แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
พุทธบริษัททั้งหลาย ณ บัดนี้ถึงเวลาของการฟังปาฐกถาธรรมะ อันเป็นหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนาแล้ว ขอให้ทุกคนอยู่ในอาการสงบ ตั้งอกตั้งใจฟังด้วยดี เพื่อให้ได้ประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการมาวัดตามสมควรแก่เวลา
ขณะนี้อากาศก็ดีขึ้นหน่อยเพราะมีฝนมาช่วยทำให้เกิดความชุ่มความเย็น ฝนเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกคน และต้นไม้ และสัตว์มีชีวิตทั่วไป เพราะว่าน้ำฝนทำให้เกิดความชุ่มชื่น เย็นกาย สบายใจ แต่ถ้าฝนแล้งไม่ตก ก็เกิดเป็นปัญหา เมื่อความแห้งแล้งมันมีมากขึ้น วันก่อนไปเชียงใหม่ ไปเมื่อวันที่ ๑๑ มีนาคม กลับวันที่ ๑๔ รู้สึกว่าอากาศที่นั่นร้อนมาก ร้อนผ่าวๆ ลมที่มากระทบผิวกายนี่ร้อนผ่าว ร้อนเหลือเกิน เมื่อก่อนมันไม่ร้อนมากขนาดนั้น แต่ว่าเดี๋ยวนี้ร้อนมาก แล้วฝนก็ไม่ตก ทำให้ต้นไม้แห้งแล้งทั่วไป มองไปที่ไหนก็เห็นแต่ความเหี่ยวแห้ง ไม่ค่อยสดชื่น คนที่อยู่ที่นั่นก็เหี้ยมเกรียมไป ผิวหนังมันเกรียม เมื่อไปพักอยู่สองสามวันนี่ รู้สึกว่าหนังมันแห้ง คันที่หน้าแข้งเหมือนกับคันที่เมืองนอก เมืองนอกนี่อากาศมันแห้งเหมือนกัน อากาศหนาวนี่มันแห้ง ทำให้ผิวหนังแห้ง แต่ไปพักอยู่เชียงใหม่สองสามวันนี่รู้สึกคันผิดปกติ ต้องเอายามาทาเพื่อให้ผิวหนังมันชุ่ม อันนี้เกิดจากอากาศที่มันแห้ง แห้งมาก ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ก็เพราะว่ามนุษย์เรานี่ทำบาปกันมานานแล้ว ทำบาปกันหลายปี ตั้งหกสิบปีแล้ว ทำบาปกันมา คือนับตั้งแต่เปลี่ยนการปกครองมาโดยลำดับ ก็ชวนกันทำบาป คือทำลายธรรมชาติให้เสียหาย ทำลายป่า ป่าในที่ต่างๆทั่วประเทศนี่ถูกทำลายมากเหลือเกิน
สมัยก่อนนี่อยู่ปักษ์ใต้ เป็นเด็กๆนี่เดินทางไปตามบ้านริมภูเขา เวลาเดินไปนั้นเย็นชุ่ม ได้ยินแต่เสียงเรไรร้อง หรีดหริ่ง หรีดหริ่ง ร้องดัง ร้องไปไกล เขาเรียกว่า “สามควน” ควนก็คือเนินนั่นเอง หรือนูนนั่นเอง มันร้องดังไปไกลๆ ได้ยินแต่ไกลๆ ต้นไม้ร่มรื่น เย็นสบาย แต่เดี๋ยวนี้ป่าที่เย็นสบายนั่นหายไปหมดแล้ว ไม่มีแล้ว คนเข้าไปถางป่าแล้วก็เปลี่ยนสภาพให้กลายเป็นทุ่งแห้งไป บางแห่งก็เปลี่ยนสภาพเป็นสวนยาง แต่ว่าสวนยางนี่พอถึงหน้าร้อนมันก็แห้งเหมือนกันเพราะมันผลัดใบหมดไม่มีเหลือ เลยก็เกิดความแห้ง ไม่มีความชุ่มเย็น ทางภาคเหนือของประเทศไทย ซึ่งตามปกติมันก็ชุ่มเย็น แต่ว่าสมัยนี้ต้นไม้มันขาดแคลน ต้นน้ำลำธารก็แห้ง น้ำแห้งไปหมด น้ำในแม่น้ำ ปิง วัง ยม น่าน นี่แห้ง ไม่ค่อยมีน้ำ แต่ว่ามีอยู่เหลือบ้างก็เพราะว่ามีเขื่อนกั้นไว้ ถ้าหากว่าไม่ได้ทำเขื่อนไว้ น้ำก็คงแห้งหมด เพราะไม่มีอะไรกั้น แต่เพราะมีเขื่อน เช่น เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ นี่ ก็ช่วยกั้นน้ำไว้จำนวนหนึ่ง ไม่ให้ไหลผ่านหมดไปเลยทีเดียว ก็ได้ค่อยๆผ่อนมาสำหรับให้คนได้กินได้ใช้ ไม่ถึงกับเสียหายมากเกินไป แต่ว่าต้นน้ำมันไม่มีฝน เพราะต้นไม้แห้ง ฝนจึงไม่ตก ฝนไม่ตกก็เพราะว่าความชื้นมันไม่ค่อยมี ความชื้นนี่ ที่มีอยู่ในที่ทั่วไปมากบ้างน้อยบ้าง ที่ใดมีความชื้นมากเราก็เย็นกาย ถ้าชื้นน้อยเราก็ไม่เย็น ร่างกายไม่เย็น แห้ง เมฆฝนที่ลอยมาในอากาศนั้น ตรงไหนมีความชื้น เมฆก็ลอยต่ำไปรวมกันที่นั่นแล้วก็เกิดเป็นฝนเทลงมา ทำให้ชาวบ้านชาวเมืองได้รับความสบาย แต่ถ้าที่ไหนมันแห้ง เมฆฝนไม่มี ฝนไม่ตก ก็เกิดปัญหา เกิดความแห้งแล้ง ทีนี้เราทำลายป่า เมื่อทำลายป่าหมด ความชื้นมันก็หายไป เหลือแต่ความแห้ง เมฆฝนก็ลอยผ่านไป ไม่ตกลงในบริเวณนั้น ก็ไม่มีน้ำฝน ขาดฝนก็ไม่มีน้ำในห้วย ไม่มีน้ำในแม่น้ำ ตามหนองอะไรต่างๆน้ำก็แห้งขอด
ที่วัดอุโมงค์ที่เคยอยู่ที่เชียงใหม่นั้น ทำอ่างเก็บน้ำไว้ใหญ่โต แต่ปีนี้น้ำแห้งลงไปตั้งเมตรครึ่งจากที่เคยมี ปลาที่อยู่ก็มีความเดือดร้อนพอสมควร เพราะว่าคนมันเห็นง่าย แล้วก็มีพวกขโมยชอบมาจับปลากลางคืน เวลาพระพักผ่อนหลับนอนหมด เขาก็แอบเข้ามา ลงไปจับปลา ทอดแห แต่ว่าเราป้องกันการทอดแหได้โดยวิธีเอากิ่งไม้ทิ้งไว้ เวลาทอดแหมันก็ติดกิ่งไม้ เอาหินก้อนโตๆไปทิ้งไว้ ทอดแหก็ไปติดหิน พอกันได้ แต่ว่าเขาไม่ทอดแห เขาลงไปจับเอง ลงไปจับเอาในน้ำ ปลามันเยอะ คนไปปล่อยไว้ แล้ววันเสาร์วันอาทิตย์คนก็เอาอาหารไปให้ปลา คือเด็กน้อยที่อาศัยอยู่ที่วัดนี่หลายคน ก็ไปซื้ออาหารปลามาถุงใหญ่ๆเอามาแบ่งเป็นถุงเล็กๆ แล้วขายถุงละสิบบาท คนก็ซื้ออาหารเหล่านั้นให้ปลากิน ปลาก็พอเลี้ยงชีวิตอยู่ได้ พวกเต่านี่พอน้ำแห้งมันก็ลำบาก ก็ตัวมันโต เที่ยวว่ายน้ำแล้วคนก็เห็น พวกนักเลงกินเต่ามันก็มาจับเต่าเหมือนกัน จับง่ายกว่าปลาเพราะตัวมันใหญ่ เอาไปเผาไฟแล้วก็แล่เนื้อเอามากินกัน เป็นการทารุณต่อสัตว์มาก แต่ว่าไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะจับไม่ค่อยได้ พอพระตื่นขึ้นเขาก็วิ่งหนีออกไปทางใดทางหนึ่ง เราจะไปวิ่งตามจับมันก็ไม่ทัน นี่ก็เพราะว่าน้ำแห้งจึงได้เกิดเป็นปัญหา
การทำลายป่านี่เป็นการทำบาปมาก แต่เราไม่เห็นผลของบาป เพราะไม่ได้คิด แต่เวลานี้ผลบาปเพราะการทำลายป่ากำลังมาสนองแก่คนในประเทศไทย ไม่ใช่ทำลายทุกคน แต่ว่าเป็นผู้อยู่ร่วมกัน ได้รับผลบาปร่วมกัน คนหนึ่งไปทำบาป คนที่อยู่ด้วยกันก็ได้รับผลบาปด้วย เช่นคนในครอบครัวเดียวกัน คนหนึ่งทำบาปอะไร คนในครอบครัวนั้นก็พลอยรับผลบาปด้วย คนในตำบลนั้น ครอบครัวหนึ่งทำบาป คนทุกคนในตำบลนั้นก็พลอยรับบาปด้วย คนในประเทศไทยบางพวกทำลายป่า แต่ผลบาปนั้นตกมาถึงคนไทยทั้งประเทศ ที่อาศัยน้ำจากขุมน้ำที่เกิดจากภูเขาในภาคเหนือของประเทศไทย เลยก็ได้รับผลบาปเท่ากัน อันนี้เป็นบาปที่ยิ่งใหญ่ที่เราทำกันอยู่ แล้วฤดูแล้งนี่ไฟมักจะไหม้ป่า ไม่ใช่ไฟธรรมชาติ ไอ้ไฟธรรมชาติที่ไม้สีกันแล้วเกิดไฟนั้นมันหมดสมัยแล้ว ไม่มีแล้ว แต่ว่าคนชอบจุดไฟ ไม้ขีดก้านเดียวเท่านั้น เผาป่าได้ทั้งเมือง จากไม้ขีดก้านเดียวจุดทิ้งลงไป หรือว่าซิกาแรตตัวเดียวก้นมันที่เราทิ้งลงไปในป่า จะไหม้ป่าหมดทั้งป่าเสียหายแก่ส่วนรวม
ถ้านั่งรถไฟไปภาคเหนือ สมัยก่อนอยู่เชียงใหม่ นั่งรถไฟขึ้นลงบ่อยๆ กลางคืนนั่งรถไฟไปพอผ่านถ้ำที่ไปถึงเด่นชัย เราก็จะเห็นว่ามีไฟไหม้บนภูเขา ไหม้อยู่นั่นแหล่ะ ไม่มีใครไปดับมันหรอก ไหม้จนกระทั่งหมดเชื้อแล้วมันก็ดับไปเอง หรือถ้ามีฝนตกลงมาไฟก็ดับไป อันนี้เป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นในประเทศไทย แต่ว่ามันไม่ดัง ไม่เป็นข่าว ปีนี้เกิดไฟไหม้ป่าห้วยขาแข้งหรือทุ่งนเรศวรซึ่งเป็นสมบัติโลก เพราะป่าที่นั่นยังเป็นป่าที่สมบูรณ์ แต่ว่าใบไม้มันก็ร่วงลงมากองอยู่ที่โคนต้น คนก็ไปจุดให้มันไหม้ จุดไหม้ก็เพื่อไล่สัตว์ สัตว์ที่เลื้อยคลานเช่นเต่าอย่างนี้ พอไฟไหม้มันก็หนีไม่ทัน เพราะมันคลานต้วมเตี้ยม แต่ถ้าเป็นสัตว์ที่หนีได้มันก็ไม่เป็นไร หรือสัตว์ตัวโตๆมันก็ไม่เป็นไรเพราะหนีไฟได้ แต่สัตว์เล็กนี่หนีไม่ได้ก็ต้องตายเพราะเปลวไฟ แต่ที่เสียหายมากก็คือต้นไม้ถูกไฟเผา กลายเป็นยืนต้นแต่ไม่ตายหรอก พอฝนตกมันก็แตกใบต่อไปแต่ทำให้เกิดการชะงักงันในการเจริญเติบโต เป็นการเสียหายมาก เพราะว่าป่านั้นเป็นป่าใหญ่ เป็นป่ามรดกโลก ราคามันก็ดัง หนังสือพิมพ์ก็ลงข่าว วิทยุโทรทัศน์ก็ออกเป็นข่าวเรื่องไฟไหม้ ความจริงมันไหม้ทั่วไป ทางภาคเหนือไหม้ทั่วไปทุกเขา ทุกแห่ง ไหม้อยู่ตามธรรมดาทุกปีมา เป็นอย่างนี้เพราะคนมือซุกซน คนที่อยู่ริมภูเขา ชาวบ้านนี่เขาอยากจะไล่สัตว์ก็ใช้วิธีจุดไฟเผาแล้วสัตว์มันก็วิ่งหนี วิ่งหนีแล้วก็จะได้ยิงเอาสะดวกสบาย เราไม่ได้ให้การอบรมแก่คนเหล่านั้น ไม่ได้ทำความเข้าใจกับเขา ตั้งแต่เปลี่ยนการปกครองมาหกสิบปียังไม่ได้ทำอะไรกับเรื่องเกี่ยวกับป่าไม้ มีแต่เรื่องการทำลายป่ากันอยู่ตลอดเวลา คนรวยเพราะป่านี่มีจำนวนหลายคน แต่คนลำบากเพราะป่ามีมากกว่านั้น เรารวยคนหนึ่งแต่เพื่อนเดือดร้อนร้อยคนนี่เป็นความรวยที่ไม่ถูกต้อง เป็นการหาทรัพย์ที่ไม่ถูกต้อง สร้างปัญหาให้เกิดขึ้น จึงเป็นเรื่องที่จะต้องช่วยกันแก้ไข แต่ว่าจะแก้อย่างไรนั้น เจ้าหน้าที่ต้องช่วยกันแก้ คือเจ้าหน้าที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายให้เคร่งครัดขึ้นมาสักหน่อย ไม่ให้เกิดปัญหา
สมมุติว่าตรงนี้เป็นที่สงวน แล้วมีคนคนหนึ่งมาสร้างบ้านขึ้น ไม่มีใครว่าอะไร สร้างบ้านไม่ว่าอะไร คนอื่นเห็น อ้อ ไอ้นี่สร้างได้ กูไปสร้างบ้าง เลยสร้างกันเป็นจำนวนหลายๆบ้าน สิบบ้าน ยี่สิบบ้าน ไล่ไม่ได้แล้ว เกิดปัญหาแล้ว เป็นเรื่องลำบากแล้ว นี่ก็เพราะเจ้าหน้าที่ไม่จัดการ เมื่อเห็นคนไปสร้างบ้านก็ต้องไปถามว่า ทำไมมาสร้างบ้านตรงนี้ ที่นี่มันเป็นป่าสงวนนะ สร้างไม่ได้ ให้ออกไป ถ้าไม่ออกจะต้องจับกุม บ้านครอบครัวเดียวมันก็ไป แล้วเขียนป้ายบอกว่า ป่าสงวนห้ามสร้างบ้าน แล้วคอยตรวจหน่อย เพราะคนที่อยากทดลองเจ้าหน้าที่มีอยู่มาก เราคอยดูแลเอาใจใส่ มันก็ไม่เกิด แต่นี่ปล่อยไว้จนมากมายแล้วไปจัดการ เกิดยิงเกิดอะไรกันขึ้น ทำให้เกิดความเสียหายทั้งสองฝ่าย
ตัวอย่างตรงนี้เขาเรียกว่า “คลองส่วย” ติดกับคลองประปาเขาเรียกว่าคลองส่วย ริมคลองส่วยนั้นเมื่อก่อนไม่มีบ้าน ไม่มีบ้านเลย หลวงพ่อนั่งรถผ่านคลองประปา ดูมาทุกวัน ทุกวัน ไม่มีบ้าน แต่เดี๋ยวนี้คลองส่วย เต็มไปหมดบ้าน รุงรังหมด สร้างบ้านรุงรังไปหมด มาสร้างหนึ่งบ้านเจ้าหน้าที่ไม่ว่าอะไร สองบ้าน สิบบ้าน ยี่สิบบ้าน เต็มตลอดคลองเลย กลายเป็นแหล่งสลัม เกิดความสกปรกขึ้นริมคลองประปามากมาย อันนี้เป็นความบกพร่องของเจ้าหน้าที่ ผู้ว่าราชการจังหวัดก็ไม่ขับรถมาดูบ้าง นายอำเภอก็ไม่ขับรถมาดูบ้าง ใครที่ดูแลที่หลวงก็ไม่ขับรถมาดูบ้าง ว่าคนเหล่านี้มาสร้างบ้านลงก็ต้องจัดการขับไล่ บอกให้ออกไป ออกไปอยู่ที่ไหนก็ตามใจ ถ้าบ้านเดียวมันไม่ลำบากหรอก แต่ถ้าหลายบ้านมาเถอะ อ้าวจะให้ผมไปอยู่ไหนล่ะ ผมไม่มีที่อยู่ ไม่มีที่ทำกิน ต้องมาอยู่ตรงนี้ อ้าวเกิดปัญหาแล้ว กระทบกระเทือนถึงรัฐบาลแล้ว เพราะเจ้าหน้าที่ไม่เอาใจใส่ เจ้าหน้าที่เมืองไทยเรานั้นมีข้อบกพร่องอยู่หลายประการ ไม่ค่อยเอาใจใส่ในเรื่องปฏิบัติหน้าที่ เรื่องนี้จะพูดในวันที่ ๑ เมษายน ซึ่งเรียกว่าวันข้าราชการพลเรือน เขาให้เทศน์ทุกปี แล้วก็ว่ากันทุกปี แต่ก็ยังอยู่กันอย่างนั้นแหล่ะ ยังไม่ค่อยจะดีขึ้น เรื่องมันเป็นอย่างนั้น ถ้าหากว่าผู้ที่ทำหน้าที่ รักหน้าที่ ขยันในหน้าที่ เอาใจใส่ในหน้าที่อย่างจริงจังแล้ว เรื่องยุ่งจะไม่มี คอยดูแลแล้วมันก็ไม่มี
ภูเขาอยู่ใกล้ๆอำเภอ อำเภอนั่งบนอำเภอก็เห็นว่าคนมันถางภูเขา แต่ขี้เกียจไป ทำไมไม่ไปจัดการ ทำไมไม่ดูแล เพราะมันมองเห็นนะ นั่งบนอำเภอก็มองเห็นว่าคนถางภูเขามันทำลายป่าบนภูเขาแต่ทำเมินเฉยไม่เอาใจใส่ ไม่มีใครเอาใจใส่ เจ้าหน้าที่ชั้นสูงนั่งรถไฟไปก็เห็น แต่ไม่เรียกเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นมาต่อว่าต่อขานว่าทำไมปล่อยให้คนถางภูเขา ถ้าตอบไม่ถูกต้องก็ปลดไปเสียบ้าง ลดชั้นเงินเดือนเสียบ้าง ลงโทษเสียบ้าง ประกาศทางหนังสือพิมพ์ ว่านายอำเภอ อำเภอนั้นปล่อยให้คนถางภูเขา ไม่เรียบร้อย หรือว่าใครที่เกี่ยวข้องกี่คนบนอำเภอนั้น ปลดออกไป แล้วให้คนอื่นเข้ามาทำงานต่อไป ทำอะไรให้มันจริงจังกันเสียบ้าง อะไรอะไรก็จะดีขึ้นนะบ้านเมืองของเรา เพราะว่าคนไทยเรานั้นอ่อนแอมานานแล้ว เป็นคนอ่อนแอ ทำอะไรก็ไม่ค่อยเอาจริงเอาจัง ไม่ค่อยเข้มแข็ง แล้วมักอ้างว่าจะต้องใช้หลักรัฐศาสตร์จะใช้หลักนิติศาสตร์เสมอไปไม่ได้ หากใช้รัฐศาสตร์มันก็ช่วยอะไรไม่ได้ บ้านเมืองก็เสียหายหมด เพราะไม่เอานิติศาสตร์มาใช้มันก็เกิดเป็นปัญหา นั่นเป็นคำแก้ตัวไม่ใช่เรื่องอะไร แก้ตัวว่า มันไม่ได้ การปกครองคนมันต้องใช้หลักรัฐศาสตร์ จะใช้นิติศาสตร์เสมอไปไม่ได้นั้นคือคำแก้ตัว แก้ตัวเพราะไม่ได้ทำมา แล้วจะให้มายึดรัฐศาสตร์คือปล่อยมันไปตามเรื่อง แล้วก็เลยเสียหายเป็นปัญหาทั่วไป หลายที่ทั่วไป หลายที่ หลายแห่ง หลวงพ่อนี่นั่งรถทั่วไปดูมาทุกหน ทุกแห่ง ที่เกิดๆ เกิดเพราะเจ้าหน้าที่ไม่เอาใจใส่ทั้งนั้น ถ้าเจ้าหน้าที่เอาใจใส่แล้ว เรื่องมันก็ลดน้อยเพราะได้ทำตามหน้าที่ ทีนี้คนที่ไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ก็ไม่ถูกลงโทษอะไร ยังได้สายสะพาย ยังได้เหรียญตราประจำปี ได้เลื่อนชั้น เลื่อนเงินเดือน มันก็เป็นกันอยู่อย่างนี้ ไม่น่าภูมิใจอะไรในสิ่งที่ตัวมีตัวได้ เพราะไม่ได้ได้จากคุณงามความดีจริงๆ ได้เพราะพรรคพวกให้กันก็เท่านั้นเอง นั่นมันไม่น่าภูมิใจ อันนี้มีปรากฏอยู่ในที่ทั่วๆไป เอามาคุยสู่กันฟังเสียบ้าง เผื่อว่าใครๆจะได้ยินจะได้เอาไปคิดไปตรองกัน แล้วก็ช่วยกันทำให้มันถูกต้องก็จะเป็นสิ่งประเสริฐสำหรับชีวิต
ทีนี้พวกเราทั้งหลาย ที่มาวันอาทิตย์นี้จุดหมายก็เพื่อมาศึกษาธรรมะอันเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิต เวลานี้ถ้าพูดกันด้วยความจริงใจแล้ว เราก็จะเห็นว่าธรรมมะนี่จำเป็นที่สุดแล้ว เป็นสิ่งที่เราจะต้องนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน ถ้าเราได้ใช้ธรรมะในชีวิตประจำวัน อะไรก็จะดีขึ้น แต่ถ้าเราไม่ได้ใช้ธรรมะเป็นเครื่องช่วยปัญหาชีวิตก็จะมากขึ้น จะเกิดความทุกข์เกิดความเดือดร้อนมากขึ้น ในชีวิตส่วนบุคคล ถ้าเราไม่ได้ใช้หลักธรรมะเป็นเครื่องช่วย เราก็มีปัญหามีความทุกข์มีความเดือดร้อน แต่ถ้าเราได้ใช้ธรรมะไว้ ปัญหามันก็มีน้อย ทีนี้คนเราไม่ค่อยจะเข้าใจ ไม่ค่อยจะได้ศึกษา ไม่ได้เข้าใกล้ผู้รู้ แม้มาวัดก็ไม่ได้รับคำสอนคำเตือนในทางที่ถูกที่ชอบ จึงทำอะไรยุ่งๆกันอยู่ตลอดเวลา เมื่อสองสามวันมานี้ มีผู้หญิงสองคนมา เอาเทียนมาสองเล่ม เทียนเล่มใหญ่ๆยาวๆ ไม่ใช่ฤดูถวายเทียนแต่เอาเทียนมาถวาย หลวงพ่อก็ถามว่าฤดูนี้เขาไม่ได้ถวายเทียนกัน หนูเอาเทียนมาทำอะไร บอกว่าเอามาถวาย ทำไมจึงได้เอาเทียนมาถวาย คุณพ่อป่วย แล้วหมอดูเขาบอกว่า คุณพ่อนี่ป่วยให้เอาเทียนไปถวายพระเก้าคู่ เก้าคู่นี่ก็สิบแปดเล่ม แล้วเทียนเล่มยาวขนาดนี้ สิบแปดเล่มราคาเท่าไหร่ ราคาเป็นหมื่นนะ ไม่ใช่เล็กน้อยนะ บอกว่า หมอเขาให้เอามาถวายพระแล้ว เขาบอกว่าคุณพ่อจะหายป่วยอย่างนั้นหรือ บอกว่า เขาว่าอย่างนั้นแล้วหนูเชื่อไหมว่าจะหายป่วย แล้วถามว่าคุณพ่อเป็นโรคอะไร เป็นมะเร็งที่ในปอด อ้อ ... คุณพ่อเป็นมะเร็งนี่คุณพ่อทำงานอะไร เขาก็บอกว่าเป็นช่างฟิตแต่งรถยนต์ ทีนี้อากาศในโรงแต่งรถยนต์นี่มันมีมลพิษมาก กลิ่นน้ำมัน กลิ่นอะไรต่อเยอะแยะในนั้น หายใจเข้าไปตั้งแต่หนุ่มจนแก่ แล้วมันก็เกิดเป็นมลพิษขึ้นในปอดเลยเป็นโรคมะเร็ง
หลวงพ่อเมื่อสมัยเป็นเด็กหนุ่มอยู่ที่ปีนังนี่ ไปทำงานในโรงซ่อมรถยนต์ ทำงานในโรงซ่อมรถ ทำไปไม่ถึงเดือนนะ มันมีอาการบวม หน้าบวม แขน ขา เท้าบวมหมด เลยไปหาหมอ หมอคนไทยชาวตรังแกไปทำมาหากินอยู่ที่นั่น แกก็ให้ยารับประทาน แล้วก็หยุดไปทำงาน พอรับทานยาแล้วมันก็หาย มันยุบๆไป แข็งแรงดีขึ้น แล้วก็ไปทำอีก ก็เป็นอีก ทานยาก็หายแล้วก็ไปทำก็เป็น อย่างนี้ก็บอกว่า ไม่ได้แล้ว มันไม่เหมาะกับชีวิตของเรา เป็นช่างฟิตนี่คงไม่ได้แล้ว อย่าหากินเลยกับช่างฟิตรถยนต์นี่มันคงไปไม่รอด ก็เลยเลิกไม่ทำอย่างนั้น แต่ว่าโยมที่ป่วยนี่อยู่กับช่างยนต์ อยู่กับกลิ่นน้ำมัน อยู่กับสนิม อยู่กับสิ่งที่เป็นพิษตลอดเวลา เลยเป็นโรคมะเร็ง เลยบอกว่า หนูเอ๋ย เอาเทียนมาถวายนี่ก็ไม่ช่วยให้คุณพ่อหายโรคมะเร็งหรอก แล้วก็บอกว่า ต่อไปนี้หนูอย่าไปหาหมอดู เป็นชาวพุทธนี่ไม่ไปสามแห่งนะ จำไว้ด้วยว่า หนึ่ง..ไม่ไปหาหมอดู เพราะการไปหาหมอดูนี่แสดงความโง่ความเขลาของเราด้วย แล้วเราไปหาคนโง่ๆที่เป็นหมอดูด้วย สอง...ไม่ไปสำนักทรงเจ้าเข้าผี เพราะถ้าเราไปสำนักทรงเจ้าเข้าผีก็เรียกว่าเราไปหาผี ถ้าไปหาผีก็ไปเป็นลูกศิษย์ผีก็จะตายไวๆ แล้วเจ้าสำนักผีช่วยเราไม่ได้ ใครเคยไปบ้างล่ะโยมทั้งหลายที่นั่งอยู่นี่ หยุดเสียที หยุดโง่กันเสียที อย่าไปต่อไป ไอ้สำนักทรงเจ้าเข้าผีนี่อย่าไป นี่สองอย่าง สาม...อย่าไปไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆที่คนปัญญาอ่อนสร้างขึ้นไว้บนแผ่นดินนี้ ชาวพุทธไม่ควรไปไหว้ ไม่ควรไปไหว้เสาหลักเมือง ไม่ควรจะไปไหว้ก้อนหิน ไม่ควรจะไปไหว้อะไรๆที่เขาว่าศักดิ์สิทธิ์นะ ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ กล้วย ไอ้นั่นไอ้นี่ที่เขาว่าศักดิ์สิทธิ์ อย่าไป เพราะชาวพุทธเราไม่มีความคิดอย่างนั้น ไม่มีความเชื่ออย่างนั้น เราจะไปไหว้สิ่งเหล่านั้นไม่ได้ พูดให้เขาเข้าใจ แล้วก็บอกว่า หนูไม่ต้องเป็นห่วงคุณพ่อนะ คือจะต้องตายไปภายในไม่เท่าไหร่ อ้าว..ก็บอกตรงๆไง เพราะว่ามันตายแน่ๆ ไอ้โรคอย่างนี้มันหนีไม่พ้น โรคมะเร็งนี่มันต้องตายแน่ๆ แล้วก็ว่า เอาเทปธรรมะไปเปิดให้คุณพ่อฟังดีกว่า เอาเทปไปเปิดให้ฟังบ่อยๆจิตใจจะได้สบาย โรคในกายนั้นมันรักษาไม่ได้ แต่ว่ารักษาใจให้เกิดปัญญารู้ทันรู้เท่า เลยบอกให้เอาเทปไปเปิดให้คุณพ่อฟัง แล้วพวกเราก็ต้องเอาใจใส่ไปดูแล ให้ท่านได้รับความสบายใจอย่างนั้นดีกว่า นี่รายหนึ่ง
อีกรายหนึ่งโทรศัพท์มากลางคืน เรียกว่ามีปัญหาอะไรของเขา แต่ว่าปัญหาส่วนใหญ่นั่นเกี่ยวกับป่วย คนป่วยเหมือนกัน นั่นเป็นเตี่ย คือว่าป่วยเพราะว่าไปล้มที่สวนลุมพินี คือคนจีนแถวนั้นชอบไปเดินสวนลุมฯ ไปหัดยกแข้งยกขา ทำอะไรต่ออะไรนะ แล้วก็ไปล้ม ล้มด้านขวา ศรีษะฟาดพื้น ไม่รู้สึกตัวพาไปโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง หมอก็รักษาบอกไม่เป็นไร อาการคงจะดีขึ้น แล้วก็อยู่โรงพยาบาลตั้งเดือนก็ไม่ดีขึ้นเลยพากลับบ้าน ถามว่าเวลานี้อาการของคุณเตี่ยเป็นอย่างไร ก็ไม่รู้สึกตัว นอนเฉยๆ มือข้างขวาพอเคลื่อนไหวได้ แต่ข้างซ้ายนี่เคลื่อนไหวไม่ได้ แล้วก็พูดไม่ได้ เมื่อไปอยู่โรงพยาบาลใหม่ๆยังพอพูดได้ เรียกลูกได้ แต่ว่าเดี๋ยวนี้พูดไม่ได้เลย อาการมันมากเพราะโลหิตในสมองนี่ เส้นโลหิตมันแตก กระเทือน แล้วเลือดมันคั่งอยู่ในสมอง ทีนี้หมอก็จะเจาะ บอกว่าที่บ้านหนูนี่นับถือเทพเจ้าด้วย เทพเจ้าห้ามว่าอย่าเจาะ แล้วถามว่าเทพเจ้านี่ตัวมันอย่างไร หนูเห็นตัวเทพเจ้าไหมที่บอกว่าอย่าเจาะศรีษะ ก็ไม่ได้เจาะมาก เขาเจาะรูเล็กนิดเดียว เข็มแทงลงไปแล้วก็ดูดเลือดขึ้นมาเท่านั้นเอง ไม่ใช่ว่าเอาสิ่วมาจ่อแล้วระเบิดหัวไปซีกหนึ่ง ไม่ใช่อย่างนั้น ลองพูดว่าเจาะนี่ตกใจนะ เจาะหัวนี่ตกใจ มันไม่ได้ใหญ่โตอะไรอย่างนั้น เขาเจาะนิดเดียว ก็ไม่ยอมให้เจาะเลยก็ต้องอยู่อย่างนั้น แล้วเขาก็ถามอีก ถามว่าจะทำบุญอะไรให้คุณพ่อหายโรคหายภัย บอกว่าทำบุญอะไรอะไรมันก็ไม่หายแล้วไอ้หนูเอ๋ยโรคนี้ นี่พูดตรงไปตรงมา นี่ถ้าพบพระอื่นก็เจ็บนะ เจ็บยังไง ก็ต้องบอกว่า ต้องทำบุญอย่างนั้น ต้องทำบุญอย่างนี้ กลัวใหญ่เลย แต่ลองพูดว่าทำไม่ได้ อย่าให้ พูดไม่เป็น เลยบอกว่าหนูอย่าไปทำอะไร ทำบุญที่ดีที่สุดเวลานี้คือ หนูต้องเอาใจใส่คุณพ่อให้มาก หลายคนพี่น้องต้องผลัดเปลี่ยนกันมาปฏิบัติ เช็ดเนื้อเช็ดตัว พลิกตัว เพราะนอนอยู่ในท่าเดียวมันจะเปื่อย ผิวหนังจะอักเสบ เราก็ต้องคอยพลิก คอยเช็ดเนื้อเช็ดตัว คอยป้อนอาหารให้ คอยเอาใจใส่ ให้ท่านได้เห็นหน้าลูกบ่อยๆ ท่านก็สบายใจ
อย่าไปคิดทำอะไรให้วุ่นวายเลย เรื่องทำบุญสุนทานนั่นก็ทำได้ ถ้าคนเขามาบอกบุญว่าจะสร้างนั่นสร้างนี่ บอกว่า หนูต้องใช้ปัญญาหน่อย อย่าไปทำตามที่เขาบอกอย่างนั้น เพราะว่าเราต้องคิดว่าเขาทำอะไร มันได้ประโยชน์ขนาดไหน ประโยชน์ที่สังคมต้องการมีหรือไม่จากวัตถุที่เขาจะให้เรากระทำนั้น ถ้าเห็นว่ามันไม่เป็นประโยชน์ก็อย่าไปทำเลย มันเสียสตางค์เปล่าๆ เราไม่ได้หมายความว่า ถ้าใครมาแจกฎีกาแล้วให้ไป ให้ไป มันก็ไม่ได้ มันต้องคิดว่า เขาเอาไปทำอะไร ทำที่ไหน ทำแล้วมันเกิดประโยชน์อะไรแก่สังคมที่อยู่ในบริเวณนั้นบ้างต้องพิจารณา ถ้าเขามาเรี่ยไรหนูเพื่อขอเงินไปขุดสระน้ำในที่กันดาลน้ำ เออ...พอให้ได้ เพราะขุดสระไว้แล้ว น้ำมันจะได้ขังในสระ คนก็จะได้กินได้ใช้ แต่ถ้าเขามาเรี่ยไรจะเอาไปสร้างพระพุทธรูปใหญ่ อย่าเลย อย่าให้เลย เพราะมันไม่ได้เรื่องอะไร สร้างพระใหญ่มันก็รกบ้านรกเมืองขึ้นอีกชิ้นหนึ่งเท่านั้นเองล่ะหนูอย่าไปทำเลย ทีนี้ก็เลยบอกว่ามีอาจารย์องค์หนึ่งมาจากกระบี่ มาบอกว่าพ่อนี่ไม่เป็นไรหรอก อีกไม่เท่าไหร่ก็จะหาย เลยถามว่าอาจารย์องค์นั้นชื่ออะไร พอเขาบอกชื่อ เลยบอกว่า เออ ถ้าไม่ได้พูดก็ …… (16.52 เสียงไม่ชัดเจน) ถ้าพูดก็ยาวไปกันใหญ่ เลยบอกว่าเอาเถอะ ดูไปก่อนก็แล้วกันว่าจะหายหรือไม่หาย แต่หลวงพ่ออยากจะบอกให้หนูปลงว่า ไม่มีทางจะหายแล้วไอ้โรคอย่างนี้ ลงใครเป็นอัมพาตแล้วไม่มีทางหาย ร้อยทั้งร้อย ตายทั้งนั้นแหล่ะ มะเร็งนี่ตาย อัมพาตนี่ก็ตายแต่มันช้าหน่อย หลายๆปีจึงจะตาย คนเป็นอัมพาตนี่อย่างงั้น แต่ถ้าหูยังได้ยินก็เปิดเทปธรรมะให้ฟัง พูดให้ฟังก็จะค่อยยังชั่วหน่อย แต่หนูนี่เขาก็ดี ก็บอกว่า เมื่อตอนที่อาจารย์ชายังอยู่นี่หนูก็ไปเยี่ยมท่าน ท่านก็พูดอะไรไม่ได้ ก็ไปเยี่ยมเฉยๆ เมื่อเผาก็ยังไปเลย เมื่อเอากระดูกมาบรรจุนี่ก็ยังไป ก็บอก อ้าว...ก็เข้าที แล้วหนูอ่านหนังสืออาจารย์ชาบ้างหรือเปล่า ก็อ่านอยู่บ้าง อ้าวขยันอ่านให้มากหน่อยจะได้มีปัญญามีความรู้ความเข้าใจอะไรมากขึ้น แล้วระวังพระที่จะมาหลอกหนูนะ เห็นคุณพ่อป่วย อาตมาจะมาทำอย่างนั้นอย่างนี้ จะมาต่อวิญญาณให้ ทำพิธีรีตอง
สังฆราชวัดโพธิ์ยังมีคนมาทำท่านเลย ทำจนกระทั่งว่า มันทำกับกูขนาดนี้เชียวรึ ว่าอย่างนั้น คือท่านรำคาญนะ จะต่ออายุให้ท่าน บอกว่าอายุมันขาดไป จะติดต่อกับพระยมให้ช่วยต่ออายุให้ นี่เรียกว่าลูกศิษย์บ้าๆบอๆทั้งนั้น ไปช่วยทำให้สมเด็จพระสังฆราช ท่านก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร แต่ท่านบ่นออกมาว่า มันทำกับกูขนาดนี้เชียวรึ ว่าอย่างนั้น นี่ มันไม่ได้เรื่อง อย่าไปทำอะไรที่มันเป็นเรื่องไม่เข้าเรื่อง โรคภัยไข้เจ็บมันเป็นไปตาม ? (17.47 เสียงสะดุด) เป็นมะเร็งเชียวใช่ไหม แล้วมันจะตายไวไหม อ้าว ตายไวซิเป็นมะเร็งตายไว ปลงไปเสียบ้าง ปลงบ้าง พูดๆให้ฟัง บอก แหม...มันปลงไม่ลง แกก็บอกตรงๆว่า ที่ท่านพูดให้ปลงนี่มันปลงไม่ลง ว่าอย่างนี้ บอกก็สวดมนต์อยู่ทุกวัน รูปังอนิจจัง เวทนาอนิจจา ไม่คิดจำบ้างรึ บอกก็สวดไปอย่างนั้นแหล่ะ แต่มันคิดไม่ได้ เวลานี้มันปลงไม่ลง ว่าอย่างนั้น แล้วก็ใจน้อย ใจน้อยกลัวตาย ถ้าญาติโยมมาเยี่ยมก็ดูร่าเริงดี แต่พอโยมลุกขึ้นไปน้ำตาไหลทุกที บอกว่าเรามันแก่ จนนางพยาบาลว่า หลวงพ่อนี่ร่างกายใหญ่โต แต่ใจหลวงพ่อนิดเดียว บอก อ้าว เขาว่าอย่างนั้นแล้วไม่ละอายบ้างเหรอ บอก เฮ้อ เขาว่าตามเรื่องของเขา เราจะไปว่าอะไรเขาล่ะ นี่อาตมาก็ไปเยี่ยมอยู่บ่อยๆ ตอนนี้ไม่ได้มาวัด ปกติวันศุกร์ก็มานอนที่กุฏิ วันอาทิตย์เย็นก็ไป แต่ตอนนี้หมอล่ามไว้ไม่ให้ไป ล่ามด้วยสายยาง น้ำเกลือนะ เพราะว่าติดแขนไว้ ไปไหนไม่ได้ล่ะ เพราะว่ามันมีอาการอย่างหนึ่งคือว่าถ่ายบ่อย เดี๋ยวถ่าย เดี๋ยวถ่าย วันหนึ่งถ่ายก็ไม่ออกนะ ถ่ายนิดเดียว นิดเดียว แต่นอนๆเดี๋ยวลุกขึ้นถ่าย มันปวด ปวดหน่วงเพราะว่ามะเร็งมันอยู่ที่ตรงนั้น อยู่ที่ปลายลำไส้ เขาเรียกภาษาบาลีว่า “อนฺตคุณํ”(อัน-ตะ-คุ-นัง) (19.15) ที่เราสวดมนต์ว่า อันตัง ลำไส้ใหญ่ “อนฺตคุณํ” ลำไส้สุด นั่นนะมันเป็นที่ตรงนั้น แล้วมันก็ให้ทุกข์ให้โทษพอสมควร หมอเขาก็ฉาย ฉายมาตั้งสิบกว่าครั้งแล้ว แต่ว่ายังไม่ค่อยดีเท่าใด แต่ไม่ได้ปวดรวดร้าวอะไร ยังไม่ถึงขั้นนั้น ก็พอทนอยู่ มันโรคอย่างนี้ถ้าใครเป็นละก้อปลงไปได้ ถ้าเขาบอกว่าเป็นมะเร็ง ก็บอกว่า เออ ดีเหมือนกันนะ จะได้ตายง่ายๆ นั่นปลงไปอย่างนั้น ใจมันก็สบาย อย่าไปคิดว่า โอ้ แหมฉันจะตายแล้ว ฉันเสียดายนั่นเสียดายนี่ ไอ้โน่นไอ้นี่ อย่าไปคิดมาก คิดมากแล้วมันเป็นทุกข์ไม่เข้าเรื่อง อย่าไปยึดไปถือ ต้องทำตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ก็พูดกัน หนูๆเหล่านั้นเขาก็บอกว่า ขอบพระคุณหลวงพ่อ บอกว่าหนูมีปัญหาอะไรโทรมาได้ กลางค่ำกลางคืนก็ไม่ต้องเกรงใจ โทรมาถามได้ เดี๋ยวนี้คนชัดจะโทรมาบ่อยๆ เพราะว่าไปออกโทรทัศน์ไว้ ออกรายการเที่ยงวัน ไปพูดปัญหาทางโทรทัศน์ช่องห้า เวลาเที่ยงวัน วันศุกร์ ศุกร์ที่สองของเดือน ก็ไปออก แล้วบอกเบอร์โทรศัพท์ไว้ เขาจดไว้ เขาโทรมา บอกว่าไม่เป็นไร โทรมาได้ มีอะไรก็โทรมาเถอะ ยินดีที่จะพูดชี้แจงให้เข้าใจ ก็พูดความจริงให้เขาเข้าใจ ไม่พูดหลอกพอให้เขาพอสบายใจ ไม่เหมือนเด็กร้องไห้ บอกอ้าวเด็กร้องบอกจะให้กินขนม พอไม่ให้กินขนม เด็กร้องต่อไป อย่างนี้ไม่ได้ เราพูดให้เขาเข้าใจความจริงของชีวิต ถึงโรคที่เกิดขึ้นว่ามีอาการอย่างไรให้รู้จักปลง รู้จักวาง อย่าไปหลอกให้เขาสบายใจว่าไม่เป็นไร ไม่เป็นไร คงจะฟื้นคืนมาอีก พูดอย่างนั้นมันก็ไม่ช่วย ไม่ช่วยอะไร แต่เราพูดให้เขารู้ว่า หนูต้องปลง ต้องวาง เพราะธรรมชาติร่างกายมันก็ต้องมีโรค เราเลือกโรคไม่ได้ จะเป็นโรคนั้นก็ไม่ได้ โรคนี้ก็ไม่ได้ มันสุดแล้วแต่การผสมปรุงแต่งในร่างกายของเรา ถ้ามันผิดส่วนมันก็เกิดอะไรขึ้นในร่างกาย อาจจะเกิดหนักก็ได้ ปานกลางก็ได้ เบาๆก็ได้ สุดแล้วแต่ธรรมชาติของร่างกาย เช่นเราอยู่ดีๆบางทีก็ท้องเสีย มันต้องมีเรื่อง ต้องกินอะไรเข้าไป ดื่มน้ำอะไรเข้าไป น้ำย่อยมันผิดปกติท้องมันก็ถ่าย ก็อย่าไปทุกข์ร้อนอะไร นึกเสียว่าธรรมชาติมันก็เป็นไปอย่างนี้ ก็กินยาอะไรก็ตามเรื่อง แต่ถ้าถ่ายหลายหนก็ต้องไปหาหมอให้ตรวจเช็คร่างกายจะได้ให้ยาถูกต้อง หน้าที่ก็ต้องทำอย่างนั้น สิ่งทั้งหลายก็จะดีขึ้น มีคนหลายคนมาถามปัญหาอย่างนั้นบ่อยๆทางโทรศัพท์ ก็บอกไปให้เขาเข้าใจ ให้รู้เรื่อง จะได้ไม่เข้าใจผิด นี่เรื่องหนึ่ง
อีกเรื่องหนึ่งอยากจะทำความเข้าใจกับญาติโยม คือว่าเรื่องถังพลาสติกสังฆทาน ทำไมต้องพูดเรื่องนี้ โยมไม่รู้ ซื้อมาถวายแล้วกลับไป ถวายแล้วกลับไป แต่ว่าพระรู้ มีประสบการณ์ ท่านเจ้าคุณเมธีวราภรณ์นี่ให้เด็กหุงข้าว หุงข้าวแล้วมาถึงฉันท์ ก็เอ๊ะ! แกหุงข้าวยังไงนะ เอาน้ำแฟ้บใส่เข้าไปในข้าวหรือ จึงมีแต่กลิ่นแฟ้บ ปู่ฉันท์ไม่ได้เลย แฟ้บมันติดอยู่ในข้าวสาร มันติดเพราะอะไร เด็กบอกผมล้างสามครั้งนะก่อนที่จะหุงนี้ล้างสามครั้ง หุงด้วยหม้อไฟฟ้า ล้างสามครั้ง เออ..แล้วทำไมมันมีแฟ้บด้วย เด็กก็บอกว่า ก็ข้าวสารในถุงที่เขาใส่มาในถังสังฆทานนั่นแหล่ะ ทีนี้ในถังสังฆทานนั้นมีข้าวสาร แล้วก็มีผงซักฟอก มีน้ำ ใบชา อะไรนั่นแหล่ะ ไม่ได้เรื่องหมดเลย ข้าวสารผงซักฟอกยังแทรกเข้าไปได้ แม้มีถุงพลาสติกใส่แล้วนะ แล้วก็ผงซักฟอกยังแทรกเข้าไปได้เลย กลิ่นมันยังเข้าไปในข้าวสารติดแน่นเลย เอามาหุงก็เหมือนเรากินข้าวสารกับผงซักฟอกเข้าไป มันเป็นอย่างนั้น ก็ได้ความรู้ว่า อ้อ..ไอ้นี่เป็นเพราะอะไร เพราะว่าร้านได้จัดสังฆทานวางไว้นานแล้ว บางทีตั้งเดือนคนยังไม่มาซื้อ แล้วมนุษย์เจ้ากรรมคนหนึ่งไปซื้อเข้าแล้วเอามาถวายพระ พระก็เรียกว่าเป็นเจ้ากรรมเหมือนกันก็ไปรับสังฆทานที่มันบวกกับแฟ้บเข้าให้ น้ำก็ดื่มไม่ได้นะโยม น้ำที่ใส่ขวดนี่แหล่ะ เอามาใส่ปนไว้กับผงซักฟอกนี่แหล่ะ ผงซักฟอกมันซึมเข้าไปได้นะ มันก็แปลก ซึมเข้าไปในน้ำได้ ดื่มแล้วมันก็ เอ๊ะ มันก็น้ำผงซักฟอกเว้ย นั่น มันเป็นอย่างนั้น อาตมาก็พบบ่อยๆ เอ๊ะ เอาน้ำอะไรมาให้หลวงพ่อดื่มนี่ ทำไม ก็เหมือนกับน้ำผงซักฟอกนี่ มันติดมาในถังพลาสติกนั่นแหล่ะ นี่เราไปซื้อถังพลาสติกมาถวายนี่เยอะแยะนะ หิ้วกันมาบ่อยๆ แล้วก็แนะนำไปทุกรายนี่
วันนี้มาพูดในที่สาธารณะเสียทีว่า ถ้าโยมจะถวายสังฆทานไม่ต้องไปซื้อถังพลาสติกที่เขาบรรจุวางไว้หน้าร้าน ราคาเท่าไหร่จำได้ไหม สามร้อย ใหญ่หน่อยก็อาจจะสี่ร้อย เอาล่ะ เอาเงินสามร้อยนั้นมาถวายวัด ถวายบำรุงวัด ไม่ใช่ถวายพระองค์ใดองค์หนึ่ง สังฆทานนี่ถวายเป็นกองกลางบำรุงวัด ดีกว่าที่จะไปซื้อสังฆทานมาถวาย เพราะของในถังสังฆทานนั้นมันไม่ค่อยเรียบร้อย โยมไม่รู้หรอก เพราะพอเอามาถวายแล้วโยมก็ไป ก็จะรู้อะไร แต่พระรู้ รู้แล้วไม่บอกโยมมันก็ไม่ได้ เลยบอกกันเสียที นี่จะไปเทศน์ที่วิทยุเสียทีไอ้เรื่องถังสังฆทานนี่ เพราะนิยมกันเหลือเกิน แล้วโดยมากที่มาถวายสังฆทานนี่ หมอสั่งให้มาทั้งนั้นแหล่ะ ไปดูหมอ หมอบอกไปถวายสังฆทานสิบองค์ แหม..หิ้วมาให้ตั้งสิบองค์แน่ะ แล้วซื้อผ้าจีวรมาสิบไตร สีก็แหม..เหลืองจ๋อยเลย ห่มไม่ได้ ห่มแล้วอาย ห่มผ้าอย่างนั้นหลวงพ่อห่มไม่ได้ เลยบอกแหม..หนู เอามาตั้งสิบไตร เอาไปเปลี่ยนได้ไหม ได้ค่ะ เอาๆ เอาไปเปลี่ยนให้สีมันมัวๆหน่อย ขนาดอย่างนี้ก็พอแล้ว นั่น ให้เขาไปเปลี่ยนมา อย่างนี้มันใช้ไม่ได้
เราจะเอาของมาให้ใครนี่ ต้องคิดว่าเขาใช้ได้หรือเปล่า เขากินได้หรือเปล่า เขาดื่มได้หรือเปล่าของเหล่านั้น มันต้องคิดเหมือนกัน ถ้าไม่อย่างนั้นโยมสูญสตางค์เปล่าๆ เอามาให้แล้วกินไม่ได้ ใช้ไม่ได้ มันก็เหมือนเสียสตางค์ไปเปล่าๆมันจะเกิดประโยชน์อะไร พระท่านถึงบอกว่า เลือกเฟ้นแล้วจึงให้ เลือกของที่จะให้ เลือกคนที่จะให้ ให้มันพอเหมาะพอควรกันแล้วจึงจะใช้ได้ อ้าวนี่คือถังนี่มาบ่อยๆ วันอาทิตย์นี่มาตั้งหลายถังแล้ว ตอนเช้านี่มาล่ะ หลวงพ่อก็เทศน์ให้ฟังทุกรายล่ะ ย่อๆสั้นๆ ก็บอกว่ามาพูดใหญ่กันสักทีหนึ่งว่า ถังพลาสติกนี่ไม่ควรซื้อมาถวายพระ เอาปัจจัยค่านั้นมาถวาย ร้อยบาท สองร้อยบาทมาถวายบำรุงวัดไป เอามาทำที่โต๊ะก็ได้ บอกว่าบำรุงวัด เขาก็เก็บไว้บำรุงวัด ใช้จ่ายทั่วไป ค่าน้ำค่าไฟค่าโน่นค่านี่จิปาถะ อันนี้ก็เอาไปซื้อของที่พระฉันท์ไม่ได้มาทำให้เสียหายนะ
ดอกไม้นี่อีกอย่างหนึ่ง โยมอย่าซื้อมาเลย เพราะว่ากินไม่ได้ ดอกไม้นี่ ซื้อมาเอาดอกบัวมาเป็นมัดเลย เอามามัดหนึ่งก็หลายบาท ซื้อมาที่สุดก็เอามากองๆไว้ ก็เคยพูด แต่ว่าคนมาก็ผลัดเปลี่ยนกันมา ไม่รู้ไม่เข้าใจ ถ้าว่าได้เคยฟังแล้วเขาก็ไม่ซื้อมาแล้ว แต่คนยังไม่เคยฟังก็มีมาใหม่ๆ เพิ่งมาเป็นครั้งแรกก็ซื้อมา ดอกไม้ อะไรต่ออะไรเยอะแยะ เอามาทิ้งทั้งนั้นแหล่ะ ก็ไม่รู้จะเอาไปทำอะไร มันมากเหลือเกิน เอาไปประดับหน้าพระมันก็ไม่ไหว มันมาก แล้วก็รกรุงรัง ต้องเอาไปทิ้งไปกองเป็นขยะ เงินทั้งนั้นที่เราเอาไปทิ้งนะ มันเสียหาย หลวงพ่อไม่อยากให้เงินสูญไปโดยไม่ได้ประโยชน์ ให้ทำบุญแบบประหยัดอดออมให้เกิดคุณค่าแก่พระศาสนา แก่พระสงฆ์ผู้ปฏิบัติกิจพระศาสนา จึงไม่นิยมให้ซื้อดอกไม้เหล่านั้นมา
ก็พูดกันมาบ่อยๆ เพื่อให้ตัดสิ่งเหล่านี้ออกไป เอาแต่สิ่งที่จำเป็นจริงๆ เช่นเทียนนี่เล่มใหญ่ๆอย่าไปซื้อมา เพราะว่าไม่จำเป็นแล้ว เดี๋ยวนี้ในโบสถ์เขาติดไฟฟ้า เปิดสวิตซ์แล้วก็สว่างทั้งโบสถ์แล้ว สมัยก่อนนั้นในพรรษาพระสวดมนต์ก็ไม่สว่างอะไรหรอก เทียนเล่มเดียวจุดให้มันสลัวๆหน่อย แล้วก็สวดมนต์กันไป เขาจึงถวายเทียนพรรษา เดี๋ยวนี้ไม่ต้องถวายเทียนแล้ว ต้องถวายปัจจัยค่าไฟฟ้า ในฤดูกาลเข้าพรรษา หรือว่าเราถวายปัจจัยค่าน้ำ เพราะว่าที่วัดนี้ใช้ประปาแล้วเวลานี้ ก็ต้องเสียค่าน้ำ ก็เอามาถวายไว้ อย่างนั้นมันจะได้ประโยชน์กว่า ดีกว่าเอาของที่ใช้ไม่ได้มานะ นี่ก็ขอให้ญาติโยมได้เข้าใจ แล้วช่วยบอกเพื่อนฝูงด้วย บอกอยากจะไปซื้อของถวายสังฆทาน ก็บอกอย่าเลย หลวงพ่อท่านสอนแล้ว บอกเอาเงินค่าไปซื้อถังนั่นราคาเท่าไหร่ เอาเงินนั่นไปถวายวัดดีกว่า ไปเองก็ได้ ส่งธนาณัติไปก็ได้ ไม่ต้อง รถมันติด ลำบาก ส่งธนาณัติมาถวายก็เรียบร้อยนะ
อันนี้ขอทำความเข้าใจไว้ เราจะได้ทำบุญให้มันถูกต้อง ไม่ลำบากยากแค้นอะไร แล้วการทำบุญนั้นทำเพื่อขูดเกลา ไม่ใช่ทำเพื่อแลกเปลี่ยน จะเอานั่น เอานี่ ไม่ใช่อย่างนั้น เรียกว่าเราทำเพื่อขูดเกลาจิตใจของเรา ขูดความโลภ ขูดความตระหนี่ ให้ความเห็นแก่ตัวมันน้อยลงไป เบาลงไป นั่นแหล่ะคือการได้ที่ประเสริฐ คือได้สิ่งที่เป็นความสะอาด สงบ สว่างทางใจ เป็นการได้ที่ประเสริฐ แต่ถ้าเราไปต้องการอะไรแลกเปลี่ยนนั่นมันก็ไม่ได้ประเสริฐอะไร เป็นการได้ที่ยังเป็นทุกข์อยู่นั่นเอง จะไปได้อะไรที่เป็นชิ้นเป็นอันก็ยังเป็นทุกข์ จะไปเกิดที่ไหนมันก็ยังเป็นทุกข์ พระท่านจึงสอนให้ทำลายความเกิด ทำลายความเห็นแก่ตัวให้เบาบางไปจากจิตใจ ตามหลักการที่ถูกต้อง อันนี้ก็เป็นเรื่องที่ควรจะได้ทำความเข้าใจกันไว้ประการหนึ่ง
ทีนี้ อีกประการหนึ่งในฤดูนี้ คนชอบมาบวชกัน ที่วัดนี้บวชเป็นระบบเพื่อสะดวกแก่การสั่งสอนอบรม บวชวันที่ ๑ กุมภา ๑มีนา ๑ เมษา ๑ พฤษภา ๔ ครั้งหน้าร้อนนี่ ทีนี้บางคนก็ไม่มาหรอก เวลาเขาเปิดรับสมัครไม่มา มาเวลาเขาเต็มแล้ว บางคนก็เรียกว่าเกรงใจกันหน่อยเพราะว่าเป็นคนที่คุ้นเคยกันก็ต้องฝืนรับไว้ แต่รับไว้ด้วยความไม่สบายใจเพราะที่มันเต็ม มันไม่พอจะอยู่กัน เวลานี้โดยเฉพาะเดือนเมษายนนี่ บวชสามเณรด้วย บวชพระด้วย สามเณรยกกุฏิสี่เหลี่ยมให้เขาหมด ให้กองกันอยู่ในนั้น ห้องละสองคน สามคน อยู่ปนกันไป แต่นี่พระนี่ต้องแจกกันไปในกุฏิภายในกรรมฐาน หลังละสององค์บ้าง องค์เดียวบ้าง ตามฐานะที่จะอยู่กัน ทีนี้มีคนมาแทรก มาแล้วก็มานั่งวิงวอนอยู่นั่นแหล่ะ หลวงพ่อได้กรุณาหน่อยอย่างนั้นอย่างนี้ ลูกจะไปนั่นจะไปนี่ โอ้ เรื่องเยอะแยะมาอ้างนะเพื่อให้รับนั่นเองแหล่ะ ก็ต้องรับไว้ด้วยความเห็นอกเห็นใจ แต่มันไม่สะดวกแก่คนที่จะจัด มหารวยนั่นเป็นคนจัด บอก โอ้ หลวงพ่ออย่าไปรับเข้าอีก บอกอ้าวเขามานั่งอ้อนวอนเหมือนแมวอ้อนวอนขออาหารนี่ ก็จะไม่รับอย่างไร สงสารเขาก็รับไว้ ก็บอก อ้าว คนนี้คนสุดท้ายไม่รับต่อไป แต่เดี๋ยว มาอีกแล้ว มันไม่สุดท้ายสักที มาแล้วบอก เอา สุดท้ายกันที ต้องใจแข็งหน่อย แต่บางทีก็เป็นคนคุ้นเคยกันก็ เอา ว่ากันไป รับไว้อีก นี่ ลำบากใจ
เพราะฉะนั้นเราจะต้องศึกษา อะไรจะทำอะไร ต้องไปศึกษาล่วงหน้า วางแผนนะ เขาเรียกว่าวางแผน สมัยปัจจุบันนี้เขาต้องวางแผนทั้งนั้น ทำอะไรต้องวางแผน วางแผนสามเดือน วางแผนหกเดือน วางแผนหนึ่งปี ในชีวิตของเรานี่ ว่าเราจะทำอะไร สมมุติว่าเราจะเอาลูกบวช เออ..ต้องวางแผนว่าจะเอาไปบวชที่ไหน จะบวชกับใคร บวชเดือนไหน ต้องมารีบมาก่อน มาปรึกษาว่าลูกชายอยากจะบวช ทีนี้ก็จะบวชวันไหนดี เวลาไหนดี พระก็จะแนะให้ มันก็สะดวก นี่มาฉุกเฉินทั้งนั้น เรียกว่ามาแบบฉุกเฉินนะ พายุบุแคมมาทั้งนั้นแหล่ะ มาบังคับเอาเชียว ว่าจะเอาอย่างนั้นจะเอาอย่างนี้ เหมือนกับว่า พระนี่จะต้องเป็นผู้ที่จะต้องทำตามใจอย่างนั้นแหล่ะ นี่ก็บอกไม่ได้โยม อย่ามาบังคับให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้ เพราะว่าที่มันไม่มี ไม่มีที่จะอยู่ บวชแล้วมันก็ลำบาก ไม่สบายใจ ไม่เป็นไรค่ะ อยู่ตรงไหนก็ได้ อ้าว โยมไม่ได้บวชเอง ไอ้ลูกชายนี่มันบวช แล้วมันอึดอัด แล้วมันรำคาญ มันคนละคน มาแล้วต้องทำให้ดี อ้าว มาแล้วก็ไม่เป็นไร รับไว้ก่อน แต่คราวต่อไป โยมมาให้มันถูกต้องนะ เป็นอย่างนั้นล่ะ บวชพระก็อย่างนั้น บวชเณรก็อย่างนั้นล่ะ ไอ้เวลาเขารับไม่มา พอเขาปิดแล้วจะมา มาวิงวอนอย่างนั้นอย่างนี้ ขอให้รับไว้หน่อย นั่น ก็อาศัยสงสารอีกล่ะ ก็ต้องรับไว้ นั่นมันเป็นอย่างนั้น อันนี้มันไม่ถูกต้อง จึงอยากจะขอแนะนำว่า ทำอะไรมันต้องวางแผนว่าเราจะทำอะไร จะไปไหน ต้องวางแผนล่วงหน้า ทางฝรั่งเขาทำอะไรเขาวางแผนล่วงหน้า เช่นเขาจะไปเที่ยวนี่ คนอเมริกันจะมาเที่ยวเอเชียนี่ เขาต้องวางแผน เขาต้องไปศึกษาการท่องเที่ยวกับพวกทัวร์ทั้งหลาย ว่าฉันจะไปเที่ยวเมืองไทย ไปเที่ยวมลายู จะไปประเทศนั้นประเทศนี้จะใช้เงินสักเท่าไหร่ ต้องเตรียมอะไรบ้าง เขาเตรียมปีหนึ่งนะ เขาเก็บเงินปีหนึ่งสำหรับที่จะไปเที่ยว พอถึงเวลาเขาก็เอาเงินไปมอบให้บริษัททัวร์ ไม่ต้องยุ่งอะไรแล้วล่ะ บริษัททัวร์เขาก็จับเราส่งขึ้นเรือบินแล้วก็ไปลงที่นั่น คนมารับเอาไปโรงแรม พักเท่านั้นคืน เขาพาไปเที่ยวไปเตร่ เขาพาต่อ เขาจัดให้เสร็จ บริษัทจัดให้เรียบร้อย ต้องติดต่อล่วงหน้า แต่ถ้าไม่ติดต่อ ไม่มีการวางแผน ไม่มีทางจะได้ไป ไปไม่ได้
เรามีลูกหลานจะเข้าโรงเรียน นี่อีกรายแล้วนะ เป็นปัญหาแล้วตอนนี้ พ่อแม่ที่จะให้ลูกเรียนต่อ ได้ม.๓ แล้วจะไปเรียน ม.๔ จะไปเข้าที่ไหน กำลังวุ่นนะ เวลานี้พ่อแม่กำลังวุ่น มีปัญหาลูกจะไปเรียนที่ไหน จะเรียนอะไร หรือว่าลูกอายุน้อย จะเข้าอนุบาลอะไร ก็ต้องไปติดต่อต้องเตรียมไว้ เวลานี้พอตั้งท้องนั่นต้องไปติดต่อโรงเรียนแล้วนะ ยังไม่เกิดแต่ต้องไปติดต่อโรงเรียนนี้ว่าฉันมีลูกจะเอามาฝากโรงเรียนนี้ไว้ มีระเบียบอย่างไรมันต้องสืบไว้ก่อน แล้วไปผูกมิตรไว้กับครูบาอาจารย์เพื่อจะได้พูดกันง่ายหน่อย ต้องวางแผน ไม่วางแผนไปถึงบอกฉันเอาลูกมาฝาก อ้าวเขาไม่รับก็ได้ เขาบอกว่าเต็มแล้ว อ้าว ไม่ได้รับ มันไม่ได้ เพราะอย่างนั้นต้องมีการอะไรล่วงหน้า วางแผน ลูกจะไปเรียนต่อมหาวิทยาลัยก็ต้องวางแผนให้ถูกต้อง ต้องไปสอบความรู้ของลูกก่อน ดูว่าถนัดอะไรต้องไปเตรียม ไปกวดวิชาเพื่อจะเข้าสอบ สอบเดือนไหน ต้องดูแลสุขภาพอนามัยให้เรียบร้อย พอถึงวันสอบก็ต้องไปสอบ ให้เขาสบายใจวันไปสอบนี่ แล้วถ้าสอบได้ต้องไปเข้าโรงเรียน มีเรื่องที่จะต้องเตรียมเงินเตรียมอะไรสำหรับใช้จ่าย ในรอบปีหนึ่งลูกเรียนวิชานี้ใช้จ่ายเท่านี้ ปีละเท่าไหร่ ก็ต้องหาเงินไว้ก้อนหนึ่งสำหรับใช้จ่ายเรื่องการเรียนของลูกคนนั้นคนนี้ ถ้าเราไม่เตรียมไว้เกิดฉุกเฉินมาก็ต้องเที่ยววิ่งหยิบยืมคนนั้นคนนี้ มันมีปัญหาเพราะเราไม่วางแผน ทุกอย่างมันต้องวางแผนไว้ทั้งนั้น ถ้าไม่วางแผนก็ลำบาก
เหมือนการบวชคนนี่ ที่วัดนี้บวชเป็นระบบเพราะอะไร บวชทุกวันที่๑ เพื่อจะได้สอนสะดวก ถ้าบวชวันที่๑ห้าคน บวชวันที่๓ สองคน บวชวันที่๗สามคน สอนยังไง ไอ้นี่เข้าชั้นเรียนแล้ว ไอ้นี่มาเข้าอีกแล้วจะสอนยังไง ลองถามคุณครูทั้งหลายซิ เด็กเข้าเรียนอย่างนั้นแล้วจะสอนกันยังไง มันยุ่งไง เพราะฉะนั้นเปิด วันที่นั้นเปิด เด็กมาเรียนพร้อมกัน มันก็สอนง่าย คนไหนมาเรียนหลังมันก็ล้าหลังเพื่อน สอนลำบาก ทีนี้ทางวัดนี่ก็เหมือนกันจะสอนเด็กจะสอนพระนี่ ถ้าบวชวันที่๑ สองวัน สองวันนี่สอนเรื่องนุ่งเรื่องห่ม เรื่องนั่ง เรื่องยืน เรื่องกิน เรื่องถ่าย อบรมกันสองวัน ให้รู้ว่าจะทำอะไรบ้าง พอพ้นจากนั้น เอาเข้ากรรมฐาน ฝึกจิตเป็นเวลาห้าวันหรือหกวันฝึกจิต พอพ้นจากฝึกจิตแล้ว เอาเข้าชั้นเรียน เก้าโมงมาเรียนที่นี่ บ่ายโมงครึ่งมาเรียนที่นี่ เวลาสี่ห้าโมงก็ไปทำวัตรสวดมนต์ ต้องไปนั่งอบรมจิตใจกันต่อไป เข้าระเบียบหมด เข้าล็อคหมด ไม่ใช่บวชแล้วมา สบายๆ หลับนอนสบายๆไม่ได้ ต้องไปตามกระแส ทุกคนเดินในกระแสทางที่เราตั้งไว้ ทุกรูปต้องไปอย่างนั้น ทีนี้ถ้ามีรถแซงเข้ามาใหม่คันหนึ่งนะ มันขาดตอนแล้ว เขาไปกันตั้งสิบกิโลแล้ว อันนี้เพิ่งมาอยู่แล้วมันจะทันเพื่อนได้ยังไง เพราะฉะนั้นจึงไม่รับ บอกไม่เอานะโยม มันไม่ทันเพื่อน เขาว่าเอาเถอะให้มันบวชเถอะ ให้มันบวชสิบห้าวันก็แล้วกัน บอกไม่ได้ สิบห้าวันไม่ทันได้ทำอะไร จะรีบร้อนไปไหนล่ะ จะให้ไปต่างประเทศ อ้าวนี่ ไม่มีแผนไว้ จะให้ไปต่างประเทศแล้วทำไมไม่ได้ตั้งแผนไว้ล่วงหน้าไม่ได้มาปรึกษาหารือ อยู่ๆก็โผล่เข้ามาเลยนั่น อย่างนี้มันไม่ถูกต้อง เราสอนเขาอย่างนั้น แล้วเวลาจะสึกก็ จะสึกวันไหน อันนี้ก็อีกสิบห้าวันสึกก็ต้องสอนให้มันสมควร เดือนหนึ่งสึกก็ต้องสอนต่อไปให้มีความรู้ความเข้าใจสมกับเวลาที่ได้เข้ามาบวชอยู่ในพระศาสนาจึงจะเกิดประโยชน์ ไม่ใช่ว่าบวชแล้วก็ใช้ได้ บางคนขอให้บวชเท่านั้นแหล่ะ ไม่ได้คิดว่าบวชต้องทำอะไรๆ ไม่ได้คิดให้เข้าใจ เกิดเป็นปัญหาต่อไป
ทางวัดนี่ต้องการให้คนมาบวชได้ประโยชน์ จึงจัดให้เป็นระบบขึ้นมาอย่างนั้น อันนี้ใครจะบวชเข้าพรรษาต้องมาสมัครวันเสาร์แรกของเดือนเมษายน ไม่ต้องเอาอะไรมาทั้งหมด มาแต่ตัวกับ คุณแม่คุณพ่อ ก็ได้ มาสักคนหนึ่ง มาถึงก็จดชื่อไว้ แล้วก็ให้หนังสือไปท่อง ยี่สิบหน้าต้องท่องให้ได้ สวดมนต์เช้าเย็นเหมือนที่โยมสวดนี่แหล่ะ ตอนเช้าโยมสวดตอนเช้า ตอนเย็นไม่ได้สวด แต่นากที่จะบวชเข้าพรรษาต้องท่องให้ได้ยี่สิบหน้า ทำไมต้องให้ท่องตั้งยี่สิบหน้า ทดสอบความขยัน ทดสอบความตั้งใจจริง เพราะคนบางคนบวชเพราะพ่อแม่เคี่ยวเข็ญให้บวช บวชแล้วมันไม่เอาไหน นอนเรื่อย บอกเป็นอะไร โอ้ ไม่สบายหลวงพ่อ ปวดท้องมั่ง ปวดหัวมั่ง แหมปวดไปหมดนะ เดี๋ยวมีเรื่องปวดเรื่อยแหล่ะ ต้องเตรียมหาควินินน้ำไว้ให้กินแก้ปวด ดัดสันดาน อ้าว ปวดอะไร ปวดท้องรึ อ้าว กิน พอกินควินินน้ำไปสักช้อนโต๊ะก็เลยหายปวดไป วันหลังก็มาเรียนต่อ อย่างนั้นแหล่ะ แต่ว่าเรียนๆแล้วเดี๋ยวหายตัวไปอีกแหล่ะ เป็นอย่างนั้น ไม่ตั้งใจ บวชเอาใจคุณแม่ แต่ไม่ได้ตั้งใจเรียน มีบ่อยๆก็เลยนึกว่าไม่ได้ อย่างนี้ไม่เอา ต้องคัดเลือก ก็เลยต้องให้ท่องหนังสือ คนไหนตั้งใจบวชจริงเขาก็ท่องได้ แล้วก็ต้องมาสอบวันเสาร์ที่สองของเดือนมิถุนา ต้องมาสอบ สอบเรียงคนเลย พระนั่งเป็นแถว อ้าวไปท่องนะ ท่องให้ได้ ท่องไม่ได้ก็กลับบ้านได้ ไม่ให้บวช แต่ว่าถ้าจะบวชจริงอ้าว ให้เวลาอีกเจ็ดวันนะ ท่องให้ได้นะ หายไปเลย ไม่มาท่อง บางคนรับหนังสือแล้วไม่มาสอบเลย หายไปเลย เพราะมันขี้เกียจท่อง ถ้าตั้งใจท่องมันก็ได้นั่นแหล่ะว่า คืนหนึ่งท่องเท่านี้ แล้วบอกท่องต่อไปก็ท่องไอ้อันที่จำได้ก่อน แล้วไปท่องต่อ แล้วก็ท่องเหลื่อมเชื่อมกันไว้ทุกคืนทุกคืน มันก็จำได้ แล้วก่อนนอนก็สวดมนต์มันทุกคืนทุกคืนมันก็ทำได้ ตั้งใจทำจริงก็ทำได้ แต่บางคนมันไม่ตั้งใจ พ่อแม่เคี่ยวเข็ญให้มาบวช บวชก็ไม่เอาไหนเลยก็ตัดปัญหาไป เราได้แต่คนที่ตั้งใจจริง จะมาศึกษาเล่าเรียนตั้งใจปฏิบัติขัดเกลาจิตใจ เลิกสูบบุหรี่ เลิกอะไรต่ออะไร ออกไปอยู่บ้างก็ …... (43.11 เสียงไม่ชัดเจน) อ้าว ... ก็แสดงมาสมควรแก่เวลาขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ ต่อนี้ไปก็ขอเชิญญาติโยมนั่งสงบใจเป็นเวลาห้านาที (43.13 ไม่มีเสียงบันทึก)
- ปาฐกถาธรรม ประจำวันอาทิตย์ที่ ๒๐ มีนาคม ปีพุทธศักราช ๒๕๓๗