แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ณ บัดนี้ ถึงเวลาของการฟังปาฐกถาธรรมะ อันเป็นหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนาแล้ว ขอให้ทุกท่านอยู่ในอาการสงบตั้งอกตั้งใจฟังด้วยดี เพื่อให้ได้ประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการมาวัดตามสมควรแก่เวลา
ก่อนที่จะพูดเรื่องอะไรก็อยากจะอ่านนี้ ให้โยมฟังหน่อย ประกาศกระทรวงศึกษาเรื่องการตั้งวัดในพระพุทธศาสนา ตามที่นายพิชิต จอมศรีโมกข์ได้รับอนุญาตให้สร้างวัด ณ หมู่บ้านที่ ๑๐ ตำบลคลองหก อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานีนั้น บัดนี้ผู้รับอนุญาตได้สร้างเสนาสนะขึ้นสมควรเป็นที่พำนักของพระภิกษุสงฆ์ได้แล้ว อาศัยตามความข้อ ๔ แห่งกฎกระทรวงฉบับที่ ๑ ๒๕๐๗ ออกตามความในพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ และด้วยความเห็นชอบของมหาเถระสมาคม กระทรวงศึกษาธิการ จึงประกาศตั้งเป็นวัดขึ้นในพระพุทธศาสนา มีนามว่าวัดปัญญานันทารามตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ขอให้วัดปัญญานันทารามสถิตสถาพรตลอดกาลนาน ประกาศ ณ วันที่ ๓๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๓๗ นายปราโมทย์ สุขุม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นี้ใบอนุญาตให้ตั้งวัดได้แล้ว แล้วก็ได้เนื้อที่เพิ่มขึ้นเดี๋ยวนี้ได้เป็น ๒๕ ไร่ เพราะมีคนให้เพิ่มขึ้นอีก ต่อไปนี้ก็เรื่องสร้าง ความจริงกุฏิชั่วคราวเล็กๆมีอยู่ แต่ก็พระพออยู่ได้ ก็ต้องสร้างให้เป็นหลักเป็นฐานต่อไป จึงประกาศให้ญาติโยมได้ทราบว่าได้รับอนุญาตเรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องสงสัยต่อไป เมื่อสักครู่ก็ไปอ่านทางสถานีโทรทัศน์ให้ญาติโยมทั้งหลายทราบทั่วกัน ญาติโยมจะได้ร่วมแรงร่วมใจกันต่อไป อันนี้เป็นเรื่องข่าว บอกให้ทราบก่อน
ต่อไปนี้ก็มารับฟังธรรมะกันต่อไป เราทั้งหลายที่เป็นคนไทย นับถือพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติไทยมาตั้งแต่โบราณ ประเทศไทย คนไทยเราได้รับความเจริญก้าวหน้าก็โดยอาศัยบารมีพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าได้สร้างนิสัย วัฒนธรรม ประเพณี วรรณคดีของชาติ ให้มีความเจริญก้าวหน้าตามสมควรแก่ฐานะ เราคนไทยทุกคนก็มีความภูมิใจในความเป็นไทย ความเป็นไทยของเราทั้งหลายนั้น อยู่ได้โดยอาศัยพระธรรมของพระพุทธเจ้า ที่เราเรียกกันว่าบารมีพระพุทธศาสนา
ในหลวงรัชการที่ ๔ ท่านเห็นว่าบารมีธรรมนั้นเป็นนามธรรม คนมองไม่เห็น ท่านจึงได้สร้างรูปให้คนมองเห็นขึ้นมากราบไหว้บูชา คือรูปพระสยามเทวาธิราช รูปพระสยามเทวาธิราชนั้นเป็นรูปสมมติแทนพระธรรม เพื่อให้คนที่ยังไม่รู้ไม่เข้าใจได้กราบได้ไหว้ เป็นประเภทภาษาคน แต่ถ้าพูดโดยภาษาธรรมะแล้ว ก็เรียกว่าพระธรรมคุ้มครองรักษาชาติไทย แต่เรามักจะพูดว่าด้วยบารมีพระสยามเทวาธิราช การพูดอย่างนั้นพูดอย่างคนที่ไม่มีการศึกษาในธรรมะ ถือว่ายังมีปัญญาน้อยอยู่จึงพูดอย่างนั้น แต่ถ้าพูดด้วยสติปัญญาอันสมบูรณ์ ตามหลักพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เราก็ควรจะพูดว่าโดยอาศัยบารมีพระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราจึงอยู่รอดปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็นส่วนบุคคล ส่วนสังคมองค์การ ตลอดจนถึงประเทศชาติได้รับความคุ้มครองจากพระธรรมที่เราเคารพนับถืออยู่ตลอดเวลา เราจึงอยู่รอดปลอดภัย แต่ถ้าเราไปพูดเป็นรูปบุคคล ว่าพระสยามเทวาธิราชคุ้มครอง คนก็จะไปติดอยู่กับวัตถุนั้น แล้วนึกว่าวัตถุนั้นช่วยเรา ไม่สนใจธรรมะเป็นการไม่ถูกต้อง เราจึงควรจะพูดกันใหม่ว่าความสุขความเจริญความก้าวหน้าของประเทศชาติบ้านเมืองของเรานั้น อาศัยบารมีธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นแกนเป็นหลักทางใจ เพราะเราได้อาศัยพระธรรมเป็นหลักใจนี่เราจึงได้อยู่เย็นเป็นสุข มีความเจริญก้าวหน้า ไม่ลำบากไม่เดือดร้อน
ประเทศไทยเรานี้จะเรียกว่าเป็นประเทศมีบุญก็ได้ เพราะว่าเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ชาติไทยเราก็เอาตัวรอดมาได้ทุกครั้ง การที่เอาตัวรอดมาได้นั้น ไม่ใช่เพราะอำนาจอะไร แต่เพราะอำนาจแห่งคุณธรรมที่มีอยู่ในใจคนที่เป็นนักปกครอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งอยู่ในน้ำพระทัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวผู้เป็นประมุขของชาติ แม้ชาวต่างประเทศจะเข้ามามุ่งร้าย แต่พอมาถึงเมืองไทยก็เปลี่ยนนิสัย เปลี่ยนจิตใจมาเป็นไม่มุ่งร้าย กลายเป็นมิตร เป็นเพื่อนของคนไทยไป อันนี้ก็เพราะว่าคนไทยเรานั้นมีนิสัยตามหลักพระธรรมของพระพุทธเจ้า นิสัยนั้นคือความอ่อนโยน อ่อนน้อมถ่อมตัว ไม่แข็งข้อกับใครๆ ไม่แสดงอาการอวดดีอวดหยิ่งกับใครๆ เขาเห็นแล้วก็มีความรู้สึกในทางเอ็นดูกรุณาคนไทยทั้งหลายทั้งปวง ความคิดที่จะมุ่งร้าย ก็กลายเป็นมุ่งดีขึ้นมา เพราะเราเอาธรรมะเข้ามาใช้ ในการต้อนรับเรียกว่าปฏิสันถารถูกแบบ พระพุทธเจ้าสอนให้เราเคารพในการปฏิสันถาร คือต้อนรับแขกด้วยน้ำใจอันงาม แม้เขาจะมาร้ายก็กลายเป็นมาดีไป ไม่ทำร้ายให้ใครๆได้รับความทุกข์ความเดือดร้อน กลายเป็นมิตรมาร่วมทำกิจค้าขายในบ้านในเมือง ไม่เป็นศัตรู อันนี้เราอยู่ได้
แต่ว่าประเทศอื่น แม้นับถือพระพุทธศาสนา แต่ว่ามีข้อบกพร่องคือไม่รู้จักใช้ธรรมะในเวลาอันสมควรไม่เข้าใจใช้ธรรมะให้ถูกต้อง มีความคิดแบบแปลกๆปลอมๆเข้ามาใจจิตใจ เวลาพบชาวต่างประเทศซึ่งเข้ามา ความจริงเขาจะเข้ามาค้าขายแหละ แต่เจ้าของบ้านไม่ต้อนรับ แสดงอาการขู่เข็ญต่างๆนานา ฝรั่งเขามีกำลังมากกว่า อาวุธดีกว่า สติปัญญาสูงกว่า เมื่อเราแสดงอาการเช่นนั้นต่อเขา เขาก็เลยไม่พอใจ เมื่อไม่พอใจก็เลยโจมตียึดเอาเป็นเมืองขึ้น เลยต้องเป็นเมืองขึ้นเขาไป แต่ว่าไทยเราไม่ทำอย่างนั้น เรารู้ว่าเขามา เราก็ส่งคนไปต้อนรับ เอามาเลี้ยงดูปูเสื่อให้การพักผ่อนสบายใจ พูดจากันทำความเข้าใจกันเพราะนิสัยคนไทยเรานั้นอ่อนโยน อ่อนโน้มถ่อมตัวเป็นลักษณะพิเศษของคนไทย ซึ่งอาจจะไม่มีในคนชาติอื่นก็ได้ สิ่งนี้ก็อาศัยหลักธรรมในพระพุทธศาสนา อาศัยพรที่พระท่านให้อยู่ทุกวันๆ พรที่ท่านให้ว่า “อะภิวาทะนะสีลีสสะ นิจจัง วุฑฒาปะจายิโน จัตตาโร ธัมมาวัฑฒันติ อายุ วัณโณ สุขัง พลัง” ซึ่งแปลความว่า อายุ วรรณะ พละ ความสุข ๔ ประการนี้ ย่อมเจริญแก่บุคคลผู้มีความอ่อนน้อม ถ่อมตนเป็นปกติ พระท่านสวดมาเป็นพันๆปี คำที่สวดนั้นมันก็ซึมซาบเข้าไปในจิตใจคนไทยเรา แล้วก็โดยการฝึกฝนอบรมให้รู้จักกราบ ให้รู้จักไหว้ ให้รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตัว ผู้น้อยอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ เด็กเคารพผู้ใหญ่ แต่กลายเป็นมรรยาทของชาติ ของบ้านเมือง
เวลาพบชาวต่างประเทศเราก็แสดงอาการอย่างนั้น เขาก็พอใจ เพราะคนเรานั้นชอบอย่างเดียวกันทั้งนั้น ถ้าใครทำให้เขาใหญ่เขาก็พอใจ แต่ถ้าทำให้เขาเล็กเขาจะไม่พอใจ เช่นว่าใครมาบ้านเรานี่ เราให้เกียรติเขา ทำให้เขาภูมิใจว่าเขาใหญ่กว่าเรา เขาอยู่เหนือเรา เขาสบายใจ แต่ถ้าเราทำให้เขาเล็กแม้นิดเดียวเขาก็ไม่ชอบ เพราะคนเราโดยอัธยาศัยชอบความใหญ่ คราวนี้เราให้เขาใหญ่ เมื่อให้เขาใหญ่ เขาก็ภูมิใจ สบายใจ เมื่อเขาภูมิใจเขาก็ไม่ทำร้ายเรา พูดจาอะไรกันได้ โดยมิตรไมตรี เรื่องทั้งหลายก็เรียบร้อย
เหตุการณ์มันเป็นมาอย่างนั้นทุกครั้งทุกคราว ที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองของเรา ถ้าเราศึกษาประวัติศาสตร์เราก็จะพบว่ามีสภาพเช่นนั้น ฝรั่งที่ตั้งใจจะมายึดเมืองไทยก็ต้องถอยทัพกลับไป หรือกลายเป็นมิตรของคนไทยไป เพราะคนไทยเราฉลาดในการโอภาปราศรัย แล้วก็เป็นคนอ่อนไม่แข็งกระด้าง เช่นในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชเป็นตัวอย่าง ชาวฝรั่งเศสส่งทูตมาเมืองไทย เพราะต้องการมายึดเมืองไทย แต่ว่าเขาส่งทูตที่เป็นพระมา ถือคัมภีร์มาด้วย มาอย่างแบบนักบวชคาธอลิก มาถึงเมืองไทยก็ดำเนินนโยบายทุกวิถีทางเพื่อจะกำประเทศไทยไว้ในอำนาจ แต่ว่าสมเด็จพระนารายณ์มหาราชท่านเป็นผู้มีพระปรีชาสามารถ ฉลาดในเรื่องต่างๆดี ท่านไม่ว่าอะไร เขาจะมาสอนคัมภีร์ไบเบิลให้ท่านได้ยินได้ฟัง ท่านก็เรียน เรียนด้วยความตั้งใจ สงสัยก็ตาม จนพวกบาทหลวงตายใจ ตายใจว่าเมืองไทยนี้อยู่ในกำมือแล้ว เพราะว่าพระเจ้าแผ่นดินกำลังจะเป็นคาธอลิกจะรับศีลแล้ว เมื่อพระเจ้าแผ่นดินรับศีลคนทั้งหลายก็ตามพระเจ้าแผ่นดิน เมืองไทยทั้งเมืองก็จะเป็นคาธอลิกฝรั่งเศสก็จะมายึดครองได้ง่าย ไม่ลำบากยากเข็ญอะไร แต่ว่าผิดหวัง เพราะว่าถึงคราวจะเอาจริงเอาจังเช่นคราวที่ว่าเข้าไปเพื่อจะให้พระเจ้าแผ่นดินสมาทานศีลเป็นคาธอลิกนี่ พระเจ้าแผ่นดินที่ท่านตอบอย่างคมคาย คือท่านตอบว่าถ้าพระผู้เป็นเจ้าที่ท่านกล่าวถึงบ่อยๆนั้นมีอยู่จริง พระผู้เป็นเจ้าก็คงทรงทราบดีว่าเมืองไทยนี้เป็นเมืองพระพุทธศาสนา แล้วก็ส่งข้าพเจ้าให้มาเกิดในประเทศไทยก็คงจะมีจุดหมายให้ข้าพเจ้าเป็นชาวพุทธ ถ้าข้าพเจ้าจะเปลี่ยนไปเป็นคาธอลิกก็จะผิดพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าจะเป็นบาปเป็นโทษ ตอบจากนั้นบาทหลวงก็หงายหลัง ไปตามๆกัน เพราะถูกข้อศอกของเขากระทุ้งสีข้างของเขาเองด้วยความฉลาดของพระนารายณ์ ก็ไม่เป็นไร ฝรั่งก็เลยถอยทัพกันไป ไม่พยายามที่จะเปลี่ยนใจพระนารายณ์เป็นศาสนาคริสตังอีกต่อไป เพราะทำไม่ได้ อันนี้เป็นตัวอย่างที่เห็นง่ายๆว่าพระเจ้าแผ่นดินท่านแหลมคมอย่างไร
มาในสมัยกรุงเทพฯก็เหมือนกัน รัชกาลที่ ๕ ท่านแหลมคม มีเรื่องอะไรก็เบาๆค่อยพูดค่อยจากัน ทำความเข้าใจกัน ไม่วู่วาม ไม่ใจร้อน ไม่ใช้อาการแบบนักเลงอันธพาล แต่ว่าใช้วิธีการของผู้ดี มีระเบียบมีแบบฉบับ ไม่ต้องพูดกันอย่างรุนแรง แต่ค่อยพูดค่อยจา ผลที่สุดก็ไม่เป็นไร ฝรั่งเศสก็ต้องถอยทัพจากเมืองตราด เมืองจันทบุรีที่ยึดไว้ปล่อยให้เราเป็นเจ้าของต่อไป นี้คือว่าอาศัยหลักธรรมในทางพระพุทธศาสนา ที่มีความสงบเยือกเย็นนั้นเอง คนไทยเราเวลามีปัญหามีความทุกข์ความเดือดร้อน ก็มักจะเข้าห้องพระ เข้าห้องพระก็เหมือนกับว่าไปปรึกษาพระพุทธเจ้า ปรึกษาพระธรรม พระสงฆ์ แต่ไม่ได้ไปศึกษาแบบสั่นกระบอกติ้วดูว่าพระจะว่าอย่างไร แต่เข้าไปนั่งสงบใจ ทำจิตให้สงบ จิตเมื่อสงบมันเกิดปัญญา เกิดความคิดถูกต้อง
พระเจ้าอยู่หัวท่านก็ทำอย่างนั้น ท่านเข้าไปในห้องพระที่ในวัง แล้วก็ไหว้พระสวดมนต์ นั่งสงบจิตสงบใจ เพื่อคิดปัญหานี้ คิดด้วยใจสงบ มันก็เกิดผลแห่งความสงบทางจิตใจ แล้วเรื่องต่างๆก็ลงเอยด้วยดี แต่ถ้าเราไม่ใช้ธรรมะ ใช้ความหุนหันพลันแล่น ใช้กำลังมันก็เสียหาย เพราะการใช้กำลังนั้นไม่ใช่วิสัยของผู้ฉลาด แต่เป็นวิสัยของคนที่ขาดปัญญา ชอบใช้กำลัง
สัตว์เดรัจฉานนี่มันชอบใช้กำลัง เพราะมันไม่มีปัญญา ไม่มีความคิดความอ่าน เราดูจากสัตว์เดรัจฉานทุกประเภท เมื่อมันมาเจอกันก็ต้องขวิดกัน กัดกัน ทำอะไรกันในเรื่องที่เรียกว่าไม่มีปัญญาไม่มีความคิดความอ่าน คนเราถ้าเจอกันแล้วยิงเขี้ยวยิงฟันเข้าใส่กัน คำรามกัน เหมือนกับสุนัข ๒ ตัว มาพบกันแล้วก็ไม่เป็นผู้เป็นคน ร่างกายเป็นผู้เป็นคนแต่ว่าจิตใจนั้นเปลี่ยนสภาพไปเป็นเดรัจฉาน มีความโง่เกิดขึ้นในใจ ทำอะไรด้วยความโง่ความเขลามันก็เสียหายจึงต้องใช้ปัญญาเป็นเครื่องพิจารณา ในชั้นแรกก็ต้องสงบไว้ก่อน อย่าใช้ความรุนแรง อย่าไปโต้ตอบด้วยคำที่มันไม่สุภาพ ไม่เรียบร้อยแต่ใช้ความสงบค่อยพูดค่อยจา ทำความเข้าใจกัน เรื่องทั้งหลายก็จะไม่ลุกลามใหญ่โตมากไป ให้นั่งนิ่งนั่งเฉยเสียบ้าง อะไรก็จะเรียบร้อย
มีคำสอนของพระพุทธเจ้าอยู่บทหนึ่งน่าจะนำมาใช้ ในชีวิตประจำวันคือพระองค์สอนว่า มีตาก็ทำเป็นตาบอดเสียบ้าง มีหูก็ทำเป็นหูหนวกเสียบ้าง มีลิ้นพูดได้ ก็ทำเป็นใบ้เสียบ้าง มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเข้าห้องปิดประตูลงกลอนนอนคลุมโปง เรื่องมันก็ไม่มี ถ้าเราทำอย่างนั้นมันก็สบาย เช่นใครมาก่อการทะเลาะเบาะแว้งกับเรา เราทำหูไม่ได้ยินเสีย ทำตาไม่เห็นเสีย มีลิ้นเราก็ไม่พูดกับคนเหล่านั้น เรานั่งนิ่งๆ แต่ว่านั่งนิ่งตรงนั้นมันไม่ได้ เดี๋ยวมันจะมาทุบหัว เราก็เข้าห้องปิดประตูลงกลอนแล้วก็เอาผ้าคลุมโปงแล้วก็นอนเสียให้สบาย เรื่องมันก็จบตรงนั้นไป พวกนั้นมันก็ถอยทัพกลับไปเท่านั้นเอง อันนี้พระพุทธเจ้าสอนไว้ได้ดี ให้เรามีความอดทนหนักแน่น เราก็สบายใจ ถ้าใช้อุบายอย่างนี้ก็ดี
ท่านเจ้าคุณพุทธทาสท่านแต่งกลอนไว้ว่า “ปิดหูเสียบ้าง ปิดตาเสียบ้าง แล้วก็นั่งสบาย” จำไม่หมดกลอนนั้น ไม่ได้ดูเมื่อเช้า แต่ว่าเคยอ่านว่าอ๋อดี ปิดหู ปิดตาเสียบ้าง นั่งสบาย ไม่มีเรื่องมีราวอะไร ทีนี้เรื่องอะไรที่เกิดขึ้นในสังคม คนเรามันไม่ปิดหู ไม่ปิดตา แล้วก็ไม่ปิดปาก โต้เถียงกันไป โต้เถียงกันมา มันได้อะไรขึ้นมา ในการกระทำเช่นนั้น ไม่มีอะไรนอกจากว่าเขาเรียกว่าสร้างความแตกแยกแตกร้าวให้เกิดขึ้นในสังคม ทำให้คนทั้งหลายมาดูว่า ๒ นั้นมันทะเลาะกันเรื่องอะไร แล้วก็ไม่ได้อะไร ถ้าดูก็ไม่ได้เก็บสตางค์ ถ้าเขามาดูแล้วก็เก็บสตางค์บ้างมันก็ค่อยยังชั่ว แต่นี่ดูโดยไม่ให้สตางค์อะไรมาดู มาเชียร์ เชียร์ฝ่ายนั้น เชียร์ฝ่ายนี้ โห่ร้องก้องปี๊บกันไปตามเรื่อง ฝ่ายทั้ง ๒ ฝ่ายก็นึกว่า เรามีกองเชียร์ เลยไปกันใหญ่
กองเชียร์มันก็ทำคนให้เสียเหมือนกัน เพราะว่าคิดอะไรไม่ค่อยออก ความยึดถือในหัวหน้าของตัว ในพวกของตัวมันรุนแรง ขาดปัญญาเป็นเครื่องพิจารณา แล้วก็ทำกันไปอย่างนั้นก็เสียหาย จึงควรจะนิ่งเสียบ้าง เงียบเสียบ้าง เก็บตัวเสียบ้าง แล้วไม่ออกมาแสดงตัวอะไร ไปอยู่ที่เงียบๆพักผ่อน จะไปอยู่ในที่สงบที่ตนเคยอยู่พักผ่อนเสียบ้าง ให้เขาสู้กันให้เรียบร้อย เราไม่ได้ยิน ถ้าอยู่ไกลแล้วก็ไม่ได้ยิน อยู่ในถ้ำเราก็ไม่ได้ยิน อยู่ในป่าเราก็ไม่ได้ยิน บ้านใดจะพูดอะไรช่างเขา ถ้าเราถือตัวว่าเราเป็นผู้บริสุทธิ์ ก็จะไปเดือดร้อนอะไร ใครจะพูดอะไร ใครจะว่าอะไรมันเรื่องของเขา เพราะคนเรามีปากมันก็พูดไปตามเรื่อง เราห้ามเขาไม่ได้ ห้ามปากคนนี้ไม่ได้แต่เราห้ามใจเราได้ ห้ามใจเราไม่ให้ไปยึดถือในสิ่งนั้น ไม่ให้สนใจในสิ่งนั้น เราเก็บตัวเสีย ไม่โต้ตอบ
ลูกศิษย์ลูกหาของเราก็เหมือนกัน ถ้าเรามี เราก็บอกว่าพวกเราอย่าพูดอะไร นั่งอยู่นิ่งเงียบ เงียบใครจะมาสน ถามอะไรก็อย่าพูดกันดีกว่า นั่งเฉยๆ นั่งสงบใจทำสมาธิเสีย คนถามมันก็ถามไม่ได้คำตอบก็ไปเอง โดยเฉพาะพวกหนังสือพิมพ์นี่ชอบมาถามเรื่องนั้นเรื่องนี้ ที่อาตมาเขาก็มาถามกันอยู่บ่อยๆ แต่อาตมาบอกว่าถ้าถามเรื่องเกี่ยวกับเรื่องที่กำลังอื้อฉาว ฉันจะไม่พูดด้วย แต่ถ้าถามเกี่ยวกับเรื่องหลักความถูกต้อง ก็พอจะคุยได้ คุยกัน แต่ว่าอย่าเอาไปลงนะ คุยกันเฉยๆ แต่ว่าเชื่อแน่ไม่ได้ พวกนี้มันหากินทางนั้นหากินทางข่าว
เราพูดก็ต้องระมัดระวังไม่เข้าทางไหน ไม่เข้าข้างขวา ไม่เข้าข้างซ้าย พูดว่าอะไรมันถูก อะไรมันผิด อย่าพูดว่าใครถูกใครผิดอันนี้สำคัญ โยมเอาไปใช้ได้ คือว่าเรื่องอะไรเราอย่าพูดว่าคนนั้นถูก คนนั้นผิด พูดอย่างนั้นมันกระทบกระเทือน แต่ว่าเราควรจะพูดว่าอะไรมันถูกอะไรมันผิด ไม่พูดเรื่องคน แต่พูดเรื่องธรรมะ เรื่องธรรมะเราพูดว่าอะไรมันถูก อะไรมันผิด พูดอย่างนั้นมันไม่มีปัญหา ไม่กระทบใคร แต่ถ้าเราพูดว่าคนนั้นถูกคนนั้นผิด คนนั้นอย่างนั้น คนนั้นอย่างนี้ เรื่องมันไปกันใหญ่ มันกระทบกระเทือนถึงผู้ที่เราพูดด้วย แต่ถ้าเราพูดว่าอะไรถูกอะไรผิด ไม่มีอะไร เพราะอะไรมันไม่มีอะไร ไม่มีหูจะฟัง ไม่มีตาจะดู ไม่มีปากจะพูด ก็ไปพูดอย่างนั้นมันสบายใจดี ถ้าพูดอย่างนั้น ถ้าใครมาถามเรื่องอะไรกับเราก็ ฉันไม่รู้ เรื่องอย่างนี้ฉันไม่รู้ ฉันพูดไม่ได้ เพราะฉันไม่รู้ แต่ถ้าถามเรื่องว่าอะไรมันถูกอะไรมันผิด เราก็คุยกับเขาไปเป็นการสบายใจ นี่ก็สำคัญเหมือนกัน
เวลานี้สภาพการบ้านเมืองของเรา มันยุ่งกับเรื่องคนพูดมากนี้ พูดกันจริงๆ ชอบพูด ชอบให้สัมภาษณ์ ทางโทรทัศน์บ้าง ทางวิทยุบ้าง หนังสือพิมพ์ก็ชอบถาม เห็นนักการเมืองก็ต้องพุ่งเข้าใส่ แล้วก็ป้อนคำถามที่มันจะทำให้เกิดความรู้สึกแตกแยกแตกร้าว ชอบถามอย่างนั้น พวกหนังสือพิมพ์จะล้วงเอาความอย่างนั้นอย่างนี้ คนที่ตอบก็ไม่ยั้งคิดยั้งตรองอะไร ตอบอย่างรวดเร็ว มันก็ผิดพลาดได้ง่าย แล้วก็ทำให้เกิดปัญหา เพราะไปจั่วหน้าว่าอย่างนั้นอย่างนี้ แตกแยกแตกร้าวกันอะไรต่ออะไรกัน ลงกันไปเป็นข่าวทำให้เกิดความสับสนวุ่นวายในหมู่ประชาชน แล้วก็พูดกันไม่จบไม่สิ้นในเรื่องที่บางทีมันก็ไม่ต้องพูดกันแล้ว เพราะเรื่องมันยังไม่ถึงเวลาที่จะต้องทำอะไรกันอย่างนั้นเราจะไปพูดทำไม เพราะยังไม่ถึงเวลา เพราะเรื่องอะไรที่จะต้องทำนั้น ทำคนเดียวไม่ได้ ทำพรรคเดียวมันก็ไม่ได้ มันต้องทำร่วมกัน ทุกพรรคทุกฝ่ายมีความเห็นร่วมกัน ถ้าความเห็นมันยังไม่ลงรอยกัน พูดไปเถอะ พูดเท่าใดๆ มันก็ไม่เกิดผล ประชาชนจะเห็นด้วยมันก็ไม่เกิดผลอะไร เพราะว่ามันขัดต่อหลักการ หลักการมันมีอยู่ เราพูดให้คนมีความคิดอย่างนั้น มีความเห็นอย่างนั้นแต่มันขัดกับหลักการ ก็ทำไม่ได้
ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่นว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มีคนเดินขบวนชูป้าย เราต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่มันก็ยกไปเถอะ ยกป้ายให้มันเต็มบ้านเต็มเมืองมันก็แก้ไม่ได้ เพราะคนแก้มันไม่ใช่พวกคนเดินขบวนมายกป้าย คนที่แก้นั้นคือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรรวมทั้งวุฒิสมาชิกด้วย ถ้าสมมติว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอยากแก้แต่ว่าวุฒิสมาชิกเขาไม่แก้ เขาไม่ลงความเห็นให้ด้วยมันแก้ไม่ได้ มันต้องพร้อม แล้วเขาตั้งจำนวนว่าต้องมีคนเท่านั้นจึงจะแก้ได้แล้วมันไม่ครบตามที่เราตั้ง พูดไปวันยังค่ำมันก็แก้ไม่ได้ แล้วพูดให้เสียเวลาไปทำไมมันไม่ได้เรื่องอะไร หยุดเสียบ้าง อย่างนั้น
เราไม่พูด รอเวลา เรียกว่ามันสุกรอบ ผลไม้สุก เราไม่ต้องแหงนคอสอยมันหล่นลงมาเองไม่ลำบาก ไม่เดือดร้อน เราไปนอนอยู่ใต้ต้นไม้เหมือนกับต้นทุเรียนสูงๆนี่ แถวพัทลุงมีเยอะ ต้นขนาดนี้ ทุเรียนน่ะ ในป่านะ เวลามันเป็นแล้วไม่มีหวังน่ะจะไปเก็บมันได้ มันขึ้นไม่ไหว ปีนไม่ไหว คนก็ไปถางที่โคนต้นให้เตียน แล้วไปนอนเฝ้ากลางคืนมันก็หล่นตุ๊บเก็บมาๆ ไปนอนเฝ้าถ้ามันไม่หล่นลงมาไม่มีหวังจะได้กินน่ะ แล้วที่มันหล่นน่ะ มันสุกทั้งนั้นเรียบร้อย สุกดี ถ้าเราไปสอยบางทีมันไม่สุก แล้วเอามารมไฟ รมควันให้มันสุก สุกก็ไม่เรียบร้อยกินก็ไม่อร่อย เพราะมันไม่สุกเต็มที่ แต่ถ้ามันหล่นลงมามันสุกเต็มที่ คนก็เอาไปขายได้
อันนี้ก็เป็นบทเรียน เป็นเครื่องสอนใจว่าอะไรๆ มันต้องรอเวลา รอเหตุการณ์ให้มันสุกของมันเอง เมื่อสุกของมันองมันก็เป็นไปตามเรื่องของมัน แต่ว่าคนเรามันใจร้อน ไม่ค่อยจะควบคุมจิตใจ อยากจะได้อะไรก็อยากได้ดังใจ เหมือนเด็กอยากได้ของเล่น บอกคุณแม่ว่าอยากได้นั่น อยากได้นี่ ถ้าคุณแม่ไม่ซื้อให้มันก็ไปกวนอยู่นั่นแหละ ไปพูดไปกวน แสดงอาการต่างๆ คุณแม่ไม่ได้ยินก็ดึงแขนคุณแม่ ดึงโน่น ดึงนี่ ให้คุณแม่ไปซื้อของให้ ถ้าไม่ซื้อบางทีมันก็นอนลงไปกลิ้งเกลือกแสดงอาการว่าโกรธเคืองว่าแม่ไม่ซื้ออะไรให้ คุณแม่ก็กลัวลูกจะลำบากก็เลยไปซื้อให้ เรียกว่าแพ้ คุณแม่แพ้ แพ้ลูก
ทารกน้อยๆเขามีอะไรเป็นกำลัง โยมจำไว้ เขามีการร้องไห้เป็นกำลัง การร้องไห้นั่นแหละคือกำลังของเด็ก ถ้ามันไม่ได้อะไรมันร้อง ร้องดังเสียด้วยเหมือนอกจะแตก แล้วคุณแม่ก็กลัวลูกจะลำบาก เลยก็เอาไม่เป็นไรลูก แม่จะซื้อให้ มันก็หยุดร้อง แล้วแม่ก็ไปซื้อให้ คราวหลังมันอยากได้มันร้องอีกๆ ร้องทุกทีๆ อยากได้อะไรก็ร้องๆ เรายุให้มันร้อง มันก็เสียคนไป คราวนี้ถ้ามันร้องจนเหนื่อยเราไม่ซื้อให้ นั่งทนเอา มันร้องก็ร้องไป นั่งฟังมันก็แล้วกัน ทนเอา มันร้องจนเหนื่อย ร้องจนคอแห้งแล้วคุณแม่ก็ไม่เคลื่อนไหวเลย ไม่เห็นให้อะไร หยุดร้องดีกว่า แล้วคราวหลังมันจะเอาอะไร มันจะไม่ร้อง เพราะร้องมันก็ไม่ได้ ถ้าเราตามใจเด็กก็เสีย เด็กมันก็ขอได้ตามชอบใจ
คนที่เลี้ยงลูกด้วยการตามใจ ต้องร้องไห้เพราะลูกบ่อยๆ ข่าวในหนังสือพิมพ์โยมอ่าน ตายกี่คน ได้รถใหม่ คุณแม่ คุณพ่อ ๒ คนน่ะร่วมหุ้นกันซื้อให้ ซื้อรถใหม่ เด็กหนุ่ม เด็กหนุ่มนี่พอได้รถมอเตอร์ไซค์ พอขึ้นนั่ง โอ๊ย มันภูมิใจ แหม กูได้รถใหม่ มันสตาร์ท แล้วมันต้อง วื้ด ให้มันเร็ว ช้าไม่ได้ มันไม่มัน ต้องไปเร็ว ไปเร็วๆก็ฉวัดเฉวียน แซงขวาแซงซ้าย ตัดหน้ารถบรรทุกได้ ตัดหน้ายังไม่เก่งนะ ต้องลอดใต้รถบรรทุกได้ จะไปลอด ขับลอดน่ะ บอกเขาว่าได้ ยกมือเพื่อนก็โห่ร้อง ชอบใจว่ามันเก่ง เก่งไม่กี่รอบหรอก เดี๋ยวก็ชักดิ้นชักงอแล้ว ตายเพราะทำอย่างนั้น บ่อยๆ ตายบ่อยๆ
แล้วลูกต้องการรถก็ให้ ต้องการรถยนต์ก็ให้ โดยไม่คิดว่าเด็กหนุ่มนี่มันคะนอง ถ้าว่าได้รถแล้วมันจะคะนอง มันจะต้องขับไปที่นั่น ไปที่นี่ พาเพื่อนไป แต่ถ้ามันขับปกติมันก็ไม่เสียหายอะไร แต่นี่มันขับแล้วมันเอาเหล้าไปด้วย ขับไปดื่มเหล้าไป คะนองไป ทุกคนที่นั่งในรถเป็นกองเชียร์ เพื่อไปเมืองพญายมกันทั้งนั้นแหละ เอ้า ดื่มหน่อย เอ้า ดื่ม ต่างคนต่างดื่ม เอ๊า แซงขึ้นไปๆ คนขับก็เรียกว่าฟังเสียงยุแล้วมันมันขึ้นมา มันก็ขับไป ผลที่สุดเกิดอุบัติเหตุถึงแก่กรรมไป เอาศพไปตั้งไว้ที่วัดน้อยนาหุง เมื่อคืนนี้ไปเทศน์ที่วัดนั้น บนศาลานั้นทำไมมันหลายศพ รถมันไปเกิดอุบัติเหตุ เลยเอามาทำร่วมกัน เรียกว่าตายพร้อมกัน เผาพร้อมกัน ไปตกนรกด้วยกัน หรือไปสวรรค์ก็ไม่รู้หรอก แต่ว่าคุณแม่น่ะตกนรกแน่ เพราะไปนั่งร้องไห้ เสียใจในการที่ลูกชายตาย ลูกชายตายมันก็เกิดเพราะแม่ไปซื้อรถให้มัน มันจึงเป็นอย่างนั้น
คราวหนึ่งมาที่นี่ คุณแม่ซื้อรถให้ลูก ลูกก็ขับไป ไปซิ่งกันที่นู่น สายชลบุรี แกลง บ้านบึง ไปนู่น ทางมันดีใหม่ รถมันน้อย กลางดึกแล้วก็ไป แทรก ขับกัน เสียงหนวกหูชาวบ้าน ชาวบ้านได้ยินก็แช่งส่งท้ายไปตลอดเวลา ขับไปขับมาก็พลิกคว่ำ เรียบร้อย ตาย เอาศพมาที่นี่ แม่ก็มานั่งร้อง เลยเข้าไปเยี่ยม ถามอะไร คุณนายร้องไห้อะไร ลูกตาย อ๊าว น่าสงสาร กำลังหนุ่ม กำลังดี ตายเสียแล้วเหรอ ตายเพราะอะไรล่ะ รถคว่ำค่ะ รถใคร รถของลูก แล้วใครซื้อรถให้ลูกล่ะ ดิฉันซื้อให้เอง เอ๊า มันทำผิดนี่ จะมานั่งร้องทำไม ควรจะนั่งเขกกบาลตัวเอง เพราะว่าทำผิดซื้อรถให้ลูก แกก็ลุกขึ้นไปเลยๆ คงจะเคือง เรากำลังเสียใจมาพูดทับถมกัน วันหลังพบกันค่อยพูดกันใหม่ นี่เพราะความผิดพลาดที่เราซื้อรถให้ลูก
พ่อแม่ที่มีสตางค์ ขอโทษนะโยมนะ เลี้ยงลูกด้วยเงิน ไม่ได้เลี้ยงด้วยธรรมะ แต่เลี้ยงด้วยเงิน เพราะไม่มีเวลา ลูกต้องการก็รีบๆให้ๆมันไป อย่าให้มันกวนใจนัก ให้ไปๆ ลูกก็เอาไปกิน ไปเที่ยวไปเล่นสนุกสนานเฮฮากันตามเรื่องของมันเพราะว่าได้รถ แล้วก็เอาไปเที่ยว เด็กบางคนนะพอได้รถนี่ พาเพื่อนบรรทุกขึ้นรถไปเชียงใหม่ ไปเที่ยวเชียงใหม่ ลงมาจากเชียงใหม่ไปหนองคาย ไปเที่ยวหนองคาย ข้ามพ้นไปเวียงจันทน์ไปเที่ยวประเทศลาว สมัยก่อนไปได้สะดวก ลงเรือข้ามไป พาไปเที่ยว กลับลงมาถึงกรุงเทพฯ ไปหาดใหญ่ ไปเที่ยวหาดใหญ่ต่อไป แม่ก็เที่ยวตามมันไปไหนก็ไม่รู้ ไปๆมาๆ ผลที่สุดมันก็ไปๆเรื่อยไป การเรียนก็เลว ทิ้งแล้วไม่ได้เรียน
แต่มันดีนิดเดียวที่ไปถึงอุบลแล้วมันวกเข้าวัดได้ เลยไปดูที่วัดหนองป่าพง อ๊ะ วัดป่านานาชาติ ไปเห็นฝรั่งเขามาเดินจงกรม นั่งปฏิบัติธรรมอยู่ เด็กมันก็ เฮ้ย ฝรั่งยังมาปฏิบัติธรรม ยังมาบวชนะ ฉันข้าวมื้อเดียว เวลาฉันก็เรียบร้อย เดินเหินเรียบร้อย เรานี่มันเที่ยวเตลิดเปิดเปิง ทำให้คุณแม่เป็นทุกข์อยู่ ก็เลยไม่ ไม่ได้ หยุดๆ อยู่ที่วัดนั้น หยุดแล้วก็พระทำอะไรก็ไปทำกับพระอยู่เรื่อยไป จนกระทั่งพระสืบรู้เรื่องว่าเป็นลูกเต้าเหล่าใครก็เลยส่งจดหมายมาบอกคุณแม่ บอกว่าลูกชายไม่ได้หายไปไหนหรอกเวลานี้มาอยู่ที่วัดแล้ว ดี แม่ก็ตามไป ตามไปก็พูดจา เขาก็ดี เขารู้สึกตัว ก็ได้ไปรับแสงสว่างจากพระธรรมในวัดป่านานาชาติ รู้สึกตัว
แม่ก็เลยเอาตัวมา เอามาก็มาที่นี่แหละ เอามาบวช บวชเสียที่นี่ บวชอยู่สักเดือนกว่าๆ แล้วก็ลาสิกขา แล้วมันไม่ได้เรียนได้ มันทิ้งไปแล้ว คุณแม่ก็มีสตางค์ไม่เป็นไรลูก ไปเมืองนอก ก็ไปเรียนเมืองนอกต่อไปเรียบร้อยเพราะรู้สึกตัวแล้ว ดีที่ได้ไปพบพระ มันกลับไปกลับมาแวะวัดได้ มันก็พอใช้ได้ นั่นถ้ามันแวะเข้าซ่องไปล่ะก็เสร็จเลย ได้โรคเอดส์ไปเลย เสียหายเท่านั้นเองมันเป็นอย่างนี้ มันน้อยนะที่จะแวะเข้าวัด มันน้อย แต่นั่นมันคงจะมีอุปนิสัย ภาษาธรรมะเขาเรียกว่าอุปนิสัย หรือวาสนาบารมีที่ได้สะสมมาในเวลาชาติก่อน ภพก่อนอะไรก็ตามใจ มันมีความคิด มีนิสัยเลยแวะไปดูวัดหน่อย เลยได้เรื่องเลย แวะไปวัดดีๆ เขาก็ได้เรื่องดี กลับเนื้อกลับตัวมาเป็นคนดีได้ ได้เล่าได้เรียนต่อไป แต่มันน้อยแบบนั้นมันน้อย มักจะเตลิดเปิดเปิงไปนอกลู่นอกทาง ทำให้เสียหายเพราะฉะนั้นหน้าที่ของพ่อแม่นี้ต้องระวัง โดยเฉพาะในสังคมปัจจุบันนี้ ลูกกำลังวัยรุ่น กำลังคะนอง มันต้องระวัง อย่าให้เขามีอะไร ให้เขาลำบากไว้หน่อย ให้ไปโรงเรียนพอจะขึ้นรถเมล์ได้ก็ไปรถเมล์ อย่าไปสงสารว่าลูกจะลำบาก
ความลำบากนี้มันสร้างคนมาหลายคนแล้ว แต่ความสบายนี่ทำลายคนมาเสียมากแล้ว คนที่มีเกียรติ มีชื่อเสียงในโลกผ่านความลำบากทั้งนั้น ลำบากที่สุดในชีวิต เลือดตาแทบกระเด็นกันมาทั้งนั้น แต่มันหลุดพ้นจากความลำบาก จากอุปสรรคข้อขัดข้องมาเป็นคนเก่งของโลกได้
แต่ถ้าเกิดมาสบายก็เรียกว่าคาบช้อนเงินช้อนทองมาตั้งแต่ในท้องคุณแม่ เรียกว่ามีพี่เลี้ยงคอยตามใจ เวลากินข้าวก็พี่เลี้ยงคอยตามป้อน เดินตามไป ไม่ได้นั่งลงกิน พี่เลี้ยงตามใจไป นั่นแหละคือการฝึกให้เด็กไม่รู้จักการบังคับตัวเอง ควบคุมตัวเอง พี่เลี้ยงก็เกรงใจคุณหนู เอาคุณหนู ไม่กินๆ ตามไปให้กิน ไปนั่งอ้อนวอนให้มันกิน มันใหญ่น่ะ ความรู้สึกมันเรียกว่ามีตัวตนมากขึ้น เพราะว่ามีคนคอยเอาอกเอาใจ คนนั้นเอาใจ คนนี้เอาใจ ความฮึกเหิมความเห็นแก่ตัวมันเกิดเพิ่มขึ้น ผลที่สุดใครว่าไม่ได้ สอนไม่ฟัง ตามใจตัวเอง เสียผู้เสียคน
อันนี้คือความผิดพลาดในการอบรมบ่มนิสัยจึงทำให้เกิดความเสียหาย เราอย่าปล่อยลูก ให้เป็นเช่นนั้น ต้องคอยห้ามคอยเตือน คอยพูดคอยจา มีอะไรก็ค่อยพูดค่อยสอน แนะนำพร่ำเตือนแล้วให้พบสิ่งที่ดีที่งาม เอาไปหาคนดีบ้าง ไปเที่ยวสถานที่ที่น่าดูน่าชมบ้าง จึงจะเป็นการดี ได้ทราบว่า ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมชกลับมาจากเมืองนอกใหม่ๆ คือนาย… (36.22) ??? นี้ เขาพูดฝรั่ง ไม่ได้พูดไทยน่ะ คราวนี้ลูกมาถึงเมืองไทยก็บอกอึดอัด มันไม่เหมือนต่างประเทศ ยุง แมลงวัน อะไรต่ออะไรเยอะแยะ เด็กก็บ่นว่า เอ๊ พ่อเมื่อไหร่จะกลับบ้านเสียที มันนึกว่าเมืองนอกนี้คือบ้านของเขา ก็เลยว่า พ่อเมื่อไหร่จะกลับบ้านกันที มาอยู่เมืองนี้มันลำบาก กลางคืนยุงก็กัด ตัวเป็นผื่นแล้ว อะไรต่ออะไร ฝุ่นก็มาก อะไรก็มาก เขาบ่น บ่นให้พ่อแม่ฟัง พ่อแม่ก็นึกว่า เอ๊ แล้วกัน นี่มันบ้านเรานะ แต่ลูกว่าไม่ใช่บ้านเสียแล้วจะทำยังไงก็ต้องไปปรึกษาผู้รู้ ที่มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องเกี่ยวกับเด็กนี้ ไปปรึกษาหมอ เอาอย่างนั้น พาเด็กไปเที่ยวบ้าง พาไปเที่ยววัดพระแก้ว ไปเที่ยวพระปรางค์วัดอรุณ ไปเที่ยวในพระบรมมหาราชวัง ไปที่นั่นที่นี่ ที่เมืองนอกมันไม่มีน่ะ
เอาไปดูไปชม แล้วก็อธิบายให้เขาเข้าใจ ให้เขาเห็นว่าสิ่งต่างๆที่เราได้พบได้เห็นที่บ้านนี้ บ้านเรามันไม่มี เมืองนอกมันไม่มี แล้วให้เขาคิดว่าอะไรมันประเสริฐกว่ากัน ภาพเขียนที่วิจิตรตระการตา เมืองนอกมันไม่เขียน มันเขียนหยาบเอาสีมาป้ายๆๆๆ ก็เรียกว่าศิลปะสมัยใหม่ ดูแล้วไม่รู้ว่าเป็นอะไร ดูกันเป็นนานไม่รู้ ดูใกล้ก็ไม่เห็นถอยลงมาหน่อย ถอยให้มันเป็นรูปคน แต่พอดูใกล้กลายเป็นสีเลอะเทอะฝาไปเสียหมด ศิลปะของเขา ของเรามันมีเส้นมีอะไร ลวดลายท่าทางมันสง่าผ่าเผย สวยงาม เช่นว่าไปดูโบสถ์พระแก้วนี่ เขาได้ยิงลูกศรนี้ ลูกศรมันพุ่งไปเป็นเส้นไปเลย กว่าจะพบนู่นล่ะ
ที่อื่นมันไม่มี ฝรั่งมาดูแล้วทึ่ง ทึ่งในภาพเหล่านั้น ฝรั่งเขาสนใจเขามาดูกัน คนไทยเราไม่เคยดูก็ไม่สนใจ ไม่เห็น ต้องพาลูกไปเที่ยวสุดท้ายมันก็ค่อยจางไป ก็เกิดความรู้สึกว่าโอ้นี่แหละบ้านของเรา บ้านบรรพบุรุษของเรา แล้วก็ค่อยภูมิใจ ในสภาพความเป็นอยู่ในเมืองไทย เพราะเห็นของดีของงามหลายเรื่องก็เปลี่ยนนิสัย รักบ้านรักเมือง นิยมชมชอบในวัฒนธรรม ภาษา วรรณคดีไทยขึ้นมา เรื่องมันเป็นอย่างนั้น คนเราถ้าไปเติบโตที่อื่นกลับมาแล้วก็ไม่ชอบ พูดภาษาไทยก็ไม่อยากพูด เด็กตัวน้อยๆ มันพูดว่า ฉันไม่อยากพูดไทยเลย ภาษาไทยนี่พูดไม่เพราะ เขาฟังแต่ภาษาฝรั่ง พี่เลี้ยงเป็นคนพูดฝรั่ง มันก็ฟังภาษานั้น แล้วมันพูดมันไม่ชอบฟังภาษาไทย แต่ว่าเดี๋ยวนี้โตขึ้นไม่ค่อยพูดฝรั่ง พูดไทยโตแล้วมันรู้สึกแล้ว มันเป็นอย่างนั้น
สภาพสิ่งแวดล้อมทำให้คนเราเปลี่ยนนิสัย เปลี่ยนจิตใจได้ สิ่งแวดล้อมก็ต้องดี แล้วก็พ่อแม่คอยสอนคอยเตือน พามาวัดมาวาบ้าง มาพบพระ ให้เด็กได้คุยกับพระบ้าง เรียกว่ามาเหมือนกับมาของพร พระท่านก็สอนเตือน แนะนำให้เกิดความคิดนึก ในทางที่ถูกที่ชอบก็จะได้ประโยชน์ ควรจะพามาบ้างอย่านึกว่าพาลูกไปดูหนัง ไปสวนสาธารณะ หรือไปบางแสน ไปพัทยาพ่อแม่ก็สบาย ลูกก็สบาย มันได้แต่วัตถุ แต่ไม่ได้คุณค่าทางจิตใจ
วัตถุนี้มันมีเต็มบ้านเต็มเมืองแล้ว แต่ว่าคุณค่าทางจิตใจนี่มันยังมีน้อย เราจะต้องหาทางให้เขาได้เข้าใจเรื่องจิตใจบ้าง ให้ได้พูดได้สนทนาได้อ่านหนังสือ เราก็ต้องชวนเขาอ่านให้เขาอ่านให้เราฟังบ้าง อ่านนี้ให้พ่อฟังหน่อย ให้แม่ฟังหน่อย ความจริงหนังสือธรรมะ เขาอ่านเขาก็พลอยได้ แล้วเราก็พูดเสริม เสริมเติมแต่ง ในเรื่องที่เขาอ่าน มันมีความดีอย่างไร มันคุณค่าอย่างไร ควรจะนำไปใช้ในชีวิตของเราอย่างไร ให้เขาได้เกิดปัญญา เกิดความคิดอ่านค่อยโน้มน้อมไปทีละน้อยๆ
คนเรามันไม่ใช่แข็งกระด้าง เกิดมาไม่มีนิสัยแข็งกระด้าง แต่มันแข็งกระด้างเพราะการอบรมบ่มนิสัยโดยความประมาท ลูกเราก็กลายเป็นคนแข็งกระด้างไป ไม่ยอมรับฟังคำสอน แล้วเราก็ว่ามันดื้อ มันเกิดมาแล้วมันดื้อ การที่ลูกดื้อน่ะใครทำให้ลูกดื้อ ก็พ่อแม่นั่นแหละช่วยกัน ปรุงแต่งให้ลูกเป็นคนดื้อไม่เชื่อฟังใคร เพราะปรุงแต่งผิดทาง เราต้องปรุงแต่งในทางถูกทางชอบ ค่อยพูดค่อยจาแนะนำพร่ำเตือนไป แม้สัตว์เดรัจฉาน เป็นสัตว์ป่าก็ยังฝึกได้โดยอาศัยการค่อยฝึกค่อยสอนจนมันเชื่อง หัดลิงให้ขึ้นมะพร้าวได้ จะเอาลูกไหนก็ได้ทำอะไรก็ได้ ลิงมันเยอะในเขาเมืองเพชรนี่ลิงมันเยอะ จะเอาใครมาปราบลิงได้ เอาคนไปยืนปราบมันก็ไม่เชื่อ มันกัดสายไฟ ทำให้เสียหาย สายไฟ (41.55) ...... เพชรบุรี เลยต้องไปเอาคนเลี้ยงลิงที่สุราษฏร์น่ะ เอาลิงนี่มาหลายตัว ลิงกังตัวใหญ่ๆ เอามาเที่ยวนั่งอยู่ตรงนั้นตรงนี้ ลิงป่าเพชรบุรีว่าไอ้นี่มันใหญ่กว่ากู กูเคยเป็นนักเลงเมืองเพชรมานาน แต่ไอ้นี่มันใหญ่กว่ากู ลิงเหล่านั้นถอยกรูดไปเลย ถอยไปไม่มาทำลายสายไฟต่อไป มันก็มีประโยชน์เหมือนกัน ลิงนี่มันมาปราบลิงได้นะ ลิงพระราม ...... (42.23) มาปราบลิงอื่นได้ เลยไม่มีอันตราย
คราวนี้คนที่ฝึกลิงให้เชื่อฟังนี่ มันสำคัญเขาฝึกได้ แต่ว่าคนๆนั้นอาจจะฝึกลูกชายของตัวไม่ได้ก็ได้ ฝึกแต่ลิง แต่ว่าอาจจะไม่ฝึกลูกชายก็ได้ หรือตัวเองอาจจะควบคุมตัวเองไม่ได้สอนลิงได้แต่ตัวเองอาจจะกินเหล้าตอนเย็นก็ได้ เพราะว่าไม่หักห้ามจิตใจ สอนลิงได้ แต่สอนตัวเองไม่ได้ อันนี้ไม่เก่ง คนที่เก่งคือคนที่ฝึกตัวเองได้ บังคับตัวเองได้ สอนตัวเองให้ละสิ่งชั่วสิ่งร้ายได้ นั่นแหละเป็นคนประเสริฐ
พระพุทธเจ้าท่านก็ว่า “อัตตาทันโส มนุสเสสุ” ในหมู่มนุษย์คนที่ฝึกฝนดีแล้วนั่นแหละเป็นคนประเสริฐที่สุด คนใดฝึกฝนดีแล้วเป็นคนประเสริฐที่สุดในหมู่นั้น แต่ถ้ายังฝึกฝนตนเองไม่ได้ก็ไม่ได้ประเสริฐอะไร เพราะฉะนั้นต้องพยายาม ผู้ใหญ่จะต้องแนะแนวให้แก่เด็ก ฝึกฝนอบรมเขา ค่อยสอนค่อยเตือนวันละเล็กวันละน้อย ถ้าเห็นเขาทำอะไรไม่เหมาะไม่ควรก็บอกว่ามันไม่ถูกต้องนะ อย่างนี้ไม่ดีพ่อแม่ไม่ชอบ ใครเห็นเขาก็หาว่าไม่ดี เขาจะติเตียนค่อยพูดค่อยจา ความคิดถูกต้องมันก็ค่อยเกิดขึ้นในจิตใจของเด็กเหล่านั้นก็จะไม่เสียหาย พอโตขึ้นก็รู้จักควบคุมตัวเองได้ เรียกว่าปล่อยได้
ช้างที่ฝึกดีแล้วเอาไปเดินในตลาดได้ ลิงฝึกดีแล้วก็เอาไปเล่นละครได้ สัตว์ทุกอย่างที่เขาแสดงละคร เขาฝึกดีแล้ว คนก็เหมือนกัน ถ้าฝึกไว้ดีแล้วปล่อยได้ พ่อแม่ไม่ต้องไปตามคุมอยู่เพราะว่าเขาชินกับการบังคับตัวเอง ชินกับการอดทนอดกลั้น ชินกับการเอาชนะความคิดใฝ่ต่ำที่เกิดขึ้นในจิตใจ เขาช่วยตัวเองได้ พ่อแม่ก็สบายใจ เติบโตขึ้นเราจะส่งลูกไปบ้านไหนเมืองไหนไว้ใจได้ ไม่ต้องไปตามคุม เพราะเขาช่วยตัวเองได้พึ่งตัวเองได้ ต้องสอนอย่างนั้น สอนให้ช่วยตัวเอง ให้พึ่งตัวเอง ให้มีจิตเป็นอิสระ พ้นจากความเป็นทาสของอะไรๆ ที่เป็นเรื่องฝ่ายต่ำ สิ่งทั้งหลายก็จะดีขึ้น อันนี้เป็นเรื่องน่าคิดในสังคมในยุคปัจจุบันอยู่มากเหมือนกัน
อีกประการหนึ่งเราทั้งหลายอยู่ด้วยความรับผิดชอบ รับผิดชอบในเรื่องอะไร เรื่องความเสื่อมเรื่องความเจริญของประเทศชาติบ้านเมืองหรือว่าของตัวเราเอง มันตั้งต้นที่ตัว อะไรๆก็ตั้งต้นที่ตัวก่อน ดีก็ตั้งที่ตัวเรา ชั่วก็ตั้งต้นที่ตัวเรา ทุกข์ก็ตั้งอยู่ที่ตัวเรา สุขก็ตั้งต้นที่ตัวเรา คราวนี้เราจะเอาอะไรในชีวิตนี้ ก็ต้องมีความคิดว่าเราจะทำตัวเราให้ดีให้มีประโยชน์ ก็ต้องใช้หลักการว่า หมั่นพิจารณาตัวเอง ตักเตือนตัวเอง แก้ไขตัวเอง หลัก ๓ ประการนี้ ต้องใช้อยู่ตลอดเวลา พิจารณาตัวเองเพื่อให้รู้จักตัวเองถูกต้อง แล้วเมื่อเห็นว่ามันไม่ถูกต้องก็ต้องเตือนตัวเอง แล้วก็แก้ไขตัวเอง ทำควบคู่กันไป ทั้ง ๓ อย่าง พิจารณาแล้ว ก็ตักเตือน ตักเตือนแล้วก็ต้องแก้ไขในส่วนที่บกพร่องให้ถูกต้องไม่ดีไม่งาม อย่าคิดว่าฉันดีแล้ว ฉันสมบูรณ์แล้ว แต่ต้องนึกว่ายังบกพร่องบางอย่าง ยังมีสิ่งที่จะต้องทำให้ดียิ่งขึ้นไปกว่านี้ ให้เจริญกว่านี้ ให้ควบคุมจิตใจได้มากกว่านี้ให้มีความสุขความสงบมากกว่านี้ อันนี้ต้องคิดอย่างนั้น แต่ถ้าคิดว่าฉันดีแล้วมันจะหมดดี ดีมันจะไปตัน เพราะนึกว่าดีแล้ว
แต่ถ้านึกว่ายังไม่สมบูรณ์ ยังไม่เรียบร้อย พระพุทธเจ้าสอนภิกษุว่า ภิกษุทั้งหลายเมื่อเธอยังไม่ถึงจุดหมายของการปฏิบัติ จงปฏิบัติต่อไป อย่าหยุดเพียงเท่าที่ได้ แต่ต้องก้าวหน้าต่อไป จนกว่าจะถึงจุดหมายปลายทาง เพราะจุดหมายปลายทางของการปฏิบัตินั้นอยู่ที่ความหลุดพ้นจากความทุกข์ด้วยประการทั้งปวง
การหลุดพ้นความทุกข์ด้วยประการทั้งปวง เรื่องนี้เรารู้เอง เราเห็นเองว่าเรามีความทุกข์หรือเปล่า เรามีความวุ่นวายใจหรือเปล่า เรามีความวิตกกังวลด้วยปัญหาอะไรๆต่างๆในชีวิตประจำวันหรือไม่ มีหรือเปล่า ถ้าเรารู้ว่ามันมี เราก็ต้องคิดใช้ปัญญาเป็นเครื่องทบทวนพิจารณา เช่นว่ามีความกลุ้มใจขึ้นมาก็ถามว่ากลุ้มใจเรื่องอะไร ทำไมจึงกลุ้ม กลุ้มเพราะอะไร คิดทบทวนไต่ถาม
เพราะถือหลักว่าอะไรๆที่มันเกิดขึ้นมันเกิดภายในตัวเรา เกิดในจิตใจของเรา ในตัวเราไม่ได้เกิดจากอำนาจภายนอก ไม่มีสิ่งใดที่จะมาทำให้เราเป็นอะไร เราเป็นของเราเอง เราสร้างมันขึ้นเราทำมันขึ้น ความทุกข์ก็เหมือนกัน มันทุกข์เพราะเราทำให้มันเกิดขึ้น เราคิดในเรื่องความทุกข์ แล้วเมื่อเราคิดให้เป็นทุกข์ เราคิดถูกหรือว่าเราคิดผิด ถ้าพูดตามหลักธรรมะก็เรียกว่าคิดผิดจึงได้เกิดปัญหา
เรามีอวิชชาครอบงำจิตใจ หรือพูดว่ายๆว่ามีความโง่อยู่ พอโง่แล้วก็คิดผิดพูดผิดทำผิด แล้วเราก็มีความทุกข์มีความเดือดร้อนใจ แล้วทำไมถึงได้โง่ ทำไมถึงคิดแบบโง่ๆ ต้องคิดทบทวนต่อไป สาวไปให้พบต้นตอของมัน เหมือนเราเห็นหญ้าขึ้นในสนามมันเลื้อย จับปลายแล้วก็คลำไปจนถึงโคนมันพอถึงโคนแล้วถอนไม่ได้เพราะรากมันยังอยู่ ต้องขุดลงไปให้พบหัวของมัน เหง้าของมันแล้วก็เก็บรากที่อยู่ในดินให้หมด ต้นนั้นจะไม่ขึ้นในสนามเราต่อไป
ฉันใด สิ่งทั้งหลายที่เกิดในตัวเรานี้ก็เหมือนกัน เราจะต้องคลำไปด้วยสติ ด้วยปัญญา คลำไปจนกระทั่งพบว่ามันมาจากอะไร เราคิดเรื่องอะไร วิตกกังวลเรื่องอะไร ทำไมจึงต้องคิดเรื่องนั้น แล้วเราเป็นทุกข์เพราะอะไร คิดไปทบทวนไปนั่งพิจารณา เขาเรียกว่าเจริญภาวนาเหมือนกัน เจริญภาวนาเพื่อให้รู้แจ้งเห็นจริงในความทุกข์ที่มันเกิดขึ้น คิดไปพิจารณาไปเราก็จะพบด้วยตัวเราเองว่าอะไรเป็นอะไร มันเกิดเพราะอะไร แล้วเราควรเก็บสิ่งนั้นไว้ในตัวเราหรือไม่
เรานั่งอยู่ในบ้านแต่มันมีกลิ่นอะไรเหม็นตุๆอยู่ในบ้านก็ต้องค้นล่ะ เที่ยวดูตามซอกตามมุม ตามใต้โต๊ะ ใต้เตียง ต้องมองแล้ว หนูมันตายอยู่ตรงไหน อะไรมันตายอยู่ตรงไหน ต้องค้นไปจนเจอ พอเจอแล้ว อ๋อ มันอยู่นี่เอง ปล่อยไว้นั่นล่ะ แล้วนั่งดมต่อไป มันถูกต้องที่ไหน พบแล้วก็ต้องเอามา เอาไปในสนามขุดหลุมฝังมันเสีย ให้มันเป็นปุ๋ยของต้นไม้ต่อไป เรียบร้อย เราจะไม่เหม็นต่อไป
ฉันใดในเนื้อในตัวเรานี้ก็เหมือนกัน ความทุกข์เหมือนกับของที่เน่าที่เหม็น เข้ามาคอยจับอยู่ในใจของเราแล้วมันอยู่กับเรา อยู่กับเราเพราะเราไม่มีปัญญา ไม่ได้ศึกษาไม่ได้ทำความเข้าใจในเรื่องนั้น เลยเก็บมันไว้ เก็บมันก็คือนั่งคิดนั่งนึกอยู่เรื่อย คิดเรื่องเดียวเรื่องกลุ้มเท่านั้นเอง แต่ไม่ได้คิดว่าอะไรเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์
ความกลุ้มดับได้ไหมดับได้ จะดับได้โดยวิธีใด ต้องมีวิธีที่จะดับมันอยู่ แต่ว่าเราไม่ได้คิด มีแต่กลุ้มๆๆๆ บางคนมาบอกว่ากลุ้มเหลือเกิน ถามว่ากลุ้มอะไร หลายเรื่อง อ้าว เอามันมาสักเรื่องซิ เรื่องที่กลุ้มหยิบมาให้ดูสักเรื่องซิ หยิบยาก มันไม่รู้ว่าจะหยิบมาอย่างไร ก็เล่าให้ฟังหน่อย ว่ากลุ้มอะไร กลุ้มเพราะไม่มีสตางค์ กลุ้มเพราะเพื่อนหักหลัง หรือว่ากลุ้มเพราะของหาย อะไรต่างๆว่าไปสิ เขาก็เล่าไปให้ฟัง ก็เลยบอกว่ามันหายไปแล้ว แล้วเรากลุ้มนี่มันได้คืนไหม ของเสียแล้วเราไปกลุ้มมันได้คืนไหม
ลูกตายแล้วมานั่งกลุ้มใจ ลูกมันจะฟื้นไหม หรือว่าจะมาบอกแม่ว่า แม่อย่ากลุ้มถึงหนูเลย หนูไปสู่วิมานแล้ว สบายกว่าที่นี่ วิมานสูงกว่าคอนโดมิเนียมเมืองกรุงเทพฯเสียอีก มันก็ไม่มาบอกเสียที แล้วเรานั่งกลุ้มไม่เข้าเรื่อง ตรงนี้ มันเรื่องอะไร มันได้อะไร ซักถามเพื่อให้ให้คำตอบ ตอบว่ามันไม่ได้อะไร กลุ้มไม่ได้อะไรแล้วกลุ้มไปทำไม
เออ ถ้ากลุ้มแล้วมีกำไร ถูกล็อตเตอรี่ ถูกหวย เอ้า กลุ้มไป ไม่เป็นไรมันได้บ้าง แต่นี่มันก็ไม่ได้อะไร แล้วจะกลุ้มทำไม ให้เขาคิดของเขาเอง คิดไปคิดมา เออ ความจริงไม่น่ากลุ้มเลย แต่ว่าดิฉันมันคิดไม่เป็น ผมคิดไม่ได้ เลยมากลุ้ม
นี่เรามันไม่ค่อยมาวัด เวลากลุ้มแล้วไม่มาวัด กลุ้มแล้วไปดื่มเหล้า กลุ้มแล้วไปชวนเพื่อนมาเล่นไพ่ กลุ้มแล้วไปเที่ยวชายทะเล มันจะหายกลุ้มได้อย่างไร มันต้องมาหาคนแก้กลุ้ม คือมาวัดมาคุยกับพระ แต่ไม่ได้มาให้พระสะเดาะเคราะห์ ให้รดน้ำมนต์หรือมาดูหมอ อย่างนั้นมันก็ไม่ได้ ต้องมาปรึกษาว่าจะแก้ปัญหาชีวิตอย่างไร พระท่านก็จะแนะแนวให้ แล้วก็ค่อยสบายใจ เข้าใจเรื่องขึ้นมา ว่าอะไรเป็นอะไร
มันเป็นอย่างนี้ คนเราชีวิตประจำวันมันมีปัญหาเยอะ ปัญหาเราก็สร้างมันขึ้นทั้งนั้น สร้างปัญหา สร้างเหตุให้เกิดปัญหา แล้วก็เอาปัญหานั้นมากลุ้มคิดในทางที่จะไม่สบายใจ แล้วเราก็ไม่สบายใจ เป็นอยู่บ่อยๆในชีวิตจนกระทั่งสุขภาพจิตเสื่อม สุขภาพกายก็พลอยเสื่อมไปด้วย เป็นโรค เป็นโรคซึมเศร้า สมัยนี้คนเป็นมากโรคซึมเศร้า เมืองนอกมันก็เป็นฝรั่งมันเป็นโรคซึมเศร้า แล้วเป็นหนักเข้ามันฆ่าตัวตาย เพราะมันคิดแต่เรื่องไม่ถูกต้อง ไม่มีคำสอนที่เป็นหลักธรรมให้เขาคิดถูกต้อง หรือว่าปลอบใจตัวเองในทางที่ถูกที่ชอบ เขาไม่เข้าใจ เขาซึมเขาเศร้า เขาคิดถึงความหลัง เขาเป็นคนอย่างนั้น เป็นคนอย่างนี้ เคยค้าขาย เคยมีกำไร เดี๋ยวนี้มันไม่มีกำไร ไม่ได้ค้าขาย ความจริงนั้น ถึงไม่ค้ามันก็มีเงินตั้ง ๒๐ - ๓๐ ล้านดอลลาร์อยู่แล้วแต่มันก็ยังกลุ้มใจ อย่างนั้นก็ช่วยไม่ได้ ยังกลุ้มใจในที่สุดก็ตายไปด้วยความน่าสงสาร
บ้านเรามันก็มีเหมือนกันคนที่คิดอย่างนั้นเพราะคิดไม่เป็น ไม่รู้จักปลง ไม่รู้จักวาง ไม่เข้าใจเรื่องธรรมดา ธรรมชาติของชีวิต ว่าเนื้อแท้มันเป็นอย่างไร เราไม่เข้าใจ เลยก็ลำบาก ญาติโยมมาวัดมันค่อยดีขึ้น พอแก้ได้ แก้ทุกข์ได้สบายใจได้พอสมควร เพื่อนฝูงที่ยังไม่ได้มานี่พยายามชวนมาบ้างดึงมาบ้าง ถ้าเห็นคนไหนมีอารมณ์กลุ้มอกกลุ้มใจ เออ ไปวัดกับฉัน พามาด้วย บรรทุกรถมาด้วยเอามา เอามาแล้วมาพบกันหน่อย ถ้าพบกันเป็นการส่วนตัวก็ได้ จะได้คุยกันเฉพาะเรื่อง ให้เขาเข้าใจเรื่องชีวิตถูกต้อง
การรักเพื่อนแล้วก็ช่วยเพื่อนให้คลายจากปัญหา นั่นแหละคือการกระทำที่ถูกต้อง แต่ถ้าเรารักเพื่อนชวนเพื่อนไปสร้างปัญหานี่ไม่ถูกต้อง ชวนเพื่อนไปดื่มเหล้า ชวนเพื่อนไปบ่อนการพนัน ไปเที่ยวกลางคืน ไปซื้อข้าวซื้อของจนเป็นหนี้เป็นสินรุงรังนี่ไม่ได้ช่วยเลย แต่ว่าทำเพื่อนให้ตกต่ำลงไปทุกวันทุกเวลา ชาวพุทธเราต้องช่วยเพื่อนด้วยการดึงเข้าหาธรรมะ เอาธรรมะไปให้เขาบ้าง เอาเทปไปให้เขาฟังบ้าง เอาหนังสือไปให้เขาอ่านบ้าง แล้วถ้าพบกันก็ถามเขาว่าฟังหรือยัง เปิดเทปฟังหรือยัง อ่านหนังสือหรือยัง ถามบ่อยๆ เขาคงรำคาญเลยต้องเปิดฟังเสียหน่อยไม่อย่างนั้นเดี๋ยวถูกถามอีก ถามว่าเขาฟังเขาก็ได้ความรู้ได้ความเข้าใจ ได้อ่านหนังสือได้ความรู้ได้ความเข้าใจ ทำให้เขาดีขึ้น ต้องช่วยกันอย่างนี้
โลกเวลานี้กำลังมืดลงไปทุกวันทุกเวลา เราต้องช่วยจุดดวงประทีปธรรมะส่องโลกให้มันสว่างมากๆขึ้น ให้โลกสว่างด้วยธรรมะจึงจะเอาตัวรอดได้ เป็นเรื่องที่น่าคิดอยู่ จึงขอฝากแนวคิดนี้ไว้กับญาติโยมทั้งหลายด้วย แสดงมาก็พอสมควรแก่เวลา ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ ต่อนี้ไปก็ขอเชิญญาติโยมนั่งสงบใจเป็นเวลา ๕ นาที