แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
พุทธบริษัททั้งหลาย ณ บัดนี้ถึงเวลาของการฟังปาฐกถาธรรมะอันเป็นหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนาแล้วขอให้ทุกท่านหาที่นั่งพักให้สบาย นั่งตรงไหนได้ยินเสียงจากเครื่องขยายเสียงชัดเจนเป็นใช้ได้ แล้วจงตั้งใจฟังด้วยดีเพื่อให้ได้ประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการมาวัดในวันอาทิตย์ตามสมควรแก่เวลา วันอาทิตย์เป็นวันที่เราทั้งหลายถือว่าเป็นวันพระคือเป็นวันประเสริฐสำหรับชีวิต ในสมัยก่อนนี้เราถือวันพระตามทางจันทรคติคือนับจากการเดินของดวงจันทร์ขึ้นแรม ขึ้นแปดค่ำ สิบห้าค่ำ แรมแปดวันดับ ถือว่าเป็นวันพระ แต่ในสมัยนี้เราถือการนับวันตามสุริยะคติคือนับตามการโคจรของดวงอาทิตย์ การนับตามโคจรของดวงอาทิตย์นั้น นับเป็นวันที่ หนึ่ง สอง สาม สี่ เรื่อยไป แล้วก็วันอาทิตย์นี้เป็นวันที่ครบเจ็ดวัน วันจันทร์เป็นเลขหนึ่ง วันอาทิตย์เป็นเลขเจ็ด หรือเอาเลขหนึ่งวันอาทิตย์ก็ได้ เราจึงถือว่าวันอาทิตย์เป็นวันหยุดงานเป็นแบบสากลทั่วไป ไม่ได้เป็นของศาสนาใดศาสนาหนึ่ง แต่ชาวโลกถือกันไปอย่างนั้น เมืองไทยเราก็ได้เปลี่ยนระบบการทำราชการจาการหยุดในวันพระแบบสมัยก่อนมาหยุดในวันอาทิตย์ เพื่อสะดวกแก่การติดต่อกับสังคมภายนอก ก็เราไม่ได้อยู่ชาติเดียวประเทศเดียวในโลกนี้ แต่เราอยู่กับคนอื่นหลายชาติหลายภาษา ทำอะไรให้มันตรงกันก็เป็นการสะดวก ในราชการได้เปลี่ยนให้มาหยุดงานในวันอาทิตย์ ห้างร้านต่างๆก็หยุดวันอาทิตย์ วันอาทิตย์จึงเป็นวันว่างจากงานการทางฝ่ายโลก เราก็ควรถือว่าเป็นวันที่เราควรจะเข้าหาพระ เป็นวันที่เรามาวัด มาศึกษาธรรมะกันจะได้ประโยชน์แก่ชีวิตต่อไป
เพราะว่าเรื่องของธรรมะเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับชีวิต เป็นสิ่งที่เราจะต้องนำใช้ในชีวิตของเราทุกวันทุกเวลา ถ้าเราไม่ได้นำธรรมะมาใช้เป็นหลักคุ้มครองชีวิต เราก็จะกลายเป็นคนที่มีปัญหา มีความทุกข์ มีความเดือดร้อนใจ แล้วเมื่อมีความทุกข์ มีความเดือดร้อนเกิดขึ้นเราก็ไม่รู้ว่าจะแก้ไขปัญหานั้นอย่างไร เพราะเราไม่ได้ศึกษาเรื่องความทุกข์ เรื่องเหตุให้เกิดทุกข์ เรื่องทุกข์เป็นเรื่องแก้ได้ แก้ได้โดยวิธีใดเราก็ไม่ได้ศึกษา ไม่ได้ทำความเข้าใจไว้ ต่อเมื่อมีความทุกข์เกิดขึ้นก็ลำบากและโดยปรกติในชีวิตของเราที่ยังไม่หลุดพ้นจากปัญหามันก็มีความทุกข์ความเดือดร้อนใจเกิดขึ้นบ้างเป็นครั้งๆคราวๆ คือเมื่อใดเราเผลอเราประมาทก็เกิดความทุกข์ความเดือดร้อนใจ แต่ถ้าเมื่อใดไม่เผลอไม่ประมาทก็จะไม่เกิดความทุกข์ความเดือดร้อนใจ ความทุกข์ความเดือดร้อนใจทั้งหลายทั้งปวงนั้นเกิดเพราะเราประมาท ความประมาทก็คือการไม่มีธรรมะเป็นหลักครองใจ คือขาดสติ ขาดปัญญา เป็นเครื่องคุ้มครองจิตใจ เราจึงเกิดปัญหา คือความทุกข์ความเดือดร้อน และเมื่อไม่รู้จักแก้ มันก็มากขึ้นๆ เรียกว่าเป็นดินพอกหางหมู มันก็หนักขึ้นทุกวันทุกเวลา แต่ถ้าเราได้ศึกษาธรรมะ ได้รู้ได้เข้าใจในหลักธรรมะถูกต้อง เราก็จะรู้ว่าอะไรเกิดขึ้นในใจของเรา อะไรตั้งอยู่ในใจของเรา และเมื่อสิ่งนั้นตั้งอยู่สภาพจิตใจเป็นอย่างไร มันร้อนหรือเย็น สุขหรือทุกข์ มืดหรือสว่าง วุ่นวายหรือว่าสงบ เราก็พอจะรู้ทันรู้เท่าต่อสิ่งนั้น แล้วจะได้จัดการแก้ไขสิ่งนั้นทันท่วงที สิ่งนั้นก็จะไม่มีอำนาจครอบงำจิตใจเราได้ เราก็มีชีวิตสงบ เรียบร้อย ไม่มีปัญหา เพราะฉะนั้นจึงต้องแสวงหาสิ่งสำหรับเป็นเครื่องช่วย คล้ายๆกับคนที่เรือแตกตกอยู่ในทะเล ถ้าหากว่าเราว่ายน้ำในทะเลใหญ่ ถ้ามีอะไรเป็นที่กอดที่จับสักเล็กน้อยเราก็อุ่นใจ ได้กระดานสักแผ่นหนึ่งก็อุ่นใจ ได้ไม้ท่อนสักท่อนหนึ่งก็พออุ่นใจ หรือได้อะไรเป็นเครื่องช่วยชีวิตเราก็อุ่นใจ แล้วก็ลอยไปตามกระแสน้ำจนกว่าจะถึงฝั่งอันเป็นเรื่องที่ปลอดภัย
ในชีวิตเรานี้ก็เหมือนกัน เมื่อเราเกิดมามีอยู่ในชีวิต อยู่ในรูป ก็เหมือนกับลอยอยู่ในทะเลใหญ่ที่เรียกว่าโอฆะสงสารหรือสังสารวัฎ สังสารวัฎก็คือการเวียนว่ายอยู่ในวัฎฎะสงสาร วัฎฎะแปลว่าวน เวียนอยู่ในนั้นตลอดเวลา เมื่อเราวนเวียนอยู่ในสงสารอย่างนี้ถ้าเราไม่มีอะไรเป็นเครื่องช่วยชีวิตเราก็ไม่ปลอดภัย เราจึงต้องแสวงหาทุ่นหรือแพ หรืออะไรเป็นเครื่องเกาะสำหรับให้ใจของเราสบายบ้าง สิ่งที่เป็นเครื่องเกาะของเรานั้นในทางธรรมะ เขาเรียกว่าสรณะ สรณะ สรณะแปลว่าที่พึ่ง หรือ
เป็นหลักของใจ เป็นที่พึ่งทางใจ ทำใจให้เกิดความอบอุ่น ไม่เดือดเนื้อร้อนใจมากเกินไป เราผู้นับถือพระพุทธศาสนา จึงถือเอาพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์เป็นสรณะ ดังคำที่เราสวดว่าพุทธังสรณังคัจฉามิ ข้าพเจ้าถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ ธัมมังสรณังคัจฉามิ ข้าพเจ้าถึงพระธรรมเป็นสรณะ สังฆังสรณังคัจฉามิ ข้าพเจ้าถึงพระสงฆ์เป็นสรณะ คือเป็นที่พึ่ง เป็นเครื่องปลอบใจ เป็นเครื่องประโลมใจ เป็นอาหารใจ เป็นแสงสว่างของใจ หรือจะเรียกว่าเป็นยาแก้โรคของใจก็ได้ ผู้ที่มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นหลักใจ ย่อมมีความอบอุ่นทางด้านจิตใจ ไม่ว้าเหว่ ไม่เดือดร้อนใจ ในคัมภีร์สูตรหนึ่งท่านเรียกว่าธชัคคสูตร พระผู้มีพระภาคตรัสเปรียบเทียบเบื้องต้นว่า …… (08.18) พวกเทวดารบกับพวกอสูร เวลาไปรบกับอสูรนี่พวกทหารก็มีความหวาดกลัวในการที่จะออกรบทัพจับศึก พระพุทธเจ้าก็เทวดาที่เป็นหัวหน้าคือพระอินทร์ พระอินทร์ก็บอกว่าในการออกรบถ้าหากว่าท่านมีความหวาดกลัวต่อข้าศึกจเกิดขึ้นในใจก็ให้ดูธงของพระอินทร์ ให้ดูธงของปะชาปะติสสะ (08.51) ซึ่งเป็นแม่ทัพ ให้ดูธงของวะรุณนัสสะ (08.55) ให้ดูธงของอีสาณนัสสะ อีสาณนะ (08.59) แม่ทัพทั้งสี่ พระอินทร์เป็นจอมทัพ ถ้าดูธงเหล่านั้นแล้วก็จะสบายใจ อุ่นใจในการที่จะไปรบ เพราะฉะนั้นทหารของเราจึงต้องมีธงประจำกองทัพ เขาเรียกว่าธงชัยเฉลิมพล เวลาออกรบนี่เอาธงชัยเฉลิมพลไปด้วย เอาไปถือเดินนำไปข้างหน้า ให้ทหารได้เห็นธงเหล่านั้น เมื่อเห็นธงเหล่านั้นก็เรียกว่าชื่นใจ อุ่นใจ เพราะเป็นธงสำคัญของกองทัพ พระพุทธเจ้าบอกกับภิกษุทั้งหลายว่า ภิกษุทั้งหลายเมื่อเธอไปอยู่ในป่า ในเรือนว่าง อยู่ใต้ต้นไม้ หรืออยู่ที่ใดก็ตาม ความหวาดเสียวทางด้านจิตใจอาจจะเกิดขึ้นเพราะว่ายังไม่หมดกิเลส ยังมีความยึดถือในตัวตนอยู่ก็ย่อมจะมีความกลัวเกิดขึ้นในที่เช่นนั้น เมื่อใดมีความกลัวเกิดขึ้นให้เธอนึกถึงพระพุทธเจ้า นึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้าคือนึกว่าอิติปิโส ภะคะวา อะระหังสัมมาสัมพุทโธ ดังที่เราสวดแปลกันอยู่นั่นแหละ หรือว่าถ้าไม่ได้นึกถึงพระพุทธเจ้า ก็ให้นึก
ถึงพระธรรมว่า สวากขาโต ภะคะวะตาธัมโม พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว ถ้าไม่นึกถึงพระธรรมก็ให้นึกถึงพระอริยะสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยการนึกว่า สุปะฏิปันโน ภะคะวะโตสาวะกะสังโฆ พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง ปฏิบัติเป็นธรรม ปฏิบัติเพื่อออกจากทุกข์ เมื่อเธอนึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ความหวาดกลัวทั้งหลายที่เกิดขึ้นในใจนั้นก็จะหายไป ไม่ทำให้เรากลัวต่อไป อันนี้เป็นเครื่องทำใจให้อุ่น ให้สบาย คนเราเวลาเดินทางเปลี่ยวในป่าใหญ่หรือป่าเล็กก็ตาม หรือว่าเราเวลาค่ำคืนมันมืด ไม่มีแสงสว่าง เราอยู่คนเดียวจิตก็ฟุ้งซ่าน จิตที่ฟุ้งซ่านนั้นก็อาจจะคิดนึกไปว่า จะมีอันตราย แล้วก็มีความกลัว หนูมันวิ่งบนเพดานเสียงดังกรอกแกรกก็กลัว อะไรมีเสียงก็กลัวทั้งนั้น ความกลัวนั้นเกิดขึ้นในใจ ทำไมเราจึงกลัวเพราะเราไปนึกถึงสิ่งที่ให้เรากลัวอันนี้ท่านให้เปลี่ยนแนวคิดเสียคืออย่าไปนึกสิ่งที่ทำให้กลัว แต่ให้ไปนึกถึงพระพุทธเจ้า เช่นเราภาวนาว่า พุทโธ พุทโธ ก็ได้ หรือภาวนาอิติปิโส ภะคะวา อะระหังสัมมาสัมพุทโธภะคะวา อะไรที่เราสวด สวดแปลไปเลยก็ได้ นั่งสวดมนต์ไปตลอดเวลา ความกลัวนั้นก็จะหายไปจากใจของเรา ทำไมมันจึงหายไป เพราะเราไม่ได้คิดถึงสิ่งที่เรากลัว คนเราเวลากลัวอะไรก็เพราะเราคิดถึงสิ่งนั้น เรากลัวผีก็เพราะเรานึกถึงผี เรากลัวสัตว์ร้ายก็นึกถึงสัตว์ร้าย เรากลัวผู้ที่พยาบาทอาฆาตจองเวรเพราะเราไปทำเวรทำกรรมไว้กับใครๆแล้วเราก็นึกว่าคนนั้นมันจะย่องมาทำร้ายเรา มายิงเรา มาฆ่าเรา เราก็เกิดความกลัว สะดุ้งหวาดเสียวขึ้นในจิตใจ ในเวลาเช่นนั้นเราจึงควรจะเปลี่ยนความคิดหันมานึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เรียกว่าภาวนา คนโบราณเขาจึงให้คาถาสำหรับภาวนากันนั่นกันนี่ ก็ไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไร แต่ว่าเป็นเรื่องการเปลี่ยนอารมณ์ เปลี่ยนความคิดทางจิตใจให้เราหายกลัวนั่นเองเป็นการดับความกลัวชั่วคราว ยังไม่เป็นการดับอย่างถาวร ความกลัวจะสิ้นไปจากใจเราอย่างแท้จริงนั้นก็เมื่อเราเกิดมีปัญญา มีปัญญารู้ว่า ไม่มีอะไรที่น่ากลัว ไม่มีอะไรที่น่าเอา ไม่มีอะไรที่เป็นตัวตนถาวร มันเป็นแต่เพียงสิ่งซึ่งเกิดขึ้นจากเครื่องปรุงเครื่องแต่ง ไหลไปตามอำนาจของการปรุงแต่ง แล้วมันก็ดับไป เกิดอีก ดับอีก เกิดดับ เกิดดับ อยู่ตลอดเวลา ไม่มีส่วนใดที่จะเป็นอันตรายแก่เราหรือจะมาทำร้ายเรานั้นไม่มี ถ้าเรานึกอย่างนั้นเรียกว่าคิดด้วยปัญญา เมื่อคิดด้วยปัญญาก็ค่อยเห็นแจ้งแทงทะลุในสิ่งนั้น ความกลัวนั้นก็หายไป พระพุทธเจ้าก็ดี พระอรหันตสาวกของพระพุทธเจ้าก็ดี ไม่มีความกลัวแล้ว เพราะท่านไม่มีตัวจะให้กลัว อยู่ในป่าก็เหมือนกับอยู่ในบ้าน อยู่ที่ไหนเหมือนกัน มืดหรือสว่างก็เหมือนกันเพราะไม่มีความคิดในเรื่องความกลัวอะไรในใจของท่าน แต่ว่าคนธรรมดาเรายังไม่บรรลุคุณธรรมชั้นนั้นยังมีความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนอยู่ แล้วก็ยังยึดติดในสิ่งที่เขาสมมุติว่ามีสิ่งนั้นว่ามีสิ่งนี้ เราก็ยังมีความกลัวอยู่ เช่นว่าในบ้านๆหนึ่งเขาบอกว่าเป็นบ้านผีดุ ความจริงไม่ได้มีผีดุอะไรหรอก บ้านนั้นมันเป็นบ้านตึกใหญ่ๆแล้ว
ข้างบนมันมีเพดาน บนเพดานนั้นมีหนูหรือมีสัตว์บางอย่างอาศัยอยู่ พอกลางคืนมันก็เคลื่อนไหวเสียงดังอย่างนั้นอย่างนี้ คนที่ไปนอนก็ได้ยิน ไอ้อารมณ์กลัวผีมันมีอยู่ในใจแล้วพอได้ยินเสียงอะไรก็สะดุ้งขนลุกขนพองแล้วก็นึกว่าผีดุ ความจริงไม่มีผีอะไรสัตว์บนเพดานมันเลื้อยคลานมันเคลื่อนไหวก็เกิดเสียงขึ้น แล้วเรานึกว่าเป็นผี ถ้าเราเข้าใจความจริงว่านั่นมันเป็นเสียงหนู หรืออาจจะเป็นเสียงนก หรือเป็นเสียงค้างคาว ที่อาศัยอยู่บนเพดานมันเคลื่อนไหวก็ได้ เราก็ไม่กลัวเพราะเราเข้าใจ เมื่อเราเข้าใจเราก็ไม่เกิดความกลัว เราก็นอนหลับสบายไม่มีปัญหาอะไร คนเราที่กลัวเราก็นึกถึงสิ่งนั้น เช่นเรากลัวผีก็นึกถึงผี สร้างภาพขึ้นในใจว่าผีรูปร่างอย่างนั้นจะมาหลอกเรา รูปร่างที่เราสมมุติก็มักจะเป็นโครงกระดูก เพราะเราเคยเห็นโครงกระดูก ความจริงโครงกระดูกไม่ใช่ผี ผีไม่ใช่โครงกระดูกอย่างนั้น แต่มันเป็นเรื่องที่เราสร้างขึ้นในใจของเราสำหรับหลอกตัวเราเองให้กลัวให้ตกใจ แต่ถ้าเราไม่คิดอย่างนั้น สิ่งนั้นก็ไม่มี ความกลัวก็ไม่เกิดขึ้นจากความรู้สึกอย่างนั้นก็สบายใจ เพราะฉะนั้นเวลาที่เรามีความทุกข์มีความหวาดเสียวในเรื่องอะไร ก็ควรจะใช้ปัญญาพิจารณาในเรื่องนั้นให้ถูกต้องให้รู้ว่าสิ่งนั้นมันคืออะไร มันมีจริงๆหรือเปล่า หรือเพียงสักแต่ว่าเป็นสิ่งสมมุติ สร้างขึ้นชั่วครั้งชั่วคราว แล้วมันก็ไม่เป็นอันตรายแก่เรา ไม่มีพิษมีภัยแก่เรา เราก็ไม่ต้องกลัว เราทำใจให้สบาย แล้วเราก็หลับนอนได้โดยไม่ต้องสะดุ้งหวาดเสียว หลับได้อย่างสนิทใจ อันนี้เป็นตัวอย่างในเรื่องอย่างนั้น เพราะฉะนั้นคนเรานี้ต้องอยู่อย่างชนิดที่เรียกว่ามีที่พึ่ง มีหลักใจ ศาสนาจึงเป็นที่พึ่งที่เป็นหลักของใจ
ทุกศาสนาก็มีสิ่งให้คนเอามาเป็นหลักใจเรียกว่าสรณะด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าศาสนาไหน แต่พุทธศาสนาเรานั้นก็ถือว่าพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เป็นหลักใจอย่างสำคัญ เป็นที่พึ่งอันสูงสุดของเราทั้งหลาย อันนี้เราจะพึ่งพระพุทธเจ้า พึ่งพระธรรม พระสงฆ์ให้ถูกต้อง ก็ต้องหมายความว่าเข้าใจคุณค่าของสิ่งนั้น พระพุทธเจ้าที่เราหมายถึงนั้น หมายถึงคุณค่าของพระพุทธเจ้า พระธรรมก็เหมือนกันหมายถึงคุณค่าของพระธรรม พระสงฆ์ก็หมายถึงคุณค่าของพระสงฆ์ หรือพูดอีกอย่างหนึ่งว่าหมายถึงคุณงามความดีที่มีอยู่ในองค์พระพุทธเจ้า ที่มีอยู่ในองค์ธรรม ในองค์พระสงฆ์ เราก็เอาความดีนั่นแหละมาเป็นเครื่องเตือนจิตสะกิดใจ มาคิด มานึก หรือเอามาใช้เป็นหลักปฏิบัติในชีวิตประจำวัน ทำให้เราไม่ต้องกลัวต่อสิ่งนั้น อันนี้คนเรายังต้องการสิ่งประเล้าประโลมใจหรือปลอบจิตปลอบใจ เขาจึงสร้างวัตถุอะไรขึ้นแทน เช่นสร้างพระพุทธรูปองค์น้อยๆให้เรามาไว้กับเนื้อกับตัว แล้วเราก็มีความเชื่อว่าสิ่งนี้จะช่วยเราได้ ความเชื่ออย่างนั้นความจริงก็ยังไม่ถูกต้องทีเดียว ถ้าให้ถูกต้องก็ต้องนึกว่าสิ่งนี้เป็นเครื่องเตือนใจให้เราคิดถึงพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า แล้วเราเอาพระธรรมนั้นมาเป็นเครื่องปลอบโยนจิตใจ ทำให้ใจเรามีปัญญา มีความรู้ ความเข้าใจในเรื่องเหล่านั้นถูกต้องขึ้นมา แล้วเราก็ไม่มีความหวาดกลัวต่อสิ่งเหล่านั้น อันนั้นจึงจะเป็นการถูกต้อง แต่ถ้าเรานึกว่าสิ่งที่เรามีอยู่กับตัวนั้นจะคุ้มครองเรา จะรักษาเราให้ปลอดภัย ความคิดเช่นนั้นยังไม่ถูกต้อง ยังไม่ตรงต่อความเป็นจริง ให้คิดแต่ว่าสิ่งนี้เป็นภาพจูงใจ ล่อใจ ให้เราคิดถึงเนื้อแท้ของสิ่งนั้นเท่านั้นเอง เหมือนกับว่าเรามีรูปถ่ายของคนที่เราเคารพนับถือ เช่นรูปคุณพ่อ คุณแม่ คุณปู่ คุณตา คุณย่า คุณยาย หรือรูปใครๆก็ตามที่เราเคารพบูชาในคุณงามความดีของท่าน เราก็เอารูปนั้นมาไว้ที่บ้านที่เรือนเรา เราก็ไปเห็นรูปนั้น เมื่อเห็นรูปนั้นเราจะต้องมองให้ทะลุรูปนั้นเข้าไป ไม่มองเพียงแต่รูปเฉยๆ เพราะรูปเฉยๆนั้นก็คือกระดาษกับสีเท่านั้นเอง แต่ว่าเรามองทะลุรูปนั้นเข้าไป ทะลุไปถึงคุณธรรม ความงาม ความดีของท่านผู้นั้น ด้วยเรานึกว่าคนๆนี้เป็นคนดีอย่างไร มีธรรมะเป็นหลักใจอย่างไร มีความประพฤติดีประพฤติชอบอย่างไร เรามองให้เห็น และเมื่อเห็นคุณงามความดีนั้นแล้ว เราก็น้อมเอาความงามความดีนั้นมาใส่ไว้ในใจของเรา ทำใจเราให้มีความงามความดีอย่างนั้น ความงามความดีที่เราเอามาใส่ไว้ในใจนั้นแหละจะช่วยรักษาใจให้ปรกติ จะช่วยคุ้มครองป้องกันไม่ให้เกิดอันตรายภายในอันตรายนอก อันตรายภายในก็คือการคิดผิดนั่นเอง ความคิดผิดเป็นอันตรายภายในแล้วมันก็ไปแส่หาอันตรายภายนอก เช่นไปคบคนผิด ไปสู่สถานที่ผิด ไปทำอะไรผิดๆ แล้วก็เกิดเป็นปัญหาคือความทุกข์ความเดือดร้อนใจ
นั่นก็เพราะว่าเราไม่มีคุณธรรมเป็นหลักครองใจ แต่ถ้าเรามีคุณธรรมเป็นหลักครองใจอยู่ สิ่งนั้นก็จะไม่ทำร้ายเรา เพราะเราคิดอะไร พูดอะไร ทำอะไร ก็คิดเป็นธรรมะ พูดเป็นธรรมะ คบหาสมาคมกับใครก็ใช้ธรรมะเป็นหลักในการคบหาสมาคม เราจะไปไหนเราก็ใช้ธรรมะเป็นเครื่องพิจารณา ว่าไปไหน ไปทำไม ไปเพื่ออะไร ไปแล้วเราจะได้อะไร สิ่งที่ได้จากการไปสถานที่นั้นคืออะไร เป็นบุญหรือเป็นบาป เป็นกุศลหรือเป็นอกุศล ทำให้เราร้อนหรือทำให้เราเย็น ทำให้เราเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ ให้วุ่นวายหรือให้สงบ เราก็พิจารณา ถ้าพิจารณาแล้วเห็นว่าไม่ได้เรื่องอะไร ไปแล้วก็สร้างปัญหาคือความทุกข์ความเดือดร้อนแก่ชีวิตของเราเปล่าๆ เราก็บังคับตัวเอง ควบคุมตัวเองไม่ให้ไปที่นั้น ไม่ให้กระทำสิ่งนั้น ไม่ให้พูดสิ่งนั้น เราก็ปลอดภัย ความปลอดภัยมันเกิดขึ้นก็เมื่อเราปฏิบัติธรรม แล้วตัวธรรมะที่เราเอามาปฏิบัตินั่นแหละจะคุ้มครองเรา รักษาเราให้อยู่รอดปลอดภัยด้วยประการทั้งปวง อย่างนี้เป็นการถูกต้อง แต่ถ้าหากว่าเราไม่อย่างนั้น เราคิดว่าสิ่งนั้นมีฤทธิ์ มีเดชศักดิ์สิทธิ์ อย่างนี้เรียกว่าคิดไม่ถูกต้อง สิ่งนั้นไม่สามารถจะช่วยเราได้ เราจะต้องเข้าถึงเนื้อแท้ของสิ่งนั้น สิ่งนั้นจึงจะอยู่กับเราและช่วยเราให้อยู่รอดปลอดภัยไม่เกิดความเสียหาย อันนี้เป็นเรื่องสำคัญ และถ้าเราเข้าใจเรื่องสำคัญอย่างนี้ เราก็ไม่ต้องไปลงทุนซื้อหาวัตถุที่เขาทำขึ้นด้วยราคาแพง เพราะไม่ต้องแพงก็ได้ ไม่ต้องของคนนั้นคนนี้ก็ได้ แต่ว่าเป็นภาพเตือนจิตสะกิดใจให้เราได้คิดได้นึกในทางที่ถูกที่ชอบ เช่นรูปพระพุทธรูปก็ไม่ต้องเอาว่าต้องสมัยนั้น ต้องสมัยนี้ ต้องทำด้วยผู้นั้นด้วยผู้นี้ ต้องมีการปลุกเสกอย่างนั้นอย่างนี้ อันนั้นเป็นเรื่องสมมุติทั้งนั้น ไม่ใช่เรื่องแท้ แต่เรื่องที่แท้จริงเมื่อปั้นเป็นรูปแทนพระถูกต้องก็เป็นอันใช้ได้ ไม่ต้องปลุกไม่ต้องเสกอะไร เราเอามาไว้เป็นเครื่องเตือนจิตสะกิดใจ ให้ได้คิดถึงข้อปฏิบัติของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ สิ่งนั้นก็จะช่วยคุ้มครองเราอย่างถูกต้อง รอด ปลอดภัย รวมความว่าความปลอดภัยจึงอยู่ที่ความเข้าใจธรรมะถูกต้อง และอยู่ที่การปฏิบัติธรรมถูกต้อง ถ้าเราไม่เข้าใจเราก็ปฏิบัติไม่ถูก เมื่อปฏิบัติไม่ถูกก็ไม่ปลอดภัย ยังมีพิษมีภัยอยู่ในตัวเรา และอาจดึงพิษภัยมาจากผู้อื่นสิ่งอื่นต่อไป เพราะเรามีเครื่องล่อที่ไม่ถูกต้อง แต่ถ้าเราเป็นผู้ที่มีธรรมะเป็นหลักครองใจ เราเรียกว่ามีเครื่องล่อที่ถูกต้อง สิ่งถูกต้องก็จะไหลมาหาเรา เกิดเจริญงอกงามขึ้นในตัวเรา เป็นเกราะป้องกันตัวเราให้พ้นจากภัยอันตราย ไม่มีปัญหาเป็นความทุกข์ เป็นความเดือดร้อนใจ ความกลัวต่างๆก็จะหายไปจากใจของเรา ด้วยความคิดที่ถูกต้องอย่างนี้ จึงขอให้ญาติโยมได้เข้าใจความหมายของสิ่งที่เรามีเราใช้ให้มันเป็นความถูกต้องโดยความเป็นธรรม
ความเป็นธรรมนั้นมันอยู่ธรรมะอย่างเดียว ในทางคำสอนของพระพุทธเจ้าเราเรียกว่าพระธรรม ธรรมะมันมีทั่วไปในคัมภีร์ทุกคัมภีร์ คัมภีร์ของใครใครก็เรียกว่าเป็นธรรมะทั้งนั้น แต่เขาไปตั้งชื่อให้มันแปลกว่าเป็นธรรมะผู้นั้นเป็นธรรมะผู้นี้ แล้วทำให้คนเข้าไปยึดไปติด เป็นเหตุให้เกิดแยกเขาแยกเรา มีตัวเขามีตัวเรา เกิดความแตกแยกแตกร้าวเป็นพรรคเป็นพวกแล้วก็ทำการทะเลาะเบาะแว้งกัน ดังปรากฏเป็นข่าวอยู่ในโลกนี้บ่อยๆ ว่ามีการแตกแยกกัน รบกัน ที่รบกันอยู่แถวตะวันออกกลางไม่รู้จักจบจักสิ้นนั้นก็ไม่ใช่เรื่องอะไร เรื่องของศาสนาที่คนนับถือ พวกหนึ่งนับถือมุสลิม พวกหนึ่งนับถือคริสเตียน แล้วก็แบ่งกันเป็นสองฝักสองฝ่ายไม่เข้าหากัน ไม่ลงรอยกัน ฆ่ากันตายไปหลายพันแล้ว เป็นหมื่นคนแล้ว แล้วยังฆ่ากันอยู่ต่อไป การที่เป็นเช่นนั้นเรียกว่าเป็นการไม่ถูกต้อง คนเหล่านั้นไม่เข้าถึงธรรมะของศาสนาที่ตัวนับถือ มุสลิมก็ไม่เข้าถึงธรรมะของมุสลิม คริสเตียนก็ไม่เข้าถึงธรรมะของคริสเตียน ไปยึดเอาแต่เปลือกนอกเอามาใช้ในชีวิตประจำวัน เถียงกันเรื่องเปลือก ทะเลาะกันเรื่องเปลือก แต่ไม่เข้าถึงแก่นแท้ ความจริงเมื่อเข้าถึงตัวธรรมะแล้วเหมือนกันหมด ธรรมะไม่ได้แตกต่างอะไรกัน เพราะว่าตัวธรรมะนั้นไม่มีสีมีสรร ไม่มีอะไรทั้งนั้น เป็นแต่ข้อปฏิบัติที่เรานำมาใช้ในชีวิตประจำวันแล้วก็ทำให้เราเจริญก้าวหน้าด้วยคุณธรรม ไม่มีอะไรเป็นเครื่องแตกแยกแตกร้าว แต่ว่าคนไม่ค่อยถึง ที่ไม่ถึงก็เพราะว่าผู้นำในทางศาสนา คือว่าอาจารย์นั้นแหละ เป็นคนสอนคนให้เกิดความหลงใหลเข้าใจผิด ให้ถือเขาให้ถือเรา ให้เกิดการแตกแยกแตกร้าวกันในหมู่คน อันนี้เขาเรียกว่าสอนไม่ถูกต้อง เป็นการสอนผิดจากหลักความจริงไป จึงทำให้เกิดปัญหา
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของชาวเราทั้งหลายนั้นไม่สอนคนให้แตกแยก ไม่ให้คนแบ่งพรรคแบ่งพวก แต่ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ดังปรากฏอยู่ในพระสูตรสูตรหนึ่งเขาเรียกว่าอุบาลี อุบาลีโอวาทสูตร สูตรนี้เกี่ยวกับคนชื่ออุบาลี ไม่ใช่พระอุบาลี แต่เป็นคฤหัสถ์ชื่ออุบาลีคฤหบดี เป็นเศรษฐีใหญ่ในเมืองนั้นเหมือนกัน แต่ว่าท่านผู้นี้นับถือศาสนาไชนะ ศาสนาไชนะนี้เป็นของท่านมหาวีระ ท่านมหาวีระนี่ก็เป็นกษัตริย์เหมือนกัน เหมือนกับเจ้าชายสิทธัตถะซึ่งเป็นกษัตริย์แล้วออกไปบวช เป็นการแหวกแนวเพราะว่าคนที่สอนธรรมะสอนวิชาการต่างๆนี้มักจะเป็นพวกพราหมณ์ พราหมณ์เขารับเหมาเอาหมดในเรื่องอย่างนั้น ผู้สอนก็ต้องเป็นพราหมณ์ แต่ว่าเจ้าชายสิทธัตถะก็ดี มหาวีระก็ดี ท่านเป็นเชื้อกษัตริย์ เจ้าชายสิทธัตถะเป็นพวกศากยะวงศ์เมืองกบิลพัสดุ์ ส่วนมหาวีระนั้นเป็นพวกกษัตริย์อยู่ในเมืองซึ่งเรียกในสมัยนี้ว่ามา (31.03) อยู่ใกล้กรุงราชคฤห์ ผู้นี้เกิดเติบโตขึ้นก็มีความคิดในทางศาสนาที่ไปในรูปเปลี่ยนแปลง รูปเปลี่ยนแปลงไม่เหมือนของเดิม เพราะเห็นว่าควรจะพัฒนา มีความคิดเหมือนพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็เที่ยวสอนศาสนาอยู่ในคราวเดียวกัน รุ่นเดียวกัน อ่อนกว่าพระพุทธเจ้า๘ปีเท่านั้นเอง จึงออกบวชและเที่ยวสอน ก็มีลูกศิษย์เยอะ เดี๋ยวนี้ก็ยังมีลูกศิษย์อยู่มากในประเทศอินเดีย โดยมากเป็นพวกพ่อค้าในเมืองใหญ่ๆมีมาก คนเหล่านี้เคร่งศาสนา ไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มเหล้า ไม่เที่ยวกลางคืน ไม่เล่นการพนัน ทำมาหากิน กินอยู่อย่างประหยัดอดออม ก็เป็นหลักธรรมที่ดีอยู่เหมือนกัน นักบวชของศาสนานี้มี๒พวก พวกหนึ่งนั้นนุ่งผ้าขาว แต่พวกหนึ่งนั้นเขาเรียกว่านุ่งลมห่มฟ้าคือไม่นุ่งผ้าเลย ไปไหนก็ล่อนจ้อนไปอย่างนั้นแหละ ภาชนะก็ไม่มี บาตรสำหรับใส่อาหารก็ไม่มี เวลาไปบิณฑบาตก็เอามือรับจากชาวบ้าน รับแล้วก็มากิน กินตรงนั้น ไม่นั่ง ยืนกินอยู่ตรงนั้นแหละ กิน กินจนอิ่ม เวลากินน้ำแกงก็ไหลไปตามข้อศอก เปื้อนไปถึงแข้งถึงขา ไม่เป็นไร ไม่สนใจเรื่องภายนอก แล้วก็ฉันอิ่มแล้ว ชาวบ้านก็เอาน้ำมาให้ล้างมือ แล้วก็เอาน้ำมาล้างน้ำแกงที่แปดเปื้อนด้วย แล้วก็เช็ดให้เรียบร้อย แล้วท่านก็ไปอยู่ในป่า ไม่ค่อยไปไหน อยู่แต่ในป่าเงียบๆ ปฏิบัติทางด้านจิตใจ อุบาลีคฤหบดีในสมัยนั้นมีความเลื่อมใสพวกนี้ เรียกว่าพวกนิครนถ์มีความเลื่อมใสมากปฏิบัติบำรุงอยู่ตลอดเวลา แต่ว่าได้ข่าวว่าพระพุทธเจ้านี้แสดงธรรมไพเราะในเบื้องต้น ท่ามกลาง ที่สุด ก็อยากไปฟังธรรมของพระพุทธเจ้า แต่ว่าเป็นคนเรียบร้อย เคารพในครูบาอาจารย์ที่ตนนับถือจึงไปลา ไปลาครูอาจารย์ว่าจะไปฟังธรรมพระพุทธเจ้า แต่ว่าครูอาจารย์บอกว่าจะไปทำไมพระพุทธเจ้าท่านก็สอนเหมือนที่เราสอนนั่นแหละไม่ต้องไปก็ได้ ห้ามไม่ให้ไป
ครั้งที่สองอยากจะไปฟังอีก ก็ไปลา อาจารย์ก็ห้ามไม่ให้ไป พอครั้งที่สามก็นึกในใจว่าเราไปลาแล้วก็ไม่ได้ไป อาจารย์ห้ามทุกที ไม่ต้องลาแล้ว ไปเลย เลยก็ไป ไม่ต้องลาอาจารย์ ไปเฝ้าพระพุทธเจ้าฟังธรรม ฟังธรรมนี่ไม่ใช่ว่าพระพุทธเจ้าพูดผู้เดียวพระพุทธเจ้าถามตอบ ถามตอบ ในพระสูตรทางคัมภีร์พุทธศาสนานี่ถ้าเป็นเรื่องคนที่แปลกมาฟังธรรมนี่มักจะใช้วิธีถามตอบ แล้วเขาบันทึกไว้เรียบร้อยว่าถามอย่างไร ตอบอย่างไร ถามกันไปถามกันมาจนเข้าใจแจ่มแจ้งด้วยปัญหาทั้งหลาย แล้วก็มีความปลื้มใจอยากจะเป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้า ก็อยากจะแสดงตนเป็นพุทธมามกะ แต่ว่าพระผู้มีพระภาคบอกว่าคหบดีท่านเป็นคนมีเกียรติมีชื่อเสียงในเมืองสาวัตถีคนหนึ่ง ใครๆก็รู้จักท่าน แล้วท่านก็เคยเป็นศิษย์ของพวกนิครนถ์มาก่อน แล้วท่านจะทิ้งมานับถือเรานั้นคนทั้งหลายจะนินทาว่าร้าย ว่าเป็นคนใจง่ายใจเบา เปลี่ยนศาสนา เปลี่ยน ครูเปลี่ยนอาจารย์ได้ง่าย อย่าเลย ไม่ต้องทำอย่างนั้นหรอก อันนี้น่าฟัง เจอพระพุทธเจ้าท่านไม่ปรารถนาลูกศิษย์ ใครมาแสดงก็บอกให้คิดให้ดีก่อน คิดให้รอบครอบ อุบาลีคฤหบดีได้ฟังเช่นนั้นก็ยิ่งเลื่อมใสมากขึ้น กราบทูลว่าข้าพระองค์นี้ถ้าจะไปสำนักใดนี่เขาต้องยกธงต้อนรับตั้งแต่ต้นทาง แสดงความยินดีปรีดาว่าอุบาลีคฤหบดีมาสำนักของเรา เขาต้อนรับกันเป็นการใหญ่ แต่ว่าข้าพระองค์มาสำนักพระพุทธองค์นี่ ไม่มีอะไร ไม่มีการตื่นเต้น ไม่มีการต้อนรับด้วยวิธีการใดๆทั้งนั้น มาเฉยๆ มานั่งฟังธรรมเท่านั้นเอง แล้วว่ามีความเลื่อมใสอยากจะเป็นลูกศิษย์ พระองค์ก็ยังห้ามอีก การเป็นเช่นนี้ทำให้ข้าพระองค์ยิ่งเลื่อมใสมากขึ้น เพราะพระองค์ไม่เหมือนครูอาจารย์ทั้งหลายที่สอนอยู่ในประเทศนี้ เขาอยากได้ศิษย์ อยากได้ลูกศิษย์ร่ำรวย อยากได้คนเก่งๆ ถ้าเป็นสมัยนี้ก็อยากได้รัฐมนตรีมาเป็นลูกศิษย์ อยากให้นายกมาเป็นลูกศิษย์ อยากให้เถ้าแก่ใหญ่มาเป็นลูกศิษย์ ถ่ายรูปคู่กันแล้วเอาไปติดฝาไว้อวดใครต่อใครว่านี่นะฉัน ไม่ใช่ย่อยนะ พระองค์เจ้านั้นก็มาหา คนนั้นก็มาหา เอาไปติดไว้ในห้องรับแขก ใครไปใครมาจะได้เห็นว่าโห้อาจารย์นี่ไม่ใช่ย่อยนะ คนนั้นมาเป็นลูกศิษย์ คนนี้มาเป็นลูกศิษย์ โฆษณา โฆษณามากๆนี้มันก็ยุ่งเหมือนกัน ทีนี้พระพุทธเจ้าก็เฉยๆ แล้วห้าม เขาจึงประกาศว่ายิ่งมีความเลื่อมใสมากขึ้น ข้าพระองค์ต้องแสดงตนเป็นพุทธมามกะ เลยแสดง พอแสดงตนเป็นพุทธมามกะแล้ว พระพุทธเจ้าเตือนอย่างไร น่าฟัง ตรงนี้น่าฟัง เป็นประโยชน์มาก พระองค์บอกว่า คฤหบดีสมัยหนึ่งท่านเคยเป็นลูกศิษย์ของพวกนิครนถ์ บ้านของท่านเปิดสำหรับคนเหล่านั้นอยู่ตลอดเวลา เขาได้มารับอาหารจากบ้านท่าน ท่านให้การต้อนรับอย่างดี เมื่อท่านมาเป็นลูกศิษย์เราแล้วประตูบ้าน อย่าปิด ...... (38.22) นักบวชเหล่านั้นจะมาที่บ้านท่านให้ท่านต้อนรับเหมือนเดิม เคยเลี้ยงเคยดูอย่างไรให้ทำอย่างนั้น อย่ารังเกียจเดียดฉันท์ในครูอาจารย์เก่าๆให้ต้อนรับขับสู้อย่างเดิม อุบาลีก็อึ้ง ปลื้มใจมากในการตรัสของพระพุทธเจ้า ลุกขึ้นแสดงความเคารพกลับบ้าน พวกนิครนถ์ทั้งหลายมาที่บ้านก็ต้อนรับอย่างดี ไม่ได้แสดงอาการรังเกียจเดียดฉันท์อะไร แล้วเขาพูดธรรมะให้ฟังก็ฟังด้วยความเคารพ ไม่รังเกียจ อันนี้เป็นหลักของพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าท่านไม่สอนให้คนแตกแยกแตกร้าว ไม่ต้องการลูกศิษย์ ไม่ต้องการให้ใครมาประกาศตนแล้วโฆษณา ซึ่งผิดกับในสมัยนี้ สมัยนี้ครูบาอาจารย์มักจะหวงแหนลูกศิษย์ มาวัดนี้แล้วไม่อยากให้ไปวัดไหน หนังสือของสำนักอื่นก็ไม่อยากให้อ่าน ให้อ่านแต่ของสำนักเดียว สำนักอื่นอ่านไม่ได้ ไม่ให้ไปหามาสู่ อันนี้มีอยู่ในสมัยหนึ่งที่เชียงใหม่ โยมชื่น สิโรรส เดี๋ยวนี้อายุ๙๘แล้วยังแข็งแรง อาตมาไปเยี่ยม
วานซืนเป็นผู้อุปถัมภ์พุทธนิคม ก่อนนี้มีพระมาอยู่ก่อน พระมาอยู่พระธุดงค์มา ท่านก็เลื่อมใสให้การต้อนรับขับสู้เลี้ยงดูอย่างดี แล้วก็พระมีหนังสือพุทธศาสนาของไชยามาด้วย โยมแกก็ได้อ่าน อ่านแล้วก็เลื่อมใสในกิจการของท่านพุทธทาส ก็เลยคิดว่าจะต้องไปเยี่ยมเยียน ไปศึกษา ก็ไปกราบลาอาจารย์เหล่านั้น อาจารย์เหล่านั้นก็ห้ามไม่ให้ไป บอกว่าโยมจะไปทำไมมันไกล บอกว่าพวกอาตมามาอยู่ใกล้แล้วโยมจะเอาอะไรก็ได้ ท่านพุทธทาสก็ไม่ได้สอนอะไรต่างไปจากที่อาตมาสอนหรอก ห้ามไม่ให้ไป แต่ว่าโยมอยากจะไป แต่ครั้งแรกไม่ไปเอง ส่งลูกชายกับลูกเขยให้ไปเยี่ยมท่านคุณให้ไปดูว่าท่านอยู่อย่างไร สอนอะไร ลูกชายกับลูกเขยก็ไป ไปอยู่สองสามวันแล้วกลับมาเล่าให้ฟัง โยมก็ยิ่งอยากไปมากขึ้น เลยก็ไปลาอาจารย์เหล่านั้น อาจารย์เหล่านั้นก็เห็นว่าห้ามไม่ไหวแล้วก็อยากจะไปมาก แต่ว่าส่งพระอาจารย์องค์หนึ่งคุมไปด้วย คุมโยมไปด้วย เป็นพี่เลี้ยงไป ไปด้วย โยมก็ไป เมื่อไปแล้วกลับมา พอกลับมาพระองค์ที่เป็นพี่เลี้ยงไปนะ ไปเที่ยวพูดตามบ้านญาติโยมเชียงใหม่ บอกว่าท่านพุทธทาสไม่มีอะไรหรอก ขุดบ่อล่อปลาเท่านั้นเอง ขุดบ่อล่อปลาโยมฟังเข้าใจ? ขุดบ่อล่อปลา? คือว่าพวกจับปลาในหนองนี้มีปลาก็ไปขุดบ่อข้างหนอง ขุดบ่อแล้วก็ทำทางให้ปลาเดิน อันนี้ทางที่จะให้ปลาเดินนั้นต้องทำให้น้ำไหล น้ำไหลไป พอน้ำไหลไปปลาก็เห็นว่า เอ่นี่น้ำใหม่ ถ้าจะมีหนองใหม่ๆ เราขึ้นไปตามทางนี้แหละ ปลาก็ไต่ไปตามเส้นทางที่น้ำไหล ไปแล้วก็ตกบ่อ ในบ่อนั้นมันขุดไว้ลึก ปลาขึ้นไม่ได้ เลยปลาตกบ่อ เมื่อปลาตกบ่อคนก็มาจับปลานั้นไปแกง ไปต้มยำกินกัน นี่เขาเรียกว่าขุดบ่อล่อปลาอันนี้พระอาจารย์พวกนั้นไปคุยกับญาติโยมเมืองเชียงใหม่ เกือบจะทุกบ้านที่คุ้นเคยว่า ท่านพุทธทาสนะไม่มีอะไรหรอกขุดบ่อล่อปลาเท่านั้นเอง หมายความว่าตั้งสำนักเพื่อลาภเพื่อผล เพื่อต้องการดึงคนให้ไปหา ซึ่งความจริงไม่ใช่อย่างนั้นเลย ท่านพุทธทาสท่านไม่ได้โฆษณาตัวท่าน ไม่ได้โฆษณางานของท่านให้คนรู้คนเห็น คนโฆษณาก็คือหลวงพ่อนี่เอง คนจะได้รู้จักสวนโมกข์ ได้ไปหาท่านพุทธทาสนี่เพราะหลวงพ่อเป็นผู้โฆษณา ทางวิทยุ ทางโทรทัศน์ ที่ไหนก็พูดบ่อย คนก็อยากไปศึกษา อยากไปเยี่ยมไปเยียน ท่านเจ้าคุณเองท่านเฉยๆ ท่านไม่สนใจ ไม่โฆษณา แม้คนไปหาแล้วท่านก็ไม่ได้พูดเรื่องอื่น พูดแต่ธรรมะให้ฟัง ไม่ได้สนใจเรื่องอะไร ท่านทำอะไร สร้างอะไรอยู่ ใครไปก็ไม่ได้เรี่ยไร ไม่ได้บอกว่านี่โยมกำลังสร้างอยู่ ไม่เสร็จ ก็เงินมันยังไม่พอ ไม่มี ไม่เคยพูดคำเช่นนั้น คนไปเห็นเอง เขาทำบุญเอง ก็เท่านั้นเอง ที่อื่นที่พูดเรี่ยไรบ้างก็อาตมาพูดให้ทางวิทยุ ทางโทรทัศน์ บอกว่าวัดต้องการจะซื้อที่ดิน สร้างสำนักปฏิบัติธรรมให้แก่ชาวต่างประเทศซึ่งต้องใช้เงินหลายล้านอยู่ ก็เลยโยมก็มาทำบุญที่นี่ส่งไปถวายท่าน ได้ซื้อ ได้จับ ได้สร้างเรียบร้อย ท่านไม่พูด ทำบุญอายุแปดสิบปีก็ไปขออนุญาตบอกว่าจะประกาศหน่อย ให้คนมาทำบุญที่ตรงนั้นตรงนี้ บอกไม่ได้ ผิดหลักการ สวนโมกข์ไม่เคยประกาศเรื่องจะเรี่ยไร มันไม่ได้เรี่ยไรหรอก ประกาศให้รู้ว่าจะทำบุญที่ตรงไหน ท่านบอกว่านั่นแหละเรี่ยไรแล้ว เรี่ยไรอยู่แล้ว ไม่ต้องพูด ใครอยากจะทำบุญเขาหาเอาเอง ไม่พูด ตลอดงานไม่พูดเลย คนเขาไปเขาอยากจะทำเขาก็เที่ยวถามทำบุญตรงไหน เขาบอกว่าไปตรงนั้น ทำบุญแล้วก็ได้แจกหนังสือไปคนละหอบคนละหอบ ทำบุญมากก็ได้หนังสือกองใหญ่หิ้วกันไม่ไหว เป็นอย่างนั้น ไม่มีการโฆษณาตัวท่านเอง จึงไม่มีใครสนใจเรื่องอื่น สนใจแต่เรื่องธรรมะ เป็นอย่างนั้น อันนี้บางแห่งนั้นชอบโฆษณาเรื่องอะไรต่างๆ มันก็เกิดปัญหาบางเรื่องเหมือนกันเพราะการโฆษณา โยมไม่ค่อยแยกแยะ(45.36)ดีนัก แต่ว่าการโฆษณานี่ถ้าพอเหมาะพอดีก็ไม่เป็นไร ไม่เสียหาย
พระพุทธเจ้าไม่สอนให้คนแตกแยกแตกร้าวแต่สอนให้เกิดความรักความสามัคคี เวลาออกไปบิณฑบาตตอนเช้า ถ้าผ่านสำนักของอาจารย์อื่น เขาเรียกว่าอัญญเดียรถีย์ เดียรถีย์แปลว่าท่า ท่าน้ำ อัญญเดียรถีย์หมายถึงท่าอื่น มันมีหลายท่า ท่าบางรัก ท่าสาธร ท่าวัดระฆัง ท่าช้าง มันอย่างนั้นแหละมันหลายท่า ครูบาอาจารย์นี่ก็เป็นท่าๆ เรียกว่าเดียรถีย์ เป็นคำกลาง แต่ถ้าพูดว่าอัญญเดียรถีย์ก็หมายความว่าท่าอื่น พระองค์ก็ไปพบกันสำนักใดก็แวะเข้าไปคุยกัน คุยธรรมะกัน คุยกัน บางทีก็ลงรอยกันได้ แต่บางทีคุยกันไม่ลงรอย ถ้าไม่ลงรอยพระองค์ก็ไม่ว่าอะไร แต่พูดว่าท่านมีความคิดเห็นอย่างนี้มาเสียนานแล้ว พูดอย่างนั้น แล้วไป ไม่ได้โกรธเคืองอะไร แล้วก็ไม่ได้แย่งบริษัทกัน ไม่ได้แย่งลาภผลสักการะอะไรกัน อยู่กันด้วยความเรียบร้อย อันนี้เป็นหลักการที่ถูกต้องเราควรจะอยู่กันอย่างนั้นไม่เป็นศัตรูกับใคร ไม่เป็นปฏิปักษ์คนละปีกกับใคร แต่เราถือว่าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ทุกสำนักเป็นสำนักเผยแผ่ธรรมมะ วิธีการอาจจะผิดกันบ้าง ไม่เป็นไร แต่ว่าจุดหมายคือต้องการให้คนเข้าถึงธรรมะ ให้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ก็สอนไปตามลำดับ แต่อย่าสอนให้คนยึดถือจนกระทั่งถือเขาถือเรา แล้วก็เกิดความรู้สึกแตกต่างระหว่างนิกาย ระหว่างสำนัก อะไรอย่างนั้น มันเป็นการสอนที่ไม่ถูกต้อง เช่นเรื่องนิกายเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง ถ้าเราสอนให้คนยึดถือแล้วก็ไม่ถูกต้อง มันกลายเป็นสร้างกำแพงกั้น ไม่ให้คนเข้าถึงกัน พระพุทธเจ้าไม่ให้สร้างกำแพง แต่ให้รื้อฝา ให้รื้อกำแพงออกจากกัน ให้คนทุกคนได้เห็นกัน ได้ยิ้มกัน ได้เข้าใจซึ่งกันและกัน อยู่กันอย่างพี่อย่างน้อง เขาเรียกว่าเป็นสหธรรมิก หมายความว่าเป็นผู้ประพฤติธรรมร่วมกัน ขูดเกลาเหมือนกัน เพื่อหลุดพ้นจากความทุกข์ความเดือดร้อนร่วมกัน เราไม่ถืออย่างนั้น ไม่ถือเขาถือเรา ถือพรรคถือพวก ถือนิกายนั้นถือนิกายนี้ ถืออาจารย์นั้นถืออาจารย์นี้ แล้วยกอาจารย์ไปเที่ยวข่มอาจารย์อื่นมันก็ไม่ถูกต้อง การยกตนข่มท่านก็เป็นกิเลส การอวดก็เป็นกิเลส เป็นสิ่งที่ไม่ควรจะทำ เราทำแต่สิ่งที่เป็นธรรมะเป็นเครื่องขูดเกลาจิตใจให้สะอาดสว่างสงบยิ่งๆขึ้นไป จึงจะเป็นการใช้ได้ อันนี้ขอให้ญาติโยมเข้าใจไว้
อันนี้ตอนท้ายนี้ก็จะขอประกาศข่าวให้ทราบกันนิดหน่อย พระธรรมทายาทที่มาอบรมอยู่ที่นี่ ทุกวันอาทิตย์จะเห็นพระนั่งเต็มลานไผ่ แต่วันนี้ไม่มีเพราะว่าพระเหล่านี้ได้เดินทางไปหนองคายเพื่อไปปฏิบัติงานที่นั่นเป็นเวลาหนึ่งเดือน ที่จังหวัดหนองคายอาตมาไม่ได้ไป ท่านเจ้าคุณเมธีวราภรณ์ไปแทน เขาต้อนรับขับสู้แข็งแรง คือว่าผู้ว่าราชการจังหวัด ท่านเจ้าคณะจังหวัดมารับที่สถานีรถไฟ รับแล้วก็เดินไป เดินไปจนถึงวัดโพธิ์ชัย ท่านผู้ว่ากับท่านเจ้าคณะจังหวัดเดินนำ พระเดินตามเป็นแถวพาไปพักที่วัดโพธิ์ชัย แล้วก็ให้ชาวบ้านมาใส่บาตร พระได้ขบได้ฉันแล้วก็ยังพาพระไปเที่ยวชมบ้านชมเมือง เรียกว่าจะออกเดินทางไปตามอำเภอ เวลานี้ออกแล้ว ออกเดินทางไปอำเภอต่างๆเพื่อสอนประชาชนในท้องถิ่นนั้นๆ ครบหนึ่งเดือนก็จะแยกย้ายกันกลับบ้านต่อไป อันนี้เป็นข่าวให้โยมได้สบายใจว่าเราได้เลี้ยงพระไว้ชุดหนึ่ง แล้วพระชุดนั้นก็ได้ออกไปทำงาน แล้วได้ความรู้ ความเข้าใจ นำกลับไปใช้เป็นประโยชน์ที่วัดของตัวต่อไป นี่เป็นเรื่องหนึ่ง
อีกเรื่องหนึ่งก็คือว่า วัดปัญญานันทารามที่ได้ซื้อที่ไว้ ซื้อไว้เป็นที่๑๘ไร่ คือเขาให้๖ไร่แล้วก็ซื้อเพิ่มเข้าไป๑๒ไร่ เมื่อวันที่๑๘นี้มีคนมาถวายเพิ่ม แต่ไม่ได้ถวายทั้งหมด ขอ๔ล้าน อาตมาก็รับ เลยไปโอนโฉนดกันเรียบร้อยแล้วเป็นเงิน๔ล้านบาท รวมค่าธรรมเนียมด้วยก็เป็นสี่ล้านเก้าหมื่นเจ็ดสิบเก้าบาทเป็นค่าธรรมเนียม เพราะผู้ที่โอนให้บอกว่าดิฉันไม่เสียอะไรทั้งหมด ขอเพียงสี่ล้านเท่านั้น ค่าธรรมเนียมค่าอะไรก็หลวงพ่อจะต้องจ่ายเอง บอกว่าไม่เป็นไร ไม่มีก็ช่างเถอะ เพราะว่าเขาถวายเพิ่มเป็น๘ไร่ เป็น๘ไร่ทั้งหมด ให้เปล่า๖ล้านเหลือนั้นคิดราคาเป็น๔ล้าน บอกว่า๔ล้านบาทั้งหมดแล้วกัน ก็เลยจัดการโอนให้เป็นการเรียบร้อย เวลานี้จึงได้เนื้อที่ทั้งหมด๒๕ไร่กว่า แต่ไปดูเขตดูอะไรไว้เรียบร้อย แล้วก็จะจัดทำการสร้างกันต่อไป เวลานี้กำลังออกแบบทั้งบริเวณว่าควรจะทำอย่างไรบ้าง ควรจะเว้นไว้เป็นป่า ไอ้ที่ที่ได้รับใหม่นี้เป็นสวนอยู่บริเวณหนึ่ง ก็จะทิ้งให้เป็นสวนอยู่อย่างนั้น ไม่ทำลายต้นไม้ ให้แต่ว่าแผ้วถางให้สะอาดให้เรียบร้อยเท่านั้นเอง อันนี้บอกให้ญาติโยมทั้งหลายได้รับทราบ จะได้มีความชื่นใจในกิจกรรมที่ทำเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขแก่ส่วนรวม ต่อนี้ไปก็ขอเชิญญาติโยมนั่งสงบใจเป็นเวลา ๕ นาที