แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ต่อจากนี้ไป เป็นการแสดงปาฐกถาธรรมเรื่อง “พุทธทาสกับสันติภาพของโลก” โดยพระเทพวิสุทธิเมธีปัญญานันทภิกขุ วัดชลประทานรังสฤษฎิ์ ปากเกร็ด นนทบุรี ได้แสดงไว้เมื่อวันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๓๖ ขอเชิญท่านสาธุชน รับฟังได้ ณ บัดนี้ค่ะ
ญาติโยม พุทธบริษัททั้งหลาย ณ บัดนี้ ได้เวลาที่จะแสดงปาถกฐาธรรมะต่อไป เมื่อตะกี้นี้ ท่านเจ้าพระคุณท่านพระพรหมมุนี รองเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศ แทนสมเด็จพระสังฆราช ได้มาเป็นประธานกล่าวเปิดงานพุทธทาสกับสันติภาพแล้ว แล้วก็ท่านนายกรัฐมนตรีติดงาน ไม่สามารถจะมาได้ ก็ให้ท่านบัญญัติ บรรทัดฐาน รองนายกรัฐมนตรี เป็นผู้มาแทน ท่านบรรญัติ บรรทัดฐานก็เป็นชาวสุราษฎร์ มีความใกล้ชิดกับท่านเจ้าคุณพระธรรมโฆษาจารย์ หรือท่านพุทธทาสมานาน มีความคุ้นเคยกัน สนิทสนมกันเป็นอย่างดี ได้มาแทนท่านนายกก็เป็นการเหมาะการควรแล้ว และพิธีการก็ได้สำเร็จ พิธีการเบื้องต้นก็ได้สำเร็จลงด้วยดีแล้ว ต่อไปนี้ก็จะได้กล่าวปาฐกถาเรื่อง “พุทธทาสกับสันติภาพของโลก” ซึ่งเป็นชื่อที่ตั้งขึ้น เพื่อจัดงานในคราวนี้ การจัดงานในครั้งนี้ก็มีจุดหมายสำคัญอยู่ที่การระดมธรรมะ เพื่อให้คนได้ศึกษาธรรมะมากขึ้น ด้วยวิธีการต่างๆ เพราะว่าท่านเจ้าคุณท่านอาพาธมาอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราชตั้งแต่วันที่ ๒๘ พฤษภาคม มาจนกระทั่งบัดนี้
คณะแทพย์โรงพยาบาลศิริราชก็ได้ตั้งใจรักษาอย่างดี เท่าที่สามารถจะกระทำได้ ใช้ยาอย่างดีเพื่อรักษาโรคภัยไข้เจ็บ แต่อาการโรคนั้น เป็นโรคที่เป็นกับคนชรา ไม่ว่าจะเป็นพระเป็นคฤหัสถ์ โรคเกิดขึ้นแล้วถ้าชราก็รักษาค่อนข้างช้า ระยะหน่อย แต่เขาก็พยายามเต็มที่ที่จะรักษา เอาใจใส่ ดูแลอย่างดี พระที่มาคอยดูแลก็ได้รับความสะดวกสบายทุกประการ ไม่มีอะไรขัดข้อง นับว่าเป็นพระคุณอย่างยิ่งแก่ท่านเจ้าคุณและแก่พวกเรา ซึ่งเป็นศิษย์ผู้เคารพนับถือในพระคุณท่าน แม้แต่พระธรรมที่ท่านได้สั่งสอนอบรมมาเป็นเวลานาน เป็นประโยชน์แก่ชาวโลกทั่วไป เมื่อได้รับการสงเคราะห์อนุเคราะห์จากคณะแพทย์โรงพยาบาลศิริราช พวกเราก็สบายใจว่าได้รับการรักษาอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย
แต่ว่าสังขารร่างกายของคนเรานั้น มันขึ้นอยู่กับกฎธรรมชาติ ท่านเจ้าคุณท่านเคยพูดเสมอว่า สุดแล้วแต่ อิทัปปัจจยตา (04.43 เสียงไม่ชัดเจน) หมายความว่าสิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นเพราะมีปัจจัยเครื่องปรุงแต่ง มีสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น สิ่งหนึ่งก็เกิดตามมา เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้น สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น เพราะสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้จึงดับไป อันนี้เป็นกฎของอิทัปปัจจยตา ท่านก็พูดสม่ำเสมอว่า มันสุดแล้วแต่ อิทัปปัจจยตา คือปัจจัยเครื่องปรุงแต่งของร่างกาย จะหายหรือไม่หาย มันเป็นเรื่องของธรรมชาติที่จะเป็นไป เพราะอย่างนั้นอย่าไปเป็นทุกข์ เดือดร้อนกับมันก็แล้วกัน ท่านได้กล่าวอย่างนั้นอยู่บ่อยๆ แล้วความจริงนั้นท่านไม่ต้องการที่จะมาโรงพยาบาล เมื่อมีความรู้สึกเป็นปกติ เคยพูดเสมอว่า ไม่อยากจะไปโรงพยาบาล เพราะถ้าไปโรงพยาบาลแล้ว เขาก็ทำตามแผนของการรักษา เอาสายยางใส่จมูกบ้าง ใส่ปากบ้าง เจาะตรงนั้น เจาะตรงนี้รุงรังไปหมด ไม่อยากจะให้รักษาอย่างนั้น อยากจะให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ ตามแบบของพระที่เคยอยู่ป่า เพราะว่าพระสมัยก่อนนั้นอยู่ป่า เจ็บไข้ในป่า รักษาในป่า หายบ้าง ไม่หายบ้าง เป็นไปตามปัจจัยเครื่องปรุงแต่ง
ท่านปรารถนาที่จะให้เป็นอย่างนั้น แต่ว่าความปรารถนาไม่สมบูรณ์ เพราะว่าเมื่อเกิดอาพาธขึ้นในวันที่ ๒๕ เดือนพฤษภาคมนั้น เกิดขึ้นในตอนตี ๔ ปกติท่านก็ลุกขึ้น แล้วก็เขียนโน่นเขียนนี่เท่าที่นึกได้ หรือบางทีก็บันทึกเทปในเรื่องอะไรต่างๆ ที่ท่านนึกขึ้นมา เช่นว่าเทปที่มาออกอากาศกรมประชาสัมพันธ์เดือนละครั้งนั้น ท่านอัดตอนตีสี่ทั้งนั้น เพราะฉะนั้นในเทปนั้นจึงได้ยินเสียงไก่ขัน กว่าจะจบก็มีเสียงไก่แทรกเข้าไปในเทปนั้นด้วย เป็นแบคกราวนด์ที่ดีอยู่เหมือนกัน ทำอย่างนั้นเป็นปรกติตลอดมา แต่ว่าคืนนั้นเมื่อนึกขึ้นเขียนอะไรอยู่ ก็รู้สึกว่ามันไม่สบาย ร่างกายผิดปกติ จึงบอกพระว่า ไปตามท่านโพธิ์มา ท่านโพธิ์นั้นเป็นมือขวาของท่านในการทำงานในวัด การก่อสร้างการอะไรต่ออะไรอยู่ที่ท่านโพธิ์ทั้งนั้น ท่านโพธิ์นั้นดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสวัดสวนโมกข์ ท่านเจ้าคุณเองท่านไม่ได้เป็นเจ้าอาวาสวัดสวนโมกข์ ท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุ ซึ่งเป็นพระอารามหลวง เป็นมา ๓๐ กว่าปี ท่านก็ปรารภกับอาตมาทุกครั้งที่ไป บอกว่าเป็นเจ้าอาวาสมานานแล้ว มันขวางตาคนอื่น ช่วยกราบเรียนพระมหาเถระให้อนุญาตให้ลาออกเสียทีเถอะ คนอื่นจะได้เป็นบ้าง
แล้วก็มากราบเรียนพระมหาเถระ คือเจ้าคณะหน เจ้าคณะหนบอกว่า มาเรียนอย่างนี้ไม่ได้ มันต้องทำเป็นลายลักษณ์อักษร ท่านก็ทำเป็นลายลักษณ์อักษรส่งกันตามลำดับขึ้นมา ส่งมาแล้วก็ยังไม่อนุญาตสักที ลงไปเยี่ยมทีไรท่านก็บอกว่า น้องท่านไปพูดกับเจ้าคณะหนหรือเปล่า พูดแล้ว กราบเรียนให้ทราบแล้ว แต่ทำไมไม่อนุญาตให้ออกสักที ไปพูดใหม่ ไปพูดว่าขออนุญาตลาออกสักทีเถอะ ทำมานานแล้ว ให้คนอื่นเขาทำบ้าง จึงได้อนุญาตให้พ้นจากตำแหน่งไป แล้วก็อยู่ในฐานะเป็นลูกวัดของวัดสวนโมกข์
ท่านพระครูปลัดคือท่านโพธิ์น่ะเป็นเจ้าอาวาส เพราะฉะนั้นในคืนนั้นท่านก็บอกพระว่า ไปตามคุณโพธิ์มาพบหน่อย ท่านโพธิ์มาถึง ท่านก็บอกว่า บอกว่า เราจะตายแล้ว พูดตรงๆ ว่าเราจะตายแล้ว เอากุญแจไว้ เราไม่อยากจะตายทั้งๆ มีพวงกุญแจอยู่กับเนื้อกับตัว ความจริงไม่ได้อยู่กับตัวหรอก ไม่ได้ผูกเอว แต่ว่าวางไว้ข้างๆ ระยะวางไว้ข้างๆ แต่ท่านบอกว่าไม่อยากให้กุญแจอยู่กับเนื้อกับตัว เอาไป เก็บรักษาไว้ ดูแลให้ดี แล้วก็สั่งเรื่องหนึ่งเรื่อง หลายๆ เรื่อง สั่งไปเรื่อยๆ พูดไปๆ ก็ ลิ้นมันแข็ง พูดไม่ได้ ก็หยุดพูด แล้วนอน นอนอย่างชนิดที่เรียกว่าเริ่มไม่รู้สึกตัว
พระก็ช่วยกันบีบช่วยกันนวด ให้ดมยาอะไรกันไปตามเรื่อง เห็นว่าอาการมันไม่ปกติแล้ว เช้าขึ้นก็โทรศัพท์ไปสุราษฎร์ฯ เมื่อก่อนไม่มีโทรศัพท์ที่วัดนี้ แต่เมื่อท่านป่วยครั้งแรก ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดเห็นว่ามันไม่สะดวก เลยบอกองค์การโทรศัพท์ให้มาติดโทรศัพท์ไว้สักเครื่องหนึ่ง ก็เลยได้ใช้ โทรไปบอกผู้อำนวยการโรงพยาบาลสุราษฎร์ฯ ผู้อำนวยการก็เอารถพยาบาลมารับไปเลย เอาไปเข้าห้องฉุกเฉิน ในวันที่ ๒๖ พาไปห้องฉุกเฉิน แล้วก็ไปอยู่นั่น เอ้อ วันที่ ๒๕ ๒๖ ๒๗ พวกต้องการเอาท่านกลับมาวัด เพราะเชื่อตามแบบโบราณว่าคนเจ็บหนักนี่มักจะสิ้นใจในวันเกิด ก็นึกว่าให้ท่านมาสิ้นบุญที่วัดเถอะ อย่าไปสิ้นบุญในห้องฉุกเฉินเลย ก็พากันเอากลับมา
แต่ว่าการกลับมานี่ต้องทำเป็นจดหมาย ขอร้อง เพื่อให้โรงพยาบาลเขาสบายใจ เบาใจ หมอประเวศ วะสี ซึ่งเป็นนายแพทย์ก็เลยเขียนเอง อาตมาก็เซ็นกันหลายรูป เซ็นกันว่าขอกลับ อาตมากลับมาก่อน มาพูดจากับโยม ให้เข้าใจ ไม่ให้วุ่นวาย พูดกับนักข่าวว่าอย่าถ่ายภาพเวลายกท่านลงจากรถ เพราะเป็นภาพที่ไม่เหมาะไม่ควร นักข่าวบอกว่า ขอถ่ายหน่อย ไม่เอาไปลงหนังสือพิมพ์ ฉันไม่ไว้ใจพวกเธอหรอก เอาไปแล้วเธอก็จะเอาไปลง มันก็จะเสียหาย ไม่สวย เพราะงั้นขออย่าถ่ายเลย ตกลงนะ พวกนั้นก็ให้สัญญาว่าจะไม่ถ่าย แล้วก็ไปพูดกับโยมให้เข้าใจ เรียบร้อย พอรถท่านเจ้าคุณใกล้จะถึงวัดก็เลยให้โยมนั่งสงบไปทำสมาธิหมด เรียบร้อย ไม่มีอะไร รถก็พาท่านมา ยกท่านเข้าห้องที่เคยนอนนั่นแหละ เรียบร้อย
คนมาบอกว่าเรียบร้อยแล้ว แล้วก็อีกสักครู่ก็บอกโยมว่า โยมลืมตาได้ แล้วบอกให้ทราบว่าเวลานี้ท่านเจ้าคุณกลับมาพักอยู่ที่เดิมแล้ว โยมไม่ต้องเข้าไปเยี่ยม เพราะถ้าไปเยี่ยมกันหมดนี้ก็ไม่ไหว จะติดเชื้อโรค ทำให้ท่านเสียหาย ขอให้อยู่สงบๆ แผ่เมตตาให้ท่านก็แล้วกัน เป็นอันจบเรื่องกันไปวันนั้น วันที่ ๒๗ อาตมามากรุงเทพฯ คืนนั้นก็นึกว่าเรียบร้อยแล้ว
รุ่งขึ้นวันที่ ๒๘ ไม่รู้มนุษย์อุตริคนไหนส่งข่าวมาบอกนายน้อย บอกว่าเวลานี้ท่านเจ้าคุณพุทธทาสสิ้นบุญแล้วเมื่อ ๔ นาฬิกา วิทยุก็ออกด้วย ชาวบ้านชาวเมืองได้ฟังกันทั่วไปว่าท่านเจ้าคุณสิ้นบุญแล้ว อาตมาก็ใจไม่สบาย เลยบอกว่า รีบโทรไปบุ้คตั๋ว จะไปไชยาวันนี้ ทางเจ้าหน้าที่ก็บอกว่า ๑๐ โมง ๒๐ ปิด ไม่รับ เลยบอกว่ารับไว้หน่อย รีบร้อน จะต้องไป ก็รีบไป ถึงดอนเมือง ๑๐ โมง ๒๐ พอดี เลยซื้อตั๋วได้ ก็บินปร๋อไปไชยา พอไปถึงวัดท่านโพธิ์เห็นหน้า “อ้าวอาจารย์ ก็กลับไปเมื่อคืนแล้วทำไมมาอีก”
“มันมีเรื่องใหญ่น่ะสิที่ต้องมาน่ะ ใครน่ะโทรศัพท์ไปกรุงเทพฯ โทรศัพท์ไปที่วัดด้วย”
“ไม่มี ไม่มีใครโทร”
ไม่รู้ว่าคนอุตริคนไหนโทร ก็เลยไปก็เข้าไปเยี่ยมท่านที่นอน หมอนิพนธ์ไปถึงก่อน ๙ โมง หมอกำลังตรวจอะไรต่ออะไร ท่านอาจารย์จับมือท่านอาจารย์ดูซิ ก็จับมือซ้าย จับ พอจับแล้ว หมอก็บอกว่า “ท่านอาจารย์ปัญญานันทะมาเยี่ยมท่านอาจารย์ครับ” ท่านก็ดีด ดีดมือแรงๆ ดีดอยู่นานพอสมควร แล้วท่านก็ปล่อยเอง เอ้อ เรียบร้อย
ตอนบ่ายก็ปรึกษากันว่าต้องพาไปกรุงเทพฯ แล้วก็ ก็ถกเถียงกันพอสมควร หาเหตุหาผลกัน แต่เหตุผลของหมอเขาดีกว่า ก็เลยตกลงว่าเอา เอามาอย่างไร จะบรรทุกรถยนต์มันก็ไม่ไหว ทุกรถไฟก็ไม่ไหว หมอนิพนธ์เลยว่าไม่ต้องเป็นห่วง จะโทรศัพท์ไปบอกหมอประดิษฐ์ เจริญไทยทวี หมอประดิษฐ์ก็จะแจ้งให้สำนักพระราชวังทราบ กองราชเลขาในพระองค์ก็จะกราบทูลในหลวง ในหลวงก็สั่งให้ราชเลขาบอกไปกองทัพอากาศ เขาจัดเรือบินมารับถึงสนามบินไชยา ก็เลยเรียบร้อย พาท่านกลับมาได้เรียบร้อยก็สบายใจ เดี๋ยวนี้ก็พักอยู่ที่โรงพยาบาล คนก็ไปเยี่ยมกันมาก เห็นว่าคนไปเยี่ยมไม่ได้พบท่าน ก็เอารูปมาวางไว้ เอาหนังสือมาวางไว้
นายขาวเป็นเด็กหนุ่มที่สร้างเนื้อสร้างตัวด้วยความเพียรพยายาม พิมพ์หนังสือของท่านขาย จำหน่ายจ่ายแจกมาตลอดเวลา เขาตั้งเนื้อตั้งตัวได้ เขาสำนักในบุญคุณ แล้วพิมพ์หนังสือไปตั้งไว้ ๒๐,๐๐๐ เล่ม แล้วพิมพ์ทยอยไปวางไว้เรื่อย เพื่อให้คนได้เอาไปอ่าน เขียนบอกไว้ว่าเอาไปคนละเล่ม แต่บางคนเอาไป ๕ เล่ม ไม่ใช่เรื่องอะไรหรอกคิดถึงเพื่อนฝูง ตัวเพื่อนไม่ได้มาก็เอาไปแจกมั่ง ก็ไม่ว่าอะไร เอาไป ก็เขาแจกอยู่แล้ว เป็นอยู่อย่างนั้นตลอดเวลา
ทีนี้ก็มาคิดกันว่าจะทำอะไรบ้าง ท่านวรศักดิ์ เดี๋ยวนี้เป็นอธิการแล้ว เป็นเมื่อวันที่...เมื่อเร็วๆ นี้ สองสามวันนี้ ท่านบอกว่าควรจะจัดนิทรรศการเกี่ยวกับงานท่านพุทธทาส มีการพูด การแสดง อภิปราย ให้มันดังไปทั่วบ้านทั่วเมือง คนก็จะได้รู้เรื่องอะไรต่างๆ มากขึ้น ก็เลยชวนกันตั้งชื่อว่า “พุทธทาสกับสันติภาพของโลก” ชื่อใหญ่หน่อย แล้วก็จัดงาน ก็ไปนิมนต์สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปรินายก มาเป็นประธานในวันนี้ และตรงกับวันประสูติเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ เขามีงานเหมือนกัน พระผู้ใหญ่ต้องเข้าวัง เลยก็ให้พระชั้นรอง คือ เมื่อตะกี้นี้ เจ้าคุณคุ้ม (19.38 เสียงไม่ชัดเจน) มาแทน แล้วก็ท่านรองนายกก็มาแทนท่านนายก เรื่องมันเป็นอย่างนั้น
พิธีกรรมเบื้องต้นก็สำเร็จเรียบร้อย แล้วต่อไปนี้ก็จะให้รู้ความหมายว่าพุทธทาสกับสันติภาพของโลก น่ะมันหมายความว่าอย่างไร คำว่าพุทธทาส ในที่นี้ หรือในที่ทั่วไปนี่ไม่ได้หมายเอาบุคคลที่เป็นตัวเป็นตน ท่านเจ้าคุณท่านก็เคยพูดเคยขยายความไว้บ่อยๆ เช่นพูดว่า “พุทธทาสไม่ตาย” แล้วก็แต่งเป็นคำกลอนให้เด็กร้องเพลงด้วย
เวลาท่านป่วยน่ะเด็กมาร้องเพลงอยู่หน้าที่พักของท่าน นักเรียนโรงเรียนประชาบาลวัดธารน้ำไหล หรือสวนโมกข์ เขามาร้องเพลงให้ท่านฟัง เพลงว่าพุทธทาสไม่ตาย อันนี้ความหมายว่าพุทธทาสไม่ตายนี่ไม่ได้หมายถึงร่างกาย ซึ่งเป็นของที่จะต้องตาย เพราะร่างกายนี้เป็นของผสม ไม่ใช่ของแท้ อยู่ได้เพราะอาศัยเครื่องปรุงแต่ง ถ้าปัจจัยเครื่องปรุงแต่งพร้อมเพรียงกันอยู่ก็เป็นไปได้ ถ้าปัจจัยเครื่องปรุงแต่งเกิดขาดตกบกพร่อง ร่างกายนี้ก็ต้องสลาย ร่างกายที่สมมติชื่อว่าพุทธทาสก็ต้องตายเป็นธรรมดา แต่พุทธทาสที่เป็นธรรมะไม่ตาย ชื่อนี้ไม่ตาย ความหมายของคำว่าพุทธทาสไม่ตาย แล้วก็ทุกคน ควรจะเป็นพุทธทาสด้วย ไม่ว่าผู้ชาย ไม่ว่าผู้หญิง เด็กและผู้ใหญ่ ใครๆ ก็ตาม ควรจะตั้งตนแบบพุทธทาส
ทำตนแบบพุทธทาสคือทำอย่างไร ก่อนที่ท่านเจ้าคุณจะเรียกชื่อท่านเองว่าพุทธทาสนั้น ท่านได้เริ่มสร้างงานที่เรียกว่า คณะกรรมการไชยา ขึ้น แล้วท่านเองก็เรียกว่าเป็นหัวหน้าของคณะนี้ มีน้องชายคือนายธรรมทาสเป็นหัวแรงฝ่ายบ้าน และญาติโยมอุบาสกหลายคนร่วมกัน ท่านเหล่านั้นลาโลกไปหมดแล้ว แต่หัวหน้ายังอยู่ ท่านก็เปลี่ยนชื่อว่าพุทธทาส ที่เรียกว่าพุทธทาสก็หมายความว่า จากคำสวดมนต์ตอนเย็นว่า พุทธัสสาหัสมิ ทาโส วะ พุทโธ เม สามิกิสสะโร อิติ พุทธทาโส ข้าพเจ้าขอมอบกายถวายชีวิตแด่พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเป็นนาย มีอิสระเหนือข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเป็นทาสของพระพุทธเจ้า จึงชื่อว่าพุทธทาส ตัวท่านทั้งกาย ทั้งใจ ทั้งรูป ทั้งนาม เป็นทาสพระพุทธเจ้า จึงได้ชื่อว่าพุทธทาส
ความเป็นพุทธทาสอยู่ที่น้ำใจที่จงรักภักดีต่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อยู่ที่น้ำใจที่เห็นประโยชน์ของธรรมะอย่างแท้จริง อยู่ที่น้ำใจที่มีเมตตาปราณีต่อชาวบ้านชาวเมืองทั้งหลาย อยากจะให้เขาได้ลุกขึ้น ลืมตา ศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้า แล้วนำธรรมะนั้นไปใช้ในชีวิตประจำวัน ท่านจึงได้เริ่มทำงานในนามท่านพุทธทาส
ร่างกาย ชีวิต จิตใจของท่าน เป็นของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เอาคืนไม่ได้ ยกถวายแล้วเอาคืนไม่ได้ เหมือนเราถวายของแล้วเอาคืนไม่ได้ แต่ว่าบางทีก็ขอคืนได้ ของน่าจะขอคืนได้ แต่การถวายชีวิต มอบกายถวายชีวิตแด่พระพุทธเจ้านี่ขอคืนไม่ได้ ท่านบอกว่า ท่านไม่มีสิทธิในร่างกายจิตใจของท่านที่จะนำไปใช้เรื่องอื่น ใช้เรื่องเดียวคือการทำงานให้แก่พระพุทธเจ้า ให้แก่พระธรรม พระอริยสงฆ์ ทำงานเพื่อธรรมะ ทำงานเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขแก่ชาวโลกเท่านั้นเอง นามว่าพุทธทาสจึงเกิดขึ้นปรากฎในแผ่นดินไทย แล้วตั้งแต่นั้นมาท่านก็ตั้งหน้าตั้งตาทำงานอย่างจริงจัง มอบชีวิตจิตใจให้กับงานนี้โดยแท้ ไม่รับนิมนต์ไปไหนในเรื่องอื่น
ท่านอยู่ที่สวนโมกข์นี่ท่านไม่ได้รับนิมนต์ไปไหนเลย ใครจะนิมนต์ว่า ขอนิมนต์ไปเหยียบบ้านผมให้เป็นมงคลหน่อย หรือนิมนต์ไปในงานแต่งงาน นิมนต์ไปในงานเผาศพคุณแม่คุณพ่อ หรืองานอะไรๆ นี่ท่านบอกว่า ขอทีเถอะ อย่ารบกวนฉันเลย พระที่ทำงานนี้ได้มีเยอะแยะ ไปนิมนต์ไปเถอะ เหมือนกัน ขอให้ฉันได้มีเวลาทำงานที่คนอื่นทำไม่ได้ ให้ได้ใช้เวลาทำงานที่พอใจ และเป็นประโยชน์แก่คนเป็นจำนวนมากๆ เถิด ท่านไม่ไป ไม่ได้ไปในที่นั้น แม้ญาติของท่านถึงแก่กรรมที่บ้านดอน ท่านก็ไม่ไป ไม่ไป เพราะว่าไม่จำเป็นจะต้องไป เขาก็เผากันได้
น้องสาวของท่านป่วยเป็นอัมพาต มาป่วยอยู่ที่กรุงเทพฯ ที่บ่อนไก่ อาตมาเคยไปเยี่ยม ไม่รู้สึกตัว ผอม เวลาถึงแก่กรรมท่านก็ไม่มา แต่ว่าพิมพ์เป็นกระดาษ ใบปลิว เป็นคำเตือนใจของคนที่มาในงานศพ มาแจก เป็นกระดาษแผ่นน้อยที่มีค่า มีความหมาย เป็นเครื่องเตือนจิตสะกิดใจดีเหลือเกิน นั่นแหละมาแทนท่าน ให้พระธรรมมาแทน ตัวท่านเองไม่มา
โยมอุปัฏฐากผู้ยิ่งใหญ่ที่ให้ความเกื้อกูลแก่สวนโมกข์ตั้งแต่เริ่มต้น คือ ท่านเจ้าคุณลัดพลีธรรมประคัลภ์ ท่านถึงแก่กรรม ท่านก็ไม่ได้มา ไม่ได้มา ท่านเคยพูดว่า เอกำลังคิดอยู่ว่าจะไปหรือไม่ไป ไปแล้วมันจะเป็นอย่างไร ไม่ไปจะเป็นอย่างไร ในที่สุดไม่มา ให้อาตมาไปทำหน้าที่แทน นำศพไปวัดเทพศิรินทร์ นำศพเวียนเมรุ ทำทุกอย่างเหมือนแทนท่าน ท่านไม่ได้มา
ท่านเจ้าคุณนี่เป็นอุปัฏฐากสำคัญ เพราะว่าท่านไปเยี่ยมท่านเจ้าคุณที่สวนโมกข์พุมเรียง สวนโมกข์เก่า แล้วก็ไปพักนอนอยู่ที่นั่น ปวารณาด้วยปัจจัยสี่ ถวายน้ำตาลทรายแดงเดือนละปี๊ป ให้พระได้ฉันตอนเย็น พระที่สวนโมกข์ตอนเย็นๆ นี่ฉันน้ำตาลทรายกับน้ำร้อน ไม่ได้ใส่ชา ไม่ได้ใส่กาแฟ ใส่อะไรโยมรู้ไหม ใส่ใบชุมเห็ด ต้นชุมเห็ดที่ใบใหญ่ๆ ดอกเหลืองๆ น่ะ ยอดชุมเห็ดนี่เป็นยาระบาย กินแล้วเป็นยาถ่าย ก็เอาใบที่มันแก่แล้ว เอามา เอามาถึงลนไฟ ลนไฟให้หมาดๆ แล้วก็ไปใส่ในน้ำร้อน แล้วเอาน้ำตาลทรายแดงใส่คนละกระป๋อง แจกกัน กระป๋องขาวๆ เคลือบ มีหูหิ้ว แจกกัน
เวลาไปอยู่ที่นั่น ตอนเย็นนี่ก็มานั่งดื่มน้ำใบชุมเห็ด คุยธรรมะกัน สามรูป ท่านเจ้าคุณ ท่านเจ้าคุณราชญาณกวี หรือเรียกว่า บ.ช. เขมาภิรัต ชาวบ้านท่าทองอุแท อุแทนั่นก็คืออุทัยนั่นเอง ท่าทองตะวันออก ท่านรองนายกนี่อยู่แถวนั้น เป็นคนบ้านเดียวกับท่านเจ้าคุณราชญาณกวี อาตมา สามคนนั่งคุยธรรมะ อาตมานี่เป็นผู้ฟังเสียส่วนมาก ท่านเจ้าคุณพูดอะไรขึ้น ท่านเจ้าคุณราชญาณกวีต้องขัดคอ เหมือนกับว่าเป็นพยานคัดค้านกันทุกวัน คัดกันไป คัดกันมา ทุกวัน เลยแอบถามว่าทำไมต้องพูดขัดคอ ไม่ขัดคอแล้วมันจะมีเรื่องพูดอะไร เรื่องมันไม่ยาว มันต้องขัดคอ ต้องแย้ง ต้องถาม นิสัยท่านอย่างนั้นต้องขัดแย้ง ตลอดเวลา แม้เวลาฉันอาหาร มันมีต้นไม้ มีกิ่งหนึ่งออกไป เอาไปทำนั่งร้าน บันไดขึ้นไปสามขั้น ไปนั่งฉันกันบนห้าง เวลาฉันก็คุยธรรมะกัน ขัดคอกันไปตามเรื่อง ตลกดี อาตมาก็นั่งฟัง ได้ประโยชน์ เป็นอย่างนั้น
เจ้าคุณลัดพลีนี่ท่านถึงกับบอกว่า ถ้าจะให้ผมลาออกจากราชการมาช่วยงานคณะธรรมทานก็ได้ ถึงขนาดนั้น ท่านเจ้าคุณบอกไม่ต้อง ทำราชการไปก่อน ยังไม่จำเป็นที่จะต้องมาช่วยถึงขนาดนั้น แต่ท่านก็ช่วยเหลือทุกอย่าง ท่านเคยไปซื้อหนังสือสูตรเว่ยหล่างมาสองเล่ม อ่านเองเล่มหนึ่ง ส่งไปถวายท่านเจ้าคุณเล่ม แล้วเขียนจดหมายว่าช่วยแปลให้คนไทยได้ …… (31.50 เสียงขาดหายไป) ทำพินัยกรรม ยกเงินถวายท่านเจ้าคุณส่วนตัว ๑๐๐,๐๐๐ บาท ถวายสำหรับใช้จ่ายพิมพ์หนังสือธรรมะแจกจ่าย ๒๐๐,๐๐๐ บาท เวลาเปิดพินัยกรรม ท่านก็บอกว่า ไอ้ ๑๐๐,๐๐๐ ที่ถวายอาตมาก็รวมเข้าไปในพิมพ์หนังสือนั่นแหละ เลยกลายเป็น ๓๐๐,๐๐๐ สมัยนู้น ๓๐๐,๐๐๐ มันก็หนาพอสมควร แล้วก็เอามาพิมพ์หนังสือ ใส่รูปท่านเจ้าคุณไว้ในเล่ม เป็นอนุสรณ์มาโดยลำดับ
เวลาท่านเผาศพ ท่านก็ไม่มา เพราะท่านเห็นว่างานที่ทำอยู่นั้นเป็นประโยชน์มากกว่า คืองานค้นคว้าหนังสือ เก็บส่วนที่ไม่เปิดเผยเอามาเปิดเผย ส่วนที่ลึกอยู่เอามาทำให้ตื้น ส่วนที่ไม่มีใครเห็นเอามาทำให้เห็น เหมือนหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิดอยู่ให้คนได้รู้ได้เข้าใจ พูดได้ว่าไม่มีพระสงฆ์องค์ใดในประเทศไทยที่จะทำงานอย่างที่ท่านเจ้าคุณกระทำ ยังไม่มีในสมัยนั้น ในสมัยนี้มีขึ้นบ้างแล้ว เดินตามรอยบ้างแล้ว ก็เป็นการดี ท่านก็บอกว่าค่อยสบายใจ เพราะมีคนที่เดินตามทางที่เราเปิดไว้บ้าง แล้วเขาเดินเก่งกว่า เพราะความรู้พื้นฐานดีกว่า ท่านความรู้พื้นฐานนี่ไม่มากเท่าใด แต่อาศัยการฝึกฝนตัวเอง ช่วยตัวเอง ค้นคว้าทั้งภาษาบาลี ภาษาอังกฤษ จนใช้งานได้ สามารถพูดธรรมะกับฝรั่งได้
มีฝรั่งคนหนึ่งเป็นคนอังกฤษ เป็นนักหนังสือพิมพ์ มาบวชที่นี่ จำพรรษาที่นี่ เรื่องใหญ่ ต้องหาขนมปังให้ฉันทุกวัน ฉันข้าวไม่ได้ นึกในใจว่าออกพรรษาแล้วต้องเอาไปดัดสันดานที่สวนโมกข์เสียหน่อย ก็พอออกพรรษาก็พาไปสวนโมกข์ ไปถึงบอกว่าฝรั่งคนนี้ รูปนี้ต้องการศึกษาธรรมะจากหลวงพี่ท่าน ท่านก็รับไป เอาเลย พอรุ่งเช้าขึ้นตั้งต้นเรียนกันเลย เอากระดานมาติดกับต้นไม้ แล้วก็มาเขียนภาษาอังกฤษอธิบาย ปฏิจจสมุปบาท อวิชชา สังขาร วิญญาณ นามรูป เป็นภาษาอังกฤษ อธิบาย ฝรั่งคนนั้นก็จด จด จด จด จด อธิบายกันอยู่สองเดือน ฝรั่งก็จดใหญ่ กลับมา พอกลับมานี่กินแกงขี้เหล็กก็ได้ กินน้ำพริกก็ได้ กินยอดประดู่ก็ได้ กินได้ทุกอย่าง บอกว่าแหมไปอยู่ไชยานี่กินได้หมดแล้วเวลานี้ ไม่ต้องเดือดร้อน กินได้ เปลี่ยนไป
แล้วอาตมาถามว่าความรู้ภาษาอังกฤษของท่านเจ้าคุณนี่ พอจะไปต่างประเทศได้ไหม บอกโอ้ นี่แหละควรไป เพราะท่านรู้ธรรมะดี รู้ภาษาอังกฤษดี อธิบายอะไรเข้าใจแจ่มแจ้ง ควรไป พระที่ไปแล้วนี่เทียบไม่ได้ เทียบไม่ได้ ทั้งสองอย่างเทียบไม่ได้ ควรไป แต่ว่าเคยมีคนเสนอให้ท่านไปเหมือนกัน คือโยมชื่น สิโรรส ที่เป็นผู้อุปถัมภ์พุทธนิคมที่เชียงใหม่ เสนอว่าท่านอาจารย์ควรจะไปต่างประเทศ ไปเผยแผ่ธรรมะ ท่านบอกว่ายังไม่คิดจะไป ยังไม่คิดจะไป เพราะการไปมันลงทุนมาก เวลาก็ไม่พอ แต่ว่าจะพยายามทำหนังสือให้เขาอ่าน ให้เขาอ่านเอาเอง ศึกษาเอาเอง และถ้าเขาสนใจเขาก็มาศึกษาต่อกับเราก็ได้ ไม่ต้องไป
แล้วท่านไม่ไป แต่พยายามที่จะทำหนังสือให้ฝรั่งอ่าน ให้มีการแปลออกเป็นภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งเศส ภาษาเยอรมัน ภาษาญี่ปุ่นอะไรไปตามเรื่อง ท่านพยายามทำความเข้าใจกับคนเหล่านั้นด้วยหนังสือ ไม่ต้องไปเอง ก็เลยไม่ได้ไปถึงยุโรป แต่ว่าไปอินเดีย ท่านโยมชื่นเป็นผู้อุปถัมภ์ในการไปอินเดีย ไปกันหลายคน ไปอินเดียนี่ก็ไปอยู่ถึง ๓ เดือน ไม่เหมือนผู้อื่นไป ๑๕ วันกลับแล้วเพราะไปกับทัวร์ นี่มันทัวร์พิเศษ ไปพักแห่งหนึ่ง ๓ คืน ๔ คืน แล้วท่านก็ไปเดินรอบๆ ปูชนียสถานพร้อมด้วยกล้องถ่ายรูป
เรื่องการถ่ายรูปนี่ก็อยากจะบอกว่าท่านเจ้าคุณถ่ายรูปมือหนึ่งนะ ถ้าออกมาตั้งร้านถ่ายรูปนี่คงจะเอาชนะร้านต่างๆ ได้ ถ่ายเอง ล้างเองเสร็จเรียบร้อย และเวลาถ่ายก็ต้องดูแสงสว่าง ดูระยะ ดูอะไรต่ออะไรเรียบร้อย ใครไปถ่ายรูปท่าน ท่านก็สอนให้ทุกราย เหมือนคุณมนัส กิริวงศ์ (38.12 เสียงไม่ชัดเจน) นั่นชอบไปถ่าย คุณมนัสเปิดกล้องเท่าไหร่ แสงเท่าไหร่ ท่านบอกว่าตรงนั้น ขยับไปอีกหน่อย ให้มันชัด ก็สอนให้ คุณมนัสไปถ่ายรูปท่านทีไรแล้วพาถ่ายรอบวัด เดินไปตรงนั้น ถ่ายพวกนี้ มากระซิบบอกว่า ถ่ายอาจารย์ให้อายุยืนหน่อย จะได้เดิน …… (38.36 เสียงไม่ชัดเจน) อย่างนั้น กองนั้นถ่ายกอง มาเจอทีไรถ่ายทุกที ท่านก็ช่วยสอน ช่วยแนะให้ ถ่ายรูปโบราณสถาน รูปปั้น รูปอะไรอยู่สูงๆ เอากล้องยาวเทเล ใส่เข้า ถ่ายดูดออกมา เอามาทำโรงหนังทางวิญญาณ
กรมศิลปากรเห็นรูปแล้วก็ว่า โอ้ ที่กรมศิลปากรยังไม่มีรูปอย่างนี้เลย ก็ราชการเขาไม่ให้งบประมาณไปเที่ยวถ่ายมันจะได้อย่างไร นี่ท่านเบิกเงินโยมชื่นไปถ่ายได้ทุกแห่ง โดยเฉพาะที่ศาลเป็นเจดีย์ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ต้องลงทุนให้เขาไปทำนั่งร้านขึ้นไปถ่าย ให้ รอให้มันเมฆลอยมา ไปนั่งคอยอยู่ตั้งสองวัน จึงมีเมฆผ่าน แล้วก็ถ่ายมาได้อย่างสวยงาม ขึ้นไปนั้นอยู่ตรงนั้น อดทน นั่งถ่ายรูป ถ่ายอย่างเดียว เดี๋ยวนี้เก็บหมดแล้ว เครื่องมือเหล่านั้นไม่ได้เล่นแล้ว
ท่านเป็นศิลปินในทางถ่ายรูปเหมือนกัน มีความรู้ความเข้าใจ อยู่สวนโมกข์เครื่องขยายเสียงมันเสีย เครื่องอะไรเสีย ใครจะไปแต่งให้ เพราะไม่มีช่าง ท่านแต่งของท่านเอง เอามารื้อดูว่าอะไรมันสัมพันธ์กันยังไงไปไหนรึ ตามหลักอิเล็กทรอนิกส์ เพราะฉะนั้นก็ทำได้ แก้ได้ ฟู่ฟ่าได้ ทำได้ ทำได้ทุกอย่าง เป็นผู้ที่มีความรู้ มีความสามารถทุกแง่ทุกมุม แต่ที่เก่งที่สุดคือความรู้ด้านธรรมะ เป็นนักคิด นักค้นอย่างแท้จริง สามารถจะเก็บข้อความอะไรมาศึกษา ค้นคว้า พูดได้ยาวๆ พูดเรื่องสุญญตา พูดออกมานี่ฮือฮากันทั้งเมืองเลย คัดค้าน นักหนังสือพิมพ์ผู้โด่งดังคัดค้าน โดยเฉพาะท่านคึกฤทธิ์นี่ค้านใหญ่เลย
ท่านบอกว่าเมื่อก่อนนี้นึกว่าคนจะเข้าใจเรื่องสุญญตา ต้องใช้เวลา ๒๐ ปี แต่เดี๋ยวนี้ไม่ถึงแล้ว ขอบใจคึกฤทธิ์มาก ที่ช่วยทำให้คนสนใจเรื่องสุญญตา เพราะคึกฤทธิ์เขียนบ่อยๆ เขียนกระแนะกระแหนบ่อยๆ เท่ากับว่ากระตุ้นให้คนได้ศึกษา ท่านขอบใจ ไม่ได้โกรธได้เคืองอะไร ขอบใจเขา ใครด่าว่าท่านเจ้าคุณท่านไม่ได้โกรธ ท่านไม่ได้โกรธไม่ได้เคือง เช่นนายตำรวจคนหนึ่งเขียนว่าท่านรุนแรง พิมพ์หนังสือส่งไป คนเอาไปอ่าน บอก แหม จะด่าผมก็ยังด่าไม่เป็น ท่านบอกอย่างนั้น ศัพท์แสงมันมีความหมายก็ยังไม่รู้ เขียนลงไปได้ ก็ว่าเท่านั้นเอง ไม่ได้ว่ามากอะไร แล้วคนๆ นั้นก็ เดี๋ยวนี้ก็ตายไปแล้ว ตายไม่เรียบร้อยด้วย เพื่อนยิงตาย เพราะไปเที่ยวก่นด่าพระบ่อยๆ ก็เลยตายไปแล้ว เป็นอย่างนั้น
เรื่องการศึกษาค้นคว้านั้นก็เป็นที่หนึ่ง อันนี้ผลงานของท่านที่เป็นประโยชน์แก่ชาวโลกเนี่ย ทำให้เกิดสันติภาพได้อย่างไร ท่านมีปณิธาน ปณิธานคือความตั้งใจมั่นคงที่จะทำอยู่สามเรื่อง เรียกว่าปณิธานสามประการของท่าน หนึ่ง ต้องการให้ศาสนิกของทุกศาสนา เข้าใจหลักคำสอนอย่างถูกต้องในศาสนาที่ตนนับถือ สอง ต้องการให้ศาสนิกของทุกศาสนา เข้ากันได้กับศาสนิกในศาสนาอื่น ไม่ต้องเถียงกันหน้าดำตาแดง ไม่ต้องรบกันด้วยเรื่องศาสนา ข้อสาม ต้องการดึงคนออกจากวัตถุนิยม สามอย่างเป็นปณิธาน เป็นความตั้งใจที่จะทำ ทำเพื่อจุดสามอย่างนี้
การทำอะไรมันต้องมีจุดหมาย ถ้าไม่มีจุดหมายก็ทำไปเรื่อยๆ โดยไม่รู้ว่าทำทำไม ทำเพื่ออะไร อะไรมันจะเกิดขึ้นจากงานที่เราทำมันก็เสียเวลาเปล่า จึงต้องมีเป้าหมาย หรือปณิธานว่าจะทำอะไร เพื่ออะไร ท่านก็ปณิธานว่า ต้องการให้ศาสนิกของทุกศาสนา เข้าใจคำสอนในศาสนานั้นอย่างถูกต้อง อันนี้สำคัญมาก เพราะว่าศาสนิกในศาสนาต่างๆ นั้น ยังไม่เข้าใจคำสอนในพระศาสนาที่ตนนับถืออย่างถูกต้อง ส่วนมากเป็นอย่างนั้น ชาวพุทธเรานี่แหละขออภัย ยังไม่เข้าใจคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างถูกต้อง ยังเขวอยู่เยอะ ทั้งพระทั้งชาวบ้านเขวกันไปตามๆ กัน ออกไปนอกลู่นอกทางมากมาย ทำอะไรก็เป็นการส่งเสริมสิ่งที่ไม่ถูกต้องมากมาย
เมื่อไปพัทลุงคราวนี้ ไปเห็นป้ายสะดุดตาตรงทางเข้าวัดนางลาด วัดนางลาดนี่เป็นวัดของบรรพบุรุษของอาตมา เขาสร้างไว้ แล้วก็ชำรุดทรุดโทรม โบสถ์จะพังไม่พังแหล่ก็ซ่อม ก็ซ่อมไปครั้งนึงแต่ว่าพังอีกแล้ว สมภารก็อยากจะซ่อมโบสถ์ อาตมาก็บอกว่า เรื่องโบสถ์หลังนี้คุณไม่ต้องตกใจ มันเป็นหน้าที่ของผมที่จะต้องมาซ่อม เพราะว่าบรรพบุรุษสร้างไว้ ถ้าไม่มาซ่อมคนก็ด่าทุกวัน เขาด่าว่าท่านปัญญานี่ไปเที่ยวทำที่โน่นที่นี่เยอะแยะ ไอ้โบสถ์ที่ตัวเกิดก็ไม่มาซ่อม ก็โบสถ์ที่นั่น เป็นเด็กก็อยู่ที่นั่น บวชที่นั่น บวชในโบสถ์นั้น เป็นที่เกิดของชีวิตพระสงฆ์ที่นั่น ปล่อยให้ชำรุดทรุดโทรมอยู่ได้ เขาว่าไว้ ไอ้ความจริงน่ะตั้งใจอยู่แล้วแต่ยังไม่ไป
ทีนี้มีพระไปจากภาคกลางนี่ เคยอยู่วัดไก่เตี้ย ฝั่งธนบุรี สมภารเดี๋ยวนี้แกก็อยู่วัดไก่เตี้ย เป็นเพื่อน เลยก็ไป ป้ายโฆษณาใหญ่ มีการสวดภาณยักษ์ สะเดาะเคราะห์ สืบชะตาราศรี ในวันที่ ๙ ถึงวันที่ ๑๑ กรกฎาคม ก็ เอาแล้ว ได้เรื่องแล้ว เลยก็สั่งสมภารให้มาพบ บอกว่า คุณมันกินอะไรเข้าไปถึงเกิดความคิดวิตถารขึ้นมาอย่างนี้ มาสวดภาณยักษ์ทำไม สวดให้คนหลงทำไม ส่งเสริมความโง่ทำไม บอกว่าเพื่อนกัน เขาจะมาช่วยจะได้สักกี่สตางค์ สวดภาณยักษ์จะได้เงินเท่าไหร่ นี่ลงทุนไปบ้างแล้วหรือยัง ยืมเงินผมไป ๗,๐๐๐ แล้ว จะเอาไปลงทุนทำป้ายทำโฆษณา บอกก็นั่นแหละ ไอ้ ๗,๐๐๐ ก็คงจะไม่ได้คืน เพราะพอทำเสร็จแล้ว หักไปหักมา หมดแล้ว ๗,๐๐๐ คุณก็ไม่ได้คืน มันจะไม่ได้เรื่องอะไร แล้วไปขนพรรคพวกไปจากกรุงเทพฯ พวกที่หากินให้คนโง่น่ะเยอะแยะ เอาไปทำกันที่นั่น บอกว่าไม่ได้นะ คุณต้องหยุดนะ บอกพระองค์นั้นให้หยุด
แล้วก็วันที่ ๓๐ อาตมาก็ไปที่วัดนางลาด ญาติโยมก็มากันหลายคน พระองค์นั้นก็มานั่งอยู่ด้วย บอกว่า “คุณมาจากไหน มาจากกาญจนบุรี นี่เรอะ ที่จะมาสวดภาณยักษ์ที่วัดนี้นะ”
“ใช่ครับ”
“ไม่ได้นะ สวดไม่ได้ วัดนี้วัดผมนะ” ไปยึดถือเอาวัดกูเข้าแล้ว บอกว่า “วัดผมนะ บรรพบุรุษผมสร้างไว้นะ ผมจะต้องดูแลวัดนี้ให้เรียบร้อย คุณจะมาทำสิ่งโง่ๆ หลอกประชาชนไม่ได้ หยุดซะ”
“ครับ เมื่อท่านอาจารย์ไม่ชอบผมก็จะไม่ทำ”
“ป้ายอะไรเก็บเสีย เอามาทำฝาอะไรก็ได้ หยุดนะ ไม่หยุดรึ ไม่ได้นะ” ก็คงหยุดไป
นี่เรียกว่าเป็นพุทธบริษัท แต่ยังไม่เข้าใจพุทธศาสนา ยังชอบส่งเสริมสิ่งโง่ๆ กับประชาชน ทำไสยศาสตร์ ทำการปลุก การเสก ลงเลข ลงยันต์ อะไรมากมาย เพราะไม่เข้าใจ ไม่ประกาศสิ่งถูกต้องแก่คนที่นับถือพุทธศาสนา ท่านมองเห็นท่าน เจ้าคุณท่านไม่ส่งเสริมสิ่งเหล่านี้ ใครมาขออะไรแผลงๆ ท่านไม่ให้ ไม่ทำให้ มีคนอยากเอารถไป ความจริงเขาไม่ได้ตั้งใจจะให้เจิมหรอก ลองดู เขาเล่าว่า ผมไปลองให้ลอง ท่านอาจารย์ เอารถใหม่ไปจอดแล้วบอกให้ช่วยเจิมหน่อย ท่านบอกว่ามันไม่มีในคัมภีร์เรื่องเจิมรถนี่ ก็ไม่เจิมให้ เลยก็บอก แกก็กราบขอบพระคุณ ความจริงผมไม่ได้ให้เจิมจริงๆ หรอก มาลองใจอาจารย์ ว่างั้น ว่าอาจารย์จะทำให้หรือไม่ ท่านไม่ทำน่ะสิ เหลวไหลอย่างนี้ไม่ทำให้
มีคนไปขอหวย ท่านก็บอกว่า ไอ้เรื่องหวยเรื่องเบอร์นี่ไว้ต้องไปถามสมภาร เขาบอกว่าสมภารอยู่ไหน ก็บอกว่านั้นน่ะนอนอยู่ในตะกร้า หมา หมาตัวนั้นมันชื่อสมภารด้วยนะ นอนอยู่ในตะกร้านะ ไปกราบมันเถอะแล้วมันจะบอกเบอร์ ไอ้นั่นโกรธไปเลย จะให้ไปกราบหมานะ แล้วนั่นก็ไปเลย อย่างนั้น ไม่มีทำอะไรอย่างนั้น แต่จะทำคนให้ฉลาด ให้เข้าใจธรรมะถูกต้อง เป็นปณิธานข้อแรกว่า อยากให้ศาสนิกในศาสนานั้น เข้าใจธรรมะอย่างถูกต้อง เพราะงั้น ท่านจึงพูดธรรมะของศาสนาอื่นด้วย เช่นว่า คำสอนในคริสเตียน คัมภีร์ไบเบิ้ล มีชาวสมาคมมูลนิธิที่เชียงใหม่มานิมนต์ท่านไปพูดเรื่องคริสเตียนที่เชียงใหม่ ท่านบอกว่าขอเวลาอีกปีหนึ่งถึงจะไปพูด ปีหนึ่งเอาไปทำอะไร ไปอ่านพระคัมภีร์ อ่านไบเบิ้ล ค้นคว้าลองอ่าน อ่านให้เข้าใจ แล้วก็ไปพูด ไม่ ไม่ยอมรับ คนแก่ไม่ยอมรับ คนหนุ่มๆ คริสเตียนใหม่ๆ นักศึกษาเข้าใจ พอใจ
แล้วทีหลังท่านก็มาเทศน์เล่มใหญ่ ชื่อว่า คริสตธรรมที่ชาวพุทธควรรู้ บอกว่าอิสลามธรรมมันก็คล้ายกัน แต่เอาคริสตธรรมก่อน เพราะเป็นหนังสือที่แพร่หลาย เอามาพูด มาอธิบายให้คนเข้าใจ เมื่อวานนี้มีบาทหลวงคนหนึ่งมาที่นี่ แกอยู่ที่วัดพระแม่การุณย์ตรงนี้ มาบอกว่า คณะเตรียมตัวเป็นบาทหลวงมาจากกรุงโรม จะมาพบท่านเจ้าคุณ อ่อ ยินดีๆ มาพบกัน แล้วก็เห็นป้าย เห็นที่กุฏิ เห็นป้าย โอ้โห องค์นี้นี่สำคัญ มีความรู้ที่ชาวโลกแล้ว (52.03 เสียงไม่ชัดเจน) ผมอ่านหนังสือของท่านเทพฯ แล้ว ทำให้เข้าใจธรรมะในคัมภีร์ไบเบิ้ลมากขึ้น โดยเฉพาะหนังสือคริสตธรรมที่ชาวพุทธควรรู้ ท่านพูดให้ชาวคริสต์รู้ เข้าใจถูกต้อง เขายกย่องชมเชยว่าท่านช่วยทำให้ชาวคริสต์เข้าใจคริสตธรรมถูกต้อง อันนี้เป็นเป้าหมาย ศาสนิกในศาสนาต่างๆ ให้เข้าใจธรรมะในศาสนานั้น เพราะยังไม่เข้าใจเยอะแยะ ยึดถือเอาแต่เปลือก แต่ผิว แล้วก็ทะเลาะกัน ไอ้ที่รบกันในอินเดียน่ะมันไม่ถึงธรรมะ ฮินดูก็ไม่ถึงฮินดูธรรม มุสลิมก็ไม่ถึงธรรมของมุสลิม ไปยึดถึงวัตถุ ยึดถือเปลือก ทะเลาะกัน ไม่ได้เอาเนื้อมาพูดกัน ไม่ได้เอาเนื้อมาปฏิบัติ
มีศาสนาใดในโลกนี้ที่ส่งเสริมความแตกแยกแตกร้าว ส่งเสริมให้คนเกลียดชังกัน โกรธกัน ส่งเสริมให้รบกันนี่มันไม่มี ในคัมภีร์ทั้งหลายทั้งปวงไม่มีเรื่องอย่างนั้น แต่ว่ามันสอนเรื่องสงบทั้งนั้น แต่กลับไม่สงบ เพราะว่าไม่เข้าใจ เลยรบกัน ตายไปตั้งเยอะแยะ เพราะความโง่นะ ทะเลาะกัน หรือว่าในศาสนาเดียวกัน นิกายนั้น นิกายนี้ หาเรื่องทะเลาะกันทำไม มันไม่เข้าท่า เราควรจะรักกัน สามัคคีกัน ปัญหาของโลกที่เราควรจะเอามาคิดกัน คือว่าทำอย่างไร โลกนี้มันจึงจะสงบร่มเย็น แล้วจะไปคิดถึงเรื่องอื่นทำไม มาคิดว่าทำยังไงโลกมันจะสงบเยือกเย็น แล้วมาช่วยกันหาทางให้โลกมันสงบ ดีกว่าที่จะไปถือเขา ถือเรา ถือนั่น ถือนี่ ถือมึง ถือกูกันอยู่ ทำให้เกิดความแตกแยก แตกร้าว เข้ากันไม่ได้ ไอ้ความแตกแยก แตกร้าว เข้ากันไม่ได้นั้นมันเรื่องกิเลส เรื่องเห็นแก่ตัว มันไม่ใช่เรื่องธรรมะอะไรเลย
ในสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวานนี่ ทะเลาะกัน คนหนึ่งลุกขึ้นไปต่อว่าต่อขานว่าอย่างนั้นว่าอย่างนี้ คนหนึ่งก็เอ้า …… (54.47 เสียงไม่ชัดเจน) เกือบไปแล้ว เกือบได้ดูมวยในที่นั่ง ในสภาแล้ว เจรจากันไป ไม่สน เรื่องนิดหน่อย ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตมโหฬารอะไรหรอก คือสมาชิกในสภานี้ไม่ได้นึกว่าเข้าไปนั่งในสภา ไม่ได้คิดว่าเรามันลูกแม่เดียวกัน ลูกแม่โดมเดียวกัน ถ้านั่งในพระที่นั่งอานันตสมาคมก็มีโดมใหญ่ แล้ว บนยอดโดมในซุ้มของโดมก็เขียนพระไว้นะ เขียนเรื่องพุทธศาสนา เรื่องพระเรื่องเจ้า แหงนดูซะมั่ง โอ้โฮ พระโว้ย พระโว้ย
จะพูดอะไร เจรจาอะไรก็เอาพระมาใส่ไว้ในใจ ความจริงห้อยคอเกือบทุกคน ห้อยไว้ด้วยความหลงทั้งนั้นล่ะ ไม่ได้เรื่องอะไร ไม่เอาเรื่อง พูดอะไรก็ไม่ค่อยเข้าหูคน เที่ยวว่าเขาอย่างนั้นอย่างนี้ เรื่องเก่าๆ ก็มัวแต่ไปขุดขึ้นมา ศพเขาฝังแล้วยังไปขุดขึ้นมาอีก มันขุดมาทำไม มันเสียเวลา นี่ก็เพราะว่าไม่เข้าถึงธรรมะของศาสนาที่ตนนับถือ มันยุ่ง
ที่ไหนที่ไม่เข้าถึงธรรมะถึงศาสนา เอาการถือศาสนานั้นแหละตัวยุ่ง เพราะไม่เข้าใจในหลักธรรมที่ถูกต้อง ไม่รู้จุดหมายของศาสนาว่าเขาให้ถืออะไร ให้สอนอะไร ทำยังไงไม่คิด คิดแต่ว่าฉันเป็นนั่น ฉันเป็นนี่ ไอ้ฉันเป็นน่ะแหละมันยุ่ง อันนี้พวกเราชาวพุทธเนี่ย ที่ไปเผยแผ่พระธรรมในต่างประเทศ เราไม่ได้คิดอย่างนั้น แต่เราคิดว่าไม่ต้องการให้เขาเป็นอย่างที่เราเป็นหรอก ไม่ต้องการให้เป็นชาวพุทธด้วยการจดทะเบียน ด้วยการทำอะไร แต่ให้เขาเป็นด้วยปัญญา ด้วยความรู้ความเข้าใจถูกต้อง เพราะการเป็นพุทธบริษัทนั้น มันไม่เป็นอะไร เป็นพุทธะนี่มันไม่เป็นอะไร มีแต่ พุทธเป็นความรู้ ความตื่น ความเบิกบานแจ่มใส เรียกว่า เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน แจ่มใส แต่ไม่ได้เป็นอย่างคนมีกิเลสเขาเป็น คนมีกิเลสเป็นก็ยึดมั่นในตัวตน ฉันเป็นนั่น ฉันเป็นนี่ ฉันดีกว่าแก แกเลวกว่าฉัน เอากันใหญ่แล้ว เดี๋ยวก็ได้ต่อยกันละ มันไม่ถึงธรรมะ แล้วมันก็ยุ่ง
อันนี้ปณิธานของท่านนี่ ต้องการให้คนนับถือศาสนาใด เข้าใจศาสนานั้นถูกต้อง เพราะงั้นพยายามทำอยู่ เช่นว่ามีการอภิปรายระหว่างศาสนาที่สวนโมกข์ ในงานวันเกิด ๘๐ ปี ของท่านก็มีการอภิปราย เชิญชาวคริสต์ ชาวอิสลาม ชาวซิกข์ ชาวอะไรมาพูด ท่านทำความเข้าใจกัน แต่ก็ยังไม่ค่อยจะได้ผลเท่าใด เพราะคนที่ไปพูดนั้น ยังเอาตัวเข้าไปพูด เอาความเป็นเข้าไปพูด ไม่พูดด้วยจิตว่าง ไม่พูดด้วยความเข้าใจที่ถูกต้อง ว่าในใจเรานั้นมันไม่มีอะไร การไม่ยึดถืออะไรไว้ในใจนั่นแหละคือเข้าถึงธรรมะ การไม่ยึดถืออะไรนั่นคือการเข้าถึงธรรมะอย่างถูกต้อง ไม่เป็นเรา ไม่เป็นเขา ไม่เป็นชาตินั้น ไม่เป็นชาตินี้ ไม่เป็นพรรคนั้น ไม่เป็นพรรคนี้ ไม่เป็นอะไรทั้งหมด นั่นแหละเข้าถึงธรรมะ
ต้องการให้คนมันเข้าถึงจุดนี้ แต่ว่ายังไม่ได้ แต่ว่าตั้งเป้าไว้ แม้ท่านจะดับจิตไปจากโลกนี้ พวกเราก็ต้องสืบต่อ สืบต่อความเป็นพุทธทาสต่อไป คำว่าพุทธทาสไม่ได้หมายความว่าเป็นชาวพุทธเสมอไป ใครก็ได้ ถ้าเข้าถึงตัวธรรมะอันถูกต้องก็เรียกว่าเป็นพุทธทาส เป็นทาสแห่งความเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เป็นทาสที่ไม่เป็นทาส ถ้าเป็นทาสโดยความเป็นทาสมันก็ยุ่ง เป็นอะไรโดยไม่เป็นน่ะมันไม่ยุ่ง อันนี้ท่านต้องการให้เราเป็นโดยไม่เป็น เป็นอะไรโดยไม่เป็นนี่โยมต้องเอาไปคิดให้ดี เป็นโดยไม่เป็น ถ้าเป็นเป็นแล้วมันยุ่ง เป็นนั่น เป็นนี่ เป็นโน่นน่ะมันยุ่ง ทีนี้เป็นโดยไม่เป็นแล้วมันก็ไม่ยุ่ง เป็นโดยไม่เป็นนั้นคือจิตไม่เป็น จิตมันว่างจากความยึดมั่น ถือมั่นในเรื่องนั้น ในเรื่องนี้ จิตมันสงบ
จิตสงบแล้วมันคิดแต่ทางสงบ พูดแต่ทางสงบ ทำแต่เรื่องให้เกิดความสงบ ถ้าคนเป็นอย่างนั้นกันมาก โลกนี้ก็จะมีสันติ โดยเฉพาะนักการเมืองที่ไปประชุมกันในองค์การโลกนี่ยังไม่เข้าถึงตัวธรรมะที่ศาสนาของตัวมี เป็นชาวคริสต์ก็ไม่ถึง อิสลามก็ไม่ถึง อะไรก็ไม่ถึงทั้งนั้นแหละ ยังเอาตัวไปประชุม เอาความยึดถือไปประชุม ไม่ไปประชุมด้วยจิตที่ว่างจากความยึดมั่น ถือมั่น คนยังไม่รู้เรื่องนี้ ยังไม่เข้าใจเรื่องนี้ เป็นเรื่องที่เราทั้งหลายจะต้องช่วยพูดกันต่อไป ช่วยพูดกันต่อไป พิมพ์หนังสือให้อ่านกันต่อไป ทำกันต่อไป เพื่อให้คนได้เข้าใจเรื่องนี้ ได้เข้าถึงสิ่งนี้ แล้วเขาจะอยู่กันโดยไม่ยุ่ง ไม่ลำบาก ไม่เดือดร้อน
ทำอะไรมันก็ไม่ยุ่ง เพราะไม่ได้ทำเพื่อความเห็นแก่ตัว ทำเพราะสำนึกว่าเป็นหน้าที่ที่จะต้องทำ ทำตามหน้าที่ อย่าเอาตัวเข้าไปเกี่ยวข้อง อย่าไปนึกว่าจะได้อะไร จะเป็นอะไร จะมีอะไร อย่าไปยุ่ง ทำไปเถอะ ทำด้วยจิตว่างแล้วมันก็สบาย แสดงมาก็พอสมควรแก่เวลา ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ ต่อนี้ไปก็ขอเชิญญาติโยมนั่งฝึกจิต กำหนดลมหายใจเข้าออกเป็นเวลา ๕ นาที เอ้า เชิญได้