แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
พุทธบริษัททั้งหลาย ณ บัดนี้ ถึงเวลาของการฟังปาฐกถาธรรมะแล้ว ขอให้นั่ง ณ ที่ใดที่หนึ่งซึ่งสามารถจะได้ยินเสียงจากเครื่องขยายเสียงชัดเจนและจงตั้งใจฟังด้วยดีเพื่อให้ได้ประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการมาวัดในวันอาทิตย์ ตามสมควรแก่เวลา
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ ขึ้น ๘ ค่ำ ตรงกับวันพระด้วย ซึ่งเป็นวันที่ญาติโยมผู้เฒ่าผู้แก่ ได้มาวัดอยู่เป็นปกติ สำหรับญาติโยมที่มาวันอาทิตย์ก็มากันตามปกติ เพราะวันอาทิตย์เป็นวันหยุดงาน วันพระสมัยก่อนก็เป็นวันหยุดงานเหมือนกัน แต่ว่ามันไม่เป็นสากล คือมันไม่เหมือนกับที่อื่นๆ เขาเป็นกัน ลำบากในการติดต่อทางราชการเลยเปลี่ยนมาหยุดงานวันอาทิตย์ ถือว่าเป็นวันสากล เหมือนทั่ว ๆ ไป ส่วนญาติโยม พุทธบริษัท เมื่อถึงวันพระก็ยังหยุดกันอยู่เหมือนกัน โดยเฉพาะชาวนา ชาวสวนพอวันพระก็หยุดการไถนา ให้สัตว์พักผ่อน คนก็ได้พลอยพักผ่อนไปด้วย วันอื่นก็ทำงานตามปกติ อันนี้มีอยู่ตามชนบท บ้านนอกหลายๆ แห่ง แต่ว่าในกรุงเทพนั้นเป็นเมืองสากลการหยุดก็หยุดกันในวันอาทิตย์ วันอาทิตย์เราก็มาวัดได้ ไม่ใช่มาไม่ได้ ที่ไหนเขามีการแสดงธรรมในวันอาทิตย์ ก็ควรจะมาฟังธรรมในวันนั้น เพราะว่าหยุดอยู่กับบ้านเฉยๆ ก็อออกมาได้อะไรในทางจิตใจ มาวัดได้กำไรเป็นบุญ เป็นกุศล จึงควรจะได้มา โดยเฉพาะวัดชลประทานรังสฤษเรานี้ ได้มีการแสดงธรรมวันอาทิตย์มาตั้งแต่ปี ๒๕๐๓
จนกระทังบัดนี้ ก็เป็นเวลาหลายสิบปีแล้ว ญาติโยมก็มากันอยู่เป็นปกติ มาฟัง บางคนก็มาฟังตั้งแต่เปิดจนกระทั่งบัดนี้ไม่หยุดเลย น่าจะมีรางวัลนะ จะมีโล่ห์หรือมีอะไร รางวัลโยมฟังธรรม มันก็ไป ...... (02.50 เสียงไม่ชัดเจน) ดีมาก ๆ ขึ้นไปหน่อยจะได้แจกรางวัลคนฟังธรรมมากๆ เป็นที่ชื่นใจ สำหรับวันนี้ก็จะพูดกันในเรื่องเกี่ยวกับชีวิตคนเฒ่าคนแก่ เรื่องของคนเฒ่าคนแก่เขาเรียกว่าผู้สูงอายุ เรียกไม่ให้น้อยใจ ถ้าเรียกคนแก่นี่จะน้อยใจ เลยเรียกว่าผู้สูงอายุ เรียกหลอก ๆ หลอกผู้สูงอายุ ฟังแล้วมันสบายใจหน่อย
ความจริงสูงอายุก็แก่นั้นเอง ยิ่งสูงมากก็ยิ่งแก่มากเป็นเรื่องธรรมดา อันเรื่องความแก่นี่ ความจริงเราก็แก่มาตั้งแต่เริ่มต้น เริ่มจากปฏิสนธิในครรภ์ของคนมารดานี่ก็เริ่มแก่แล้ว คือการเติบโตขึ้นนั่นก็เรียกว่าเป็นความแก่แต่แก่ขึ้นหรือว่าแก่ปกปิด ไม่เปิดเผยให้คนอื่นเห็นความเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย แต่ถ้าพูดโดยธรรมะก็เรียกว่า เป็นความแก่ชนิดหนึ่งเหมือนกัน แก่ขึ้น แก่ขึ้น จนกระทั่งครบสิบเดือนก็ออกมาจากท้องมารดา แต่เดี๋ยวนี้มีคนเกิดไม่ถึงสิบเดือนมาก ก็เก้าเดือนกว่าๆ ก็คลอดแล้ว ได้ถามคุณหมอว่าทำไมจึงคลอดเร็วอย่างนั้น เขาบอกว่าสภาพความเปลี่ยนแปลงของดินฟ้าอากาศ เช่นว่าคนอยู่บนภูเขานี่มักจะเกิดโดยไม่ครบสิบเดือน แต่คนอยู่ในที่ราบมักจะเกิดสิบเดือน มันก็แตกต่างกัน เด็กที่เกิดไม่ครบสิบเดือนนี่ลำบากหน่อย คลอดออกมาแล้วก็ต้องอยู่ในตู้อบทางโรงพยาบาลต้องหาตู้อบไว้มาก ๆ ให้เด็กเข้าไปนอนอยู่ในตู้นั้น มีอากาศหายใจ มีความอบอุ่นพอสมคววร จนกว่าจะออกจากตู้ได้ มารดาบางคนเห็นลูกไปไว้ในตู้ก็สบายใจและไปเลยแล้วไม่มาเอาลูกคืน เป็นภาระแก่โรงพยาบาล โรงพยาบาลก็ต้องเลี้ยงเด็กเหล่านั้นต่อไป จะเอาไปทิ้งไปขว้างมันก็ไม่ได้ เพราะเป็นคนไม่ใช่สัตว์เดรฉาน ก็ต้องเลี้ยงไว้ เป็นปัญหาทำให้เกิดภาระในการเลี้ยงดู บางโรงพยาบาลเด็กประเภทนี้ก็มาก เคยมานิมนต์หลวงพ่อให้ไปเทศน์ ไม่ใช่เทศน์แก่ เด็กตัวน้อยๆ เทศน์กับพี่เลี้ยงเด็ก คือให้นึกว่าเด็กนั้นเป็นลูกของตัวก็แล้วกัน แล้วเลี้ยงดูเอาใจใส่หน่อย ให้เด็กสบายมีความสุขความเจริญต่อไป อย่าให้มีปมด้อย อย่าให้มีความรู้สึกน้อยเนี้อต่ำใจ จิตใจจนไปจนกระทั่งเติบโตก็จะเกิดปัญหาเสียสุขภาพทางจิตใจ อันนี้เป็นเรื่องจริงมีอยู่เป็นอยู่ ร่างกายของคนเราก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ เพราะการมีชีวิตก็คือการเปลี่ยนแปลงนั่นแหละ การเปลี่ยนแปลงนั่นคือชีวิต ตราบใดที่สิ่งทั้งหลายในร่างกายนี้ยังเปลี่ยนแปลงอยู่ ก็เรียกว่ายังมีชีวิตอยู่
ถ้าใครถามเราว่าชีวิตคืออะไร เราก็ตอบได้ตามหลักธรรมะว่า ชีวิตคือความเปลี่ยนแปลง หรือความเปลี่ยนแปลงนั่นแหละคือชีวิต ความเปลี่ยนแปลงนี้ถ้าพูดอีกแง่หนึ่งก็คือการไหลที่ไม่หยุด ไหลเรื่อยไปเหมือนกับกระแสน้ำที่ไหลเรื่อยไป นั่นก็คือความเปลี่ยนแปลงของน้ำที่ไหลไม่หยุด กระแสลมที่พัดไม่หยุด กระแสคลื่นที่มากระทบฝั่งไม่หยุด อย่างนี้มันเป็นกระแส เป็นความเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ ร่างกายเราก็อยู่ในสภาพเปลี่ยนแปลง ถ้ายังเปลี่ยนแปลงอยู่ก็เรียกว่ายังมีชีวิต แต่ถ้าหากว่าหยุดเปลี่ยนแปลงเมื่อไหร่ ก็หมดชีวิตวันนั้น เพราะฉะนั้น จึงพูดได้ว่า ความตาย คือที่สุดของการไหลหรือที่สุดของความเปลี่ยนแปลง ความเปลี่ยนแปลงไปหยุดลงตรงไหนก็เรียกว่าหมดลมหายใจตายกัน ที่ตรงนั้น ร่างกายเรายังเปลี่ยนแปลงก็เติบโตขึ้น เติบโตขึ้น จนกระทั่งเป็นผู้ใหญ่
เมื่อเป็นผู้ใหญ่แล้วก็ยังไม่หยุด ยังไหลเลื่อนต่อไป เปลี่ยนแปลงต่อไป แต่ว่าเปลี่ยนแปลงไปในทางลงแล้ว คล้าย ๆ กับว่าเราขึ้นสะพานคุ้ง เหมือนกับสะพานพระปิ่นเกล้า จะเห็นชัดเจนว่าพุ่งมากเราขึ้นจากฝั่งพระนครเดินไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงกลางสะพาน เมื่อถึงกลางสะพานแล้วก็ต้องลง ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง กลับไปฝั่งพระนครก็ได้หรือเดินเลยไปลงฝั่งธนก็ได้ ชีวิตเป็นอย่างนั้น คนเรามันเปลี่ยนไปถึงที่สุดแล้วก็ต้องลง คือการลงนั้นคือความแก่อีกชนิดหนึ่ง เรียกว่าแก่เปิดเผยให้คนอื่นเห็นได้ว่าร่างกายเราเปลี่ยนแปลง เช่นผมเริ่มหงอก หากว่าตาเริ่มมืดมัว หูตึง ฟันโยกคลอน ผิวหนังเหี่ยวแห้ง สภาพของร่างกายก็เปลี่ยนแปลงไปโดยลำดับ จนกระทั่งแก่มาก แก่มากที่เขาเรียกว่าชรา ภาษาบาลี เรียกว่า ชรา ชราคือ ความแก่ ชราปิทุกขา โยมสวดมนต์เมื่อตะกี้นี้ (สักครู่) (09.02) ว่า
ชราปิทุกขา ความแก่เป็นทุกข์ มรนังปิทุกขัง ความตายก็เป็นทุกข์ ความพลัดพรากจากของรักของชอบใจก็เป็นทุกข์ ได้อะไรไม่สมหวังก็เป็นทุกข์ อะไรต่างๆ เป็นทุกข์ทั้งนั้น ทุกข์เพราะความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งเหล่านั้น เมื่อสิ่งเหล่านั้นเปลี่ยนแปลงไปจิตใจเราก็เปลี่ยนแปลงไปตามความยึดถือที่เราได้ไปกอดจับสิ่งนั้นไว้จึงได้เกิดความทุกข์
คนเราเมื่อชีวิตแก่มันไม่เหมือนเมื่อหนุ่มเมื่อหนุ่มนี่มันคลองแคล่วจะเดินจะนั่งจะลุกจะทำอะไรมันคล่องตัว แต่พอแก่ลงไปแล้วไม่คล่องตัว เดินก็ลำบาก นั่งก็ลำบาก นั่งนานก็ไม่ได้ เว้นไว้แต่คนแก่ชอบเล่นไพ่ พอเล่นไพ่นี่แหมนั่งทนเหลือเกินนั่งกันหลายชั่วโมง เพลินอยู่กับไพ่ แต่ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าไม่เพลินก็ปวดแข้งปวดขา ปวดเอวปวดไหล่ ปวดเรื่อย ๆ ไปนี่เป็นสมบัติของคนแก่ ซึ่งเกิดขึ้นแก่ร่างกายของคนทั่วไป
เรื่องร่างกายมันก็ต้องเป็นอย่างนั้นแหละ เราจะหนีไม่ได้ จะทำอะไรมันก็ไม่ได้ มันก็เป็นไปตามเรื่องของธรรมชาติ หากแต่ว่าไม่เหมือนกัน คือการปรุงแต่งรางกายคนเราไม่เท่าเทียมกัน บางคนก็เครื่องปรุงแต่งดี ร่างกายแข็งแรง แก่ช้า แก่เหมือนกันแหละแต่ว่ามันแก่ช้าหน่อย แต่บางคนก็เครื่องปรุงแต่งไม่ค่อยจะเรียบร้อย ขาดโน่น ขาดนี่ ก็แก่เร็ว ร่างกายชำรุดทรุดโทรมเร็ว ถ้าเราเอาคนหลาย ๆ คนมายืนเคียงกัน แล้วก็ถามดูอายุ บางทีอายุเท่ากัน แต่สถาพร่างกายไม่เหมือนกัน เพราะว่าภูมิต้านทานแตกต่างกัน เครื่องประกอบมันก็ไม่เหมือนกัน คล้ายกับรถยนต์นี่หลายยี่ห้อ เอามาดูแล้วมันแตกต่างกัน รถมาจากยุโรปนี่ แข็งแรงกว่ารถที่ทำในทวีปเอเชีย โดยเฉพาะรถญี่ปุ่นนี่แข็งแรงสู้รถมาจากประเทศตะวันตกไม่ได้ แต่ว่ารถญี่ปุ่นถ้าทำไปขายอเมริกาก็แข็งแรงเหมือนกัน เหล็กดีกว่า อะไรดีกว่า เพราะว่ารัฐบาลอเมริกานั้นเขามีการควบคุมสินค้าที่ส่งเข้าไป ถ้าหากว่าเขาตรวจแล้วคุณภาพไม่ดี พอเขาไม่ให้ขาย ให้ส่งกลับบ้านเมืองก็ จึงต้องส่งรถดีไปขาย แต่รถที่ไม่สู้จะดี ก็ส่งมาขายเอเชีย ขายเมืองไทยเรา เมื่องไทยเราไม่ค่อยจะกวดขัน อะไร อะไร ๆก็ขายได้มีคนซื้อแล้วก็ขายได้ เอาไปชนกันทีไรก็พังไปเลย เพราะว่ามันไม่ค่อยจะแข็งแรงถูกฝนสักฤดูก็สนิมเขรอะหมดแล้วส่วนล่างไม่ค่อยดี อันนี้มันแตกต่างกันตรงเครื่องประกอบ
ก็ร่างกายของเรานี้มันประกอบขึ้นด้วยสิ่งต่างๆ ที่เราเรียกว่าธาตุสี่ นั้นเป็นส่วนสำคัญ คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ธาตุดิน ก็คือของแข็งที่มีอยู่ในร่างกาย ธาตุน้ำก็คือของเหลวไหลเลื่อนไปได้ ธาตุไฟก็คืออุณภูมิที่มีอยู่ในร่างกาย ธาตุลมก็คือแก๊สที่มีอยู่ในร่างกายเราเหมือนกัน สิ่งเหล่านี้เป็นตัวประกอบสำคัญ ทำให้ชีวิตอยู่ได้ ถ้ามันบกพร่อง ไม่สมบูรณ์ก็เกิดอาการผิดปกติ จึงเรียกว่าเจ็บไข้ได้ป่วย เวลาป่วยก็ขาดโน่นบ้างขาดนี่บ้าง หรือว่ามันโอเวอร์ คือมากไปหน่อย ธาตุใดมากไปมันก็เกิดโทษแก่ร่างกายเหมือนกัน ร่างกายมันเป็นไปอย่างนั้น สุดแล้วแต่การปรุงการแต่ง แม้โรคภัยไข้เจ็บที่เกิดขึ้นในร่างกายของเรานี้ก็เหมือนกัน มันเกิดเพราะการปรุงแต่งในร่างกายบ้างเกิดจากสิ่งภายนอกเข้าไปเกี่ยวข้องบ้าง เช่น เกิดจากฤดู เช่น ฤดูอากาศร้อนอากาศร้อนแล้วก็หนาวทันทีมีฝนตกทันที ร่างกายเราปรับไม่ทันปรับไม่ทันก็เกิดเป็นหวัด เช่นในขณะนี้คนเป็นหวัดกันมาก เพราะว่าฝนมันตกลงมาหน้าร้อน กลางคืนเรานอนไม่ห่มผ้า พอดึกขึ้นมามันหนาว พอหนาวร่างกายปรับตัวไม่ทัน ก็เป็นหวัดคัดจมูกอะไรไปตามเรื่อง อย่างนี้มันเนื่องจากดินฟ้าอากาศ เค้าเรียกว่าอุตุ ฤดูกาลเป็นเหตุบางทีก็เนื่องจากอาหาร เรารับประทานอาหาารเข้าไปเลี้ยงร่างกายแต่ไม่ได้พิจารณาว่าอาหารใดควรรับประทานอาหารใดไม่ควรรับประทาน อาหารใดจะเกิดทุกข์เกิดโทษแก่ร่างกายเราไม่ค่อยจะพิจารณาให้มันละเอียด มีความหิวเกิดขึ้นก็รับประทานไปซื้อของที่เขาทำไว้ขาย บางทีเขาก็ต้มแกงไว้นานแล้วอุ่นไว้เรื่อ ๆ สภาพอาหารมันก็เปลี่ยนแปลงรับประทานเข้าไปก็ทำให้ท้องใส้เสียเกิดอาการผิดปกติในร่างกาย น้ำที่เราดื่มเข้าไป เคยดื่มน้ำประเภทใด พอไปดื้มน้ำที่ไม่เหมือนน้ำดื่มก็ทำให้เกิดอการผิดปกติ ท้องเดิน หรืออะไรต่างๆ ก็น้ำเป็นเหตุ เหตุมันมีหลายอย่างที่ทำให้เราไม่สบาย
ร่างกายของคนเรานั้นมีอุปสรรครอบข้าง อุปสรรคข้างใน อุปสรรคข้างนอก โรคบางอย่างเกิดภายในตัวเราเอง เช่น โรคมะเร็ง นี่มันเป็นเรื่องเกิดขึ้นภายในตัวของคนนั้นไม่ใช่โรคติตต่อไม่ได้เป็นกรรมพันธ์ว่าคนนันเป็นคนนี้จะต้องเป็น แต่มันเป็นเฉพาะของแต่ละบุคคลการ เกิดขึ้นของโรคนั้นก็คือการผิดปกติในร่างกายอาหาร น้ำ อากาศที่เราหายใจ มันมีอะไรที่เป็นพิษเข้าไปสะสมอยู่ในร่างกายก็ทำให้เกิดโทษได้
บ้านบางตำบลบางหมู่บ้านอยู่ในที่ที่มีฝุ่นหินมากที่สุด เช่นว่าริมทางไปพระพุทธบาทตรงนั้นทำหินกันใหญ่ทุบหินย่อยหินฝุ่นหินนี่ฟุ้งอยู่ตลอดเวลา คนอยู่ที่นั้นก็เรียกว่าปอดเป็นหินไปแล้ว ก็หายใจฝุ่นหินเข้าไปทุกวันทุกเวลา ทำให้เกิดทุกแก่ร่างกาย ทางราชการก็จะเข้าไปจัดการเหมือนกันแต่ว่าหินมันแข็งถ้าใครเข้าไปจัดการก็ถูกย้ายไปก่อนที่จะจัดการจัดการไม่ได้ หินมันแข็ง แข็งมากก็แตกเข้ามันก็เจ็บปวดไปตามกัน ผู้ว่าคนไหนไปทำท่าเอาจริงจังกับหินก็เดี๋ยวย้ายไป ชาวบ้านก็กินฝุ่นต่อไป วัดวาอารามแถวนั้นก็เคยเข้าไปนั่งแล้วถามว่า เอ๊ะนี่พวกเราอยู่กันยังไง หายใจเอาหินเข้าไปทุกวัน ทุกเวลา ในปอดนี่คงจะเต็มไปด้วยหินแล้ว ก็มันมากเหลือเกิน
บางท่านก็บอกว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวนี้มันไม่เป็นไร แต่เมื่อใดสุขภาพร่างกายเปลี่ยนแปลงไป มันก็จะเป็นเรื่องไรเป็นเรือดขึ้นมา ทำให้เกิดปัญหาก็สิ่งสะสมในร่างกาย หรือว่าคนอยู่ใกล้โรงงานมีควันพิษกระจายออกไปในบริเวณนั้น มันก็ไปสะสมในร่างกาย ทำให้สุขภาพกายเสื่อมเกิดโรคเกิดภัยได้เหมือนกัน ตัวอย่างเช่น โรงงานทำไฟฟ้าที่แม่เมาะแล้วก็ฤดูหนาวอากาศมันกดต่ำควันขึ้นแล้วมันไม่ขึ้นไปไม่ลอยไป มันไหลลงต่ำ แล้วไปหล่นลง ให้สิ่งเสียหาย ฝุ่น กรรมมันตภาพ อะไรต่าง ๆมันก็ไปตกลงสู่ใบไม้ ถูกใบกล้วยนี่เหี่ยวไปเลย ถูกวัววัวก็ทำท่าซึม ๆ เซื่อง ๆ แล้วก็ล้มลงตายก็มี ถูกคนก็ป่วยก็มีเกิดเรื่องเกิดราวกันขึ้น เอะอะกันขึ้นเลยการไฟฟ้าก็ต้องจ่ายค่าเสียหายให้แก่คนเหล่านั้นก็เป็นเหตุไปตั้งโรงงานที่หนึ่ง คนเหล่านั้นชั้นแรกก็ดีใจโรงฟ้ามาตั้งใกล้บ้านเรา เราจะได้ทำงานในโรงไฟฟ้า คนทำงานมันก็ได้เงินแหละ แต่คนที่ไม่ได้ไปทำงานก็นั่งสูดควันพิษเข้าไปหลาย ๆ ปี ก็เกิดโรคพยาธิในร่างกายอันนี้เป็นตัวอย่าง หรือว่าเราอยู่ใกล้ริมลำคลองที่มีน้ำสกปรกคลองบางสายมีน้ำสกปกรก็คนมักง่าย ชอบทิ้งสิ่งโสโครกลงไปในแม่น้ำ เลยเกิดน้ำสกปรก เกิดเหม็น แล้วก็คนที่อยู่นั้นก็สูดกลิ่นเหม็นอยู่ตลอดเวลา
วัดบางวัดในกรุงเทพเคยเข้าไป นั่งไม่สบายเลยมีกลิ่นกลิ่นขึ้นจากคลอง ถามว่าอยู่ได้ไม่เหม็นเหรอ เหม็นมานานแล้วมันชิน อ้าวมันชินก็ …… (19.09 เสียงไม่ชัดเจน) แต่ว่ามันไปรังแกปอดของเรา เครื่องภายในมันจะไม่เรียบร้อย เพราะสิ่งปฏิกูลเหล่านั้นเข้าไป อันนี้เป็นเรื่องของสิ่งภายนอกที่มากระทบ เป็นเหตุให้เกิดปัญหาเสียสุขภาพทางกาย มีอยู่ทั่ว ๆ ไปเป็นเรื่องที่ลำบาก เพราะอาชีพสถานที่อยู่ที่อาศัยมันก็ต้องอยู่อย่างนั้น เกิดที่นั้นอยู่ที่นั้นจะหนีไปหนพ้นถ้าเรามีเงินไม่พอแต่ถ้ามีเงินมีทองมากๆ ก็ย้ายไปสร้างบ้านไกลๆ จากสถานที่ๆ มันมีสิ่งมลพิษแล้วก็เข้ามาทำงานชั่วครั้งชั่วคราวก็ไปได้ แต่คนที่ไม่มีเงินจะอยู่อย่างไร
โดยเฉพาะในแหล่งชุมชนแออัดนี่ไปเดินดูแล้วมันก็ไม่ไหว อยู่ไม่ไหว เพราะว่ามันมีสิ่งโสโครกน้ำก็ไม่ดี อากาศก็ไม่ดี สิ่งแวดล้อมก็ไม่มีดีเลย แต่คนเหล่านั้นจะไปไหนก็ไปแล้วมันอยู่ไม่ได้ก็เลยต้องอยู่ในสถานที่นั้นนึกๆ แล้วก็นึกถึงเรื่องกรรมของคนว่า คนเรานี้กรรมจำแนกให้เป็นไปต่าง ๆ บางคนก็ไปอยู่ที่สบาย ที่สะอาด สงบ บางคนไปยู่ที่ไม่สบาย ไม่สะอาด และไม่สงบ กรรมมันส่งไป เพราะอาชีพการงาน ที่เราจะต้องทำมีอยู่ในสถานที่นั้นก็เลยไปอยู่กันอย่างนั้น คนที่มาจากหัวเมืองความจริงอยู่หัวเมืองสบายกว่า อากาสดีกว่า อะไรดีกว่าทุกอย่าง แต่อยู่ไม่ได้เพราะไม่มีงานทำ ไม่มีเงินใช้ ก็เลยต้องอพยพเข้ามาในเมือง เข้ามาในเมืองจะไปหาที่อยู่ดี ๆ ที่ไหนได้ ก็ต้องไปอยู่ในแหล่งที่ชุมชนแออัดอยู่กันอย่างง่าย ๆ บ้านทำง่าย ๆ เอามาสร้างกันไม่กี่ชั่วโมงก็เสร็จเรียบร้อยก็ไปอยู่กันได้ แต่ใต้ถุนนั้นมีแต่น้ำคลำ มีแต่กลิ่นที่ไม่สะอาดขึ้นมาเข้าจมูกอยู่ ตลอดเวลาสุขภาพไม่ดี เด็กก็ไม่เจริญเติบโตเท่าที่ควร ผู้ใหญ่ก็ลำบาก คนแก่ก็ลำบาก แต่ว่าคนทำงานนั้นพอเช้าก็ไปทำงานก็ห่างจากสิ่งเหล่านั้น แต่กลับมาพักผ่อนกลางคืนก็เจอกับสิ่งเหล่านั้นอีก สถาพอย่างนี้เป็นสภาพที่น่าสงสารมีทุกบ้านทุกเมืองไม่เฉพาะประเทศใดประเทศหนึ่งมันมีด้วยกันทั้งนั้น แต่ว่าแตกต่างกันตรงที่ว่ามากหรือน้อยเท่านั้นเอง แต่ก็มีเหมือนกัน แต่แหล่งอย่างนั้นก็มีในต่างประเทศที่เจริญแล้วมันก็มี แต่ว่าชุมชนแออัดอยู่กันไม่ค่วยจะสะดวกสบายเท่าไหร่ อันนี้เป็นเรื่องของธรรมชาติที่มันเป็นอยู่อย่างนั้นเราเกิดมาเลือกไม่ได้ เลือกเกิดก็ไม่ได้ เลือกที่อยู่มันพอเลือกได้ แต่ว่าปัจจัยมันไม่อำนวยให้เลือกเราก็ต้องอยู่อย่างนั้นทนอยู่ไปอย่างนั้นจนกว่าจะหมดลมหายใจ
นี่คือสภาพชีวิตที่เราเห็น ๆ แล้วก็รู้สึกว่าน่าสงสารน่าเอ็นดูคนเหล่านั้นมีทางใดจะช่วยได้ก็คนเขาก็ช่วยกันอยู่ช่วยกันอยู่ตลดอดเวลา แต่ว่าช่วยมันก็ช่วยได้ชั่วครั้งชั่วคราวไม่ได้ช่วยถาวรอะไร เมื่อวานนี้มีคนในกรมชลมาสองคน มาขอเครื่องกระป๋อง อาหารเท่าที่มีไว้ บอกว่าจะเอาไปไหน เอาไปให้แม่ชี แม่ชีอยู่ที่ไหน อยู่ที่นครนายก ที่นั่นลำบากบอกว่าเราไปช่วยมันก็อย่างงั้นแหละทำให้แม่ชีทุกข์มากขึ้นเพราะว่าพอได้กระป๋องได้อาหารดีก็กินสบาย กินได้กี่มื้อล่ะของที่เอาไปไห้กินได้วันสองวันก็หมดแล้วพอหมดแล้วก็ทุกข์อีกไปเพิ่มความทุกข์ให้แม่ชีเปล่าๆ
การช่วยอย่างนั้นคือว่าไม่ได้ช่วยถาวร ถ้าช่วยไห้ดีละก็เอาแม่ชีมาอยู่แถวนี้ดีกว่า หาวัดให้อยู่หรือว่าหาที่ให้อยู่ที่มันสบายๆ หน่อยจะได้ไม่เกิดปัญหา วันก่อนที่แม่ชีมาตายที่นี่คนหนึ่ง ไม่ได้ตายที่นี่ ตายที่แหล่งที่อยู่ แต่ว่าน่าสงสารอยู่อย่างน่าสงสาร บ้านช่องที่อยู่นั้นมันแย่เต็มที พระท่านไปเห็นเข้าก็เกิดสงสาร ก็ป่วยก็มาอยู่ที่โรงพยาบาลที่กรมชลนี่แหละ อยู่ ๆ ก็ถึงแก่กรรม ถึงแก่กรรมมาก็บอกมหาสง่าว่าไปจัดการศพโยมนี่เอามาที่นี่เอามาเผากันที่นี่แล้วก็ไปดูซิว่าที่อยู่นั่นยังมีแม่ชีเหลืออยู่กี่คน จะได้หาทางช่วยต่อไป ช่วยมันถาวรไม่ใช่ว่าเอาอาหารไปให้กินมื้อหนึ่งแล้วหายไป แกก็เลยกินมื้อหนึ่งสบายเลยจัดหนักลงไปอีกทรมานตัวเองมากไปอีกเลยก็บอกเอามาเผาเสร็จแล้วเหลืออยู่สองคน สองคนบอกว่าเอาไปไว้ที่วัดปัญญนันทารามเถอะเพราะมีกุฏิเล็กๆ แม่ชีเคยอยู่หลายหลัง เวลานี้ไม่มีคนอยู่ดีกว่าที่เคยอยู่ที่ที่แหล่งตรงนั้นมันดีกว่าที่นั้นต้องไปอยู่โน้นมีน้ำมีไฟก็พอสะดวกสบายหน่อยอาหารก็ไม่เป็นไร ช่วยเหลือกันไปตามเรื่องดีกว่าเก่า แม่ชีก็ตกลงว่าจะไปแต่ตอนนี้ไปช่วยทำอาหารเลี้ยงเณรอยู่ที่ปราณบุรีหมดเมษายนก็กลับมาก็เอ้าขนกันไปอยู่โน่นไห้ไปอยู่สบาย ๆ เลี้ยงแกหน่อย เพราะว่าแก่แล้วอีกไม่กี่วันก็ลาโลก เราเลี้ยงไม่เท่าไหร่ไม่เดือดร้อน ช่วยกัน ช่วยถาวรช่วยอย่างนั้น แต่ถ้าเอาไปให้กินได้มื้อหนึ่งแล้วก็ไม่มีกิน ต่อไปแบบนี้ก็ลำบากช่วยไม่ถาวรอย่าไปช่วยช่วยให้เป็นทุกข์มากขึ้นไปอีก ได้กินของอร่อยวันเดียว มื้อเดียว มื้อต่อไปไม่มีกินก็นึกถึงอาหารนั่นก็เป็นทุกข์อีก มันก็ช่วยไปให้ทุกข์มากลงไป หาวิธีช่วยให้มันถาวรดีกว่า
ก็บอกสองคนนั้นอย่างนั้น แต่ว่าเอาไปเถอะ ไปแล้วก็นึกว่าฝากก็แล้วกัน แต่ถ้าหากมีทางใดที่จะขยับขยายให้แม่ชีที่เรารู้จักก็เป็นคนไปอยู่กรมชล มาอยู่แถวนี้ก็ได้มีที่ให้อยู่จะได้อยู่สบายหน่อย ตามประสาคนแก่ คนแก่นี้มีความทุกข์ ทุกข์เรื่องที่อยู่ ทุกเรื่องอาหาร ทุกเรืองเจ็บไข้ได้ป่วย แล้วก็ทุกความว้าเหว่ เพราะไม่มีใครดูแล ไม่มีใครเอาใจใส่ เป็นความทุกของคนแก่ทั่วๆ ไป เราจะต้องหาทางช่วยนี่แหละทุกก็เกิดจากทางร่างกาย เป็นความทุกธรรมดา ๆ ที่จะเกิดมีแก่คนที่มีสภาพเช่นนั้น ก็ช่วยกันในทางร่างกาย ช่วยให้เสื้อผ้าให้อาหาร จัดที่อยู่ที่อาศัยเจ็บไข้ได้ป่วยเขาพาไปส่งโรงพยาบาลช่วยรักษาฝากหมอไว้เอ้าช่วยรักษานี่คนไม่มีญาติไม่มีมิตรช่วยรักษา รักษาหายก็เอาออกจากโรงพยาบาลไป ถ้ารักษาไม่หายก็เอาไปเผาที่วัดเผาให้เปล่า ๆ ไม่ต้องลำบากยากเข็ญอะไรก็ช่วยอย่างนั้นก็เป็นการช่วยคนแก่ที่มีสภาพอย่างนั้น
ทีนี้คนแก่เรานี่มันมีปัญหาทางจิตใจคือสภาพของคนแก่นี้ถ้านึกดูให้ดีก็เหมือนกับเด็กเหมือนกันคือไปสู่ความเป็นเด็กตอนปลายอายุ ตอนใกล้จะสิ้นอายุนี่ถอยไปสู่ความเป็นเด็ก จิตใจก็เหมือนกับเป็นเด็ก อะไร ๆ ก็เปลี่ยนแปลงไปในสภาพที่คล้ายกับเด็กเว้นไว้ก็แต่คนบางคนที่ได้ศึกษาธรรมะ เข้าใจธรรมะของพระพทุธเจ้า จะไม่เปลี่ยนสภาพเป็นเด็ก ทางจิตใจมีความคิดถูกต้องมีการทำอะไรถูกต้องรู้เท่ารู้ทันต่อสิ่งทั้งหลายตามสภาพที่เป็นจริงอันนี้ไม่ …… (29.04 เสียงไม่ชัดเจน)
แต่ว่าคนที่ไม่ค่อยได้เข้าวัด ไม่อ่านหนังสือธรรมะ ไม่ฟังพระแสดงธรรม อยู่ในสภาพลำบาก ว้าเหว่เพราะไม่มีใครเอาใจใส่ ถูกทอดทิ้ง ลำบาก เหมือนกันคนแก่บ้านบางแค นี่ท่านก็อยู่กันอย่างนั้นแหละ ไม่ค่อยจะเป็นสุขทางใจเท่าไร แต่ทางร่างกายนั้นกรมประชาสงเคราะห์เขาเลี้ยงดูดีอยู่มีอาหารมีที่อยู่อาศัยเวลาเจ็บไข้ได้ป่วยเขาก็ดูแล มีนางพยาบาลมีหมอคอยตรวจตราดูแลเอาใจใส่ สะดวกพอสมควร แต่ว่าด้านจิตใจนี่ ไม่รู้จะช่วยอย่างไร เพราะว่าลูกหลานไม่ค่อยจะไปเยี่ยมไปเยือน เอาไปทิ้งไว้กับสำนักบ้านคนชรา เอาไปทิ้งไว้เหมือนกันทุกประเทศ บ้านคนชราทนี่เหมือนกันทุกประเทศ ไปต่างประเทศนี่ก็มีโอกาสไปเยี่ยมบ้านคนชรามีคนทั้งอเมริกันดำอเมริกันขาวทั้งหญิงทั้งชาย ดูหน้าตาแล้วก็ไม่ค่อยสดชื่นไม่ร่าเริงอยู่อย่างคนมีปมอมทุกข์อมความโศกความเศร้าอยู่ในใจ เพราะว่าไม่เหมือนใคร นึกถึงตัวเองแล้วเกิดอาการน้อยเนื้อต่ำใจว่าเราไม่เหมือนเขาที่อยู่อย่างนั้นอยู่อย่างนี้ ไม่เหมือนคนทั่วไป ก็มีอารมณ์ไม่ค่อยสบายทางจิตใจแต่ว่าทางกายนั้นก็พอกินพออยู่เขาเลี้ยงดูอย่างดีพอสมควร อาหารการกินเรียบร้อยเจ็บไข้ได้ป่วยก็รักษาแต่ป่วยทางใจนี่ไม่มีใครรักษาเท่าใด เพราะว่าเจ้าหน้าที่เขาก็ไม่รู้ว่าจะรักษาอย่างไรในเรื่องโลกทางใจ เพราะไม่ใช่พวกที่เข้าใจธรรมะอะไร
มีอยู่แห่งหนึ่งบ้านอยู่ใกล้กับวัดไทย ที่กรุงวอชิงตัน ใกล้วอชิงตันเนี่ย อยู่ติดกันน่ะห่างกันสองบ้าน พระก็ออกมาแกก็มาคุยกับพระพอทานอาหารเสร็จแล้วก็มา พวกผู้ชายโดยมากมา ผู้หญิงไม่ค่อยมา มานั่งคุยกับพระแกก็สบายใจเพราะว่าพระคุยให้เข้าใจเรื่องชีวิต ให้รู้ว่าสภาพชีวิต เจ้าหน้าที่ฝ่ายศาสนาที่ดูแลโบสถ์นั้น มันคนละศาสนามายุ่งไม่ได้ ความคับแคบ จิตใจคับแคบ ไม่ยอม ถึงพระไปเทศน์ก็ไม่ได้ไปกลับจิตกลับใจให้เปลี่ยนศาสนาอะไรหรอกไม่ต้องเปลี่ยน แต่ให้เกิดความรู้เกิดคามเข้าใจแล้วทำจิตทำใจให้มันถูกต้องไม่ต้องเปลี่ยนหรอกเป็นอะไรก็เป็นอยู่ไปเถอะไม่ได้มีจุดหมายอะไรที่จะไปเปลี่ยนใครให้เป็นอะไรแต่เขาไม่ยอมก็เขาใจไม่กล้างพอ ยังกีดกันอยู่ในเรื่องศาสนา ก็เขาไม่เข้าถึงธรรมะที่เขานับถืออะไรเลย ก็เลยเข้าไปไม่ได้ ก็เลยบอกเอานี้ก็แล้วกันนะโยมนะคนไหนอยากมาก็มามาได้ทุกเวลามาเวลาไหนก็ได้ประตูวัดนี่เปิดอยู่ ความจริงไม่ได้เปิดหรอกเมืองนอก เขาไม่เปิดเขาปิดไว้ เรื่องมันอย่างนั้นแหละ แต่ว่าเข้ามาได้ เพราะมันไม่ได้ใส่กลอน ใครมาก็มาได้ชวนเพื่อนมาหลาย ๆ คนมาคุยกัน พระก็เลี้ยงน้ำชามีขนมคุกกี้อะไรนิดๆ หน่อยๆ …… (31.44 เสียงไม่ชัดเจน) ให้คนแก่ได้ดื่มน้ำชา ได้กินขนม มีผลไม้ไห้กินบ้าง แกก็สบายใจ มาเหมือนกับว่ามาพบญาติ พบพระไทยก็เหมือนกับพบญาติได้คุยกันร่าเริงยิ้มแย้มแจ่มใส พระก็คุยธรรมะให้ฟัง แนะแนวทางชีวิตให้รู้จักว่าชีวิตคืออะไร อะไรมันเกิดขึ้นในชีวิต มันมาจากอะไรควรจะคิดแก้ไขอย่างไร แนะสอนตามหลักธรรมะในทางพระพทุธศาสนา เอาอริยสัจนั่นแหละไปใช้ ไปอธิบายแต่ว่าอธิบายในรูปให้เขาเข้าใจง่าย ๆ เขาก็รู้ก็เข้าใจความหมาย จิตใจเขาก็สบายขึ้น นี้เป็นอาหารใจ อาหารใจนี่ไม่ค่อยมีการให้ไม่มีการแจกกับคนที่หลายคนหลายเหล่าที่ต้องการก็จะแจกให้ แต่ไม่ได้รับแจก
โดยเฉพาะผู้เฒ่าผู้แก่นี่มันจำเป็นที่สุดที่เราจะดึงเข้าหาธรรมะเข้าหาศาสนาธรรมเนียมบ้านเรานั้นคนก็แก่เข้าก็ทิ้งงานทิ้งการแล้วก็มาวัด ถือศีลในวันพระ มาพักผ่อนที่วัด อ่านหนังสือบ้าง คุยธรรมะบ้าง ฟังพระเทศน์บ้าง สภาพจิตใจก็สบายได้มาฉีดอัดความเข้าใจธรรมะเข้าไปไว้ในใจแล้วออกไปอยู่บ้านก็เอาไปใช้ต่อสู่กับปัญหาชีวิตต่อไปไม่ค่อยจะมีความทุกข์เท่าไหร่ นอนหลับเป็นสุขพอสมควรตามสภาพคนแก่ แต่ว่าคนแก่ที่ไม่รู้จักวัดนี้ ไม่ค่อยได้มาวัดมาวา ไม่รู้จักไปวัดไหนไม่เคยสนใจ ก็มีเหมือนกัน ไม่เคยมาก็มี มีปัญหาเกิดขึ้นก็ไม่รู้จะแก้อย่างไรเลยกลายเป็นเหยื่อของคนที่หลอกลวงคนแก่ไปก็มีเหมือนกันอย่างนี้หละน่าสงสาร เพราะว่าไม่ค่อยมาวัด
วัดชลประทานนี่คนบางคนอยู่ใกล้ยังไม่เคยมา มีคุณยายคนหนึ่งอยู่ปากเกร็ดนี่เอง เพิ่งมาวัดเมื่ออายุวัดได้ ๒๕ ปี เลยถามว่าโยมเคยมารึเปล่า ไม่เคยจ๊ะ มาครั้งนี้เป็นครั้งแรกเลยบอกว่าแหมโยมเดินทางมาจากปากเกร็ดมาถึงวัดชลประทานนี่ใช้เวลาตั้ง ๒๕ ปี แต่โยมบอกว่านั่งรถมาประเดี๋ยวเดียวก็ถึงแล้ว …… (34.24) เปรียบเทียบว่าเหมือนกับว่าเดินทางมาวัดนี่ ๒๕ ปี ก็เขาสร้างวัดนี้ ๒๕ ปีแล้วยังไม่เคยมา เพิ่งมาเป็นครั้งแรก วานซืนนี่ก็อยู่ตรงนี้ อยู่งามวงศ์วานนี้ ไม่ได้ไกลอะไร เพิ่งมาไม่เคยมา อย่างนี้มันขาดคนชักจูง คนแนะนำ ไม่มีเพื่อนประเภทอย่างนั้นเพื่อนที่มาวัดนี่ต้องจูงเพื่อนที่ไม่เคยมาเหมือนกับญาติโยมที่มาวัดอยู่นี่อย่ามาคนเดียวมีเพื่อนฝูงมิตรสหายก็ชวนกันมาบ้าง ถ้าเรามีรถก็เอ้าชวนกันมาไปด้วยกัน เอ้าพามาฟังธรรม
การช่วยให้คนได้มาหาพระได้ศึกษาธรรมะนี่เหมือนกับว่าเราได้ให้อาหารวิเศษแก่ท่านผู้นั้นแจกอาหารวิเศษไว้ให้เขาได้เอาไปไว้ในใจสถาพจิตใจก็จะดีขึ้น นี้เป็นเรื่องที่น่าจะได้ช่วยกันถ้ามีคนเขาแก่ ๆ ที่ …… (35.30) เอ้าแนะนำหรือว่าเอาเทปธรรมะไปให้ถ้าเขามีเครื่องฟังเทปถ้าอ่านหนังสือออกก็เอาหนังสือไปให้เอาไปให้บ่อย ๆเขาก็จะได้อ่าน ได้เกิดความรู้ความเข้าใจเป็นการช่วยคนสูงอายุให้มีความสบายใจ ด้วย การให้อาหารใจแก่ใจแก่เขาก็จะมีความสุขทางใจ อาหารอื่นนั้นมันไม่สำคัญเท่าอาหารใจ อาหารทางกายเขามีกินอยู่แล้วเลี้ยงอยู่แล้ว เขามีข้าวมีขนม มีอะไรรับประทานกันอยู่แต่ว่ายังขาดอาหารใจ
บางคนก็มีความสมบูรณ์ทางอาหารกาย แต่ว่าไม่สมบูรณ์ทางอาหารใจนี่ลำบาก ก็ไม่รู้เท่าทันสิ่งทั้งหลายตามสภาพที่เป็นจริงมี ปัญหาอะไรเกิดขึ้นก็แก้ไม่ได้ ปลงไม่ได้ ก็มีนั่งทุกข์ไปเรื่อยไปทนทุกข์ต่อไป ความจริงทุกข์นั้นมันให้ดับไปก็ได้ ให้ไม่ให้เกิดก็ได้ ถ้าเรารู้จักวิถีทางของมัน ว่าเกิดมาทางไหน อะไรเป็นเหตุเป็นตัวการให้เกิดขึ้น เรารู้ เรา
เข้าใจแล้วเราก็แก้ได้ แต่ไม่รู้ไม่เข้าใจก็แก้ไม่ได้ เลยหันไปแก้นอกทางไปหาหมอดู ไปทำพิธีสะเดาห์เคราะห์ หรือไปทำอะไรแบบไสยศาสตร์ ช่วยไม่ได้สิ่งเหล่านั้นช่วยไม่ได้แต่ก็ไม่รู้ทางออกว่าจะไปทางไหนสิ่งเหล่านั้นมีอยู่ทั่วไปตามวัดต่าง ๆ ก็มีทุกวัดทุกวาก็ไปหาง่ายก็เลยไปกันอย่างนั้น ถ้าไปพบพระที่ฉลาดหน่อยแนะแนวให้ด้วยก็ค่อยยังชั่ว ถ้าพระที่ไม่ค่อยฉลาดในธรรมะก็ดูแต่หมอ แล้วก็บอกโยมต้องไปถวายสังฆทานซะบ้างไป ถวายสังฆทานวัดนั้นวัดนี้ให้ไปซื้อถังสังฆทานที่เขาจัดไว้เอามาถวาย หิ้วมาเป็นแถวนั่นมาเพราะหมอสั่งที่มาโดยมากหมอสั่งให้มา มาตามหมอสั่งอย่างนี้ก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร
แต่ถ้ามาที่วัดนี้ก็ค่อยดีหน่อย เพราะว่าเทศน์เอาทุกรายมาถึงก็ไม่ให้ถวายเฉยๆ แต่ถามว่าเออโยมนึกอะไรขึ้นมาถึงได้มาถวายสังฆทาน ถามต้นเหตุของเรื่องโยมก็บอกว่าดิฉันนี่หมอเขาบอกว่าดวงไม่ค่อยดี เคราะห์ไม่ดี โยมรู้สึกตัวว่ามันไม่ดีอย่างไรบ้าง เคราะห์ไม่ดีอย่างไร มีความทุกข์อะไรที่ขังอยู่ในใจของโยมน่ะ ก็คุยกันพอรู้เรื่องโยมก็เล่าให้ฟังก็แนะให้แก้ปัญหาให้เข้าใจปัญหาถูกต้องแล้วก็จึงจะให้ถวายสังฆทานต่อไป
ถ้ายังไม่ได้เข้าใจธรรมะก็ไม่ได้ถวายคุยกันก่อน เทศน์สอนกันก่อนไม่ว่าเด็กว่าผู้ใหญ่มาก็สอนทำความเข้าใจกันให้รู้ว่าอะไรเป็นอะไรให้ได้อะไรไปบ้าง แล้วก็แจกหนังสือธรรมะที่ควรรู้ควรเข้าใจไปอ่าน อย่างนี้เขาเรียกว่า เราให้อาหารใจแก่คนเหล่านั้น ซึ่งจำเป็นที่สุดที่จะต้องแจกอาหารใจแก่เขา เพราะเขามีแต่อาหารกายเลี้ยงแต่กายบำรุงร่างกาย แต่ไม่ได้บำรุงจิตใจ จิตใจก็อยู่ในสภาพเป็นเด็กมีความอ่อนแอเปราะบางกระทบนิดกระทบหน่อยก็หวั่นไหวโยกโคลงไปกับสิ่งที่มากระทบไม่มีความเข้มแข็งเพียงพอ เป็นคนที่หวั่นไหวง่าย ภาษาเขาเรียกว่า เส้นตื้น หมายความว่า เส้นมันตื้น …… (36.37) ตื่นเต้นดีใจก็ดีใจแรง เสียใจก็แรง นี่พวกเส้นตื้น ร่องน้ำตื้นมันก็ขุ่นบ่อย ๆ ถ้าร่องน้ำลึกก็ไม่ …… (36.48) อะไรเรื่องมันเป็นอย่างนี้
เพราะฉะนั้นต้องช่วยให้เกิดความรู้สึกนึกคิดในทางที่ถูกที่ชอบตามหลักพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เพื่อช่วยให้เข้าใจชีวิตถูกต้องยิ่งขึ้น อันนี้ต้องช่วย เรามีคนแก่อยู่ที่บ้านก็ต้องช่วยเหลืออย่างนั้นช่วยแนะช่วยตักช่วยเตือนอ่านหนังสือให้ฟังก็ได้เปิดเทปธรรมะให้ฟังก็ได้แล้วชวนสนทนาให้เกิดปัญญาให้เกิดความรู้ความเข้าใจก็คล้าย ๆ กับเราคุยกับเด็กเช่นเด็กอนุบาลนี่เราจะคุยกันอย่างไร จะสอนอย่างไรคนแก่คล้ายๆ นั้นแหละไปสอนทำความเข้าใจให้เกิดความรู้สึกนึกคิดในทางที่ถูกที่ชอบอันนี้ตัวผู้สูงอายุเองก็ต้องระวังเหมือนกัน ระวังสุขภาพทางกาย รับประทานอาหารไม่มากเกินไป ไม่น้อยเกินไปเอาแต่พออยู่ได้ ไม่ใช่ว่าอันนี้อร่อยทานมาก ๆ อันนี้ไม่อร่อยกินนิดหน่อย อย่างนั้นก็ไม่ได้ ต้องกินเท่าที่สมควรแก่ร่างกาย
เคยไปพบเจ้าคุณผู้หนึ่งเจ้าพระยา เป็นชั้นเจ้าพระยาบดินทร์ ณ นคร ชื่อแหยม ณ นคร ร่างกายแข็งแรงนั่งตัวตรงตาใสแจ๋ว ท่านผู้หญิงถึงแก่กรรมแล้วนิมนต์หลวงพ่อไปเทศน์ในงาน แล้วดูท่านนั่งตัวตรงตลอดเวลาสมกับเป็นชายชาติทหาร นี้ก็พอเทศน์จบแล้วก็ลงมาสนทนา ถามว่าคุณโยมนี่อายุเท่าไหร่แล้ว ๙๐กว่าก็บอกว่าโยมทำอย่างไรจึงดูยังแข็งแรงสุขภาพยังดีอยู่ ท่านก็บอกว่าท่านนี่ปฏิบัติตามตำราอายุวัฒนะของหมอเหล็ง สีจันทร์ หมอเหล็งก็มาพิมพ์จำหน่ายตำราอายุวัฒนะ
ในตำรานั้นไม่ได้บอกว่าต้องไปกินนั่นกินนี่ กินว่าน อะไรต่ออะไร ไม่ใช่อย่างนั้น แต่แนะให้รักษาสุขภาพ ให้ออกกำลังกาย ให้หลับนอนพักผ่อน ให้ทำใจให้สบายอาหารอะไรควรรับประทาน อาหารอะไรไม่ควรรับประทาน ท่านก็ปฏิบัติอยู่ตามหลักการนั้น เช่นเรื่องอาหารนี้ต้องบอกว่าอร่อยหรือไม่อร่อยก็ต้องกินจนอิ่ม กินช้า ๆ ค่อย ๆ เคี้ยวแล้วก็กลืน อาหารที่รับประทานส่วนมากก็เป็นผัก เป็นผลไม้ เนื้อนี่น้อย ไม่ค่อยจะรับประทาน เนื้อปลารับประทานได้ เพราะไม่ลำบากแก่การย่อย เนื้อถ้าจะรับประทานก็จะรับประทานน้ำต้มเนื้อไม่ได้รับประทานเนื้อทั้งแท่งแต่ว่าต้มน้ำต้มเนื้อแล้วก็ทานผัก ทานข้าวพอสมควร ทานจนอิ่มพอประมาณ เคยรับประทานเท่าไหร่ก็ทานเท่านั้นเช่นว่าเคยรับประทานข้าววันละสองทัพพีมื้อหนึ่ง ก็ทานเท่านั้นไม่มาก ถึงแกงจะอร่อยก็ไม่ได้เพิ่ม ไม่ได้โอ้วันนี้แกงอร่อยถูกปากต้องกินข้าวเพิ่ม ไม่ใช่อย่างนั้นบังคับตัวเอง ควบคุมตัวเอง ในเรื่องการกินอยู่ตลอดเวลา แล้วก็การขับถ่าย
คนแก่เราบางทีนั่งมากท้องผูก ไม่ค่อยถ่ายไม่ค่อยออก ก็ลำบากต้องกินยาถ่าย ไอ้ยาถ่ายนี่มันก็ไม่ค่อยดีนัก เพราะว่าทำให้ลำใส้ไม่รู้จักทำงาน ต้องอาศัยกันเรื่อย ๆ ไปฃคนบางคนนี่กินยากลอนเป็นยาถ่ายกินทุกคืน …… (43.47) กลืนลงไป ให้โทษแก่ลำใส้ มันเป็นทุกข์เหมือนกัน ไม่ควรไปทานอย่างนั้นแต่ว่าเราทานของย่อยง่ายเช่นว่าผักผลไม้รับประทานสิ่งเหล่านี้การขับถ่ายมันก็สะดวกไม่มีอะไร แล้วดื่มน้ำมาก ๆ ดื่มน้ำทุกวันตื่นเช้าก็ดื่มน้ำ ก่อนนอนก็ดื่มน้ำ ดื่มเป็นปกติคือน้ำธรรมดา น้ำสะอาด น้ำประปาถ้าเราไม่ไว้ใจก็ต้มเสียหน่อย ต้มให้สุกแล้วก็ใส่ขวดใส่อะไรไว้ สำหรับดื่มน้ำแข็งไม่จำเป็นเพราะว่าธรรมชาติร่างกายก็ไม่ได้ต้องการน้ำแข็ง ร้อนจัดก็ไม่จำเป็น เอาแต่พอดี ๆ ก็อยู่อย่างนั้น ถึงเวลานอนต้องนอน ใครจะมาเยี่ยมมาเยียนก็ตามแท้ถ้าถึงเวลานอนแล้วต้องนอนแล้ว เพราะถึงเวลานอนก็หลับเป็นปกติ แต่ไม่ได้หลับนานนะแบบคนแก่ตื่นขึ้นแต่เช้าก็ลุกขึ้นออกกำลังกาย จะไปเดินเล่นที่ไหนมันก็ไม่ไหวแล้ว แต่ว่าบ้านของท่านมันมีเฉลียงรอบ บ้านมหาโยธาหลังใหญ่ แต่เดี๋ยวนี้ลูกขายหมดแล้ว เป็นงั้น บ้านหลังใหญ่เดินรอบ ๆ เดินจงกลมรอบ ๆ บ้าน ถือไม้เท้าเค้ากายนิดหน่อย ก็เดินออกกำลัง เข้าห้องน้ำ ขับถ่ายเป็น เวลานอนเป็นเวลา กินเป็นเวลา เพราะร่างกายของเรานี้ถ้าทำอะไรไปเป็นเวลามันก็สะดวก เพราะถึงเวลาน้ำย่อยมันก็มา ทีนี้ถ้าเราไม่รับทานน้ำย่อยมันก็มาก็ไม่ได้ย่อยอาหาร แต่ย่อยกระเพาะ เราจะรู้สึกแสบท้องบางครั้ง แสบท้องเพราะว่าไม่มีอาหารให้ย่อย มันไปย่อยผิวกระเพาะ ถ้าทำอย่างนั้นบ่อยๆ ก็เป็นโรคกระเพาะแล้วเป็นมากเข้าบางทีกระเพาะทะลุ เวลากระเพาะทะลุก็ต้องผ่าตัด ผ่าตัดก็ต้องตัดส่วนทะลุออกไป และเย็บคอดเข้ามา ทานอาหารมากก็ไม่ได้ อยู่ในความควบคุมของแพทย์สองสามเดือนให้ทานน้อย ๆ กระเพาะมันค่อยขยาย แล้วก็เท่าเดิมอันนี้ก็ลำบากเพราะเรารับประทานไม่เป็นเวลา คนที่เป็นนักธุรกิจ ยุ่งกับการหาเงิน รับประทานอาหารไม่เป็นเวลา
พอถึงเวลารับประทานอาหารแล้ว คนมาซื้อต้องไปขายของก่อน ไปทำงานธุรกิจก่อน พ้นเวลาจึงมารับประทาน ส่วนมากเป็นโรคเกี่ยวกับกระเพาะ มีคนๆ หนึ่งเขาเป็นมหา เป็นนักเทศน์ เคยเทศน์ร่วมกับหลวงพ่อบ่อย ๆ หลังเขาลาสิกขาออกไปค้าขาย ค้าขายไปสักสิบกว่าปี ไปเยี่ยมเขา ไม่ไหวแล้วหลวงพี่ผมหมู่นี้ผมแย่แล้ว เป็นโรคกระเพาะ บอกเออก็กินแต่เงินนี่ มันก็เป็นอย่างงั้นแหละ บอกว่าเรามันกินแต่เงินนี่ไม่ กินข้าวมันก็เป็นงั้นแหละ ทำไมอย่างนั้น เพราะขายของคนมาซื้อหนังสือเอ้าถึงเวลากินไม่ได้กินไปขายของ ขายของแล้วคนไปแล้วก็มากิน ผิดเวลาอย่างนี้ไม่ระวังตัวเลย เป็นโรคเกี่ยวกับกระเพาะ ถ้าหากเราทานอาหารมันก็ต้องเคี้ยวอะไรลงไปก่อนให้มันไปถ่วงกระเพาะรองท้อง คนโบราณเค้าเรียกว่า กินรองท้อง ตื่นตอนเช้ารองท้องด้วยของเบา ๆน้ำย่อยมันจะได้ทำงาน ก็ไม่มีโรคทางกระเพาะ แล้วก็ไม่มีโรคเกี่ยวกับท้องผูก มีคน พระเรานี่พวกนี้ท้องผูกมากพระนี่ คือนั่งตลอดเวลา นั่งเรื่อยไป โดยเฉพาะพระที่เป็นหมอดูนี่เป็นโรคท้องผูกทั้งนั้น เพราะนั่งดูหมอให้คนอื่น ไม่ค่อยลุกขึ้น ไม่ค่อยดื่มน้ำ ถ้าดื่มก็น้ำชา น้ำชาก็ชงแก่ ๆ มันก็เป็นเครื่องช่วยให้ท้องผูกหนักขึ้น เวลาถ่ายก็ต้องไปนั่งนาน ๆ ออกมาเป็นเหมือนเม็ดขนุน อย่างนี้มันเสียสุขภาพแล้ว มันต้องปรับปรุงร่างกายทำอะไรมันก็ต้องการความพอดี คือ ร่างกายของคนเรานี้มันคอยบอกนะเราต้องฟังเสียงมันบ้าง หิวก็บอก อิ่มก็บอก ปวดตรงไหนก็บอก มีอาการไหนบอกทั้งนั้นแหละ บอกให้รู้แต่ว่าเราไม่ค่อยจะฟังร่างกายของเรา ไม่สนใจฟังร่างกายที่มันบอกอยู่ตลอดเวลา ไม่สนใจฟัง คือ จะเรียกว่าเป็นคนดื้อก็ได้ ดื้อต่อร่างกาย เมื่อดื้อร่างกายร่างกายก็ลงโทษเอาบ้างทำให้เกิดการเจ็บปวดอย่างนั้นอย่างนี้ เป็นกันอยู่บ่อยๆ เพราะฉะนั้นถ้าเราฟังร่างกายเราบ้าง คอยตรวจดูเออมันเป็นยังไง ท้องเป็นยังไง แข้งขาเป็นยังไง …… (49.03) เป็นยังไง คอยตรวจ คอยชำระสะสาง แล้วก็แก้ไข ถ้าเห็นว่ามันหนักก็ต้องไปหาหมอ
ไอ้เรื่องไปหาหมอนี่อย่าเกรงใจหมอ ถ้ารู้สึกไม่สบายนิดหน่อยก็ควรไปบ้างก็ว่านิดๆ หน่อยๆ อย่าไปรบกวนหมอเลย อย่างนั้นมันก็ไม่ถูก ก็หมอเขามีหน้าที่รักษาคนหนิเราป่วยแล้วไม่ไปหาหมอก็ไม่มีงานทำ แล้วถ้าไปเมื่อหนักแล้วหมอที่ไหนจะรักษาได้ต้องรีบไป รู้สึกไม่สบายต้องรีบไปหาหมอ เราควรจะมีหมอประจำกันไว้เป็นขาประจำ จะได้รู้เรื่องร่างกายของเราถูกต้อง พอรู้สึกไม่สบายหน่อยก็ไปหา รักษาได้ทันท่วงทีโรคมันไม่เจริญไม่รังแกเรามากเกินไป ทีนี้ตั้งสองสามวันนอนป่วยอยู่นั่นแหละไม่ไปหาหมอนี่มันก็ลำบาก
ในวัดนี่ก็มีพระอยู่องค์หนึ่งไม่ค่อยชอบหมอ เลยเจ็บไข้ได้ป่วยไม่ยอมให้หมอตรวจ ไม่ยอมกินยา บอกว่าไปหาหมอแล้วมันยุ่งเรื่องมันมากเพราะว่าไปเจอหมอแล้วไปเจอโรคนั้นโรคนี้ มันหลายโรค อย่าไปหามันเลย แล้วก็นอนซมอยู่นั่นแหละหลาย ๆ วัน แต่ว่าไม่เป็นไรมันหายไปเอง แต่ถึงบทจะตายก็คงตายเองเหมือนกันเพราะว่าไม่ได้หาหมอ แค่นี้ก็ลำบาก ดื้อเกินไปมันไม่ถูกต้อง เรามันต้องเชื่อคนที่เขามีความรู้หมอนี่มีความรู้เรื่องร่างกาย เราก็ต้องไปหาไปปรึกษา แม้ไม่เจ็บไม่ป่วยเอ้าเช็คหน่อยเหมือนกับรถยนต์ใช้มาก็ตั้งปีแล้วก็เข้าอู่เสียที เช็คเครื่องอัดฉีดให้เป็นการเรียบร้อยร่างกายเรามันก็เครื่องยนต์เราดี ๆ นี่เองแหละถ้ามีล้อสี่ล้อคือเท้าสองมือสองแต่เราเดินเพียงสองล้อไม่เดินสี่ล้อ ถ้าเดินสี่ล้อก็พวกขี้เมา เมาจนต้องคลานกลับบ้าน นี่มันใช้สี่ล้อแล้ว ถ้าใช้สี่ล้อมันไม่ใช่คนแล้วมันผิดปกติ เหมือนกับเครื่องยนต์กลไกมีทางเข้ามีทางออก มีช่องขับช่องถ่าย แล้วก็ต้องการน้ำ ต้องการอาหาร ต้องการนู่นนี่ทุกประการสำหรับหล่อเลี้ยงร่างกาย ก็ต้องมีความพอดีในการเป็นการอยู่ ร่างกายก็มีสุขภาพดี
แล้วสิ่งใดที่มันเป็นพิษนี่อย่าใส่เข้าไปในร่างกาย กาแฟไม่ดีไม่ควรหัดดื่มกาแฟ ติดกาแฟ คนแก่บางคนติดกาแฟ ต้องยี่ห้อนั้นเสียด้วย ถ้าไม่ได้ยี่ห้อนั้นแล้วหงุดหงิดนะดุลูกดุหลานเพราะไม่ได้กาแฟยี่ห้อนั้น ไปไหนก็ต้องพกกาแฟไปด้วย เพื่อจะได้กาแฟนี่ก็มากไปแล้วเรียกว่าจิตเป็นทุกข์มีภาระที่จะต้องเอาไปยุ่งเปล่า ๆ กินน้ำบริสุทธิ์แล้วมันมีทุกแบบไม่ลำบากยากเข็ญอะไรดื่มน้ำธรรมดาสะดวกสบาย อย่างดีก็น้ำต้มก็ยังง่ายกว่าที่จะชงกาแฟ ชงนั่นชงนี่เที่ยวหอบไปพะรุงพะรัง ตัวเรานี้มันก็หนักอยู่พอสมควรแล้ว เอ้าหิ้วตะกร้าด้านขวาหิ้วด้านซ้ายคอยถ่วงไม่ให้ล้ม หิ้วกันไปขึ้นรถขึ้นราก็โอ้ลำบากทุลักทุเลภาระทั้งนั้น ไปเพิ่มให้แก่ตนเองโดยไม่ได้เรื่องอะไร
เพราะฉะนั้นอะไรที่ไม่จำเป็นก็อย่าดื่ม อะไรไม่จำเป็นก็อย่ารับประทาน เราถือให้ได้ก็สบายใจ ของเป็นพิษ เช่น สุราเมรัยนี่คนแก่มันต้องเว้นเด็ดขาด บุหรี่ก็ต้องหยุดสูบพบบ่อย ๆ คนมาเผาศพนี่เวลาไปเผาศพแล้วก็ในกระเป๋ามีบุหรี่ บอกโยมเมื่อไหร่จะเผาซะบ้างล่ะ ไอ้ที่อยู่ในกระเป๋านั่นแหละ คบกันมานานแล้ว แก่แล้วตายแล้วเอาไปด้วย คบบุหรี่มานานตายแล้วจะเอาไปด้วย อย่างนั้นก็ไม่ถูกต้อง มันควรหัดเลิกเสียบ้างโรค โรคา พยาธิ จะได้น้อยลงไปหน่อย
คนที่สูบบุหรี่จัดมักเป็นโรคหอบหืด เพราะถุงลมในปอดพอง พองแล้วมันไม่ยุบ ไม่ยุบก็เป็นหอบเป็นหืดทรมานสังขารร่างกาย แต่ถ้าเลิกได้มันก็หาย มีคนหนึ่งอยู่บางปะกงชีวิตแกสมบุกสมบัน เมื่อสมัยสงครามนี่ออสเตรเลียจับเรือดำน้ำมาฝึกจับแกไป ...... (53.44) ทางเรือไปสิงคโปร์ เรือดำน้ำจับเอาคนใส่เรือดำน้ำพาไป พาไปที่เมลเบิร์น พาไปกักตัวไว้ที่นั่นจนเสร็จสงคราม ไอ้ทางบ้านนี้ทำบุญอุทิศแล้ว ทำบุญเจ็ดวัน ทำบุญห้าสิบวัน ทำบุญร้อยวัน อุทิศให้เสร็จแล้ว นึกว่าตายแล้วพอเสร็จสงครามก็กลับบ้าน คุณแม่เห็นแต่ไกล โอ้เอ็งยังไม่ตายรึ ก็ไปกราบคุณแม่ คุณแม่ก็ดีอกดีใจแต่ว่ามีโรคหอบหืด เพราะสูบบุหรี่ แกมาบวชที่นี่ ก็บอกว่าโยมบวชแล้วสูบบุหรี่ไม่ได้นะต้องเลิกเสีย ก็เลิกแล้ว แล้วก็ไม่สูบ เวลาบวชอยู่ก็เลยไม่สูบ สามเดือนนี่ปอดดีขึ้นสุขภาพการหายใจดี ทางเดินหายใจดี สึกไปแล้วก็เลยไม่สูบบุหรี่ มีชีวิตเรียบร้อยเพราะเลิกได้สบาย
สาเหตุมันอยู่ที่อะไรเราตัดเหตุตัวนั้นออกไปมันก็เรียบร้อย ไม่มีอะไรเสียหายอันนี้ตัดสิ่งที่ไม่จำเป็น บุหรี่ตัดออกไป ยานัดคนแก่บางคนชอบนัดยาไปไหนก็ถือขวดถือกล้องจ้องอยู่อย่างนี้แยงพรึบๆ เรื่องอะไรที่พ่นขี้ฝุ่นเข้าจมูก แล้วมันเรื่องอะไร สูบบุหรี่น่ะเอาควันเข้าไป นัดยานี่เอาฝุ่นเข้าไปพ่นจี๊ดเข้าไปเพื่อนๆ ข้างเคียงก็จามไปด้วยเพราะมันฟุ้งไปหาเพื่อนด้วย นี่ไม่ได้เรื่องอะไร หาเรื่อง นัดยา สูบบุหรี่ ชอบดื่มของมึนเมา แล้วบางทีก็ยังชอบสนุกไปเที่ยวกลางค่ำกลางคืนโซซัดโซเซถูกสิบล้อชนเอา อ้าวเรียบร้อย เพราะไม่อยู่บ้าน นี่มันก็ไม่ได้เรื่อง ต้องพักผ่อนเสียบ้างแก่แล้วร่างกายเรามันชราแล้วใกล้ฝั่งแล้วควรจะทำกิจที่ควรทำ
แล้วก็ทำจิตใจให้สงบสะอาดไว้ให้มีปัญญารู้ทันรู้เท่าต่อสิ่งทั้งหลายตามสภาพที่เป็นจริง ไม่หลงไหลยึดถือมัวเมาในเรื่องภายนอกมากเกินไป ให้อยู่ด้วยความว่าง ๆ เสียบ้าง สภาพจิตดีขึ้นสุขภาพกายก็จะดีขึ้นไม่มีปัญหาอะไรรุนแรง ธรรมะช่วยได้ ช่วยให้คนแก่เป็นสุขสบาย แล้วเมื่อคนที่เป็นผู้สูงอายุอยู่ในครอบครัวสบาย ทุกคนสบายใจ ลูกหลายสบายใจ และเอาเป็นตัวอย่างได้ เอาตัวอย่างคุณปู่ เอาตัวอย่างคุณตา คุณย่าคุณยาย ถ้าเราเป็นผู้เดินหน้าต้องเดินให้เรียบร้อยให้เป็นตัวอย่างแก่ลูกแก่หลาน ถ้าเราทำได้อย่างนี้จิตใจก็สบาย หมั่นอ่านหนังสือธรรมะเข้าฝ่ายพระสนทนาธรรมกันให้เกิดปัญญาเกิดความรู้ความเข้าใจว่าง ๆ มาวัดมานั่งเงียบ ๆ พักผ่อนทางใจ วางงานวางการ แล้วก็พักเสียบ้าง ก็เรียกว่าหาความสุขตอนชราชีวิตมันจะได้สมบูรณ์เรียบร้อย ให้โยมเข้าใจอย่างนี้ วันนี้พูดมาในเรื่องนี้ก็สมควรแก่เวลาขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้