แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
พุทธบริษัททั้งหลาย ณ บัดนี้ ถึงเวลาของการฟังปาถกฐาธรรมะ อันเป็นหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนาแล้ว ขอให้ทุกท่านอยู่ในอาการสงบ ตั้งอกตั้งใจฟังด้วยดี เพื่อให้ได้ประโยชน์ อันเกิดขึ้นจากการฟังตามสมควรแก่เวลา วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ ๒๐ เดือนมิถุนายน ใกล้จะถึงวันที่ ๒๔ เดือนมิถุนายน วันที่ ๒๔ นี้ สมัยหนึ่งเรียกว่าเป็นวันชาติ เพราะเป็นวันที่ทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๕
แต่ว่าต่อมาก็ได้เปลี่ยนวันชาติ มาเป็นวันตรงกับวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว วันที่ ๒๔ ก็เป็นเพียงวัน เป็นที่ระลึกสำหรับพวกเปลี่ยนแปลงการปกครอง การเปลี่ยนแปลงการปกครองก็มีจุดหมายเพื่อจะให้มีรัฐธรรมนูญปกครองบ้านเมือง มีกฎหมายคุ้มครองการบริหารประเทศ เปิดโอกาสให้ประชาชนที่มีความรู้ความสามารถ ได้เข้าไปบริหารราชการบ้านเมือง แทนพระเจ้าแผ่นดิน ซึ่งทรงปกครองบ้านเมืองมาเป็นเวลานาน
ในการเปลี่ยนแปลงการปกครองในเมืองไทยนั้น ทำได้อย่างเรียบร้อยมาก ไม่ต้องเสียเลือดเนื้อ ไม่ต้องรบราฆ่าฟันกัน การที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะอาศัยพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระปกเกล้าในสมัยนั้น เพราะว่าพระองค์ได้ทรงคิดอยู่ก่อนแล้วว่าจะให้มีรัฐธรรมนูญปกครองบ้านเมือง สมัยเสด็จไปประพาสอเมริกา หนังสือพิมพ์ได้สัมภาษณ์พระองค์ พระองค์ก็บอกว่าเรายินดีที่จะให้มีรัฐธรรมนูญเป็นแบบฉบับสำหรับการปกครองเมืองไทย แล้วก็กลับมาประเทศไทย คณะที่เปลี่ยนการปกครองได้ทราบน้ำพระทัย ว่าพระองค์ท่านมีความประสงค์จะให้มีรัฐธรรมนูญอยู่แล้ว แต่ว่าเร็วไปหน่อย จึงได้ทำการเปลี่ยนการปกครอง โดยจับเจ้านายไปกักตัวไว้ที่พระที่นั่งอนันตสมาคม แล้วก็ร่างรัฐธรรมนูญชั่วคราวให้พระปกเกล้าทรงลงพระปรมาภิไธย แล้วก็เขียนกันใหม่ วันที่ ๑๐ ธันวาคม ก็ได้มีการออกพระธรรมนูญฉบับใหม่
ปกครองกันมาก็มีการเปลี่ยนกันมาเรื่อยๆ เพราะว่ามีการปฏิวัติรัฐประหารแย่งกันปกครองบ้านเมืองกันมาเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงบัดนี้ ก็มีรัฐธรรมนูญที่ยังไม่ค่อยจะถูกใจ ยังไม่ค่อยจะเรียบร้อยเท่าใดนัก ทำให้ต้องมีการเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญบ่อยๆ ประเทศไทยเป็นประเทศเดียวในโลกที่ใช้รัฐธรรมนูญเปลืองมาก ต้องมีการร่างกันใหม่บ่อยๆ ทำไมมันจึงไม่ค่อยจะเรียบร้อย เพราะว่ามีการเขียนเข้าข้างตัวพวกตัวไว้ เปิดช่องเปิดทางให้พวกของตัวได้มีอำนาจบริหารบ้านเมืองต่อไป จึงไม่ค่อยจะเรียบร้อย แล้วก็มีการแก้ไขกันแล้วกันอีก เดี๋ยวนี้ก็ยังแก้กันอยู่ยังไม่ค่อยจะเรียบร้อย
เรื่องไม่เรียบร้อยมันเกิดจากความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัวนี่เป็นมารร้ายในชีวิตมนุษย์ เพราะว่าคนเราถ้ามีความเห็นแก่ตัวแล้ว ทำอะไรก็มักจะเข้าข้างตัว แล้วก็เป็นเหตุให้เกิดความลำเอียง ด้วยความรัก ด้วยความชัง ด้วยความกลัว ด้วยความหลง มันก็เกิดปัญหาไม่รู้จบไม่รู้สิ้น โลกที่วุ่นวายกันอยู่ในปัจจุบันนี้ ไม่ได้เกิดมาจากเรื่องอะไร แต่เกิดขึ้นมาจากความเห็นแก่ตัวของคนนั่นเอง แล้วคนนั้นเป็นคนมีอาวุธอยู่ในมือ มีอำนาจ มีพรรคมีพวก ก็เลยได้รับความเป็นใหญ่ ไม่ใช่ประชาชนให้เป็น แต่ตนเป็นด้วยอำนาจอาวุธที่อยู่ในมือ อำนาจพรรคพวกที่รวมพวกรวมหมู่กันอย่างนั้น
แล้วคนอื่นก็ไม่เห็นด้วย ก็เกิดการคัดง้างกันขึ้น แล้วก็เกิดรบราฆ่าฟันกันแย่งกันเป็นใหญ่ บ้านเมืองก็ไม่สงบ บาปหนักตกอยู่กับประชาชนเจ้าของประเทศ ประชาชนเกิดปัญหา เกิดความทุกข์ความเดือดร้อนใจ แต่ว่าพวกนักการเมืองไม่กี่คนที่สร้างปัญหา เขาไม่คิดอะไรทั้งนั้น คิดอย่างเดียวว่าให้ฉันได้เป็นใหญ่ พวกฉันได้เป็นใหญ่เป็นโต แล้วไม่คิดถึงคนอื่น ไม่คิดถึงความเสียหายของประเทศชาติบ้านเมือง ก็อยู่ในสภาพวุ่นวายกันอยู่ตลอดเวลา
มีหลายประเทศที่มีสภาพอย่างนั้น เช่น ประเทศพม่าซึ่งอยู่ใกล้กับเราด้านตะวันตก ก็ไม่ค่อยจะเรียบร้อย เพราะว่ามีบุคคลกลุ่มหนึ่งซึ่งมีอาวุธในมือ เข้าไปยึดครองบ้านเมืองทำการบริหาร ประชาชนชาวบ้านแม้จะมีคนชอบ เวลามีการเลือกตั้งก็ได้รับคะแนนสูงสุด แต่รัฐบาลก็สั่งเลิกการเลือกตั้ง จับหัวหน้าของพรรคนั้นไปกักขังไว้ที่บ้าน ไม่ได้ขังคุก แต่ว่าเอาบ้านนั่นแหล่ะเป็นคุก ให้อยู่ในบ้านไม่ให้ไปไหน ไม่ให้ติดต่อโทรศัพท์กับใคร ไม่ให้เขียนจดหมายถึงใคร ต้องมีทหารไปยืนเฝ้าอยู่ตลอดเวลา ใครเข้าใครออกก็ไม่ได้ เว้นไว้แต่แม่ครัวจะไปซื้ออาหารเท่านั้นออกไปได้ เวลากลับมาพวกทหารก็รื้อค้นข้าวของที่ไปซื้อมา ว่ามีอะไรบ้าง มีจดหมายใครติดมาบ้าง หรือมีอะไรมาบ้าง ก็ถูกตรวจค้น ไม่มีอิสระภาพ ไม่มีเสรีภาพเลยแม้แต่น้อย
บ้านเมืองก็สับสนไม่เจริญก้าวหน้าตามเศรษฐกิจเท่าที่ควร เพราะว่าประชาชนไม่ให้ความร่วมมือเท่าใด พืชสวนไร่นาก็ทำกันแต่พอกินพอใช้ ไม่ได้ทำเพื่อจะขายไปต่างประเทศ เพราะขายก็ไม่ได้เงิน พืชผักธัญหารที่ปลูกรัฐก็ริบเอาไปเป็นของรัฐ สวนยางซึ่งมียางมากๆ ก็กลายเป็นสวนร้าง ไม่มีใครไปตัดยางขาย เพราะขายก็ไม่ได้ราคา รัฐบาลซื้อราคาถูก ทำให้เกิดปัญหาในบ้านเมือง ไม่สงบ เป็นปัญหาอยู่จนกระทั่งทุกวันนี้
นี้ด้านตะวันออกคือประเทศเขมร องค์การสหประชาชาติเข้ามาจัดให้ ให้มีการเลือกตั้งอะไรเรียบร้อย แต่ว่าเลือกตั้งแล้วอีกฝ่ายหนึ่งก็ไม่พอใจ ในผลแห่งการเลือกตั้ง เพราะว่าตนไปแพ้เขา เลยไม่พอใจ คัดค้านกันอยู่ยังไม่ได้ตั้งรัฐบาลไว้เป็นหลักเป็นฐาน ก็เกิดจากความเห็นแก่ตัวของสี่ฝ่าย ต่างคนต่างเห็นแก่ตัว ยอมกันไม่ได้ ก็เกิดเป็นปัญหากันอยู่ เราดูข่าวต่างประเทศ ประเทศมอสเมียประเทศอะไรแถวนั้น แถวยุโรปตะวันออกรบกันอยู่ทุกวัน บ้านเรืองพังพินาศ คนตายกันทุกวัน เพราะการรบกันนี่เอง สหประชาชาติเป็นคนกลางเข้าไปช่วย แต่ว่าผลที่เกิดก็ต้องช่วยรบเหมือนกัน ช่วยรบกับฝ่ายที่มีอาวุธเพื่อให้ทิ้งอาวุธ ก็ไปถูกคนเข้าบ้าง ประชาชนก็เดือดร้อน
ไม่มีธรรมะในที่นั่น ไม่มีศาสนาอยู่ในที่นั่น ความจริงคนเหล่านั้นก็นับถือศาสนา นับถือคริสต์บ้าง อิสลามบ้าง ไม่ถูกกัน ความจริงก็นับถือพระผู้เป็นเจ้าเหมือนกัน ชื่อต่างกันเพราะภาษา ไม่สามารถจะลงลอยกันได้ ไม่สามารถจะพูดจาทำความเข้าใจกันได้ เพราะต่างคนต่างเข็นครก เขาเรียกว่ามีทิฐิมานะ ทิฐิคือความยึดมั่นสำคัญผิดในตัวตน สำคัญว่าฉันมีฉันเป็น ฉันอย่างนั้นฉันอย่างนี้ แล้วก็ไม่ยอมใคร อันนี้ทำให้เกิดเป็นปัญหาขัดแย้ง ความขัดแย้งระหว่างคนนี่ไม่ได้เกิดจากอะไร เพราะว่าหมู่คณะก็เหมือนกัน เกิดจากความยึดถือในเรื่องตัวตนมากเกินไป แล้วก็อยากได้อะไรมาเพื่อตัว
ดูข่าวโทรทัศน์พี่กับน้องแย่งสมบัติกัน พูดจากันไม่รู้เรื่องเพราะเมาเหล้าเลยถือขวานเข้ามาฟันหัวเสียเลย ตายซะ แล้วก็หนีไป แต่ผลที่สุดก็จับได้ รับสารภาพว่าทำไปด้วยความมึนเมา อันนี้ก็เพราะว่าไม่มีศีลธรรมประจำใจ ไม่ถือศีลข้อ ๕ ของพระพุทธเจ้า ชอบดื่มเหล้า ดื่มแล้วมันเมาทุกราย คนดื่มเหล้าไม่เมานี่มันหาไม่ได้ ของมึนเมาใครดื่มเข้าไปแล้วก็เมาทั้งนั้น เมาแล้วก็ขาดสติ ขาดปัญญา ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี ทำอะไรก็ทำด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจ จึงเกิดความผิดพลาดเสียหาย ฆ่ากันตายไป ส่วนความจริงพี่กับน้องควรจะพูดกันได้ แต่พูดจากันไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจกัน เพราะว่าแย่งทรัพย์สมบัติกัน แบ่งกันไม่ตกลง เลยก็ตายกันไปข้างหนึ่ง ไอ้ที่เหลือก็ไปอยู่ในคุกในตาราง
มันจะมีความสุขอะไร มีความสบายที่ตรงไหน คิดไม่ได้ คนเราเวลากระทำผิดนี่มันคิดไม่ค่อยได้ ไม่มีความคิดที่เป็นฝ่ายดีฝ่ายงามเกิดขึ้นในใจ เลยคิดอะไรไม่ถูก ใช้อารมณ์ใช้ความหุนหันพลันแล่น ไปกระทำสิ่งเหล่านั้น ผลที่ออกมาก็เป็นความทุกข์ เป็นความเดือดร้อนใจ พระท่านจึงสอนไว้ว่า ใคร่ครวญก่อนจึงทำ มีพระพุทธภาษิตว่า นิสัมมะ กะระณัง เสยโย พิจารณาก่อนจึงทำดีกว่า ไม่ได้พิจารณาแล้วค่อยทำ ไม่ดีเลยมันสร้างปัญหาเกิดขึ้นในชีวิตในการงานในสังคมด้วยประการต่างๆ เมื่อเกิดปัญหาก็มีความทุกข์มีความเดือดร้อนใจ
ตัวอย่างเช่น นักธุรกิจชื่อดัง มีเงินหมุนเวียนเป็นหมื่นล้าน แต่มีเรื่องเกี่ยวกับการจ้างวานยิงบุคคลผู้หนึ่งในบ้านเมือง ตำรวจก็สืบหาหลักฐานแล้วก็จับ จับแล้วเอาไปใส่ในคุก ไม่ใช่คุก เอาไปไว้ที่ห้องขังที่กองปราบ ห้องขังกองปราบมันก็มีสภาพเหมือนกับกรง ลูกกรงขังอะไรหนา แต่ว่าบางทีเขาให้นอนหลายคน แต่บางทีก็ให้นอนคนเดียว ไม่เคยนอนในที่เช่นนั้น เคยอยู่ในห้องสำนักงานที่โอ่อ่า มีการปรับอากาศเย็นเจี๊ยบ มีคนคอยรับใช้ แล้วก็สั่งให้ทำนั่นทำนี่มีคนเชื่อฟัง ดำเนินธุรกิจการงานมีชื่อมีเสียงโด่งดังมาก แต่พอไปอยู่ในนั้นจิตมันรับไม่ได้ ไม่สามารถจะปรับตัวให้เข้ากับสิ่งนั้นได้ ก็เลยเกิดเจ็บไข้ได้ป่วย เพราะความเครียด คนเราถ้าเครียดหนักแล้วมันเกิดปฏิกิริยาขึ้นในท้อง เป็นโรคในเกี่ยวกับกระเพาะ ทำให้แก๊สมีมากเกินไป หรือทำให้เลือดไหลมาในกระเพาะ เหมือนกระเพาะคนแผลต้องเยียวยารักษา ถ้าไม่รักษาก็อาจจะตายได้เหมือนกัน
อันนี้เกิดจากความไม่เข้าใจธรรมะ ไม่ได้เอาธรรมะไปใช้ในชีวิตประจำวัน แสวงหาแต่วัตถุ หลงใหลมัวเมาอยู่ในวัถตุ เรียกว่าเป็นนักวัตถุนิยม คือนิยมแสวงหาทางวัตถุ ถือว่าวัตถุเป็นเรื่องสำคัญสำหรับชีวิต แต่ไม่ได้คิดว่าชีวิตไม่ใช่มีแต่วัตถุอย่างเดียว เพราะชีวิตไม่มีแต่เพียงร่างกาย แต่มีใจอยู่ในร่างกายนี้ด้วย ร่างกายนั้นต้องการวัตถุ แต่ใจนั้นต้องการสิ่งที่เป็นเครื่องประกอบให้จิตใจดีขึ้น สิ่งนั้นไม่ใช่วัตถุ มันช่วยไม่ได้ บ้านหลังใหญ่ช่วยไม่ได้ เครื่องใช้ไม้สอยที่หรูหราฟู่ฟ่าเท่าใดๆ ก็ช่วยไม่ได้ ช่วยไม่ให้เป็นทุกข์ไม่ได้ บางทีกลับเป็นทุกข์มากขึ้นไปเสียอีก
แต่คนที่มีคุณธรรมเป็นหลักครองใจ เขาอาจจะอยู่ในกระต๊อบหลังเล็กๆ ก็ได้ นอนตรงไหนก็ได้ นั่งตรงไหนก็ได้ เขานอนด้วยใจที่มีธรรมะ นั่งด้วยใจที่มีธรรมะ ไปไหนก็ไปด้วยจิตใจที่มีธรรมะ เขาไม่มีความทุกข์ ไม่มีความเดือดร้อนใจ เพราะเป็นคนที่รู้จักพอในสิ่งที่มีที่ได้ ไม่เข้าไปยึดมั่นถือมั่นในวัตถุที่ตนมีตนได้มากเกินไป ไม่ยึดถือในทรัพย์ในอำนาจในความเป็นใหญ่ หรือในเรื่องอะไรมากเกินไป แต่มีความสำนึกรู้สึกตัวอยู่ว่าสิ่งเหล่านี้ มันเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป ตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ
ธรรมชาติของสรรพสิ่งทั้งหลายนั้นมีลักษณะ ๓ อย่าง คือ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา หรือพูดถึงอาการความเป็นของมัน ก็มีอาการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ชั่วขณะ แล้วก็ดับไป มันเป็นอยู่อย่างนี้ตลอดเวลา ร่างกายของเรา ความคิดของเรา สิ่งที่เรามีเราใช้ในชีวิตประจำวัน มันก็ตกอยู่ในสภาพเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เรียกว่าเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปตลอดเวลา ไม่มีอะไรคงที่ ไม่มีอะไรถาวร อยู่สักอย่างเดียว มันเป็นเพียงกระแสที่เกิดขึ้น ไหลไปตามอำนาจของการปรุงแต่ง แล้วก็ดับไป แต่ว่ามีปัจจัยให้เกิดอีก มันก็เกิดดับ เกิดดับอยู่ตลอดเวลา เรารู้ เราเข้าใจในเรื่องอย่างนี้
มีอะไรเป็นอะไรในชีวิตก็รู้ว่ามันไม่ถาวร มันอยู่ในสภาพความเปลี่ยนแปลง มันอาจจะแตกจะดับลงไปเมื่อใดก็ได้ อาจจะสูญไปเมื่อใดก็ได้ อาจจะถูกขโมยมายักย้ายไปเสียเมื่อไหร่ก็ได้ ถ้าเราคิดได้อย่างนั้น เราก็เกิดปัญญา รู้ทัน รู้เท่า ต่อสิ่งนั้นตามสภาพที่เป็นจริง เมื่อสิ่งนั้นมันเปลี่ยนแปลงไป ไม่ว่าในรูปใด เราก็ไม่เป็นทุกข์ เพราะเรารู้ว่ามันจะต้องเป็นอย่างนั้น ไม่มีอาการเป็นอย่างอื่น เราเข้าใจตามสภาพที่เป็นจริง สภาพจิตใจก็คงที่ ไม่ขึ้นไม่ลง ไม่ไหลไปตามอำนาจของความเปลี่ยนแปลง แต่เรามองสิ่งนั้นด้วยปัญญา มองรู้ว่ามันมีสภาพอย่างไร เป็นไปอย่างไร ไม่ไปเกาะจับสิ่งนั้นไว้ เพราะมันไหลไปเรื่อย เราดูว่ามันไหลไป มันเป็นอย่างนั้น เรารู้ทันรู้เท่าต่อสิ่งนั้นตามสภาพที่เป็นจริง จิตใจก็สงบไม่วุ่นวาย ไม่เกิดปัญหา
เราเคยนั่งที่สบาย แล้วไปนั่งในที่ที่ไม่เหมือนกับที่ที่เคยนั่ง เปลี่ยนใจให้มันเหมาะแก่ที่นั่งใหม่ ก็ไม่เป็นทุกข์ไม่เดือดร้อนอะไร นั่งได้ทุกหนทุกแห่ง พระพุทธเจ้าเคยพูดกับใครคนหนึ่งว่า ตถาคตมีความสงบทุกสถานที่ ไม่ว่าจะอยู่ในทุ่ง ในป่า ในเรือนว่าง ใต้ต้นไม้ หรือในปราสาทของพระราชา สภาพจิตของตถาคตเหมือนกัน เหมือนกันไม่ขึ้นไม่ลง ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปตามอำนาจของสิ่งแวดล้อม เวลาได้ก็ไม่เปลี่ยนแปลง เสียก็ไม่เปลี่ยนแปลง อะไรเกิดขึ้นก็อย่างนั้น อะไรดับไปก็อย่างนั้น สภาพจิตใจคงที่ ไม่ขึ้นลงกับเหตุการณ์ อย่างนี้เขาเรียกว่าเป็นผู้มีใจมั่นคง ไม่หวั่นไหวโยกโคลงไปกับสิ่งทั้งหลาย
นี้เราเป็นปุถุชน ปุถุชนนี่หมายความว่าเป็นคนมีสติน้อยปัญญาน้อย สติปัญญาไม่สมบูรณ์ ยังบกพร่องยังขาดอยู่ เวลามีอะไรเกิดขึ้น ถ้าชอบใจก็ดีใจลิงโลด เหมือนนักฟุตบอลเตะลูกเข้าโกได้ ก็กระโดดโลดเต้นตีลังกา กระโดดกอดคอเพื่อนๆ ก็มากอดคอกัน ทำเหมือนกัน แบบเดียวกัน ทำทุกครั้งที่เตะเข้าโกได้ หรือนักมวยได้ชัยชนะ ก็ยกไม้ยกมือวิ่งไปบนเวที เหมือนกับลิงวิ่งไปอย่างนั้นดีใจ แต่พอแพ้นั่งเหงาไม่สบายใจ เป็นทุกข์ ยังเป็นนักมวยที่ดีไม่ได้ นักมวยที่ดีนั้นเมื่อชนะก็ไม่หึกเหิม เมื่อแพ้ก็ไม่เสียใจ แต่วางระดับจิตคงที่ไว้
นักมวยอย่างนั้นเป็นนักมวยชั้นเลิศ เป็นแชมป์เปี้ยนของนักมวย แต่หาตัวไม่ค่อยจะได้ มักจะดีใจลิงโลด แต่พอแพ้ก็นั่งคอตก จะกินไม่ได้นอนไม่หลับกันเลยทีเดียว เพราะความพ่ายแพ้ อย่างนี้ก็แสดงว่ายังไม่มีจิตใจเข้าถึงธรรมะ ไม่ได้เอาธรรมะไปใช้ในชีวิตของความเป็น เป็นนักมวยปราศจากธรรมะ เป็นนักฟุตบอลปราศจากธรรมะ หรือเป็นนักเล่นอะไรที่ปราศจากธรรมะ มันก็ไม่ดี อาจเป็นทุกข์เมื่อไม่ได้ เป็นสุขเมื่อได้ ใจมันก็ยังครึ้มไป แล้วก็ตกลงไป ขึ้นๆ ลงๆ เต้นอยู่ตลอดเวลา คนที่เต้นอยู่ตลอดเวลานั้นจะมีความสุขได้อย่างไร มันไม่มีความสุข
แต่คนใดที่มีจิตใจคงที่ ไม่หวั่นไหว ไม่โยกโคลงกับสิ่งนั้น ก็เรียกว่าเป็นคนมีใจมั่นคง ไม่เอนเอียงไปทางขวาทางซ้าย ไม่ขึ้นไม่ลง ไม่มีการไปการมากับสิ่งเหล่านั้น สภาพจิตเป็นปกติ อย่างนี้เรียกว่าเป็นนักสู้ที่ใช้ได้ เป็นนักอะไรๆ ที่ใช้ได้ เพราะรักษาสภาพจิตไว้ได้ อันนี้สำคัญในสังคมในยุคปัจจุบัน เพราะว่าเราอยู่ในโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลง กำลังหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ถ้าเราไขว้คว้าไปกับสิ่งเหล่านั้นเราก็จะมีปัญหา เหมือนกับคนที่กระโดดโลดเต้น เพื่อจะหยิบอะไรที่มันลอยไปในอากาศ แต่จับไม่ติดก็กระโดดไปเรื่อยๆ คงจะหมดลมหายใจเข้าสักวันหนึ่ง เพราะการกระโดดโลดเต้นนั้น คือเหนื่อยจนกระทั่งล้มลงหมดลงหายใจไปได้
อันนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นแก่ใครก็ได้ ถ้าไม่ศึกษาสิ่งทั้งหลายให้รู้ชัดตามสภาพที่เป็นจริง ไม่เข้าใจสิ่งทั้งหลายว่าเนื้อแท้มันเป็นอย่างไร อะไรเป็นเปลือก อะไรเป็นเนื้อ อะไรเป็นกระพี้ อะไรเป็นแก่นของสิ่งเหล่านั้น เราไปจับไปยึดไว้ทั้งดุ้นทั้งต้น ว่าเป็นของฉันๆ มันก็เกิดปัญหาขึ้นในชีวิตด้วยประการต่างๆ มีความเดือดร้อนใจ มีความทุกข์ ถ้าเราไม่อยากจะเป็นเช่นนั้น ก็ต้องศึกษาธรรมชาติของสิ่งทั้งหลาย ให้รู้จักตามสภาพที่เป็นจริง การศึกษาก็ไม่ต้องศึกษาไกลในมหาวิทยาลัยไหน ศึกษาที่ตัวของเราเอง เพราะตัวเรานั้นมันมีอะไรทุกอย่าง มีความสุขความทุกข์ ความเสื่อมความเจริญ ความดีความชั่ว ความเปลี่ยนแปลงทั้งหลายมันอยู่ในตัวเราทั้งนั้น
สภาพชีวิตของเรานี่มันเปลี่ยนไปตามสิ่งแวดล้อมอยู่ตลอดเวลา สิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบตัวเราก็เปลี่ยนไปอีกเช่นเดียวกัน ไม่มีอะไรคงที่ถาวร แต่ว่าถ้าเราไม่คิดมันก็ไม่เห็น เพราะว่าเราชินกับสิ่งที่เราเห็นอยู่ตลอดเวลา ถ้าเราเลี้ยงเด็ก เด็กมันอยู่กับเราทุกวันๆ เราจะไม่รู้สึกว่าเด็กมันโตขึ้น แต่ถ้าจากเด็กนั้นไปสักปีหนึ่ง กลับมาดูก็จะเห็นว่าอ้อแหมมันโตขึ้น เพราะไม่ได้เห็นทุกวัน นานๆ เห็นทีก็นึกว่ามันโตขึ้น ต้นไม้ก็เหมือนกัน ถ้าเรานั่งดูมันทุกวันๆ มันก็ไม่มีอะไร ความจริงมันก็เปลี่ยนอยู่ แต่เราไม่รู้ แต่ถ้าเราไปซะหลายๆ วันกลับมาก็จะเห็นว่า แหมต้นนี้โตขึ้นเยอะ ใบเพิ่มขึ้น ความสูงก็เพิ่มขึ้น เราเห็นความเปลี่ยนแปลงเพราะนานๆ ดูที
บ้านเรือนที่เราอยู่ทุกวันๆ ก็ไม่ค่อยเห็นความเปลี่ยนแปลงภายในบ้าน บางทีก็หลงใหลในความสวยความงามของบ้าน เครื่องประดับเต็มบ้าน วันนั้นโทรทัศน์เขาถ่ายรูปนักร้อง นักร้องที่ชื่อดัง บ้านเขาสวยงาม ภายในบ้านเฟอร์นิเจอร์เต็มไปหมด วางเต็มห้องนั้นก็มี ห้องนู้นก็มี เดินไปห้องไหนก็เห็นนั้นเห็นนี่ สวยงามเรียบร้อย มีสระน้ำกลางบ้าน ไม่ได้อาบน้ำ ว่ายน้ำออกกำลังกาย มีต้นไม้ต่างๆ ปลูกไว้เต็มไปหมด แกคงจะภูมิใจในบ้านของแกมาก เพราะว่าได้มาด้วยการแสวงหา คือร้องเพลง ทำเทปขาย ได้เงินเยอะแยะ เอามาสร้างบ้านสบาย
ถ้าว่าอยู่ๆ ไปแล้วมันเกิดเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา บ้านนั้นช่วยได้ เครื่องเฟอร์นิเจอร์ราคาแพงช่วยให้หายป่วยได้ไหม เงินทองที่มีอยู่ในธนาคาร จะมาช่วยเราให้หายป่วยได้ ก็ช่วยได้บ้างนิดหน่อย แต่ว่าไม่ได้ช่วยอย่างจริงจังอะไร เพราะจิตใจเข้าไปยึดถือในสิ่งเหล่านั้นว่าของฉันๆ ถ้ามันแตกไปสักชิ้นก็นั่งกลุ้มใจ อะไรกระเทาะไปนิดหน่อยก็นั่งกลุ้มใจ สีกระเทาะนิดหน่อยก็กลุ้มใจ อะไรเปลี่ยนแปลงไปนิดหน่อยก็กลุ้มใจ มีความทุกข์มีปัญหา การมีอย่างนั้นเขาเรียกว่ามีให้เป็นทุกข์ มีให้เป็นทุกข์ทน มีให้เบาใจก็มี
ทุกข์กับสุขมันก็เหมือนๆ กันมันเปลี่ยนนิดหน่อย เปลี่ยนฉากนิดหน่อย สุขก็ตัวพอใจ พอไม่พอใจก็เป็นทุกข์ เปลี่ยนจากนิดหน่อย แต่มันก็เป็นเรื่องที่เรียกว่าเวทนาที่เกิดขึ้นในใจของเราเหมือนกัน ถ้าหากว่าเรามีอะไรเท่าใดก็ตาม เรามีปัญญารู้ทันรู้เท่าต่อสิ่งเหล่านั้น มองด้วยปัญญา มองด้วยความคิดว่ามันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์อยู่ตามสภาพ มันไม่มีอะไรที่เป็นเนื้อแท้ มันเป็นส่วนที่ประกอบกันเข้า ทรงอยู่ได้เพราะอาศัยเครื่องปรุงแต่ง ถ้าหมดเครื่องปรุงแต่ง มันก็ต้องแตกดับไปเท่านั้นเอง
ดูด้วยปัญญา เวลาสิ่งนั้นเปลี่ยนแปลงไปในรูปใดก็ตาม เราจะไม่ต้องเป็นทุกข์ ไม่ต้องนั่งกลุ้มใจ มีแล้วกลุ้มใจจะมีไปทำไม มีแล้วเป็นทุกข์จะมีไปทำไม ไม่มีเสียดีกว่า เพราะไม่มีมันก็ไม่เป็นทุกข์อะไร ไม่กลุ้มใจอะไร แต่ว่าเราอยู่ไม่ได้ในโลก ก็ต้องมีบ้าง ต้องมีเงินไว้ใช้ ต้องมีเสื้อมีผ้า มีบ้านเรือนอยู่อาศัย มีรถสำหรับนั่งไปมาธุระที่นั่นที่นี่ แต่ว่าสิ่งที่เรามีทั้งหลายนั้นให้เข้าใจว่ามันเป็นสังขาร สังขารหมายความว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากการรวมตัวของสิ่งต่างๆ รวมตัวกันเข้าจึงเกิดเป็นสิ่งนั้นขึ้นมา เช่น เรือนนี่ก็คือการรวมตัวของวัตถุ ไม้อิฐหินทรายปูนซีเมนต์เหล็ก เอามารวมกันเข้าตามกรรมวิธีของสถาปนิก แล้วก็เกิดเป็นเรือนขึ้นมา รูปทรงแปลกๆ สมัยนี้สถาปนิกเขาออกแบบให้แปลกๆ ให้สะดุดตา ให้เห็นว่าเป็นของสวยของงาม
แล้วเราก็ไปนั่งอยู่ในนั้น ถ้าเราไปนั่งเป็นทุกข์อยู่ในบ้านหลังงาม บ้านหลังงามนั้นก็เป็นกองไฟเผาเรา เป็นกองไฟเผาเรา ทำให้เรานั่งอยู่ด้วยความร้อนอกร้อนใจเป็นทุกข์อยู่ตลอดเวลา ถ้าเราไปเอากองไฟมาใส่ในมือ แล้วก็กำไว้ด้วยความร้อนมือร้อนกาย มันสบายที่ตรงไหน ถ้าเรามีถ่านไฟอยู่ในมือแล้วมันร้อน แล้วเราไม่ปล่อยไม่วางนี่ มันจะเป็นสุขที่ตรงไหน คงไม่มีความสุข แต่ว่าคนเราคงไม่กำความร้อนแบบวัตถุไว้ ความร้อนที่เกิดจากไฟไม่มีใครกำไว้ต้องปล่อย พอปล่อยไปมันก็หยุดร้อน แต่มันทิ้งแผลไว้ในมือ ทำให้มือเป็นแผล
ไฟฟ้ามันอยู่เฉยๆ ก็ไม่มีอะไร แต่เราไปจับเข้ามันก็วิ่งไปในตัวเราลงไปในดิน ถ้าเราไม่ปล่อยเราก็ตาย ไฟมันวิ่งผ่านเราตาย แต่พอจับปุ๊บรู้สึกว่าไฟมันช็อตปล่อย ปล่อยทันที พอปล่อยมันก็หยุดช็อต แต่มันอาจจะทิ้งแผลไว้ฝ่ามือที่เราจับก็ได้ เพราะมันร้อนจัด ทำให้เกิดแผลขึ้นในฝ่ามือเราก็ได้ มันเป็นอย่างนั้น มันให้ทุกข์แก่เรา ไม่ว่าวัตถุอะไรที่เรามีเราได้มันมีสองคม มันบาดเราทั้งสองคม บาดเราได้ ถ้าเรามีด้วยอวิชชา ไม่มีด้วยปัญญา ถ้ามีด้วยปัญญามันก็ไม่ทุกข์ ถ้ามีด้วยอวิชชามันก็เป็นทุกข์ มีเป็นทุกข์มันจะดีที่ตรงไหน
ขอญาติโยมลองคิดดูว่าเรามีอะไรแล้วนั่งกลุ้มใจ นั่งเป็นทุกข์ มันจะดีที่ตรงไหน ไม่มีซะดีกว่า เพราะไม่มีเรื่องเป็นทุกข์ แต่ว่าเราอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีสิ่งเหล่านั้น เพราะมันเป็นเครื่องประกอบความเป็นอยู่ เราก็ต้องมี มีก็ต้องมีอย่าให้เป็นทุกข์ มีอะไรมีได้อย่าให้ทุกข์ เป็นอะไรก็เป็นได้อย่าให้ทุกข์ อันนี้สำคัญ เราจะทำใจอย่างไรจึงจะไม่เป็นทุกข์เมื่อมีเมื่อได้ อันนี้ต้องคิดต้องค้น แล้วกระทำตามที่เราคิดค้นได้ แล้วก็สังเกตดูสภาพจิตใจของเรา ว่าเราคิดอย่างนั้นมันไม่ทุกข์ มันสบายใจ แต่ถ้าคิดอีกอย่างหนึ่งเป็นทุกข์ไม่สบายใจ มันก็มีประสบการณ์ในตัวเราเอง
เรารู้ด้วยตัวเราเองว่าอะไรเกิดขึ้น เพราะอะไร เรารู้ แต่ว่าเราไม่ค่อยจะได้สังเกต ไม่ได้กำหนดในสิ่งที่มันเกิดขึ้นในใจ เราจึงไม่รู้สิ่งนั้นถูกต้อง การไม่เข้าใจสิ่งนั้นถูกต้องนั่นแหล่ะคือตัวปัญหา ที่ทำให้เราเป็นทุกข์อยู่ตลอดเวลาซ้ำแล้วซ้ำอีก ทุกข์ในเรื่องเดียวมันซ้ำแล้วซ้ำอีก ไม่รู้จักเข็ดไม่รู้จักหลาบสักที นี่ก็เพราะว่าเราขาดการสังเกต ไม่ได้สังเกตในเรื่องความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจของเรา เราไม่ได้สังเกตดูว่าสิ่งนี้มากระทบมันเกิดอะไร แล้วมันเกิดอะไรต่อไป ไม่ได้สังเกต ไม่ได้กำหนดรู้ในเรื่องนั้น เพื่อให้เข้าใจเรื่องนั้นถูกต้อง เราจึงเป็นทุกข์ในบางครั้งเป็นสุขในบางคราวสลับกันไป
ทุกข์บ้างสุขบ้าง ดีใจบ้างเสียใจบ้าง หัวเราะบ้างร้องไห้บ้าง มันคล้ายกับคนเพ้อๆ เป็นตัวตลกในเวทีโลกไป เพราะเรามันขึ้นๆ กับลงๆ กับสิ่งที่มากระทบ อย่างนี้จะเป็นความเป็นอยู่ที่ถูกต้องอย่างไร มันไม่ใช่ความเป็นอยู่ที่ถูกต้อง ไม่ใช่ความเจริญด้วยปัญญาเพราะสิ่งที่มากระทบ แต่ถ้าเราศึกษาสนใจคิดค้นให้ละเอียดลงไป ค้นให้มันละเอียดลงไปจนมองเห็นว่า มันไม่มีอะไรที่น่าจะเอามาเป็นของตัว ไม่มีอะไรที่น่าจะยึดถือว่าเป็นตัวเรา เป็นของเราขึ้นมา เมื่อนั้นแหล่ะสบาย สบายก็อยู่ที่สภาพจิตไม่ขึ้นไม่ลง ไม่เปลี่ยนแปลงไปตามสิ่งที่เกิดขึ้น เรียกว่าไม่กระทบกระทั่งกับสิ่งเหล่านั้น มันเกิดขึ้นผ่านไป เกิดขึ้นผ่านไปตามเรื่องของมัน เราไม่เก็บไว้ ไม่เอามาคิดให้วุ่นวายใจ สภาพใจเราก็ปกติ
ความเป็นปกติของจิตนั่นแหล่ะ เรียกว่าเป็นความสุขโดยสมมติ ก็เรียกไปอย่างนั้นเรียกว่าเป็นสุข แต่ความจริงมันไม่ใช่สุขอะไร ให้ถูกก็ต้องเรียกว่าปกติ จิตปกติ ปกติคือไม่ขึ้นไม่ลง ไม่หนาวไม่ร้อน ไม่อะไรต่ออะไร ทุกอย่างมันคงที่อยู่อย่างนั้น อยู่ในสภาพคงที่ ไม่เปลี่ยนแปลงไปเพราะอำนาจอารมณ์ที่มากระทบ รูปมากระทบตา เสียงกระทบหู กลิ่นเข้าจมูก รสอาหารผ่านลิ้น กายได้ถูกต้องอะไร ใจได้รับอะไรแล้วเอาไปปรุงไปแต่ง เราไม่รู้สึกอะไร เรียกตามภาษาที่เขาพูดว่าไม่ยินดีและไม่ยินร้าย
ยินดีมันก็เป็นทุกข์เหมือนกัน ยินร้ายมันก็เป็นทุกข์เหมือนกัน ไม่ใช่ว่าเป็นความสุขเพราะมันเป็นทุกข์ทั้งสองฝ่าย แต่ว่าทุกข์ช้าหรือทุกข์ไว ถ้ายินร้ายนี่มันทุกข์ไว ถ้ายินดีนี่มันทุกข์ช้าหน่อย เพราะความยินดีมันกลบไปไว้ กลบความทุกข์ไว้ไม่ให้ปรากฏ แต่ว่าต่อไปก็จะปรากฏออกมา เรียกว่าทุกข์เกิดจากความยินดี ทุกข์เกิดจากความยินร้าย ทุกข์เกิดจากการได้ ทุกข์เกิดจากการเสีย ทุกข์เกิดจากความมี ทุกข์เกิดจากความไม่มี ทุกข์เกิดจากความเป็น ทุกข์เกิดจากความไม่เป็น มันมีทุกข์ ทุกข์ทั้งนั้น ในชีวิตเรานี้มันมีทุกข์ทั้งนั้น ถ้าสภาพจิตเปลี่ยนไปมันก็เป็นทุกข์เมื่อนั้น
เราจึงควรจะคอยควบคุมจิตไว้ ไม่ให้ยินดียินร้ายในเรื่องนั้นๆ ให้มันเป็นปกติ เหมือนกับดินแท่งทึบ ลมพัดมากระทบทั้งสี่ทิศมันก็ไม่โยกโคลง ไม่หวั่นไหวเพราะแรงลม ใจเราก็ควรจะเป็นอย่างนั้น ไม่หวั่นไหวโยกโคลงไปกับสิ่งที่มากระทบ เพราะเรามีสติคอยกำหนดอยู่ ว่าอะไรมากระทบตา อะไรกระทบหู อะไรมากระทบจมูก อะไรมากระทบลิ้น อะไรมากระทบกายประสาท อะไรมันเกิดขึ้นในใจของเรา เราตามรู้ คิดตามไป รู้ตามไป ในเรื่องนั้นๆ ไม่มีช่องว่างที่จะให้เกิดการปรุงแต่งขึ้นในใจ ไม่มีช่องว่างที่จะให้เกิดความยินดี และที่จะให้เกิดความยินร้ายในเรื่องนั้น เพราะเรามัวแต่เฝ้าดูสิ่งนั้น มีสติกำหนดจิตตามสิ่งนั้นอยู่ ความคิดอย่างอื่นมันไม่แซงขึ้นมา
เพราะอะไร เพราะว่าใจของคนเรานั้นคิดได้ทีละอย่าง ทำได้ทีละอย่าง เมื่อคิดเรื่องนี้อยู่เรื่องอื่นไม่มี ไปคิดเรื่องนี้เรื่องนี้ก็ไม่มี มันคิดได้ทีละอย่าง ไม่ได้คิดสองอย่างในเวลาเดียวกัน ถ้าหากว่าเรากำหนดรู้ ความยินดีก็ไม่เกิด ความยินร้ายก็ไม่เกิด เราก็อยู่ในสภาพปกติ ไม่ถูกปรุงแต่งด้วยอะไร ที่พระท่านสวดในงานศพ เขาเรียกว่าบังสกุล บังสกุลชักผ้า เขาเอาผ้าไปทอดที่หีบศพ เอาผ้าไปทอดที่หีบศพนี่ไม่ใช่เรื่องอะไร ต้องการให้พระไปดูศพ ไปดูศพจะได้เป็นเครื่องสะกิดใจ ให้เห็นว่าร่างกายของคนเรานี้ มันไม่สะอาด มันไม่น่ารัก ไม่น่าชมอะไร ต้องการให้ไปดูอย่างนั้น แต่ว่าจะให้ไปดูเฉยๆ ก็ดูกระไรอยู่เลยเอาผ้าไปล่อกัน เรียกว่าทอดผ้ามหาบังสกุล
สมัยก่อนนี้เมื่อสมัยอาตมาเด็กๆ อยู่วัดได้เห็นบ่อย ถ้าเขาจะนิมนต์พระไปชักผ้า เขาต้องยกหีบศพไปวางกลาง กลางลาน วางบนดินนั่นล่ะ แล้วก็เปิดฝาโรง ความจริงสมัยก่อนโลงมันไม่มีฝา แล้วก็ไม่มีก้นด้วย มีแต่สี่ด้าน ข้างล่างไม่มี แต่เอาไม้ไผ่เป็นฟากเจ็ดซี่มาวางรองศพให้ศพนอนบนนั้น มีเสื่อปูสักผืนหนึ่ง หมอนบางทีก็ไม่ใส่ ให้นอนหงาย แล้วเอาผ้าคลุมไว้ คลุมฝาโรง คลุมก็ไม่มิดชิดอะไร พวกแมลงวันมันก็ลงไป เพราะว่าร่างกายของคนเรานั้น พอตายแล้วมันเป็นที่เหมาะสำหรับเพาะแมลงวัน มันก็ไปไข่ไว้ในที่ต่างๆ ในร่างกาย ไว้สามวันนี่ก็ตัวหนอนคลานแล้ว
พอไปถึงวางเสร็จก็เปิดผ้าไว้ เอาผ้าไปพาด พาดกับโลง แล้วเขาก็นิมนต์พระไปพิจารณา เขาใช้คำพูดดี เขาพูดว่านิมนต์พิจารณาครับ เขาพูดอย่างนั้น นิมนต์พิจารณาครับ บอกให้พระไปพิจารณา พิจารณาอะไร ไม่ใช่ไปพิจารณาผ้า แต่ให้ไปพิจารณาซากศพ เพราะซากศพนั้นเป็นดอกไม้สำหรับพระผู้ปฏิบัติธรรม เป็นดอกไม้ของพระผู้ปฏิบัติธรรม เป็นดอกไม้ที่ควรจะยกขึ้นมาดูมาพิจารณา ให้ไปดู ดูแล้วก็เปล่งวาจาออกมาว่า อะนิจจา วะตะ สังขารา สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ อุปปัชชิตตะวา นิรุชฌันติ อุปปาทะวะยะธัมมิโน เกิดขึ้นแล้วก็เสื่อมไป อุปปัชชิตตะวา นิรุชฌันติ มีเกิดก็มีดับ เตสัง วูปะสะโม สุโข การเคารพสังขารเป็นความสุข การสงบสังขารนั้นเป็นความสุข
มันมีคำสังขารอยู่สองคำ คำแรกว่า อะนิจจา วะตะ สังขารา แปลว่าสังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ ไม่เที่ยงหมายความว่าเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา ไหลอยู่ตลอดเวลาไม่หยุด ถ้าหยุดเปลี่ยนมันก็ตาย ความตายก็คือการหยุดเปลี่ยนแปลง ไม่เปลี่ยนแปลง พอตายแล้วชีวิตหมด เพราะไม่มีการเปลี่ยนแปลง ไม่มีลมหายใจ ไม่มีการเดินของโลหิตหมุนเวียนในร่างกาย ไม่มีอะไรหลายอย่าง ขาดเครื่องปรุงแต่งมันก็ดับไป ดับไป แต่ว่าตัวร่างกายนั้นมันยังไม่หยุดเปลี่ยนแปลงหรอก ยังเปลี่ยน เปลี่ยนไปสู่ความเน่า ความเหม็น ความปฏิกูลต่างๆ ซึ่งน่าดูพอสมควร นี่เป็นสังขารแสดงว่าไม่เที่ยง
แล้วก็บอกว่า อุปปาทะวะยะธัมมิโน เกิดแล้วก็ต้องเสื่อมเป็นธรรมดา เกิดแล้วไม่เสื่อมไม่มี เติบโตก็คือความเสื่อม ชราก็เป็นความเสื่อม หรือจะเรียกว่า เขาเรียกว่าวัย วัยที่เราว่าปฐมวัย มัชฌิมวัย ปัจฉิมวัย ปฐมวัยก็คือความเสื่อมในตอนแรก มัชฌิมวัยก็คือก็คือความเสื่อมในตอนกลาง ปัจฉิมวัยก็คือความเสื่อมในตอนสุดท้าย เสื่อมทั้งนั้นไม่มีความเจริญ มีแต่ความเสื่อม เสื่อมเบื้องต้นเสื่อมทางกลางเสื่อมที่สุด มันเป็นอย่างนั้น อุปปาทะวะยะธัมมิโน อุปปัชชิตตะวา นิรุชฌันติ เกิดแล้วต้องดับ เกิดแล้วไม่ดับไม่มี ไม่ว่าจะเป็นอะไร มันค่อยดับไปเรื่อยๆ
โลกที่เราอยู่อาศัยนี้จะต้องดับสักวัน แต่ว่าโยมไม่ต้องเป็นทุกข์กลัวโรคจะดับ มันอีกนาน ยังเกิดกันอยู่อีกหลายหมื่นเที่ยว โลกมันอาจจะดับลงไปสักวันหนึ่งก็ได้ ไฟในดวงพระอาทิตย์มันก็ค่อยดับไปเหมือนกัน ดับไปเรื่อยๆ วันหนึ่งมันอาจจะดับหมด แล้วโลกจะอยู่ในความบอด เราต้องใช้ไฟฟ้ากันเป็นการใหญ่ แต่บางทีสิ่งหลายอาจจะดับวูบลงไปสักวัน เป็นวันสุดท้ายของโลกก็ว่าได้ มันเป็นธรรมดา
แล้วก็ตอนสุดท้ายว่าเตสังวู การสงบสังขารเป็นความสุข สงบสังขารหมายความว่าอย่างไร หมายความว่าไม่ให้สิ่งที่มากระทบนั้นปรุงแต่งเรา ไม่ให้มันแต่งเรา แต่เราแต่งมัน ถ้ามันแต่งเราก็กลุ้มใจเป็นทุกข์ ขึ้นๆ ลงๆ ตามอารมณ์ที่มากระทบ เพราะถูกอารมณ์มาแต่ง มามาเสียบ มาแทงร่างใจเรา เราก็ฟูขึ้นเมื่อได้ของถูกใจ แฟบลงเมื่อได้ของไม่ถูกใจ เป็นอยู่ด้วยการขึ้นการลง ขึ้นลงขึ้นลงเต้นเร่าอยู่ในสังคมตลอดเวลา มันจะมีความสุขที่ตรงไหน เพราะเราไม่เข้าใจความจริง ไปยึดถือในการขึ้นการลงนั้น ไม่ได้มองมันด้วยปัญญาจึงไม่รู้ชัดเห็นชัดตามสภาพที่เป็นจริง
อันนี้พระผู้มีพระภาคท่านตรัสสอนว่าอย่าให้ถูกปรุงแต่ง อย่าให้สิ่งนั้นมาแต่งใจเรา อย่าให้รูปมาแต่งใจเรา อย่าให้เสียงมาแต่งใจเรา อย่าให้กลิ่นมาแต่งใจเรา อย่าให้รสผ่านลิ้น (50.52) ไปแต่งใจเรา อย่าให้สิ่งสัมผัสถูกต้องทางกายมาแต่งใจเรา ในใจก็ไม่คิดปรุงแต่ง คือไม่ให้เกิดความรักความชัง ความเกลียดความกลัว ความอยากมีอยากได้อะไรต่างๆ อย่าให้มันเกิด เรียกว่าไม่ถูกปรุงแต่ง จิตที่ไม่ถูกปรุงแต่งนั้นแหล่ะคือจิตที่สงบคงที่อยู่ตลอดเวลา มันเป็นความสุขแบบสงบ เป็นความสุขที่ไม่ต้องเจืออะไร
นี่เราญาติโยมต้องไปหาความสุขด้วยการไปเที่ยว จัดขบวนไปเที่ยว ความจริงนั่งปวดเอวปวดหลังแต่ก็ไปกัน ไปกันไปเที่ยว ไปนมัสการไปไหว้พระ พระมันอยู่ที่ตัวเราไม่ต้องไปวิ่งไหว้ให้มันเหนื่อยแรงอย่างนั้น แต่ก็ถือว่าไปเที่ยวไปทัศนาจร ไปภาคอีสาน ไปภาคเหนือ ไปภาคใต้ ไปคือไปเที่ยว พระไม่ต้องไปไหว้ไกลหรอก เพราะว่าพระอยู่ในใจของเราแล้ว เปิดของปกปิดออกไปก็เห็นพระทันที แต่เราไม่เข้าใจเปิด ปิดมันไว้ แล้วก็ไปเที่ยวไหว้ที่นั่นที่นี่ จ่ายเงินจ่ายทองไปตามเรื่อง เพราะมีเงินจะจ่าย พระสงฆ์องค์เจ้าก็รู้จิตใจโยม เลยจัดขบวนพาโยมไปเที่ยวนั่นไปเที่ยวนี่ โยมชอบเพราะได้ไปเที่ยว เหนื่อยกายแต่สบายใจ เพราะได้ไปเที่ยวดูนั่นดูนี่ตามเรื่องตามราว
นี่เขาเรียกว่าถูกปรุงแต่งด้วยอารมณ์ชอบเที่ยว ชอบไปนั้นไป มีโยมมาถามว่าเมื่อไรหลวงพ่อจะจัดอีก บอกว่าอาตมาไม่จัด เบื่อที่จะต้องเที่ยว เบื่อที่จะต้องไปหารถมาบรรทุกโยม เบื่อเรื่องการจ่ายค่ารถ เบื่อเรื่องการไปกลางทางรถมันเสีย แล้วก็ต้องไปนั่งชมลมไปอยู่ข้างถนน หลายเรื่องเรียกว่ามันไม่สบาย ไปคนเดียวดีกว่า มันไม่เป็นห่วงอะไร ข้าวของก็ไม่ต้องถือ ไปขึ้นเรือบินปึ๊ดไปลงปลายทาง เขามารับไปเทศน์เสร็จสับมันก็ไม่ยุ่ง เพราะฉะนั้นไปไหนจึงไม่ค่อยมีใครไปด้วย อาตมาไม่ค่อยชอบพาใครไป เพราะว่ามันไม่จำเป็น ถ้าจำเป็นก็จะพาไปบ้าง โยมไม่เคยไป เอ้าไปดูหน่อย ไปเที่ยวดูภูมิประเทศ ได้ไปทำบุญสุนทานที่นั่นที่นี่ นี่เรียกว่ามันปรุงไปกับการชอบเที่ยว
อันนี้ของในบ้านนี่มันปรุงมานานแล้ว เบื่อแล้ว เก้าอี้รับแขกชุดนี้เบื่อแล้วลุก ไม่รู้จะเอาไปไหน ไม่รู้จะเอาไปทิ้งที่ไหน อ้อวัดสวนแก้วประกาศไว้ วัดสวนแก้วประกาศว่าสิ่งใดโยมไม่ใช้เอามาไว้วัดสวนแก้ว โอ้ยขยะเต็มวัดเลย ไม้ไม่ใช้ เก้าอี้ไม่ใช้ พรมไม่ใช้ อะไรๆ กอง กองเต็ม ของเขาไม่ใช้เอามาทิ้ง เลยวัดสวนแก้วกลายเป็นสวนสำหรับทิ้งของญาติโยม แล้วโยมก็ไม่เอาไปให้ โทรศัพท์ให้ไปรับถึงที่เลย ไปรับขยะจากบ้านโยมเอามากองไว้เป็นอย่างนั้น แล้วหาชุดอื่นมาใส่ นั่งไปๆ ชักจะเบื่อชุดนี้ เปลี่ยนใหม่เปลี่ยนบ่อย ไม่อิ่มสักที ไม่พอสักที ต้องเปลี่ยนเรื่อยไป เปลี่ยนเรื่อยไป เปลี่ยนจนกระทั่งว่าตัวเองไม่เปลี่ยนก็เรียบร้อยนั่นแหล่ะ จบเรื่อง เรื่องเป็นอย่างนั้น
เครื่องแต่งตัวก็ต้องเปลี่ยน หลายชุด หลายแบบ พวกนักออกแบบก็ต้องออกแบบให้มันแปลกๆ แล้วเหมือนกับไม่ได้นุ่งอย่างนั้น เพราะว่าแบบมันใหม่ๆ ผ้าเป็นชิ้นๆ ถ้ายืนเฉยๆ ผ้ามันก็ปกปิดดี พอเคลื่อนไหวแล้วป๊อบแป๊กๆ ไม่รู้อะไร มันรุงรังไปหมด แต่งจนไม่ จนมันเหมือนกับไม่แต่งเป็นอย่างนั้น ถอยหลังเข้าคลอง เป็นอยู่อย่างนี้มีมากมาย เพราะติดความเปลี่ยนแปลงนั่นเอง อยู่ในอำนาจของความเปลี่ยนแปลง ความเปลี่ยนแปลงมันไหลไป เราก็ตกลงไปกระแสนั้น ไหลไปด้วย ไหลไปจนตกหน้าผาหมดลมหายใจ จบเรื่องกันไปทีเพราะหมดลมหายใจ นี่เป็นอย่างนี้ชีวิตเป็นอย่างนี้ เราต้องอยู่ด้วยปัญญาบ้าง อย่าปล่อยให้สิ่งเหล่านั้นผูกมัดจิตใจเรามากเกินไป ก็พอจะเบาใจโปร่งใจได้บ้างตามสมควรแก่ฐานะ พูดมาก็สมควรแก่เวลา ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ ต่อนี้ไปก็ขอเชิญญาติโยมนั่งฝึกจิต กำหนดลมหายใจเข้าออกเป็นเวลา ๕ นาที เชิญได้
- ปาถกฐาธรรมประจำวันอาทิตย์ที่ ๒๐ มิถุนายน ปีพุทธศักราช ๒๕๓๖