แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ณ บัดนี้ ถึงเวลาของการฟังปาถกฐาธรรม อันเป็นหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนาแล้ว ขอให้ทุกท่านอยู่ในอาการสงบ อย่ามัวเดินไปเดินมาให้วุ่นวาย หาที่นั่งนั่งให้เรียบร้อย แล้วก็ตั้งใจฟังด้วยดี เพื่อให้ได้ประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการฟัง ตามสมควรแก่เวลา
วันนี้เป็นวันที่ ๙ เดือนพฤษภาคม ก็มีวางอะไรระเกะระกะไว้หน่อย เพราะว่าตอนบ่ายนี้จะมีการอภิปราย เรื่องบางเรี่องที่จะให้ญาติโยมฟัง แต่ว่าจะมีคนฟังสักกี่คนก็ยังไม่แน่เหมือนกัน ถ้าโยมที่มาตอนเช้าอยู่ก็หลายคน ถ้าโยมกลับเสียมันก็เหลือน้อย คนพูดก็ขายหน้าหน่อย เพราะว่าพูดให้คน ก็ไม่มีคน ก็ไม่สบายใจ อันนี้ถ้าโยมไม่มีธุระอะไรก็ช่วยกันก่อน ช่วยกันอยู่เพื่อฟังการอภิปรายในเรื่องที่เป็นสาระ เป็นประโยชน์สำหรับผู้เฒ่าผู้แก่ ชื่อเรื่องอะไร อ้อ ... ว่าอย่างไรเมื่อวัยดึก เรื่องคนแก่ เรื่องของคนแก่จะอยู่เย็นเป็นสุขได้อย่างไร
มีคนพูดหลายคน และก็หลายความคิดความเห็น ก็จะเป็นประโยชน์ตามสมควร รับประทานอาหารแล้วก็มาฟังกันที่นี่ แต่ว่าตอนพระฉันอาหารนี่ก็มีคนพูดเหมือนกัน แต่พูดที่โน่น ที่นั่นไป เป็นหมอ พูดแต่เรื่องคนแก่ๆ เพราะว่าวันทำบุญคนแก่ ทำบุญอายุที่ก็ฉลองความแก่นะ ฉลองความแก่ แก่มาแก่น้อย แก่แปดสิบ แก่แปดสิบสอง แก่แปดสิบเจ็ด ฉลองความแก่ เพื่อให้สบายใจกัน แต่ว่าตัวคนที่เป็นเจ้าของอายุในวันเกิดมันชักจะเหนื่อยเหมือนกัน ก็คนนั้นมา คนนี้มา มันก็ไม่ได้พักได้ผ่อน ความจริงวันเกิดนี่ไม่ควรจะยุ่งอะไร แต่ว่าวันที่ ๑๑ นี่คงจะไม่ยุ่ง ก็มีนิดๆหน่อย ก็ไปตรวจโรคที่โรงพยาบาล โรงพยาบาลเปิดตรวจโรค ตรวจละเอียด ปวดหัวใจ ตับ ไต ไส้ พุง ปวดกระดูกกระเดี้ยว ปวดอะไรทุกอย่าง ตรวจกันอย่างเรียบร้อย ใครจะไปตรวจก็ไปที่โรงพยาบาลชลประทาน เขาทำการตรวจให้เปล่าๆ ไม่ได้คิดมูลค่า เพื่อเป็นการฉลองอายุของผู้ที่ช่วยสร้างตึก ๘๐ ปีปัญญานันทะ ก็ให้ไปตรวจกัน ญาติโยมให้บอกคนแก่ๆที่ว่าจะตรวจอะไร ก็ให้มาตรวจมาเช้าๆก่อน ๘ โมง เพราะว่าตอน ๘ โมงก็ตรวจพระก่อน ไม่กี่รูปหรอก เสร็จแล้วก็ตรวจญาติโยมชาวบ้าน แล้วก็มีคนพูดอธิบายอะไรให้ฟัง ในเรื่องเกี่ยวกับชีวิต เกี่ยวกับร่างกาย ว่ามันมีอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง ควรจะระมัดระวังอย่างไร จะรักษาเนื้อรักษาตัวอย่างไร ก็เป็นเรื่องดีมีประโยชน์ ควรจะไปรับฟังกันที่โรงพยาบาลชลประทาน ถ้ามารถจากโน่นก็แวะได้เลย ประตูชลประทานเข้าไปถึงได้เลย มาจากปากเกร็ด ก็แวะทางขวามือเข้าไปได้เลย ไปเซ็นขื่อเสร็จต้องการให้เขาตรวจ เขาก็ตรวจให้ไม่เสียค่าสตางค์ เรียกว่าทำบุญกับผู้เกี่ยวข้องกับโรงพยาบาล แม้แต่ช่างโรงพยาบาลก็ตรวจให้ ตามเวลาที่กำหนดไว้ ก็เป็นเรื่องพิเศษสำหรับญาติโยมทั้งหลาย
เมื่อวันที่ ๑๑ นี่ก็เป็นวันที่อาตมาเกิดขึ้นมามองดูโลก เกิดตอนเช้า คุณโยมบอกว่าเวลาพระออกบิณฑบาต เกิดเวลาพระออกบิณฑบาต บ้านนอกออกบิณฑบาตไม่เช้าเกินไป ขนาด ๗ โมงกว่าๆ พวกหมอดูจะผูกดวงให้ ถามว่าเกิดเวลาไหน บ้านนอกมันมีเวลานาฬิกาดูกันเมื่อไหร่เล่าว่าเกิดเวลาไหน แต่เขาก็บอกว่าเกิดเวลาพระออกบิณฑบาต ก็เดาๆกันไปว่า ๗ โมงเช้า หรือ ๗ โมงครึ่ง อะไรก็ตามใจ มันไม่สำคัญอะไรเวลานั้น เกิดออกมาแล้วก็ใช่ได้ แต่ว่าหมอก็จะผูกดวงให้ แต่ก็ผูกแล้วก็ดวงก็อยู่ที่หมอ ไม่ได้เอามาใส่ย่ามใส่กระเป๋าไว้ ก็ไม่ได้จำเป็นอะไร เกิดวันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๔๕๔ ปี ๒๔๕๔ นี่คนเกิดมายุ่งๆอยู่หลายคนเหมือนกัน แต่ว่าเกิดก่อนก็มี เกิดหลังก็มี หม่อมคึกฤทธิ์นี่เกิดก่อนอาตมา ๒๑ วัน แกเกิด ๒๐ เมษา แล้วก็ท่านจอมพลถนอมนี่เกิดหลังอาตมา ๓ เดือน เกิดวันที่ ๑๑ เหมือนกัน แต่ ๑๑ เดือนสิงหาคม ก่อนวันประสูติพระบรมราชินีนาถแต่ว่าคนละรอบ และก็มีหลายคนที่รู้จักกันนี่เกิดเดือน ก็ไล่เลี่ยกัน ก็ล้วนแต่เป็นคนที่ดีๆทั้งนั้น ยังไม่ได้ไปถามในคุกว่าใครเกิดปีนั้นบ้าง ก็คงมีบ้างในคุก เกิดปีกุน ๕๔ เดี๋ยวก็คงจะมีในคุก มันไม่แน่ เวลาเกิดเดือนเกิดน่ะมันไม่แน่ มันไม่ใช่ดีอยู่ที่วันเกิดเดิอนเกิดปีเกิด แต่มันดีอยู่ที่การกระทำของบุคคลผู้นั้นเอง วันเวลาไม่สำคัญ แต่สำคัญว่าตัวผู้นั้นประกอบชีวิตอย่างไร ได้ทำกิจอะไรบ้างที่เป็นประโยชน์ตามสมควรแก่ฐานะ นี้อาตมาก็นั่งพิจารณาตัวเอง ใกล้ถึงวันเกิดก็นั่งพิจารณาตัวเอง ว่าเรานี้เกิดมาในสภาพอย่างไร
นึกไปย้อนหลังไปถึงสภาพเด็กๆ สภาพเป็นความเป็นอยู่ของสังคมในบ้านนั้นเมืองนั้น คือสังคมเมืองพัทลุงในปี ๒๔๕๔ มันมีสภาพอย่างไร ก็เป็นบ้านนอกอยู่ห่างไกลตัวเมืองตั้ง ๑๕ กิโลเมตร เป็นทุ่งนาทั้งนั้น และก็มีภูเขาหลายลูก ภูเขาเมืองพัทลุงนี่ใครไปเห็นก็แปลก เพราะว่ามันเป็นภูเขาอยู่ในทุ่งนา คนทำนาจนถึงเชิงเขา ไม่เหมือนภูเขาในจังหวัดอื่น ที่มันค่อยสูง สูงขึ้นจนไปเต็มภูเขา แต่เมืองพัทลุงนั้นภูเขามันอยู่ในนาทั้งนั้น ข้างภูเขาก็เป็นนาเป็นพรุปลูกข้าวได้ จนกระทั่งปัจจุบันนี้ ทำไมสภาพมันเป็นอย่างนั้น ก็เพราะว่าในสมัยประมาณซักพันปีมาแล้วที่แถวนั้นมันยังเป็นทะเล เป็นทะลสาบ ยังไม่ได้ตื้นเขินขึ้นมา ภูเขานั้นก็คือเกาะในกลางทะเลนั้นเอง เป็นหย่อมเป็นหย่อมไป ต่อมาดินมันมาพูนขึ้นสูงขึ้นเพราะฝนตกชะดินมาจากภูเขาทำให้ดินสูงขึ้น ไอ้เรื่องดินชะมาจากภูเขาแล้วมาถมที่ลุ่มให้เป็นที่ดอนเห็นได้ง่าย เพราะว่าดินภูเขาหน้าสถานีรถไฟพัทลุงนั้น สมัยเมื่อเป็นเด็กมันเป็นพรุลึกมาก เวลาจะทำนาไม่ต้องไปไถ ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น เพียงแค่ไปฟันต้นกกออก แล้วมันก็เป็นโคลนอยู่แล้ว พวกทำนาก็เอาข้าวไปปลูกกันนั่นเอง กอเท่าๆชามข้าวได้รวงข้าวดีมาก เวลาเก็บเกี่ยวนี่ก็ลำบากเพราะลงไปเก็บในโคลน ต้องมีเรือเข็นไปคอยเก็บข้าวเพราะว่าโคลนมันลึก แต่ว่าเดี๋ยวนี้สถานที่แถวนั้นกลายเป็นที่ตื้นเขินเต็มไปหมด ดอนไปซะแล้ว ไม่เป็นที่ลุ่มต่อไป บริเวณไม่ใช่เล็กน้อยกว้างขวาง เป็นพรุใหญ่แต่ว่าตื้น ใช้เวลาห้าหกสิบปีเท่านั้นเอง น้ำพัดพาเอาทรายมาจากภูเขามาถมเต็มไปหมด แล้วในลำห้วยแต่เขาเรียกว่าคลอง ความจริงมันไม่ใช่คลอง คลองมันเป็นที่ที่เขาขุดขึ้นเช่นคลองสุเอซ คลองปานามา อะไรนี่มันเป็นคลองตามฝรั่ง แต่คนไทยเราเรียกว่าคลอง คลองในสมัยก่อนนี่มันมีวังลึกๆ น้ำลึกมากเห็นปลาชอบไปอยู่ แต่เดี๋ยวนี้ไอ้วังเย็นๆอย่างนั้นไม่มีแล้ว เพราะว่าน้ำมันตื้นทรายมันมาถมวังเหล่านั้นหมด ลำคลองหรือว่าแม่น้ำก็ตื้น ถ้าฝนตกใหญ่มันก็ไหลล้นไปท่วมนาท่วมไร่ ก็ตัวลำคลองมันตื้นขึ้นมาเพราะมีทรายทับถม ทรายมีเยอะถ้าอยู่ใกล้กรุงเทพก็โกยมาขายร่ำรวยกัน แต่ที่นั่นมันไกล เขาก็ขุดขายเหมือนกัน แต่มันขายในวงจำกัดทรายปริมาณมันมาก นี่คือความเปลี่ยนแปลงของภูมิประเทศ
สมัยนั้นมีป่าอยู่ใกล้ๆบ้าน ทางทิศเหนือของบ้านนั้นมีป่าต้นยางต้นเท่าๆนี้ เป็นร้อยๆยางมาก แล้วเย็นๆนี้นกกระหู้ นกเป็นไหล นกกา นกกระทุง นกจาง นกหลายประเภทมาจับอยู่ที่ต้นยาง เสี่ยงดังสนั่นหวั่นไหว กามันร้องนกอื่นมันก็ร้อง เวลาเดินจูงควายผ่านป่ายางก็ได้ยินเสียงนกก้องไปหมด นกเหล่านั้นมันมาจับอยู่ที่ยอดยาง แล้วมันก็ถ่ายมูลลงมาในนา นาแปลงเหล่านั้นก็ทำเป็นที่หว่านกล้าก่อนที่จะเอาไปปักดำ กล้าที่หว่านในนาใต้ป่ายางนั้นไม่ต้องใส่ปุ๋ย เพราะปุ๋ยของนกมันใส่ไว้เยอะแล้ว พอหว่านไปมันก็ขึ้นเขียว เขียวชะอุ่มเขียวจนเกือบจะใบดำ แล้วก็ถอนไปดำนาที่อื่น ป่ายางนั้นเป็นเป็นป่าใหญ่ แต่ว่าเดี๋ยวนี้มันไม่มีเหลือซักต้นเดียว มันมีคนไปโค่นเอาไม้ไปทำตลาดทำร้านทำบ้านหมด นกก็ไม่มีอยู่แล้วมันหนีไปหมด เมื่อก่อนนี้ป่ายางนั้นเป็นที่ศักดิ์สิทธ์ เขามีศาลาเล็กๆเรียกว่าศาลาทวด คำว่าทวดนี้หมายถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวปักษ์ใต้นับถือ จะเป็นป่าเป็นเกาะหรือจะเป็นอะไรก็ตาม เขาเรียกว่าทวดนั้นหมายความว่าเป็นที่ศักดิ์สิทธิ์ คนผ่านไปผ่านมาก็ต้องกราบต้องไหว้ โนราห์เดินผ่านไปถึงตรงนั้นต้องหยุดตีเครื่อง บรรเลงหน่อย หนังตะลุงเดินผ่านตรงนั้นก็หยุดบรรเลงเครื่องหน่อยแสดงความเคารพต่อศาลานั้น เดี๋ยวนี้ศาลาก็ไม่มีแล้วเพราะมันผุพังไป แล้วก็ไม่มีใครสร้างให้อีกต่อไป เพราะว่าป่าหมดแล้วทวดก็คงจะย้ายทะเบียนไปอยู่อื่นแล้ว ก็เลยไม่มีใครสร้าง นี่สภาพสิ่งแวดล้อม
ในทุ่งนั้นจะเห็นวัวควายอยู่เป็นฝูงกินหญ้าอยู่ในทุ่ง ควายก็มากวัวก็มาก และพวกเด็กๆก็นุ่งผ้ามั่งไม่นุ่งผ้ามั่ง เที่ยวไล่ควายอยู่ตามแถวนั้น บางคนก็นุ่งผ้าขาวม้านิดนึง บางคนเจริญหน่อยก็ได้นุ่งกางเกง แต่บางคนก็กูไม่ต้องนุ่งก็ได้ไม่เป็นอะไร แล้วก็เดินตัวล่อนจ้อนถือไม้เรียวเล็กๆไล่ต้อนควายต้อนวัวของตัว ตอนเย็นก็ตอนเข้าบ้านไปอยู่ในคอกขังไว้ในคอก มันก็อยู่กันเรียบร้อย แต่ว่าผู้ร้ายก็ชุกชุมเหมือนกัน มาลักวัวลักควายกันบ่อยๆ มาลักทีละตัวสองตัวบ้าง บางทีก็ต้อนไปทั้งฝูงเลย เปิดคอกต้อนกลางดึกพาไปเลย แต่ว่าน้อยเพราะว่าลำบากในการต้อน กลางคืนเอาไปทีละตัวจูงไป เชือกผูกหัวผูกคอแล้วก็จูงไป แล้วถ้าตัวใดเจาะจมูกมีเชือกอยู่มันก็เข้าไปดึงเชือกพา เอาไปฆ่าไปแกงกินเป็นอาหาร แต่ว่าถ้าเจ้าของตามไปทันก็ไถ่กลับมา ไถ่ราคาน้อยๆไม่มากอะไร เรียกว่ารักชอบผูกมิตรกัน อยากจะรู้จักคนบ้านนั้นบ้านนี้ก็ไปลักวัวมา แล้วเขาก็ตามมาแล้วก็ได้มิตร คือไม่ต้องไถ่ถอนเอาไปเลยให้เขาไป ก็ได้เป็นเพื่อนกันต่อไป สภาพสังคมเป็นอยู่อย่างนั้น
บ้านที่เกิดนี่มันอยู่ระหว่างวัดสองวัด ความจริงสามเป็นสามมุม สามมุมเหมือนก้อนเส้า(16.12) แต่วัดอยู่ใกล้เรียกว่า วัดนางหล้า ด้านตะวันตกของบ้าน ถ้าตีระฆังได้ยิน คือห่างกันซักกิโลไม่ถึง ไม่ถึงแปดร้อยเมตรไม่ถึงพันเมตร เอาซักห้าร้อยเมตร ถ้าตีระฆังได้ยินพระสวดมนต์ก็ได้ยิน ทางด้านตะวันออกนั้นห่างไปหน่อยเรียกว่าวัดโคกเนียน แล้วก็ไปทางทิศภารดีก็มีวัดอีกวัดเรียกว่า วัดท่ามิหรำ เขาเปลี่ยนชื่อใหม่ว่าอินทราวาส สามวัดนี้มีสีมาเพียงวัดเดียวคือวัดนางหล้า มีสีมามีโบสถ์เรียบร้อย โบสถ์ก็สร้างดีมีลวดมีลายสวยงาม ผู้สร้างโบสถ์นี้ก็เป็นบรรพบุรุษ เป็นคุณหลวงแต่เขาเรียกว่าจอมใจเสนีย์ จอมใจเสนีย์ ตำแหน่งเวียงวังคลังนา ก็เลยมาสร้างวัด แต่จะมาสร้างวัดนี่ต้องลำเลียงเครื่องมา เช่นอิฐอะไรมา จึงต้องขุดคลองสายมาเชื่อมกับคลองที่อยู่ข้างวัดแล้ว แต่คลองที่อยู่ข้างวัดนั้นมันไหลมาจากภูเขาระหว่างเนินกลางพัทลุง แต่ว่าไหลมาถึงวัดมันก็เลี้ยวไปทิศเหนือ ไม่ลงไปทิศตะวันออก ไกล ก็เลยขุดคลองเฉียดวัดโคกเนียน วัดประดู่หอม เข้ามาเพื่อลำเลียงวัสดุก่อสร้างไปสร้างโบสถ์ สร้างอย่างดี แต่ว่าเวลานี้โบสถ์นี้จะพังแล้ว เพราะว่าปลวกกินหลังคา วันก่อนไปดูก็หลังคาจะพังแล้ว ท่านสมภารก็เป็นเชื้อสายของสมภารองค์ก่อน ชื่อท่านสามารถ บอกว่าจะต้องสร้างโบสถ์ใหม่ อาตมาบอกว่าคุณอย่าไปสร้างก่อนเงินมันยังไม่มี อยู่ไปก่อน เพราะฝาผนังนั้นซ่อมใหม่แล้วเป็นคอนกรีตแข็งแรง แต่หลังคาเพดานนี้ควรทำ มันเอาไม้ไผ่ไปทำเพดานแล้วมาโบกปูนโบกไว้ ปลวกก็กินไม้ไผ่แล แล้วมันออกมา แล้วมันก็กินหลังคา ชำรุดทรุดโทรมมาก ถ้าไปดูแล้วว่านี่ที่เกิดท่านปัญญานั่นหนะ โบสถ์ไหนโบสถ์นั้น แต่มันชำรุดเต็มที ถ้าไม่ซ่อมไม่แปลงคนก็ว่าอีกแหละ บอกว่าเจ้าคุณปัญญาไปเทียวสร้างที่ไหนที่ไหนก็ได้ ไอ้โบสถ์ที่ตัวบวชนี่ไม่สร้าง มันไม่ค่อยดี แต่ต้องหาโอกาสไปสร้างทีหลัง ตอนนี้ยังไม่ได้ บอกให้หยุดไว้ก่อน แต่หาเงินไว้ให้บ้างแล้วฝากธนาคารไว้นิดหน่อยยังไม่พอ ลงรากก็หมดแล้ว มันต้องค่อยหาต่อไป
วัดนั้นเหมือนกับว่าเป็นวัดใกล้บ้าน ใครๆก็เรียกว่าวัดเรา วัดไหนมีคนเรียกว่าวัดเราบ้างก็ดี ถ้าไม่มีใครยึดถือว่าเป็นวัดเราก็แย่ แต่ว่าพวกเราเรียกว่าวัดเรา ไปทำบุญสุนทานกันที่นั่น ถ้าวันพระก็คุณยายก็ไปวัดเอาอาหารไปถวายพระ ไม่ค่อยมีการแสดงธรรมอะไร นานๆพระจะแสดงอานิสงฆ์ซักทีนึง แสดงก็โดยมากเป็นวันสงกรานต์ วันเข้าพรรษา อันนั้นพระแสดงอานิสงฆ์ คุณยายกลับมาบอกว่าวันนี้พระแสดงอานิสงฆ์ คือหมายความว่าเทศน์ให้ชาวบ้านฟัง การเทศน์ก็เอาคัมภีร์มานั่งอ่านบนธรรมาสน์ให้ญาติโยมฟัง ญาติโยมจะฟังรู้เรื่องหรือไม่รู้เรื่องก็ตามใจ พอจบก็เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้ โยมก็กลับบ้านพระก็ขึ้นกุฏิกันไป ก็อยู่กันอย่างนั้น ที่วัดนี้มีงานแต่ว่ามีงานศพ มีงานบวชนาค พวกเราก็สบายใจ แต่ก็มีงานบวชนาคเขาไปตั้งงานที่วัด เขาไปสร้างโรงครัว ภาษาปักษ์ใต้เรียกว่าสร้างทัพ สร้างทัพเป็นหลังนึงและก็กั้นห้องเป็นที่ไว้ของเป็นที่เลี้ยงคน และก็อีกมุมหนึ่งก็เป็นครัวและมีโรงกระทะสำหรับหุงข้าวต้มแกง ถ้ามีงานวัดอย่างงี้ก็ต้องมีหนังตะลุงมาแสดง เราเป็นเด็กก็ดีใจว่าจะได้ดูหนัง หนังตะลุงก็เป็นของโปรดสมัยเด็กๆเคยไปดู ไปดูหนังกัน และก็ไปกินข้าวในงานนะกับข้าวมันเยอะแยะ เขาล้มวัวเป็นตัว แล้วมีกระทะใบใหญ่ต้มกระดูกซี่โครงกับใบชะมวง ตักมากินเปรี้ยวๆอร่อยดี เอากระดูกเอากระดูกติดเนื้อเอามานั่งกินกัน พวกหุงกระทะนี่มักจะกินเหล้า หุงข้าวไปกินเหล้ากันไปงอแฮงัวเงียกันทั้งนั้น ทำอาหารเลี้ยงคน คนมากินเลี้ยงก็ให้เงินแก่เจ้าภาพ
ถ้าเขามีงานนาคก็มีงานสามคืน คืนแรกรุ่งขึ้นก็เป็นวันโกนผมนาค เวลาโกนผมนี่ต้องทัดน้ำ ทัดน้ำมนต์ น้ำมนต์มาใส่บาตรต้องสี่ห้าใบ พระห้าองค์มาสวดมนต์ สวดมนต์แล้วก็เอาน้ำมนต์รดเจ้านาค รดลงบนหัว รดทั้งตัว แล้วเวลารดนี้คนเขามาช่วยกันขัดสีเจ้านาค ไม่ค่อยมีสบู่ใช้ เวลาขัดเจ้านาคเอาเถาสะบ้ามาตำให้นั่นหน่อย ยืดๆ แล้วก็ขัดถูตัวเจ้านาค โกนหัว โกนหัวแล้วก็มาอาบอีกทีนึง เสร็จแล้วก็เอาขมิ้นตำด้วยครก เอามาทาตัวนาคเหลืองไปทั้งตัว เหลืองตั้งแต่หัวถึงตีน ยังไม่ได้ห่มผ้าเหลืองเลยแต่เจ้านาคนี่เหลืองแล้ว ตัวมันเหลือง ทาตัวอย่างนั้น เสร็จแล้วก็มีการทำขวัญนาค ทุกงานต้องการทำขวัญนาค หมอทำขวัญก็มาทำขวัญนาค ว่าเป็นทำนองเหมือนพรภิรมย์ แต่ไม่เพราะเท่าพรภิรมย์ ว่ากันไปตามเรื่อง ไอ้การทำขวัญโดยมากก็พูดเป็นพระคุณของพ่อแม่ เพื่อให้เจ้านาคได้ระลึกว่าพ่อแม่มีบุญคุณอย่างไร คุณแม่มีบุญคุณต่อลูกอย่างไร ทำขวัญไปบางทีนาคน้ำตาไหลเพราะว่าคิดถึงคุณแม่ขึ้นมา ไอ้ก่อนนี้ไม่ค่อยคิดถึง เฉยๆ แต่พอวันทำขวัญนี่ก็คิดถึงน้ำตาไหล นั่งทำขวัญกันนานๆมันก็หิว เขาให้กินน้ำมะพร้าวอ่อน มะพร้าวอ่อนมาวางไว้หน้านาค คนละผล นาคสองนาคก็ผลสองผล แล้วช้อนมุก เทน้ำมะพร้าวใส่ช้อนมุกป้อนเจ้านาค เจ้านาคล้วนแต่เด็กต้องป้อน ป้อนให้กิน ให้กินน้ำมะพร้าวก็ค่อยชื่นใจหน่อย แล้วก็ทำขวัญเสร็จแล้วก็นอนอีกคืน ยังไม่หมด นอนท่องหนังสือที่จะไปขานนาค หนังสือที่ท่องนี่ให้ท่องอื่นมาหมด แต่ว่าตอนขอบวชนี่ไม่ต้อง ปุณลุงปตุมังภันเตสังโฆอนุคัมปัง ให้บวชเรียกว่าปุณลุงปตุมังภันเตสังโฆ อันนี้เขาไม่ให้สอบ ไม่ให้ว่า ไม่ให้ว่า ถ้าว่าท่องนี้ไม่ให้ไปไหน ต้องนั่งท่องอยู่นั่น ออกนอกวัดก็ไม่ได้ ไปไหนก็ไม่ได้ เขาบอกว่าจะอันตราย เพื่อป้องกันไม่ให้นาคเป็นอันตรายเอามานั่งให้ท่องอยู่อย่างงั้นแหละ ท่องกันอยู่จนกระทั่งจำ แล้วก็บวช ถ้าบวชที่วัดนั้นเองก็ไม่ต้องไปไกล แต่ก็ต้องมีการแห่รอบโบสถ์ เวลาแห่รอบโบสถ์นี่นาคต้องขึ้นขนาม ทำแคร่ให้ขึ้นนั่งบนนั้น บางทีก็ให้ขี่ขอคน แต่ว่าขี่คอคนนี่มันเหนื่อยให้นั่งบนแคร่ดีกว่า ไอ้คนที่แห่นาคนี่เมาทุกคน หลวงพ่อเป็นเด็กๆก็ดูเฮ้ยเมาทั้งนั้น พ่อเจ้านาคก็เมา เพื่อนเจ้านาคญาติเจ้านาคเมากันทั้งนั้น ก่อนจะแห่นาคนี่เปิดไหหนึ่ง เปิดไหเหล้าแจกกินกัน พ่อเจ้านาคญาติเจ้านาคบอกไม่เมาพวกเดียวคือพวกอุบาสิกา นี่แหละผู้หญิงจึงได้ขึ้นสวรรค์มากเพราะไม่มีพิษ แล้วก็แห่นาคเข้าโบสถ์ เวลาเข้าโบสถ์นี่พ่อเจ้านาคต้องจูงนาคไป ไปถึงก็มอบให้พระอุปัชฌาย์ บอกว่าขอถวายนาคชื่อนี้แก่พระอุปัชฌาย์ ผมชื่อนี้เป็นพ่อ ยินดีให้นาคนี้ได้บวชในพระศาสนา แล้วก็ถอยออกไปนั่งห่างๆ แล้วก็ทำพิธีบวชกันไป จบวันนั้น งานยังไม่เสร็จรุ่งขึ้นทำบุญตักบาตร ให้เจ้านาคตักบาตรใส่ข้าวพระ นิมนต์พระมาฉลองมาฉันกัน เรียบร้อยการบวชนาคเสร็จเพียงเท่านั้น มีหนังตั้งสามคืน
อันนี้ถ้ามีงานศพ ก็ไปสร้างโรงครัวในวัดเหมือนกัน ลูกหลายคน เช่นว่าศพนี้มีลูกห้าคนก็ห้าครัว เข้ากันไม่ได้ต่างคนต่างตั้ง เพราะคนมาช่วยให้เงิน ถ้าว่าครัวเดียวไม่รู้จะให้ใครมันลำบากถ้างั้นเบียดครัวละกัน มาช่วยนาย ก ให้นาย ก ช่วยนาย ข ให้นาย ข แยกกันเป็นห้าครัว หีบโลงใส่ศพเขาทำสวยปิดทองลวดลายสวยงาม สวยงามมาก แล้วก็ตั้งที่ศาลา เขามักจะทำโลงพิเศษใกล้ตลาด และนิมนต์พระจากวัดอื่นๆมานั่งอยู่ในงาน เขาเรียกว่าพระนั่งการ พระนั่งการนิมนต์มาตลอดงาน งานศพสามวันสามคืนพระก็ต้องมานั่งอยู่นั่นนอนนั่น คือว่านั่งอยู่สามวันสามคืนไม่ไปไหน เรียกว่าพระนั่งการ ก็มีกลางคืนก็มีการสวด สวดคนนั้นสวดเตียงหนึ่ง สวดคนนี้สวดเตียงหนึ่ง ก็สวดกันไปเรื่อยๆ ไม่มีการงีบเลย สวดเท่านั้นเอง แล้วก็มีหนังตลุงแสดง พวกเราเป็นเด็กก็ไปดูหนัง แล้วก็มีเครื่องบรรเลงอย่างหนึ่งเขาเรียกว่ากาเหลาะ
กาเหลาะนี่มันก็คล้ายปี่ชนะในงานศพเจ้านายที่วัดเทพศิรินทร์ มีกลองสองลูก ผุดตุ้มผลุด และก็มีปี่แต่ว่าปี่นี่เขามีหลายอัน เวลามีงานศพมีกี่ปี่ แต่นั่นเขาปี่อันเดียว นั่งเป่าปี่แล้วก็ตีกลองตีฆ้องเสียงดัง ปี่ก็ดังตี๊แต่ตี๊แต่ตี๊ตุ้ม ปี๊ เสียงฆ้อง ฆ้องดังปี๊ ได้ยินแต่ไกลจนบางคนบ่นว่าที่ได้ยินเสียงฆ้องต้องมา ไม่บอกก็ต้องมาก็ได้ยินเสียงฆ้อง หมายความว่ามีงานศพ เรียกว่ากาเหลาะ ยังมีเดี๋ยวนี้ก็ยังตีกันอยู่แต่น้อยละ น้อยเต็มทีละ แก่เต็มทีละพวกที่ตีอยู่ ไม่มีใครเรียนต่อสืบต่อไว้ แล้ววันเผาศพเนี่ย วันเผาศพเนี่ยบางทีกาเหลาะออกบางทีไม่ออกประตู ถือทิศ วันนั้นห้ามทิศนั้นวันนั้นห้ามทิศนี้ ต้องออกทางขวาฉีกขวาออกไป ถึงเวลาก็ออกไปเลยออกก่อนเขา เขาไม่เผาศพทับกาเหลาะ กาเหลาะต้องไปก่อน ไปล่ะให้สตางค์แล้วก็ไปแล้ว ไม่แพงล่ะ มาเล่นงานได้ไป สมัยก่อนก็สี่ห้าบาท เงินมันมีค่าสมัยนั้น เวลาจะเผาศพนี่นิมนต์พระมากๆ มาสวดมาติกา บังสกุล ถวายองค์ละสิบห้าสตางค์บ้างสลึงหนี่งบ้าง เงินมันแพง ถวายเท่านั้นก็โอ้ยพอแล้ว แล้วเวลาจะบังสกุลให้พระไปดูศพนี่ เขายกศพลงมาจากที่สูงไปวางที่ต่ำ เปิดฝาโลง แก้ผ้ามัดศพออกให้เห็นชัด เอาผ้าไปพาด พระไปยืน ยืนชักผ้าแต่ตามันไปเห็นศพ เขาหลอกพระให้มาดูศพนี่ไม่ใช่อะไร ให้มาดู แล้วเวลเขานิมนต์พระให้มาดูศพเขาพูดดีนะ ยังจำคำพูดได้ นิมนต์พิจารณาขอรับ เขาไม่ว่านิมนต์บังสกุล เขาพูดว่านิมนต์พิจารณาขอรับ หมายความว่าให้มาพิจารณาศพ พระก็มายืนรอบหี่บศพนี่ ยืนก้มนี่ก็ต้องเห็นศพละ อันนี้ถ้าศพสดก็เห็นหนอนออกมาจากปากจากจมูก เป็นฟุ้ง เป็นกรรมฐาน เขาให้พระมาดูอย่างนั้น แล้วก็ถวายปัจจัย ไม่มากหรอกสิบสตางค์ยี่สิบห้าสตางค์ อย่างมากก็ยี่สิบห้าสตางค์สลึงหนึ่ง มีเหรียญสลึงแจกเด็กวัดรับไป พระสมัยนั้นไม่จับสตางค์เลย เคร่ง ไม่จับ ให้เด็กรับพาไปวัด แล้วก็เผาศพเผาศพแล้วรุ่งเช้าขึ้นก็เก็บกระดูก เอาไปฝังที่ไหนตามในบริเวณนั้นก็ได้
หมดเรื่องงานศพ เขาทำอย่างนั้น ตามวัดต่างๆมีงานบ่อย บางทีเดือนห้าเดือนสี่ เดือนห้านั่นน่ะวัดต้องการเงิน ก่อปราสาทก่อเจดีย์ทราย ชาวบ้านก็ไปขนทราย หมู่บ้านนี้ หมู่หนึ่ง หมู่สอง หมู่ห้า ไปคนทรายกอง แล้วก็ตบแต่งเป็นเจดีย์ มีลวดมีลายเอาไม้ทำบากเข้าแล้วหมุนรอบกลายเป็นเจดีย์ เอาปูนขาวโรย เอาไม้ไผ่มาทำเป็นยอกมีตรงมีเกลียว มีฉลองพระเจดีย์ทราย ยอดทรายนั้น ยอดเจดีย์ทรายนั้นมีเงินติดไว้ ใบธนบัตรใบละบาท โดยมากใบละบาท ใบละอื่นมันหายาก ใบละบาทติดยอดเจดีย์ทราย วันฉลองเจดีย์ทรายต้องแข่งมโนราห์ มโนราห์สองโรงเอามาแข่งกัน สมมุติว่าจะแข่งวันนี้ คืนกลางคืนที่ผ่านมาเนี่ยชาวบ้านเอาไปเลี้ยง บ้านหมู่หนึ่งเอาไปโรงหนึ่ง บ้านหมู่สองเอาไปโรง ไปเลี้ยงไปเชิญครูเสียงดังสนั่นหวั่นไหว เชิญครู แล้วก็ต้องถือหางมโนราห์ พวกบ้านนึงต้องอยากให้โนราห์แพ้ บ้านสองก็ไม่ให้แพ้ แล้วก็แข่งกัน มักจะตีกันตอนใกล้จะโนราห์เลิก แต่ว่าแข่งกันไปจนถึงสี่โมงเย็น อีกครี่งชั่วโมงเขาจะตีกลองเลิก ตรงนั้นล่ะมันแย่งคนกัน ไอ้หมู่หนึ่งก็มาเอาคนโรงนี้ไป หมู่สองก็มาเอาคนโรงนี้ไป แย่งกันไปแย่งกันมา คนไม่ไปถึงโรงหรอกมันตีกันแถวนั้น ตีกันฝุ่นฟุ้งไปทั้งลานวัด อาตมาเป็นเดิกๆก็เที่ยวหลบไปตรงนั้นเที่ยวหลบไปตรงนี้ ดูเขาตีกัน เขาสนุกไอ้เรามันก็เที่ยวหลบอย่าให้เขาตีถูกก็แล้วกัน เป็นอย่างนั้น สนุกไปหัวร้างข้างแตก เป็นการทำบุญตาม
เดี๋ยวนี้พัทลุงไม่มีอย่างนั้นแล้ว แข่งหนังก็ไม่ตีกัน แข่งมโนราห็ก็ไม่ตีกัน มีคนมาประชุมมากๆก็ไม่ตีกัน คนเรียบร้อย คนมีการศึกษา มีความเจริญทางวัฒนธรรม แต่งตัวเรียบร้อย ผู้ชายนุ่งกางเกงผู้หญิงนุ่งกระโปรง ดูมันสวยงาม สมัยก่อนนี้มันนุ่งผ้าหยักรั้งตั้งท่าจะต่อยกันอยู่ตลอดเวลา อันนี้นุ่งห่มเรียบร้อย ไปในงานก็ไม่เกะกะ ไม่ล้าหลัง นับว่าเรียบร้อยดีมาก เจริญขึ้นเยอะสภาพเป็นอย่างนั้น
อาชีพของคนพัทลุงก็ทำสวนกับทำนา สวนนี่ก็เป็นสวนในป่า เช่นทุเรียนนี้ไปปลูกไว้บนยอดภูเขา ตามริมห้วย ถ้าทุเรียนไม่ออกดอกก็ไม่ต้องไปยุ่ง ปล่อยตามเรื่อง พอทุเรียนออกดอกก็ไปถางโคนทุเรียน เผื่อว่ามันมีลูกแล้วจะหล่นลงมาเก็บง่ายหน่อย แล้วไม่มีหวังว่าจะไปเก็บบนยอดได้เพราะต้นมันเท่าๆนี้ ต้นทุเรียนต้นใหญ่ขนาดนี้ ต้องรอให้มันหล่น เพราะฉะนั้นเวลาทุเรียนสุกเจ้าของทุเรียนเขาจะต้องไปนั่งเฝ้ากลางคืน มันหล่นลงมาร่วงหล่นตรงไหนก็ไปเก็บ เอาไปขาย ทุเรียนมันก็รสดี แต่ว่าเนื้อม้นน้อย เมล็ดมันมาก หุ้มเม็ดไม่ค่อยมิด ไม่เหมือนทุเรียนกรุงเทพ เนื้อมันมากเม็ดมันเล็ก ไอ้แถวพัทลุงนี่เนื้อมันน้อยแต่เม็ดมันมาก เหมาะสำหรับเอามาทำทุเรียนกวน ถ้าว่าจะกินทุเรียนนี่คนหนึ่งกินให้อิ่มต้องกินซักยี่สิบผล ทุเรียนกรุงเทพกินซีกนึงก็อิ่มตื้อแล้ว เม็ดมันใหญ่ ขนาดกินตั้งยี่สิบผล ถ้าเราไปที่สวน เจ้าของสวนนั้นออกมาวาง เอ้ากินๆ กินเต็มที่เลย กินกันไปยี่สิบผลจึงจะอิ่ม ก็เนื้อมันน้อย มีอยู่เยอะตามริมภูเขา ทุเรียน มังคุด ลางสาด อยู่ในป่าทั้งนั้น ไม่มีใครทำสวนแบบสวนกรุงเทพ มีแต่ทำนา ทำนาข้าว
ข้าวพัทลุงก็รสชาติไม่ดีเท่าไหร่ พวกสงขลาไม่ค่อยซื้อ ซื้อก็ราคาถูก แต่ถึงขายราคาถูกชาวบ้านก็ไม่เคยเดินขบวน ไม่บ่นว่าข้าวราคาตก เขาไม่บ่นไม่ว่า เขาก็ขายไปตามเรื่อง ขายไม่ได้เขาก็ไม่ว่าอะไร แต่เดี๋ยวนี้ชาวนาเราขี้บ่น พอขายข้าวไม่ได้ต้องชุมนุม ทำไมมันจึงมีการชุมนุมกันบ่อย มีคนไปชักจูง สมัยก่อนนักการเมืองไม่มี ไม่ไปเทียวจูงคนให้ยุ่ง ไม่ไปแนะนำคนให้ยุ่ง เดี๋ยวนี้มีคนคอยไปชักจูงให้คนมาไปชุมนุมกัน เดินขบวนกัน แล้วไอ้คนที่ไปชวนน่ะมันได้สตางค์ การจากทางพรรคการเมือง พรรคการเมืองให้เอาไปห้าพัน ไปดึงคนมาชุมนุมสามวัน ขอร้องให้ขึ้นราคาข้าว ให้ขึ้นราคาสัปปะรด ให้ขึ้นราคาอ้อย ชุมนุมกัน ก็วุ่นวายกันพอสมควร แล้วฝ่ายค้านก็จะได้โจมตีรัฐบาล ว่าไม่มีความสามารถ เพราะทำให้ข้าวตกต่ำ พืชผลตกต่ำ ไม่ไว้วางใจ มันเป็นอย่างนั้น บ้านเมืองมันเป็นอย่างนั้นเพราะมีนักการเมือง สมัยก่อนไม่มีนักการชาวบ้านก็ไม่บ่นไม่ว่าอะไร อยู่กันตามปรกติ ไม่มีเรื่องเดือดร้อนอะไร เป็นอย่างงั้น
นี่เล่าถึงสภาพบ้านเมืองในสมัยเป็นเดิกๆ ให้ญาติโยมได้รับรู้ว่ามันเป็นอย่างไร อันนี้ในครอบครัวที่อาตมาเกิดเนีย คุณพ่อเนี่ยเรียกว่าเป็นคนที่กว้างขวาง ไม่ใช่นักเลง แต่เป็นคนกว้างขวางรู้จักคนมาก มีคนไปมาหาสู่ตลอดเวลา ก็สมัยก่อนไม่มีโรงแรมไม่มีทีพัก เขาเดินทางมาก็แวะพักตามบ้านพักพวก บางทีมากันตั้งยี่สิบคน มาพักนอนเต็มบนชานเรือน คุณแม่ก็ต้องลุกหุงข้าวหม้อ แกงหม้อๆใหญ่เลี้ยงคนเหล่านั้น เลี้ยงแล้วเก็บหลับนอนกันไปตามเรื่อง ตื่นเช้านีก็บอกว่าจะไปแต่เช้า พี่ไม่ต้อง หุงหาอาหารให้ทาน จะไปข้างหน้าไม่ได้ไม่ยอม ต้องตื่นแต่ไก่ขันครั้งแรก หุงข้าวต้มแกงเรียบร้อย แกงก็ไม่มาก แกงข้นอย่างเดียว มีน้ำพริกบ้างแซม แล้วก็เลี้ยงกันให้อิ่มตอนเช้า กินอิ่มแล้วยังคดข้าวใส่ห่อ ห่อด้วยใบตอง และก็มีปลาแห้งอะไรนิดๆ ใส่ไปด้วย ไปกินตามทาง เผื่อไปตามทางมันหิวก็จะได้กิน ทำอยู่อย่างนั้น ตลอดเวลาได้เห็นสภาพอย่างนั้น
คุณพ่อคุณแม่เนี่ยเป็นคนใจคอกว้างขวาง อารีย์อารอบกับเพื่อนบ้าน ไม่เคยเห็นทะเลาะกับใคร คุณพ่อก็ดีคุณแม่ก็ดีไม่เคยทะเลาะกับใคร ไม่เคยมีเรื่องกับใคร มีแต่เป็นเรื่องให้ คนบางคนในบริเวณนั้นยากจน ลูกมาก อาหารไม่พอ มาที่บ้าน เอากระสอบมาถึงวาง ไม่พูดไม่จา กระสอบวางคุณแม่ก็รู้ว่าขาดแคลนข้าว เอากระสอบขึ้นไปบนยุ้งข้าว โกยข้าวใส่เต็มกระสอบมาวางให้ ไม่ว่าอะไร ไม่ขออะไร ไม่คิดเงินสตงสตางค์เงินทองอะไรทั้งนั้น ให้เขาไป ก็เอาไปหุงหารับประทานกัน ได้ความสะดวกสบาย มีบ่อยๆ ถ้าไปได้ปลามาเป็นตระกร้าใหญ่ ก็ต้องแบ่งเป็นกองๆ สิบเอ็ดกอง เพราะในหมู่บ้านนั้นมีสิบเอ็ดครอบครัว แบ่งเสร็จแล้วก็เรียกหลวงพ่อว่า ไอ้หมา เด็กๆแถวนั้นถ้าเป็นผู้ชายเขาเรียกไอ้หมา ผู้หญิงเขาเรียกว่าอีหมา ไอ้หมาอีหมานี่เรียกกันไปถึงเชียงตุง คนไทยใหญ่ชาวเชียงตุงเรียกลูก ไอ้หมาอีหมาทั้งนั้น แต่ภาคกลางนี่เรียกอีหนูไอ้หนู หนูน่ะมันตัวนิดเดียวหมามันใหญ่กว่า เรียกไอ้หมามันใหญ่กว่า ไอ้หมาเอาปลาไปแจก ใส่กระด้งเรียบร้อยถือไปแจกทุกครอบครัว ถ้าได้ทุเรียนมาซักสองสามฝน แทนทีจะปอกกินกันในครอบครัว ไม่ล่ะกินไม่ทั่ว นึ่งข้าวเหนียวขึ้นหม้อใหญ่ ทำน้ำกะทิทุเรียน เอาไปแจกทุกบ้านทุกเรือน ได้เนื้อเอาไปแจกไม่ไหวแล้ว แกงก่อน แกงเสร็จแล้วใส่ถ้วยเล็กๆไปแจกทุกบ้าน ไม่เคยกินอะไรครอบครัวเดียว มีอะไรกินต้องกินกันทั้งบ้าน ถ้าจะทำลอดช่องกินกันสักที กินกันทั้งบ้าน ทำกันเป็นถังๆ กินกันทั้งบ้าน นานๆจะกินขนมจีนซักที ก็ต้องกินกันทั้งบ้าน สิบเอ็ดครอบครัวต้องชวนมากินกัน กินขนมจีน ปีนี้ทำขนมจีนกินกันซักทีนึง ปีนึงกินซักหนนึง เลี้ยงกันทั้งสิบเอ็ดครอบครัว ทำขนมลอดช่อง ก็กินกันทั้งครอบครัว ทำอะไรก็ต้องกินกันทั้งบ้าน สภาพเป็นอย่างนั้นอยู่กันอย่างนั้น ผู้ร้ายชุกชุมมาก เที่ยวปลุกเที่ยวปล้น คนตามบ้านไม่กล้านอนบนเรือน ต้องไปนอนอยู่ในป่ารอบบ้านตามกอไผ่ เที่ยวแอบๆโจรมาจะได้หนีง่าย แต่ในบ้านที่อยู่นี่คุณโยมผู้ชายบอกว่า เรามีบ้านต้องอยู่บนบ้าน รับรองว่าโจรจะไม่มาบ้านนี้ เขาจะไม่มาที่บ้านนี้ ทำไมจึงเป็นอย่างนั้น มีหลักประกันอะไรที่โจรไม่มา เพราะว่ามีแต่การให้อยู่ตลอดเวลา คุณโยมมีควายยี่สิบตัว วัวเยอะวัวประมาณซักเกือบร้อย คนที่ไม่มีก็มาขอไป ขอความไปไถนาซักสองตัว ที่นั่นเขาใช้ควายคู่ มาเลือกไป เอาไปสองตัว คนนั้นเอาไปสองตัว คนนั้นเอาไปสองตัว เหลือสองตัวเท่านั้นสำหรับไว้ใช้เอง แล้วเวลาเอาควายเอาวัวไปไถนา ไม่เคยพูดกันเรื่องอะไร เรื่องเงินเรื่องทองนี่เขาไม่พูดกันเลย เวลาไถนาเสร็จแล้วเอาควายมาส่ง ก็ผอมเพราะหญ้ามันน้อย ให้แต่ควายคืนเท่านั้นเอง แต่ไม่เคยให้อะไร แล้วโยมก็ไม่เคยขออะไรจากคนเหล่านั้น เอาควายมาคืนก็ดีแล้ว ทำอย่างนั้นแล้วคนที่ไหนจะมาลักอีก คนที่ไหนจะมาปล้นบริเวณนั้นอีก เพราะว่าให้อยู่ตลอดเวลา เขาต้องการอะไรก็ได้เอาไปได้ โยมไถนาด้วยควายสองตัว แต่ว่าคราวหนึ่งอีกคนหนึ่งมาบอกว่าควายของฉัน เขาเรียกใช้สรรพนามว่าฉัน ของฉัน มันง่อยไถนาไม่ได้หลายวันแล้ว อยากจะมาขอพึ่งน้า โยมบอกมึงเลือกเอาตัวนึง เขาก็เลือกไป เอาไอ้แหยงไป มันแข็งแรงหน่อย ตอนเย็นจูงควายตัวเดียวกลับบ้าน พอไปถึงบ้านโยมผู้หญิงก็ถามว่า เอ้า ไอ้แหยงไปไหนล่ะวันนี้ถึงจูงมาตัวเดียว เลยบอกว่าพ่อให้เขาไปเสียแล้ว โยมไม่ว่าอะไร แต่พอกลับมาถึงบ้านโยมบอกว่า ก็เราเหลืออยู่สองตัว ให้เขาไปแล้ว แล้วเราจะไถนากับอะไร โยมผู้ชายตอบโยมผู้หญิงคำเดียว ตอบว่ามันจนกว่าเรา ตอบคำเดียวว่ามันจนกว่าเรา โยมผู้หญิงก็เงียบไม่พูดอะไร เพราะเขาจนกว่าเรา รุ่งเช้าโยมก็ขึ้นไปทางเหนือริมภูเขา เขามีควายแต่ก็ไม่ไถนา ไปเอามาตัวจากเพื่อน เอามาใช้ต่อไป
เป็นอยู่อย่างนั้น มีแต่เรื่องให้ ก็คิดทำอยู่ตลอดเวลาคือว่าให้ พูดจาอ่อนหวานสมานใจไม่ถือตัว ทำประโยชน์แก่เขา จึงมีความสุขความสบาย ได้เห็นสภาพเช่นนั้นอยู่ในครอบครัวตลอดเวลา แต่ว่าสิ่งแวดล้อมที่เห็นนั้น มันคนละเรื่อง มีแต่เรื่องเกะกะละ ถ้าเป็นผู้ชายลูกชายนี่ต้องเกะกะ ต้องแสดงความกล้าหาญ ถ้าทำเป็นหนิมๆเขาเรียกว่าไอ้ตัวเมีย ไอ้อย่างนี้มันจะรักษาทรัพย์ไม่ได้โตขึ้น เพราะเป็นตัวเมีย มันต้องขรึมๆ ในครอบครัวมีพี่สาวสองคน พี่ชายคนน้องสาวคน เป็นห้า พี่ชายตายซะตั้งแต่เด็ก จำภาพได้ เวลานั่งถ่ายเนี่ยเอามือกุมท้อง ร้องโอ้ยโอยๆๆ ถ่ายออกมาเป็นมูกเป็นเลือด เป็นบิดอย่างแรง สมัยนั้นไม่มียา เอารากไม้มาต้มมันสู้ไม่ได้ จนที่สุดตาย เวลาตายนี่เขาเอาไปเผาที่วัดทางลาดใกล้บ้าน หลวงพ่อยังถามโยมว่า เอ้าทำไมเผาพี่ชาย พี่ชายไม่เจ็บรึ โยมไม่ตอบ บอกกลับบ้านเถอะกลับบ้าน พากลับบ้าน ไม่ตอบว่าเจ็บหรือไม่ ไม่ตอบ พาหลวงพ่อกลับบ้าน
แต่ว่าในลูกชายสองคนนี่ คุณพ่อรักพี่ชายมาก เพราะพี่ชายเป็นคนที่กล้าหาญ องอาจกล้าหาญ ถ้าใครพูดอะไรมาก็ปังออกไปเลย เขาถามตอบทันที เป็นคนกล้าหาญ หลวงพ่อนี้มันหยิมๆ เมื่อเด็กๆพูดน้อย ไม่พูด หงิมๆ ใครๆเขาก็เรียกไอ้เหนียทั้งนั้น ไอ้ตัวเมีย หน้าตามันก็เป็นไอ้ตัวเมีย แล้วไม่ค่อยสู้ใคร ไม่รบกับใครไม่ต่อยกับใคร ใครชวนต่อยก็วิ่งหนี เขาหาว่าเป็นตัวเมีย แต่พี่ชายนี่อย่าไปชวนนะ พวกกัดกอบเตะต่อย ดุพี่ชายน่ะ ตายซะก่อน ถ้าอยู่ก็อายุเป็ดสิบเจ็ดคราวท่านพุทธทาส แต่ว่าอาตมามันคนละแบบ ไม่อย่างนั้น เป็นคนละแบบ ก็มานั่งนึกอยู่ในใจว่าเรานี่เอ๊ะ มันเกิดในสภาพอย่างนั้น อยู่กับสิ่งแวดล้อมอย่างนั้น แล้วมันหลุดมาได้อย่างไร มันหลุดมาจากความเป็นอย่างนั้นมาได้อย่างไร ไม่เป็นนักเลงกับเขา ไม่หัดลักหัดโขมย เด็กผู้ชายต้องโขมยเป็นด้วยนะ ถ้าโขมยไม่เป็นเขาว่าไอ้นี่รักษาทรัพย์ไม่ได้ เพราะโขมยไม่เป็น ต้องโขมยได้ ต้องมีเพื่อน การไปโขมยของใครนั้นคือไปหาเพื่อน ได้พรรคได้พวก อันนี้ทำไม่ได้ เพราะเป็นคนขี้ขลาด กลัวผี
สมัยเด็กนี่กลัวผีที่สุดเลย กลางคืนนี่ลงจากบันไดเรือนไม่ได้ กลัว แต่ว่าเช้าๆต้องเอาควายไปเลี้ยงก่อนตั้งแต่ยังไม่สว่าง ไอ้กลัวผีก็กลัว แต่กลัวโยมจะดุก็กลัว เลยต้องไปจูงควายไป เลี้ยงในทุ่งรอการไถตอนเช้า เวลาไปเลี้ยงควายในทุ่งก็ไปยืนอยู่ข้างควาย เอาควายไปจี้เครื่องไว้ จะอะไรมากูขึ้นขี่หลังกลับไปเลย กลัว วันหนึ่งไปยืนอยู่ ควายมันก็เดินไปเดินมาเห็นตอไม้ ตอไม้มันเคลื่อนไหว ความจริงตอไม้ไม่ได้เคลื่อน แต่ควายมันเคลื่อน เราเห็นตอไม้เคลื่อน ก็มองจ้องไว้ จ้องไว้ มันจะมาหากูรึเปล่าวะเนี่ย จ้องไว้จนสว่าง พอสว่าง อ๊ะตายแล้ว ตอไม้ไม่หนีไอ้เรานึกว่าผีไปได้ มันกลัวอย่างงั้น
เพราะฉะนั้นจะไม่ไปเที่ยวไหนกลางคืน แล้วจะไม่คบเพื่อนที่เกเรเกะกะเพราะเป็นคนขี้ขลาด ไอ้ความขี้ขลาดน่ะมันช่วยเหมือนกัน ช่วยไม่ให้ไปเที่ยวเหลวไหลกับใครๆ ก็ความขี้ขลาด ไม่อยากจะชกต่อยกับใครเพราะเป็นคนขี้ขลาด พาตัวรอด ไปโรงเรียนเวลาโรงเรียนหยุดพักเขาเล่นฟุตบอลอะไร เราก็ไม่ไป ไม่อยากจะไปเตะฟุตบอลกับใคร ไม่อยากจะไปเล่น แต่ว่าเข้าไปในห้องสมุด หยิบหนังสือมา หนังสืออะไรวางอยู่ก็ต้องหยิบมา เลยกลายเป็นคนรักการอ่าน ชอบอ่านหนังสือมาเรื่อยมา จนกระทั่งบัดนี้ละยังอ่าน ในเวลาว่างก็หยิบหนังสือมาอ่านเป็นนิสัย ไม่ชอบเที่ยวชอบสนุก มันก็พ้นมาได้จากอันตราย พ้นมาได้ด้วยความเรียบร้อย คราวนี้เมื่อเป็นหนุ่มขึ้นเดินทางไปอยู่ปีนังกับหลวงลุง ก็ไม่มีอะไร ไม่ไปเที่ยวไปเล่นกับเพื่อน เพื่อนชวนไปเที่ยวไม่ไป เพราะว่าไม่ชอบการไปเที่ยวอย่างนั้น ไม่ชอบ ไปสนุกอย่างนั้นไม่ชอบ ถ้าไปเที่ยวน้ำตกไป ไปเที่ยวสวนสาธารณะ ไปดูลิง เอากล้วยไปให้ลิงล่ะก็ไป แต่ถ้าชวนไปเที่ยวกลางคืน ไปดูหนังไปอะไรไม่ไป ใจมันไม่สนุก ล่ะก็ปลอดภัย
เคยตามไปอยู่ภูเก็ต อิสระไม่อยู่ใต้บังคับบัญชาของใคร หางานทำหาเงินใช้ด้วยตัวเอง แต่ก็ไม่เคยประพฤติเหลวไหล ไม่สูบบุหรี่ไม่ดื่มเหล้า ไม่ไปเที่ยวกลางคืน นานๆก็ไปดูหนังซักราย โปรแกรมเขาสามคืนไปดูคืนสุดท้าย คนมันน้อยหน่อยไม่ต้องแทรกต้องแซง ก็ไปดู นอกนั้นก็ไม่ไปดู แต่ชอบไปตามสโมสรคนจีนเพราะเขามีหนังสือพิมพ์ให้คนอ่าน ก็ไปอ่านหนังสือพิมพ์ ไปพักที่ไหนก็มักจะพักกับวัด ไปอยู่กับพระ พักกับพระนี่สบายปลอดภัยไม่ต้องเสียค่าเช่า อาหารก็ไม่ต้องซื้อ กินฟรีท่านบิณฑบาตรมาได้ เรารับใช้ท่านปรนนิบัติท่าน หลุดมาได้ ไม่เหลวไหลเอาตัวรอดมาได้ ไม่ต้องเป็นลูกอะไรๆที่เขาเป็นกันแบบผู้ชาย เพราะไม่ไปเที่ยวเหลวไหลอย่างนั้น พาตัวรอด ก็มานึกในใจ..เอ๊ะ..มันหลุดมาได้อย่างไง มันหลุดความเหลวไหลมาได้อย่างไร พาตัวรอดมาได้อย่างไร นั่งคิดนั่งนึกหาเหตุหาผล
มันมีเครื่องประกอบหลายอย่าง คือไม่ชอบอย่างหนึ่ง แล้วไอ้ที่ไม่ชอบสิ่งเหลวไหลนั้นเพราะกลัวแม่จะเดือดร้อนใจ กลัวแม่จะเดือดร้อนใจ เพราะคุณแม่นี่ท่านเอ็นดูมากรักมาก รักลูกมาก ท่านไม่อยากเห็นลูกมีอะไรๆพิกลพิการ พูดบ่อยๆว่าผู้ชายมันต้องมีร่างกายสง่าหน่อย ท้องโตไม่ได้ กินข้าวน้อยๆอย่ากินมาก กินมากเดี๋ยวท้องใหญ่ ท้องใหญ่ไม่สวย ผู้ชายต้องท้องเล็กๆ ให้รูปทรงดี อาบน้ำให้ก็พูดว่า เออดีไม่มีแผล แผลรอยถูกเฆี่ยน แผลอื่นมันไม่มี แผลซุกซนมันไม่มี ก็รักษาตัวมาได้ดี ท่านสงวนลูกของท่าน เราก็คิดว่าถ้าเราไปเที่ยวเหลวไหล เดี๋ยวมีอาการผิดปรกติทางร่างกายทางจิตใจ คุณแม่จะเสียใจ ก็เลยไม่อยากประพฤติอะไรให้คุณแม่ต้องเสียใจ แม้ท่านไม่รู้ไม่เห็นก็ไม่กล้าทำ เพราะว่าวันหนึ่งจะต้องรู้ต้องทราบ แล้วท่านจะเสียใจว่าลูกชายทำให้แม่ติดห่วง อันนี้เป็นเครื่องหนุนส่งให้กระทำแต่เรื่องดี คบคนดี ให้ไปสู่สถานที่ดีๆ แล้วก็โดยนิสัยมันก็รักความดีด้วย รักความดีรักความเรียบร้อย รักคนดีชอบไปวัดไปวา ไปคุยกับพระ พอมีพระก็ไปหาพระ ไปนั่งคุยนั่งฟังเรื่องอะไรจากพระ ชอบอ่านหนังสือประเภทต่างๆ หนังสือธรรมะก็อ่าน ทีนี้มันช่วยสร้างนิสัย สร้างฐานชีวิตให้เจริญก้าวหน้ามาได้จนกระทั่งป่านนี้
เวลานี้มีอายุ ๘๒ ในวันที่ ๑๑ สุขภาพก็ยังพอสู้ได้ แต่มีอะไรนิดหน่อยคือปวดหัว เพิ่งปวดสามสี่วันมา ก็สัปดาห์มานี่ปวด ก็ไม่แน่ใจว่าไปพัทลุง แล้วไปขึ้นภูเขา ขึ้นลงขึ้นลงหลายเที่ยวเลยทำให้ข้อไม่ค่อยจะดี ก็พยายามรักษามัน แต่คงจะคืนสภาพได้เพราะว่าไม่ทำอะไรแบบหักโหม รักษาชีวิตจิตใจไว้ตลอดเวลา อันนี้เอามาคุยให้ญาติโยมฟัง ว่าชีวิตที่มันเป็นมานั้นมันเป็นมาอย่างไร หลุดรอดจากอันตรายสิ่งแวดล้อมมาได้อย่างไร จึงมาอยู่ในรูปนักบวชในพุทธศาสนา แล้วก็ทำงานทำการเป็นประโยชน์แก่พระศาสนามาจนกระทั่งบัดนี้ ญาติโยมฟังแล้วก็จะได้สบายใจ สบายใจว่าหลวงพ่อของพวกเราทั้งหลายนั้น ท่านเดินทางลัดเลาะหลีกเร้นจากภัยอันตรายรอบข้างมาได้ ทั้งที่สิ่งที่เป็นอันตรายนั้นมีอยู่แต่ลัดเลาะมาได้ เอาตัวรอดได้ปลอดภัย มาถึงที่อันสูงส่ง คือมีชีวิตเรียบร้อยเป็นไปด้วยดี เป็นเรื่องที่ทุกคนที่รู้จักก็น่าจะสบายใจ แล้วตัวเองก็สบายใจ มองปูมหลังมองประวัติศาสตร์ย้อนหลังแล้วมีแต่เรื่องสบายใจ ไม่มีอะไรที่จะทำให้เกิดความทุกข์ความเดือนร้อนใจ ความเศร้าหมองใจ เพราะฉะนั้นในวันเกิดมองตัวเองแล้วก็สบายใจ วันนี้เป็นอาทิตย์ที่โยมมาประชุม วันที่ ๑๑ ไม่ใช่วันอาทิตย์ ไม่มีใครมา ก็พูดจาเล่าสู่กันฟัง เรียกว่าคล้ายกับพูดในวันเกิดนั่นเอง ให้โยมได้รับรู้ว่าชีวิตที่ผ่านมานั้นเป็นอย่างไร ก็พอสมควรเวลา ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้