ออฟ เวลลิงตัน นี่ชนะทางบก (29.52 ข้อความไม่ต่อเนื่องกันกับข้อความข้างหน้า คาดว่าเทปอาจหายไปบางช่วง) เขาเรียกว่า ลอร์ดเนลสัน แขนด้วน เขาทำรูปยืนอยู่ที่ทราฟัลการ์สแควร์ ทราฟัลการ์สแควร์นั้นคือชื่อของสนามรบในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน กองทัพเรือของหลอดเนลสัน กับกองทัพเรือนโปเลียนประจัญบานกันเป็นการใหญ่ ทัพนโปเลียนแพ้ ลอร์ดเนลสันก็ได้ชื่อว่าชนะนโปเลียน แล้วก็ทำเสาสูง สูงกว่าต้นมะพร้าว (30.22) หลายๆ ๑๐ เมตร แกไปยืนอยู่บนนั้น แล้วก็ข้างล่างมีสิงโต ๔ ตัว เป็นเครื่องประดับ คนไทยเรามันมีอารมณ์ขัน คนไทยบางคน ไปได้ เฮ ยืนอยู่บนยอดเสา ลงไม่ได้ เพราะสิงโต ๔ ตัวมันคอยกกอยู่ข้างล่าง คนไทยเรามันมีอารมณ์ขัน ไปไหนเขาก็ตีความให้มันขบขัน ความจริงสิงโตเขาทำประดับไว้อย่างนั้น แต่เขาพูดว่า “นี่แหละ ลงไปยืนอยู่บนยอดนั้น ลงไม่ได้เพราะตัวมันคอยจ้อง” เลยยืนอยู่ที่ทราฟัลกาสแควร์ ในใจกลางเมืองลอนดอน คนนี้เขาเป็นนักรบเก่งเหมือนกัน
นี้เมื่อไปประเทศเบลเยียมก็พักที่บ้านของแม่คนนั้น เขาเรียกแม่เล็ก แต่ชื่อจริงแกไม่ได้ชื่อนั้นนะ และก็ แกก็เอาใจใส่ดี ช่วยเหลือในกิจกรรมที่ทำ นัดคนมาชุมนุมกัน เลี้ยงข้าว เลี้ยงอาหาร แสดงธรรม อะไรกันไปตามเรื่อง พักอยู่ ๓ คืน ที่บ้านนั้น แล้วก็เดินทางต่อไป จากประเทศเบลเยียมก็ไปประเทศฝรั่งเศส
ประเทศฝรั่งเศสนี่คนไทยไปลำบาก ถ้าไม่ได้วีซ่าไปจากประเทศไทย เข้าประเทศฝรั่งเศสไม่ได้ เขาไม่ให้เข้า แต่อาตมาก็วีซ่าไปเรียบร้อย จะเข้าฝรั่งเศส แต่ว่าพอไปออกจากเบลเยียม ไปผ่านด่านที่จะเข้าฝรั่งเศสนะ ก็นายด่านมันนั่งเฉย เราก็เบาๆ เครื่อง เบาเครื่องแล้ว มันก็ทำท่า บอกว่าไปได้ มันไม่ตรวจเลย หนังสือเดินทางไม่ได้ตรวจ ไม่ได้ประทับตราอะไร ปล่อยเข้าไปเฉย ขับรถไป เพราะเขานึกว่าเป็นคนมาจากประเทศเยอรมัน เพราะรถนั่นมันรถเยอรมัน ข้างหน้ารถมันก็เขียน ข้างท้าย ข้างหน้าก็เขียนตัว D D นี่หมายความว่าดอยซ์แลนด์ ประเทศเยอรมันเขาเรียกตัวเขาเองว่า ดอยซ์แลนด์ ประเทศดอยซ์ ไม่ใช่ดอยอย่างภูเขาสูง แต่ว่าดอยซ์แลนด์ เขาไม่เรียกเยอรมันนะ อังกฤษเรียกเยอรมัน เราเรียกว่าเยอรมันตามอังกฤษ แต่คนเยอรมันเขาเรียกว่า ดอยซ์แลนด์ ธนาคารของเยอรมันที่กรุงเทพเขาเรียกว่า ดอยซ์เหมือนกัน ขึ้นต้นคำว่า ดอยซ์ คือใช้ เขามีตัว D เขียนไว้ มันมองเห็นตัว D เอ้า มาจากเยอรมันไปได้ แต่ความจริง มีคนไทยนั่งไปด้วย สามคนที่มีพาสปอร์ต แต่มันไม่สนใจ ไม่ได้ทับตรง ทับตราอะไรหรอก แต่ถ้าไปทางเรือบินนะไม่ได้ เขาตรวจแข็งแรง ถ้าไม่ได้วีซ่าไป ก็ไม่ให้เข้าเมือง กักไว้สนามบินนั่นแหละ แต่นี้ไปได้เรียบร้อย
เข้าไปได้ถึงปารีส ก็ไปพักที่วัด ในกรุงปารีสมีวัดชื่อว่า ธรรมาภิรมย์ มีพระอยู่ประจำในเวลานี้มี ๒ รูป พระองค์หนึ่ง ชื่อ พระพีรพัฒน์ คือพระพีรพัฒน์นี่เป็นเชื้อสายจักรีเหมือนกัน คือ เป็นหลานของกรมพระนครสวรรค์ ตำแหน่งก็เป็นหม่อมราชวงศ์นั่นแหละ เหมือนกับหม่อมราชวงศ์สุขุมพันธ์อะไรนี่ ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง เป็นนักวิชาการ ชอบพูดอะไร ดังๆ อยู่พอสมควร องค์นี้ก็เหมือนกันนะ แกก็พูดจาโผงผางอยู่พอสมควรเหมือนกัน แต่บวชเมื่ออายุ ๒๙ ที่จังหวัดเชียงใหม่ มีความรู้ทางภาษา เพราะเคยเรียนในมหาวิทยาลัยประเทศญี่ปุ่น แล้วก็รู้ภาษาฝรั่งเศส เลยเขาให้ไปอยู่ที่นั่น เท่ากับว่าเป็นหัวหน้า แต่หัวหน้าจริงๆ นั้น มีองค์หนึ่ง แต่เวลานี้เป็นมะเร็งต้องกลับบ้าน มานอนรอความมรณภาพอยู่ที่บ้านของท่านที่เชียงใหม่ ท่านก็ได้เป็นหัวหน้า ท่านก็ไปซื้อบ้านหลังหนึ่ง เป็นบ้านเก่าแก่พอสมควร มีหน้ากั้น ชั้นใต้ถุนเพิ่ม (34.40) สองสามชั้น สี่ชั้น ชั้นบน (34.39 เสียงไม่ชัดเจน) ก็อยู่กันสบาย โยมไปกันหลายคน ติดตามไป พวกคุณศศิธรนี่ ๔ คน โยม อาตมา ๒ เป็น ๖ คน ก็พักที่นั่น มีห้องให้พัก มีน้ำมีท่า สะดวกสบาย อาตมาก็พักในห้องพระชื่อว่าพระชาติ ชื่อชาติ พระชาตินี้เคยส่งเงินมาที่ศูนย์สืบพระพุทธศาสนาหลายครั้ง รู้จักกับมหาสง่า มหาสง่าเขาบอกไว้ว่า ถ้าไปปารีสให้ไปพบพระองค์นี้ด้วย ก็ไปเจอกันพอดี ไปนอนในห้องแอร์ แกก็จัดที่หลับที่นอนให้ ก็มีคนลาวส่วนมาก ไทยมีบ้างปะปน แต่ส่วนใหญ่เป็นคนลาวอพยพ เขามารออยู่ตั้งแต่เที่ยง รอรับอาตมาอยู่ มันรถมันเข้าเมือง มันก็ติด รอจอแจ ไปกว่าจะถึงได้นะ ไปถึงเอา ๕ โมงเย็น พวกนั้นรอๆ ก็กลับไปเสียปบ้าง เหลืออยู่บ้าง พอไปถึงเขาก็ทำการต้อนรับ ก็ต้องแสดงธรรมให้เขาฟัง ท่านบริพัฒน์บอกว่า พูดนิดหน่อยหลวงพ่อ ค่อยพูดกันพรุ่งนี้ต่อ บอกเขา เออ นั่นแหละ ก็พูดให้เขาฟังประมาณ ๔๕ นาที ญาติโยมคนลาวก็ฟังกันด้วยดี แล้วก็พักที่นั่น วันรุ่งขึ้นเขามีการตักบาตร วิธีตักบาตรก็คือว่า เขาให้โยมมานั่งเก้าอี้รอบสนาม แล้วเอาผ้าพลาสติกไปปูเป็นทางเดิน ให้พระเดินไปบนผ้าพลาสติกนั้น แล้วเขาก็ใส่บาตร ใส่ข้าวเหนียวส่วนมาก แล้วก็มีผลไม้ กล้วยบ้าง แอปเปิลบ้าง อะไรๆ ใส่ลงไปในบาตร ต้องถ่ายหลายครั้ง เสร็จแล้วก็ฉันอาหาร เขาจัดใส่พาน เหมือนกับพานขันโตกเมืองเชียงใหม่ ทำด้วยไม้ ใส่กับข้าวเอาไปวางถวายพระ พระฉันอาหาร ฉันเสร็จแล้ว ก็เทศน์ให้โยมฟังอีก เขาก็ฟังกัน
ว่างจากการเทศน์ก็เอาประโยชน์บ้าง ไปเที่ยวชมบ้านชมเมือง ไปดูพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ ลูฟวร์ นี่เป็นวังเก่า แหมเดินกันจนเหนื่อยเลย ไอ้วังเก่านี่ อยู่กันกี่คนก็ไม่รู้ มากมายก่ายกอง เดินกันจนเหนื่อย ดูนั่นดูนี่ เขาทำเป็นพิพิธภัณฑ์ไว้ เมืองปารีสเป็นเมืองที่มีแผน ในการสร้างถนนหนทางสร้างบ้านสร้างเมือง วางแผนดี ติดเป็นระเบียบเรียบร้อย ตึกรามบ้านช่องใหญ่โต สวยงาม เมื่อสงครามโลกครั้งที่ ๒ ฮิตเลอร์ ตัวฮิตเลอร์เองนี้เป็นคนรักความสวยความงาม รับเมืองปารีสมาเป็นเมืองสวยงาม ห้ามไม่ให้ทิ้งระเบิดเมืองปารีส แต่ประกาศว่าให้รัฐบาลฝรั่งเศสเอาทหารออกนอกเมืองให้หมด รัฐบาลฝรั่งเศสก็ทำตาม ขนทหารออกไปนอกเมือง ตัวรัฐบาลก็ไปด้วย ไปอยู่ที่ทางใต้ของฝรั่งเศส เขาเรียกว่าเมืองบอร์โดซ์ อยู่ไกลไป ปารีสก็เปิดว่าง ทหารเยอรมันก็เข้าไปยึดครอง ไม่ทำลายอะไรเลย สิ่งต่างๆอยู่เรียบร้อย บ้านช่อง ตึกรามไม่เสียหาย เพราะฮิตเลอร์สั่งไม่ให้ทำลาย ไม่ให้ทิ้งระเบิด ปารีสอยู่รอดเพราะน้ำใจฮิตเลอร์ที่รักศิลปะ รักความสวยความงาม เลยไม่เสียหาย สิ่งทั้งหลายก็ยังอยู่ เขามีสวนกลางเมืองใหญ่โตมาก สวน มันก็สวนเขาดินบ้านเราแหละ แต่เขาดินบ้านเรานี่มันนิดเดียว เป็นสวนของในวังเท่านั้น แต่ของเขามันสวนมันใหญ่โต เนื้อที่เป็นพันสองพันไร่ มีสนามฟุตบอลหลายสนาม มีสระน้ำ มีอะไรต่ออะไร ถ้าจะเดินให้ทั่วสวนนี่ไมไหว เดินไม่ไหว มันก็เมื่อยแข้งเมื่อยขาพอสมควร ต้องนั่งรถไปชมบริเวณสวนเหล่านั้น
ในต่างประเทศนี่ เมืองหลวงใหญ่ๆเขามีป่าทั้งนั้น ป่าในเมือง เขามีการวางแผนสร้างป่าไว้ในเมืองด้วย ลอนดอนก็มีป่าในเมืองหลายป่า วัดพุทธประทีปนั้นอยู่ใกล้บริเวณปาร์คใหญ่ เป็นป่าจริงๆเขาทิ้งไว้ ก็มีป่าหลายๆแห่ง เป็นสวน กวางอยู่สบายๆ เหมือนกับเดินอยู่ในป่า คนเข้าไปเที่ยว ไม่ให้ทำร้าย กวางก็คุ้นเคยกับคน เที่ยวกินหญ้า แต่ถ้าจำนวนมันมากเกินไป เขาก็ให้ฆ่าเหมือนกัน ให้ฆ่าเสียเท่านั้นตัว ใครจะรับอนุญาตฆ่าได้ (39.38 เสียงไม่ชัดเจน) ฆ่าแล้วเอาไปเลย มันมากเกินไป เหลือก็ทิ้งไว้ เพื่อดูต่อไป ใครขับรถเข้าไปในสวน ชนกวางถูกปรับหนักอีก เพราะว่ากวางนี่เป็นของพระเจ้าแผ่นดิน เขารักษากันมาตั้งเป็นร้อยๆ ปี แล้ว สวนกวางแห่งนั้นเรียกว่าสวนริชมอนด์ เป็นสวนกวางที่เขาเลี้ยงกวางไว้ เมืองใหญ่มีป่าทั้งนั้น มีแม่น้ำ แม่น้ำของเขาสะอาด น้ำใส ไม่มีถุงพลาสติก ไม่มีเปลือกกล้วย ไม่มีใบตอง ขยะมูลฝอยทิ้งลงไปเลย เพราะคนเขาฝึกกันมานาน เขามีระเบียบ เขาไม่ทิ้งสิ่งโสโครกลงไปในแม่น้ำ ดูแล้วมันก็สะอาด ถนนหนทางก็สะอาดเรียบร้อย มีอยู่อย่างเดียวที่เป็นควันคือ ก้นบุหรี่ ฝรั่งนี่สูบบุหรี่จริงๆ ผู้หญิงนี่เห็นทุกคนสูบบุหรี่ทั้งนั้น ไม่ว่าแก่ ว่าสาว ว่าเด็กน้อย สูบบุหรี่มาก บ้านเรานี่ดี ไม่ค่อยมีคนสูบบุหรี่เท่าไหร่ โดยเฉพาะญาติโยมผู้หญิงนี่ไม่ค่อยสูบบุหรี่ บ้านเรา แต่ฝรั่งนี่สูบกันเหลือเกิน ทุกประเทศ คนเยอรมัน คนฝรั่งเศส คนอังกฤษ สูบบุหรี่ทั้งนั้น สูบแล้วก็ทิ้งก้น เปะปะ ถ้ามาอยู่สิงคโปร์ก็ถูกปรับกันเป็นงานใหญ่ แต่ที่นั่นเขาก็ไม่ว่าอะไร ทิ้งไป เดินไปแล้วเห็นแต่ก้นบุหรี่ ก็ เอ! บ้านเมืองนี้ระเบียบอื่นดี แต่สูบบุหรี่ทิ้งก้นนี่ยังไม่ดีเลย มันยังทิ้งกันอยู่ แล้วชอบสูบ ขับรถก็สูบบุหรี่ เดินก็สูบบุหรี่ เด็กๆนักเรียนก็สูบบุหรี่ เขาปล่อยกันมาก ไม่ดี ตรงนี้ไม่ดี ไม่เอาอย่าง เราอย่าเอาอย่าง ของเรามันดีอยู่แล้ว ใครๆไม่ค่อยสูบบุหรี่ แล้วมีการรณรงค์ไม่ให้สูบบุหรี่ ที่โน่นไม่มีการรณรงค์เลย เขาให้สูบตามชอบใจ ถือว่าเป็นเสรีภาพของประชาชน จึงเกิดความไม่ถูกต้องขึ้นในอย่างนี้
ประเทศฝรั่งเศสเขาก็มีอะไรดีงามหลายเรื่องหลายประการ ทางพระพุทธศาสนาก็เรียกว่ามีวัดลาว วัดเขมร วัดไทย พุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทเราก็มีหลายวัด แล้วก็มีวัดญวน วัดญวนใหญ่โตมาก เขาสร้างไว้ใกล้สวนสาธารณะ เป็นตึกสองสามชั้น มีพระที่มีความรู้เป็นชั้นดอกเตอร์ดูแล คนญวนเขาไปไหว้ไปนมัสการที่วัดเหล่านั้น เพราะคนญวนมาก มีหลายแสน ญวนอพยพไปอยู่กัน ไปจับงานทุกอย่าง ร้านอาหาร ร้านขายเสื้อผ้า ร้านซ่อมรถยนต์ ปั๊มน้ำมัน อาชีพญวนนี่เอาทุกอย่าง ไปอยู่เมืองไหนเอาทุกอย่าง ทำทุกอย่าง ร้านอาหารมากที่สุดในกรุงปารีส ร้านไทยก็มีไปแทรกแซงบ้าง แล้วก็ร้านขายของเอเชีย เรียกว่าร้านเอเชียนี่ เป็นของคนญวน มีขายทุกอย่าง ทุเรียนก็มีขาย มังคุดก็มีขาย สะตอก็ยังมีขายเลย แต่ละร้านเอเชียของญวนนี่ ผ้าจีวรก็มีขาย เครื่องบวชนาค มีครบเลย มันขายหมดทุกอย่าง ร้านใหญ่โตมาก มันสั่งไปขาย เพราะคนเอเชียไปอยู่เยอะ แล้วเขาก็มีของสนองความต้องการของคนที่เป็นชาวตะวันออกไปอยู่ที่นั่น เขาเก่ง ญวนนี่เก่ง มีหัวทางการค้าการขายดีมาก น่าชมเชยเขา เขาก็อยู่กันไป
พักอยู่ปารีส ๓ คืน แล้วก็ออกเดินทางต่อไป ออกจากปารีสก็ไปประเทศสวิสเซอร์แลนด์ สวิส ก็ขับรถไป ก็คุณศศิธรเอารถโตโยต้า รถยาวคันหนึ่ง ไปกันเต็มรถ อ้อ! ไปกัน ๒ คัน มีอีกคนหนึ่ง ชื่อ ศิริมา จากประเทศสวิส มารับพาไปสวิสเซอร์แลนด์ ไปสวิสก็ขับรถไปเรื่อย ถนนดี ไปมาสะดวกเหมือนกัน เวลาผ่านแดนฝรั่งเศส อยู่ตรงนี้ แล้วก็เจ้าหน้าที่ของสวิสอยู่ตรงนั้น เวลาผ่านแดนฝรั่งเศสนี่ มันไม่หยุดรถเลย มันทำ พยักหน้า ไปได้ ให้ไป แต่พอไปถึงด่านสวิส มันให้หยุดรถ เรียกพาสปอร์ตทุกคน เอาพาสปอร์ตไปปั๊ม ให้ผ่านไปได้ แต่ฝรั่งเศสไม่ป๊งไม่ปั๊มอะไร บอกว่า เอ! ฝรั่งเศสใจดีวันนี้ วันก่อนๆ ใจดี นึกว่าเป็นพวกเยอรมัน คนพวกเดียวกัน ถ้าเป็นคนไทยเดินโทงๆ มันก็ต้องตรวจเหมือนกัน นี่มันไม่ได้ดูในรถ ดูแต่รถ เห็นอักษร D ก็เลยไปได้ ไม่ตรวจอะไร เข้าเขตสวิสก็ไป ขับรถไปสะดวกสบาย ไปพักที่บ้าน ที่ปรึกษาสถานทูตประเทศสวิส เป็นผู้หญิงชื่อคุณพิมพร แกเป็นคนที่เคยเรียนหนังสือที่โรงเรียนสตรีนนทบุรี แกบอกว่า ดิฉันฟังเทศหลวงพ่อมาตั้งแต่เป็นนักเรียน อยู่สตรีนนท์ หลวงพ่อไปเทศน์หลายครั้ง แล้วก็เป็นคนสนใจธรรมะธัมโม มีห้องพระ ในบ้านพักมีห้องพระ มีที่นั่ง แกทำสมาธิทุกคืน ชอบสนใจศึกษาธรรมะ มีหนังสือธรรมะอะไร อาตมาก็เข้าไปบรรทมในห้องนั้น ในห้องพระนะ เรียกว่าสบายหน่อย ญาติโยมอื่นก็นอนกัน มานอกห้อง มาอะไร ไปตามเรื่อง เต็มบ้าน เพราะว่าคนมันหลายคน แกก็ใจดี ต้อนรับขับสู้เรียบร้อย แล้วก็ นัดคนให้มาฟังธรรมกันที่บ้านนะแหละ เจ้าหน้าที่สถานทูตบ้าง คนที่ไปทำมาหากินก็มากัน
เวลาว่างก็พาไปเที่ยว ชมบ้านชมเมือง ก็ไปดูวัดสายพระที่เป็นคณะท่านสุเมโธ พวกคณะลูกศิษย์หลวงพ่อชาอุบลหน่อย ไปอยู่ ๓ รูปที่นั่น สร้างวัด วัดก็เข้าไปในภูเขาลึกเข้าไป มันเขาล้อมรอบเลย มีช่องเข้าไปทางหนึ่ง แล้วก็ไปสร้าง พื้นที่มันเป็นโรงแรมเก่า มี ๔ ชั้น เขาก็ขาย ทางชาวฝรั่งที่นับถือพุทธศาสนาก็ช่วยกันซื้อ ให้เป็นวัด แต่ว่ายังติดค้างอยู่ ยังไม่หมด ติดค้างธนาคารอยู่ แต่ไม่เท่าไหร่แล้ว เขาก็ช่วยกันอยู่ เข้าไปดูแล้วก็ นั่งอยู่ที่กุฏิ สร้างกุฏิอยู่โน่น ภูเขามันสูง มองคอตั้งเลย บอก “เอ น่ากลัว แฮะ ไม่มีอะไรหล่นลงมาบ้างเหรอ” พระท่านบอกว่า “มันไม่มีอะไรจะหล่นหรอก มันหินทั้งนั้น ก้อนมันใหญ่ มันหล่นไม่ได้ แต่ว่าฤดูหนาว น้ำแข็งมันมาเกาะหิน หินมันทื่อ ๆ อันนี้มันเกาะ เกาะหนักเข้าๆ มันก็หล่นลงมาเหมือนกัน หล่นมาเป็นก้อนเลย แต่มันไม่ลงบนหลังคา มันหล่นข้างกุฏิที่อยู่ที่อาศัย เสียงดังตุ้ม ไม่เป็นไร ไม่ลงบนหลังคา ก็น่าขอบใจน้ำก้อนหินมากที่มันเลือกลง ไม่ลงบนหลังคาก็ดี” บอกว่า “ถ้าลงบนหลังคา มันก็พังไปเสียหละนี่” พระที่อยู่ ๓ องค์นั้น ๒องค์นั้นเป็นชาวเยอรมัน แล้วคนตรงนั้นเขาพูดภาษาเยอรมัน ไม่ได้พูดภาษาอื่น ชาวบ้านแถวนั้นพูดเยอรมันทั้งนั้น แล้วอาชีพก็เลี้ยงวัว วัวนม วัวเนื้อ วัวอยู่กันเต็มไปหมด รัฐบาลสวิสก็สงวนที่ ไม่อยากให้ใครมีบ้านให้เนื้อที่มากๆ เว้นเนื้อที่เหล่านั้นไว้ให้วัวอยู่ เต็มที่ ปลูกหญ้าให้วัวได้กินกัน ก็ที่วัดยังคับแคบ แต่ก็พออยู่ได้สบาย ไปเยี่ยมไปคุยกัน พอสมควรเวลา ไม่ได้พักนอน แต่บอกว่า ถ้ามาคราวหน้า จะมาพักที่วัดนี้สักสัปดาห์หนึ่ง พระท่านก็ “โอ้ ยินดี หลวงพ่อมาพักนี่ยินดี” มีพระอยู่กัน เมื่อตะกี้บอกว่า ๓ ไม่ใช่ ๔ องค์ แต่ว่าองค์หนึ่งนั้นขึ้นภูเขา ฉันอาหารเสร็จแล้วขึ้นภูเขา ไปหาความวิเวก ไปนั่งสงบอยู่บนยอดภูเขา ไอ้ที่ยอดภูเขานั้นมันมีกระต๊อบเล็กๆ เจ้าของเป็นศิลปิน เป็นนักวาดนักเขียน แกว่างๆ แกก็ไปนั่งเขียนภาพอะไรอยู่ที่บ้านหลังน้อยนั้นแหละ แล้วแกเปิดให้คนทุกคนไปพักได้ เพื่อความสบายใจ พระก็ถือโอกาสไปพัก ไปตอนสาย ไปนอนคืนหนึ่ง แล้วรุ่งเช้าขึ้นก็ลงมา ฉันอาหารที่วัด เพราะที่วัดนั้นเขาฉันมื้อเดียว ฉันเพียงมื้อเดียว ใคร ถ้าเป็นโยมไปพักนี่ เขาก็ต้องเกณฑ์ให้กินข้าวมื้อเดียวเหมือนกัน เพราะว่าถ้าหุงข้าวในกุฏิ มันก็กลิ่นคลุ้ง ทำให้วุ่นวาย พระวุ่นวาย เลยบอกว่า อ้าว ญาติโยมคนใดมาพักวัดนี้ต้องถือศีลกินข้าวมื้อเดียวเหมือนพระ ให้คนเข้าไปกัน ขึ้นไปดูกุฏิ ขึ้นไปถึงชั้นบน เป็นห้องสวดมนต์ นั่งภาวนา มีผู้หญิง ๒ คนกำลังนั่งภาวนาอยู่ แล้วก็มีอายุพอสมควร แก่แล้ว นั่งภาวนาอยู่ พอขึ้นไปดูแกก็นั่งเฉย ภาวนา ไม่สนใจใคร นั่งหลับตาภาวนา แล้วถ้าเป็นวันเสาร์ หรือวันอาทิตย์ ก็มีคนมาหลายๆ คน มาศึกษาธรรมะ มาปฏิบัติธรรมะกัน พระเหล่านั้นเขาพูดจาธรรมะให้เขาฟังได้เพราะพูดภาษาเยอรมัน ชาติเดียวกัน ๒ รูป รูปหนึ่งนั้นเป็นชาวแคนาดา พูดอังกฤษได้ ถ้าต้องการจะพูดกับคนเยอรมัน ก็ต้องพระ ๒ องค์เป็นล่ามแปล ให้คนเยอรมันเข้าใจความหมาย
ประเทศสวิส เป็นประเทศที่สงบที่สุดในโลก ไม่รบกับใคร ไม่มีการทำอะไรที่วุ่นวาย คนอยู่กันด้วยความสงบ ของก็ไม่หาย ข้าวของวางไว้ที่ไหนก็ไม่หาย ไม่มีขโมย รถจอดที่ไหนก็ได้ ไม่ต้องกลัวว่ารถจะหาย เพราะไม่มีคนลักรถไปขายเหมือนบ้านเรา บ้านเราจอดไว้ มันเอาไปขาย โน่น ประเทศลาว ไปขายอรัญประเทศ เดี๋ยวนี้เอารถไปเมืองลาวสะดวก เพราะมีสะพานแล้ว ขนไปได้ง่าย เรียกว่าผ่านสบาย แต่ของเขาไม่มีอย่างนั้น แล้ววัดที่ไปตั้งอยู่นั้นมันใกล้กับอุโมงค์ ภูเขา เป็นอุโมงค์ อุโมงค์นี่เขาเจาะภูเขานะ เจาะไปทะลุอีกประเทศ ก็ยาวพอสมควร ราวสองสามกิโล เจาะภูเขาไป รถไฟวิ่งเข้าในภูเขา รถยนต์ต้องเอาขึ้นบรรทุกรถไฟ บรรทุกรถไฟแล้วก็วิ่งเข้าไปในอุโมงค์ ไปลงฝั่งประเทศโน้น ไปถึงประเทศโน้น ก็เอารถลงวิ่งต่อไป ประเทศสวิสนี่เก่งการเจาะอุโมงค์เหมือนกัน เพราะเมืองเขามีอุโมงค์มากมาย นั่งๆไป อ้าว เจาะอุโมงค์อีกแล้ว มีเนินที่ไหน มีภูเขาที่ไหน เขาไม่พัง เจาะมันไป เจาะเข้าไปเลย แม้ว่าในตลาด ถนนมันผ่านกันมาก อ้าว เจาะอุโมงค์ไป เอาหละ ไม่ต้องไปทำสะพานลอย มันกีดหน้าขวางตาคน เจาะไปข้างล่าง สบายดี ก็ทำอย่างนั้น
ออกจากสวิส ก็มาที่เมืองซูริค มีวัด พระไปจากวัดเบญจ ๒ องค์ จะเป็นเจ้าคุณ ชื่อมหาทองสูญ ดอกเตอร์ เป็นเปรียญ ๙ ประโยค เป็นดอกเตอร์ ไปอยู่ ได้เนื้อที่ ประมาณซักไร่ครึ่ง ไม่ได้มากอะไร หายาก แล้วก็ไปเช่า เขาเรียกว่าคอนเทนเนอร์ เขาทำเป็นตู้ ๆ เอามาวางไว้ ห้าหกตู้ อยู่กันในนั้นแหละ เสียค่าเช่าเดือนละ ๓ พันฟรังก์สวิส กำลังจะสร้างกุฏิใหญ่ สมเด็จพระราชชนนีประทานเงินไปให้ ๒ ล้าน เพื่อสร้างกุฏิหลังนั้น กำลังจะลงมือสร้าง ปีหน้าไปคงจะสร้างเสร็จ ไปถึงก็ไปใกล้เวลาเพล เพราะจะไปขึ้นเรือบิน เขาก็ให้แวะฉันเพล ก็มีคนมาฟังธรรมกัน เขาก็ติดกัณฑ์เทศน์ อาตมา ก็ บอก อ้าว รวบรวมไว้ แล้วก็ไปเทศน์ที่อื่น เขาถวายมาก็เลยเทย่ามไว้ที่นั่นหมด ให้เขา โมทนาสร้างวัดกับเขา ไม่ได้เอามาเมืองไทย ทิ้งไว้ที่นั้น แล้วก็ขึ้นเรือบินจากซูริคก็ไปประเทศอังกฤษ
ถึงประเทศอังกฤษก็เหมือนถึงบ้าน มันสบายใจ สบายใจไง ไอ้ชื่อถนนมันก็อ่านออก อยู่ในประเทศนี้ แหมตัวหนังสือมันยาว อ่านไม่ถูก ไม่รู้ว่าชื่อถนนอะไร ภาษาเยอรมันนี่ใช้อักษรมากเหลือเกิน อ่านไม่ไหว ฟังก็ไม่รู้เรื่อง พอมาถึงอังกฤษก็รู้สึกว่าสบาย เพราะป้ายถนนเราก็อ่านได้ อะไรก็อ่านได้ เปิดโทรทัศน์มันก็ฟังรู้เรื่อง คนอังกฤษพูดฟังง่าย ไม่เหมือนอเมริกัน พูดฟังยาก แล้วก็รู้สึกว่าชุ่มชื่นใจ แล้วก็ไปพักวัดพุทธประทีป ลูกศิษย์ชื่อสีลานันทะเขาอยู่นั่น เวลานี้ ทำหน้าที่รักษาการณ์เจ้าอาวาส เพราะเจ้าอาวาสมรณะเสียแล้ว มาอยู่วัดมหาธาตุ เตรียมตัวจะไปวันนั้น ไปกลางคืน เช้าขึ้น อ้าว! ไม่หายใจแล้ว ขี้เกียจหายใจขึ้นมา แล้วก็เรียบร้อยเลย ยังนอนอยู่ในหีบ ตำหนักวัดมหาธาตุ (54.00 เสียงไม่ชัดเจน) จะเผาเดือนสิงหา สีลาเขาก็เป็นผู้รักษาการณ์ไป อยู่เมืองอังกฤษ ก็สบาย แต่ว่าโยมนิมนต์ทุกวัน วันนี้ไปบ้านนี้ พรุ่งนี้ไปจนรายการหมด เหลือวันอาทิตย์อยู่วัด เทศน์ให้ญาติโยมฟังตอนบ่าย ไม่ได้เทศน์ตอนเช้า เพราะตอนเช้าคนมาไม่ทัน อยู่ไกลๆ ก็เลยเทศน์ตอนบ่าย เขาก็มีการปฏิบัติกิจกันพอสมควร แล้วก็ไปเยี่ยมวัดธรรมราวดี ไปเยี่ยมวัดสันติธรรม ซึ่งเป็นอีกวัดหนึ่งของท่านเขมธัมโม ก็ไปเยี่ยมท่าน ให้กำลังใจกันหน่อย พอสวมควร แล้วก็อยู่นั่น ก็ไปดูอะไรหลายอย่าง แต่ว่าเวลามันหมดเสียแล้ว ก็จบเพียงเท่านี้ ได้เล่าให้ญาติโยมฟังเสียหน่อย ว่าอะไรเป็นอะไร ก็สมควรแก่เวลา ก็ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้