แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ญาติโยม พุทธบริษัททั้งหลาย ณ บัดนี้ ถึงเวลาของการฟังปาฐกถาธรรมะ อันเป็นหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนาแล้ว ขอให้ทุกคนอยู่ในอาการสงบ นั่งพัก ณ ที่ใดที่หนึ่งที่สามารถจะได้ยินเสียงชัดเจน อย่ามัวเดินไปเดินมาให้วุ่นวาย นั่งแล้วก็ตั้งใจฟังเพื่อให้ได้ประโยชน์ อันเกิดขึ้นจากการมาวัดตามสมควรแก่เวลา วันนี้เป็นวันอาทิตย์แรกของเดือนพฤษภาคม แล้วก็เป็นวันที่เขาเรียกว่า วันกรรมกร หรือภาษาฝรั่งเขาเรียกว่าเมย์เดย์ คือ วันในเดือนพฤษภาคม ถือว่าเป็นวันกรรมกรแห่งโลก ตามโรงงานต่างๆ ก็หยุดงานให้กรรมกรได้พักผ่อน ได้ไปสนุกสนานกันตามที่ต่างๆ คนก็ไปเที่ยวกัน
ในเมืองใหญ่ๆ เช่น ในอเมริกานี้วันกรรมกรนี้ตายกันหลายคน เพราะว่าสนุกสนาน เที่ยวเตร่ กินเหล้าเมายา เฮฮากันไปตามเรื่อง เมืองไทยเรานี้ก็อยู่ในสมาคมโลก ก็พลอยหยุดงานกับเขาไปด้วย แล้วคนที่จะมาเป็นกรรมกรก็ไปสนุกกันที่สนามหลวง หรือว่าที่สวนลุมพินี สนุกกันสุดเหวี่ยงหนึ่งวันหนึ่งคืน เป็นการพักผ่อน แล้วก็จ่ายเงินกันมากๆ เพื่อความสนุกสนานเฮฮา ประโยชน์ที่ได้รับก็ไม่เท่าไร แต่ว่าเขาอยู่ในโลก เขาก็ทำตามกระแสโลก ไม่มีใครคิดทวนกระแส แต่ว่าไปตามกระแสของโลก ไหลไปตามเรื่องตามราว อันนี้มีอยู่ทั่วไป
[02:19] ก็ใคร่ที่จะพูดฝากไว้กับกรรมกรทั้งหลายรวมทั้งผู้ที่เป็นเจ้าของงาน ซึ่งสมมุติเรียกว่านายทุน ความจริงเจ้าของงานนี่ไม่ใช่นายทุน เพราะว่าไม่แค่มีทุนมากมายอะไร แต่มีความรู้ มีความสามารถ แล้วก็มีความคิดในทางสร้างสรรค์ เลยวางแผนตั้งโรงงานประเภทต่างๆ ขึ้นในบ้านในเมือง เวลาตั้งโรงงานนี้ก็ต้องไปยืมเงินจากนายทุนใหญ่ นายทุนใหญ่ก็คือเจ้าของธนาคารนั่นเอง เจ้าของธนาคารนั่นแหล่ะเป็นนายทุนสำคัญเพราะมีเงินเยอะ เงินที่คนเอาไปฝากให้ แล้วก็เอาไปให้เขากู้กันต่อไป เวลาฝากนี่ให้ดอกเบี้ยไม่เท่าไหร่ แต่เวลาให้เขากู้เลยคิดดอกเบี้ยมาก เอากำไรตามควร เป็นธุรกิจชนิดหนึ่งที่ทำกันอยู่ทั่วๆ ไป คนที่ลงทุนสร้างโรงงานโรงการนี้ ต้องไปยืมเงินจากนายทุนคือเจ้าของธนาคาร เมื่อได้เงินมาแล้วก็มาลงทุนสร้างโรงงาน ตั้งแต่เริ่มสร้างโรงงานกรรมกรก็ได้ไปทำงานในการก่อสร้าง เมื่อสร้างเสร็จแล้วก็รับคนจำนวนมาก เพื่อมาปฏิบัติงานในโรงงานนั้นต่อไป ท้องถิ่นใดที่ไม่มีโรงงาน ประชาชนก็ขัดสน ไม่ค่อยมีงานทำ ไม่มีเงินใช้ แต่พอมีโรงงานไปตั้งเข้า คนได้ทำงานมากมาย ได้เงินได้เบี้ยเลี้ยง การเป็นการอยู่ก็ดีขึ้น
เมื่อวานนี้ไปที่รังสิต ถามคนคนหนึ่งเป็นผู้ชายว่าเธอทำงานอะไร บอกว่าทำงานที่โรงงานทอผ้า ถามว่าโรงงานนั้นมีกรรมกรสักเท่าไหร่ บอกว่ามีหมื่นนึง โอ ใหญ่โต กรรมกรตั้งหมื่นหนึ่งนี่มันไม่ใช่เล็กน้อย ให้คิดได้ว่าโรงงานไปอยู่ในที่ใด ทำให้คนได้มีงานทำเป็นจำนวนมาก และได้เงินใช้ บ้านเรือนดีขึ้น การเป็นอยู่ดีขึ้น การครองชีพก็สะดวกสบายขึ้นเพราะมีโรงงาน กรรมกรกับเจ้าของโรงงานนี้ต้องอาศัยกันเป็นอยู่ แยกออกจากกันไม่ได้ เหมือนกันหัวแม่มือกับนิ้วชี้ หัวแม่มือมันใหญ่จริงแต่ว่าต้องมาอาศัยนิ้วชี้ จะทำอะไรนี่ต้องบอกว่านิ้วชี้ว่ามาร่วมงานด้วยกันนะ นิ้วชี้ก็มาร่วม พอมาร่วมก็หยิบอะไรได้ ทำอะไรได้ ถ้านิ้วชี้ไม่ร่วมงานกับหัวแม่มือ หัวแม่มือไม่ร่วมงานกับนิ้วชี้ ไม่สำเร็จประโยชน์ ทำอะไรไม่ได้ นิ้วสองนิ้วนี้ต้องร่วมกัน จึงจะอยู่กันได้ฉันใด เจ้าของงานกับกรรมกรนี่ก็ต้องร่วมกัน เจ้าของงานเหมือนกับหัวแม่มือ กรรมกรเหมือนกับนิ้วชี้ ถ้าหากว่าหัวแม่มือกับนิ้วชี้ไม่หันหน้าเข้าหากัน ไม่ร่วมแรงร่วมใจกันสร้างงาน งานก็ไปไม่สำเร็จ
หรือว่ากรรมกรหยุดงานบ่อยๆ งานก็ชะงัก การผลิตก็ไม่เป็นปกติ โรงงานก็มีหวังล่มจมเหมือนกัน เพราะฉะนั้น ทั้งเจ้าของงานซึ่งเรียกว่านายทุน และกรรมกรผู้ทำงานจะต้องหันหน้าเข้าหากัน การหันหน้าเข้าหากันนั้นเป็นเรื่องสร้างสรรค์ แต่การหันหลังให้กันนั้นเป็นเรื่องทำลาย เราควรจะอยู่กันด้วยการสร้างสรรค์ ไม่ควรจะอยู่กันด้วยการทำลายล้างแก่กันและกัน การที่จะมีอารมณ์สร้างสรรค์นั้นต้องคิดให้มันถูกต้อง กรรมกรก็ต้องคิดให้ถูกต้อง นายทุนก็ต้องคิดให้ถูกต้อง
คิดให้ถูกต้องน่ะคิดอย่างไร เอานายทุนก่อน นายทุนนี่จะต้องคิดว่าฉันมีเงิน ฉันมีโรงงาน แต่ลำพังตัวฉันหรือครอบครัวฉันนี้ทำอะไรไม่ได้ ถ้าไม่มีคนอื่นมาร่วมแรงร่วมใจกันก็ทำอะไรไม่ได้ เปิดโรงงานแล้วไม่มีใครมาทำงาน โรงงานนั้นก็ล้มไม่มีค่า ไม่มีราคาอะไร แต่โรงงานจะมีค่าขึ้นได้ก็เพราะมีคนมาทำงาน คนทำงานนี้เรียกว่ากรรมกร กรรมกร แปลตามตัว ก็ผู้ทำงานนั่นเอง ผู้ทำงานเป็นภาษาบาลี แปลเป็นภาษาไทยก็คือผู้ทำงาน ผู้ทำงานก็คือกรรมกรนี้ ก็มาทำงาน งานจึงจะก้าวหน้า สำเร็จประโยชน์จากการตั้งโรงงานได้
[07:55] เพราะฉะนั้นนายทุนก็ต้องนึกถึงกรรมกรว่าเป็นผู้มีส่วนในการสร้างงาน แล้วก็ต้องอยู่กันด้วยน้ำใจ อย่าเอารัดเอาเปรียบกรรมกรมากเกินไป
อย่าหวังกำไรมากเกินไป และต้องคิดว่าผลกำไรที่เราได้นี้ ก็มาจากกรรมกร ถ้ากรรมกรไม่ทำงาน เราจะได้ผลิตผลอย่างไร เราจะเอาอะไรไปขาย แบบนี้ก็กรรมกรทำงานผลิตผลเกิดขึ้นและเราสามารถนำผลิตผลนั้นไปขายได้กำไร กำไรที่ได้นั้นก็เอามาเฉลี่ยกัน แบ่งให้กรรมกรตามสมควร แบ่งไว้สำหรับลงทุนอีกส่วนหนึ่ง สำหรับขยายงานอีกส่วนหนึ่ง ถ้ามีน้ำใจอย่างนี้ มันคงไม่ยุ่ง ไม่รังเกียจเดียดฉันท์กัน ไม่ต้องเอาเครื่องขยายเสียงมาติดหน้าโรงงานแล้วชุมนุมกันด่านายทุนซะเสียหายไปต่างๆ กัน คนเราอยู่ด้วยกันถ้าด่ากันแล้วจะอยู่กันอย่างไร จะมองหน้ากันอย่างไร มองหน้ามันก็เหมือนไม่สนิทใจ เพราะเหมือนไม้ที่ร้าวถ้วยที่แตก แม้จะเอายามาฉันประสาน มันก็ยังมีรอยอยู่นั่นเอง มันไม่สนิท ไม้ที่ต่อมันก็ไม่สนิท กระดูกที่หักแม้ต่อได้มันก็ไม่สนิทเท่าใด ยังมีรอยอยู่ แล้วจะอยู่กันด้วยความยิ้มแย้มแจ่มใสอย่างไร อันนี้เป็นเรื่องที่น่าคิด แต่ว่าถ้าคิดไม่เป็นแล้วมันก็ยุ่ง
ท่านจึงสอนให้มีความคิดที่ถูกต้องตาม มัยมรรคมีองค์แปด คือ คิดในการไม่เบียบเบียนใคร ไม่ทำให้ใครเดือดร้อนน่ะเป็นความคิดที่ถูกต้อง หรือมีความคิดว่าชีวิตของเราอาศัยใคร เราอยู่ได้ด้วยอะไร เราได้เสื้อผ้ามาจากอะไร ได้อาหารมาจากอะไร ได้เหย้าเรือนที่อยู่อาศัยมาจากอะไร ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราหยิบขึ้นมาใช้เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ชีวิตของเรา มันมาจากอะไร ถ้าเราคิดอย่างนั้นจะมีคำตอบที่ถูกต้อง ก็ตอบว่าเราได้มาจากงานที่เราทำ แล้วงานนั้นใครเป็นผู้สร้าง ก็คนที่เป็นเจ้าของงานน่ะเขาสร้างงานขึ้นมา ถ้าคิดอย่างนี้ก็จะนึกถึงบุญคุณของเจ้าของงานแล้วก็มีความสำนึกในทางที่ถูกต้อง ไม่ทำอะไรให้เกิดความเสียหายเพราะมีความคิดถึงบุญคุณของเขา
นายงานก็เหมือนกันย่อมคิดว่าผลกำไรที่เราได้รับ งานต่างๆ ที่ดำเนินไปได้นี่ก็เพราะมีคนมาทำงาน คนทำงานก็เป็นผู้ช่วยเหลือเราให้ได้กินอยู่สบาย ได้มีกำไร ได้งานดำเนินไปด้วยดี เราก็ต้องนึกว่าคนเหล่านั้นเป็นเสมือนหนึ่งสมาชิกในครอบครัวเดียวกัน อยู่กันฉันพี่น้อง อยู่กันด้วยความรักความเมตตาต่อกัน ให้สวัสดิการแก่เขาตามสมควร อย่าเอารัดเอาเปรียบเกินไป อย่าขี้เหนียวมากเกินไป มันจะเกิดความเสียหาย ถ้าคิดอย่างนั้นอะไรก็จะเรียบร้อย
เคยมีเจ้าของงาน คือ คุณหญิงสิน ภรรยาของพระยาภักดีนรเศรษฐ หรือเรียกว่านายเลิศ นายเลิศนี่มีบริษัทนายเลิศ ตั้งโรงน้ำแข็ง แล้วก็มีรถขาวเมล์ขาว แล้วก็มีเรือขาว เรือขาววิ่งจากประตูน้ำไปนู่น ไปถึงประตูน้ำ ท่าไข่ แปดริ้ว อะไรนั่น เรือขาววิ่ง แล้วเมล์ขาวก็วิ่งไปตามถนนที่ออกไปได้ในกรุงเทพ เมล์กะรถขาว เมล์ขาวในรถสะอาด เรือก็สะอาดเพราะทาสีขาว ไม่ค่อยเปราะเปื้อน คนงานก็นุ่งด้วยเสื้อขาว กางเกงขาว เสื้อขาว หมวกขาว ไอ้ของขาวนี่คนที่สวมใส่มันระวัง ถ้าสวมเสื้อดำนี่ไม่ระวังนั่งตรงไหนก็ได้ คลุกอะไรก็ได้ ไม่ระวังเพราะเปื้อนมันไม่ค่อยเห็น แต่สีขาวนี้คนที่นุ่งต้องระวัง ท่านจึงให้แต่งตัวเสื้อผ้าขาว เพื่อให้จิตใจคนมันขาวขึ้นหน่อย เพราะงั้นกรรมกรที่ทำงานในเรือในรถของนายเลิศเนี่ย เขาทำงานด้วยความระมัดระวัง รถขาวเป็นรถที่เรียบร้อยที่สุดในกรุงเทพ ไม่ค่อยมีเรื่องชนกับใคร ไม่มีเรื่องเบียดกับใคร ไม่รับใครจนกระทั่งออกรถไปครูดไปสีกัน ทำให้เกิดเป็นปัญหา เขารักษารถของเขา ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ก็เพราะว่าคุณหญิงสินนี่ท่านทำกับกรรมกรของท่านเหมือนกับเป็นลูกของท่าน ท่านต้องไปเยี่ยมไปเยียน ไปถามข่าวสารทุกข์สุขดิบ รู้ว่าครอบครัวไหนไม่สบาย ก็จัดการ
เวลานั้นยังไม่มีกฏหมายแรงงาน ยังไม่มีอะไรบังคับแต่ท่านทำอย่างนั้น รู้ว่าป่วยก็พาไปโรงพยาบาล ภรรยาจะคลอดบุตรก็พาไปโรงพยาบาล จัดการให้เรียบร้อยแล้วก็จ่ายเอง ไม่ต้องให้ครอบครัวเดือดร้อน ลูกป่วยก็พาไป ลูกคนไหนจะเข้าโรงเรียนจะทำอะไร ท่านรู้จักคนงานทุกคน รู้จักถึงลูกของคนงานด้วย ถ้าไปเยี่ยมที่บ้านไหนก็ถาม เอ้อ ไอ้หนู คนนั้นเป็นยังไง คนนี้เป็นยังไง เราไปถามเรื่องลูกน่ะพ่อแม่เขาสบายใจ เราไปถามพ่อแม่สบายรึยังไม่ชื่นใจ แต่ถ้าไปว่า เออถามลูกคนนั้นเป็นยังไง มันเรียนชั้นไหนแล้วพ่อแม่สบายใจ เพราะลูกเป็นที่รักยิ่งของพ่อแม่ และถ้าใครมาสนใจลูกของตัว เขาก็รู้สึกว่า โอ คนคนนี้เป็นเทพเจ้า เป็นพระแม่เจ้าที่เข้ามาในบ้านของเรา มาช่วยเหลือพวกเรา เขาก็มีความสบายใจ เกิดความรักความเคารพต่อบุคคลผู้นั้น แล้วเขาก็ทำงานเรียบร้อยไม่มีความเสียหาย
คนงานไม่เคยสไตรค์ ที่เขาสไตร์คกันทั่วบ้านทั่วเมือง เรือ รถขาวนี่ไม่สไตรค์กับเขาเลย คือ มันหยุดงานไม่ได้ มันคิดถึงบุญคุณของนายที่ได้ทำไว้กับตนมากมาย นี่เรียกว่า นายประพฤติธรรม เอาธรรมะไปใช้ในชีวิต ในการงาน ก็เป็นเครื่องสมานมิตรไมตรีกับคนที่ทำงานไว้ได้ เป็นวิธีการที่ถูกต้อง หากคนเราที่เป็นเจ้าของงานมักจะเหินห่างจากกรรมกร ไม่ค่อยเอาใจใส่ได้ดูแล เจ็บไข้ได้ป่วยไม่รู้ไม่ชี้ ใครจะเป็นยังไงไม่รู้ ที่อยู่ที่อาศัยก็ให้อยู่กันอย่างลำบาก คับๆ แคบแล้วก็ไม่มีบริเวณให้เด็กเล่น ไม่มีการสงเคราะห์อะไร อย่างนี่ความรักจะเกิดได้อย่างไรเพราะไม่มีการให้
[16:07] พระพุทธเจ้าตรัสว่า ททํ มิตฺตานิ คนฺถติ, ททํ มิตฺตานิ คนฺถติ แปลว่า ผู้ให้ย่อมผูกมิตรไว้ได้
ถ้าเราให้เราได้มิตร ถ้าเราไม่ให้จะได้มิตรอย่างไร
ให้เขาบ่อยๆ ความมิตร เป็นมิตรมันก็มั่นคงขึ้น เป็นการกระชับเกลียวแห่งความเป็นมิตร เราต้องเอาชนะคนอื่นด้วยการให้ ชนะด้วยกำลังนี่มันใช้ไม่ได้ ไม่ชนะแล้วก็จะมีการต่อสู้กันในภายหลัง สร้างปัญหาขึ้นในสังคม แต่ถ้าเราชนะด้วยการให้สบายมาก เท่ากับเป็นการชนะที่ถาวร ไม่มีความยุ่งยากอะไร คนที่เขาปฏิบัติตามหลักธรรมะจึงทำอย่างนั้น จิตใจเขาสบายเวลาให้ และก็มีความสุขใจเมื่อได้ทำอะไรที่เป็นประโยชน์แก่ผู้ร่วมงาน คนร่วมงานทุกคนก็มีความสุขใจสบายใจ เรียกคุณหญิงว่าคุณแม่ทั้งนั้น ไม่ว่าใครเรียกคุณแม่ คุณแม่ทั้งนั้น ถ้ามาถึงโอ้คุณแม่มา มักจะมีของเล็กๆ น้อยๆ มาแจก แจกเด็กๆ ลูกหลานของพวกกรรมกรเหล่านั้น ลงทุนนิดหน่อยแต่กำไรมันล้นเหลือ เพราะได้กำไรจากน้ำใจของคนเหล่านั้น คนอย่างนี้เขาเรียกว่า คนเข้าถึงธรรมมะ เอาธรรมะไปใช้ในครอบครัว ในโรงงาน การงานมันก็ดีขึ้นไม่มีปัญหาอะไร
แต่ว่าบางคนก็ไม่ค่อยจะสนใจในเรื่องอย่างนี้ ไม่สนใจที่จะนิมนต์พระไปพบกับคนงานบ้างเป็นครั้งคราว พระจะได้ช่วยเทศน์ช่วยสอนปลอบโยนจิตใจให้เขาได้คิดนึกในทางที่ถูกที่ชอบ หยุดงานสักชั่วโมงหนึ่งให้พระไปคุยกับคนงาน มันจะมีกำไรเพิ่มขึ้นจากการผลิต ไม่ได้ขาดทุนเสียหายอะไร แต่คนคิดแต่เรื่องวัตถุก็คิดอะไรไม่ได้ คิดแต่เรื่องได้ไม่คิดถึงอะไร เลยมันก็เป็นปัญหากันอยู่ทั่วๆไป มีเรื่องนายทุน นายกู้ นายทุน หรือเจ้าของงาน ต้องมีน้ำใจกับคนงาน ให้งานเขาทำพอเหมาะแก่กำลังเขา เจ็บไข้ได้ป่วยต้องดูแลรักษา ต้องเอาใจใส่ในเรื่องความเป็นความอยู่ ให้พักผ่อนบ้างตามสมควรอะไรอย่างนี้ สิ่งทั้งหลายมันก็ดีขึ้น
พระพุทธเจ้าท่านก็สอนหลักอย่างนี้ไว้ ว่านายงานจะต้องทำอย่างไรต่อลูกจ้าง ลูกจ้างควรทำตนอย่างไรต่อนายงาน มันตอบแทนกันอยู่ในตัว เรื่องทั้งหลายก็จะดีขึ้น อันนี้ฝ่ายกรรมกรก็ต้องคิดอย่างนั้นอย่างเดียวกัน คิดว่าเราทำงานที่ไหน ใครเป็นเจ้าของงาน ทำงานแล้วเราได้อะไร อะไรมันเพิ่มขึ้นในครอบครัว อะไรเป็นความสุขที่เราได้รับจากผลงานเหล่านี้ คิดทบทวนไปก็จะเกิดความสำนึก คนเราถ้าไม่คิดไม่เกิดความรู้สึกอะไร ไปนั่งใต้ต้นไม้ได้ร่มได้พอได้ร่มเย็น แต่เราไม่คิดมันก็ไม่รู้สึกรักต้นไม้นั้น ไม่เห็นประโยชน์ของต้นไม้นั้น กินน้ำในบ่อไม่คิดถึงบ่อ ก็ไม่นึกว่าบ่อมีประโยชน์ ไปนั่งศาลาพักร้อนก้ไม่ได้นึกอะไร ไม่ได้คิดว่าศาลาพักร้อนมีประโยชน์ ไปเที่ยวสวนสาธารณะเขาตกแต่งไว้สวยงามเรียบร้อย ไม่ได้นึกถึงประโยชน์ของส่วนนั้น ก็ไปทิ้งขยะเพ่นพ่านเต็มสวน แล้วก็ทำลายต้นไม้ให้เสียหาย อย่างนี้เขาเรียกว่าเป็นคนไม่คิด ไม่นึกถึงสิ่งเหล่านั้นว่าเป็นประโยชน์อย่างไร เป็นคุณเป็นค่าแก่ชีวิตอย่างไรคิดไม่ได้ เมื่อคิดไม่ได้ก็ไม่คิดจะตอบแทน เพราะเราไม่เห็นบุญคุณของสิ่งเหล่านั้น
แม้แต่กับพ่อแม่ซึ่งเกิดตนมา เลี้ยงตนมา ให้อะไรทุกอย่างที่เราได้เป็นได้อยู่ในชีวิตประจำวันเพราะการให้ของคุณพ่อคุณแม่ แต่เราไม่คิด เมื่อไม่คิดก็ไม่เกิดความรักซาบซึ้งในพ่อแม่ ไม่คิดว่าจะตอบแทนบุญคุณพ่อแม่หรือว่าจะทำให้พ่อแม่สบายอกสบายใจอย่างไร เราคิดไม่ได้ เพราะไม่ได้นึกถึงสิ่งนั้น มันก็ไม่เจริญทางด้านจิตใจ ทางธรรมะท่านจึงสอนว่า เราได้รับประโยชน์อะไรจากคน จากวัตถุ จากธรรมชาติ ก็ต้องนึกถึงสิ่งนั้นว่าให้ประโยชน์อะไรแก่เรา แล้วก็ช่วยกันตอบแทนบุญคุณของสิ่งนั้นตามมีตามได้ เช่น เรานึกถึงบ่อน้ำ ก็ดูแลบ่อน้ำให้อยู่สภาพที่เรียบร้อย นึกถึงต้นไม้ก็ช่วยรักษาต้นไม้ อย่าเอามีดไปเที่ยวตัดต้นให้มันเป็นแผล ให้เกิดความทุกข์ ความเดือดร้อน หรือว่าอย่าทำลาย อย่าตัดก้านรานกิ่งต้นไม้ อย่างนี้ก็เรียกว่าเรานึกถึงประโยชน์ของต้นไม้ เราไปนั่งศาลาใดก็นึกโอ้ ศาลานี้ใครเป็นคนใจบุญคนไหนมาสร้างไว้ ได้ประโยชน์มากมาย เราก็ช่วยรักษาไม่ทำลายศาลานั้น
บุคคลใดให้อะไรแก่เรา เราก็คิดถึงแล้วพยายามที่จะตอบแทน จิตใจมันสำนึกในความเป็นอยู่ที่เกิดประโยชน์จากอะไรก็นึกถึงสิ่งนั้น ชีวิตของคนนั้นจะดีขึ้น แต่ถ้าไม่คิดแล้วมันไม่เกิดอะไรขึ้นมา ไม่นึกอะไรขึ้นมา อันนี้เป็นเรื่องที่ควรคิดควรนึก กรรมกรก็ต้องนึกถึงประโยชน์ของโรงงาน นึกถึงเครื่องมือเครื่องจักรที่เราใช้ ก็ต้องใช้อย่างสงวน ต้องเช็ดให้สะอาดให้เรียบร้อย เอาใจใส่ในสิ่งเหล่านั้นเพราะมันเป็นสิ่งที่ให้ประโยชน์แก่ชีวิตของเรา การนึกถึงคนที่สร้างว่าเป็นผู้ เป็นเหตุให้เกิดสิ่งนี้ขึ้น ก็ควรจะได้นึกถึงเขาแล้วก็ตอบแทนบุญคุณ
[22:50] ไม่ต้องเอาเงินไปให้นายทุนเพราะว่าท่านมีพอกินพอใช้แล้ว แต่ว่าเราทำหน้าที่ของเราให้ดีงาม ให้ถูกต้องเรียบร้อย รักงาน
ขยันเอาใจใส่ คิดค้นในเรื่องการทำงานเพื่อให้งานมันดีขึ้น งานก็เจริญ ผลกำไรก็จะมากขึ้น ผลิตผลได้มากขึ้น ขายได้มาก โบนัสก็เพิ่มขึ้น เงินเดือนก็เพิ่มขึ้น ถ้าหากว่าไม่ต่างคนต่างคิดก็จะอยู่กันด้วยความเรียบร้อย ปัญหาของคนเรามันมีบ้างเป็นธรรมดา คนเราอยู่ร่วมกันนี่ก็มีปัญหา สามีภรรยาอยู่ร่วมกันก็มีปัญหา แล้วก็ต้องศึกษาว่าปัญหานั้นมันเกิดจากอะไร มีอะไรเป็นตัวการให้เกิดปัญหาขึ้น ก็ต้องแก้ที่เหตุ ถ้าแก้เหตุได้ผลก็ถูกแก้ แต่โดยมากไม่ค่อยคิดตามหลักการของพระพุทธเจ้า เวลามีปัญหาอะไรเกิดขึ้นก็นึกว่าเคราะห์ไม่ดี โชคไม่ดี แล้วก็ไปหาหมอดูให้ทำนายทายทัก เสียค่าหมอดูกันอยู่บ่อยๆ อันนี้ไม่ถูกต้อง เราเป็นพุทธบริษัทไม่ต้องไปทำเช่นนั้น แต่เราปฏิบัติตามคำสอนของเรื่องราวต่างๆ ให้เข้าใจแล้วก็รู้ว่าอะไรเป็นอะไรถูกต้อง ต้องตัดเหตุ ผลจึงจะหายไป อย่างนี้ก็ไม่มีเรื่อง
ถ้าเราที่เป็นกรรมกรก็คิดมีปัญหาอะไร ต่างฝ่ายต่างหันหน้าเข้าหากัน มีอะไรก็ปรึกษากันกับหัวหน้า แล้วหัวหน้านั้นก็ไปบอกกล่าวแก่เจ้าของงาน พูดกันดีๆ เพราะเป็นคนพูดกันรู้เรื่อง ไม่ได้พูดกันคนละภาษา พูดและเห็นอกเห็นใจกัน เห็นเหตุเห็นผล เจ้าของงานก็มีใจเหมือนกัน เขาคงจะเห็นว่า อ่อ ควรจะช่วยเหลือเกื้อกูลในเรื่องนั้นเรื่องนี้ สิ่งใดไม่ดีก็แก้ไขได้ แก้ไขได้ด้วยการปรับปรุง งานการสบายขึ้นพอสมควร ว่าได้แล้วคนงานก็ควรพอใจในสิ่งที่ได้ อย่าขออะไรมากเกินไปจนเขาให้ไม่ได้ โดยมากเวลาขออะไรก็ยื่นของมากเกินไป จนไม่สามารถจะให้ได้ เมื่อให้ไม่ได้ก็หยุดงาน การหยุดงานนั้นเสียเศรษฐกิจของชาติ ทำให้การผลิตหยุดชะงัก ทำให้เกิดผลเสียหายแก่ส่วนรวม ซึ่งเป็นเรื่องที่คนมีจิตใจรักชาติรักประเทศไม่ควรจะกระทำเช่นนั้นไอ้เรื่องพูดก็พูดกันไป เรื่องทำงานก็ทำกันไป ไม่ใช่ว่าหยุดงานมาชุมนุมกันหน้าโรงงาน ติดเครื่องขยายเสียง ตั้งเวทีเข้า แล้วคนทุกคนก็ผลัดกันขึ้นไปด่าเจ้าของงาน เหมือนกับว่าเป็นคนไม่รู้จักกันไม่คุ้นเคยกัน ด่าสาดเสียเทเสีย ใช้ถ้อยคำกักขฬะหยาบคาย ด่าว่าต่อกัน ทำอย่างนั้นมันถูกต้องที่ไหน ไม่ใช่เรื่องของคนดีมีปัญญา ไม่ใช่เรื่องของสุภาพชน ทำอย่างนั้นไม่ถูกต้อง เราไม่ควรจะทำอย่างนั้น แต่ว่าพูดกันดีๆพอรู้เรื่อง มีการพูดกันได้ ทำความเข้าใจกันได้ ไม่ต้องหยุดงานก็ได้
ในสมัยที่เขามีการสไตรท์กันมาก ทุกๆคน ทุกแห่งก็ใช้ พวกคนงานทอผ้าที่ถนนเจ้งวัฒนะนี่ เดินเป็นแถวยาวเหยียด หลวงพ่อนั่งรถไปก็ขับรถไปถึงหัวแถวหยุดรถ แล้วก้ถามว่าพวกเราจะไปไหนกัน ไม่ทำงานเหรอวันนี้ ไม่ทำงาน จะไปไหน ไปหาหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ อ้าว ทำไมไปหาหนังสือพิมพ์ล่ะ ต้องการให้บริษัทขึ้นเงินเดิอน แล้วทำไมไปหาหนังสือพิมพ์ล่ะ ไปหาหนังสือพิมพ์เขาก็ถ่ายรูปพวกเธอลงหนังสือพิมพ์เป็นกำไรในการค้าขายหนังสือพิมพ์ต่อไป แล้วเดินไกลนะ จากแจ้งวัฒนะกว่าจะไปถึงไทยรัฐนั่นไม่ใช่ใกล้นะ เดินไปแล้วมันเหน็ดเหนื่อยเมื่อล้า ต้องเสียสตางค์ซื้อน้ำส้ม น้ำหวานมากินกันอีก ไปไม่ถูกที่ ทำไมไม่ไปที่อำเภอ ไปพูดกับนายอำเภอให้นายอำเภอมาพูดกับเจ้าของงาน แล้วเรื่องทั้งหลายก็เรียบร้อย ไม่ไปแล้วบอกกันบอกว่าไปอำเภอๆ กลับแถวแล้วไปอำเภอ นายอำเภอพบหลวงพ่อวันหลังบอก เจ้าคุณนี่ ทำไมส่งกรรมกรไปให้ผมน่ะ อ้าว แล้วไม่ส่งไปให้อำเภอแล้วจะส่งไปไหน มันจะเดินไปไทยรัฐมันไกลนะ ไปหานายอำเภอซะ แล้วนายอำเภอก็ไปพูด ได้ขึ้นเงินเดือนบาท ไม่ได้มากมายอะไร ให้ได้ซักหนึ่งบาทก็พอใจเรียกว่าเป็นชัยชนะ คือ คนเรามันชอบเอาชนะกัน ขอให้ได้ชนะก็แล้วกัน เลยได้มากันคนละหนึ่งบาท ไอ้คนละหนึ่งบาทกรรมกรเท่าไหร่ นายทุนต้องเสียเงินเท่าไหร่ ก็ได้มาหนึ่งบาทก็ดีแล้ว ก็เรื่องจบไป
เคยไปที่ตรงโน้น (28.43 เสียงไม่ชัดเจน) เคยไปเทศน์ไปหลายทีบ่อยๆ วันนั้นเห็นแล้วมายืนเต้นรำอยู่หน้าโรงงาน ก็เลยหยุดรถถามว่า พวกเราวันนี้ไม่ทำงานหรือ อ่อ สไตร์ทครับ อ้าว ทำไม ก็เขาสไตร์ทกันทุกแห่งแล้วที่นี่ยังไม่ได้สไตร์ทว่างั้น เลยสไตร์ทกันหน่อย ก็ไม่ได้สไตร์ทนานน่ะสองชั่วโมง เจ้าของโรงงานก็มาพูดจาทำความเข้าใจแล้วก็หยุดไป เรียกว่าสไตร์ทโก้ๆ เพราะคนอื่นเขา สไตร์ท ไม่สไตร์ทมันก็ไม่ดี เป็นอย่างนั้น มีคน คนมันมีหลายคนเที่ยวยุกรรมกรให้ สไตร์ท ให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง เป็นอย่างงั้น คนงานของบริษัทปูนซีเมนต์ไทย ที่ท่าหลวง มีคนประเภทนี้เข้าไปเหมือนกัน เรียกชุมนุม พูดจาได้สองสามคำ พวกนั้นโห่ไล่ไปเลย บอกว่าอย่ามายุ่งกับพวกเราเลย พวกเราสบายอยู่แล้ว บริษัทปูนซีเมนต์เขาให้ทุกอย่าง ให้ที่อยู่อาศัย ให้รักษาโรคภัยไข้เจ็บ โรงเรียนมีให้ลูกเรียน แล้วก็มีโบนัสประจำปี ได้กันทั่วหน้าไม่มีข้อยกเว้นอะไร พวกท่านอย่ามายุ่ง อย่าไปยุให้เขายุ่งทำไม แล้วเขาก็มีการอบรม เขานิมนต์พระไปเทศน์บ่อยๆ คนมันก็คิดได้ เข้าใจก็เลยไม่มีอะไรที่จะยุ่งยาก เดี๋ยวนี้มันมีหยุดไปหน่อยตอนนี้หยุดไป แต่อาจจะมีขึ้นอีกก็ได้ถ้ามีอาจจะมีการสไตร์ทขึ้นมาอีก อย่างนี้ เป็นเรื่องที่ไม่พูดกันให้เข้าใจ ปัญหามันเกิด มันต้องแก้ทั้งสองฝ่าย นายทุนก็ต้องแก้ตัวเอง กรรมกรก็ต้องแก้ตัวเอง แล้วมานั่งปรับทุกข์กันบ้าง เรียกว่าจับเข่าคุยกัน ลงมาคุยกัน ว่างๆก็มาคุยกันที่ในสนาม มีปัญหาอะไรต่ออะไร รีบให้ซะก่อนที่เขาจะขอ เขาไม่เอามากหรอก แต่ถ้าให้ขอแล้วมันมันยื่นคำขาด ต้องเท่านั้นต้องเท่านี้ไปกันใหญ่ เพราะมีคนหนุนหลัง ลำพังกรรมกรเขาไม่ค่อยจะวุ่นวายอะไร แต่มีคนไปชักโยงใยให้มันขึ้นไง มันคล้ายคนเชิดหนัง เชิดไอ้หุ่นกระบอกอะไรอย่างงั้น ไปเชิดให้มันเกิดขึ้น
เมื่อสองวันมานี้ มีเด็ก แต่อาตมาดูเครื่องแต่งตัวหน้าตาแล้ว ไม่เชื่อเลยว่าเป็นนักศึกษาคือว่ามันรุ่มร่ามทุกคน รุ่มร่าม คนที่เป็นผู้หญิงนั้นค่อยน่าดูหน่อย แต่ผู้ชายแล้วมันรุ่มร่ามเต็มที เข้ามาในกุฏิแล้วถามว่า พวกเรามาจากไหนจ๊ะ ก็บอกว่าพวกผมเป็นนักศึกษา อาตมาก็พูดว่านักศึกษารึ พูดกับเขาอย่างนั้น ครับ เป็นนักศึกษา เออ มาทำไม มาขออาหารจากหลวงพ่อ อืม จะไปออกค่ายที่ไหนอีกล่ะ ก็เวลาออกค่ายมันมานี่ทุกรายแหล่ะ มหาวิทยาลัยเกษตร รามคำแหง อะไรต่อไร ทุกแห่งพอจะไปออกค่ายก็มาวัดชลประทาน มาขอเครื่องกระป๋อง ข้าวสาร อะไรที่ว่าพอให้ได้ก็ให้ไปทุกราย ให้แล้วก็หายหัวไปทุกราย คือไปทำอะไรที่ไหนแล้วไม่เคยมารายงาน ไม่เคยมาขอบอกขอบใจในการที่ให้อาหารไป หายไป แล้วก็ปีต่อไปก็คนอื่นมาอีก ชุดอื่นมา ไม่ใช่หน้าเก่า เลยก็ต้องเทศน์กันเสียบ้างว่านี่พวกเรานี่ ได้ข้าวได้ของไปแล้วไม่เคยมารายงานให้หลวงพ่อทราบพ่อชื่นใจซักหน่อย ว่าไปทำอะไร ถ่ายรูปให้มาดูหน่อยก็ยังดี นี่ไม่มีเลย เลยถามว่ามันขาดอะไร พวกเรานี่มันขาดอะไร เขาบอกว่าขาดการประสานงาน เออ ก็พอใช่้ได้แต่มันไม่ถูก มันไม่ใช่การประสานงาน การประสานงานมันเกิดทีหลัง แต่สิ่งที่เธอขาดน่ะ คือไม่นึกในบุญคุณของผู้ที่ให้ ไม่รู้จักคำว่าขอบใจ ไม่รู้จักใช้คำว่าขอบคุณ ไปทำมาแล้วก็กลับมาขอบใจหน่อย ขอบคุณหน่อย ไม่มี ไอ้นี่มันขาด มันขาดความกตัญญูกตเวทีนะ ช่วยกันเสริมสร้างสิ่งนี้ให้มันเกิดในสันดานหน่อย เพราะสิ่งนี้ขาดแล้วบ้านเมืองมันจะแย่ เราเป็นคนหนุ่มด้วย ต่อไปจะเป็นคนใหญ่คนโตถ้าไม่รู้จักบุญคุณคนนี่มันเสียหาย
อ้าวเทศน์ไป พวกนั้นก็ไป พวกใหม่ก็มาอีก ไม่เหมือนเดิมแล้ว อยู่ๆ มาเดินก็เลยพวกนั้นมาขออีก เขาก็เลยถามว่าเอาไปไหน ไปออกค่ายที่ไหน ไม่ได้ออกค่ายที่ไหน แล้วเอาไปทำอะไร เอาไปช่วยพวกที่มาจากเขื่อนปากมูลมาชุมนุมกันอยู่หน้าทำเนียบ มีเท่าไหร่ สามร้อยเศษ โอ ทำไมมามากมายอย่างงั้นน่ะ ชุมนุมเอาอะไร มาเอาเงินค่าชดเชย เอ เขาให้กันแล้วไม่ใช่เหรอ ให้ไม่ทั่ว นี่พวกผมยังไม่ได้ แต่พวกที่ได้แล้วย้ายบ้านไปแล้ว สร้างบ้านสร้างช่องให้อยู่สบายแล้ว นี่พวกนี้มาทีหลัง พวกไม่อยู่ในบัญชีแล้วก็มันเกิดไร น้ำมันจะท่วมว่าไปตามเรื่องก็มาขอ เดินทางมาบอกว่าใครจ่ายเงินค่าเดินทางให้ จ่ายกันเอง พวกชาวบ้านจ่ายกันเอง มีเงินหรือ จ่ายค่าเดินทางมาถึงกรุงเทพฯ รถบัสสี่คันน่ะ เหมากันมาคนละเท่าไหร่แล้วมานั่งให้ยุงกินอยู่ที่หน้าทำเนียบน่ะ มันเรื่องอะไร ลำบากเดือดร้อน มุ้งก็ไม่มี แล้วอาหารก็ไม่มี ไม่มีอาหารจะกิน แล้วมีข้าวสารกินไหม ข้าวสารเอามาจากบ้าน เอาข้าวเหนียวมา อ้อ ดีนะ หุงข้าวเหนียวกิน กินแต่ข้าวเหนียวก็พอแล้ว ฉันไปภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ฉันฉันข้าวเหนียวไม่ได้ฉันกับข้าวก็ยังอยู่ได้ ก็มันอยู่ท้องดี แล้วข้าวเหนียวมันก็มันดี ไม่เป็นไรน่ะ หุงแกงกินแล้วมันไม่เลอะเทอะกันหมดหรือบริเวณนั้น ก็ต้องเป็นธรรมดา พวกเราเป็นนักศึกษานี่ทำไมไม่ใช้ปัญญาเสียมั่ง ใช้ยังไง ก็บอกชาวบ้านน่ะไม่ต้องไปแล้วพี่น้องทั้งหลาย จัดผู้แทนไปสักสี่ห้าคน ให้ไปพูดกับผู้ที่มีหน้าที่มีอำนาจ ไม่ต้องยกกองกันไปมากๆ พวกมันอยากจะมาเที่ยวกรุงเทพด้วยไม่ใช่เรื่องอะไร แล้วก็มีคนให้เงินมาเที่ยวก็มากันอย่างนี้ มันต้องมีคนอยู่ข้างหลัง จะจัดการให้พวกนี้มาเขาเรียกว่ามีการจัดตั้ง เป็นธรรมดาล่ะ ถ้าจัดมาทำกัน เลยก็บอกว่าหมู่นี้ฉันไม่มีอาหารสำหรับคณะนี้ ไม่มี มีไว้สำหรับคณะอื่น เรื่องอื่น ถ้าเธอออกค่ายฉันให้ แต่เอาไปเลี้ยงคนที่มาอยู่หน้าทำเนียบนี่ฉันไม่มีหรอก ไม่ให้ มันก็ลาไปก็เลยไม่ได้ เนี่ยเรื่องเป็นอย่างนี้น่ะคนเรา
ก็เรียกว่าไม่รู้อิโหน่อิเหน่ เขาบอกให้มาก็มากัน บางคนไม่ได้มีผลประโยชน์ตรงนั้นน่ะแต่ว่าไปหน่อย ก็ได้มากรุงเทพนี่ มาไม่ต้องลำบาก มานอนให้ยุงกินที่กรุงเทพแล้วจะได้เกิดโรคภัยไข้เจ็บกันต่อไป เมืองกาญบุรี กาญบุรีนั้น ค่ายสุรสีห์เขามีเนื้อที่กว้างขวาง เขากันเขตไว้ว่าเป็นที่ของทหาร มีหลายแห่ง เช่น สัตหีบนี่ก็มีของทหารเรือ คราวนี้ที่มันกว้าง มันก็ว่าง คนก็เข้าไปอยู่ ทำมาหากินไปอะไร เขาก็ไม่ว่าอะไร อยู่ๆมานานๆทหารต้องการใช้พื้นที่ก็ไปบอกให้ออก อ้าวไม่ออกแล้ว ไม่ออก ก็เดินชุมนุมขอให้ออกเอกสารสิทธิ์ให้ มันจะออกให้ได้ง่ายๆอย่างไร เขามีกฏหมายคุ้มครองสถานที่เหล่านั้นไว้ แล้วก็ไปอยู่ แทนที่จะโทษคนที่อยู่อย่างเดียวก็ไม่ได้ โทษเจ้าหน้าที่ในที่นั้นด้วย คนเข้ามาอยู่ครอบครัวนึงทำไมไม่ไปบอกว่าอย่า ออกไปนะ อย่าอยู่ที่นี่ แล้วมันอยู่ได้หนึ่งครอบครัว ครอบครัวที่สอง ที่สาม ที่ห้าก็เป็นร้อยครอบครัว คนตั้งร้อยครอบครัวมาอยู่แล้วจะไปจัดการกับปัญหานั้นอย่างไร มันเกิดม๊อบขึ้นแล้วจับไม่ได้ก็ปล่อยมันไว้อย่างนั้น อันนี้เป็นความบกพร่องของใคร ของราชการที่ไม่ทำงานตามหน้าที่ ใครมีหน้าที่เกี่ยวข้องก็ไม่ทำงานเฉยเมยไม่เอาใจใส่ คนก็เข้าไปยึดไปครอง แล้วจะไปขับไล่ได้ไง
นี่ใกล้ๆ ตรงนี้ คลองส่วยติดกับคลองประปา สมัยก่อนไม่มีบ้าน ไม่มีบ้าน คลองส่วยอยู่เรียบร้อยไม่มีบ้าน เขาไล่คนที่ไหนก็ไม่รู้ เต็มหมดแล้วเวลานี้ตรงคลองนั้น ทำความรกรุงรัง ทำปฏิกูลให้เกิดขึ้นในบริเวณนั้น แล้วเจ้าหน้าที่ไปหลับหูหลับตาอยู่ที่ไหน ไปนั่งเจริญภาวนายุบหนอ พองหนออยู่ที่ไหน จึงไม่มาบอกให้คนเหล่า เมื่อหนึ่งบ้านออกไป ปักประกาศอยู่ไม่ได้ ถ้าทำอย่างนั้นมันก็ไม่ยุ่ง นี่ปล่อย ปล่อยจนรกรุงรังหมด เวลานี้เต็มไปหมด อยู่ๆมาไฟฟ้าก็ไปติดไฟให้ อะไรต่ออะไรไปรับรองความเป็นอยู่ของเขาแล้วจะไล่ออกอย่างไร ริมคลอง ตรงคลองชลประทาน เช่น คลองเปรมประชากรเต็มหมด อยู่กันเต็มหมด ทำให้คลองเน่าสกปรกอยู่จนบัดนี้ แล้วเจ้าหน้าที่ชลประทานผู้ดูแลสถานที่ไปหลับหูหลับตาอยู่ที่ไหน เวลาคนมาสร้างใหม่ๆทำไมไม่ได้บอกให้ถอยไป สร้างเต็มคลองตลอดแนวเลย เป็นระยะทางหลายกิโลเมตร แล้วจะไปจับอย่างไร มันยุ่งอย่างนี้ เพราะความละเลยไม่เอาใจใส่ คนไทยเรานี่ขออภัยที่จะกล่าวว่า
ยังเอาใจใส่ในหน้าที่ของตัวน้อยไป เลยมันก็ยุ่งอย่างนี้ ถ้าคนเอาใจใส่ในหน้าที่จัดย้ายให้เรียบร้อยมันก็ไม่มีปัญหาอะไร
เรื่องการชดเชยก็พูดทำความเข้าใจ เจ้าหน้าที่ที่โน่นก็มี เช่น ผู้ว่าราชการจังหวัดก็ไปหาได้ พูดกัน ไปให้ท่านบอกว่าเรื่องมันต้องใช้เวลา จะพูดคำกันง่ายๆมันก็ไม่ได้เพราะมันต้องมีเรื่องเงินหลวงนี่เอายาก เสียภาษีนี่ง่าย ไปเสียง่าย เสียภาษีเกินไปขอคืนนี่หลายเดือนกว่าจะได้ ออกยาก เหมือนข้าวเหนียวติดมือลิง เรียกว่าแกะยาก อันนี้มันยุ่งน่ะ เรามันต้องทำงานให้ความสะดวกแก่ประชาชนให้เป็นการเรียบร้อย ฝรั่งเขาทำงานรวดเร็ว คราวนึงเดินทางเรือกลไฟจากลังกามาพม่า เครื่องมันเสีย มาสามคืนแล้วเครื่องเสีย พอเครื่องเสียเขาก็ออกประกาศให้คนโดยสารทราบว่ามีความเสียใจที่ไม่สามารถจะนำท่านไปย่างกุ้งได้เพราะเครื่องเสีย ต้องกลับไปลังกาเพื่อไปซ่อม ย่างกุ้งไม่มีที่ซ่อม ต้องไปซ่อมลังกา เพราะงั้น เมื่อไปถึงลังกาให้ท่านขึ้นจากเรือไปพักโรงแรม พักสามวัน ค่าโรงแรมบริษัทจะจ่ายให้ พอเรือถึงลังกาเขาก็ตั้งโต๊ะเลย แจกซองเลย แจกซองให้คนละซอง คนละซอง เอาเงินไปพักโรงแรม หลวงพ่อก็ไม่ได้พักโรงแรม ไปพักโรงแรมสงฆ์ต่อไป ไปพักวัด ได้เงินมาใช้ต่อไป สามร้อยบาทฟรี แปลว่าใช้ พอถึงเวลาก็มาลงเรือเดินทางต่อ เขาทำอะไรว่องไวเรียบร้อยไม่ให้เกิดปัญหา
ราชการของเรานั้นพูดแล้วก็เรียกว่ามันเหมือนกับเอกขเนก แต่ติบ่อยๆ วันที่หนึ่งเมษายนนี่ติทุกปี แต่ปีนี้เขาไม่ให้ติ เขานึกเบื่อท่านปัญญาหรือไง อย่ามาเทศน์เลย (41.22 เสียงไม่ชัดเจน) มากไปหน่อย ว่าไปตามเรื่อง อะไรประสบพบเห็นก็ว่าไป ชี้แจงไป แต่ว่าบางกลุ่มดีนะ บอกว่าได้ฟังเรื่องที่บกพร่องมาหาเลย มาถาม มาศึกษาว่าเรื่องที่หลวงพ่อพูดมันเกิดที่ไหน ก็บอกว่าเกิดที่จังหวัดนั้น คนที่ถูกกระทบเรื่องยังมีชีวิตอยู่ไปสืบได้ เขาก็ไปสืบ ลงโทษเลย ลงโทษคนที่ทำผิดถึงกับออกจากราชการ อันนี้อาตมาไม่มีเจตนาที่จะให้คนนั้นออกจากราชการ เพียงแต่บอกว่าอะไรผิดอะไรถูกเท่านั้นเอง แต่อธิบดีแกฟังปาฐกถาทางวิทยุ เลยก็ได้เรื่องได้ราว ถูกลงโทษให้ออกไปเลย เพราะทำไม่ถูกต้อง อย่างนั้นมันดี เพราะว่าประเภทอะไรบกพร่องก็ชี้ไปตามเรื่อง อะไรดีก็ชมเหมือนกัน ไม่ใช่ติอย่างเดียว ชี้ผิดชี้ถูกให้คนได้รู้ได้เข้าใจเรื่องไปงั้น
อันนี้บ้านเรานี่มันเวลานี้กวนยุคกวนเมืองมาก ยุ่งกัน ทำให้เกิดปัญหา รัฐบาลก็ไม่เป็นอันนั่งทำงาน เดี่๋ยวปุ้งที่นั่น ปุ้งที่นี่ ปุ้งที่เมืองนครก็จับได้แล้ว ก็เรื่องหึงหวงกันนั่นเองไม่มีอะไร ไอ้หนูคนนั้นดูหน้าตามันก็ดี ผิวขาว ตัดผมสั้น ปรากฏว่ามันแอบไปบวชชี ไปบวชชีอยู่โน่นนราธิวาสน่ะ ตำรวจตามไปล่าตัวแม่ชีมา เอามาสึก เอาไปชี้ที่เกิดเหตุเขาก็รับสารภาพผิดเรียบร้อย จบเรื่องกันไป ไม่งั้นเดี๋ยวก็ไปปุ้งที่ภูเก็ตอีกแล้ว พอจะมีการประชุมอะไรกันที่ภูเก็ตก็ไปปุ้งตอนรับซะหน่อย มันอย่างนั้น เดี๋ยวนี้มันไม่ใช่เรื่องอะไรแล้ว คือ ความเจริญทางเทคโนโลยีมันมาก คนมันฉลาด มันทำลูกระเบิดได้ ทำอาวุธได้ มันก็ทำเพื่อแสดงฝีมือกันหน่อย แต่มันทำแล้วมันใช้ผิดเรื่อง ผิดที่ ผิดเวลา ทำให้เกิดปัญหา มีปัญญาแต่ใช้ไม่ถูกต้องมันก็เกิดปัญหา แต่ถ้าใช้ให้ถูกก็ไม่มีเรื่องอะไร มันเป็นอย่างนี้ จึงเป็นเรื่องที่น่าคิด ก็พูดๆ ฝากไว้เผื่อใครๆ ได้อ่านจะได้เกิดการพัฒนาหรือจะได้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องและช่วยกันแก้ไขต่อไป
ในตอนสุดท้าย ก็ใคร่ที่จะพูดฝากกับญาติโยมเรื่องหนึ่ง คือ เดือนพฤษภาคมนี่ ควรจะถือว่าเป็นเดือนที่ดีอย่างยิ่งในรอบปี เป็นเดือนที่เป็นมงคล เป็นเดือนแห่งแสงสว่าง เป็นเดือนแห่งความดีความงาม เพราะอะไร เพราะเป็นเดือนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราประสูตร ตรัสรู้ ปรินิพาน ในเดือนนี้ ในวันเพ็ญเดือนหก วันเพ็ญเดือนหกปีนี้ก็คือวันที่ยี่สิบสี่เมษายน เป็นวันวิสาขบูชา วิสาขะก็คือชื่อดาวดวงหนึ่ง ดวงจันทร์เดินทางหมุนๆมาถึงเจอดาวดวงนั้นเป็นวันเพ็ญพอดี พระจันทร์เต็มดวง เรียกว่าวิสาขะ วันเพ็ญวิสาขะ เราก็เฉลิมฉลองวันวิสาขะ ก็ฉลองการเกิด การตรัสรู้ การเสด็จปรินิพพานของพระพุทธเจ้า เพราะมันตรงในเวลาเดียวกัน ความจริง การเกิด การตรัสรู้ การปรินิพพาน ถ้าพูดให้ละเอียดแล้ว วินาทีเดียวกันเลย นาทีเดียวกันก็ได้ คือ
[45:19] นาทีที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ พอตรัสรู้เรียกว่าพุทธะเกิดขึ้นในโลก เกิดขึ้นในโลกเพราะการตรัสรู้ธรรมะ พอเกิดการตรัสรู้ธรรมะ กิเลสอันเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ทั้งหลายดับไป นิพพานไป
การการเกิด การตรัสรู้ การปรินิพพาน ตรงเวลาเดียวกัน ขณะเดียวกันก็ว่าได้ เป็นอย่างนั้น เราทั้งหลายก็ควรจะได้น้อมระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า ทำอย่างไรในเดือนหก เราก็ควรจะได้สนใจศึกษาธรรมะให้เกิดความรู้ความเข้าใจ อย่านับถือแต่เพียงว่านับถือ อย่านับถือสักแต่ว่าทำตามกันมา โดยไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ทำๆ ทำตามกันไปอย่างนั้นแหล่ะ เขาทำมาอย่างไรก็ทำกันไปอย่างนั้น โดยไม่ได้คิดหาเหตุผลทำทำไม ทำเพื่ออะไร ทำแล้วมันจะได้อะไร แล้วสิ่งที่ได้นั้นมันถูกต้องหรือเปล่า เราไม่ค่อยคิดอย่างนั้น ไม่มีการวิเคราะห์วิจัยในสิ่งที่เรากระทำ เราจึงอยู่ในสภาพที่เรียกว่า ทำอยู่อย่างนั้นไม่ก้าวหน้า ไม่มีการพัฒนาอะไรขึ้นเลย
พระพุทธเจ้าของชาวเราทั้งหลายนั้น อยากจะบอกญาติโยมทั้งหลายว่า ทรงพัฒนา ทรงเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ ให้ดีขึ้น เมื่อได้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ทรงพัฒนาความเชื่อ การกระทำ ความคิด ความเห็นของสังคมในประเทศอินเดียให้ดีขึ้น ให้เจริญขึ้นในทางที่ถูกที่ชอบ อะไรที่เขานับถือกันมาก่อนแต่มันไม่ถูกต้อง พระองค์ก็บอกว่าไม่ถูกต้อง มักจะใช้คำว่าอริยชนเขาไม่ทำอย่างนี้ เพราะคนอินเดียนั้นเขาถือว่าเขาเป็นเผ่าอารยัน ที่อพยพมาจากใจกลางของทวีปเอเชียลงมายึดประเทศอินเดีย คนในประเทศอินเดียเดิมนั้นเขาเรียกว่าพวกทัสยุหรือพวกมิลักขะ ผิวดำๆ ตัวเล็กๆ ลงมาอยู่ตอนใต้ของประเทศอินเดีย พอพวกอารยันรุกเข้ามา พวกนี้ก็ถอยร่นไป ไปอยู่ริมทะเลแถวอินเดียตอนใต้ คือ พวกทมิฬ เตุลุคุ มาลายาลัม กานาการี่ สี่เผ่ามาอยู่นั้น สี่ภาษา สี่หนังสือเชียวนะ แตกต่างกัน ผิวพรรณ วรรณะก็แตกต่างกัน พวกอารยันที่เป็นพวกที่ผิวขาว รูปร่างสูงใหญ่มีสมองดี มีปัญญาดี แต่มาอยู่ในลุ่มอินเดียมากเข้าผิวมันก็ชักคล้ำไป ดำไปเหมือนกัน
เราจึงพูดกับเขาว่าอารชนเขาไม่ทำอย่างนี้ พวกนั้นก็สงสัยว่า เออ อารชนเขาทำยังไงก็ทูลถาม เมื่อทูลถามก็ทรงพูดให้ฟัง คนเหล่านั้นเข้าใจ แล้วเปลี่ยนวิธีการกระทำมาเป็นการกระทำที่ถูกต้อง อันนี้คือการเปลี่ยนแปลงของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา อะไรไม่เหมาะ ไม่ควร ก็ทรงเปลี่ยนแปลงแนะนำเขา ให้ทำให้ถูกต้องตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ ต่อมาพุทธบริษัทเรา ทั้งพระ ทั้งชาวบ้าน พระนี่แหล่ะสำคัญเพราะเป็นผู้นำชาวบ้าน ไม่ค่อยคิดเปลี่ยนแปลงอะไร โยมทำมาอย่างไรก็ปล่อยให้ทำอยู่อย่างนั้น ไม่ค่อยจะคิดเปลี่ยนแปลง ไม่พูดให้โยมเข้าใจว่า อันนี้มันไม่ถูกต้อง ควรจะทำอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่ค่อยกล้า คือ ไม่มีใจกล้าหาญที่จะกระทำ กลัวจะสูญเสียอะไรไปบ้าง เช่น ว่าโยมจะโกรธแล้วจะไม่มาวัด แล้วจะขาดลาภขาดผล นี่ความกลัวที่ไม่เข้าเรื่อง ถ้าเรากลัวอย่างนี้แล้วทำอะไรไม่ได้
[49:41] พระพุทธเจ้าไม่ทรงกลัวอะไร ไม่เกรงใจใคร ไปตามผู้เฒ่าผู้แก่มีอยู่เยอะแยะ พระองค์ไม่เกรงใจ พูดตามความเป็นจริง เพราะปณิธานของพระองค์มีว่าต้องการทำคนให้เป็นผู้รู้ ให้เป็นผู้ตื่น ให้เป็นผู้เบิกบานแจ่มใส ถ้าไปเกรงตามผู้เฒ่าผู้แก่ก็ทำอะไรไม่ได้ ศาสนาพุทธก็จะเกิดขึ้นในประเทศอินเดียไม่ได้ แต่พระองค์ไม่เกรงใจคนเหล่านั้น แม้พราหมณ์ผู้เฒ่าผู้แก่มาถามปัญหากับพระองค์ในเรื่องที่มันไม่ถูกต้อง พระองค์ก็พยายามอธิบายให้เขาเข้าใจ จนมากลายเป็นลูกศิษย์ของพระองค์ไปก็มีจำนวนไม่น้อย อันนี้คือแนวทาง หรือจะพูดตามภาษาว่า ปฏิปทาของพระพุทธเจ้า
ปฏิปทาก็คือการเดิน เดินในทางที่ถูกต้องของพระพุทธเจ้า ถ้าเราตามเส้นทางนั้นเราก็จะดีขึ้น
แต่ว่าเราไม่ค่อยกล้าที่จะพูดจากับญาติโยมเพราะเกรงใจ กลัวโยมจะโกรธ นี่แหล่ะมันถึงไม่ก้าวหน้า ไม่ต้องกลัวโยมจะโกรธ แต่กลัวโยมจะโง่มันยังดีกว่า กลัวว่าโยมจะโง่จะงมงายจะหลงผิด กลัวอย่างนี้ดีกว่า แล้วก็กล้าพูดกล้าสอนให้โยมเข้าใจ โยมก็จะได้เกิดปัญญา เกิดความรู้ ความเข้าใจ แล้วโยมจะไม่โกรธแต่จะขอบใจด้วยซ้ำไปว่า โอ้ ท่านมาช่วยชี้ช่วยบอกให้ดีขึ้น เขาก็เข้าใจ แล้วก็ช่วยเหลือในส่งเสริมสิ่งเหล่านี้ต่อไป แต่ความคิดกลัวไม่เข้าเรื่อง เพราะว่าไม่ได้อบรมบ่มนิสัย ไม่ได้เข้าใกล้ผู้รู้ ไม่ได้ฟังคำเตือนที่ถูกต้อง อยู่กันในหมู่คนที่ความคิดเหมือนกัน ปัญญาเท่าเทียมกัน ไม่มีใครอยู่สูงขึ้นไปซักอันเดียว ซักคนเดียว ก็อยู่อย่างนั้นไม่ก้าวหน้า นี้ถ้าว่าได้มีการพูดจาทำความเข้าใจกัน มันก็ดีขึ้นน่ะ
อันนี้ แนวคิดหลวงพ่อน่ะมันมีอยู่อย่างนี้ จึงได้อบรมพระธรรมทายาท ทำมาตั้งสิบสามชุดแล้ว เอามาพูดจาทำความเข้าใจแนะแนวทาง ว่าเราควรจะพูดกับชาวบ้านอย่างไร ควรแก้ไขอย่างไร ให้พระเหล่านั้นมีความกล้าหาญในการที่จะไปสอนญาติสอนโยม แต่ว่าเวลาที่ให้การอบรมมันน้อย สถานที่มันไม่สะดวก วัดนี้มันเต็มไปทุกเดือน คนมาบวช มาเรียนเป็นนี่ พรุ่งนี้บวชร้อยยี่สิบคน บวชเดือนพฤษภานี่ร้อยยี่สิบ แล้วก็บวชไปจนถึงสิ้นเดือนเขาก็ลาสิกขากันไป เดือนมิถุนาทั้งเดือนนี่ปิดรายการไม่มีการบวช มีแต่การเทศน์การสอนญาติโยม บวชพอแล้ว บวชมาตั้งแต่กุมภา มีนา เมษา พระก็ทำงานเหน็ดเหนื่อยพอสมควร อันนี้หยุดเสียที จะไปหนักในพรรษาต่อไป
แต่ว่าต่อไปนี้จะทำกันอย่างถาวร คือ ที่คิดไปสร้างวัดปัญญานันทาราม ไอ้เดิมมันก็ไม่คิดนะ แล้วก็ไม่ไหว สร้างแก่แล้ว ลำบาก แต่ว่าโยมเขาให้ที่ดินขึ้นมาหกไร่ ไปดูหกไร่แล้วมันทำอะไม่ได้เพราะมันคับแคบเกินไป ก็มีที่ดินเคียงข้างสิบสองไร่ ก็เลยไปทาบทามขอซื้อโยมนั้นก็ใจดีขายมา เป็นสิบสองไร่ รวมเป็นสิบแปดไร่ แต่มีอยู่อีกราวแปดไร่ของโยมแม่ชี ตามตัวไม่ค่อยพบเลยแม่ชีคนนี้ ตามไปตามมาไม่พบ เจอน้องสาวเข้า น้องสาวก็เป็นผู้จัดการทรัพย์สมบัติของแม่ชี แต่แกก็เป็นคนเฉียบขาดพอสมควร ท่านมหาสง่าไปติดต่อพูดจาเหงื่อไหลไคลย้อย แล้วตกลงก็เอา ถวาย แต่ของเงินสี่ล้าน ไม่มีการลด ไม่มีอะไร เสียภาษีค่าธรรมเนียมดิฉันไม่เสีย ท่านต้องจัดการหมดทุกอย่าง เอามาสี่ล้านก็แล้วกัน เด็ดขาดพอสมควร บอกไม่เป็นไรให้ได้ แล้วก็จัดการโอนโฉนดเรียบร้อย ได้เป็นยี่สิบห้าไร่ แล้วก็เวลานี้ก็สถาปนิกสองคนสามี ภรรยา คุณ (54.54 เสียงไม่ชัดเจน) กับคุณเสาวนีย์ สถาปนิกทั้งคู่ ออกแผนสร้างสถานที่เรียกว่ามาสเตอร์แพลน เกิดแพลนทั้งบริเวณ จะขุดนั้นตรงนั้นสร้างกุฏิเจ้าอาวาสเรียบร้อย กะเสร็จเรียบร้อย ก็คิดงบประมาณแล้ว คือว่าสร้างเต็มทั้งหมดก็ราวซักร้อยล้าน แต่ว่าสร้างทีเดียวไม่ได้ ค่อยเป็นค่อยไป ว่าไปตามเรื่องสุดแล้วแต่โยมให้ตังค์ แต่ว่าค่อยไป
เดี่ยวนี้ก็โยมเอามาให้อยู่เรื่อยๆ นี่มันต้องถมที่ก่อน ถมที่นี่ประมาณสองล้าน เวลานี้มีเงินอยู่สี่ล้านเก้าแสน ก็จะทำไปเรื่อยๆตามโอกาส โยมประกาศโทรทัศน์ วิทยุ โยมก็มาให้เรื่อยๆ ก็ทำไป ทำเสร็จแล้วจะทำไง พระองค์ใดที่เสียสละ ต้องการจะอบรมคนให้เจริญด้วยความรู้ความสามารถมาอยู่ที่นี่ อยู่วัดนี้แล้วไม่ต้องไปสวดมนต์ที่ไหน ไม่ต้องไปบังสุกุลที่ไหน ศึกษาค้นคว้าพระไตรปิฏกหรือคำสอนให้เกิดความรู้ความเข้าใจ แล้วมานั่งถกกัน นั่งเถียงกัน วิพากษ์วิจารณ์กันทุกวัน หัดพูด หัดบรรยายทุกวันๆ สามเดือนเต็มอัตราศึกเลย พอสามเดือนพ้นกฐิน พอพ้นกฐินแล้วเอ้าไป ไปทางนี้สามรูป ไปทางนี้สามรูป ไปทางนี้สามรูป เดินไป เดินไป ไม่ต้องขึ้นรถ ไปๆ พบบ้านไหนก็แวะเข้าไปปักกลดพักในบริเวณใกล้บ้าน พูดกับชาวบ้าน พูดกับชาวบ้าน บ้านนึง ถ้าบ้านใหญ่ๆ ก็อยู่มันซักเจ็ดวัน พูดย้ำแล้วย้ำอีกให้ญาติโยมได้เกิดความรู้ความเข้าใจ ครบเจ็บวันก็เลื่อนไปบ้านนู้นต่อไป ที่บ้านนั้นฉันอย่างนั้นจนเข้าพรรษาจึงกลับวัด
แผนการอย่างงั้น เรียกว่าเราสร้างพระเพื่อทำงาน ไม่ใช่พระให้นอนอยู่ที่วัดหรือว่าให้สร้างทำเรื่องที่ไม่จำเป็นมันไม่ได้ประโยชน์แก่ชาติแก่ศาสนา สร้างพระเพื่อให้พระไปทำงานจริงจัง จะลองดูเท่าที่อายุจะอำนวยเพราะอายุมันก็แก่แล้ว แต่ว่ายังไม่ตาย หลวงพ่อยังไม่ตาย และจะอยู่ต่อไป เพราะว่างานยังไม่เสร็จยังไม่ตาย ญาติโยมยังต้องการศาสนายังต้องการนี่ หลวงพ่อยังไม่ตาย แต่ถ้าเมื่อใดมันหมดความต้องการมันตายของมันเอง เมื่อนั้นจึงจะทำตามแผนการที่ได้ตั้งไว้ นี่เอามาเล่าให้ญาติโยมฟัง ก็พอสมควรแก่เวลา ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ ต่อไปนี้ก็ขอเชิญญาติโยมนั่งสงบใจเป็นเวลา ๕ นาที